- สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดปรับตัวลดลงหลังจากความเสี่ยงตลาดการเงินมีมากขึ้น หลังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Rating ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ 1 Notch จาก AAA เป็น AA+
- สาเหตุสำคัญของการปรับลดอันดับเครดิตลงมาจากความสามารถในการชำระหนี้ของสหรัฐฯ ที่ลดลง ประกอบกับทางการสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการคาดการณ์การกู้ยืมในไตรมาส 3 จาก 7 แสนล้าน สู่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น
- อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า การปรับลดอันดับเครดิตครั้งนี้ ความเสี่ยงต่อกองทุนพันธบัตรรัฐบาลอาจมีมากขึ้นในระยะต่อไป เพราะ S&P ได้ปรับลดตั้งแต่ปี 2011 และเมื่อ Fitch ปรับลดในปีนี้ ทำให้เป็นการลด 2/3 (เหลือแค่ Moody’s) ทำให้บางกองทุนที่ซื้อเฉพาะพันธบัตร AAA อาจต้องปรับลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ
- หากเศรษฐกิจชะลอลงและเข้าสู่ภาวะ Recession ในระยะต่อไป จะทำให้ในที่สุดแล้ว Fed จะลดดอกเบี้ย ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นลดลง และทำให้การถือครองสินทรัพย์เหล่านั้นได้ผลตอบแทนที่ดีได้
สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดปรับตัวลดลงจากความเสี่ยงตลาดการเงินที่มีมากขึ้น หลังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Rating ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐอเมริกา 1 Notch จาก AAA เป็น AA+ โดย Fitch กล่าวว่า เป็นผลจาก
- ธรรมาภิบาลถูกกัดกร่อน (Erosion of Governance) กว่า 20 ปี (ล่าสุดคือการเพิ่มเพดานหนี้ในเดือนมิถุนายน)
- ขาดแผนการคลังระยะกลาง
- ขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น
- ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
นอกจากนี้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการคาดการณ์การกู้ยืมในไตรมาส 3 จาก 7 แสนล้านดอลลาร์ สู่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น
ขณะที่ธนาคารกลางสำคัญทั้งยุโรป (ECB), อังกฤษ (BOE), ญี่ปุ่น (BOJ) และไทย (BOT) ทำนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น โดย ECB ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเป็น 3.75% จาก 3.5% ตรงกับการคาดการณ์ ขณะที่ยังคงไม่ปิดประตูสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ชะลอลงมาอยู่ที่ 5.3%
BOE ขึ้นดอกเบี้ยอีก 25 bps สู่ 5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีท่ามกลางเงินเฟ้อที่ชะลอลงมาอยู่ที่ 7.9%
BOJ ผ่อนคลายมาตรการควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield-Curve Control: YCC) โดยขยายเพดานอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี จาก 0.5% เป็น 1% ขณะที่หลายฝ่ายมองว่า อาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยจาก -0.1% ภายในหนึ่งปีนับจากนี้
และ กนง. ของไทย มีมติเอกฉันท์ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps สู่ 2.25% ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ต่ำที่ 0.23% ขณะที่บ่งชี้ว่า การขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปขึ้นอยู่กับข้อมูล (Data Dependent) เป็นสำคัญ
ด้านตัวเลข GDP สหรัฐอเมริกาและยุโรปไตรมาส 2/23 ที่ออกมาดีเกินคาด โดย GDP สหรัฐฯ ขยายตัวที่ 2.4% (QoQ, SAAR) สูงกว่าตลาดคาดที่ 1.8% และไตรมาสที่แล้วที่ 2.0% หากพิจารณารายไตรมาส ภาคเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแรงขึ้น ได้แก่ ภาคการลงทุน อันได้แก่ การสั่งซื้อเครื่องบินและเครื่องมือเครื่องจักรด้าน IT เป็นหลัก แต่ภาคเศรษฐกิจอื่นชะลอตัวลงแรงหรือหดตัวมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการบริโภคและการส่งออก รวมทั้ง GDP ยุโรปขยายตัวต่ำที่ 0.3%QoQ หลังจากที่หดตัวในไตรมาส 4 และไม่ขยายตัวในไตรมาส 1 โดยเศรษฐกิจเยอรมนีไม่ขยายตัว ฝรั่งเศสขยายตัวเล็กน้อย ขณะที่อิตาลีหดตัว ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจยุโรปที่มากขึ้นทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ
Fitch หั่นเครดิต เพิ่มความเสี่ยงต่อกองทุนพันธบัตรรัฐบาล
การปรับลดอันดับเครดิตจาก AAA เป็น AA+ โดย Fitch กล่าวว่า เป็นผลจากธรรมาภิบาลถูกกัดกร่อน, การขาดแผนการคลังระยะกลาง และการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นจาก 3.7% ต่อ GDP ในปีที่แล้ว เป็น 6.3% ปีนี้ 6.6% ปี 2024 และ 6.9% ในปี 2025 และค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ภาษีขึ้นเป็น 10% (เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 2.8% ในกลุ่ม AA และ 1% ในกลุ่ม AAA)
ทั้งนี้ เราเห็นด้วยกับการปรับลดอันดับเครดิตครั้งนี้ และมองว่าความเสี่ยงต่อกองทุนพันธบัตรรัฐบาลอาจมีมากขึ้นในระยะต่อไป เพราะ S&P ได้ปรับลดตั้งแต่ปี 2011 และเมื่อ Fitch ปรับลดในปีนี้ ทำให้เป็นการลด 2/3 (เหลือแค่ Moody’s) ทำให้บางกองทุนที่ซื้อเฉพาะพันธบัตร AAA อาจต้องปรับลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ
นอกจากนั้นเรามองว่าห้วงเวลาในการปรับลดครั้งนี้น่าสนใจ เนื่องจากสภาวะตลาดการเงินยังดีอยู่ ซึ่งหาก Fitch ปรับลดในช่วงที่มีความเสี่ยงด้านการคลัง เช่น ช่วงเวลาต่อเพดานหนี้ หรือช่วงที่เสี่ยงต่อการเกิด Government Shutdown จะยิ่งทำให้ตลาดการเงินผันผวนขึ้น
ซึ่งเรามองว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Fitch ปรับลดอันดับในช่วงนี้คือประเด็นด้านการเงิน โดยดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะยิ่งทำให้รายจ่ายดอกเบี้ยของรัฐบาลสหรัฐฯ สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าหากเศรษฐกิจชะลอลงและเข้าสู่ภาวะ Recession ในระยะต่อไป จะทำให้ในที่สุดแล้ว Fed จะลดดอกเบี้ย ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นลดลง และทำให้การถือครองสินทรัพย์เหล่านั้นได้ผลตอบแทนที่ดีได้
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าการถือครองตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงสูง อาทิ High Yield Bond จะมีความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางดอกเบี้ยที่จะยังสูงในระยะสั้นและความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย
ในส่วนของนโยบายการเงินโลกที่มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งใน Fed, ECB และ ธปท. รวมถึงมีการขยายช่วงควบคุมผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น หรือ Yield Curve Control นั้น เรามองว่าเป็นความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากสัญญาณชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเห็นเด่นชัดขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อเป็นความเสี่ยงน้อยลง แต่ธนาคารกลางต่างๆ ก็ยังคงเร่งทำนโยบายการเงินตึงตัว ซึ่งอาจทำให้โมเมนตัมเศรษฐกิจที่ชะลออยู่แล้วเข้าสู่ภาวะถดถอยในระยะต่อไปได้
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY และ QoQ เลือก ADVANC (Defensive), BEM (Defensive) และ GULF (ราคาต่ำกว่าก่อนเลือกตั้ง)
- เก็งกำไรหุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 มีโอกาสดีกว่าตลาดคาด เลือก AOT (เป็นไตรมาสแรกที่กลับมาเก็บ Minimum Guarantee) MINT (NHH ประกาศงบเป็น Record High)
- หุ้นที่งบ 2Q66 ออกมาดีแล้ว และคาดว่างบจะดีต่อในช่วง 3Q66 เลือก SCGP (High Season ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์)
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน
- หุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงาน 2Q66 จะออกมาอ่อนแอ และมีโอกาสที่ตลาดจะปรับลดประมาณการ เช่น กลุ่มอาหาร (TU, CPF, GFPT และ BTG) และกลุ่มหลักทรัพย์ (ASP และ MST)
- หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญจากกำลังซื้อภาคเกษตรที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL), กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD), กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY), กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง), กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
“มอง SET ยังเคลื่อนไหวในกรอบ เนื่องจากรอความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และเข้าสู่ช่วงติดตามผลการดำเนินงาน 2Q66 ของหุ้น Real Sector ท่ามกลางการคาดการณ์เงินเฟ้อที่จะชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศมองตลาดจับตาตัวเลขเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ รวมทั้งผลการดำเนินงาน 2Q66 ที่จะทยอยออกมา ซึ่งคาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ช้าในช่วงครึ่งปีหลัง”
เหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้
- การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมของไทย (7 สิงหาคม), สหรัฐอเมริกา (10 สิงหาคม) และจีน (9 สิงหาคม)
- สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
- การทยอยประกาศผลประกอบการ 2Q23 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Real Sector
สรุปภาวะตลาดและมุมมองการลงทุน
ภาพรวมดอกเบี้ยนโยบายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ปรับขึ้นตามที่ตลาดคาดไว้ แต่เริ่มมองถึงจุดสูงสุดของนโยบายการเงินตึงตัว หลังตัวเลขเงินเฟ้อและตัวเลขเศรษฐกิจมีทิศทางชะลอตัวลง พัฒนาการของตัวเลขเศรษฐกิจจริงจากนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในครึ่งปีหลัง ตลาดสหรัฐฯ ยังเล่นธีมการหมุนหุ้นออกจากกลุ่มผู้นำหรือออกจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปสู่กลุ่มที่ Laggard มาตั้งแต่ต้นปีหรือมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น กลุ่มพลังงานที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามราคาน้ำมัน กลุ่มธนาคารที่งบการเงินยังแข็งแรง ไปจนถึงหุ้นขนาดเล็กและกลุ่มเฮลท์แคร์ที่ Underperform ตลาดมายาวนาน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าตลาดจะมองโอกาสเกิด Recession น้อยลง แต่ปัจจัยลบที่จะสร้างความผันผวนกับตลาดในระยะถัดไปยังคงมีอยู่ค่อนข้างมาก ทั้งจากสภาพคล่องที่ยังลดลงต่อเนื่อง ราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นมา และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อในอนาคตได้อีกครั้ง รวมถึงการถูกปรับลด Credit Rating ของสหรัฐฯ
ด้านตลาดจีนยังคงได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงในเกือบทุกภาคส่วน บีบให้ภาครัฐต้องออกมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ทำให้เห็นการฟื้นตัวในหุ้นจีนได้เป็นระยะ อย่างไรก็ดี เรายังมองว่าโอกาสกลับตัวเป็นขาขึ้นรอบใหม่ยังไม่ชัดเจน และมองว่าจีนจะใช้มาตรการหนุนเป็นรายภาคส่วนที่จำเป็นก่อน จากนั้นจึงจะมีมาตรการกระตุ้นที่มากขึ้นในช่วงท้ายปี ตลาดจึงจะสามารถกลับเป็นขาขึ้นชัดเจนได้อีกครั้ง
ด้านตราสารทางเลือก เรายังคงมุมมองเป็นกลางต่ออสังหาริมทรัพย์ / REIT ประเทศพัฒนาแล้ว แต่มีมุมมองเชิงบวกต่อ REIT ไทยและอาเซียน ซึ่งอัตราเงินปันผลมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านราคาน้ำมันเริ่มเห็นทิศทางปรับตัวดีขึ้น หลังกลุ่มผู้ผลิตยังเหนียวแน่นด้านการควบคุมปริมาณการผลิต เพื่อพยุงราคาไม่ให้ต่ำเกินไป ถือเป็นโอกาสในการลงทุนระยะสั้น นอกจากนี้เรายังแนะนำให้ถือลงทุนทองคำในพอร์ต เพื่อรองรับความเสี่ยงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: MINT - คาดว่าธุรกิจในยุโรปจะหนุนกำไรสดใส
สัปดาห์นี้เราเลือกแนะนำ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT เนื่องจาก 5 เหตุผลหลัก ดังนี้
- ดำเนินธุรกิจพักผ่อนและสันทนาการที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อีกทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ NH Hotel Group ซึ่งเป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในทวีปยุโรป
- ผลประกอบการมีโมเมนตัมดี โดยคาดการดำเนินงานในยุโรปผ่าน NHH (MINT ถือ 94%) จะแข็งแกร่ง เนื่องจากการกลับมาเดินทางเพื่อธุรกิจ (~30% ของรายได้) จะช่วยลดผลกระทบหากความต้องการเดินทางเพื่อพักผ่อน (~70% ของรายได้) ชะลอตัวจากกังวลเศรษฐกิจไม่แน่นอน
- 2Q23 คาดมีกำไรปกติราว 3 พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ แรงหนุนหลักจากธุรกิจโรงแรมในยุโรปที่เข้าสู่ไฮซีซัน (NHH มีกำไรปกติ 2Q23 ทำ Record High ที่ 78.7 ล้านยูโร เติบโต 22%YoY และดีกว่าขาดทุนปกติที่ 40 ล้านยูโรใน 1Q23) นอกจากนี้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในไทยคาดว่าการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง อีกทั้งธุรกิจในจีนกำลังฟื้นตัวจากเปิดประเทศ
- ปี 2023 คาดว่ามีกำไรปกติ 6.2 พันล้านบาท และฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดโควิดที่ราว 7.6 พันล้านบาทในปี 2024 ตามการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในยุโรปผ่านทาง NHH ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับธุรกิจร้านอาหารในไทยและจีนที่จะดีขึ้นหลังมีการเปิดประเทศและกิจกรรมเศรษฐกิจกลับมา
- Valuation ยังไม่แพง โดยราคาหุ้นปัจจุบันเทรด PER 2023F ที่ 29x ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2012-2019) อีกทั้งเราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 42 บาท (อิงวิธี SOTP)
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
สภาพคล่อง / เงินสด
ความน่าสนใจระดับ 3
สินทรัพย์สภาพคล่อง / เงินสด มีโอกาสให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดอกเบี้ยนโยบาย (ที่มีแนวโน้มผ่านจุด Peak และยังไม่รีบปรับลด) โดยที่ความวิตกต่อความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะใน DMs น้อยลงไปพอสมควร อีกทั้งยังได้แรงส่งจากภาคบริการและการเปิดเมืองของจีนและเอเชีย แต่ค่อนข้างโตช้ากว่าคาด
พันธบัตรรัฐบาลไทยและต่างประเทศ
ความน่าสนใจระดับ 4
แม้ว่า UST Yields ได้ปรับขึ้นจากการออกพันธบัตร แต่ระยะ 6-12 เดือน มีแนวโน้มปรับลงจากเงินเฟ้อทยอยผ่อนลง Fed กำลังหยุดขึ้นดอกเบี้ยและเศรษฐกิจขาลง แม้เงินเฟ้อพื้นฐานยังหนืดและ Fed จะยังไม่รีบลดดอกเบี้ย, TGB Yields ถูกกดดันจาก UST Yield Upside แต่เงินเฟ้อลงเร็ว และ BoT กำลังหยุดขึ้นดอกเบี้ย
หุ้นกู้ไทยและต่างประเทศ
ความน่าสนใจระดับ 3
US IG ได้แรงหนุนจากงบดุลที่ดี และ UST Yields ที่มีแนวโน้มปรับลดลงในระยะ 6-12 เดือน แม้ Fed ยังไม่รีบลดดอกเบี้ยและ Soft Landing ที่เป็นไปได้สูงขึ้น กระนั้นจำนวนบริษัทล้มละลายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีนัย ทั้งนี้ Rating อย่าง AA ขึ้นไป ค่อนข้างปรับตัวได้ดีในช่วงเศรษฐกิจแย่ และ TH IG Spreads ยังค่อนข้างทรงตัว
US HY มีแนวโน้มถูกกดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่ยังคงมีอยู่ อีกทั้งภาวะสินเชื่อตึงตัวใกล้เคียงวิกฤตเศรษฐกิจและจำนวนบริษัทยื่นล้มละลายสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี อาจได้แรงหนุนบ้างจากความหวัง Soft Landing ที่มีโอกาสมากขึ้นและความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยที่ยังดีกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ความน่าสนใจระดับ 3
ดัชนีฯ ยังถูกกดดันจากภาคผลิตหดตัว สินเชื่อตึงตัว Earnings หดตัว และ Fed ไม่รีบลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจมีโอกาส Soft Landing สูงขึ้น ภาคบริการขยายตัว และ EPS มีท่าที Bottom Out / Mega Tech ถูกกดดันจาก Valuation แพงขึ้น Rotations และดอกเบี้ยในระดับสูง แต่มีแรงส่งจาก EPS Upgrades และ AI
ตลาดหุ้นยุโรป
ความน่าสนใจระดับ 2
Valuation ดัชนีฯ ยังไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดตราสารหนี้ยุโรป นอกจากนี้ดัชนีฯ มีแนวโน้มถูกกดดันจากการที่ ECB และ BOE ยังมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ และจาก Earnings ดัชนีฯ ที่ยังมีแนวโน้มถูกปรับลดลงตามที่โมเมนตัมเศรษฐกิจยุโรปที่มีแนวโน้มแผ่วลงต่อและตามค่าเงินยูโรกับค่าเงินปอนด์ที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ความน่าสนใจระดับ 2
ดัชนีฯ เสี่ยงเผชิญแรงขายทำกำไร หลังเพิ่มขึ้นมามากและ Valuation ยังตึงตัว นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ EPS ญี่ปุ่น จะถูกกดดันจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่แผ่วลง รวมทั้งจากเงินเยนที่มีแนวโน้มชะลอการอ่อนค่า และจาก 10Y JGB Yield ที่มีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้น หลัง BOJ เริ่มปรับเปลี่ยนมาตรการ YCC ในการประชุมรอบล่าสุด
ตลาดหุ้นจีน A-Share
ความน่าสนใจระดับ 4
ดัชนีฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นำโดยการบริโภคและบริการจาก Pent-Up Demand ที่ยังมีอยู่ นอกจากนี้ดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ EPS บจ.จีน ในช่วงครึ่งหลังของปี มีแนวโน้มออกมาดีและถูกปรับประมาณการดีขึ้น
ตลาดหุ้นจีน H-Share
ความน่าสนใจระดับ 3
ดัชนีฯ ยังมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นของทางการจีนจาก EPS ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี และจากการส่งเสริม Platform Economy ของทางการจีน ขณะที่ Valuation ยังน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะข้อพิพาททางด้านเทคโนโลยีจะยังคงสร้างความผันผวนให้แก่ดัชนีฯ
ตลาดหุ้นไทย
ความน่าสนใจระดับ 4
การจัดตั้งรัฐบาลส่อแววยืดเยื้อออกไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติที่ยังขายสุทธิหุ้นไทย ส่งผลให้ดัชนีฯ ยังคงมีแนวโน้มเผชิญความผันผวนในระยะสั้น อย่างไรก็ดี คาดการณ์ GDP ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง จะทำให้ EPS น่าจะขยายตัวได้ดีใน 2H66
ตลาดหุ้นเวียดนาม
ความน่าสนใจระดับ 2
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาต่อเนื่อง ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว อย่างไรก็ดี แม้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่การที่เศรษฐกิจเวียดนามพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ประกอบกับตลาดอสังหาที่ยังคงมีความเสี่ยง ทำให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนใน 2Q23 มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดัน
ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย
ความน่าสนใจระดับ 3
การนำเข้าที่หดตัวแรง สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคการผลิตและบริโภคภายในประเทศที่ยังคงโดนกดดันจากการคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.75% เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงิน โดยต้องติดตามการบริโภคใน 2H66 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ต้นปี 2567 รวมทั้งแนวโน้มของ FDI ที่กำลังรอความชัดเจนจากนโยบายรัฐบาลชุดใหม่
ทองคำ
ความน่าสนใจระดับ 3
ได้แรงส่งจากที่ USD มีโอกาสอ่อนค่ามากกว่าแข็งค่า และ US (Real) Bond Yields ที่อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำเผชิญอุปสรรคจากที่ Fed มีท่าทียังไม่รีบลดดอกเบี้ยและตลาดทยอยรับรู้ รวมทั้งปรับมุมมองตาม Fed ซึ่งนับเป็นแรงต้านต่อทั้ง US (Real) Bond Yields ขาลง และ USD ด้านอ่อนค่า
น้ำมัน
ความน่าสนใจระดับ 3
ความหวัง Soft Landing และการลดการผลิตช่วยเป็นแรงส่ง แต่ในระยะข้างหน้าอุปสงค์โลกยังไม่แน่นอน เช่น ภาคผลิตหดตัว, เศรษฐกิจ DMs ยังเป็นขาลง และการฟื้นตัวของจีนยังไม่ทั่วถึงและแย่กว่าที่คาดการณ์ อย่างไรก็ดี การมี Risk-Balanced Commodities ในพอร์ตโฟลิโอบ้าง จะช่วยกระจายความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าปกติ
REITs ประเทศพัฒนาแล้ว
ความน่าสนใจระดับ 3
ราคา REITs โดยรวม และกลุ่ม Office ค่อนข้างรับรู้ความเสี่ยงด้านต่ำไปมากแล้ว ในขณะที่ Sentiment ในอนาคตส่งสัญญาณที่ดีขึ้น กลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวได้ดี อีกทั้ง Yield Spreads จะถูกหนุนด้วยดอกเบี้ยที่กำลัง Peak ทั้งนี้ พื้นฐานกลุ่ม office ยังแย่ และหนี้ CRE ยังคงเสี่ยงจากเศรษฐกิจขาลง แต่ดอกเบี้ยยังอยู่สูง
REITs เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น)
ความน่าสนใจระดับ 4
ได้แรงหนุนจาก Dividend Yields และ REIT-Govt Yield Spreads ที่อยู่ในระดับสูง (แม้ Govt Bond Yields อาจทยอยลงช้าจากการที่ Fed จะยังไม่รีบลดดอกเบี้ย) Valuation (P / NAV) ถูก และเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว อีกทั้งกลุ่ม Office แย่น้อยกว่าในสหรัฐฯ ในขณะที่ Sentiment การเมืองอาจยังส่งผลกระทบเชิงลบใน REITs ไทย
Private Asset
ความน่าสนใจระดับ 2
Slightly Negative on Private Equity, Private Real Estate, and Private Debt: ดอกเบี้ยในระดับสูงมีแนวโน้มส่งผลกระทบ Valuation ของบริษัทในกองทุน Private Equity ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว ที่จะเป็นผลลบต่อ Private Real Estate รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและบริษัทใน Private Debt