THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
thailand-deflation-risk-bot-interest-rate-cut
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

ไทยเผชิญความเสี่ยง ‘เงินฝืด’ บีบ ธปท. ลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะที่ญี่ปุ่น-จีน เร่งใช้นโยบายคลังพยุง

... • 27 ต.ค. 2025

HIGHLIGHTS

  • การเจรจาสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีพัฒนาการเชิงบวก คือ ทั้ง 2ประเทศมีกำหนดการพบกันในวันที่ 24-27 ก่อนการประชุมเอเปก ที่ยืนยันแล้วว่าผู้นำทั้งสองประเทศ จะพบกันในการประชุมสัปดาห์นี้
  • สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้จะผันผวนตามความคืบหน้าการเจรจาการค้า แต่ก็ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน
  • สำหรับเศรษฐกิจไทย แม้ธปท. จะมองว่าความเสี่ยงไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ แต่บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า ประเด็นเงินฝืดของไทย จะเป็นความเสี่ยงมากขึ้น
  • และความเสี่ยงภาวะเงินฝืดนี้ จะทำให้ ธปท. ลดดอกเบี้ย การประชุมเดือนธันวาคมนี้ และอาจลดอีกสองครั้ง ในครึ่งปีแรกของปี 2569

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้การเจรจาสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่พลิกไปพลิกมา และทำให้ตลาดผันผวนตามความเห็นของทั้ง 2 ฝ่าย ล่าสุดสหรัฐฯ มีแนวคิดจำกัดการส่งออก software ไปยังจีน อย่างไรก็ตามพัฒนาการเชิงบวกล่าสุดมาจากข่าวทีมเจรจาการค้าของทั้ง 2ประเทศมีกำหนดการพบกันในวันที่ 24-27 ก่อนการประชุมเอเปก ที่ยืนยันแล้วว่าผู้นำทั้งสองประเทศ จะพบกันในการประชุมสัปดาห์นี้ 

 

นอกจากนั้น ยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนและเห็นภาพกำลังซื้อในจีนที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ปรับตัวลดลง จากแนวโน้มผลประกอบการที่น่าผิดหวังของ Texas Instruments และ STMicro รวมถึงความกังวลต่อการลดค่าใช้จ่ายด้าน AI หลังจาก Meta ประกาศลดตำแหน่งงาน 

 

ด้านตลาดหุ้น EM ปรับขึ้นได้ดีกว่า DM หนุนโดยการประกาศ GDP 3Q25 ของจีน ขยายตัว 4.8%YoY สูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อย ด้านตัวเลขกิจกรรมเศรษฐกิจจีนเดือน ก.ย. ชะลอลงในภาคค้าปลีก, ลงทุน และอสังหาฯ ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยังได้แรงหนุนจากการส่งออก 

 

ทางการจีนประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี (2026-2030) โดยมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ พร้อมกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพื่อรับมือกับสงครามการค้า และปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ 

 

ตลาดหุ้นไทยกลับมายืนเหนือ 1,300 จากแรงหนุนผลประกอบการกลุ่มธนาคารที่ดีกว่าคาด และแรงหนุนหุ้นใหญ่ในกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันที่พลิกกลับมาเร่งตัวขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตร สองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย

 

ความเสี่ยงไทยเข้าภาวะเงินฝืด ‘สูงขึ้น’ บีบ ธปท. ลดดอกเบี้ย

 

แม้ธปท. จะมองว่าความเสี่ยงไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำซึ่งเกิดจากเพียงบางหมวดเท่านั้น แต่บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า ประเด็นเงินฝืดของไทย จะเป็นความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางเงินเฟ้อที่หดตัวลงต่อเนื่อง ผลทั้งจาก ราคาอาหารและพลังงานที่ลดลง รวมถึงความต้องการของประชาชนที่ชะลอลง ซึ่งจะทำให้ ธปท. ลดดอกเบี้ย การประชุมเดือนธันวาคมนี้ และอาจลดอีกสองครั้ง ในครึ่งปีแรกของปี 2569

 

รัฐบาลของ LDP ภายใต้การนำของ ‘ซานาเอะ ทาคาอิจิ’ มีเป้าหมายเร่งด่วนคือการผ่านงบประมาณเสริมภายในสิ้นปีโดยมีมาตรการรับมือเงินเฟ้อสำคัญ หลังจากนั้น จะการลดภาษีเงินได้เป็นการถาวร เพื่อบรรเทาผลจากเงินเฟ้อ ซึ่งนโยบายนี้อาจกระทบสถานะทางการคลังและเสถียรภาพหนี้สาธารณะ โดยก่อนหน้านี้ IMF ประเมินว่าญี่ปุ่นจะขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก -2.5% ต่อ Potential GDP ในปี 2025 เพิ่มเป็น -5.3% ในปี 2030 หากไม่มีการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับ 2025 GDP ของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 4.8% (จากเดิม 4.4%) จาก 3Q GDP ที่ดีกว่าคาด แต่เรามองว่า 4QGDP จะชะลอลง จากแรงส่งภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ ขณะที่เงินเฟ้อยังคงติดลบจากการชะลอของอุปสงค์จริง การบริโภคยังเปราะบางจากความเชื่อมั่นที่อ่อนแรงและความมั่นคั่งที่ลดลงตามราคาอสังหาฯ ขณะที่แรงหนุนจากภาคการส่งออกและภาคการผลิตยังมีความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทำให้ทางการจำเป็นต้องเดินหน้า ‘นโยบายผ่อนคลายแบบเฉพาะจุด’ (targeted easing) เพื่อประคับประคองอุปสงค์ภายในและการฟื้นตัวของภาคเอกชนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ราว 5% พร้อมวางฐานสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการบริโภคและนวัตกรรมในระยะยาว 

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

  1. หุ้น Earnings Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงาน 3Q68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY ได้แก่ ADVANC BCP KTB LHSC OR PTT TRUE 
  2. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC TIDLOR รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL
  3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากแผนอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน/ทรัมป์และสีจิ้นผิงบรรลุข้อตกลงทางการค้าเบื้องต้นได้ แนะนำ IVL PTTGC SCC SCGP และ 2) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แนะนำ CPALL BJC CRC HMPRO CENTEL ERW

 

“ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1285-1335 จุด โดยตลาดจะให้น้ำหนักไปที่ปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ได้แก่ 1. ตลาดคาด Fed จะมีมติปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ไปสู่ระดับ 4% ซึ่งมองตลาดรับรู้ไปแล้ว แต่คาดหวัง Fed จะยังส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อในการประชุม ธ.ค. ขณะที่ ECB และ BoJ คาดมีมติคงดอกเบี้ย 2. หากมีการพบกันระหว่างทรัมป์และสีจิ้นผิงได้ในช่วงก่อนประชุม APEC คาดจะส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง 3. งบ 3Q68 ของบจ. ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่คาดจะออกมาดีกว่าตลาดคาด และ 4. PMI ภาคการผลิตของจีนที่ตลาดคาดจะฟื้นตัว ด้านปัจจัยในประเทศยังติดตามแผนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งการเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ 3Q68 ของหุ้น Real Sector หลังงบหุ้นธนาคารส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าตลาดคาด โดยมอง SET ไม่ได้มี Downside Risk จากปัจจัยภายในประเทศมากนัก” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

 

  1. การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญอย่าง FOMC (29-30 ต.ค.), ECB (30 ต.ค.) และ BoJ (30 ต.ค.)
  2. การเยือนเอเชียของ ปธน. ทรัมป์ มาเลเซีย (26–28 ต.ค.) ญี่ปุ่น (27–29 ต.ค.) เกาหลีใต้ (29–30 ต.ค.) รวมทั้งการพบกันของผู้นำสหรัฐฯ -จีน (30 ต.ค.)
  3. รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค., GDP 3Q25 (รายงานครั้งแรก) และ Core PCE ก.ย.

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: BCPG - 3Q25 คาดกำไรเติบโตก้าวกระโดด

 

แนะนำ บมจ. บีซีพีจี หรือ BCPG เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

  • ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (แสงอาทิตย์ ลม น้ำ และความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง) ภายใต้กลุ่มบางจาก ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าอย่างยั่งยืน โดยทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะยาวเพื่อให้แน่ใจว่ากระแสเงินสดจะมีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้ 
  • 2H25 กำไรปกติจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี โดย 3Q-4Q25 คาดกำไรเติบโตก้าวกระโดด YoY แรงหนุนหลักจากการรับรู้รายได้ค่าความพร้อมจ่าย (capacity payment) ในสหรัฐฯ เต็มไตรมาส และการ COD โรงไฟฟ้าพลังงานลม Monsoon ในลาว (290Mwe) และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม (99MW) 
  • มองเป็น Growth Stock ซึ่ง Valuation ยังไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER 25F และ 26F ราว 17.6 และ 10.9 เท่า ตามลำดับ ซึ่งมองยังไม่สะท้อนกำไรที่โตแข็งแกร่ง โดยปี 2025 คาดกำไรปกติเติบโต 32%YoY และเติบโตต่อ 24%YoY ในปี 2026
  • เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 10.50 บาท อิงวิธี DCF และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปีนี้หุ้นละ 0.24 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละราว 2.7%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

ในสัปดาห์ที่สองของฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3Q25 ของบริษัทจดทะเบียน โดยส่วนใหญ่งบและแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด 1) กลุ่มเซมิฯ AI โตดีสวนทางกับกลุ่มเซมิฯ ดั้งเดิม 2) กลุ่ม Defense มีแรงหนุนจากความต้องการขีปนาวุธที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ 3) กลุ่มสินค้าหรูหราที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวในตลาดจีน และแนวโน้มที่ดีขึ้น ด้วยภาพนี้ทำให้เราแนะลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นย่อตัว

 

  • กลุ่มเซมิฯ ดั้งเดิม (TXN, STMicro) มีผลประกอบการและแนวโน้มที่แย่กว่าที่ตลาดคาด และอ่อนแอเมื่อเทียบกับกลุ่ม เซมิฯ AI (LRCX, INTC, Besi) อย่างชัดเจน จากความอ่อนแอในตลาดยานยนต์ ในขณะที่กลุ่มเซมิฯ AI มีแนวโน้มเติบโตดีจากอุปสงค์ AI ที่ดีต่อเนื่อง เช่น Besi มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 37% QoQ จากอุปสงค์การผลิตชิป AI 
  • กลุ่ม Defense (LMT, RTX, NOC) เผยงบ 3Q25 ดีกว่าคาด หนุนโดยงบประมาณกลาโหมของรัฐบาลทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้นในปีนี้ ส่งผลให้อุปสงค์ขีปนาวุธพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากนี้ ทั้งสามบริษัทได้ปรับเพิ่มกำไรทั้งปี 2025 ขึ้นอีกด้วย
  • กลุ่มสินค้าหรูหรา (Kering, Ferragamo, Prada) เผยงบ 3Q25 ที่ดีกว่าคาด สะท้อนการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของกลุ่มสินค้าหรูหราที่ซบเซามานาน โดยเฉพาะสัญญาณบวกจากตลาดจีน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับงบ LVMH เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • ในระยะถัดไปเรามองว่าทั้งสามกลุ่มยังคงสามารถลงทุนได้ โดย 1) กลุ่มเซมิฯ เราแนะอยู่ในกลุ่มเซมิฯ AI ซึ่งภาพงบและแนวโน้มกลุ่มเซมิฯ AI สะท้อนให้เห็นได้ว่างบ NVDA AMD จะออกมาดีในทางเดียวกันทำให้เราแนะเก็งกำไร 2) กลุ่ม Defense เรามองว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น โดยเราชอบ RTX มากที่สุดในกลุ่ม จากโมเมนตัมการเติบโตและการเงินที่ดีที่สุด 3) กลุ่มสินค้าหรูหรามีความคาดหวังการฟื้นตัวในตลาดจีนรวมถึงอยู่ในช่วง Turn Around ที่การเติบโตจะกลับมาเป็นบวกและราคาอยู่ในจุดน่าสนใจ โดยเราชอบ LVMH ที่สุดในกลุ่ม

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ยังให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ หลังสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทน้ำมันรายใหญ่สองแห่งของรัสเซีย เพื่อกดดันรัสเซียให้หยุดยิงในยูเครนทันที อย่างไรก็ตาม แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง อาจทำให้อัตราผลตอบแทนให้ลดลงไปด้วย

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำกัด จากท่าทีผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ด้านตราสารหนี้ไทย Bond Yield ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น ไม่ใช่สัญญาณความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง โดยเรามองว่า Bond Yield มีแนวโน้มลดลงในช่วงที่เหลือของปี ตามทิศทางการปรับลดลงของดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในปีนี้

 

U.S. Treasury & IG

 

แนะนำพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ IG ระยะสั้นของสหรัฐฯ จากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed หลังอัตราเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าคาด และยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ล่าสุดกลับมาเพิ่มขึ้น แม้มีความเสี่ยงที่ Term premium จะเพิ่มขึ้น จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ ก็ตาม

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น ยังคงมีอยู่ ตามความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังมีการล้มละลายของบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และบริษัทผู้ให้สินเชื่อรถยนต์ แม้ UST yield โดยเฉพาะตัวสั้นถึงกลาง มีแนวโน้มเป็นขาลงมากกว่าขาขึ้น ตามการทยอยลดดอกเบี้ยของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

อัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศเอเชียยังเป็นทิศทางขาลง ทำให้อัตราปันผลมีความน่าสนใจกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลอยู่ที่ 6% และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลเฉลี่ยสูงถึง 8.8% นอกจากนี้ สภาพคล่องของ REIT ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุน Thai ESG และ Thai ESGX

 

Global Infrastructure

 

การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง พร้อมเพิ่มโอกาสในการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก และมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกจะเพิ่มสูงถึง 68 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2583

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ต่ำกว่า โดยเรามองบวกต่อ Private Equity จากแนวโน้มการลดลงของดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของ M&A นอกจากนี้ Valuation ของ Private Equity ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า Public Equity

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากท่าทีที่ผ่อนคลายของ Fed และ EPS ที่มีแนวโน้มถูกปรับดีขึ้น / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ทยอยฟื้นตัวและการเร่งใช้จ่ายการคลังของยุโรปในปีหน้า/ หุ้นญี่ปุ่น ได้รับแรงหนุนจากความหวังการผ่อนคลายการคลังที่มากขึ้น ภายใต้นายกฯ ใหม่

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1) พัฒนาการกระแส AI ในสหรัฐฯ 2) Fed ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย และยุติ QT 3) ผลบวกจากแผนกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4) EPS ใน 3Q2568 และ Guidance ที่มีแนวโน้มดีกว่าตลาดคาด จะช่วยหนุนให้ EPS ทั้งปี ถูกปรับดีขึ้นตาม

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นโลก หนุนจากแนวโน้มการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และผลประกอบการ 3Q2568 ของหุ้นกลุ่ม Luxury ที่ฟื้นตัว ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาว หลังเยอรมนีคาดการณ์การใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในปี 2569-2570

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น คาดยังได้แรงหนุนจาก 1) แนวโน้มการใช้มาตรการทางการคลังแบบเร่งตัวมากขึ้น หลังจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาล ที่ช่วยหนุน ROE และ P/BV 3) ความหวังกระแส AI ในญี่ปุ่น และ 4) การอ่อนค่าของค่าเงินเยนช่วยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามกระแส Fund Flow จากการแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า และ ทิศทางนโยบายการเงินโลกที่ผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้ Valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นอินเดีย

 

เรายังมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว จากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ RBI และการปฏิรูป GST ที่ช่วยหนุนอุปสงค์ในประเทศ และลดผลกระทบจากข้อพิพาทกับสหรัฐฯ โดยล่าสุด อินเดีย-สหรัฐฯ ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งสหรัฐฯ อาจลดภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียลงจาก 50% เหลือเพียง 15-16%

 

หุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะยังอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวตามผลประกอบการ โดยคาดว่า ผลประกอบการ 2H2568 จะฟื้นตัวจากปีก่อนจากฐานที่ต่ำ ขณะที่มีมาตรการคนละครึ่งพลัสจะช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น หลังจากการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่ตลาดคาดหวังบนการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า

 

หุ้นจีน All-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความหวังพัฒนาการเชิงบวกจากการพบกันระหว่างประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และจีน ประกอบกับ พัฒนาการกระแส AI ของจีน มีแนวโน้มหนุนให้งบ บจ. จีนออกมาดี ขณะที่ ทางการมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นอุปสงค์เพิ่มเติม ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจใน 4Q2568 

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

แม้ทองคำอาจเผชิญการปรับฐานระยะสั้นจากแรงขายทำกำไร แต่ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมยังสนับสนุนทองคำ ได้แก่ ค่าเงินดอลลาร์ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะรัสเซีย-ยูเครน และ ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า นอกจากนี้ ยังมีแรงซื้อต่อเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลก และ กองทุนทองคำ ETF

 

หุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share รับอานิสงส์จาก 1) แรงซื้อของรายย่อยจีน ตามการโยกย้ายสินทรัพย์ของครัวเรือนไปหุ้น 2) ความหวังมาตรการกระตุ้นเพิ่มจากทางการ หลังที่ประชุม 4th plenum ย้ำการบรรลุเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ที่ 5% และ 3) Margin ดัชนีฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ตามนโยบาย anti-involution

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก EPS กลุ่ม Big Tech ใน 3Q2568 ที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นกว่า รวมทั้ง มีปัจจัยพื้นฐานทั้ง EPS และกระแสเงินสดที่มั่นคงกว่าช่วงฟองสบู่ Dot Com ส่วน AI capex ของ Hyperscalers มีแนวโน้มเติบโตต่อ โดยล่าสุด Intel เผยรายได้ใน 3Q2568 ดีกว่าที่คาด และยัง guidance ใน 4Q2568 ดี

 

ดัชนีหุ้น S&P 500

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1) พัฒนาการกระแส AI ในสหรัฐฯ 2) Fed ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย และยุติ QT 3) ผลบวกจากแผนกระตุ้นการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4) EPS ใน 3Q2568 และ Guidance ที่มีแนวโน้มดีกว่าตลาดคาด จะช่วยหนุนให้ EPS ทั้งปี ถูกปรับดีขึ้นตาม

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก ยังอยู่ในแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์กำไรของกลุ่มฯ ที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงงบลงทุนของบริษัทด้าน Tech ขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้ AI ที่เพิ่มมากขึ้นตาม

 

หุ้นกลุ่ม Health Care

 

หุ้นกลุ่ม Health Care ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนจาก Valuation P/E ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนี S&P500 ถึง 25% ขณะที่กำไรยังมีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 9.8% ในปีนี้ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ของอุตสาหกรรม โดยบริษัทส่วนใหญ่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

 

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 27 ต.ค. 2025




Latest Stories