THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
ส่องโลกการเงินปี 2026 ยุค ‘Great Divergence’ เมื่อ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยไปกลางปี สวนทาง ธปท. จ่อหั่น 2 รอบ รับมือตลาดแรงงานอ่อนแอและเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

ส่องโลกการเงินปี 2026 ยุค ‘Great Divergence’ เมื่อ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยไปกลางปี สวนทาง ธปท. จ่อหั่น 2 รอบ รับมือตลาดแรงงานอ่อนแอและเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

... • 29 ธ.ค. 2025

HIGHLIGHTS

  • GDP สหรัฐฯ พุ่งสูงสุดในรอบ 2 ปี แต่สัญญาณ ‘เปราะบางภายใน’ เริ่มชัด แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 3/2025 โตแกร่งถึง 4.3% แต่ในภาพรวมกลับมีความย้อนแย้ง โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคดิ่งต่ำสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ท่ามกลางภาวะ Government Shutdown ที่ยาวนานที่สุดและการจ้างงานที่อ่อนแอลง ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 อาจชะลอตัวลงแรง
  • ‘สงครามชิป’ คลายล็อกชั่วคราว และอสังหาจีนหายใจคล่องขึ้น สหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีเซมิคอนดักเตอร์จากจีนไปถึงกลางปี 2027 เพื่อลดความตึงเครียดด้านซัพพลายเชน หนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฟื้นตัว
  • ยุค ‘Great Divergence’ มาถึงแล้ว เมื่อธนาคารกลางโลกแยกทางเดิน นโยบายการเงินปี 2026 จะเข้าสู่สภาวะทิศทางไม่ประสานกัน โดย Fed จ่อเลื่อนลดดอกเบี้ยไปเดือน มิ.ย. 2026 (เดิมคาด ม.ค.), BOJ เตรียมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสวนกระแสโลก ส่วนไทย มีการคาดการณ์ว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งจะกดดันให้เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวนหนักขึ้น

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้โดย S&P 500 ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงก่อนเข้าสู่วันหยุดเทศกาลคริสต์มาส หนุนโดย GDP สหรัฐฯ 3Q25 ออกมาขยายตัว 4.3% QoQ สูงกว่าตลาดคาดและสูงสุดในรอบ 2 ปี โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว 3.5% สูงกว่าตลาดคาด สะท้อนการใช้จ่ายด้านบริการที่แข็งแกร่ง เช่น การดูแลสุขภาพและการเดินทางระหว่างประเทศ ขณะที่การส่งออกสุทธิและการใช้จ่ายภาครัฐฯ ช่วยหนุนการเติบโตของ GDP ได้เช่นกัน สนับสนุนหุ้นในกลุ่มการเงินเพิ่มขึ้น 0.8%

 

อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. ลดลงสู่ 89.1 จุด จาก 92.9 จุด ต่ำสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5

 

นอกจากนั้น สหรัฐฯ ยังเลื่อนการบังคับใช้ภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากจีนไปถึงเดือน มิ.ย. 2027 สะท้อนความพยายามของสหรัฐฯ ในการลดความตึงเครียดกับจีนเพื่อลดเสี่ยงด้านซัพพลายเชน แต่จะต้องมีการจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลสหรัฐ 25% หนุนหุ้นกลุ่มเทคฯ แต่ยังต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาลจีนที่มีเป้าหมายมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อใช้เองในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาชิปนำเข้า ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคฯ ฟื้นตัว 0.5%

 

ตลาดหุ้น EM ปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน หนุนโดยการฟื้นตัวของตลาดเอเชียเหนือ ได้แก่ เกาหลีใต้ ไต้หวัน รวมถึงจีน โดยมีปัจจัยบวกจากภาคอสังหา ภายหลังจาก China Vanke ได้รับการขยายเวลาชำระหนี้จากผู้ถือหุ้นกู้ มูลค่า 2 พันล้านหยวน ทำให้สามารถเลี่ยงผิดนัดชำระได้ชั่วคราว

 

ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก แม้มูลค่าส่งออกไทยเดือน พ.ย. จะขยายตัว 7.1%YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาด แต่เร่งตัวขึ้นจาก 5.7% เดือนก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ตามวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าคอมพิวเตอร์และกระแส AI ราคาน้ำมันปรับขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ สหรัฐเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ

 

ดอกเบี้ยโลก ‘แยกทาง’

 

เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 4.3% ใน 3Q25 (QoQ SAAR) เร็วที่สุดในรอบ 2 ปี สูงกว่าคาด จากการบริโภค การลงทุนภาคธุรกิจ (โดยเฉพาะ AI data centers) รวมถึงการส่งออกสุทธิ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อ core PCE ยังคงสูงอยู่ที่ 2.9% ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงติดต่อกัน 5 เดือนและการปิดงานภาครัฐที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ประกอบกับตลาดแรงงานที่อ่อนแอลงและต้นทุนการครองชีพที่สูง ทำให้เราคาดว่าเศรษฐกิจใน 4Q25 จะชะลอตัวลงแรง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจอาจได้รับปัจจัยบวกจากการคืนภาษีในครึ่งปีแรก และ ความเป็นไปได้ที่ศาลฎีกาจะตัดสินยกเลิกมาตรการภาษีนำเข้าของ Trump

 

ในส่วนของนโยบายการเงินโลก เรามองว่าจะเข้าสู่ยุค ‘Great Divergence’ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลด 1 ครั้งในปี 2026 แต่เลื่อนจากการประชุมเดือนมกราคม เป็นการประชุมเดือนมิถุนายน 2026 ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปน่าจะคงดอกเบี้ยที่ 2.00% ตลอดปี 2026 เนื่องจากเงินเฟ้อใกล้เป้าหมาย ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีกว่าคาด

 

ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 1-2 ครั้งในปี 2026 เนื่องจากเงินเฟ้ออยู่เหนือเป้าหมาย 2% มาแล้ว 41 เดือนติดต่อกัน สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เราคาดว่าน่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนผันผวนขึ้น

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

1. หุ้น Defensive ซึ่งผลการดำเนินงานสามารถต้านทานความผันผวนภายนอก โดยเราคาด 4Q68 กำไรยังเติบโตดี YoY และแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดี แนะนำ ADVANC BDMS BEM BGRIM GULF PTT

 

2. หุ้นปันผลคุณภาพดีระยะยาว (กำไรแต่ละปีมั่นคง, ให้ Div. Yield เกิน 5%) แนะนำ AP DIF KTB PTT TISCO และหุ้นปันผลระยะสั้น 6 เดือน (กำไรปี 68 มั่นคง, ให้ Div. Yield เกิน 5%) แนะนำ BAM KBANK SAT THANI TLI

 

3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลงตามภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL

 

4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จาก January Effect โดยเน้นเลือกหุ้น SETHD และ sSET ซึ่งจากสถิติ 5 ปีล่าสุดพบให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงราว 1.5-2.0% ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังเปิดปีใหม่ด้วย Win Rate 80% แนะนำ KTB BBL AP THANI KBANK และ 2) หุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และ/หรือ ความคาดหวังเชิงบวกกจากเชื่อมโยงกับนโยบายของพรรคการเมือง เช่น กลุ่มพาณิชย์ (CPALL TNP), กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (GFPT CBG OSP), กลุ่มสินเชื่อ (SAWAD TIDLOR) และกลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL ERW)

 

“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,250-1,320 จุด โดยบรรยากาศลงทุนมีปัจจัยหนุนเชิงฤดูกาลจากแรงซื้อโค้งสุดท้ายปลายปีจากกองทุนลดหย่อนภาษี ThaiESG และการทำ Window Dressing อีกทั้งยังมีแรงหนุนจาก January Effect ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ช่วงสัปดาห์แรกของวันทำการหลังปีใหม่ SET จะปรับขึ้น โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยราว 1.3% ด้วย Win Rate 60% ขณะเดียวกันมองตลาดจะเริ่มให้น้ำหนักกับปัจจัยการเมืองในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองหลักซึ่งอาจส่งผลต่อความคาดหวังเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมและหุ้นที่เกี่ยวข้อง ส่วนปัจจัยภายนอกที่ต้องติดตาม ได้แก่ FOMC Minutes และข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐในเดือน ธ.ค. ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” สำหรับ 3 ธีมหลัก และ 2 ธีมเทรดดิ้ง” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์

 

ปัจจัยต้องติดตามช่วง 2 สัปดาห์จากนี้

 

1. นโยบายหาเสียงหลักของแต่ละพรรคการเมืองไทย โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ

 

2. ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ FOMC Minute, ตัวเลขตลาดแรงงาน ธ.ค. ของสหรัฐ และ ธปท. รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินไทยประจำเดือน

 

3. PMI จีนเดือน ธ.ค. ในวันที่ 31 ธ.ค.

 

4. Global PMI (F) เดือน ธ.ค. ในวันที่ 2, 5 และ 6 ม.ค.

 

5. เงินเฟ้อ ไทยเดือน ธ.ค. ในวันที่ 7 ม.ค.

 

6. ADP Employment Change สหรัฐฯ ธ.ค. และ JOLTS Job Openings สหรัฐฯ พ.ย. ในวันที่ 7 ม.ค.

 

7. Nonfarm Payrolls สหรัฐฯ ธ.ค. ในวันที่ 9 ม.ค.

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: CPALL - 4Q25 คาดกำไรโต YoY ดีสุดในกลุ่ม

 

แนะนำ บมจ. ซีพีออลล์ หรือ CPALL เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

 

  • เป็นผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกค้าส่งในไทย ซึ่งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งยังสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ดีภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและชะลอตัว
  • 4Q25 คาดเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในกลุ่มที่กำไรมีแนวโน้มเติบโต YoY แรงหนุนจากยอดขายธุรกิจ CVS แข็งแกร่ง และมาร์จิ้นธุรกิจ CVS กว้างขึ้น อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากการขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่เดือน ธ.ค. เป็นต้นไป ขณะที่กำไรที่คาดเติบโต QoQ เป็นผลจากปัจจัยฤดูกาล
  • เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินที่กำลังจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยซื้อขาย PER 2026F ที่ 13.1 เท่า (-2S.D) ขณะที่ปี 2026 คาดกำไรปกติเติบโต 11% ดีกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มพาณิชย์ที่คาดโต 8%
  • เราประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่หุ้นละ 58 บาท (อิงวิธี DCF) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 1.53 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 3.8%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

ภาพรวมการลงทุนในธีม AI และ Semiconductor ในช่วงปลายปี 2025 ยังคงอยู่ในช่วงขยายตัว นำโดยการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI และ Data Center ซึ่งสะท้อนผ่านอุปสงค์ชิปประมวลผลขั้นสูงและหน่วยความจำที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในเอเชียเหนือ (เกาหลีใต้และไต้หวัน) ในขณะที่ Nvidia เตรียมกลับมาส่งออกไปยังจีนและขยายเทคโนโลยีในตลาด AI Inference เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด ทั้งนี้เรามองการเติบโตของภาคเทคโนโลยียังคงเป็นแบบ กระจุกตัวในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Memory ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เราแนะลงทุนในผู้นำตลาดที่ยังมีอุปสงค์ มี Ecosystem และความสามารถในการทำกำไรด้าน AI ที่แข็งแกร่ง

 

1. การส่งออกของเกาหลีใต้ยังได้รับแรงหนุนหลักจากกลุ่ม Semiconductor ซึ่งสะท้อนอุปสงค์จาก Data Center และ AI ที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ยานยนต์ ยังคงเผชิญแรงกดดัน ภาพดังกล่าวสนับสนุนมุมมองเชิงบวกต่อธีม Memory และ Hardware ที่เกี่ยวข้องกับ AI Infrastructure ในระยะกลางถึงยาว

 

2. สหรัฐฯ ชะลอการจัดเก็บภาษีชิปจีนออกไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2027 ลดความเสี่ยงซัพพลายเชน เป็นการช่วยลดความไม่แน่นอนด้านต้นทุนและการจัดหาในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในกลุ่ม Legacy Semiconductor ส่งผลเชิงบวกต่อเสถียรภาพของซัพพลายเชนของกลุ่ม

 

3. NVIDIA เปิดเผยแผนการส่งมอบชิป H200 ไปยังตลาดจีนในช่วงต้นปี 2026 มีส่วนช่วยปลดล็อกข้อจำกัดด้านรายได้และการจัดการสินค้าคงคลัง ขณะเดียวกัน การขยายความร่วมมือเชิงเทคโนโลยีในตลาด AI Inference สะท้อนกลยุทธ์ของ NVIDIA ในการป้องกันความเสี่ยงจากการแข่งขันเชิงสถาปัตยกรรม และย้ำสถานะผู้นำในระบบนิเวศ AI ระยะยาว

 

สำหรับต้นปี 2026 เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อธีม AI และ Semiconductor โดยแนะ 3 กลุ่มหลักดังนี้ 1) ผู้นำตลาดที่มี Ecosystem แข็งแกร่ง และได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลงทุน AI Capex อย่าง NVDA MSFT AMZN GOOGL 2) กลุ่ม Memory ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับการเติบโตของ Data Center อย่าง MU SK Hynix Samsung Electronics และ 3) ผู้เล่นในซัพพลายเชนที่มีอำนาจการส่งผ่านต้นทุน และมีความยืดหยุ่นต่อความเสี่ยงเชิงนโยบาย อย่าง TSM และ ASML

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งรัสเซียและยูเครนที่ยังคงเดินหน้าโจมตีกัน และสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา แม้ Fed ที่ยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยต่อ อาจกดดันผลตอบแทนก็ตาม

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความกังวลหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯ ที่สูง ด้านตราสารหนี้ไทย เราคาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ในช่วง 1H2569 ส่งผลทำให้ Bond Yield ยังมีแนวโน้มลดลงต่อ ด้านผลการประชุม กนง. เดือน ธ.ค. ส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น โดยให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจ

 

U.S. Treasury & IG

 

แนะนำ UST และหุ้นกู้ US IG ระยะสั้น จากความหวังการลดดอกเบี้ยเพิ่มของ Fed หลัง Hassett ตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ เผย Fed ลดดอกเบี้ยล่าช้าเกินไป อย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงตราสารระยะยาว จาก Term Premium ที่เพิ่มขึ้น ตามความกังวลบนการคลังและบนความเป็นอิสระของ Fed

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY credit spread จะเพิ่มขึ้นจากระดับที่ค่อนข้างต่ำ ยังมีอยู่ แม้ GDP สหรัฐฯ ใน 3Q2568 ขยายตัว 4.3%QoQ ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 2 ปี และ UST yield โดยเฉพาะตัวสั้นถึงกลาง มีแนวโน้มปรับลดลง ตามการทยอยผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในเอเชียที่มีแนวโน้มลดลง ในปี 2569 ส่งผลบวกต่อ REIT โดยเรามีมุมมองบวกต่อ SG REIT จากการเติบโตของ DPU เนื่องจากการปลดล็อกมูลค่าทรัพย์สินเพื่อสร้างเงินสด รวมถึงการเข้าซื้อทรัพย์สิน และ เรามีมุมมองบวกต่อ TH REIT เนื่องจาก Valuation อยู่ในระดับที่ P/BV 0.7 เท่า และมีอัตราปันผลที่สูงถึง 8%

 

Global Infrastructure

 

โครงสร้างพื้นฐาน มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์เชิงโครงสร้างในระยะยาว และมีบทบาทที่ขาดไม่ได้ในการรองรับการลงทุนด้าน AI โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน data centers และเครือข่ายดิจิทัล ขณะที่ Listed Infrastructure ยังมีคงซื้อขายที่ระดับ valuation ต่ำกว่าตลาดหุ้นโลก

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset สามารถสร้างผลตอบแทนที่มีลักษณะเฉพาะตัว (Idiosyncratic Returns) แต่การคัดเลือกผู้จัดการกองทุน และการทำ Due Diligence มีความสำคัญมากขึ้น จากข้อจำกัดสภาพคล่อง โดยเรามีมุมมองบวกต่อ Private Equity จากแนวโน้มกิจกรรม M&A ที่เพิ่มขึ้น ในภาวะดอกเบี้ยขาลง

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายการเงินของ Fed และความคืบหน้ากระแส AI ในสหรัฐฯ / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจาก Valuation ที่ต่ำกว่าของสหรัฐฯ และการเร่งใช้จ่ายการคลังของเยอรมนี / หุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และนโยบายปฏิรูปบรรษัทภิบาลของบริษัท

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1) Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายการเงิน ทั้งลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง และขยายงบดุลชั่วคราว 2) แรงกระตุ้นการคลัง ภายใต้ OBBBA ที่หนุนการบริโภค และการลงทุน และ 3) การผ่อนคลายด้านกฎระเบียบ และ 4) EPS ที่เติบโตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI

 

หุ้นยุโรป

 

ดัชนีหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจาก GDP ยุโรปที่ฟื้นตัว และการเร่งใช้นโยบายการคลังของเยอรมนี ซึ่งคาดจะหนุนกำไรในปี 2569 ส่วน P/E ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ข้อพิพาททางค้ากับจีนที่มีอยู่ หลังจีนเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจาก EU ในอัตราสูงสุด 42.7% อาจสร้างความผันผวนเป็นระยะ ก็ตาม

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ระยะสั้น ดัชนีฯ ผันผวนตามค่าเงินเยน และ JGB Yield ที่เพิ่มขึ้น หลัง BoJ ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ ในปี 2569 อย่างไรก็ดี ระยะยาวยังได้แรงหนุนจาก 1) การใช้มาตรการทางการคลังแบบขยายตัว 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลที่ช่วยหนุน ROE 3) กระแส AI ในญี่ปุ่น 4) การอ่อนค่าของเงินเยน และ 5) การเติบโตของกำไร บจ. ญี่ปุ่น

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม EM เอเชียที่ยังเติบโตดี จากความไม่แน่นอนทางการค้าที่ลดลง นอกจากนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลง เปิดโอกาสในการลดดอกเบี้ยต่อในปี 2569 ขณะที่ เงินดอลลาร์ สรอ. ที่มีแนวโน้มทรงตัวถึงอ่อนค่า จะหนุน Fund Flows ให้ไหลเข้า

 

หุ้นอินเดีย

 

ตลาดหุ้นอินเดีย ได้แรงหนุนจากความหวังการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ และแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินการคลังจากทางการ โดยล่าสุด รัฐสภาเห็นชอบร่างกฎหมายหลายฉบับ ครอบคลุมการเปิดภาคนิวเคลียร์ให้เอกชน และการอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นบริษัทประกันภัยได้ 100%

 

หุ้นไทย

 

ดัชนีหุ้นไทย มีแนวโน้มถูกกดดัน จากความกังวล GDP ไทยในปี 2569 ที่จะชะลอตัว จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐต่างๆ ที่ล่าช้าออกไป อย่างไรก็ดี คาดว่า Sentiment นักลงทุนจะดีขึ้น ในช่วงที่มีการเลือกตั้งทั่วไป รวมทั้ง กนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2569 ท่ามกลาง Valuation หุ้นไทยที่อยู่ในระดับน่าสนใจ

 

หุ้นจีน All-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากนโยบาย anti-involution ที่คาดช่วยหนุนความสามารถในการทำกำไรบริษัทที่เกี่ยวข้อง จากกระแส AI ในจีน และจากความคาดหวังการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม โดยล่าสุด PBoC ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

หุ้นเกาหลีใต้

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากวัฏจักรขาขึ้นของชิปหน่วยความจำที่คาดว่าจะต่อเนื่องถึงปี 2569 ซึ่งช่วยลดความกังวลต่อภาวะฟองสบู่ AI ขณะที่ นโยบายปฏิรูปตลาดทุนที่ดำเนินอยู่ จะช่วยหนุน valuation นอกจากนี้ ทางการยังมีแนวโน้มเข้ามาดูแลเสถียรภาพค่าเงินวอนเทียบดอลลาร์ สรอ.

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำ ได้แรงหนุนจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ สรอ.ที่อ่อนค่า ขณะที่ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์การเมืองยังคงมีอยู่ และหนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย รวมทั้ง ธนาคารกลางหลักของโลกยังเพิ่มอุปสงค์ทองคำในฐานะเงินทุนสำรองในระยะกลาง-ยาว

 

หุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้แรงหนุนจาก 1) กำไรที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากนโยบาย anti-involution และจากพัฒนาการ AI ในจีน 2) ความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมจากทางการจีน และ 3) ข้อพิพาทกับสหรัฐฯ ที่ลดลง โดยล่าสุด สหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าชิปจากจีนไปจนถึงเดือน มิ.ย. 2570

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีแนวโน้มผันผวนเป็นระยะ จากความกังวลความสามารถในการทำกำไรในบางบริษัท แต่ภาพรวม EPS กลุ่มฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น โดยล่าสุด Nvidia มีแผนเริ่มจัดส่งชิป AI ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับสองไปจีน ก่อนวันหยุดเทศกาลตรุษจีนในช่วงกลางเดือน ก.พ. 2569

 

ดัชนีหุ้น S&P 500

 

ความกังวลต่อความเสี่ยงฟองสบู่ AI ที่ลดลง การขยายงบดุลชั่วคราวของ Fed และโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้น จะช่วยหนุนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ระยะสั้น นอกจากนี้ ดัชนีฯ ยังได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการเติบโตที่ดีของ EPS ตลาดฯ ปี 2569 จะช่วยรองรับให้ Fwd P/E ยังเทรดอยู่ในระดับที่สูง

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกยังได้แรงหนุนจากกระแส AI ที่ยังคงเติบโต สะท้อนจากการลงทุนด้าน AI ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลฟองสบู่ AI ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ Santa Claus Rally และ ประธานาธิบดี Trump ประกาศจะออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อให้มีกฎระเบียบด้าน AI เพียงฉบับเดียว ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่ม AI

 

หุ้นกลุ่ม Health Care

 

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามการปรับประมาณการกำไรของกลุ่มขึ้น หลังผลประกอบการ 3Q2568 ของกลุ่มที่ดีกว่าคาด และจะได้แรงหนุนจากความคืบหน้าเชิงบวกของงานวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะมีความคืบหน้าในช่วง 1Q2569 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ภาคอุตสาหกรรม

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน ได้รับอานิสงส์จากการกระแส AI เช่นเดียวกับกลุ่ม Tech และในเชิง Valuation ยังคงซื้อขายต่ำกว่ากลุ่ม Tech และมี Dividend Yield สูงกว่า ทำให้ความผันผวนน้อยกว่า ขณะที่แนวโน้มกำไรยังเติบโตตามความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ยังคงเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของ Data Center

 

ภาพ: SmileStudioAP / Getty Images, alexsl / Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 29 ธ.ค. 2025




Latest Stories