- ตลาดหุ้นโลกผันผวนมากขึ้น จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีขึ้นอีกครั้ง หลังจีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% มีผลวันที่ 1 พ.ย.
- IMF ปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกปี 2025 เป็น 3.2% จาก 3% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือน ก.ค. แต่ยังคงมีคำเตือนแรงกดดันจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า หากการเจรจาล้มเหลวและต้องขึ้นภาษีจริง GDP สหรัฐฯ ปี 2026 อาจขยายตัวเพียง 0.9% จากเดิมที่เคยคาดที่ 1.4% ส่วนของจีน อาจขยายตัวเพียง 3.8% จากเดิมที่เคยคาดที่ 4.0%
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกผันผวนมากขึ้น จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีขึ้นอีกครั้ง หลังจีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% มีผลวันที่ 1 พ.ย. อีกทั้ง ล่าสุดสหรัฐฯ ใช้ประเด็นน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเป็นเครื่องมือกดดันจีนเพิ่มเติม
ประเด็นนี้น่าจะยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดให้ผันผวนเพิ่มขึ้น จนกว่าจะมีความชัดเจน ในช่วงก่อนการพบกันของผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย ในการประชุม APEC ปลายเดือน ต.ค. นอกจากนั้นปัญหาหนี้เสียในธนาคารภูมิภาคขนาดเล็กในสหรัฐฯ กลับมากดดันตลาดในช่วงท้ายสัปดาห์ สะท้อนผ่าน VIX ที่เพิ่มขึ้นทะลุ 25 จุด
IMF ปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกปี 2025 เป็น 3.2% จาก 3% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือน ก.ค. แต่ยังคงมีคำเตือนแรงกดดันจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
ตลาดหุ้น EM ปรับขึ้นได้ดีกว่าหลังค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า หนุนโดยไต้หวันเกาหลีและอินเดีย ขณะที่หุ้นจีนและฮ่องกงอ่อนตัวลง แม้การส่งออกจีน เดือน ก.ย. ขยายตัวจากเดือนก่อน และสูงกว่าตลาดคาด ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ของจีนในเดือน ก.ย. หดตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน
อย่างไรก็ตาม ยอดสินเชื่อเงินหยวน (Outstanding RMB Loans) ชะลอลงต่อเนื่อง 6.4%YoY (vs. 6.6% เดือนก่อน) สะท้อนความต้องการสินเชื่อจากทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอ่อนแอ แม้จะมีมาตรการสนับสนุนดอกเบี้ยกู้เพื่อผู้บริโภคในเดือน ก.ย. แล้วก็ตาม
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงเช่นเดียวกับภูมิภาคกลับลงมาต่ำ 1,300 จุด ตลาดยังรอปัจจัยใหม่ๆ ที่จะมาสนับสนุนการปรับตัวขึ้นได้ต่อ หลังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมา เช่น กระตุ้นการบริโภคและท่องเที่ยวถูกรับรู้ไปแล้วในระดับหนึ่ง ราคาน้ำมันอ่อนตัว จากความกังวลอุปสงค์ชะลอหากสงครามการค้ารุนแรงเพิ่มขึ้น อีกทั้งมุมมองของ IEA ยังมีการปรับเพิ่มอุปทานส่วนเกินในปี 2026 เพิ่มขึ้นอีกด้วย
จีนคุมแร่หายาก! จุดไฟสงครามการค้าใหม่
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีขึ้นอีกครั้ง หลังจีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก ส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% มีผลวันที่ 1 พ.ย. หากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงก่อนถึงเส้นตาย
ทั้งนี้ เรามองว่า หากการเจรจาล้มเหลวและต้องขึ้นภาษีจริง GDP สหรัฐฯ ปี 2026 อาจขยายตัวเพียง 0.9% จากเดิมที่เคยคาดที่ 1.4% ส่วนของจีน อาจขยายตัวเพียง 3.8% จากเดิมที่เคยคาดที่ 4.0% อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายเตรียมเจรจากันในช่วงก่อนประชุม APEC ปลายเดือน ต.ค.
เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณชะลอลงต่อเนื่องโดยยอดสินเชื่อเงินหยวน ชะลอลงเป็น 6.4%YoY (vs. 6.6% เดือนก่อน) โดยสินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวเพียง 3.89 แสนล้านหยวน (vs. 5.0 แสนล้านหยวนปีก่อน) และสินเชื่อธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 1.22 ล้านล้านหยวน (vs. 1.49 ล้านล้านหยวนปีก่อน) แม้จะมีมาตรการสนับสนุนดอกเบี้ยกู้เพื่อผู้บริโภคในเดือน ก.ย. แล้วก็ตามแต่โมเมนตัมทางเศรษฐกิจยังคงอ่อนแรงต่อเนื่อง สะท้อนจากตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจจีนยังเผชิญแรงกดดันภายนอกจากความเสี่ยงการขู่ขึ้นภาษี 100% ของสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากการส่งออกแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่น (resilience) บ้าง แต่ยังเผชิญกับดักสภาพคล่องต่อเนื่อง และต้องพึ่งพาแรงหนุนจากนโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เพียงพอต่อการบรรลุ เป้าหมาย GDP ราว 5% ของทางการจีนในปีนี้
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดว่า CCP 4thPlenum ในวันที่ 20 - 23 ต.ค. จะ คงทิศทางนโยบายเดิมโดยเน้น 1. เทคโนโลยี–นวัตกรรม 2. การพึ่งพาตนเองและความมั่นคง 3. การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจโดยเน้นบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
1. หุ้น Earnings Play ซึ่งคาดผลการดำเนินงาน 3Q68 จะยังเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY ได้แก่ ADVANC BCP KTB LHSC OR PTT TRUE
2. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และหุ้นที่จะมีต้นทุนการดำเนินการลดลง หรือ กำลังซื้อผู้บริโภคดีขึ้น แนะนำ AP MTC TIDLOR
3. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา แนะนำ TU GFPT KCE HANA 2. หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ มีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น แนะนำ WHA AMATA FTREIT และ 3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่จะดีขึ้น จากรัฐผลักดันนโยบายสร้างรายได้ ลดค่าครองชีพ แนะนำ CPALL CPAXT และ BJC
“ช่วงสั้นมอง SET ผันผวนในกรอบ 1270-1320 โดยประเมินความเสี่ยงหลัก คือ สงครามการค้าจีนกับสหรัฐฯ ยังมีต่อเนื่องจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะเจรจากันในช่วงก่อนประชุม APEC ปลาย ต.ค. นี้ ขณะที่การประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน (20 - 23 ต.ค.) คาดจะยังส่งสัญญาณหนุนเทคโนโลยี การบริโภค และจำกัดการเพิ่มขึ้นของกำลังผลิตใหม่ๆ ส่วนรายงานเงินเฟ้อ ก.ย. ของสหรัฐฯ (24 ต.ค.) อาจมีผลต่อตลาดไม่มากนัก โดยมองเฟดยังมีโอกาสลดดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เหลือปีนี้ ขณะที่งบ 3Q68 บจ. สหรัฐฯ มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด โดย 6 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY ได้ ด้านปัจจัยในประเทศติดตามแผนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มและตัวเลขส่งออกไทย ก.ย. ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง อีกทั้งงบ 3Q68 บจ. ไทย โดยกลุ่มธนาคารใหญ่จะประกาศสัปดาห์หน้า จากนั้นจะเป็นหุ้นกลุ่ม Real Sector” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
1. รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนและสหรัฐฯ อาทิ GDP 3Q25 และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ก.ย. ของจีน, เงินเฟ้อ ก.ย. ของสหรัฐฯ
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ที่รัฐบาลมีเป้าหมายจะออกมาตรการใหม่ในทุกสัปดาห์
3. สถานการณ์การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ชั่วคราวที่ยังยืดเยื้อ
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: OR - 3Q25 คาดโมเมนตัมกำไรจะดีขึ้น
แนะนำ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นบริษัทแกนนำของกลุ่ม PTT ในการดำเนินธุรกิจการตลาดค้าปลีกน้ำมัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันสูงสุดในไทยราว 39% ทั้งนี้ธุรกิจหลักสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจ Mobility (68% ของ EBITDA), ธุรกิจ Lifestyle (27% ของ EBITDA) และธุรกิจ Global (5-7%ของ EBITDA)
- 3Q25 คาดกำไรจะดีขึ้น QoQ และ YoY แรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันตามฤดูกาล การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการขยายสาขาของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle อีกทั้งมี upside จากราคาน้ำมันลดลงและค่าการตลาดแข็งแกร่งขึ้น
- มอง Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขาย PER และ PBV 26F ที่ 12.7 เท่า และ PBV 1.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 24 เท่า และ 2.2 เท่า ตามลำดับ ขณะที่กำไรปกติปี 2025 คาดพลิกเติบโต 57%YoY และเติบโตได้ต่ออีก 14%YoY ในปี 2026
- เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 18 บาท อิงวิธี EV/EBITDA 8.4 เท่า และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 3.3%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
ในสัปดาห์นี้เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3Q25 ของบริษัทจดทะเบียน โดยภาพรวมงบออกมาดีกว่าคาดและแนวโน้มดูดีทั้ง 1. กลุ่มธนาคารใหญ่สหรัฐฯ ที่มีแรงหนุนจากตลาดทุน JPM C WFC BAC GS MS 2. กลุ่มเซมิฯ ASML TSM ที่มีแรงหนุนจาก AI 3. กลุ่มสินค้าหรูหรา LVMH ที่มีความคาดหวังการฟื้นตัวตลาดจีน ด้วยภาพนี้ทำให้เราแนะลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นย่อตัว
- กลุ่มธนาคารใหญ่ JPM C WFC BAC GS MS เผยงบดีกว่าคาดหนุนโดยรายได้ตลาดทุนทั้งจาก IB และการเทรดในตลาดทุน ประกอบกับรายได้ดอกเบี้ยและยอดสินเชื่อเติบโตดี นอกจากนี้ถือได้ว่าเติบโตดีกว่ากลุ่มธนาคารเล็กที่ยังมีความเสี่ยงเรื่องกลุ่มอสังฯชะลอตัวและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
- กลุ่มเซมิฯ ASML TSMC เผยงบดีกว่าคาดหนุนจากอุปสงค์ AI ที่โตทำให้ยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทั้ง EUV (ASML) และชิป TSMC ที่ได้รับคำสั่งซื้อจาก NVDA AAPL ด้านแนวโน้มโตดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ASML เตือนถึงความเสี่ยงกฎระเบียบและภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนสหรัฐฯ ที่จะกดดันรายได้ในจีน
- กลุ่มสินค้าหรูหรา LVMH เผยงบ 3Q25 ดีกว่าคาดโดยยอดขายโต 1% หลังจากลดลงสองไตรมาสติด โดยรายได้ทุกแผนกของบริษัทดีกว่าที่คาดทั้งหมด เช่น น้ำหอม แฟชั่น นอกจากนี้ยอดขายในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ได้กลับมาเป็นบวก (mid-to-high single digit) สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวที่ดี
ในระยะถัดไปเรามองว่าทั้งสามกลุ่มยังคงสามารถลงทุนได้ โดย 1. แนะอยู่ในกลุ่มธนาคารใหญ่ที่มีสถานะทางการเงินดีกว่าธนาคารเล็ก โดยแนะมองกลุ่มที่มีสัดส่วนตลาดทุนเยอะอย่าง GS และ MS 2. กลุ่มเซมิฯ เราแนะอยู่ในกลุ่มที่มีตำแหน่งธุรกิจที่ได้ประโยชน์จาก AI ทั้ง ASML TSM ซึ่งภาพงบและแนวโน้มทั้งสองสะท้อนให้เห็นได้ว่างบ NVDA AMD จะออกมาดีในทางเดียวกันทำให้เราแนะเก็งกำไร 3. กลุ่มสินค้าหรูหรามีความคาดหวังการฟื้นตัวในตลาดจีนรวมถึงอยู่ในช่วง Turnaround ที่การเติบโตจะกลับมาเป็นบวกและราคาอยู่ในจุดน่าสนใจ โดยเราชอบ LVMH
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ยังคงให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ที่มีอยู่ แม้ล่าสุด มีรายงานว่า ประธานาธิบดี Trump เตรียมเจรจา กับประธานาธิบดี Putin เพื่อยุติสงครามยูเครน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนลดลงตามไปด้วย
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำกัด จากความเสี่ยงตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังหน่วยงานรัฐบาลยังคงถูกชัตดาวน์ ด้านตราสารหนี้ไทย Bond Yield มีความผันผวนในระยะสั้น หลัง กนง.ประกาศคงดอกเบี้ยในเดือนนี้ ทั้งนี้ เรามองว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. และอีก 25 bps ในต้นปี 2569 หนุนราคาตราสารหนี้ไทย
U.S. Treasury & IG
แนะนำพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้ IG ระยะสั้นของสหรัฐฯ รับแนวโน้มการทยอยผ่อนคลายทางการเงินของ Fed หลัง Powell ประธาน Fed กล่าวว่า อาจใกล้ถึงจุดที่จะยุติการลดขนาดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ แม้ยังมีความเสี่ยงที่ Term premium ยังเพิ่มขึ้น จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าสหรัฐฯ ก็ตาม
High Yield Bond
ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น ยังคงมีอยู่ ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มมีความเสี่ยงขาลง หลังเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังเตือนว่า การชัตดาวน์อาจกระทบต่อเศรษฐกิจมากถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อสัปดาห์ แม้ UST yield มีโอกาสลดลง ตามการลดดอกเบี้ยของ Fed ก็ตาม
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Asia REITs
อัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศเอเชียยังเป็นทิศทางขาลง ทำให้อัตราปันผลมีความน่าสนใจกว่าภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs ที่มีอัตราปันผลอยู่ที่ 6% และ REITs ไทยที่มีอัตราปันผลเฉลี่ยสูงถึง 8.8% นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ส่งผลให้อัตราการจ่ายปันผลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง พร้อมเพิ่มโอกาสในการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก และมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นอยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกจะเพิ่มสูงถึง 68 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ภายในปี 2583
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น
Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public เพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ต่ำกว่า โดยเรามองบวกต่อ Private Equity จากแนวโน้มการลดลงของดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของ M&A นอกจากนี้ Valuation ของ Private Equity ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า Public Equity
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากท่าทีที่ผ่อนคลายของ Fed และ EPS ใน 3Q2568 ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากปัญหาการเมืองของฝรั่งเศสที่เริ่มคลี่คลาย และการเร่งใช้จ่ายการคลังของยุโรปในปีหน้า/ หุ้นญี่ปุ่น ได้รับแรงหนุนจากความหวังการผ่อนคลายการคลังที่มากขึ้น ภายใต้นายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลใหม่
หุ้นสหรัฐฯ
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1. ความคืบหน้ากระแส AI ในสหรัฐฯ 2. Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายทางการเงิน 3. ผลบวกจากมาตรการการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4. EPS ใน 3Q2568 ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด ซึ่งจะช่วยหนุนให้ EPS ทั้งปี 2568 ถูกปรับประมาณการดีขึ้นตาม
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นระยะสั้น หลังปัญหาการเมืองในฝรั่งเศสเริ่มคลี่คลาย จากการที่นายกฯ รอดจากมติไม่ไว้วางใจ เนื่องจากการระงับแผนปฏิรูประบบบำนาญ ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะยาว หลังเยอรมนีเสนอร่างงบประมาณปี 2569 สะท้อนการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งตัวมากขึ้นในปีหน้า
หุ้นญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น ได้แรงหนุนจาก 1. EPS ที่มีแนวโน้มถูกปรับเพิ่มขึ้น ตามความไม่แน่นอนการค้ากับสหรัฐฯ ที่ลดลง 2. การปฏิรูปบรรษัทภิบาล ที่ช่วยหนุน ROE และ P/BV 3. ความหวังกระแส AI ในญี่ปุ่น 4. แนวโน้มการผ่อนคลายการคลังที่มากขึ้น ภายใต้ครม.ใหม่ และ 5. เงินเยนที่มีแนวโน้มชะลอการแข็งค่า
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการลดดอกเบี้ยของ Fed ในภาวะที่ไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอย ทั้งนี้ เรามองว่าตลาดได้ประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้า จากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า และ ทิศทางนโยบายการเงินโลกที่ผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้ Valuation อยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นอินเดีย
เรายังคงมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว จากการทยอยลดดอกเบี้ยของ RBI และการปฏิรูป GST ที่ช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และบรรเทาผลกระทบทางลบจากข้อพิพาทกับสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุด อินเดียอยู่ระหว่างเร่งเจรจาการค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ โดยที่ตั้งเป้าบรรลุข้อตกลงภายในเดือน พ.ย.นี้
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของกนง.ในปีนี้อีก 25 bps. และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ คนละครึ่งพลัส และกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ผ่านสิทธิลดหย่อนภาษีรายบุคคลไม่เกิน 20,000 บาท ติดตาม แผนเร่งเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง 4 เดือนนี้ และผลประกอบการ 3Q2568 ของกลุ่มธนาคาร
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีน อาจเผชิญความผันผวนในระยะสั้น จากข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ แต่มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากความหวังการออกมาตรการกระตุ้นจากทางการ ในการประชุม 4th plenum และจากพัฒนาการ AI ในจีน หลัง Alibaba เผยการลงทุน AI ในธุรกิจ e-commerce ของบริษัทฯ เริ่มคืนทุนแล้ว
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังยืดเยื้อ และปัญหาด้านสินเชื่อของธนาคารภูมิภาคในสหรัฐฯ ทั้งนี้ เงินทุนยังไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำอย่างต่อเนื่อง
หุ้นจีน A-Share
ดัชนีหุ้นจีน A-Share รับอานิสงส์จาก 1. แรงซื้อจากรายย่อยจีน ตามการโยกย้ายสินทรัพย์ของครัวเรือนไปหุ้น 2. ความหวังมาตรการต่างๆ จากทางการจีน ทั้งสนับสนุนการบริโภค และนวัตกรรมเทคโนโลยี ในการประชุม 4th plenum และ 3. Margin ดัชนีฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ตามนโยบาย anti-involution
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก EPS กลุ่ม Big Tech ใน 3Q2025 ที่มีแนวโน้มโตโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยที่ฐานะทางการเงินยังมั่นคงกว่าช่วงฟองสบู่ Dot Com ส่วนการลงทุนใน AI capex ของ Hyperscalers มีแนวโน้มดีกว่าที่คาด ล่าสุด Broadcom เป็นพันธมิตรกับ OpenAI เพื่อผลิตชิปประมวลผล AI ใช้ภายในองค์กรของ OpenAI
ดัชนีหุ้น S&P 500
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1. ความคืบหน้ากระแส AI ในสหรัฐฯ 2. Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายทางการเงิน 3. ผลบวกจากมาตรการการคลังภายใต้ OBBBA และการผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4. EPS ใน 3Q2568 ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด ซึ่งจะช่วยหนุนให้ EPS ทั้งปี 2568 ถูกปรับประมาณการดีขึ้นตาม
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้ AI ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นวงกว้าง สอดคล้องกับ ล่าสุดที่ TSMC เผยยอดขายและกำไรดีกว่าคาด รวมทั้ง ให้ guidance ใน 4Q2568 ดีกว่าคาด จากความต้องการชิปขั้นสูงเพื่อประมวลผล AI
หุ้นกลุ่ม Health Care
หุ้นกลุ่ม Health Care ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนจาก Valuation P/E ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนี S&P500 ถึง 25% ขณะที่กำไรยังมีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 9.8% ในปีนี้ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ของอุตสาหกรรม โดยบริษัทส่วนใหญ่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง
ภาพ: wildpixel / Getty Images, bennymarty / Getty Images