- ตลาดหุ้นโลกปรับลดลง นักลงทุนเริ่มชะลอการซื้อขายเพื่อรอดูความชัดเจนทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐ จากการประชุมที่ Jackson Hole โดยนักวิเคราะห์ในตลาดบางส่วนมองว่าท่าทีของ Fed อาจมีการผ่อนคลายลงบ้าง
- ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่ำกว่า 1,250 จุด จากการขายทำกำไร หลังขึ้นมาช่วงก่อน และเพื่อรอดูความชัดเจนทิศทางดอกเบี้ย Fed และการเมืองในสัปดาห์นี้
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า วันที่ 29 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรี จึงมองความเป็นไปได้ต่อตลาดหุ้นไทยออกมา 3 กรณี
- เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2025 คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.8% โดยมองว่าไตรมาส 3 GDP จะขยายตัวได้เพียง 1.0% และลดลงเหลือ 0.1% ในไตรมาส 4 จากสัญญาณของเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตร เริ่มแผ่วลงพร้อมกัน
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญ 4 ความเสี่ยงรุมเร้า ทั้งเศรษฐกิจชะลอ การส่งออกหดตัวรุนแรง และความผันผวนทางการเงินจากนโยบาย Fed ที่คาดเดายาก ส่งผลให้ตัวเลข GDP ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2025 มีแนวโน้มหดตัวรุนแรงต่อเนื่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับลดลง นักลงทุนเริ่มชะลอการซื้อขายเพื่อรอดูความชัดเจนทิศทางนโยบายการเงินสหรัฐ จากการประชุมที่ Jackson Hole โดยนักวิเคราะห์ในตลาดบางส่วนมองว่าท่าทีของ Fed อาจมีการผ่อนคลายลงบ้าง แม้ FOMC Minutes วันที่ 29-30 ก.ค. จะยังสะท้อนว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังคงมองว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากภาษีที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายทรัมป์กำลังกระตุ้นแรงกดดันด้านราคา ทำให้ภาษีที่เพิ่มขึ้นกำลังทยอยส่งผ่านไปยังราคาผู้บริโภค มีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงจากตลาดแรงงาน
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแม้ชะลอตัว แต่ยังแข็งแกร่ง โดยล่าสุด PMI การผลิตดีกว่าคาดและขยายตัวมากสุดตั้งแต่ปี 2022
หุ้นกลุ่มเทคฯ และกลุ่มสื่อสารปรับตัวลง จากแรงขายทำกำไรและเปลี่ยนกลุ่มเล่นหลังราคาปรับตัวขึ้นแรงและไม่มีประเด็นใหม่สนับสนุน กลุ่มเชิงรับอย่างกลุ่ม Healthcare และกลุ่มสินค้าจำเป็นปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% และ 1.3% มองเป็นผลจากความ Laggard
ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นหลังการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนมีความคืบหน้า โดยการประชุมผู้นำรัสเซีย-ยูเครน คาดอาจเกิดขึ้นใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
ตลาด EM อ่อนตัวลงในทิศทางเดียวกับหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะเอเชียเหนือ (ยกเว้นจีน) จากแรงกดดันของกลุ่มเซมิฯ ในตลาดไต้หวัน และเกาหลี
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่ำกว่า 1,250 จุด จากการขายทำกำไร หลังขึ้นมาช่วงก่อน และเพื่อรอดูความชัดเจนทิศทางดอกเบี้ย Fed และการเมืองในสัปดาห์นี้ โดยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/25 ขยายตัวที่ 2.8%YoY สูงกว่าคาด การบริโภคยังคงขยายตัวแต่ชะลอตัวลง ส่วนการลงทุนพลิกกลับมาเป็นบวกจากฐานที่ต่ำในปีก่อน
ทั้งนี้สภาพัฒน์ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2025 เป็น 2.0% จากเดิม 1.8% ราคาน้ำมันปรับขึ้นจากตัวเลขสต๊อกน้ำมันสหรัฐลดลงกว่าคาด
หั่นคาดการณ์ GDP ครึ่งปีหลังเหลือ 1% สัญญาณเครื่องยนต์หลักแผ่วพร้อมกัน
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ยังคงมองว่าเศรษฐกิจทั้งปี 2025 คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.8% โดยเรามองว่าไตรมาส 3 GDP จะขยายตัวได้เพียง 1.0% และลดลงเหลือ 0.1% ในไตรมาส 4 จากสัญญาณของเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตร เริ่มแผ่วลงพร้อมกัน โดยการบริโภคและลงทุนจะชะลอ ขณะที่การส่งออกจะหดตัวรุนแรง
ทั้งนี้ เรามองว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงสำคัญ 4 ด้านได้แก่
- สัญญาณเศรษฐกิจชะลอลงเริ่มเห็นเด่นชัดขึ้นตั้งแต่เดือน มิ.ย.
- ความผันผวนทางการเงินที่จะมีมากขึ้นจากนโยบายการเงินสหรัฐที่จะคาดการณ์ยาก
- สินค้าคงคลังที่มีแนวโน้มจะกลับมาหดตัวอีกครั้งในครึ่งปีหลัง หลังจากการลงทุนในไตรมาสนี้เร่งตัวขึ้น
- ภาคการเกษตรที่มีความเสี่ยงมากขึ้นทั้งจากราคาสินค้าเกษตรโลกที่ผันผวนและผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งจะทำให้รายได้เกษตรกรลดลง และกระทบการบริโภคภายในประเทศ
บันทึกการประชุม FOMC วันที่ 29-30 ก.ค. สะท้อนว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมากกว่าความเสี่ยงด้านตลาดแรงงาน แม้เศรษฐกิจและการจ้างงานชะลอลงในช่วงครึ่งปีแรก แต่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าตามนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับสร้างแรงกดดันด้านราคาจากฝั่งต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัวในช่วงถัดไป
สอดคล้องกับมุมมองของ InnovestX ที่ประเมินว่าผลกระทบจากภาษีจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ และมีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะเร่งขึ้นแตะระดับ 4% ในช่วงครึ่งหลังของปี
โดยเราและคณะกรรมการ Fed บางส่วนเห็นตรงกันว่าภาษีอาจยังไม่สะท้อนเต็มที่ในราคาผู้บริโภค และต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้น Earning Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2H68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ HoH ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCPG GULF SCC TIDLOR
- หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SETESG RatingA ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div.Yield เกิน 2% แนะนำ PTT SIRI TTB
- Trading Idea : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Laggard Play ซึ่งคาดได้อานิสงส์หาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง โดยเลือกหุ้น SET50 ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้น QTD ต่ำกว่า SET และ Valuation ถูก โดยมี PBV และ PER 2568F < -1SD อีกทั้งมีพื้นฐานดี (กำไรเติบโต ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมี ESG Rating A-AAA) แนะนำ BDMS CPALL MTC PTT WHA และ 2) หุ้น Global Play ที่มีรายได้อ้างอิงกับต่างประเทศ ในช่วงที่มีแรงกดดันจากการเมืองในประเทศที่มีความไม่ชัดเจนและคาดได้อานิสงส์จากอุปทานส่วนเกินที่ลดลง หลังเกาหลีใต้สั่งโรงงานปิโตรเคมีลดกำลังผลิตลง แนะนำ SCC HANA
3 ฉากทัศน์ หุ้นไทยตอบรับการเมือง
“ช่วงสั้นมอง SET จะยังอยู่ในช่วงพักฐานและ กระแสเงินมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ โดยวันที่ 29 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยคดีคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมองความเป็นไปได้ใน 3 กรณี คือ 1. หากนายกรัฐมนตรี ‘พ้นจากตำแหน่ง’ มองอาจกดดันให้ SET ปรับลงแรงช่วงสั้น จากกังวลเกิดสุญญากาศทางการเมือง 2. หากศาลฯ วินิจฉัย ‘ไม่มีความผิด’ มองตลาดจะฟื้นตัวช่วงสั้นจากคลายกังวลเสถียรภาพการเมืองระดับหนึ่ง แต่ดัชนีจะปรับขึ้นได้จำกัด จากยังมีคดีการเมืองอื่นที่ต้องติดตามต่อ และ 3. หากเกิดการยุบสภา มองมีโอกาสหนุนให้ตลาดปรับขึ้นเพราะมีความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
- ศาลรัฐธรรมนูญลงมติและอ่านคำวินิจฉัยคดีของนายกรัฐมนตรี กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ และสมเด็จ ฮุนเซ็น ในวันที่ 29 ส.ค.
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ ได้แก่ Core PCE ก.ค., GDP 2Q25 (ประมาณการครั้งที่ 2)
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของไทย ได้แก่ มูลค่านำเข้า-ส่งออก, ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, รายงานภาวะเศรษฐกิจของ ธปท.
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: CPALL - 2H25 คาดกำไรโตเด่นกว่ากลุ่ม
แนะนำ บมจ. ซีพีออลล์ หรือ CPALL เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกค้าส่งในไทย ซึ่งมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งยังสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ดีภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและชะลอตัว
- 2H25 คาดกำไรเติบโต YoY เด่นกว่ากลุ่ม แรงหนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นธุรกิจ CVS ที่ดีขึ้น (ตั้งแต่ 24 ส.ค. นี้จะออก stamp campaign โดยมีสินค้าพรีเมียมเป็น Butterbear หรือน้องหมีเนย) และส่วนแบ่งกำไรจาก CPAXT ที่ดีขึ้นจาก synergy ที่มากขึ้นหลังควบรวมกิจการ อีกทั้งคาดอัตรากำไรยังขยายตัวและคุม SG&A/sales ได้ดี จากค่าไฟที่ลดลง ค่าแรงและค่าเช่าที่ยังบริหารจัดการได้
- เป็นหุ้น Laggard โดยปัจจุบันซื้อขาย PER 25F ที่ 14.5 เท่า ต่ำสุดในกลุ่มพาณิชย์ ขณะที่ปี 2025-2026 คาดกำไรจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 13.7% ดีกว่ากลุ่มพาณิชย์ที่คาดเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.4% อีกทั้งยังมีโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยจำกัด Downside
- เราประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่หุ้นละ 63 บาท (อิงวิธี DCF) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 หุ้นละ 1.58 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 3.4%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
ภาพรวมหุ้นจีนเผยงบดีกว่าที่คาดโดยรวม ยกเว้น Baidu ที่รายได้ผิดคาดและแนวโน้มโตหดตัวผลจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทอื่นเผยงบเติบโตและมีแนวโน้มที่ดี โดย 1. Xiaomi ที่ธุรกิจ EV และ IoT โตดีชดเชยสมาร์ทโฟนที่ชะลอตัวได้ 2. Kuaishou มีแรงหนุนจากการ Monetization AI 3. HKEX มีปริมาณการเทรดและ IPO โตดี 4. AIA มีแรงหนุนจาก VONB ในทุกภูมิภาค ด้วยภาพนี้ทำให้เรายังแนะลงทุนใน Xiaomi Kuaishou HKEX AIA
- Xiaomi เผยรายได้โต +30% YoY หนุนจาก IoT และ EV ที่โตแกร่งซึ่งช่วยชดเชยรายได้สมาร์ทโฟนที่หดตัวได้ ขณะที่กำไรสุทธิปรับปรุงพุ่ง +75% YoY จากกำไรธุรกิจ EV/New Initiatives
- Kuaishou Technology เผยรายได้โต +13%YoY และกำไร +24%YoY หนุนจากทุกธุรกิจที่โตและ AI tools อย่าง ‘Kling AI’ ที่ทำรายได้ได้แล้ว ทั้งนี้บริษัทคาด Kling AI เติบโตเกินเป้าเดิมสองเท่า ทำให้มีแผนขยายการลงทุน AI ต่อ
- HKEX เผยกำไรทำสถิติสูงสุด หนุนจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (ADT) ของหุ้นเพิ่มเกือบเท่าตัว ปริมาณการซื้อขายผ่าน Stock Connect ที่แข็งแกร่ง และการฟื้นตัวของตลาด IPO พร้อม pipeline IPO กว่า 200 รายการ
- AIA แม้กำไรจะลดลง -24% จากผลกระทบด้านการลงทุน แต่ชดเชยจากมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ใน 1H25 โต +16% YoY หนุนจากธุรกิจในฮ่องกง, ไทย และสิงคโปร์ รวมถึงเพิ่มปันผลกลางปี +10% สะท้อนธุรกิจหลักที่แข็งแรง
- Baidu เผยรายได้ -4% YoY ตามคาด แต่กำไร +33% YoY ดีกว่าคาด หนุนจาก Cloud/AI โต +34% และ Robotaxi ขยายต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังคงลงทุนใน Ernie AI และ Robotaxi รวมถึงมีแผนขยายสู่สิงคโปร์-มาเลเซียปีนี้
ในตลาดหุ้นจีน เราแนะมอง 1. Xiaomi ที่ธุรกิจ EV และ IoT เติบโตต่อเนื่องซึ่งจะช่วยชดเชยธุรกิจสมาร์ทโฟนที่มีแรงกดดันจากการแข่งขันได้ นอกจากนี้มองราคาหุ้นย่อตัวอยู่ในระดับที่น่าสนใจ 2. Kuaishou Technology ที่แม้หุ้นจะปรับขึ้นแรงแต่เชื่อว่ายังมี Upside จากการ monetization AI ได้จริงและแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตจากการพัฒนา AI ร่วมด้วย เช่น Live Stream 3. HKEX มีแนวโน้มที่เติบโตตามการฟื้นตัวของจีน เม็ดเงินทุนไหลเข้า และ IPO momentum ต่อเนื่อง 4. AIA เป็นหุ้นเชิงรับที่มีแนวโน้มการเติบโตจากการขยาย VONB ในหลายประเทศและความมั่นคงด้านปันผล
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้รับอานิสงส์จากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งความเสี่ยงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ และความไม่แน่นอนการเจรจาสงครามในยูเครน หลังรัสเซียและยูเครนต่างกล่าวโทษกันว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้กระบวนการสันติภาพหยุดชะงัก
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มขาดดุลการคลังสหรัฐฯ ที่สูง และ Fed รอประเมินข้อมูลเงินเฟ้อก่อนตัดสินใจลดดอกเบี้ย ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งใน 4Q2568 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
U.S. Treasury & IG
แม้ S&P คาดรายได้จากภาษีนำเข้า อาจช่วยชดเชยการขาดดุลการคลัง จาก OBBBA แต่ US term premium ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ US IG bond ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แนะนำ UST และ US IG bonds ที่ duration สั้นถึงกลาง เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายของสหรัฐฯ
High Yield Bond
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เริ่มแผ่วลง ชี้จากยอดผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน มิ.ย. อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate จะเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำ จนจำกัด upside ของ HY ท่ามกลาง US HY spread ปัจจุบัน ที่ค่อนข้างแพง
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
Global Infrastructure
การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างกระแสเงินสดให้พอร์ตได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี Correlation กับสินทรัพย์หลักอื่นๆ ค่อนข้างต่ำในอดีต ทำให้สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก เป็นสัญญาระยะยาว และมีโครงสร้างรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อ Private Credit ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการเงินอนาคตและโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้ง จากการที่ Fed ที่อาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยมาก หลัง PMI ภาคการผลิตสหรัฐฯ ล่าสุด แตะระดับสูงสุดในรอบ 39 เดือน ทั้งนี้ แนะนำเน้นลงทุน Private credit ที่ปล่อยกู้ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกร้องหลักประกันเป็นลำดับแรก
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
หุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจาก EPS ที่มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการดีขึ้น / เศรษฐกิจยุโรปได้แรงหนุนจากความหวังการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกที่สำคัญ / หุ้นญี่ปุ่นได้รับอานิสงส์จากการปฏิรูปธรรมาภิบาล และจากแนวโน้มการผ่อนคลายทางการคลัง
หุ้นสหรัฐฯ
แม้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะผันผวนในระยะสั้น จากความกังวลความเสี่ยงภาวะฟองสบู่บนหุ้นธีม AI ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรและสับเปลี่ยนกลุ่มก่อน NVIDIA ประกาศงบ อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของประธาน Fed ที่บ่งชี้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยเดือน ก.ย.เป็นอย่างเร็ว และ EPS ของดัชนีฯ ทั้งปี ที่อาจถูกปรับประมาณการดีขึ้น จะช่วยสนับสนุนดัชนีฯ
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนระยะสั้น จากการเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่จะหารือใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า การลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สำหรับรถยนต์ ยา เซมิคอนดักเตอร์ที่ 15% รวมถึงตัวเลข PMI ภาคการผลิตและภาคบริการที่ฟื้นตัว ทั้งนี้ ตลาดฯ ได้แรงหนุนจากมาตรการทางการคลังในระยะยาว
หุ้นญี่ปุ่น
ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นได้แรงหนุนจาก 1) EPS ดัชนีฯ ที่มีแนวโน้มถูกปรับขึ้น หลังภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ไม่ได้รุนแรงเท่าที่คาด 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาล ผ่านการเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 3) ความคาดความหวังการออกมาตรการกระตุ้นการคลังเพิ่มเติม และ 4) BoJ ที่มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
หุ้นตลาดเกิดใหม่เอเชียมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น จากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ที่เกิดจากความไม่แน่นอนในทิศทางดอกเบี้ย ทั้งนี้ เรามอง ตลาดฯ ยังได้แรงหนุนจากเงินทุนไหลเข้าจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. จากการทยอยลดดอกเบี้ยของ Fed
หุ้นอินเดีย
แม้ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มพักฐานในระยะสั้น จากความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเพิ่มภาษีนำเข้าเป็น 50% แต่ RBI มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม และรัฐบาลมีแนวโน้มปรับโครงสร้างภาษีสินค้าและบริการ (GST) เพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภค และลดเงินเฟ้อ ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกต่อหุ้นอินเดียในระยะยาว
หุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มลดลง จากกระแสเงินทุนไหลเข้าที่เริ่มชะลอตัว รวมถึงความไม่แน่นอนด้านการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ เรามองว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ ขึ้นอยู่กับความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ และการปรับประมาณการ EPS ติดตามตัวเลขส่งออก และ การปรับน้ำหนักหุ้นไทยของ MSCI
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากแรงกดดันความคืบหน้าในการเจรจายุติสงครามรัสเซีย– ยูเครน และความไม่แน่นอนในทิศทางดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ส่งผลทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เรายังมีมุมมองบวกระยะยาว จากแรงซื้อของธนาคารกลางโดยเฉพาะจีน
หุ้นจีน All-Share
ดัชนีหุ้นจีนได้แรงหนุนจากความหวังการออกมาตรการกระตุ้นจากทางการ หลังโมเมนตัมเศรษฐกิจจีน เดือนก.ค. แผ่วลง ด้านหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์จีน ได้อานิสงส์หลัง Nvidia สั่งซัพพลายเออร์ระงับผลิต H20 และ DeepSeek เผย โมเดล AI ใหม่ ได้รับการพัฒนาให้สอดรับกับชิปจีนรุ่นถัดไป
หุ้นจีน H-Share
ดัชนีหุ้นจีน H-Share ได้อานิสงส์จากสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลาย ขณะที่ Fwd P/E ของดัชนี HSCEI ยังอยู่ในระดับต่ำ และงบกลุ่ม Internet platform รายใหญ่ ใน 2Q2568 ที่ดีกว่าคาด อย่าง JD.com ที่รายงานรายได้เพิ่มขึ้น 22%YoY และสูงกว่าที่คาด
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจากงบกลุ่ม Tech และกลุ่ม Communication Services รายใหญ่ ใน 2Q2568 ที่แข็งแกร่ง และดีกว่าที่คาด ประกอบกับ ตลาดยังคาดว่า การใช้จ่าย capex ของกลุ่ม Magnificent 7 ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 52%YoY อยู่ที่ 385 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งจะช่วยหนุนแนวโน้มอุปสงค์บนชิป AI
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ได้รับปัจจัยบวก จากแรงหนุนของตัวเลขการส่งออก 20 วันแรกในเดือน ส.ค. ที่ขยายตัว 7.6%YoY แต่อาจมีความผันผวนระยะสั้นตามการปรับฐานของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ทั้งนี้ เราคาดว่าผลการประชุมระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีใต้ ด้านเศรษฐกิจและการค้าในสัปดาห์นี้ จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเพิ่มเติม
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก EPS กลุ่มฯ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่มีศักยภาพในการเติบโต ตามที่ความต้องการใช้ AI ที่กระจายไปหลายอุตสาหกรรมและภูมิภาค ทำให้ความต้องการชิปและโครงสร้างพื้นฐาน AI ยังสูง ส่วนข้อพิพาทเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะยิ่งหนุนเม็ดเงินลงทุน AI ให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ภาพ: Funtap / Shutterstock