THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

‘Teflon Economy’ รู้จักมิติเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ แกร่งขึ้นแต่ไม่ไร้รอยต่อ พร้อมเจาะลึก 3 ความเสี่ยงใหญ่ที่รออยู่

... • 29 ก.ค. 2025

HIGHLIGHTS

  • สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกยังปรับขึ้นต่อเนื่องจาก 3 ปัจจัยหนุน คือ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าทั่วโลก จีนออกมาตรการคุมการลดราคาสินค้ามากเกินไป และเงินไหลออกจากตราสารหนี้ สู่ตลาดหุ้นมากขึ้น 
  • นักลงทุนคาดหวังว่าบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ จะได้อานิสงส์จากการที่ทรัมป์เริ่มบรรลุข้อตกลงภาษีการค้าใหม่กับหลายๆ ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อัตราภาษีลดลง 
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า ไทยอาจได้รับอัตราภาษีในระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ แม้การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อาจไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดวันที่ 1 สิงหาคม แต่ฝั่งสหรัฐฯ มีแนวโน้มเปิดช่องให้เจรจาต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะเวลาในการเริ่มบังคับใช้ภาษีอาจเลื่อนออกไป และจำกัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ 
  • และมองว่าเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันกำลังสะท้อนลักษณะของ ‘เศรษฐกิจแบบเทฟลอน’ (Teflon Economy) ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่ทนทานต่อแรงกระแทกจากภายนอกมากขึ้น แต่ยังมี 3 ปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ที่ต้องจับตา

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกยังปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยทั้งตลาดหุ้น EM และ DM ปรับขึ้น 1.4%WoW ปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าเจรจาการค้า โดย ปธน. ทรัมป์ กำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่กับญี่ปุ่นที่15% จากเดิม 24% (รวมถึงลดรถยนต์เหลือ 15%) และฟิลิปปินส์ 19% จากเดิม 20% ทำให้ตลาดตีความว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ยังไม่บรรลุข้อตกลงจะถูกเรียกเก็บภาษีใหม่ในอัตราใกล้เคียงกัน 

 

อีกทั้งรมว.คลังสหรัฐฯ เผยได้เจรจาจีนในวันที่ 28 - 29 ก.ค. เพื่อหารือขยายข้อตกลงหยุดเก็บภาษีที่จะหมดอายุใน 12 ส.ค. 

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนเผยว่าจะใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมการลดราคาสินค้าที่มากเกินไปในจีน พร้อมประกาศโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในทิเบต ซึ่งหนุนหุ้นกลุ่มก่อสร้างและกลุ่มพลังงานไฟฟ้า 

 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากกระแสเงินที่ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น จากแนวโน้มการเจรจาภาษีที่มีพัฒนาการเชิงบวกต่อเนื่อง รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของ บจ. ที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI 

 

ด้านตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเช่นกัน จากการคาดการณ์ว่าไทยจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐด้วยอัตราภาษีใกล้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และ ครม. มีมติแต่งตั้ง ผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่ ซึ่งคาดจะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ขณะที่เหตุปะทะไทย-กัมพูชา กระทบเล็กน้อยต่อบรรยากาศลงทุนและมองมีผลกระทบจำกัดต่อเศรษฐกิจไทย 

 

ด้านราคาน้ำมันปรับลง จากกังวลสงครามการค้ากระทบต่อเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์น้ำมัน

 

เศรษฐกิจโลกปัจจุบัน สะท้อนภาพ Teflon Economy

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันกำลังสะท้อนลักษณะของ ‘เศรษฐกิจแบบเทฟลอน’ (Teflon Economy) ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่ทนทานต่อแรงกระแทกจากภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา แม้จะเผชิญวิกฤตหลายครั้ง แต่ภาคเศรษฐกิจและตลาดการเงินยังสามารถปรับตัวและเติบโตได้ดี 

 

ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนคือ การบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้นของภาคเอกชน การตอบสนองเชิงนโยบายที่รวดเร็วของภาครัฐ และนโยบายการเงินการคลังที่ยืดหยุ่นมากขึ้นในระยะข้างหน้า 

 

อย่างไรก็ตาม ยังจับตาความเสี่ยงสามประการ ได้แก่ 

 

1. ต้นทุนการรักษาเสถียรภาพที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นกว่า 20% หลังโควิดและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น 200-300 bps 

 

2. ความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐที่อาจทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น (เห็นได้จากราคาบ้านที่สูงขึ้น) และดอลลาร์แข็งค่า 

 

3. ความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจกำลังพัฒนาที่อาจเผชิญการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้า

 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็น ปธน. ทรัมป์ได้ประกาศข้อตกลงการค้าใหม่ โดยปรับลดภาษีศุลกากรจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ได้แก่ ญี่ปุ่น 15% จากเดิม 24% (รวมถึงภาษีรถยนต์ที่ลดเหลือ 15%) ฟิลิปปินส์ 19% จากเดิม 20% 

 

ข้อตกลงใหม่นี้ สะท้อนว่าไทยอาจได้รับอัตราภาษีในระดับใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ แม้การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อาจไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดวันที่ 1 สิงหาคม แต่ฝั่งสหรัฐฯ มีแนวโน้มเปิดช่องให้เจรจาต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะเวลาในการเริ่มบังคับใช้ภาษีอาจเลื่อนออกไป และจำกัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจภายในประเทศยังเผชิญแรงกดดันจากการบริโภคที่ซบเซา การลงทุนที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และการเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้า ซึ่งยังเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

1. หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCH CBG CPALL SCCC

 

2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลช่วง 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT

 

3. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 

 

  • 1 หุ้น Laggard Play ซึ่งคาดได้อานิสงส์หาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเลือกหุ้น SET50 ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้น MTD ต่ำกว่า SET และ Valuation ถูก โดยมี PBV และ PER 2568F < -1SD อีกทั้งมีพื้นฐานดี แนะนำ BDMS CPALL MINT MTC PTT 

 

  • หุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็วและเชื่อว่าการเจรจาจะทำให้สหรัฐพิจารณาปรับลดภาษีไทยลงมาอยู่ที่ระดับ 20%หรือต่ำกว่า จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นและทำให้ FDI กลับเข้าสู่ไทย แนะนำ AMATA GPSC WHA 

 

  • หุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็วและเชื่อว่าความขัดแย้งไทย-กัมพูชา คลี่คลายลงหรือยุติได้เร็ว แนะนำ AEONTS CBG

 

“มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยประเมินการฟื้นตัวของ SET ก่อนหน้านี้จนมายืนเหนือระดับ1,200 จุด (PER ราว 14 เท่า) ใกล้กับเป้าหมายที่ประเมินระดับ 1,230 - 1,250 จุด ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังว่าสหรัฐจะเก็บภาษีศุลกากรใหม่จากไทยเท่ากับหรือต่ำกว่า 20% ใกล้เคียงในภูมิภาคแล้ว ทำให้คาด SET เริ่มมี Upside จำกัดและอาจต้องระมัดระวังมากขึ้น หากการเจรจาไม่ประสบผลซึ่งจะทำให้ไทยเสียเปรียบด้านต้นทุนภาษี หรือ เกิด Sell on Fact ได้หากจบดีลการค้าตามอัตราภาษีที่คาดหวังได้จริง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป 

 

แต่อย่างไรก็ดี หาก Fund Flow ยังมีทิศทางไหลเข้าต่อเนื่อง คาดมีโอกาสจะหนุนให้ในระยะถัดไป SET กลับไปซื้อขายที่ค่าเฉลี่ยระยะยาวของตลาดอีกครั้งที่ระดับ 16 เท่า หรือ 1,376 จุด” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

 

1. ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าต่างๆ (จีน ยูโรโซน แคนาดา และไทย) ก่อนถึงวันบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. นี้

 

2. การประชุมนโยบายการเงินของ FOMC (ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50%) และ BoJ (ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ 0.75%)

 

3. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ GDP 2Q25 (ประมาณการครั้งแรก) และ PCE มิ.ย. ของสหรัฐ, PMI ภาคการผลิต ก.ค. ของสหรัฐและจีน

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: CHG - กำไรจะดีขึ้น...Risk/Reward น่าสนใจ

 

แนะนำ บมจ. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ หรือ CHG เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

 

  • ดำเนินธุรกิจ รพ. 10 แห่ง (938 เตียง) และคลินิกการแพทย์ 5 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ใน

 

  • เขตอุตสาหกรรมและแหล่งชุมชนที่มีศักยภาพเติบโตสูงของไทย โดยให้บริการ การแพทย์ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิจนถึงตติยภูมิสำหรับผู้ป่วยที่จ่ายค่ารักษาเองรวมถึงผู้ป่วยประกันสังคม (SC) และผู้ป่วยประกันสุขภาพแห่งชาติ (UC)

 

  • 2Q25 คาดมีกำไรปกติ 235 ลบ. เพิ่มขึ้น 4%QoQ และทรงตัว YoY ดีกว่าที่คาดก่อนหน้าว่าจะลดลงทั้ง QoQ และ YoY ปัจจัยหนุนหลักมาจากรายได้ที่แข็งแกร่ง จากกลุ่มผู้ป่วยจ่ายเงินเอง และมีผลขาดทุนลดลงจาก รพ. ใหม่ จุฬารัตน์แม่สอด

 

  • เป็นหุ้น Undervalued โดยปัจจุบันซื้อขาย PER และ PBV 2025F ต่ำกว่า -2SD อีกทั้งยังซื้อขายที่ Valuation ต่ำกว่า BCH ที่เป็นคู่แข่งรายหลัก รวมทั้งมองราคาหุ้นที่ปรับลง 29%YTD สะท้อนความคาดหวังที่ต่ำของตลาดแล้ว ขณะที่2H25 คาดผลประกอบการจะดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มี risk/reward น่าสนใจมากขึ้น

 

  • เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 2.20 บาท อิงวิธี DCF และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.08 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 4.7%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

หุ้นสหรัฐฯ บนดัชนี S&P500 เผยผลประกอบการ 2Q25 ออกมาแล้วเป็นสัดส่วนราว 27% ของบริษัททั้งหมดบนดัชนี ซึ่งภาพรวมดีกว่าคาดทั้งรายได้โต 5.4% และกำไรโต 9.7% โดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตที่ดี สวนทางกับกลุ่มที่อิงแรงซื้อที่ยังคงอ่อนแอ ทำให้เรายังคงชอบ และแนะลงทุนในกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตดี เช่น กลุ่มซอฟต์แวร์อย่าง MSFT GOOGL AMZN NOW CRM

 

กลุ่ม Mag7: 1. GOOGL เผยงบโตดีกว่าคาดหนุนจากรายได้โฆษณาและ Google Cloud ที่โต นอกจากนี้สินค้า AI เติบโตดี ประกอบกับเพิ่ม CAPEX ปี 25 ขึ้น ด้วยภาพงบและแนวโน้มที่ดี ทำให้เราประเมินราคาหุ้นยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อได้ในระยะสั้น โดยมองแนวต้านที่ 203.5$ 2. TSLA เผยงบหดตัวต่ำกว่าคาดซึ่งมองว่าตลาด Price In ไปแล้ว แต่หุ้นปรับตัวลงจาก 1. FCF ที่หดตัวกว่าคาด 2. ผลกระทบจากกฎหมาย OBBB กดดันยอดส่งมอบ ซึ่งการปรับตัวลงนี้ส่งผลให้ Downside เริ่มจำกัด และเรายังคาดหวังการฟื้นตัวจากธุรกิจใหม่ โดยมองแนวต้านที่ 332$-338$

 

กลุ่มซอฟต์แวร์: NOW เผยงบ 2Q25 ดีกว่าคาดจากรายได้สมาชิกและผลิตภัณฑ์ AI ที่โตแรง พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ปี 25 ในทางตรงกันข้าม IBM งบและแนวโน้มชะลอตัวกดดันจากกลุ่ม Consulting หลังเศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยภาพนี้ทำให้เราแนะเลือกลงทุนในหุ้นซอฟต์แวร์ pure play ที่เติบโตชัดเจนอย่าง NOW และ CRM

 

กลุ่มเซมิฯ: งบดีกว่าคาดทั้ง ASM NXPI TXN อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นลงหลัง 1. ชิปรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว 2. กังวล Tariff ที่ทำให้คำสั่งซื้อปัจจุบันมาจาก Pull-in Demand ขณะที่เรายังคงแนะนำอยู่ในกลุ่มเซมิฯ AI ที่มีโตดีสุด แต่หากกังวล Valuation เราแนะรอลงทุนในช่วงที่หุ้นย่อตัวลงซึ่งมองอาจเกิดได้ในช่วงที่ทรัมป์ประกาศ Tariff (NVDA AMD TSM)

 

กลุ่ม F&B: งบกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคออกมาในทิศทางผสม โดยผลประกอบการชี้ว่าผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยเน้นสินค้ากลุ่มอาหารที่คุ้มค่า (เช่น Domino's Pizza) ขณะที่กลุ่มรายได้สูงแม้ยังมีกำลังซื้อ แต่ก็เลือกใช้จ่ายไม่ฟุ่มเฟือย (เช่น AXP, HLT) ด้วยภาพนี้ทำให้เรายังแนะหลีกเลี่ยงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อไปก่อนและ แนะมอง KO ซึ่งเป็นหุ้น Defensive ที่แข็งแกร่ง จัดการต้นทุนดี และได้รับผลกระทบจากภาษีต่ำ

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้อานิสงส์จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์ตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ หลังประธานาธิบดี Trump เตรียมส่งจดหมายแจ้งภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บไปยังมากกว่า 150 ประเทศ

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

ความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังสูง หลัง Fed สาขา Atlanta ชี้แรงกดดันเงินเฟ้อกำลังก่อตัวสูงขึ้น มีแนวโน้มหนุนให้ UST Yield ตัวยาว เพิ่มขึ้นต่อ ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังมีแนวโน้มปรับลดลง จาก กนง.อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ และเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัว

 

U.S. Treasury & IG

 

US term premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความกังวลขาดดุลการคลังสหรัฐฯ และจากความเสี่ยงเงินเฟ้อ ขณะที่ ดัชนี US IG bond ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี แนะนำ UST และ US IG bonds โดยเน้น duration สั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ

 

High Yield Bond

 

ความไม่แน่นอนผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate จะเพิ่มขึ้นจากระดับที่ต่ำ และ HY credit spread จะกว้างขึ้นจากระดับที่แพง ประกอบกับ UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลง อาจจำกัด upside ของ US HY

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Networth เท่านั้น

 

เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit จากโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดี หลังยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 0.6%MoM สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.2%MoM ทั้งนี้ แนะนำเน้นลงทุนใน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก

 

US REITs

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่อยู่ในระดับสูงทำให้ Yield Spread อยู่ในระดับติดลบ ยังเป็นปัจจัยกดดัน US REITs ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มากกว่าคาดทั้งยอดขายค้าปลีกและตลาดแรงงาน เป็นปัจจัยหนุนต่อแนวโน้มอุปสงค์การเช่าพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่ม Retail และ Office

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

การบังคับใช้แผนการคลัง และแนวโน้มเชิงบวกงบใน 2Q2568 จะหนุน sentiment หุ้นสหรัฐฯ / เศรษฐกิจยุโรปได้แรงหนุนจากนโยบายการคลัง และ EPS ของ บจ.มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายด้านกลาโหม / หุ้นญี่ปุ่น ได้รับอานิสงส์จากความคืบหน้าการปฏิรูปธรรมาภิบาล และจากเงินเฟ้อที่กลับมา

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ความไม่แน่นอนในการเก็บภาษีนำเข้าต่อคู่ค้าต่างๆ ของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนบางส่วนยังระมัดระวังการลงทุน อย่างไรก็ดี เรามอง EPS ใน 2Q2568 ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด และตัวเลขทั้งปี 2568 และปี 2569 ยังมีแนวโน้มเติบโตดี จากกระแส AI มาตรการกระตุ้นการคลัง และการผ่อนคลายกฎระเบียบเพิ่มเติม

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น จากความไม่แน่นอนในเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่ 30% ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. ยังไม่ส่งสัญญาณเร่งตัว คาดว่า ECB จะคงดอกเบี้ยในเดือน ก.ค. นี้ ติดตามผลประกอบการของ บจ. ใน 2Q2568 และปรับประมาณการกำไรในปี 2569 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนระยะยาว

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ความไม่แน่นอนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และประเด็นการเมืองในญี่ปุ่น อาจเพิ่มความผันผวนต่อหุ้น ตราสารหนี้ และค่าเงินญี่ปุ่นในระยะสั้น แต่หุ้นญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการปฏิรูปบรรษัทภิบาลที่ยังคืบหน้า และค่าจ้างที่ยังเติบโตดี และ BoJ ที่ไม่เร่งรีบกลับมาคุมเข้มทางการเงิน

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

หุ้นตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย มีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก EPS ที่เติบโตดี สอดรับกับโมเมนตัม GDP ตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ย และการออกแผนกระตุ้นการคลังของที่ต่างๆ เพื่อหนุนอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้ง เงินดอลลาร์ สรอ. ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ส่งผลดีต่อทุนไหลเข้า ขณะที่ P/E ยังต่ำกว่าตลาดพัฒนาแล้ว

 

หุ้นอินเดีย

 

ตลาดหุ้นอินเดีย ได้ปัจจัยหนุนจาก RBI ที่แนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ และเสริมสภาพคล่องในระบบ ประกอบกับ EPS ใน 2Q2568 ที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ตามฐานที่ต่ำปีก่อน ผลดีจากการลดภาษีเงินได้ และอุปสงค์ในชนบทที่ดีขึ้น ขณะที่ หุ้นและเศรษฐกิจอินเดีย มีแนวโน้มถูกกระทบจำกัดจากนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะสั้น จากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าคาด อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ยังได้แรงหนุน จาก แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในครึ่งปีหลัง และแรงซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีน

 

หุ้นจีน H-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน H-Share ได้อานิสงส์จาก ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น การกีดกันเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ที่ลดลง หลัง Nvidia ได้ไฟเขียวส่งออกชิป H20 ไปจีน และกระแส AI ในจีนที่ยังคืบหน้า นอกจากนี้ เราคาดว่า บริษัทในดัชนีฯ ยังสามารถเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก ข้อพิพาทด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ดีขึ้น และจากงบหุ้นกลุ่ม Big Tech ใน 2Q2568 ที่มีแนวโน้มออกมาดี ประกอบกับ กระแส AI จะช่วยหนุนแนวโน้ม EPS ขณะที่ บริษัทในดัชนีฯ มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีงบดุลแข็งแกร่ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายสหรัฐฯ ที่ยั งมีอยู่

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ ได้แรงหนุนจากแนวโน้มข้อตกลงการค้าในการลดภาษีนำเข้าต่ำกว่า 25% นอกจากนี้ การผ่านร่างแก้ไขกฎหมายพาณิชย์ (Commercial Code Revision) เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัท เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทุน ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ยังมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยมี P/E ที่ 10 เท่า

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้อานิสงส์จากกระแส AI โดยเฉพาะกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ที่ได้แรงหนุนจากความต้องการชิปและหน่วยความจำสำหรับ AI ที่ยังเร่งตัวขึ้น และกลุ่มซอฟต์แวร์ ซึ่งมีศักยภาพเติบโต ตามการนำ AI มาช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้

 

ภาพ: Westend61 / Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 29 ก.ค. 2025

READ MORE



Latest Stories