THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
GDP
EXCLUSIVE CONTENT

ไทยเสี่ยงหนัก! หลังสหรัฐฯ- เวียดนามดีลภาษีการค้าลงตัว คาดฉุด GDP และภาคเกษตรไทย

... • 7 ก.ค. 2025

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยดัชนี S&P500 ปิดทำจุดสูงสุดใหม่ แรงหนุนมาจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามที่สามารถบรรลุข้อตกลงได้เป็นประเทศที่ 3 ต่อจาก สหราชอาณาจักรและจีน โดยเวียดนามตกลงที่จะจ่าย ภาษี 20% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่ส่งเข้ามายังสหรัฐฯ จ่าย ภาษี 40% สำหรับสินค้าสวมสิทธิ์ และให้สหรัฐฯ สามารถส่งออกสินค้าทุกชนิดไปเวียดนามโดยไม่เสียภาษี (Zero Tariff) 

 

นอกจากนั้น ยังได้ปัจจัยบวกจากการผ่อนคลายการกีดกันด้านเทคโนโลยีกับจีน หนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.2% ด้านกลุ่มธนาคารเป็นอีกกลุ่มที่ปรับขึ้นได้ดี 2% จากความคาดหวังต่อผลประกอบการโอกาสการซื้อหุ้นคืน หลังธนาคารสหรัฐผ่านการทำ Stress Test 

 

นอกจากนั้น ตัวเลขการจ้างงานและการผลิตของสหรัฐ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐผสมผสานภาคการผลิตยังคงออกมาดี แต่การใช้จ่ายผู้บริโภคหดตัวลง การจ้างงาน ADP ลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2022 แต่หักล้างจากการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ตลาดยังคงมองการลดดอกเบี้ยของ Fed 2 ครั้งในปีนี้ 

 

ตลาด EM ปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน หนุนโดยประเด็นการเจรจาการค้าของเวียดนาม และตัวเลข PMI การผลิตของทางการจีน เดือน มิ.ย. ปรับเพิ่มขึ้นและสูงกว่าตลาดคาด แม้จะยังอยู่ในโซนหดตัว ด้าน PMI นอกภาคการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 50.5 จุด เท่ากับที่ตลาดคาด 

 

ตลาดหุ้นไทย ปรับขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ศาลฯ จะรับคำร้องและให้นายกฯ หยุดการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตลาดอยู่ระหว่างจับตาการเจรจาการค้าของไทยกับสหรัฐที่เริ่มแล้วในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันฟื้นตัวหลังปรับลดลงแรงสัปดาห์ก่อน โดยมีข่าวอิหร่านระงับการให้ความร่วมมือด้านนิวเคลียร์กับ IAEA

 

ภาษีการค้าจ่อกระทบ GDP และภาคเกษตรไทย

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เวียดนามเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ทำให้ไทยเผชิญความเสี่ยงจากการเจรจาการค้าครั้งสำคัญที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ จาก 

  1. ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม 
  2. ผลกระทบของภาษีส่งออกของไทยสู่สหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป 

 

โดยหากไทยเจรจาสำเร็จให้ได้ภาษีลดลงเหลือ 10% GDP จะเติบโต 1.7% ในปี 2025 (ความน่าจะเป็น 10%) แต่หากการเจรจาได้ผลบางส่วนและต้องเผชิญภาษี 15-20% GDP จะเติบโตเพียง 1.1-1.4% (ความน่าจะเป็น 60%) 

 

ส่วนในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษี 25-36% GDP อาจหดตัวที่ -1.1% ถึง +0.5% พร้อมการส่งออกลดลงเกิน 10% (ความน่าจะเป็น 30%) ซึ่งความเป็นไปได้ของสถานการณ์เลวร้ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากแม้แต่เวียดนามที่เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ยังถูกเก็บภาษีในอัตราสูง 

 

ทั้งนี้ หากไทยต้องยกเลิกภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ภาคเกษตรกรรมจะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลืองที่ราคาอาจลดลง 15-25% และภาคยานยนต์ที่ต้องปรับโครงสร้างการผลิตเมื่อรถยนต์อเมริกันเข้ามาแข่งขัน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมหลายสาขาจะได้ประโยชน์จากการเข้าถึงเทคโนโลยี เครื่องจักร และวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ในราคาที่ถูกลง โดยเฉพาะภาคพลังงานที่จะนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านตัน เป็น 3-4 ล้านตันต่อปี 

 

อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า ในปัจจุบันความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้องจับตาความเสี่ยงเงินเฟ้อ โดยหากเงินเฟ้อ CPI ไม่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า อาจเปิดทางให้ Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือน ก.ย. เนื่องจากตัวเลขตลาดแรงงานและการบริโภคเริ่มลดลง ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งภายในปีนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ยังแข็งแกร่งจะทำให้ Fed ชะลอการลดดอกเบี้ยไปอีกระยะหนึ่ง

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

  1. หุ้น Earnings Play ซึ่ง 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY และ QoQ แนะนำ ADVANC BCH CBG CPALL SCCC
  2. หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ แนะนำ ADVANC BCH DIF 
  3. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT 
  4. Trading Idea สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Undervalue (PER PBV < -1SD) ซึ่งคาดให้ Div. Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% แนะนำ BBL BCPG BDMS CPALL DIF PTT SIRI TIDLOR 2) หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย แนะนำ ERW CENTEL AAV และ 3) หุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็วหากสงครามการค้ามีความชัดเจน แนะนำ WHA AMATA AOT MINT PTT TU

 

“ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์ โดยมีโอกาสปรับขึ้นหากว่ามีความชัดเจนเบื้องต้นเกี่ยวกับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศอื่นๆ รวมทั้งไทย หลังเข้าใกล้เส้นตาย 9 ก.ค. อีกทั้งมองสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศจะยังไม่มีแรงกดดันเพิ่มเติมเข้ามาในช่วงสั้น เนื่องจากยังต้องรอผลการตัดสินขั้นสุดท้ายของศาลรัฐธรรมนูญหลังจากที่มีมติให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ดีเราประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

  1. ครบกำหนดช่วงผ่อนปรน 90 วันภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่จะกลับมามีผลเต็มรูปแบบในวันที่ 9 ก.ค.
  2. เงินเฟ้อ CPI ไทย เดือน มิ.ย. ในวันที่ 7 ก.ค. 
  3. เงินเฟ้อ CPI จีน เดือน มิ.ย. ในวันที่ 9 ก.ค.
  4. รายงานการประชุม FOMC Minutes เมื่อวันที่ 17-18 มิ.ย.

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: ADVANC - ผลประมูลหนุนกำไรโต ปันผลดี

 

แนะนำ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

  • เป็นผู้นำธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในไทย มีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของในด้านจำนวนผู้ใช้บริการสูง 45% อีกทั้งยังมีจำนวนคลื่นในมือมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้บริการลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพและผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ดีในระยะยาว
  • 2Q25 คาดมีกำไรปกติจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ แรงหนุนจากรายได้ให้บริการหลักที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนให้บริการรวมค่าเสื่อมราคาที่ลดลง ส่วนปี 2025 คาดมีกำไรปกติแตะ 4.07 หมื่นลบ. เติบโต 16.9%YoY ซึ่งมี Downside จำกัดจากมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐเพราะมีรายได้เกือบ 100% มาจากภายในประเทศ 
  • มองเป็นหุ้น Defensive ที่มีกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นซึ่งจะทำให้ ARPU ในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจ FBB ปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • เราประเมินราคาเป้าหมายที่หุ้นละ 332 บาท อิงวิธี DCF (WACC 6% และอัตราเติบโตระยะยาว 1.5%) และคาดให้ Div. Yield ปีนี้ ราว 5.1%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

สภาคองเกรสสหรัฐฯ อนุมัติร่างกฎหมาย big, beautiful bill ของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีและการใช้จ่ายจำนวนมาก ร่างกฎหมายนี้คาดว่าจะกลายเป็นกฎหมายในไม่ช้า โดยเราประเมินว่าเนื้อหาหลักยังออกมาในทิศทางเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดเล็กน้อย ซึ่งส่งผลลบต่อกลุ่มประกันสุขภาพและพลังงานหมุนเวียน ในทางตรงกันข้ามส่งผลบวกต่อกลุ่มเทคฯและกลุ่มสินค้าจำเป็น

 

กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ

  • Healthcare Service : ได้รับผลกระทบจากการเตรียมตัดงบ Medicaid และเพิ่มเงื่อนไขที่เข้มงวด ทำให้ผู้ป่วยในระบบประกันสุขภาพมีน้อยลงซึ่งกดดันแหล่งรายได้หลักของกลุ่ม ประกอบกับมีแรงกดดันเพิ่มจากการหมดอายุของเครดิตภาษีสมัยไบเดน ทำให้เราแนะหลีกเลี่ยงกลุ่มที่เกี่ยวข้อง Medicaid ไปก่อน CVS, UNH, 2BH, THC, C
  • Clean Energy : มีการยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีพลังงานสะอาดเร็วกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับเพิ่มภาษีใหม่สำหรับโครงการพลังงานลมและแสงอาทิตย์หลังปี 2027 ซึ่งเรามองเป็นความเสี่ยงที่ทำให้หุ้นผันผวนได้ แต่เรายังเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้มีแรงหนุนจากปัจจัยเฉพาะตัวและความสามารถในการทำกำไรที่ฟื้นดีขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การเติบโตผ่านจุด Bottom มากกว่าการสนับสนุนของทางภาครัฐฯ FSLR SEDG

 

กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวก

  • Technology: มีการเพิ่มเครดิตภาษีการลงทุนกับผู้ผลิตเซมิฯให้สูงขึ้นจาก 25% เป็น 35% หากเริ่มก่อสร้างโรงงานใหม่ในสหรัฐฯ ก่อนปี 2026 ซึ่งภาพนี้เป็นบวกต่อกลุ่มเซมิฯที่จะตั้งโรงงานในสหรัฐฯ เช่น INTC TSM MU Samsung GlobalFoundries หลังช่วยลดต้นทุนการผลิตโรงงานใหม่ และดึงดูดการลงทุนในสหรัฐฯ
  • Consumer staple: การลดหย่อนภาษีครั้งใหญ่สำหรับครัวเรือนและบุคคลธรรมดา จะเพิ่มอำนาจการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งภาพนี้เป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกอย่าง WMT AMZN

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่ยังสูง หลังการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ดีกว่าคาด อาจหนุนให้ Fed ไม่รีบลดดอกเบี้ย และมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน สถานการณ์ในตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนการค้าระหว่างสหรัฐฯ-คู่ค้า ที่เข้าใกล้เส้นตาย 9 ก.ค.

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

ความไม่แน่นอนเงินเฟ้อสหรัฐฯ จากกำแพงภาษี และความกังวลหนี้สาธารณะ มีแนวโน้มหนุน UST Yield ตัวยาว เพิ่มขึ้นต่อ ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลาง-ยาว น่าจะยังปรับลดลง จากการปรับลดดอกเบี้ยของกนง.อีก 2 ครั้งในปีนี้ ท่ามกลางการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทย

 

U.S. Treasury & IG

 

ส่วนชดเชยความเสี่ยงจากการถือพันธบัตรระยะยาวสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความกังวลขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ตามร่างกฎหมาย OBBB ขณะที่ ดัชนี US IG bond ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี เมื่อเทียบ US HY bond แนะนำลงทุน UST และ US IG bonds โดยเน้น duration สั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอน

 

High Yield Bond

 

ความไม่แน่นอนของข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-คู่ค้า อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate จะปรับเพิ่มขึ้น จากระดับในปัจจุบันที่ยังต่ำ ประกอบกับ UST Yield ตัวยาว มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อ และ US credit spread ที่ค่อนข้างแพง อาจจำกัด upside ของ US HY

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

REITs ถูกกดดันจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น แต่ REITs เป็นสินทรัพย์ที่ให้กระแสเงินสดที่มั่นคงและมีอัตราการเติบโตของเงินปันผล และมีความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ / สินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน บรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอก

 

US REITs

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูง จากการผ่านร่างกฎหมายลดภาษีของสหรัฐฯ ส่งผลให้ Yield Spread ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีและอัตราเงินปันผลของ REIT ยังติดลบที่ -0.2% อย่างไรก็ดี ตลาดคาดว่า Fed จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ ทำให้ US REIT เริ่มกลับมามีความน่าสนใจมากขึ้น

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มถูกปรับลงต่อได้อีกไม่มาก หลังการจ้างงานนอกภาคเกษตร และ ISM ภาคบริการล่าสุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน และสูงกว่าที่คาด ทั้งนี้ แนะนำเน้นลงทุนใน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก

 

หุ้นไทย

 

ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดระยะสั้น เพิ่มความเสี่ยงการผ่านร่างงบประมาณปี 2569 และการปรับลด GDP ในปีนี้ ทั้งนี้ ติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ หลังเข้าใกล้เส้นตาย 9 ก.ค. และสหรัฐฯ ประกาศลดภาษีนำเข้าจากเวียดนามจาก 46% เป็น 20% สะท้อนโอกาสที่ไทยจะถูกเก็บภาษีมากกว่า 10%

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

ความคืบหน้าของร่างกระตุ้นการคลัง และการผลักแผนผ่อนคลายกฎระเบียบภาคธนาคารของสหรัฐฯ อาจประคอง sentiment หุ้นสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจยุโรปได้แรงหนุนจากความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนหุ้นญี่ปุ่น มีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากค่าจ้างญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

การผ่อนผันการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump ที่จะสิ้นสุดลง 9 ก.ค. ทำให้นักลงทุนบางส่วนยังคงระมัดระวังการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ส่วนในระยะกลาง เรามอง กำไรบจ.สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโตดี และเป็นวงกว้างขึ้น จากกระแส AI ร่างกฎหมายลดภาษีเงินได้-เพิ่มการใช้จ่าย และการผ่อนคลายกฎระเบียบเพิ่มเติม

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดยุโรปได้แรงหนุนระยะสั้นจากความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้า หลังยุโรปเปิดรับแนวทางข้อตกลงที่กำหนดภาษีนำเข้าในอัตรา 10% แต่เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดภาษีในกลุ่มสินค้าที่สำคัญ เช่น กลุ่มรถยนต์และเหล็ก ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยของ ECB ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาทางการค้า ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับใกล้เคียงเป้าหมาย

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ความไม่แน่นอนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และประเด็นการเมืองของญี่ปุ่น อาจเพิ่มความผันผวนต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นในระยะสั้น แต่ดัชนีฯ ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่นที่คืบหน้า และค่าจ้างในญี่ปุ่นที่เติบโตดี หลังญี่ปุ่นบรรลุเจรจาค่าจ้างประจำปี เพิ่มอีกเฉลี่ย 5.25% สูงสุดในรอบ 34 ปี

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

แม้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย มีแนวโน้มถูกกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ยังมีอยู่ แต่เราคาด จะเห็นประเทศในเอเชียรีบเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. นอกจากนี้ ยังคาด ทางการประเทศต่างๆ ยังมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า

 

หุ้นอินเดีย

 

ตลาดหุ้นอินเดีย ยังมีแนวโน้มได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ย และการใช้จ่ายการคลัง ที่ช่วยหนุนอุปสงค์ภายในประเทศ ประกอบกับ ความคาดหวังการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ตามที่คณะผู้แทนเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และอินเดียกำลังเร่งเจรจากัน เพื่อเร่งบรรลุข้อตกลงภาษีนำเข้าให้ทันก่อน 9 ก.ค.นี้

 

หุ้นจีน A-Share

 

เราคาด ทางการจีนมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีน A-share มีแนวโน้มได้แรงหนุนต่อเนื่อง หลังทั้งสองประเทศสามารถบรรลุกรอบข้อตกลงการค้าร่วมกันที่ลอนดอนก่อนหน้านี้ ซึ่งนำไปสู่การที่ล่าสุด สหรัฐฯ ได้ยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกซอฟต์แวร์ออกแบบชิปไปยังจีน

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ เนื่องจาก รัฐสภาผ่านร่างกฎหมายลดภาษีที่ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความไม่แน่นอนด้านอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำต่อ ถึงแม้ว่าจะมีข้อตกลงกับบางประเทศ แต่ยังสะท้อนถึงอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น

 

ภาพ: Busakorn Pongparnit/Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 7 ก.ค. 2025

READ MORE



Latest Stories