THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

ตลาดเงินโลกส่อเค้าปั่นป่วนยาว 1-3 เดือน จาก 2 ปัจจัยลบ Fed และโอไมครอน เตือนนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง

... • 13 ธ.ค. 2021

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • ทั่วโลกจับตาผลประชุม Fed สัปดาห์นี้ ส่อลดขนาด QE เร็วขึ้น คาด BOE อาจเป็นธนาคารกลางแห่งแรกที่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
  • SCBS ประเมินการแพร่ระบาดของโอไมครอน และการลดขนาด QE ที่เร็วขึ้น จะเป็นประเด็นสำคัญที่สร้างความผันผวนในตลาดเงินช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า 
  • คาดผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่ ขณะที่มาตรการล็อกดาวน์ในประเทศจะถูกนำกลับมาใช้ หากมีผู้ป่วยเกินกำลังของโรงพยาบาล 

ตลาดการเงินลดความกลัวต่อโอไมครอนลงอย่างรวดเร็ว หลังจากเชื่อว่าผู้ติดเชื้ออาการไม่รุนแรง และวัคซีนยังคงช่วยได้แม้ประสิทธิภาพอาจลดลง แต่ถูกชดเชยได้ด้วยการฉีดเพิ่ม 

 

ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ (SCBS) ประเมินว่า การที่ตลาดคลายความกังวลจากประเด็นประสิทธิภาพของวัคซีน ที่ทาง Pfizer และ BioNTech กล่าวว่าการฉีดวัคซีน 3 เข็ม หรือ Booster Dose จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันโอไมครอนเพิ่มขึ้นนั้น อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังในประเด็นดังกล่าว เนื่องจากผลดังกล่าวเป็นการทดสอบเบื้องต้น โดยประสิทธิภาพการป้องกันไม่สูงนักที่ประมาณ 58% นอกจากนี้ยังทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาการขาดแคลนซัพพลายของวัคซีนรอบใหม่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (EM)   

 

ประเด็นที่ต้องติดตามหลังจากนี้ 

การประชุมของธนาคารกลางหลัก อันได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ว่าจะมีการส่งสัญญาณการตึงตัวนโยบายการเงินหรือไม่ ท่ามกลางสัญญาณจาก Fed ที่จะเลื่อนการทำ QE Tapering ให้รวดเร็วขึ้น และ BOE ที่อาจเป็นธนาคารกลางแห่งแรกที่ขึ้นดอกเบี้ย

 

SCBS เชื่อว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่ ในขณะที่มาตรการล็อกดาวน์ในประเทศจะถูกนำกลับมาใช้เมื่อมีจำนวนผู้ป่วยเกินกำลังของโรงพยาบาล 

 

นอกจากนี้ SCBS ยังประเมินด้วยว่าโอไมครอน และ การยุติ QE เร็วกว่าเดิม จะเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง และใช้จังหวะของตลาดที่ลดลงในการซื้อสะสมเพื่อการลงทุน โดยยังคงเน้นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดพัฒนาแล้ว (DM) จะกลับมาน่าสนใจมากกว่าตลาดเกิดใหม่ (EM) ในช่วงที่เกิดความเสี่ยงการระบาดรอบใหม่ของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเดลตาหรือโอไมครอน 

 

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.3% โดย EM +1.3% และ DM +3.6% ซึ่งตลาดคลายความกังวลต่อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่วัคซีนสามารถยับยั้งการติดเชื้อได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนั้นความรุนแรงของโรคค่อนข้างต่ำจนทำให้ความกังวลเรื่องล็อกดาวน์ลดน้อยลง นอกจากนั้นความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและห่วงโซ่อุปทานเริ่มลดน้อยลง

 

แนวโน้มตลาดหุ้นโลก ตลาดตอบสนองเชิงบวกต่อประเด็นวัคซีนและความรุนแรงของโอไมครอนค่อนข้างรวดเร็ว และกลับมายืนจุดเดิมก่อนกังวลเรื่องโอไมครอน ทำให้เรามองว่า Upside จากความแตกต่างด้านราคานั้นมีจำกัด แต่ Downside ของโอไมครอนที่มีแนวโน้มระบาดได้เร็วยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อเนื่อง

 

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย คาดว่า Upside เริ่มจำกัดหลัง SET Index ฟื้นตัวเร็ว ทั้งนี้ SET Index จะมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,630 จุด ทั้งนี้ หุ้นในธีม Reopening ยังคงเป็นหุ้นที่มีความผันผวนสูงจากแรงเก็งกำไร 

 

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น แนะนำเริ่มซื้อ 25% ของพอร์ต สำหรับหุ้น Global Reopening เช่น MINT, CRC, AOT, TOP และ 25% สำหรับหุ้น Blue Chip ที่ราคายังคงไม่แพง ได้แก่ KBANK, GPSC, INTUCH, SPALI  

 

การประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญในสัปดาห์นี้ 

  • การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ Fed โดยจับตาการปรับลดวงเงิน QE รวมถึงการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
  • การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ECB ซึ่งต้องติดตามการประกาศยุติมาตรการ PEPP และการออกมาตรการอื่นเพิ่มเติม
  • การอนุมัติปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ก่อนวันที่ 15 ธันวาคม

 

CRC หุ้นเด่นประจำสัปดาห์-ผลงานเริ่มฟื้นและกังวลโอไมครอนลดลง

สัปดาห์นี้ SCBS เลือกแนะนำ บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

 

  • เป็น Holding Company ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย โดยจัดเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่สุดในไทย และอันดับ 3 ในเวียดนาม รวมทั้งเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่สุดในอิตาลี
  • คาดพ้นจุดต่ำสุดปีนี้ไปแล้วใน 3Q21 โดย 4Q21 คาดผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นหลังมาตรการล็อกดาวน์ในไทยและเวียดนามผ่อนคลายลง สะท้อนได้จาก 4Q21TD ยอดขายสาขาเดิมกลับมาเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวในทุกประเทศแล้ว 
  • เป็นหุ้น Global Reopening ที่น่าสนใจ โดยคาดผลประกอบการจะพลิกมามีกำไรในปี 2022 และเราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 41 บาท 

 

มุมมองการลงทุนต่อตลาดต่างๆ โดย SCB CIO

 

 

ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว

ความน่าสนใจระดับ 4

 

ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว โดยรวมยังได้รับแรงหนุนจากการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย และความคืบหน้าการฉีดวัคซีน ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดีกว่าคาดการณ์ค่อนข้างโดดเด่น 

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น จากความกังวลผลกระทบการระบาดโควิดสายพันธ์ุโอไมครอนต่อเศรษฐกิจ แรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น จากปัญหาอุปทานขาดแคลน และแนวโน้มการทยอยปรับลดวงเงิน QE ของ Fed 

 

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ความน่าสนใจระดับ 4

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนจากการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งตลาดกำลังรอประเมินผลการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ต่อสายพันธุ์ใหม่นี้จากบรรดาบริษัทวัคซีนชั้นนำอื่นๆ เช่น Moderna และ AstraZeneca หลังจากที่ Pfizer ได้เผยผลการทดลองเบื้องต้นเป็นที่น่าพอใจ 

 

ขณะที่ตลาดยังรอประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ภายหลังจากที่หลายประเทศรีบดำเนินการปิดเมืองค่อนข้างเร็วเพื่อคุมการระบาด อย่างไรก็ดี แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่ได้อานิสงส์จากความกังวลโควิดที่ยังมีอยู่ และแนะนำกลุ่ม Healthcare ในขณะที่หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่ม Reopening / Travel 

 

กองทุนแนะนำ

 

 

  • SCB Global Experts Fund

กองทุน SCBGEX(A) เป็นกองทุนหุ้นทั่วโลกที่ลงทุนในสไตล์ Core-Satellite Portfolio คัดเลือกกองทุนโดยบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ โดยกองทุนหลัก (Core) ลงทุนในกองทุน Julius Baer Global Excellence Equity เน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพ เติบโต และกำไรสูง และกองทุนเสริม (Satellite) ในหุ้นธีมเมกะเทรนด์หลักของโลก

 

 

ตลาดหุ้นยุโรป

ความน่าสนใจระดับ 4

ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด ขณะที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปทยอยออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดมากขึ้น 

 

อย่างไรก็ดี ปัญหาฝั่งอุปทานเริ่มดูบรรเทาลง ขณะที่ภาคธุรกิจเริ่มสร้างสินค้าคงคลังได้ ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อและงบดุลของภาคธุรกิจมีแนวโน้มปรับดีขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ECB ยังผ่อนคลายนโยบายการเงินและมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยช้ากว่ากลุ่มประเทศอื่น โดยเราแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Growth เป็นหลัก

 

กองทุนแนะนำ

 

 

  • Krungsri Europe Equity Hedged Fund

กองทุน KFHEUROP-A ลงทุนในกองทุน Allianz Europe Equity Growth Fund ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นยุโรปที่คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตสูง ซึ่งผู้จัดการกองทุนหลักมีความสามารถในการคัดเลือกหุ้น รวมทั้งผลการดำเนินงานย้อนหลังโดดเด่น ปัจจุบันเน้นลงทุนในกลุ่ม Technology และ Industrial

 

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ความน่าสนใจระดับ 4

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังมี Valuation ถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น DM อื่น มองภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเข้าสู่ช่วง Peak Growth และ Peak Earning ใน 4Q21 เราประเมินผลกระทบต่อการปิดรับการเดินทางเข้าของชาวต่างชาติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดส่งผลลบต่อตลาดเพียงช่วงสั้น แต่จะส่งผลบวกในระยะกลาง เนื่องจากญี่ปุ่นมีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงมากกว่าและติดเชื้อต่ำกว่ากลุ่มประเทศ DM อื่นอยู่แล้ว ในขณะที่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ยังเดินหน้า และ BOJ พร้อมผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม 

 

 

ตลาดหุ้นจีน H-Share

ความน่าสนใจระดับ 3

 

หุ้นจีน H-Share อยู่ในระดับที่ไม่แพง เมื่อเทียบกับต้นปี และเมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นโลก และดัชนีหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่ม Internet Platform ประกอบกับทางการจีนมีแนวโน้มออกมาตรการคุมเข้มเฉพาะจุดมากขึ้น แทนที่จะเป็นวงกว้างเหมือนในช่วง 6 เดือนก่อน จึงทำให้กลุ่มฯ มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น 

 

ประกอบกับกลุ่มฯ ยังได้รับอานิสงส์บางส่วนจากการระบาดของโอไมครอน อย่างไรก็ตาม EPS ใน 4Q21 ของบจ.จีน Offshore ที่มีแนวโน้มขยายตัวปานกลาง จากผลกระทบมาตรการคุมเข้มด้านกฎระเบียบที่ยังมีอยู่ อาจกดดันการฟื้นตัวของดัชนีหุ้นจีน Offshore ในภาพรวม

 

 

ตลาดหุ้นจีน A-Share

ความน่าสนใจระดับ 3

 

หุ้นจีน A-Share มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากการที่ทางการจีนอาจจะออกมาตรการต่างๆ เพื่อจำกัดความเสี่ยงขาลงของเศรษฐกิจ เห็นได้จากการที่ PBOC ปรับลด RRR ลง 0.5% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 15 ธันวาคม ขณะที่ทางการยังมีแนวโน้มส่งสัญญาณผ่อนคลายด้านนโยบายต่อ ในช่วงการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจสำหรับปีหน้า ช่วงกลางเดือนนี้ 

 

นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นมีแนวโน้มเร่งออกพันธบัตรท้องถิ่นพิเศษ เพื่อใช้จ่ายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้จนถึงต้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม การที่ทางการจีนยังมีแนวโน้มคงมาตรการคุมการระบาด อาจกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคบริโภค

 

 

ตลาดหุ้นไทย

ความน่าสนใจระดับ 3

 

การผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดจะสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ โดยเรามองเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มการฟื้นตัวต่อ สำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวยังถูกกดดันจากการแพร่ระบาดในยุโรป และสายพันธุ์โอไมครอน ขณะที่ Valuation หุ้นไทยยังคงตึงตัว ทำให้การเติบโตของหุ้นไทยยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงหลังเปิดประเทศ จะช่วยหนุนหุ้นไทยให้มีความตึงตัวได้น้อยลง

 

 

ตลาดหุ้นเวียดนาม

ความน่าสนใจระดับ 4

 

ตลาดหุ้นเวียดนาม แม้ว่าตัวเลขผู้ติดโควิดในเวียดนามจะทยอยเพิ่มสูงขึ้น นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ทางการเวียดนามเริ่มเปิดประเทศบางส่วนให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดส แต่เราคาดว่าโอกาสที่จะเกิด Full Lockdown ค่อนข้างต่ำมาก 

 

ทั้งนี้ เราคาดว่า GDP เวียดนาม ปี 2022 จะสามารถบรรลุเป้าของทางการที่วางไว้ 6-6.5% และคาดว่า EPS Growth ของดัชนีหุ้นเวียดนามจะโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาค โดย Consensus คาด EPS Growth ของ VN-Index ในปี 2022 จะ +25%YoY ขณะที่การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่สูง และความเชื่อมั่นนักลงทุนรายย่อยที่ยังฟื้นตัวจะช่วยหนุนตลาดในระยะถัดไป

 

กองทุนแนะนำ 

 

 

  • Principal Vietnam Equity Fund

กองทุนลงทุนในหุ้นเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตสูงในอนาคต โดยทางผู้จัดการกองทุนคัดสรรหุ้นเวียดนามด้วยตนเอง และคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวให้สูงกว่าดัชนี VN30 Total Return

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

อีเมลนี้ถูกใช้สมัครสมาชิกเข้ามาในระบบแล้ว

กรุณาตรวจสอบกล่องจดหมายในอีเมลที่ใช้สร้างบัญชีกับ
The STANDARD จากนั้นทำการยืนยันอีเมลของคุณ

หากค้นหาไม่พบอีเมลที่กล่องจดหมายเข้า (inbox)
กรุณาตรวจสอบที่กล่องจดหมายขยะ (junk mail)

... • 13 ธ.ค. 2021

READ MORE



Latest Stories