THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
Fed
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

จับตา ‘Fed เสียงแตก’ ป่วนตลาดทุน กดดันตลาดเงินระส่ำหนัก

... • 13 มี.ค. 2023

HIGHLIGHTS

  • ถ้อยแถลงประธาน Fed ต่อรัฐสภาที่ระบุว่าจะไม่ปิดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย 50% หากความเสี่ยงเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ย 50% พุ่งขึ้นสู่ระดับ 78% 
  • ขณะที่ตลาดแรงงานยังเปิดเผยตัวเลขในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดตำแหน่งงานเปิดใหม่ (JOLTS) ในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 10.8 ล้านตำแหน่ง แม้จะลดลงจากเดือนก่อนหน้า แต่ก็สูงกว่าคาดการณ์ 
  • InnovestX มองว่า ตลาดคงต้องติดตามตัวเลขการจ้างงาน รวมถึงเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด โดยมองว่าเป็นไปได้ที่เงินเฟ้อในระยะต่อไปอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจัยฐานที่สูงของปีก่อน
  • สำหรับประเทศไทย เงินเฟ้อที่ปรับลดลงกว่าที่ตลาดคาดมาก ทำให้ความจำเป็นในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยมีน้อยลง และทำให้บาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
  • SET มีแนวรับเชิงจิตวิทยาที่ 1,600 จุด โดยตลาดยังกังวลการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก 

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อน โดยปรับดีขึ้นในต้นสัปดาห์จากตัวเลข Service PMI ของสหรัฐฯ วันศุกร์ก่อนหน้าที่ออกมาดี โดยขึ้นมาอยู่ระดับ 50.6 สูงสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ดัชนี ISM Service ก็ยังอยู่ในระดับสูงที่ 55.1 สูงกว่านักเศรษฐศาสตร์คาดที่ 54.3 อย่างไรก็ตาม ตลาดกลับมาปรับลดลงจากสาเหตุหลักดังนี้ 

 

  1. ถ้อยแถลงประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อรัฐสภาที่ไม่ปิดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย 50% หากความเสี่ยงเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ย 50% ไปสู่ 5-5.25% ในการประชุมวันที่ 22 มีนาคมพุ่งขึ้นสู่ระดับ 78% 

 

  1. ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ช่วงกลางสัปดาห์ออกมาดีต่อเนื่อง โดยตำแหน่งงานเปิดใหม่ (JOLTS) ในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 10.8 ล้านตำแหน่ง ลดลงจากเดือนก่อนที่ 11.2 ล้านตำแหน่ง แต่สูงกว่าตลาดคาดที่ 10.5 ล้านตำแหน่ง และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Report) ที่จ้างงานเพิ่ม 2.42 แสนตำแหน่ง สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดที่ 2 แสนตำแหน่ง โดยสาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มสูงสุดได้แก่ สันทนาการ และบริการการเงิน ส่วนภาคการผลิตและก่อสร้างขยายตัวต่ำหรือหดตัวลง 

 

  1. ตัวเลขส่งออกและนำเข้าของจีนเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยส่งออกหดตัว -6.8% ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 9% ขณะที่นำเข้าหดตัวที่ -10.2% มากกว่าเดือนธันวาคมที่ -7.5% และตลาดคาดที่ -5.5% โดยแม้ว่านำเข้าที่หดตัวมากเป็นผลจากราคาโภคภัณฑ์ที่ลดลงและดอลลาร์แข็งค่า มากกว่าความต้องการในประเทศที่ลดลง แต่ก็บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนยังคงเปราะบาง จากความเชื่อมั่นที่อยู่ระดับต่ำและรายได้ที่หายไป 

 

  1. จีนขยายอำนาจให้แก่กระทรวงสำคัญ พร้อมจัดตั้งสำนักงานใหม่ เพื่อให้เข้ามากำกับดูแลข้อมูลสำคัญ ซึ่งถือเป็นการยกเครื่องการกำกับดูแลภาคเทคโนโลยีครั้งใหญ่ของประเทศ และมุ่งพัฒนาเทคโนโลยียุทธศาสตร์ เช่น AI และเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น

 

“สัปดาห์นี้ตลาดปรับตัวเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน โดยปรับดีขึ้นในต้นสัปดาห์จากตัวเลข Service PMI ของสหรัฐฯ วันศุกร์ก่อนหน้าที่ออกมาดี โดยขึ้นมาอยู่ระดับ 50.6 สูงสุดในรอบ 6 เดือน อย่างไรก็ตาม ตลาดผันผวนมากขึ้นหลังถ้อยแถลงประธาน Fed ต่อรัฐสภาที่ไม่ปิดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย 50 bps หากความเสี่ยงเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางตัวเลขตลาดแรงงานที่ดี เช่น ตำแหน่งงานเปิดใหม่ (JOLTS) และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ADP Report)” 

 

ความเชื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ‘เพิ่มขึ้น’

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ หรือ InnovestX มองว่า การที่ประธาน Fed ส่งสัญญาณที่พร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงและยาวนานขึ้น เป็นผลจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดูดีกว่าคาดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราว่างงาน รวมถึงตัวเลขล่าสุด เช่น ตำแหน่งงานเปิดใหม่ และการจ้างงานภาคเอกชน รวมถึงตัวเลข PMI โดยเฉพาะภาคบริการ ด้านตัวเลขเงินเฟ้อจาก Core PCE ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเงินเฟ้อ CPI ที่ลดลงน้อยกว่าคาด ก็มีผลทำให้ประธาน Fed ส่งสัญญาณดังกล่าวเช่นเดียวกัน ทำให้ความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ย 50% ในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

 

อย่างไรก็ตาม InnovestX มองว่าตลาดคงต้องติดตามตัวเลขการจ้างงาน รวมถึงเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้อย่างใกล้ชิด โดยมองว่าเป็นไปได้ที่เงินเฟ้อ (เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) ในระยะต่อไปอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจัยฐานที่สูงของปีก่อน โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้มากขึ้นว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 22 มีนาคมที่ 50%

 

ทั้งนี้ InnovestX เชื่อว่าสัญญาณจากธนาคารกลางในระยะต่อไปจะสับสนขึ้น เนื่องจากมีสมาชิกคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) บางส่วนไม่เห็นด้วยกับการขึ้นในระดับ 50% ซึ่งสัญญาณที่แตกต่างกันระหว่างคณะกรรมการอาจทำให้ตลาดการเงินผันผวนมากขึ้นในระยะถัดไป 

 

ในส่วนของไทย เงินเฟ้อที่ปรับลดลงกว่าที่ตลาดคาดมาก และองค์ประกอบภายในก็ลดลงด้วยเช่นกัน ทำให้ความจำเป็นในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยมีน้อยลง และทำให้บาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่อง

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวในกรอบแคบ หลังขาดปัจจัยหนุน และตลาดยังโฟกัสไปที่เศรษฐกิจมหภาค โดยกังวลการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก 

 

ทั้งนี้ สัปดาห์นี้มีปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การประกาศตัวเลข CPI (เงินเฟ้อ) และ PPI ของสหรัฐฯ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ ‘Selective Buy’ ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเน้นรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ดังนี้

  1. หุ้นที่น่าสนใจลงทุน หาก SET หลุดแนวรับเชิงจิตวิทยาแถว 1,600 จุด โดยในแง่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาหุ้นปรับลงแรง YTD และแย่กว่า SET เลือก PTTEP, HMPRO, CPALL, SCGP, GULF
  2. หุ้นที่คาดผลบวกเชิงจิตวิทยาและอานิสงส์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเลือกตั้ง เลือกกลุ่มสื่อ BEC, MAJOR และกลุ่มค้าปลีก CPN
  1. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี โดยเน้นจ่ายปันผลต่อเนื่อง 20 ปีขึ้นไป คาดให้ Div. Yield

(หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) ปี 2565 สูงเกิน 4% และปี 2566 คาด Div. Yield ดีขึ้นหรือใกล้เคียงเดิม อีกทั้งปี 2566 ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside เกิน 10% เลือก KTB และ AP

 

ช่วงสั้น หุ้นแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงราคาปรับตัวลง หรือ Underperform ตลาด ดังนี้ 

  1. หุ้นที่โดนปรับลดประมาณการกำไร (Downgrade) หรือหุ้นที่ราคามี Downside หรือหุ้นที่มีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ ได้แก่ AEONTS, BEM, SAWAD, TCAP, TIDLOR, TLI, TTB, MST, MTC, TQM
  2. หุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 คาดยังหดตัวต่อ YoY และ QoQ ได้แก่ GFPT, CPF, BTS, ASP

 

เหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้

  1. ตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภคสหรัฐฯ โดยตลาดคาดจะชะลอลงมาอยู่ที่ 6.2% (InnovestX คาด 6.1%) จาก 6.5% ในเดือนมกราคม 
  2. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีน เช่น ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนสินทรัพย์ถาวรว่าจะปรับเพิ่มขึ้นตาม PMI หรือไม่ (โดยเฉพาะยอดค้าปลีกที่น่าจะกลับมาขยายตัว) 
  3. ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ว่าจะยังขยายตัวดีต่อจากเดือนก่อนที่ +3.0%
  4. การประชุมนโยบายการเงินของ ECB ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 50 bps สู่ 3% หรือไม่

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: SCGP - จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ 1Q66

สัปดาห์นี้ InnovestX เลือกแนะนำ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP เนื่องจาก 5 เหตุผลหลัก ดังนี้

  • ดำเนินธุรกิจถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) เพื่อให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่ออิงส่วนแบ่งตลาดจากยอดขายที่ 36%
  • มองผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 4Q65 และ 1Q66 คาดกำไรจะฟื้นตัวดีขึ้น QoQ แรงหนุนจากการรับรู้ต้นทุน RCP ระดับต่ำ และมีปริมาณการขายที่ดีขึ้น (หลังอุปสงค์ในอาเซียนฟื้นตัวและส่งออกไปจีนมากขึ้น) ขณะที่ต้นทุนพลังงานคาดจะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ
  • ปี 2566 คาดกำไรปกติจะอยู่ที่ 7.045 พันล้านบาท พลิกกลับมาเติบโต 22%YoY จากการรับรู้ต้นทุน RCP ระดับต่ำใน 1H66 (ปรับตัวตามหลัง Spot Price อยู่ 4-5 เดือน) และปริมาณการขายที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นใน 1H66 โดยจะปรับตัวเพิ่มมากขึ้นใน 2H66 จากจีนเปิดประเทศ
  • ราคาหุ้น SCGP ลดลง 7.5%YTD แย่กว่า SET ที่ลดลง 3.4%YTD ซึ่งคาดสะท้อนผลการดำเนินงาน 4Q65 ที่แย่กว่าตลาดคาดแล้ว และมองถัดจากนี้ราคาหุ้นมีโอกาสเข้าสู่โหมดฟื้นตัวสอดคล้องไปกับกำไรที่จะดีขึ้นตั้งแต่ 1Q66 จากต้นทุนที่ลดลงและมีปริมาณการขายที่ดีขึ้น
  • InnovestX ประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 65 บาท และมีเงินปันผลจ่ายจากกำไร 2H65 อีกหุ้นละ 0.35 บาท (XD 4 เมษายนนี้) คิดเป็น Div. Yield ราว 0.67%

 

Asset Allocation Strategy

เงินเฟ้อสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนว่า Fed จะดำเนินนโยบายที่เข้มงวดได้อีกมากน้อยเพียงใด กลับมาเป็นประเด็นที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดอีกครั้ง โดยแม้ว่า InnovestX จะมองว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางขาลงตลอดช่วงที่เหลือของปี แต่เนื่องด้วยตลาดแรงงานในภาคบริการยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ต้นทุนค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับสูง จึงอาจมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวช้ากว่าที่คาด และเป็นปัจจัยกดดันความคาดหวังของตลาดที่มีต่อระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ซึ่ง InnovestX มองว่าความกังวลเงินเฟ้อและนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดทางฝั่งสหรัฐฯ จะยังเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมการลงทุนในระยะนี้

 

ดังนั้นในภาพรวม InnovestX จึงยังคงแนะนำถือครองสภาพคล่องไว้ในระดับสูง สำหรับอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาวของสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ในระยะสั้น แต่ยังมีแนวโน้มอยู่ในทิศทางขาลง จึงยังคงแนะนำสะสมเพิ่มเติมได้ ในขณะที่ยังให้หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ US High Yield เพื่อลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าตลาดคาด

 

สำหรับการลงทุนในหุ้น InnovestX ยังคงมีมุมมองเป็นลบต่อตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว โดยแนะนำให้เน้นเลือกลงทุนในหุ้นคุณภาพที่มีศักยภาพในการรักษาระดับการทำกำไรได้ดีในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว InnovestX คงมุมมองบวกกับหุ้นเอเชียและจีน เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตได้ดีกว่าตลาดพัฒนาแล้ว โดยได้อานิสงส์หลักจากการเปิดประเทศของจีนที่จะช่วยหนุนการบริโภคและการท่องเที่ยว มองการย่อลงของตลาดเป็นโอกาสเข้าสะสมเพิ่มเติม

 

ด้านตราสารทางเลือก InnovestX ยังคงมุมมองเป็นกลางต่ออสังหาริมทรัพย์ / REIT แต่มีมุมมองบวกกับ TH REIT ซึ่งอัตราเงินปันผลมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 

 

ในส่วนของทองคำ InnovestX ยังคงมุมมองเป็นกลาง โดยมองว่ามีแนวโน้มถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ InnovestX คงมุมมองเป็นกลาง มองราคาพลังงานเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางแม้มีการเปิดเมืองของจีนเข้ามาช่วยหนุน

 

มุมมองการลงทุนต่อตลาดต่างๆ โดย SCB CIO

 

สภาพคล่อง / เงินสด

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

เรามีมุมมองเป็น Neutral ต่อสินทรัพย์สภาพคล่อง / เงินสด เนื่องจากความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลง อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์เสี่ยงยังคงถูกปัจจัยกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงอย่างช้าๆ และยังอยู่ในระดับสูง Bond Yield ที่ยังคงปรับเพิ่มสูงขึ้น และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังน่ากังวล

 

 

พันธบัตรรัฐบาลไทยและต่างประเทศ

 

 

ความน่าสนใจระดับ 4

UST Yield มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงสั้น หลังถ้อยแถลงล่าสุดของประธาน Fed ค่อนข้าง Hawkish แต่คาดว่า Bond Yield จะเริ่มลดลงหลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ในส่วน TH10YY ทรงตัวหลังต่างชาติกลับเข้าซื้อในต้นเดือนมีนาคม ระยะต่อไปอาจเคลื่อนไหวตาม US แต่ในอัตราที่น้อยกว่า เนื่องจากเงินเฟ้อไทยที่ลดลงเร็วกว่า US

 

 

หุ้นกู้ไทยและต่างประเทศ

 

 

ความน่าสนใจระดับ 4

เราคาดว่า Spread ของ US IG มีแนวโน้มทรงตัวตามโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น แม้ว่าความผันผวนของดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นก็ตาม สำหรับ IG TH Yield ค่อนข้างทรงตัวต่ำตาม Gov’t Yield และ Corporate Spread ที่ทรงตัวต่ำ โดยเฉพาะอายุ < 3Y นอกจากนี้กลุ่ม BBB Spread ปรับลดลงมาใกล้ก่อนโควิด

 

แม้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยลดลง ผ่อนคลายแรงกดดันที่มีต่อหุ้นกู้ HY แต่ความผันผวนของตลาดการเงินและค่าเงินยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันตลาดพันธบัตรและหุ้นกู้โดยเฉพาะ HY ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงยาวนาน ส่งผลลบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่ม HY ในบางกลุ่ม เช่น อสังหาในเวียดนาม

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

ตลาดฯ มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากการคาดการณ์ผลประกอบการ บจ.สหรัฐฯ ปี 2566 ที่ยังมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการลงต่อ ท่ามกลางต้นทุนที่ยังสูง รวมทั้งผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีธุรกิจ แม้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยลดลง ขณะที่ Valuation ของตลาดฯ มีแนวโน้มถูกกดดันจาก UST Yield ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

 

ตลาดหุ้นยุโรป

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

Fund Flow ที่ไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป จากการที่ Valuation ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ หนุนตลาดหุ้นยุโรป อย่างไรก็ตาม นโยบายการเงินที่ยังคงมีแนวโน้มตึงตัว ในขณะที่ค่าแรงในยุโรปยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จะเป็นตัวกดดันแนวโน้มอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

แนวโน้มการเริ่มเปลี่ยนผ่านนโยบายการเงินของ BOJ และทิศทางของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว มีแนวโน้มส่งผลกดดันให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นผันผวนในช่วงสั้น อย่างไรก็ดี Valuation ที่อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศตามการเปิดเมือง จะช่วยจำกัด Downside ให้กับตลาดฯ

 

ตลาดหุ้นจีน A-Share

 

 

ความน่าสนใจระดับ 5

ดัชนีฯ มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากการเปิดเมือง มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน

/ การคลัง มาตรการเยียวยาภาคอสังหา โดยเฉพาะในการประชุม NPC ที่จะสิ้นสุดวันที่ 13 มีนาคม รวมถึง Sentiment รายย่อยจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัว ประกอบกับดัชนีฯ ที่ Laggard เมื่อเทียบกับฝั่ง Offshore และ EPS ของดัชนีฯ ที่มีแนวโน้มถูกปรับขึ้น

 

ตลาดหุ้นจีน H-Share

 

 

ความน่าสนใจระดับ 5

ดัชนีฯ ยังมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากแนวโน้มการเปิดเมืองของจีน ความเสี่ยงการเพิกถอน บจ.จีน จากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ลดลง และการคุมเข้มด้านกฎระเบียบกับกลุ่ม Platform ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ ยังมีแนวโน้มเผชิญความผันผวนจากข้อพิพาทกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเทคโนโลยีและความมั่นคงของประเทศ

 

ตลาดหุ้นไทย

 

 

ความน่าสนใจระดับ 4

แม้ตลาดเผชิญแรงเทขายของต่างชาติท่ามกลาง GDP และ Earning ใน 4Q65 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด แต่ใน 2H66 ตลาดได้แรงบวกจากท่องเที่ยวที่หนุนกำลังซื้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดีต่อ EPS ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เน้นตลาดในประเทศและเกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยว ขณะที่ Valuation หุ้นไทยยังน่าลงทุน

 

ตลาดหุ้นเวียดนาม

 

 

ความน่าสนใจระดับ 2

ความกังวลบนตลาดหุ้นกู้ภาคอสังหายังคงอยู่ แม้รัฐบาลจะอนุมัติกฎหมายใหม่เพื่อหวังช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ โดยเรามองว่าโอกาสที่จะลุกลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจยังมีค่อนข้างน้อย แต่ด้วยสัดส่วนน้ำหนักหุ้นกลุ่มอสังหาและกลุ่มธนาคารรวมกันอยู่ที่ 57% ของดัชนีฯ ทำให้ดัชนีฯ ยังถูกกดดันในระยะสั้น

 

ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เริ่มปรับลดลง สะท้อนถึงภาคการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังฟื้นตัวอ่อนแอ โดยดัชนีมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากการขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มถ่านหิน รวมถึงการคาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปีนี้ที่ไม่น่าดึงดูดเท่ากับกลุ่ม ASEAN โดยเศรษฐกิจอินโดฯ ได้รับประโยชน์จากจีนเปิดเมืองที่น้อยกว่า

 

ทองคำ

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มผันผวน หลังจากที่ Fed กลับมาส่งสัญญาณว่ายังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ส่งผลให้ตลาดยังคงปรับคาดการณ์ Terminal Rate ของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ สูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ

 

น้ำมัน

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

อุปทานจากรัสเซียปรับตัวลดลงช้ากว่าคาด ส่งผลให้สมดุลในตลาดน้ำมันยังคงเป็นอุปทานส่วนเกินช่วง 1H66 ในขณะที่ Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง มีแนวโน้มกลับมากดดัน Sentiment บนความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจถดถอยอีกครั้ง ซึ่งจะสร้างความผันผวนให้แก่น้ำมันในช่วงสั้น

 

REITs ประเทศพัฒนาแล้ว

 

 

ความน่าสนใจระดับ 3

แรงกดดันจาก Bond Yield อาจเริ่มกลับมา หลัง Fed มีท่าที Pause ดอกเบี้ยช้าออกไป แต่เราคาดว่าการ Pause ดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นใน 2H66 ซึ่งจะลดแรงกดดันต่อ REITs ลงมาได้ในช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม US ที่ฟื้นมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิดทำให้ความน่าสนใจลดลง ขณะที่ญี่ปุ่นยังถูกกดดันจากนโยบายการเงินของ BOJ

 

REITs เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น)

 

 

ความน่าสนใจระดับ 4

จีนเปิดเมือง / ประเทศ หนุนท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในเอเชีย ดีต่อรีเทลและโรงแรม ซึ่งเอเชียมีอัตราเงินปันผลที่ดีขึ้นและสูงกว่า DM ขณะที่ 2H66 แรงฉุดจาก Bond Yield จะลดลง (โดยเฉพาะ Fed Pause ที่กำลังจะเกิดขึ้น แม้มีความเสี่ยงที่อาจถูกเลื่อนออกไปช้าลง) จึงเป็นจังหวะเข้าสะสมช่วง Bond Yield เร่งตัวในระยะสั้น

 

Private Asset

 

 

ความน่าสนใจระดับ 2

Slightly negative on Private Equity & Private Real Estate; Neutral on Private Debt: ดอกเบี้ยในระดับสูง มีแนวโน้มส่งผลกระทบ Valuation ของบริษัทในกองทุน Private Equity และราคาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่จะเป็นผลลบต่อ Private Real Estate สำหรับกองที่ลงทุนด้วยสกุลเงินต่างประเทศ แนะนำให้ป้องกันความเสี่ยง FX เนื่องจากเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าในปี 2566

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

อีเมลนี้ถูกใช้สมัครสมาชิกเข้ามาในระบบแล้ว

กรุณาตรวจสอบกล่องจดหมายในอีเมลที่ใช้สร้างบัญชีกับ
The STANDARD จากนั้นทำการยืนยันอีเมลของคุณ

หากค้นหาไม่พบอีเมลที่กล่องจดหมายเข้า (inbox)
กรุณาตรวจสอบที่กล่องจดหมายขยะ (junk mail)

... • 13 มี.ค. 2023

READ MORE



Latest Stories