THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
สหรัฐฯ เข้าภาวะ Goldilocks? ความจำเป็นลดดอกเบี้ยพยุงเศรษฐกิจลด แต่ยังต้องคุมเงินเฟ้อ อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ช้ากว่าคาด
EXCLUSIVE CONTENT

สหรัฐฯ เข้าภาวะ Goldilocks? ความจำเป็นลดดอกเบี้ยพยุงเศรษฐกิจลด แต่ยังต้องคุมเงินเฟ้อ อินโนเวสท์ เอกซ์ มอง Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ช้ากว่าคาด

... • 16 ธ.ค. 2025

HIGHLIGHTS

  • ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ได้แรงสนับสนุนจากการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด
  • อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ FOMC ความเห็นแตกต่างกันมากขึ้น ประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้สะท้อนความเป็น Goldilocks หลัง Fed ปรับเพิ่มคาดกาณ์ GDP ปี 2026 ขึ้นเป็น 2.3% (+0.5pp) ขณะที่คงอัตราว่างงานไว้ที่ 4.4% และลดคาดการณ์เงินเฟ้อ Core PCE ปี 2026 เป็น 2.5%
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยได้ช้ากว่าคาด เนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐมีลักษณะเป็น Goldilocks ทำให้ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจลดลง แต่อาจยังต้องคงดอกเบี้ยไว้ระดับหนึ่งเพื่อคุมเงินเฟ้อ
  • จับตา Powell ชะลอหั่นดอกเบี้ย ให้เกียรติประธาน Fed ท่านใหม่ (คาด Kevin Hassett) เข้ามาในการดำเนินนโยบายการเงินสำคัญ
  • สำหรับตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาส Sideway down จากกังวลสุญญากาศทางการเมือง โดยปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ได้แก่ กนง., BoJ, ECB และ BoE นอกจากนี้ยังต้องจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ อาทิ เงินเฟ้อ พ.ย., PCE ต.ค. และตัวเลขภาคแรงงาน พ.ย. ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามไทม์ไลน์การประกาศวันเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ได้แรงสนับสนุนจากการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด ด้าน Dot Plot ยังระบุว่าส่วนใหญ่มองว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งก่อน

 

อย่างไรก็ตาม ความเห็นแตกต่างกันมากขึ้น ประมาณการเศรษฐกิจในครั้งนี้สะท้อนความเป็น Goldilocks หลัง Fed ปรับเพิ่มคาดกาณ์ GDP ปี 2026 ขึ้นเป็น 2.3% (+0.5pp) ขณะที่คงอัตราว่างงานไว้ที่ 4.4% และลดคาดการณ์เงินเฟ้อ Core PCE ปี 2026 เป็น 2.5%

 

ทั้งนี้ หลังการประชุม Powell เน้นว่าดอกเบี้ยนโยบายอยู่ใกล้ระดับสมดุลแล้ว และจะใช้ข้อมูลประกอบในการประชุมแบบครั้งต่อครั้ง

 

นอกจากนั้น FOMC ยังประกาศว่าจะเริ่ม Reserve Management Purchases ราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อรักษาระดับเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ให้อยู่ในระดับเพียงพอ ตลาดแรงงานวัดจากตำแหน่งงานว่าง (JOLTS) เพิ่มขึ้นเป็น 7.67 ล้านตำแหน่งในเดือน ต.ค. สูงกว่าตลาดคาดมาก ตลาดหุ้น EM ปรับตัวลงเล็กน้อย กดดันจากตลาดหุ้นอินเดีย และอาเซียน โดยจีนรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ทั่วไปเดือน พ.ย. ปรับขึ้นเป็น +0.7%YoY จาก 0.2%YoY ในเดือน ต.ค. แต่ Core CPI ยังทรงตัว

 

ด้านการส่งออกจีนเดือน พ.ย. กลับมาขยายตัวและสูงกว่าตลาด การประชุม Politburo ของจีนยังเน้นสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจปี 2026

 

ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงจากความขัดแย้งชายแดนกัมพูชาที่รุนแรงขึ้น ล่าสุดนายกฯ อนุทินประกาศยุบสภา เตรียมเข้าสู่การเลือกตั้ง ทำให้รัฐบาลรักษาการอาจไม่สามารถดำเนินการนโยบายใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่

 

ส่วนประเด็นราคาน้ำมันปรับตัวลง จากกังวลอุปทานล้น หลังอิรักกลับมาดำเนินการผลิตที่แหล่งน้ำมัน West Qurna 2 ซึ่งมีกำลังผลิต 0.5% ของอุปทานโลก และ EIA เผยปีนี้ผลผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ จะทำสถิติสูงสุดที่ 13.61 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยได้ช้ากว่าคาด

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยได้ช้ากว่าคาด เนื่องจาก เหตุผลต่างๆ ดังนี้

 

(1) มีคณะกรรมการหลายท่านที่ส่งสัญญาณไม่ต้องการลดดอกเบี้ยต่อเพราะกังวลเงินเฟ้อมากขึ้น

 

(2) Powell น่าจะให้เกียรติประธาน Fed ท่านใหม่ (คาด Kevin Hassett) ในการดำเนินนโยบายการเงินสำคัญ

 

(3) Fed มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีลักษณะเป็น Goldilocks ทำให้ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจลดลง แต่อาจยังต้องคงดอกเบี้ยไว้ระดับหนึ่งเพื่อคุมเงินเฟ้อ

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จึงปรับการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed โดยยังคงลด 1 ครั้งในปี 2026 จากการลดในการประชุมเดือน ม.ค. 2026 เป็นการประชุมเดือน มิ.ย. 2026 จากปัจจุบันที่ 3.63% สู่ 3.38%

 

ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับประมาณการเงินเฟ้อในปี 2026 ที่ 3.2% โดยยังเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีแรก และชะลอในครึ่งปีหลัง

 

ด้านผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐระยะยาว (10 ปี) ใน 4Q68-1Q69 จะยังอยู่ในระดับต่ำจากการส่งสัญญาณ Hawkish ของ Fed แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นจาก ปัจจัยดังนี้

 

(1) การขาดดุลการคลังที่มีแนวโน้มมากขึ้น

 

(2) การเข้ามาของ Kevin Hassett ที่ตลาดมองว่ามีมุมมอง Dovish ทำให้ความเป็นอิสระของ Fed มีแนวโน้มลดลง

 

เงินเฟ้อผู้บริโภคจีนเร่งขึ้นเร็วสุดในรอบปีจากราคาอาหารและทองคำ แต่เงินเฟ้อผู้ผลิตหดตัว 38 เดือนติดต่อกัน สะท้อนแรงกดดันสภาวะเงินฝืด ด้าน GDP deflator จะติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ทำให้ Politburo เตรียมสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงต้นปีหน้าซึ่งเป็นปีแรกของแผนห้าปี เรามองว่ามาตรการการเงินการคลังจีนจะผ่อนคลายมากขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอลง

 

เปิดปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้

 

(1) ตัวเลขกิจกรรมเศรษฐกิจจีน พ.ย. ในวันที่ 15 ธ.ค.

 

(2) การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ พ.ย. ในวันที่ 16 ธ.ค.

 

(3) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ พ.ย. ในวันที่ 18 ธ.ค.

 

(4) ผลการประชุม BoT, ECB, BoJ ในวันที่ 17, 18, 19 ธ.ค. ตามลำดับ

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

  • หุ้น Defensive ซึ่งผลการดำเนินงานสามารถต้านทานความผันผวนภายนอก โดยเราคาด 4Q68 กำไรยังเติบโตดี YoY และแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดี แนะนำ ADVANC BDMS BEM BGRIM GULF PTT
  • หุ้นปันผลคุณภาพดีระยะยาวซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5% และเราแนะนำ Outperform ได้แก่ AP DIF KTB PTT TISCO และหุ้นปันผลสำหรับลงทุนระยะสั้น 6 เดือน (Div. Yield เกิน 5%) แนะนำ BAM KBANK SAT THANI TLI
  • หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และมีต้นทุนการดำเนินการลดลง แนะนำ AP MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL

 

“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาส Sideway down จากกังวลสุญญากาศทางการเมือง โดยมีแนวโน้มลงไปทดสอบฐานเดิมบริเวณ 1230 และมีกรอบบนจำกัดที่ 1285 โดยปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ได้แก่ กนง. (ตลาดคาดลดดอกเบี้ย 25bps สู่ 1.25%), BoJ (ตลาดคาดขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ 0.75%), ECB และ BoE (ตลาดคาดคงดอกเบี้ยนโยบาย) นอกจากนี้ยังต้องจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ อาทิ เงินเฟ้อ พ.ย., PCE ต.ค. และตัวเลขภาคแรงงาน พ.ย. ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามไทม์ไลน์การประกาศวันเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่”

 

Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร อินโนเวสท์ เอกซ์ แนะนำ

 

  • หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกหาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย แนะนำ AP GULF GPSC MTC SAWAD
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT BJC) กลุ่มอาหาร (GFPT) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) ขณะที่แนะเลี่ยงการลงทุนระยะสั้นในหุ้นกลุ่มรับเหมาและกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพราะโยงกับนโยบายและโครงการของรัฐ
  • หุ้น SET50 ที่คาดได้อานิสงส์จากทำปิด Window Dressing แนะ BDMS BH MINT CPF LH

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่าอุปสงค์ AI ยังคงเติบโตแกร่ง สะท้อนผ่าน ปัจจัยต่างๆ ดังนี้

 

  • กลุ่มเทคฯที่เผยงบเติบโตโดยมีแรงหนุนจากผลิตภัณฑ์และบริการจาก AI ทั้ง ORCL SNPS ADBE AVGO
  • GE ที่ปรับคาดการณ์เติบโตขึ้นหลังมีความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับ AI และ Data Centers
  • ยอดขายเดือนพ.ย.ของ TSMC ที่เติบโตและมีกำลังการผลิตที่ตึงตัวสะท้อนปริมาณงาน AI ที่แกร่ง ด้วยภาพนี้ทำให้เราเชื่อว่าแนวโน้มการเติบโต AI ยังดี และแนะลงทุนธีม AI อย่าง TSMC NVDA AVGO AMD MSFT GOOGL AMZN

 

งบกลุ่มเทคฯ

 

  • ORCL เผยรายได้โต 33% หนุนจากรายได้กลุ่มคลาวด์ที่โตแกร่ง แต่อย่างไรก็ดีเป็นระดับที่ต่ำกว่าคาดหลังตลาดมีความคาดหวังสูง ทำให้หุ้นลงแรง
  • SNPS แม้จีนจะจำกัดการซื้อชิป แต่งบและแนวโน้มดีกว่าคาดหลังหนุนจากความต้องการชิป AI และ HPC ที่โต
  • ADBE เผยงบโตดีกว่าคาด +10% หนุนจากกลยุทธ์การใช้ AI และผลิตภัณฑ์ที่เน้น AI เป็นหลัก เช่น Firefly และ Acrobat AI Assistant สามารถสร้างรายได้ ARR ได้เกิน $250mn 4) AVGO เผยงบเติบโตหนุนจากคำสั่งซื้อชิป AI +74% และยังคงมี Backlog แกร่ง ด้านชิป ASICs โตดีหนุนจากคำสั่งซื้อจาก Hyperscaler

 

GE Vernova

 

เพิ่มเงินปันผลเป็นสองเท่า, เพิ่มวงเงินซื้อหุ้นคืน, และปรับเพิ่มคาดการณ์ทางการเงินระยะยาวขึ้นอย่างมากหลังความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับ AI และ Data Centers เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมพลังงาน

 

ด้านยอดขายเดือนพ.ย.ของ TSMC

 

เพิ่มขึ้น 24.5%YoY โดยกำลังการผลิตด้าน Advanced Packaging และเทคโนโลยี sub-5nm ยังคงตึงตัว สะท้อนความแข็งแกร่งของปริมาณงาน AI ที่สามารถชดเชยอุปสงค์ที่อ่อนแอตามฤดูกาลปกติได้

 

ภาพนี้ทำให้เรายังคงมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในธีม AI โดยแนะกลุ่มบริษัทที่มีความสามารถทางการแข่งขันดี, มีสถานะทางการเงินมั่นคง, ฐานลูกค้าแกร่งและอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการ AI ที่เติบโตอย่าง TSMC NVDA AVGO AMD MSFT GOOGL AMZN

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

SCB CIO แนะการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนในระยะยาว มากกว่า 1 ปีขึ้นไป

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง แม้ Fed ลดดอกเบี้ย 3 ครั้งติดต่อกัน และ ได้แรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ เช่น สหรัฐฯยึดเรือบรรทุกน้ำมันนอกชายฝั่งเวเนซุเอลา ยูเครน โจมตีเรือบรรทุกน้ำมันรัสเซีย อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มปรับลดลง ตามทิศทางดอกเบี้ยขาลง

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความกังวลต่อความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ด้าน Bond Yield ไทย มีแนวโน้มปรับลดลง จากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ หลังการยุบสภา เพิ่มโอกาสที่ กนง. จะลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ. ค. และ อีก 25 bps ในปีหน้า

 

US Treasury & IG

 

แนะนำ UST และ หุ้นกู้ US IG ระยะสั้น หลังการประชุมล่าสุด Fed ลดดอกเบี้ย 25 bps และ กลับมาขยายงบดุลบางส่วน ผ่านการเข้าซื้อ T-bills อย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาว จาก term premium ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามความกังวลต่อหนี้รัฐบาล สหรัฐฯ และ ความเป็นอิสระของ Fed

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น ยังมีอยู่ ตามความเสี่ยงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะตัวเลขเดือน ต. ค. และ พ. ย. ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานภาครัฐ แม้ UST yield โดยเฉพาะตัวสั้นถึงกลาง มีแนวโน้มลดลง ตามการผ่อนคลายการเงินของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสม / กึ่งหนี้กึ่งทุน / REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด และ สถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

Asia REITs ได้แรงหนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ตามแนวโน้มดอกเบี้ยของ Fed ที่คาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปถึงปีหน้า โดย Singapore REITs ได้แรงหนุนจากการเติบโตของอัตราการจ่ายปันผลต่อหน่วย (DPU) ตามต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง ส่งผลบวกต่อกำไร และ Thai REITs ได้ปัจจัยบวกจากการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในเดือนนี้

 

Global Infrastructure

 

การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน ช่วยสร้างกระแสเงินสดระยะยาวและลดความผันผวนของพอร์ต โดยมูลค่าโครงสร้างพื้นฐานมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก Mega Trend ที่สนับสนุนอุปสงค์เชิงโครงสร้าง นอกจากนี้ Listed Infrastructure ยังมี Valuation ที่ต่ำกว่าดัชนีหุ้นโลก (MSCI World) มากกว่า 10%

 

Private Asset *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public โดยเรามีมุมมองบวกต่อ Private Equity จากการที่ตลาดมีแนวโน้มขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากบริษัทต้องการระดมเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ ขณะที่ การลงทุนใน Private credit ต้องให้ความสำคัญในการคัดเลือกผู้จัดการกองทุนมากขึ้น

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จากความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่น ตามพัฒนาการด้าน AI / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจาก Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสหรัฐฯ และการเร่งใช้จ่ายการคลังของยุโรปในปีหน้า / หุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และนโยบายปฏิรูปบรรษัทภิบาลของบริษัท

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก 1) Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายการเงินต่อ ทั้งลดดอกเบี้ยเพิ่มอย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2569 และเข้าซื้อ T-bills เพิ่มรายเดือนจนถึงกลาง เม. ย. 2569 2) แรงกระตุ้นการคลัง ภายใต้ OBBBA 3) การผ่อนคลายกฎระเบียบ และ 4) EPS ที่เติบโตดี โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI

 

ดัชนีหุ้นยุโรป

 

ดัชนีฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยคาดว่า ECB มีแนวโน้มปรับประมาณการเศรษฐกิจดีขึ้นในการประชุมสัปดาห์นี้ ส่วนการเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและป้องกันประเทศในระยะยาว จะช่วยหนุนกำไร บจ. ปี 2569 ให้มีแนวโน้มเติบโตราว 11% YoY ด้าน Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ

 

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่น

 

ดัชนีฯ มีแนวโน้มผันผวนตามค่าเงินเยน และ JGB Yield ที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BoJ อย่างไรก็ดี ระยะยาวยังได้แรงหนุนจาก 1) การใช้มาตรการทางการคลังแบบขยายตัว 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลที่ช่วยหนุน ROE 3) กระแส AI ในญี่ปุ่น 4) การอ่อนค่าของค่าเงินเยน และ 5) การเติบโตของกำไรของ บจ. ญี่ปุ่น

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม EM เอเชียที่ยังเติบโตได้ดี จากแรงกดดันด้านสงครามการค้าที่เริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอลอตตัว เปิดโอกาสในการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นปัจจัยหนุน Fund Flows ไหลเข้าต่อเนื่อง

 

ดัชนีหุ้นอินเดีย

 

ตลาดหุ้นอินเดีย ได้แรงหนุนแนวโน้มการผ่อนคลายการเงินของ RBI เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ ท่ามกลางความล่าช้าในการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ นอกจากนี้ อินเดียยังได้แรงหนุนเพิ่ม จากปฏิรูปภาษี GST และการเปิดเสรี FDI มากขึ้น ซึ่งล่าสุดยกเลิกเพดาน FDI ธุรกิจประกันภัย

 

ดัชนีหุ้นไทย

 

ดัชนีหุ้นไทย มีแนวโน้มผันผวน หลังการยุบสภาฯ อาจทำให้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เช่น คนละครึ่งพลัสเฟส 2 หรือโครงการลงทุนอื่นๆ ล่าช้าออกไป กระทบต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี คาดว่า Sentiment นักลงทุนจะดีขึ้น ในช่วงที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ขณะที่ กนง. น่าจะลดดอกเบี้ยอีก 25 bps. ในเดือน ธ. ค. นี้

 

ดัชนีหุ้นจีน (All Share)

 

ดัชนีหุ้นจีน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากนโยบาย anti-involution ที่มีแนวโน้มหนุนความสามารถในการทำกำไร จากพัฒนาการ AI จีน ที่ยังดำเนินต่อ และจากความหวังมาตรการกระตุ้นเพิ่ม หลังที่ประชุม CEWC เผยว่า คณะผู้นำจีนจะใช้แนวทางการลดดอกเบี้ย และ RRR อย่างยืดหยุ่นและ มีประสิทธิภาพ

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ ได้แรงหนุนระยะสั้น จากยอดการส่งออกใน 10 วันแรกของเดือน ธ. ค. พุ่งถึง 17.3%YoY หนุนจากกลุ่ม Semiconductor ทั้งนี้ ระยะยาวดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากความต้องการชิปหน่วยความจำ (HBM) ที่แข็งแกร่งจากการลงทุน AI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และ นโยบายการปฏิรูปตลาดทุนที่ทำให้มูลค่าตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำ ได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และ แนวโน้มเงินดอลลาร์ สรอ. ที่อ่อนค่า นอกจากนี้ ความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และโลกที่เพิ่มขึ้น จะยังหนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย รวมทั้ง ธนาคารกลางหลักของโลกยังเพิ่มอุปสงค์ทองคำในฐานะเงินทุนสำรองในระยะกลาง-ยาว

 

SCB CIO แนะการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน ในระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้แรงหนุนจาก 1) EPS ที่เติบโตดี จาก AI และ นโยบาย anti-involution และ 2) ความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อ และภาคอสังหาฯ ที่ยังซบเซา หลังล่าสุด China Vanke แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับแผนเลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้รอบที่สอง

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ผันผวนในระยะสั้น จากความกังวลความสามารถในการทำกำไรในบางบริษัท เช่น Broadcom ที่เตือนกำไรขั้นต้นในอนาคตอาจหดตัว และ Oracle ที่คาดงบอ่อนแอ อย่างไรก็ดี EPS กลุ่มฯ มีแนวโน้มเติบโตสูง จากกระแส AI ที่ดำเนินต่อ และ Fwd P/E ที่ต่ำกว่าช่วง Dot-com อยู่มาก

 

ดัชนีหุ้น S&P 500

 

ความกังวลความเสี่ยงฟองสบู่ AI ที่ลดลง และการกลับมาขยายงบดุลบางส่วน ผ่านการซื้อตราสารหนี้ภาครัฐตัวสั้นของ Fed จะช่วยหนุน sentiment ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ระยะสั้น ขณะที่ ดัชนีฯ ยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากโมเมนตัมของ EPS ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น และช่วยประคอง Fwd P/E ให้อยู่ในระดับสูง

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกยังได้แรงหนุนจากกระแส AI ที่ยังคงเติบโต สะท้อนจากการลงทุนด้าน AI ที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ยังหนุนภาพการลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก แต่ในรายบริษัทฯ อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง โดยล่าสุดตลาดกังวลต่อบริษัท Oracle และ Broadcom หลังตลาดผิดหวังผลประกอบการและ Guidance ที่บริษัทเปิดเผย

 

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์

 

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามการปรับประมาณการกำไรของกลุ่มขึ้น หลังผลประกอบการ 3Q2568 ของกลุ่มที่ดีกว่าคาด และจะได้แรงหนุนจากความคืบหน้าเชิงบวกของงานวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะมีความคืบหน้าในช่วง 1Q2569 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ภาคอุตสาหกรรม

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน ได้รับอานิสงส์จากการกระแส AI เช่นเดียวกับกลุ่ม Tech และในเชิง Valuation ยังคงซื้อขายต่ำกว่ากลุ่ม Tech ขณะที่แนวโน้มกำไรยังเติบโตตามความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ยังคงเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของ Data Center ทั้งนี้ได้จากปัจจัยเชิงฤดูกาลการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้า ในช่วง 4Q2568

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 16 ธ.ค. 2025




Latest Stories