- สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกอ่อนตัวลงระหว่างสัปดาห์ หลังสหรัฐฯ ปิดดีลการค้ากับนานาประเทศ และ IMF ปรับเพิ่มประมาณการ GDP โลกปี 2025 ขึ้นเป็น 3.0%
- GDP สหรัฐฯ ในไตรมาส 2 ปีนี้ ขยายตัว 3.0%QoQ สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่วนเงินเฟ้อ PCE เดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 2.8%YoY สูงกว่าตลาดคาด สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย โดยเฉพาะจากต้นทุนสินค้านำเข้า
- ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้ตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ลงเหลือต่ำกว่า 2 ครั้ง
- และจากการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด เจอโรม พาวเวลล์ ระบุว่า Fed ยังต้องประเมินความเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ โดยผลกระทบต่อเงินเฟ้ออาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรืออาจยืดเยื้อ ซึ่งต้องติดตามต่อไป
- อินโนเวสท์ เอกซ์ จึงยังคงมุมมองว่า ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี จากปัจจัยสนับสนุน 3 เรื่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกอ่อนตัวลงระหว่างสัปดาห์ โดยดัชนี S&P500 ปรับขึ้นได้ต้นสัปดาห์ หลังสหรัฐฯ ปิดดีลการค้ากับ EU ที่ 15% และ IMF ปรับเพิ่มประมาณการ GDP โลกปี 2025 ขึ้นเป็น 3.0% สะท้อนผลของแรงส่งในช่วงครึ่งปีแรกจากการเร่งนำเข้าล่วงหน้า (Front-loading)
อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไร แม้สหรัฐฯ จะทยอยประกาศดีลกับประเทศอื่นในเอเชียอย่างต่อเนื่อง และแรงกดดันจากท่าทีของ Fed ที่มีโอกาสลดดอกเบี้ยช้ากว่าคาด หลัง FOMC มีมติ 9 ต่อ 2 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.5% โดยประธาน Fed แถลงว่าดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสม ภายใต้ความไม่แน่นอนจากภาษีนำเข้าของรัฐบาล และเน้นว่าจะทำทุกทางที่จำเป็นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
GDP สหรัฐฯ 2Q25 ขยายตัว 3.0%QoQ สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 2.5% โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและการนำเข้าที่ลดลง ด้านเงินเฟ้อ PCE เดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 2.8%YoY สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.7% สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย โดยเฉพาะจากต้นทุนสินค้านำเข้า
ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้ตลาดปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ลงเหลือต่ำกว่า 2 ครั้ง
ด้านตลาดหุ้น EM ถูกขายทำกำไรเช่นกัน หลังปรับตัวขึ้นมาจากความคาดหวังภาษีการค้าไม่สูงอย่างที่กังวล นอกจากนั้นยังมีแรงกดดันหลังค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อีกทั้งการประชุม Politburo ของจีนยังไม่มีมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ออกมาเพิ่มเติม แต่เป็นการเน้นเสถียรภาพในระยะยาว
ด้านตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 14% ในเดือน ก.ค. สะท้อนความคาดหวังภาษีการค้าในระดับที่แข่งขันได้ โดยล่าสุดของไทยอยู่ที่ 19% ใกล้เคียงกับประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน
คาด ‘ดอกเบี้ย Fed’ อยู่ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยและโลกขึ้นจากเหตุผล 3 ประการ
- สัญญาณสงครามการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงการเจรจาการค้ากับประเทศขนาดใหญ่และประเทศในเอเชีย
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกขึ้น โดย WEO รอบนี้ IMF ปรับ GDP โลกปี 2025 ขึ้นเป็น 3.0% การปรับเพิ่มมาจากแรงส่งในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะการเร่งนำเข้าล่วงหน้า (Front-loading) เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกของหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาด
- ความเสี่ยงทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่จำกัด โดยแม้ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองจะมีมากขึ้น แต่เรามองว่าการยุบสภาหลังผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณเป็นไปได้สูงสุด (70-80%)
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติ 9-2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25-4.5% ต่อเนื่องจากทุกการประชุมในปีนี้ โดยมีกรรมการ 2 ราย ได้แก่ Christopher Waller และ Michelle Bowman (ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์) ลงมติ ขอให้ลดดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1993 ที่มีกรรมการจากคณะกรรมการสองคนแสดงความเห็นขัดแย้งกับมติส่วนใหญ่
Powell ระบุว่า Fed ยังต้องประเมินความเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ โดยผลกระทบต่อเงินเฟ้ออาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรืออาจยืดเยื้อ ซึ่งต้องติดตามต่อไป และเน้นว่า “เราจะทำทุกทางที่จำเป็นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ” และพูดว่า “Fed ไม่ขึ้นดอกเบี้ยในขณะนี้ เพื่อดูผลกระทบจากภาษีนำเข้า”
อินโนเวสท์ เอกซ์ ยังคงมุมมองว่าดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปี จาก
- เงินเฟ้อที่เริ่มปรับเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตใกล้เคียงกับระดับศักยภาพ
- การลดดอกเบี้ยจะทำให้ความเป็นอิสระของธนาคารกลางลดลง
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้น Earning Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCH CBG CPALL SCCC
- หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SETESG RatingA ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div.Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT
- Trading Idea : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Laggard Play ซึ่งคาดได้อานิสงส์หาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเลือกหุ้น SET50 ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้น MTD ต่ำกว่า SET และ Valuation ถูก โดยมี PBV และ PER 2568F < -1SD อีกทั้งมีพื้นฐานดี (กำไรเติบโต ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมี ESG Rating A-AAA) แนะนำ BDMS CPALL MINT MTC PTT 2) กลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่ได้ประโยชน์หลังจากน้ำท่วม และยอดขายสาขาเดิมมีสัญญาณฟื้นตัว โดยลดในอัตราที่น้อยลง แนะนำ GLOBAL HMPRO 3) หุ้นที่ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาลง แนะนำ TIDLOR MTC SIRI ก่อนการประชุม กนง. ในวันที่ 13 ส.ค. นี้ และ 4) หุ้นฟื้นตัวเร็วหลังปลดล็อกปัญหาภาษีสหรัฐ ได้แก่ AMATA GPSC WHA DELTA
“ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาส Sideway Up หลังไทยได้ข้อสรุปการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว โดยแม้ระยะสั้นอาจมีแรงขาย Sell on Fact เนื่องจากการฟื้นตัวของ SET ขึ้นมาที่ระดับ 1,230-1,250 (PER ราว 14 เท่า) สะท้อนถึงความหวังว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากไทยในระดับใกล้เคียงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคไประดับหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรก็ดี มองอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยในอัตรา 19% ยังต่ำกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม ทำให้มองไทยยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันที่ดีในตลาดสหรัฐ และอาจจะยังช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง ส่งผลให้ SET มีโอกาสกลับขึ้นไปซื้อขายกรอบที่ระดับ 14-16 เท่า หรือ 1,242-1,419 จุด” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ CPI ของไทยหลังจากติดลบต่อเนื่อง 3 เดือน ยอดนำเข้า-ส่งออกของจีน และการประชุมนโยบายการเงิน BoE
- การเริ่มใช้อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐกับประเทศคู่ค้าซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. และความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา
- การประชุม OPEC+ ในวันที่ 3 ส.ค. เพื่อพิจารณาแผนการผลิตน้ำมันดิบสำหรับเดือน ก.ย. นี้ - ตลาดคาดจะเร่งการผลิตใกล้เคียง ส.ค. ที่ +548kBD
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: LHSC - 2Q25 คาดกำไรปกติเติบโตเด่น YoY
แนะนำ บมจ. แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ หรือ LHSC เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันลงทุนในสิทธิการเช่าศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 อโศก ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าปลีกที่สำคัญของกรุงเทพฯ และสิทธิการเช่าศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 พัทยา ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูงเช่นเดียวกัน
- 2Q25 คาดมีกำไรปกติ 313 ลบ. เพิ่มขึ้น 98.7%YoY และ 1.3%QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากการมีสัญญาเช่าประเภทอัตราค่าเช่าและบริการคงที่ในสัดส่วนที่สูง และผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงและเหตุแผ่นดินไหวที่ค่อนข้างจำกัด
- เป็นหนึ่งใน top picks กลุ่ม REITs และ IFFs เนื่องจากกำไรแข็งแกร่ง และจัดเป็นหุ้นปันผลสูง ทำให้การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลดีต่อ LHSC เพราะทำให้ Div. Yield ดูน่าสนใจ โดยมองมีโอกาส กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง (ครั้งละ 25bps) ในช่วงที่เหลือปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น LHSC
- เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หน่วยละ 14 บาท (อิงวิธี DDM) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 ที่หน่วยละ 1.11 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 9.7%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
กลุ่ม Magnificent 7 ประกาศผลประกอบการออกมาเป็นที่เรียบร้อย (ยกเว้น NVDA) โดยภาพรวมงบดีกว่าคาดและเติบโต ยกเว้น TSLA ที่งบต่ำกว่าคาดและการเติบโตยังคงหดตัวลงอยู่ ขณะที่ราคาหุ้นตอบสนองเชิงบวกต่อ MSFT META AAPL GOOGL ในทางตรงกันข้าม AMZN TSLA หุ้นตอบสนองเชิงลบ อย่างไรก็ดีหากประเมินจากแนวโน้มในระยะถัดไปเรายังคงแนะลงทุนทุกตัวยกเว้น AAPL
- META เผยงบดีโดยมีแรงหนุนหลักจากรายได้ Ads ที่มีประสิทธิภาพขึ้นจากการใช้ AI Tools นอกจากนี้ CAPEX ยังคงอยู่ในระดับสูงสอดคล้องกับกลยุทธ์พัฒนา AI ในหน่วยงานใหม่ ‘Superintelligence Labs’
- MSFT เผยงบโตดีกว่าคาดหนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจหลักที่เติบโต โดยเฉพาะกลุ่มคลาวด์ นอกจากนี้การลงทุน AI เริ่มเห็นผลผ่าน Copilot ที่มีผู้ใช้งานเติบโตและมีแผนใช้ Capex ใน F1Q26 ถึง $30bn เพื่อสร้าง Data Center
- GOOGL งบดีกว่าคาดและเติบโตหนุนจาก 1. รายได้โฆษณาดูดีในทั้งกลุ่ม 2. Google Cloud โตดีกว่าคาดมาก 3. สินค้าและบริการ AI เติบโตดี นอกจากนี้เพิ่ม CAPEX ปี 25 ขึ้น
- AMZN เผย งบโตดีกว่าคาดหนุนจากกลุ่มคลาวด์และคอมเมิร์ซที่เติบโตคงที่ อย่างไรก็ดีหุ้นตอบสนองเชิงลบหลังคาดการณ์กำไร AWS ต่ำกว่าคาดใน 3Q25 และการเติบโตคลาวด์ที่ต่ำกว่า Peers
- ทั้งนี้ แนวโน้มของ META MSFT GOOGL AMZN ยังคงโตดีโดยเฉพาะจาก AI ทำให้เราแนะลงทุนช่วงหุ้นย่อตัวลง
- ด้าน TSLA เผยงบหดตัวต่ำกว่าคาด และมองหุ้นตอบสนองเชิงลบจาก 1. FCF ที่หดตัวกว่าคาด 2. ผลกระทบจากกฎหมาย OBBB ที่ทำให้ยอดส่งมอบมีความผันผวน ซึ่งการปรับตัวลงนี้ส่งผลให้ Downside เริ่มจำกัด และเรายังคาดหวังการฟื้นตัวจากธุรกิจใหม่ รวมถึงธุรกิจ EV ที่เริ่ม Bottom โดยมองแนวต้านที่ 332$-338$
- ส่วน AAPL เผยงบดีกว่าคาดและเติบโต โดยมีแรงหนุนจากยอดขาย iPhone ที่เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด แต่เราเชื่อว่าเป็นผลมาจากการสั่งซื้อล่วงหน้า (Pull-in Demand) ก่อนที่ทรัมป์จะเริ่มเก็บ Tariff อย่างไรก็ดีเรายังไม่แนะนำลงทุนหลังแนวโน้มมีแรงกดดันจาก 1. ค่าใช้จ่ายจาก Tariff ที่เพิ่ม 2. การพัฒนา AI ที่ช้ากว่า Peers
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้อานิสงส์จากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ หลังประธานาธิบดี Trump ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารปรับขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้จากเกือบทุกประเทศคู่ค้าในอัตรา 10-41% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
ความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงจากกำแพงภาษีนำเข้า และความกังวลการขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มหนุนให้ UST Yield ตัวยาวปรับเพิ่มขึ้น ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มปรับลดลง จากการที่ กนง. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
U.S. Treasury & IG
US Term Premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความกังวลหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูง จะยังหนุน UST Yield ตัวยาว ขณะที่ดัชนี US IG bond ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี แนะนำ UST และ US IG bonds โดยเน้น Duration สั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ตท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายการค้าสหรัฐฯ
High Yield Bond
ผลกระทบทางลบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY Default Rate จะเพิ่มขึ้นจากในระดับที่ต่ำ และ HY Credit Spread จะกว้างขึ้นจากในระดับที่แพง ประกอบกับ UST Yield ตัวยาวที่ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ อาจจำกัด Upside ของ US HY
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสมช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้งบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Networth เท่านั้น
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit จากโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดี เห็นได้จากล่าสุดที่ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ในปี 2568 เติบโต 1.9% ดีขึ้นจากเดิมที่คาดเติบโต 1.8% ทั้งนี้ แนะนำเน้นลงทุนใน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก
US REITs
Yield Spread ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และอัตราปันผลติดลบน้อยลงมาอยู่ที่ -0.1% ทำให้ Valuation มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ P/FFO 17.4 เท่า นอกจากนี้ เราคาดว่าอุปสงค์การเช่าพื้นที่น่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง จากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น ตามแรงหนุนการลดภาษีเงินได้
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี Correlation กับสินทรัพย์หลักอื่นๆ ค่อนข้างต่ำในอดีต ทำให้สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต รวมถึงสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจากเป็นสัญญาระยะยาว และมีโครงสร้างรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นการคลัง การผ่อนคลายกฎระเบียบ และงบใน 2Q2568 ที่ดีกว่าคาด / เศรษฐกิจยุโรปได้แรงหนุนจากนโยบายการคลัง และ EPS ของ บจ.มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร / หุ้นญี่ปุ่นได้อานิสงส์จากการปฏิรูปธรรมาภิบาล และผลลบจากข้อพิพาทการค้าที่ลดลง
หุ้นสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ ทำให้นักลงทุนยังระมัดระวังการลงทุน อย่างไรก็ดี EPS ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใน 2Q68 มีแนวโน้มดีกว่าที่คาด และ EPS ทั้งปี 2568 และ 2569 ที่มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากกระแส AI ทั่วโลก แรงส่งจากนโยบายกระตุ้นการคลัง และการผ่อนคลายกฎระเบียบเพิ่มเติม
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มปรับลดลงในระยะสั้น จากการที่ตลาดประเมินผลกระทบของภาษีนำเข้าที่ 15% ต่อผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ หลังจากที่หุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับลดการคาดการณ์รายได้ รวมถึงการแข็งค่าของค่าเงินยูโร ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อตลาดในระยะยาว จากแรงหนุนของมาตรการการคลัง
หุ้นญี่ปุ่น
แม้ความไม่แน่นอนการเมืองญี่ปุ่นที่ยังมีอยู่ จะทำให้หุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น แต่หุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการปฏิรูปบรรษัทภิบาล ค่าจ้างที่เติบโต ข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯ ที่ลดลง นโยบายการคลังที่มีแนวโน้มผ่อนคลายขึ้น และ BoJ ที่มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
หุ้นตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ได้แรงหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ย และการออกแผนการคลังของที่ต่างๆ เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนการค้า โดยล่าสุด IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่เอเชีย ปี 2568 และปี 2569 ดีขึ้น แม้มีความเสี่ยงที่เงินดอลลาร์ สรอ. อาจแข็งค่าในระยะสั้น
หุ้นอินเดีย
แม้อินเดียเผชิญภาษีนำเข้าตอบโต้ที่สูงจากสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ แต่เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจำกัดจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ นอกจากนี้ หุ้นอินเดียได้ปัจจัยหนุนจาก RBI ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ประกอบกับ EPS ใน 2Q68 ที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ดีขึ้น
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยหนุนจากการบรรลุข้อตกลงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 19% ลดลงจากเดิมที่ 36% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ทำให้สามารถบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้านการส่งออก แต่ยังมีความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีในสินค้าที่เป็น Transshipment ที่ 40% เท่ากับประเทศอื่นๆ
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวผันผวน จากการที่ตลาดประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ รอบใหม่ที่ 10-40% และการแข็งค่าของดัชนีค่าเงินดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง กดดันราคาทองคำในระยะสั้น ทั้งนี้ ราคาทองคำยังได้แรงหนุนในระยะยาวจากแรงซื้อของธนาคารกลางและปัญหาขาดดุลการคลังของประเทศหลัก
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีนได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยล่าสุดทางการเปิดตัวโครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลบุตร และประกาศโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในทิเบต แม้ว่าการที่ทางการจีนได้เรียกให้ NVIDIA ชี้แจงความเสี่ยงที่เกี่ยวกับชิป H20 อาจสร้างความผันผวนระยะสั้นก็ตาม
หุ้นจีน H-Share
ดัชนีหุ้นจีน H-Share ได้อานิสงส์จากความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่ดีขึ้น หลังประธานาธิบดี Trump อาจเยือนจีนช่วงปลายเดือน ต.ค. ระหว่างการประชุม East Asia Summit และการประชุม APAC summit นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากท่าทีล่าสุดของทางการที่สนับสนุน AI และ digital economy
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากข้อพิพาทเทคโนโลยีสหรัฐฯ-จีน ที่ลดลง และจากงบกลุ่ม Big Tech ใน 2Q68 ที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่คาด และเพิ่ม Capex บน AI ขณะที่บริษัทในดัชนีฯ มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีงบดุลแข็งแกร่ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ได้รับปัจจัยกดดันระยะสั้น จากแผนการเพิ่มภาษีนิติบุคคลและภาษีธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐบาล อย่างไรก็ดี เรายังมองว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ การปฏิรูปตลาดทุน และการเติบโตของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกระแส AI
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง จากผลประกอบการส่วนใหญ่ที่ดีกว่าคาด นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม Hyperscalers ปรับเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในปีนี้ สะท้อนอุปสงค์ของ AI ที่ยังคงแข็งแกร่ง ส่วนกลุ่มซอฟต์แวร์มีศักยภาพเติบโต หลังนำ AI มาประยุกต์ใช้
ภาพ: Chip Somodevilla / Getty Images