THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
ค่าเงินบาทอ่อนค่า
EXCLUSIVE CONTENT

เงินบาท ‘อ่อนค่าเร็ว’ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หวั่น Trade War กระทบแรง

... • 18 พ.ย. 2024

HIGHLIGHTS

3 min read
  • ความกังวลแนวนโยบายสุดโต่งของทรัมป์โดยเฉพาะสงครามการค้ามีมากขึ้น สะท้อนผ่านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น
  • ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมากหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง รวมถึงหลายฝ่ายกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบจากสงครามการค้า เนื่องจากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินหยวนมากที่สุดในเอเชีย 
  • โดยดัชนีค่าเงินบาททั้งรูปแบบปกติและเมื่อหักผลเงินเฟ้อ (NEER และ REER) ยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งกว่า 26.7% และ 6.4% นับตั้งแต่ปี 2012 ตามลำดับ
  • ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway โดยปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างจำกัดหลังตลาดรับรู้ปัจจัยบวกที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงแนะนำเก็งกำไรหุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐเตรียมพิจารณาออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดปรับตัวลดลง หลังพรรครีพับลิกันชนะแบบเด็ดขาดทั้งประธานาธิบดีและสามารถคุมสภาได้ทั้งสภาสูงและสภาล่าง ทำให้ความกังวลแนวนโยบายสุดโต่งของทรัมป์โดยเฉพาะสงครามการค้ามีมากขึ้น สะท้อนผ่านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ​ ปรับเพิ่มขึ้น ความกังวลเงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้น แม้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามคาด แต่ส่งผลให้ล่าสุดตลาดปรับความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2025 ลงเหลือ 2 ครั้งจาก 4 ครั้ง 

 

สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธาน Fed ล่าสุดที่ระบุถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้ Fed อาจไม่จำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วในอนาคต ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ทำจุดสูงสุดในช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนจะปรับตัวลดลงมาบ้างท้ายสัปดาห์ 

 

ขณะที่ตลาดหุ้น DM อื่นปรับลดลง ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าต่อเนื่องจากความเสี่ยงสงครามการค้า ทำให้เงินสกุลเอเชียรวมถึงเงินบาทอ่อนค่าลงกดดันหุ้น EM เอเชียปรับลดลงแรง ขณะที่ตัวเลขสินเชื่อของจีนยังไม่สะท้อนมาตรการกระตุ้นในช่วงที่ผ่านมา 

 

อย่างไรก็ตาม ความพยายามผลักดันเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านอสังหายังมีต่อเนื่อง ผ่านการลดภาษีการโอนบ้านลงจากเดิม 3% เหลือ 1% สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกและหลังที่สองที่มีพื้นที่ไม่เกิน 140 ตารางเมตร และลดภาษีมูลค่าเพิ่มของที่ดินลง 0.5% 

 

ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ผลประกอบการ 3Q24 อ่อนตัวลงทั้ง YoY และ QoQ ถูกกดดันจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเป็นหลัก หากไม่รวมกำไรของ SET ยังปรับขึ้น YoY SET อยู่ในช่วงพักฐานรอปัจจัยบวกใหม่ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นที่คาดว่าจะมีความคืบหน้าในสัปดาห์หน้า ราคาน้ำมันปรับลงแรง กดดันจากเงินดอลลาร์แข็งค่าและอุปสงค์ที่อาจถูกกระทบจากสงครามการค้า 

 

ค่าเงินบาท ‘แข็งค่า’ มากกว่าประเทศคู่ค้า

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์ว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือนตุลาคมที่สูงขึ้นนั้นเป็นผลจากปัจจัยต้นทุน (Cost-push) เป็นหลัก โดยเฉพาะองค์ประกอบด้านอาหารและการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจาก 0.12% (p.p.) เป็น 0.26% (p.p.) จากฐานราคาน้ำมันสำเร็จรูปปี 2023 ที่ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3.6 ดอลลาร์ต่อแกลลอน จาก 3.9 ดอลลาร์ในเดือนก่อน 

 

ด้านเงินเฟ้อจากราคาบ้านเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ผลจากแรงกดดันในอดีต ส่วนเงินเฟ้อจากค่าจ้างและองค์ประกอบอื่นชะลอต่อเนื่อง บ่งชี้ Fed สามารถลดดอกเบี้ยได้ในเดือนธันวาคม

 

ทั้งนี้ มองว่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมากหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง รวมถึงหลายฝ่ายกังวลเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบจากสงครามการค้า เนื่องจากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับค่าเงินหยวนมากที่สุดในเอเชีย นอกจากนั้นดัชนีค่าเงินบาททั้งรูปแบบปกติและเมื่อหักผลเงินเฟ้อ (NEER และ REER) ยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งกว่า 26.7% และ 6.4% นับตั้งแต่ปี 2012 ตามลำดับ 

 

ในส่วนของการเติบโตของสินเชื่อจีนที่ต่ำกว่าคาด และการที่ทางการจีนออกมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น เรามองว่า 

  1. มาตรการการเงินต่างๆ ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนยังไม่สามารถกระตุ้นความต้องการสินเชื่อได้อย่างมีนัยสำคัญ ผลจากการขาดความเชื่อมั่น 
  2. ตลาดอสังหายังน่ากังวล แม้ยอดขายที่อยู่อาศัยในเดือนตุลาคมจะเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ แต่ยังฟื้นตัวไม่สม่ำเสมอ โดยผู้ประกอบการรัฐได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นมากกว่าเอกชน 

 

ทั้งนี้ มองว่ามาตรการลดภาษีอสังหาอาจช่วยกระตุ้นการซื้อขายในระยะสั้นได้บ้าง แต่ปัญหาสำคัญคือความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ ขณะที่ในระยะต่อไปเศรษฐกิจจีนอาจเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

  1. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากรัฐเตรียมพิจารณาออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น แจกเงินหมื่นบาทเฟส 2, ช้อปดีมีคืน (Easy e-Receipt) แนะนำกลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT, CRC, HMPRO, TNP) 
  2. หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากดอลลาร์แข็งค่า/บาทอ่อนค่า แนะนำกลุ่มที่มีรายได้จากการส่งออก (CPF, DELTA) และกลุ่มท่องเที่ยว (AWC, AOT, MINT) 
  3. หุ้น Earning Play ซึ่งมองว่ามีโมเมนตัมกำไร 4Q24 จะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งเราแนะนำ Outperform เลือก BCP, GULF, OSP, CBG, AMATA, AU, TIDLOR 
  4. หุ้นที่จ่ายปันผลสูงและคาดว่าจะได้อานิสงส์จากการเป็นเป้าหมายสะสมของกองทุนวายุภักษ์และกองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เลือก BBL, ADVANC, HMPRO, BCP 

 

“ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัว Sideway โดยปัจจัยต่างประเทศค่อนข้างจำกัดหลังตลาดรับรู้ปัจจัยบวกรู้ปัจจัยบวกที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สะท้อนได้จากผลตอบแทนและกระแสเงินที่ไหลเข้าไปยังหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ รวมถึงกระแสเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้น EM และตลาดหุ้นจีนจากความกังวลเรื่องนโยบายปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ส่วนปัจจัยในประเทศมองว่าอาจอยู่ในช่วงปรับประมาณการของ บจ. และกำไรตลาดหลัง 3Q24 หลังจากภาพรวมกำไรออกมาต่ำกว่าคาด อีกทั้งยังมีประเด็นต้องติดตามจากบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเตรียมหารือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในวันที่ 19 พฤศจิกายน และลุ้นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องคดียุบพรรคเพื่อไทย ในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ

 

เหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้

  1. ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหารือถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมทั้งระยะสั้น กลาง และยาวในวันที่ 19 พฤศจิกายน 
  2. ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องคดียุบพรรคเพื่อไทยในวันที่ 22 พฤศจิกายน
  3. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น GDP 3Q24 ของไทย, ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐฯ ยูโรโซน และญี่ปุ่น เดือนพฤศจิกายน

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: LHHOTEL - ได้อานิสงส์ดอกเบี้ยลง ปันผลดี 

แนะนำ บมจ.แอล เอช โฮเทล หรือ LHHOTEL เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

  • เป็นกอง REIT ประเภทโรงแรมที่มีขนาดสินทรัพย์รวมใหญ่ที่สุด และมูลค่าตามราคาตลาดสูงที่สุดในประเทศไทย โดยเข้าลงทุนในโรงแรม 5 โครงการ (3 โครงการใน กทม. และ 2 โครงการในพัทยา) ซึ่งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ อีกทั้งได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยและการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย
  • 3Q24 กำไรออกมาดีกว่าคาด และ 4Q24 คาดว่ากำไรจะยังเติบโต YoY และ QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ส่วนปี 2024 คาดมีกำไรปกติ 1.4 พันล้านบาท เติบโตเด่น 45.5%YoY ซึ่งในประมาณการยังมี Upside หลังกำไรปกติ 9M24 คิดเป็น 79.7% ของประมาณการทั้งปีของเรา   
  • เป็น Top Pick ของกลุ่ม REIT และ IFF จากทรัพย์สินทุกโครงการมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ อีกทั้งมองว่าได้อานิสงส์จากโอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ จะปรับขึ้นต่อจากระดับปัจจุบันนี้มีจำกัด และคาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก
  • เราประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่หุ้นละ 16.50 บาท (อิงวิธี DDM) และคาดว่ามีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2024 ที่หน่วยละ 1.24 บาท คิดเป็น Dividend Yield สูงถึงปีละ 9.6% 

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา งบกลุ่มที่มีแรงหนุนจาก AI อย่างเซมิคอนดักเตอร์ Hon Hai และ Quanta ยังโตดี แต่อย่างไรก็ดี AMAT มีแรงกดดันจากสินค้าอุตสาหกรรมและยานยนต์ทำให้แนวโน้มรายได้ผิดคาด ด้านสตรีมมิ่งและคอมเมิร์ซในสหรัฐฯ มีภาพการฟื้นตัวที่ดี สวนทางคอมเมิร์ซในจีนและลักชัวรีที่กดดันจากเศรษฐกิจจีนเป็นหลัก ระยะถัดไปเราแนะติดตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกและนโยบายของทรัมป์ที่คาดส่งผลต่อแนวโน้มผลประกอบการของหุ้น

 

กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์: งบกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ยังเติบโตดีจากอุปสงค์ AI เป็นสำคัญ Hon Hai และ Quanta ที่มีสัดส่วนเซิร์ฟเวอร์ AI เป็นสินค้าหลักยังให้แนวโน้มการเติบโตในระดับสูง ขณะที่ AMAT ได้รับแรงหนุนจาก AI เช่นเดียวกันทำให้งบดี แต่อย่างไรก็ดี มีสัดส่วนธุรกิจในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและยานยนต์ที่ความต้องการอ่อนแอทำให้แนวโน้มออกมาผิดคาด

 

กลุ่มสตรีมมิ่ง: ธุรกิจสตรีมมิ่งมีผลกำไรดีกว่าที่คาดและจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นทั้ง DIS และ SPOT ซึ่งภาพนี้ออกมาในทิศทางเดียวกับ NFLX และ YouTube หลังในกลุ่มนี้มีแรงกดดันจากการแข่งขันการลดราคาที่ลดลง  

 

กลุ่ม e-Commerce: SHOP งบโตดีในทุกมิติ ทั้งรายได้ กำไร และส่วนแบ่งตลาด หลังมีแรงหนุนจากการขยายฐานลูกค้าที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และการเติบโตในตลาดต่างประเทศ ด้าน JD.com ควบคุมต้นทุนดีส่งผลให้อัตรากำไรขยายตัวดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี การแข่งขันในตลาดจีนยังกดดันการเติบโตของรายได้และส่วนแบ่ง

 

กลุ่มสินค้าลักชัวรี: Burberry และ Richemont เผยรายได้หดตัวลงกดดันจากความต้องการของผู้บริโภคลดลงโดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก อย่างไรก็ดี Burberry เตรียมปรับกลยุทธ์ทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้

 

เรามองว่าระยะถัดไปสิ่งสำคัญที่ต้องติดตามคือ 

  1. ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ส่งผลกระทบต่อแรงซื้อในกลุ่มลักชัวรี คอมเมิร์ซในจีน และสวนสนุกของ DIS 
  2. แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น ซึ่งภาพนี้จะส่งผลดีต่อกลุ่มสตรีมมิ่ง รวมถึงกลุ่มชิปในสินค้าอุตสาหกรรมและยานยนต์ที่จะฟื้นตัวได้ดีขึ้น 
  3. นโยบายของทรัมป์ ว่ามีข้อจำกัดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในทิศทางใด ซึ่งภาพนี้ทำให้กลุ่มสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ที่มีสัดส่วนรายได้จากจีนมีความเสี่ยง เช่น AMAT (30% ของรายได้รวม)  

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

สินทรัพย์สภาพคล่อง/เงินสดมีแนวโน้มให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูง โดยเฉพาะสหรัฐฯ หลังล่าสุด พาวเวลล์ ประธาน Fed ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในการลดดอกเบี้ย 

 

นอกจากนี้ สภาพคล่อง/เงินสด มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังดำเนินต่อ เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และข้อพิพาทการค้า หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งในสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 60% กับสินค้าจีนทั้งหมด และเก็บ 10% กับสินค้าจากทั่วโลก (ยกเว้นจีน)

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

โอกาสที่ UST Yield Curve จะเพิ่มความชัน (UST Yield ตัวยาว เพิ่มขึ้นนำ) ยังคงมีอยู่ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งในสหรัฐฯ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงขาขึ้นของเงินเฟ้อทั้งจากการจำกัดผู้อพยพ การกีดกันทางการค้า และการเพิ่มการขาดดุลการคลัง ที่หนุนอุปทาน UST ตัวยาวให้มากขึ้น 

 

นอกจากนี้ความเสี่ยงเงินเฟ้ออาจทำให้ Fed ระมัดระวังมากขึ้นในการลดดอกเบี้ย โดยที่บอนด์ตัวยาว (> 7 ปีขึ้นไป) มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ในขณะที่บอนด์อายุ 2-4 ปี มีความเสี่ยง Duration ที่น้อยกว่า และ Coupon ที่มากเพียงพอ จึงทำให้ตราสารหนี้ตัวสั้นยังมีความน่าสนใจในการถือลงทุน เพื่อรับ Coupon Income และยังคุ้มที่จะถือเพื่อ Hedge หากเกิดกรณีที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดมาก 

 

US Treasury & IG

 

10Y UST Yield ยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังที่ลดลงของตลาดฯ เกี่ยวกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่มากของ Fed หลัง พาวเวลล์ย้ำว่า ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ที่ทำให้ Fed จำเป็นต้องรีบร้อนในการลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับความกังวลยอดขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้น ผ่านการออก UST ที่มากขึ้นจากนโยบายของทรัมป์หลังได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และพรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากในสภาคองเกรส  

 

แนะนำลงทุนทั้ง UST และ US IG Bond (ซึ่งมีงบการเงินที่ยังดี) โดยเน้นลงทุนใน Duration ประมาณ 2-4 ปี ที่ให้ Yield ในกรอบ 4.3-4.9% ซึ่ง Yield เฉลี่ยยังสูงกว่าประมาณการอัตราดอกเบี้ย ‘ระยะยาว’ ของ Fed ที่ 2.9% เพื่อ Lock Coupon  

 

High Yield Bond

 

แม้ Spread ของ US HY มีแนวโน้มทรงตัวถึงแคบลงได้อีกเล็กน้อยจาก 

  1. US HY LTM Default Rate ที่ทยอยลดลงและยังอยู่ต่ำ 
  2. จำนวน HY Issuers ที่ถูก Upgrade มากกว่าที่ถูก Downgrade 
  3. ความผันผวนของตลาด US HY ที่ยังต่ำ 
  4. Maturity Wall ในปี 2025 ยังไม่ได้น่ากังวล เมื่อเทียบกับของปี 2026 ที่มีค่อนข้างสูง 

 

อย่างไรก็ตาม ด้วย US HY Spread ที่แพงมากเมื่อค่าเฉลี่ย 10 ปี และ UST Yield ตัวยาว ที่เสี่ยงปรับเพิ่มขึ้นต่อ จึงทำให้ Upside ของ US HY มีค่อนข้างจำกัด

 

สินทรัพย์ผสม / กึ่งหนี้กึ่งทุน / REITs

 

REITs ถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนในรูปกระแสเงินให้กับพอร์ตโฟลิโอได้ ทั้งในระยะกลางถึงยาว และเป็นการเพิ่ม Diversification ให้กับพอร์ตโฟลิโอจากความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ 

 

สินทรัพย์ผสมช่วยกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกที่มีต่อสินทรัพย์ที่ถือครอง

 

US REITs

 

US REITs มีปัจจัยหนุนจาก 

  1. แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งเราคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 125 bps จนถึงสิ้นปี 2025 ส่งผลให้ US REITs มีความน่าสนใจในแง่ของเงินปันผลที่สูงราว 4.0%
  2. Occupancy Rate ที่อยู่ในระดับสูงราว 94% และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NOI) ที่เติบโตต่อเนื่อง 
  3. ผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง 
  4. งบดุลที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอนาคต 
  5. Valuation ที่อยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต อย่างไรก็ตาม Bond Yield ที่ปรับตัวขึ้นจากแผนขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นของทรัมป์กดดันราคา US REITs ในระยะสั้น

 

Private Credit

 

เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit Asset จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวแบบจัดการได้ (Soft Landing) อย่างไรก็ตาม ยังเน้นการลงทุนใน Private Credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหน้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก (First Lien Seniority)

 

หุ้นไทย

 

ดัชนีได้ปัจจัยหนุนจาก 

 

  1. เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว 

 

  1. การประกาศแผนลงทุนในไทยของ NVIDIA ช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งกระทรวงการคลังคาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนด้าน Data Center และการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีนี้ 

 

  1. ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้นจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว 

 

  1. Valuation ที่ดูจาก Earning Yield Gap ของไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เนื่องจาก Bond Yield ของไทยยังไม่ได้ปรับขึ้นมาก

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

เรามองว่า การที่ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายภายใต้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวแบบ Soft Landing จะทำให้ตลาดหุ้นโลกมีผลตอบแทนที่ดีในกรอบเวลา 6-12 เดือน ด้านผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการของทรัมป์ เช่น กลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงาน

 

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันจากแนวโน้มการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ท่ามกลางความขัดแย้งการเมืองภายในเยอรมนี

 

หุ้นญี่ปุ่นได้อานิสงส์จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ทำให้เงินเยนอ่อนค่า และสนับสนุนหุ้นในกลุ่มส่งออกของญี่ปุ่น เน้นติดตามการผลักดันนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ในระยะต่อจากนี้

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ความคาดหวังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ แบบ Soft Landing ยังมีอยู่ หลังถ้อยแถลงของพาวเวลล์ล่าสุดระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ในการทยอยรายงานงบของ S&P 500 ใน 3Q24 พบว่าโดยเฉลี่ย บจ. ที่รายงานแล้ว มี EPS Surprise ที่ +5 และอาจช่วยหนุนให้ Consensus ทยอยปรับประมาณการ EPS ของดัชนีฯ ทั้งปี 2024 ดีขึ้น 

 

ส่วนผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีและพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา หนุนความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบและการปรับลดภาษีเงินได้ในสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรายังเน้นหุ้นกลุ่ม Quality Growth ผสมผสานกับหุ้นกลุ่ม Defensive

 

หุ้นยุโรป

 

ดัชนีหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักในยุโรป โดยเราเน้นหุ้นกลุ่ม Quality Growth ยุโรปที่มีความสามารถในการกำไรสูงและมีงบดุลแข็งแกร่ง แม้ยังมีความเสี่ยงจากภาคการเมืองของเยอรมนีที่เสถียรภาพลดลงหลังนายกรัฐมนตรีสั่งปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ส่งผลให้รัฐบาลต้องจัดลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 16 ธันวาคม 2024 รวมทั้งข้อพิพาทการค้ากับจีน (หลังจีนบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราวต่อการนำเข้าบรั่นดีจาก EU) และแนวโน้มการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

เงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากหุ้นในตลาดเกิดใหม่เอเชีย (ไม่รวมจีน) ส่วนใหญ่ หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ สร้างความกังวลต่อประเด็นการเก็บภาษีสินค้านำเข้า ขณะที่ 10Y UST Yield ปรับเพิ่มขึ้นและสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 

 

แม้ที่ประชุม NPC Standing Committee อนุมัติแผนวงเงิน 10 ล้านล้านหยวน สำหรับให้รัฐบาลท้องถิ่นนำไปรีไฟแนนซ์หนี้ LGFVs แต่ยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้คาดว่าต้องมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 

 

เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตชะลอตัวลง ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายงานกำไรของบริษัทจดทะเบียนออกมาน้อยกว่าคาด และอาจถูกปรับประมาณการลง กดดันดัชนีฯ ระยะสั้น

 

หุ้นอินเดีย

 

เรามีมุมมองที่ระมัดระวังต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้น จากอัตราเงินเฟ้อเดือนตุลาคม 2024 ที่เร่งตัวขึ้นอยู่ที่ระดับ +6.2% (สูงกว่าเป้าที่ 6%) ขณะที่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อรายย่อยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Valuation ของดัชนีฯ ยังอยู่ในระดับที่แพง ท่ามกลางการโยกเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติออกจากอินเดียนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม คิดเป็นมูลค่าราว 13 พันล้านดอลลาร์ 

 

อย่างไรก็ดี สัดส่วนส่งออกสินค้าอินเดียไปสหรัฐฯ ต่ำกว่าประเทศ EM ส่วนใหญ่ ในกรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อ GDP อินเดียจำกัด โครงสร้างการเติบโตในระยะยาวแข็งแกร่ง เหมาะแก่การทยอยสะสมเมื่อดัชนีฯ ย่อตัว  

 

หุ้นอินโดนีเซีย

 

ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก 

  1. เศรษฐกิจที่เติบโตได้ดีจากการบริโภคที่ฟื้นตัว โดยการเลือกตั้งท้องถิ่นในเดือนพฤศจิกายนจะช่วยสนับสนุนภาคการบริโภค กอปรกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่จะช่วยสนับสนุนภาคการลงทุน 
  2. FDI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดย FDI ใน 2Q24 ขยายตัว +16.6%YoY 
  3. ภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี จากความต้องการแร่นิกเกิลในการผลิตแบตเตอรี่ EV 
  4. กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวใน 2H24 
  5. Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดย 12M Forward P/E อยู่ที่ 13.0x หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ -1.0 S.D. อย่างไรก็ตาม ค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่าลง จากความกังวลต่อนโยบายของทรัมป์ส่งผลกดดันดัชนีฯ ในระยะสั้น

 

หุ้นจีน

 

ดัชนีฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากมาตรการส่งเสริมตลาดทุนจีนจากมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ซ่อนเร้นของรัฐบาลท้องถิ่น และจากมาตรการเยียวยาภาคอสังหา โดยล่าสุดจีนออกมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับบ้านและที่ดิน 

 

นอกจากนี้ในการประชุม CEWC เดือนธันวาคมนี้ เรามองมีโอกาสที่ทางการจีนอาจผ่อนคลายนโยบายการคลังมากขึ้น ผ่านการส่งสัญญาณเกี่ยวกับเป้าการเติบโตและงบทางการคลังที่เน้นกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ สำหรับปี 2025 ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯ

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ปัจจัยพื้นฐานของทองคำยังคงสนับสนุนการลงทุนในพอร์ตระยะยาว เนื่องจาก 

 

  1. เป็นสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงจากภาวะสงครามที่รุนแรงได้ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลาง 
  2. ความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่อยู่สูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง สนับสนุนการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ 
  3. ช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากนโยบายการกีดกันทางการค้า 
  4. Fund Flow ของ ETF ทองคำที่กลับมาซื้อสุทธิ 6 เดือนติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และ US Bond Yield ที่ปรับขึ้นหลังชัยชนะของทรัมป์มีแนวโน้มส่งผลกดดันราคาทองคำในระยะสั้น

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 18 พ.ย. 2024

READ MORE



Latest Stories