THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

‘เงินเฟ้อเร่งตัว’ สัญญาณอันตรายต่อเศรษฐกิจ หวั่น Fed ประเมินแนวโน้ม ‘พลาด’ เหมือนปี 2021

... • 25 มี.ค. 2025

HIGHLIGHTS

7 MIN READ
  • การที่ Fed กล่าวว่าภาษีนำเข้าจะมีผลกระทบ “ชั่วคราว” ต่อเงินเฟ้อนั้น น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจาก Fed เคยใช้คำว่า “transitory” ในช่วงปี 2021 และพลาดอย่างมากเมื่อเงินเฟ้อลุกลามสู่ภาคบริการอย่างรวดเร็ว 
  • การที่การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวพุ่งสูงขึ้นเป็น 4.9% สำหรับปีหน้า และ 3.9% สำหรับช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสามทศวรรษ เป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่จะทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปได้ยากขึ้น 
  • การที่ Fed เลือกสื่อสารเช่นนี้ อาจทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะต่อไปปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะหากทรัมป์ขึ้นภาษีต่อเนื่อง จึงต้องจับตาความคาดหวังเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด
  • ขณะที่ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนความสำเร็จจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทานของรัฐบาลจีน ซึ่งการที่ตัวเลขเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวขึ้น นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐ หลังลดลงต่อเนื่องในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากประเด็นข่าวเรื่อง Tariff ที่ไม่มีประเด็นใหม่ๆ ในช่วงต้นสัปดาห์ ด้าน FOMC คงดอกเบี้ยตามตลาดคาด ที่ระดับ 4.25% - 4.50% พร้อมลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจ แต่ปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อและการว่างงาน โดยเห็นว่ามีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากประเด็นภาษีนำเข้ากำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 

 

อย่างไรก็ตาม dot plot ยังคงแสดงว่าจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ แต่ท่าทีของคณะกรรมการเข้มงวดมากขึ้น เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค. 

 

ด้านยุโรปเยอรมันผ่านแผนปฏิรูปด้านการคลัง หนุนการลงทุนด้านความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่การเจรจาหยุดยิง 30 วัน ระหว่างยูเครน รัสเซีย ล่าสุดจะจำกัดเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและด้านพลังงาน เพื่อให้การเจรจาขั้นต่อไปเดินหน้าไปสู่การหยุดยิงอย่างถาวร 

 

ฝั่งเอเชียเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัว ทั้งยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโต 5.9% และการลงทุนสินทรัพย์ถาวร อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัว หลัง valuation อยู่ในระดับต่ำ เริ่มเห็นสำนักวิจัยต่างชาติมองบวกต่อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ทำให้มีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่ 

 

ด้าน ธปท. ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) เพื่อช่วยกระตุ้นภาคอสังหาฯ นอกจากนั้น หุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT ประกาศแผนซื้อหุ้นคืนแม้สัดส่วนไม่มาก แต่เป็นการส่งสัญญาณจากผู้บริหารว่าหุ้นอยู่ในระดับต่ำกว่าพื้นฐาน ตอบรับสัญญาณจากภาครัฐที่สนับสนุนการซื้อหุ้นคืน ราคาน้ำมันฟื้นตัว แม้จะมีเจรจาหยุดยิงระหว่างยูเครนและรัสเซีย แต่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น

 

หวั่น Fed อ่านสัญญาณ ‘เงินเฟ้อเร่งตัว’ พลาด

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า การที่ Fed คงอัตราดอกเบี้ยและเน้นย้ำกว่าไม่จำเป็นต้องรีบปรับนโยบายท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง พร้อมทั้งปรับลดประมาณการเศรษฐกิจเหลือ 1.7% และปรับเพิ่มเงินเฟ้อเป็น 2.7% สำหรับปีนี้ โดยกล่าวว่าภาษีนำเข้าจะมีผลกระทบ "ชั่วคราว" ต่อเงินเฟ้อนั้น น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจาก Fed เคยใช้คำว่า "transitory" ในช่วงปี 2021 และพลาดอย่างมากเมื่อเงินเฟ้อลุกลามสู่ภาคบริการอย่างรวดเร็ว 

 

การที่การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวพุ่งสูงขึ้นเป็น 4.9% สำหรับปีหน้า และ 3.9% สำหรับช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสามทศวรรษ เป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่จะทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปได้ยากขึ้น 

 

การที่ Fed เลือกสื่อสารเช่นนี้ อาจทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะต่อไปปรับเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะหากทรัมป์ขึ้นภาษีต่อเนื่อง จึงต้องจับตาความคาดหวังเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และหากยังมีการปรับขึ้น Fed อาจไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้อีกในวัฏจักรนี้ ยกเว้นกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง

 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ยังคงคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed 1 ครั้งในเดือนมิถุนายนสู่ระดับ 4.00 - 4.25%

 

เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนความสำเร็จจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทานของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มค่าจ้าง บุตร รวมถึงสนับสนุนธุรกิจสำคัญเช่น AI และ EV ขณะที่ธนาคารกลางจีนกำลังศึกษาแนวทางช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้บริโภคและเตรียมเครื่องมือนโยบายใหม่เพื่อเพิ่มการสนับสนุนต้นทุนต่ำ 

 

อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญความท้าทายสำคัญจากมาตรการกีดกันทางการค้าของทรัมป์ที่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีน 20% และภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมอีก 25% ซึ่งกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซาต่อเนื่อง ทำให้เรายังคงคาดการณ์การเติบโตเป็น 4.5% ในปีนี้

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

 

1. หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX สำหรับ SET50 ที่น่าสนใจ ได้แก่ ADVANC BBL BDMS CPALL PTT ส่วนหุ้น SET100 ที่น่าสนใจ ได้แก่ AP BCH BTG

2. หุ้น Dividend Play ซึ่งมี Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP KTB KBANK BBL SPALI

3. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน แนะ-นำ MTC, MINT, AMATA, BJC, CPF

 

“มอง SET ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อหลังรับรู้ปัจจัยลบไปมากแล้วจนทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรง 15%YTD แย่สุดในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้มองว่าตัวเลขเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย

 

นอกจากนั้น ท่าทีของธนาคารกลางทั่วโลกออกไปในทิศทาง Dovish มากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ขณะที่ในประเทศมีปัจจัยต้องติดตามเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24-26 มี.ค.” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

 

1. การดำเนินการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย-ยูเครน เพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน และสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่กลับมาปะทุอีกครั้ง

2. การรายงานการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ 4Q24 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), ดัชนี Core PCE ของสหรัฐ (ม.ค. 2.6%)

3. การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีของไทยในวันที่ 24-26 มี.ค.

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: MTC- ปี 2025 คาดกำไรเติบโตดีต่อเนื่อง

 

แนะนำ บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล หรือ MTC เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

 

  • เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยใหญ่สุดของไทย โดยให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อโฉนดที่ดิน สินเชื่อส่วนบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ โดยส่วนใหญ่เป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าบุคคลที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินจาก ธพ. แต่มียานพาหนะและ/หรือที่ดินของตนเองใช้เป็นหลักประกัน

 

  • ปี 2025 คาดกำไรเติบโต 17%YoY แรงหนุนจากสินเชื่อที่เติบโตดี 13% แข็งแกร่งสุดในกลุ่มเงินทุน หลังมีสาขาครอบคลุมมากที่สุดในไทย อีกทั้ง Credit Cost คาดว่าจะลดลง 21 bps จากมาตรการแจกเงินหมื่นบาทของรัฐบาล ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นของพนักงานติดตามหนี้ และการมุ่งเน้นขยายพอร์ตสินเชื่อที่มีหลักประกัน

 

  • มองเป็นหุ้น Undervalued ที่น่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER 25F ระดับ 14.6 เท่า คิดเป็น -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีตของบริษัท และน่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุน ThaiESGX เนื่องจากมี SETESG rating ระดับ AAA

 

  • เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 53 บาท อิงวิธี PBV 2.6 เท่า และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 0.32 บาท คิดเป็น Div. Yield ราว 0.7%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

เราเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกในตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้นจาก 1) เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แม้จะยังคงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป 2) การสนับสนุน เศรษฐกิจของทางการจีน โดยเฉพาะในภาคส่วนการบริโภคและเทคฯ 3) งบหุ้นจีนที่โตดีกว่าคาด หลังมีการพัฒนา AI เข้ากับสินค้าและบริการ ทำให้ Ecosystem ครบวงจร ด้วยภาพนี้ทำให้เรายังคงแนะ Selective Buy ในกลุ่มเทคฯที่มีแนวโน้มโตดีอย่าง Xiaomi Tencent Alibaba โดยแนะนำสะสมในช่วงที่หุ้นย่อตัว หลังหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Upside ล่าสุดลดลง

 

  • ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจจีนในช่วง 2M25 ดีกว่าคาด โดยยอดค้าปลีกมีอัตราการเติบโตดีสุดนับตั้งแต่ต.ค. ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเผยตัวเลขสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี ตลาดอสังหาฯยังคงเผชิญแรงกดดัน และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แสดงถึงความเปราะบางที่ยังคงมีอยู่และอาจส่งผลกระทบมากขึ้นหากเผชิญการขึ้นภาษีของสหรัฐ ซึ่งภาพนี้ส่งผลให้ทางการยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง

 

  • ล่าสุด รัฐบาลจีนได้ประกาศแผนฟื้นฟูการบริโภคโดยมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ของประชาชน ครอบคลุมมาตรการต่างๆ เช่น การรักษาเสถียรภาพของตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ และการให้แรงจูงใจเพื่อเพิ่มอัตราการเกิด โดยหนึ่งในมาตรการด้านส่งเสริมการเกิด คือ เมืองโฮฮอต เมืองหลวงของมองโกเลีย ส่งเสริมการมีบุตรด้วยนมฟรีและเงินอุดหนุนการดูแลเด็ก

 

  • งบกลุ่มเทคฯจีนใน 4Q24 ออกมาเติบโตดีกว่าคาด โดย 1) Xiaomi เผยรายได้เติบโต 48.8%YoY โดยรายได้ทุกส่วนเติบโตโดยเฉพาะสมาร์ทโฟน +16%, ผลิตภัณฑ์ IoT +52% และ ธุรกิจใหม่ Smart EV +11% 2) Tencent เผยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 11%และกำไรโต 30% หนุนทุกธุรกิจที่โตโดยเฉพาะเกมและ Ads ขณะที่ Operating Margin ต่ำกว่าคาดหลังมีการลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นเป็น 12% ของรายได้รวมใน FY24

 

เรามองว่าการปรับตัวขึ้นของกลุ่มเทคฯจีนในรอบนี้ที่มีแรงหนุนจาก AI สามารถเทียบเคียงได้กับการปรับตัวของกลุ่มเทคฯสหรัฐฯในช่วงปี FY24 ที่ผ่านมาซึ่งมาจากประเด็น AI เช่นเดียวกัน โดยจากสถานการณ์ในตอนนี้เรามองว่า 

 

1. กลุ่มเทคฯจีนยังมี Room ให้ปรับตัวขึ้นต่อได้โดยหากดูที่ราคาในตอนนี้จะเห็นได้ว่ากลุ่มเทคฯจีนปรับขึ้นเพียง 40% และอยู่ในช่วงต้นของรอบการปรับขึ้นจาก AI

 

2. อย่างไรก็ดี แนะระมัดระวังมากขึ้นในช่วงถัดไป หลังจะเห็นได้ว่ากลุ่มเทคฯสหรัฐฯในช่วงกลางปี FY24 มีการ Correction จากความกังวล Monetization AI ซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่มเทคฯจีนที่ในตอนนี้ที่ยังมีภาพการรับรู้รายได้จาก AI ที่ไม่ชัดเจน เราจึงแนะติดตามต่อเนื่อง

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

สินทรัพย์สภาพคล่อง มีแนวโน้มให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยังมีแนวโน้มได้อานิสงส์จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ เช่น ข้อพิพาทบนช่องแคบไต้หวัน ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ-คู่ค้าต่างๆ สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งภายในตะวันออกกลาง โดยล่าสุด อิสราเอลประกาศเพิ่มการโจมตีทางอากาศ ทางบก และทางทะเลต่อกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา เพื่อกดดันให้ปล่อยตัวตัวประกันที่เหลืออยู่ ซึ่งถือเป็นการยุติการหยุดยิงที่ดำเนินมาเป็นเวลา 2 เดือน 

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

แม้ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ อาจกดดันให้ UST yield ตัวยาว ให้ยังลดลงในช่วงสั้น แต่โอกาสที่ UST yield ตัวยาว จะกลับมาเพิ่มขึ้นยังคงมีอยู่ จากความกังวลแนวโน้มการขาดดุลการคลัง ซึ่งจะทำให้ term premium เพิ่มขึ้น และจากความเสี่ยงเงินเฟ้อที่หนืด ตามการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ Fed ระมัดระวังในการปรับลดดอกเบี้ย แม้ว่า ที่ประชุม Fed ล่าสุด ประกาศชะลอการลดขนาดงบดุล ก็ตาม ทั้งนี้ Bond ตัวสั้น มีความเสี่ยง duration ต่ำ แต่ยังให้ yield ที่สูง จึงทำให้ยังน่าสนใจลงทุน

 

U.S. Treasury & IG

 

UST Yield อาจได้แรงหนุนจากความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังหนืด ตามที่สหรัฐฯ เตรียมเริ่มใช้ Reciprocal Tariffs ในวันที่ 2 เม.ย. นี้เป็นอย่างเร็ว สอดคล้องกับ ถ้อยแถลงของ Powell ล่าสุด ที่ยอมรับว่า เงินเฟ้อจะปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากผลของนโยบายภาษีนำเข้า แม้ความกังวลของตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ จะช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของ UST yield ก็ตาม ทั้งนี้ แนะนำลงทุน UST และ US IG bond โดยเน้น duration ระยะสั้นถึงกลาง ที่ยังให้ yield สูง และช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน

 

High Yield Bond

 

US HY ยังมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเป็นบวก จาก 1) อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของ US HY ยังต่ำอยู่ที่เพียง 1.25% 2) การ leverage (Net debt to EBITDA) ที่ยังอยู่ต่ำ และ 3) หุ้นกู้ US HY ซึ่งจะครบกำหนดในปี 2568 ไม่สูงมากนัก อยู่ที่เพียง 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ US HY Spread ที่ยังค่อนข้างต่ำ และเสี่ยงกว้างขึ้น จากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความกังวลของตลาดบนโมเมนตัมเศรษฐกิจที่แผ่วลง และเงินเฟ้อที่ยังหนืดของสหรัฐฯ อาจจำกัด upside ของ US HY

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

REITs เป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนในรูปกระแสเงินให้กับ Portfolio ได้ ทั้งในระยะกลางถึงระยะยาว และเป็นการเพิ่มการกระจายความเสี่ยงให้กับ Portfolio จากความสัมพันธ์ของผลตอบแทนต่อสินทรัพย์อื่นต่ำ / สินทรัพย์ผสม (Ready Mixed - Asset Allocation) ช่วยกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน และช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ภายนอกที่มีต่อสินทรัพย์ที่ถือครอง

 

US REITs

 

US REITs มีปัจจัยหนุนจากตลาดแรงงานแข็งแกร่ง Occupancy Rate อยู่ในระดับสูงราว 94% กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NOI) เติบโตต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มดีขึ้น จากต้นทุนการเงินที่ลดลง ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง โดยเราคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยรวม 50 bps ภายในสิ้นปี 2568 ส่วนงบดุลที่แข็งแกร่ง รองรับการเติบโตในอนาคตได้ และ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเทียบค่าเฉลี่ยในอดีต อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันจาก Bond Yield สหรัฐฯ ที่อาจปรับตัวขึ้น และ Fed ยังไม่เร่งลดดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้

 

Private Credit

 

เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit Asset จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่ได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังขยายตัวได้ แม้โมเมนตัมเริ่มส่งสัญญาณแผ่วลง อย่างไรก็ดี เรายังเน้นการลงทุนใน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหน้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก (first lien seniority)

 

หุ้นไทย

 

ดัชนีฯ ได้รับปัจจัยกดดันระยะสั้นจาก 

 

1. สงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ตามที่สหรัฐฯ มีแผนเริ่มใช้ Reciprocal Tariffs ในวันที่ 2 เม.ย. นี้เป็นอย่างเร็ว 

2. ประเด็นด้านความเชื่อมั่นในตลาดทุน 

3. EPS ดัชนีฯ ในปี 2568 ที่ถูกปรับประมาณการลงต่อเนื่อง จากผลประกอบการ 4Q2568 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และ เศรษฐกิจไทยใน 2H2568 ที่ชะลอตัวลง 

 

อย่างไรก็ดี คาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของกนง.ในปีนี้ อีก 1-2 ครั้ง รวมทั้งการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV จะช่วยหนุน EPS ของหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่กองทุนรวม Thai ESGX วงเงินใหม่ ซึ่งจะเปิดให้ลงทุนในเดือน พ.ค.- มิ.ย. จะช่วยหนุนเม็ดเงินไหลเข้าดัชนีฯ ท่ามกลาง Valuation ที่น่าสนใจลงทุน

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มผันผวนและพักฐานในระยะสั้น จากความไม่แน่นอนบนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่เสี่ยงกระทบโมเมนตัม GDP สหรัฐฯ และ EPS ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนหุ้นยุโรป ได้แรงหนุนจากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ ECB และแนวโน้มการใช้จ่ายด้านการทหารกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในเยอรมนี แม้ความเสี่ยงจากกำแพงภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ยังมีอยู่ ขณะที่หุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มอานิสงส์จากเงินเฟ้อที่กลับมา การเติบโตของค่าจ้างที่ช่วยหนุนกำลังซื้อภาคครัวเรือน และการปฏิรูปบรรษัทภิบาล แม้ว่าความไม่แน่นอนบนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ และเงินเยนที่แข็งค่าช่วงที่ผ่านมา อาจเสี่ยงกระทบ EPS guidance ขั้นต้น ในปีงบประมาณถัดไป ของบริษัทญี่ปุ่น ก็ตาม

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

เราคาด EPS ของ S&P500 ในปีนี้ และปีหน้า ยังมีแนวโน้มเติบโตดีและโตเป็นวงกว้างมากขึ้น จากแนวโน้มการผลักดันแผนลดภาษีเงินได้ และการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบของ Trump รวมทั้ง จากการพัฒนาและการใช้งาน AI ในสหรัฐฯ ที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสามารถในการทำกำไร แต่ด้วยความไม่แน่นอนบนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ หลัง Trump กล่าวว่า จะใช้ความยืดหยุ่นต่อแผน reciprocal tariff ซึ่งสหรัฐฯ มีกำหนดบังคับใช้วันที่ 2 เม.ย. เป็นอย่างเร็ว อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ Consensus จะปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ และ EPS ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลงบางส่วน และสร้างความผันผวนในระยะสั้น จนกว่านโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะชัดเจนขึ้น และลดความแข็งกร้าวลง

 

หุ้นยุโรป

 

ดัชนีหุ้นยุโรปมีแนวโน้มได้รับปัจจัยหนุนจากวัฏจักรการลดดอกเบี้ยของ ECB สู่ neutral rate ที่ 2% ขณะที่ Valuation ของดัชนีฯ น่าสนใจกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ การผ่านร่างกฎหมายแบบเร่งด่วนบนประเด็นการเพิ่มการใช้จ่ายด้านการทหาร และ การเพิ่มเพดานหนี้เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2568 ของเยอรมนี มีแนวโน้มส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและ sentiment การลงทุน 

 

ขณะที่การที่ EU เลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้สินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 26 พันล้านยูโร ออกไปจนถึงกลางเดือนเม.ย. 2568 มีแนวโน้มส่งผลเชิงบวกต่อการเจรจาต่อรองเพิ่มเติมกับสหรัฐฯ และ อาจลดความผันผวนบนตลาดหุ้นในระยะสั้นได้

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก 

 

1. การปฏิรูปบรรษัทภิบาลในญี่ปุ่น ที่จะหนุน ROE และ P/BV ตลาดฯ 

2. EPS ตลาดฯ ที่ยังเติบโตดี ตามเงินเฟ้อในญี่ปุ่นที่กลับมา สอดคล้องกับโมเมนตัมการเติบโตของค่าจ้าง ที่จะช่วยหนุนกำลังซื้อครัวเรือน 

 

อย่างไรก็ดี ประเด็นความไม่แน่นอนแผนกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ยังเสี่ยงกระทบแนวโน้ม EPS ตลาดฯ ในระยะถัดไป โดยเฉพาะกับกลุ่มที่พึ่งพาอุปสงค์ต่างประเทศ / ส่งออก แม้ล่าสุด ทางการญี่ปุ่นประกาศว่า ยังคงมุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ก็ตาม

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

ตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย ยังมีแนวโน้มเผชิญความท้าทายจาก 

 

1. ความไม่แน่นอนบนแผนการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะกดดันแนวโน้มการค้าการลงทุนของภูมิภาค 

2. ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ที่สร้างความผันผวนเป็นระยะ แต่ตลาดฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายทางการเงินและการคลังของแต่ละประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงสงครามการค้ารอบใหม่ แม้ว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่มาก อาจทำได้อย่างจำกัด ตามที่บางประเทศยังคงกังวลความเสี่ยงเงินทุนไหลออก ที่จะกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นที่ยืดหยุ่น และเน้นอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก

 

หุ้นจีน

 

ดัชนีฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก EPS ตลาดฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งจาก 

 

1. การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน โดยล่าสุด ทางการประกาศแผนปฏิบัติการพิเศษ เพื่อส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ 

2. แรงฉุดภาคอสังหาฯ ที่มีต่อ GDP มีแนวโน้มลดลง 

3. ฐานที่ต่ำจากปีก่อน อย่างไรก็ดี ประเด็นความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ จะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นจีนยังผันผวนเป็นระยะ แม้ล่าสุด ประธานาธิบดี Trump ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ตนมีแผนที่จะพูดคุยกับประธานาธิบดี Xi Jinping ของจีน ก็ตาม

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ทองคำมีแนวโน้มได้รับปัจจัยหนุนจาก

 

1. การกีดกันทางการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังมีอยู่ 

2. ความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง สนับสนุนการถือครองทองคำ ในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ 

3. ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุนได้ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวชะลอลง

4. Fund Flow ของ ETF ที่ซื้อสุทธิทองคำต่อเนื่อง โดยซื้อสุทธิประมาณ 100 ตัน ในเดือน ก.พ. 2568 เทียบกับ เดือน กพ. 2567 ที่ขายสุทธิประมาณ -49 ตัน อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า และ US Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกดดัน และทำให้ราคาทองคำผันผวนในระยะสั้น

 

ภาพ: Darren415 / Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 25 มี.ค. 2025

READ MORE



Latest Stories