Opinion – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 17 Sep 2025 04:21:12 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 The (Tech) Avengers สหรัฐฯ vs จีน: ศึกเทคโนโลยีสองขั้วอำนาจโลก https://thestandard.co/opinion-the-tech-avengers/ Wed, 17 Sep 2025 04:21:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1119906

โลกกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ […]

The post The (Tech) Avengers สหรัฐฯ vs จีน: ศึกเทคโนโลยีสองขั้วอำนาจโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

โลกกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 เมื่อเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่คือสนามรบเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองขั้วมหาอำนาจของโลกอย่าง “สหรัฐฯ และจีน”

 

ข้อมูลจากทีม Global Investing หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า ในปี 2025 เราได้เห็นสองเหตุการณ์ที่สะท้อนท่าทีของแต่ละประเทศได้อย่างชัดเจน สำหรับฝั่งจีน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สี จิ้นผิง เปิดการประชุมใหญ่กับผู้นำเอกชนและเทคโนโลยี โดยมีทั้งผู้ก่อตั้ง Huawei, BYD, Xiaomi และสตาร์ทอัพป AI อย่าง DeepSeek เข้าร่วม พร้อมการปรากฏตัวของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ที่หายไปนานในช่วงจัดระเบียบบริษัทเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าการประชุมครั้งนั้นอาจไม่ได้มีนโยบายใหม่ที่เป็นรูปธรรมมากนัก แต่ถือว่าเป็นการส่งสารเชิงสัญลักษณ์ว่าจีนกำลัง “ปิดฉาก” ยุคการควบคุมเข้มงวด และเข้าสู่ช่วง “การฟื้นฟู” สนับสนุนให้ภาคเอกชนกลับมาเป็นเสาหลักของประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

 

สิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เพียงการเรียกร้องความร่วมมือ แต่คือการยอมรับว่า จีนไม่สามารถพึ่งพาเครื่องยนต์เดิมอย่างอสังหาริมทรัพย์หรือการลงทุนภาครัฐได้อีกต่อไป หากต้องหันมาสร้างรากฐานใหม่ที่วางอยู่บนเทคโนโลยีและนวัตกรรม ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและประชาชนคือโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งกอบกู้ การให้ Jack Ma กลับเข้าสู่เวทีสาธารณะจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการแสดงออกว่ารัฐบาลต้องการพลิกบทบาทเอกชนจากผู้ถูกควบคุม มาเป็นพลังหลักในการแข่งขันระดับโลก

 

เพียงไม่กี่เดือนถัดมา ในช่วงต้นเดือนกันยายน ฝั่งสหรัฐฯ ก็มีภาพสะท้อนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จัดดินเนอร์หรูที่ทำเนียบขาว เชิญผู้นำ Big Tech ระดับโลก ตั้งแต่ Mark Zuckerberg แห่ง Facebook, Tim Cook แห่ง Apple, Bill Gates แห่ง Microsoft, Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google, Sam Altman แห่ง OpenAI ไปจนถึง Safra Catz CEO ของ Oracle มานั่งร่วมโต๊ะ อาหารค่ำครั้งนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศเป็นกันเองและการยืนยันร่วมกันว่าประเทศจะต้องรักษาตำแหน่งผู้นำด้าน AI และนวัตกรรมโลกเอาไว้

 

แม้ทั้งสองเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในบรรยากาศที่แตกต่าง จีนเลือกเวทีการประชุมที่เป็นทางการ ขณะที่สหรัฐฯ ใช้ดินเนอร์อันหรูหรา แต่สารที่ส่งออกมากลับไม่ต่างกันมากนัก เพราะทั้งสองต่างตระหนักว่า “เทคโนโลยี” คือหัวใจในการกำหนดอำนาจของชาติในศตวรรษนี้ สิ่งที่ต่างออกไปคือวิธีการเล่าเรื่องและโครงสร้างของอำนาจที่หนุนอยู่เบื้องหลัง

 

จีนเลือกใช้การขับเคลื่อนจาก “บนลงล่าง” รัฐบาลชี้เป้าหมาย กำหนดทิศทาง แล้วดึงเอกชนเข้ามาเป็นฟันเฟืองเชิงยุทธศาสตร์ โดยไม่ปล่อยให้เดินนอกกรอบ แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากการชะลอตัวภายในและการถูกกีดกันทางเทคโนโลยีจากภายนอก 

 

ในอีกด้าน สหรัฐฯ วางตัวต่างออกไป รัฐบาลเปิดเวทีให้ Big Tech “ร่วมกัน” กำหนดอนาคต แนวทางนี้ทำให้ Big Tech ของอเมริกาสามารถเติบโตอย่างอิสระและก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกได้ แต่ก็มีความท้าทายตรงที่รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์กับบรรดาบริษัทเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพราะอำนาจของกลุ่ม Big Tech นั้น อาจใหญ่เกินกว่าจะละเลย

 

เมื่อนำสองภาพนี้มาวางคู่กัน จะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ทั้งสองประเทศกำลังทำคือการ “จัดทัพ” เพื่อศึกยาวในอนาคต เพราะเทคโนโลยีไม่ใช่แค่ภาคธุรกิจที่สร้างกำไร หากแต่เป็นหัวใจของทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การทหาร และการเมืองระหว่างประเทศ จีนรู้ว่าการแข่งขันครั้งนี้จะตัดสินว่า ประเทศจะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้หรือไม่? สหรัฐฯ เองก็รู้ว่าหากเสียความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีไป ตำแหน่งมหาอำนาจโลกจะสั่นคลอนทันที

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดทุนปีนี้สะท้อนภาพได้ชัดเจน ดัชนี Nasdaq 100 ของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนผ่าน “DR NDX01” ยังคงเติบโตอย่างมั่นคงบนพื้นฐานของบริษัทที่ครองความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมระดับโลก ทั้ง AI คลาวด์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล แม้ผลตอบแทนในรูปเงินบาทจะดูต่ำกว่าฝั่งจีน แต่ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ในสกุลเงินดอลลาร์ ดัชนี Nasdaq 100 ยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ได้

 

ด้านจีน “CNTECH01” ซึ่งอ้างอิงกับดัชนี Hang Seng TECH ที่รวมบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน และ “STAR5001” ซึ่งอ้างอิงกับดัชนี STAR 50 ที่สะท้อนกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงในตลาด A-share ต่างปรับตัวขึ้นแรงกว่าสหรัฐฯ แรงหนุนสำคัญมาจากสัญญาณเชิงนโยบายที่รัฐบาลส่งออกมาตลอดปี โดยเฉพาะการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ที่สะท้อนความตั้งใจฟื้นบทบาทภาคเอกชนให้กลับมาเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยสร้างแรงส่งความเชื่อมั่นจนสะท้อนในราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว

 

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่านักลงทุนจะมองว่าฝั่งใดจะเป็นผู้กุมบังเหียนในศตวรรษที่ 21 สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ “เทคโนโลยี” ได้กลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของทั้งสองขั้วมหาอำนาจ นักลงทุนจึงอาจไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง หากแต่สามารถใช้โอกาสนี้เกาะไปกับการเติบโตระยะยาวของทั้งสองจักรวาลได้อย่างสะดวกผ่านตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็น NDX01 ที่สะท้อนพลังของ Big Tech สหรัฐฯ หรือ CNTECH01 และ STAR5001 ที่สะท้อนแรงส่งจากการสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน ทั้งหมดล้วนเป็นประตูสู่อนาคตที่เทคโนโลยีคือหัวใจของโลกเศรษฐกิจใหม่

 

กราฟแสดงผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีของ CNTECH01 STAR5001 และ NDX01

 

ที่มา: BLS Global Investing, Bloomberg ณ วันที่ 12 กันยายน 2568

 

ภาพ: da-kuk/Getty Images

The post The (Tech) Avengers สหรัฐฯ vs จีน: ศึกเทคโนโลยีสองขั้วอำนาจโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Opening Speech: ปลดปล่อยปีศาจผู้ประกอบการ เมื่อการกลายพันธุ์คือทางรอดในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง https://thestandard.co/thesecretsauce-summit-2025/ Tue, 16 Sep 2025 06:39:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1119609

เวที Opening Speech The Secret Sauce Playbook: Unleash […]

The post Opening Speech: ปลดปล่อยปีศาจผู้ประกอบการ เมื่อการกลายพันธุ์คือทางรอดในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>

เวที Opening Speech The Secret Sauce Playbook: Unleash the Business Beast คู่มือผู้ประกอบการปีศาจ ปี 2026 Powered by K-Bank

 

“ท่ามกลางโลกที่ท้าทายและเปลี่ยนแปลง เราต้องเป็นปีศาจผู้ประกอบการ การกลายพันธุ์เป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก ถ้าทำได้คุณจะชนะ”

 

เคน นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด กล่าวเปิดเวที The Secret Sauce Summit 2025 ด้วยการชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน ผู้ประกอบการกำลังเผชิญกับความท้าทาย จากสถานการณ์ทางธุรกิจและเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก ‘โลกเก่าสู่โลกใหม่’

 

การปรับตัวจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดและชัยชนะ สิ่งที่ต้องทำคือ “การกลายพันธุ์” ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสิ่งที่ทำ แต่ต้องเปลี่ยน ‘ตัวตนของธุรกิจ’ ให้เท่าทันกับโลกใหม่ โดยมีหัวใจหลัก 2 อย่างที่ต้องทำควบคู่กัน ได้แก่ ใช้คู่มือการกลายพันธุ์ The B.E.A.S.T. Framework และสร้าง Business Backbone ที่แข็งแกร่ง

 

🟡 The B.E.A.S.T. Framework 

 

1.B – Boldness กล้าคิด กล้าทำ กล้าแตกต่าง

 

  • ในยุคที่ไม่มีสูตรสำเร็จจากอดีต การกล้าคิดต่างคือหัวใจของการทําธุรกิจ วันนี้มีทางที่จะแตกต่างมากมาย แต่สิ่งที่ต้องปลุกขึ้นมาคือความกล้า

 

2.E – Embrace Change โอบกอดการเปลี่ยนแปลง และลงมือทำ

 

  • ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง แต่ต้องลงมือทำ ปรับโครงสร้างภายใน Supply Chain, Operation และวิธีคิด เช่น การทำการตลาดแบบใหม่ที่เน้นความจริงใจ

 

3.A – Agile Action (ลองเร็ว ล้มเร็ว เรียนรู้เร็ว):

 

  • ไม่มีแผน 6 ปี หรือ 1 ปีอีกต่อไป ต้องลงมือก่อน ปรับทีหลัง เพราะลูกค้าและคู่แข่งเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องกล้าล้มเหลว

 

4.S – Serve Customer Deeply (รู้จักลูกค้าแบบชนเผ่า):

 

  • การแบ่งกลุ่มลูกค้า ต้องไม่ใช่แค่การแบ่งตามเกณฑ์ Demographics แต่ต้องเข้าใจตัวตนลูกค้าอย่างลึกซึ้งถึง Lifestyle, ความเชื่อ และความฝันของลูกค้าที่มีความเป็น “ชนเผ่า” เดียวกัน

 

5.T – Trust Team & Partners (มีทีมที่ไว้ใจและ Partner ที่ส่งเสริม):

 

  • ไม่มีใครเติบโตได้คนเดียว ต้องมีทีมภายในที่มี Empathy, Vision และ Value ตรงกัน
  • ต้องมี Partner ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น Sustainability, Legal, IP

 

🟡 การวางรากฐานที่แข็งแกร่ง (Business Backbone)

 

นอกจากการปรับ Mindset แล้ว ผู้ประกอบการต้องมี ‘กระดูกสันหลังที่แข็งแรง’ คือ

 

  • Finance: การเงินต้องพร้อมสำหรับการเติบโต
  • Compliance: ต้องไม่พลาดเรื่องกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
  • System & Process: ระบบและกระบวนการต้องพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง
  • Supply Chain & Operation: ต้องมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง 

 

ยุคนี้ผู้ประกอบการไม่อาจอยู่รอดได้เพียงลำพัง ถึงเวลาต้องหาพันธมิตร เพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ไปด้วยกัน เพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งความเป็น “ปีศาจผู้ประกอบการ” ออกมา และนำพา GDP ไทยให้เติบโตต่อไปในยุคที่ท้าทายนี้

 

🔥The Secret Sauce Summit 2025 ซื้อบัตรรับชมย้อนหลังออนไลน์ได้แล้ววันนี้

https://www.zipeventapp.com/e/The-Secret-Sauce-Summit-2025?ref=Rerun-EventDay

🔺ใบเดียวคุ้ม! เพียง 990 บาท สำหรับดูย้อนหลัง Main Stage และ Expertise Stage

🔺รับชมออนไลน์ทุกที่ทั่วโลก

ดูย้อนหลังนาน 6 เดือน (ตั้งแต่ 20 ก.ย.68 เวลา 9.00 น. – 20 มี.ค. 69 เวลา 23.59 น.)

The post Opening Speech: ปลดปล่อยปีศาจผู้ประกอบการ เมื่อการกลายพันธุ์คือทางรอดในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
​​Bon appetit, Your majesty ซีรีส์ที่ทำให้ประวัติศาสตร์และอาหารเกาหลีมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก https://thestandard.co/bon-appetit-your-majesty/ Tue, 16 Sep 2025 02:00:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1119552 ​​Bon appetit, Your majesty

เพราะซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้คือหัวหอกของการส่งออกวัฒนธรรม […]

The post ​​Bon appetit, Your majesty ซีรีส์ที่ทำให้ประวัติศาสตร์และอาหารเกาหลีมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก appeared first on THE STANDARD.

]]>
​​Bon appetit, Your majesty

เพราะซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้คือหัวหอกของการส่งออกวัฒนธรรมเกาหลี แต่จังหวะก็คาดเดาได้ง่ายทำให้ผู้สร้างเริ่มคิดค้นสูตรใหม่ๆ ใส่องค์ประกอบที่น่าสนใจ โดยเฉพาะซีรีส์ย้อนยุคในระยะหลังๆ มักหยิบบุคคลในประวัติศาสตร์มาตีความใหม่กลายเป็นซีรีส์ที่ได้ทั้งกลุ่มคนดูและเปิดมุมมองกระตุ้นให้อยากค้นหา แบบเดียวกับ Bon appetit, Your Majesty ที่พาคนดูไปทำความรู้จักกับยอนฮีกุน (ยอนซันกุนทรราชที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โชซอน) ในมุมที่คนอาจคาดไม่ถึง

 

ยอนซันกุนเป็นกษัตริย์องค์ที่ 10 ของโชซอนที่ถูกจดจำในฐานะทรราชจากบาดแผลทางใจในวัยเด็กเมื่อพบว่าพระราชมารดาถูกประหารโดยบังคับให้ดื่มยาพิษ จากกษัตริย์หนุ่มผู้ทรงธรรม กลับกลายผู้ออกคำสั่งเข่นฆ่าบัณฑิตจำนวนมากถึงสองครั้ง อีกทั้งยังมักมากในกามารมณ์เกณฑ์สาวงามทั่วราชอาณาจักรมาปรนเปรอความใคร่ของตัวเอง จนในที่สุดถูกเนรเทศและเสียชีวิตในวัยเพียง 29 ปี

 

เรื่องราวของเขาถูกนำมาสร้างเป็นหนังและซีรีส์หลายเรื่องเช่น Diary of King Yeonsan (1988), Prince Yeonsan (1961) The Rebel (2017) รวมไปถึงภาพยนตร์ The King and The Clown (2005) และ The Treacherous (2015) ที่น่าจะคุ้นตาคนไทยมากที่สุด แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ยอนซันกุนจะถูกตีความใหม่แบบหกคะเมนตีลังกาเท่าใน Bon appetit, Your Majesty อีกแล้ว

 

 

Bon Appetit, Your Majesty ดัดแปลงมาจากเว็บตูนยอดฮิตเรื่อง Surviving as the Tyrant’s Chef ว่าด้วยเรื่องราวของ ยอนจียอง (อิมยุนอา) เชฟสาวมากฝีมือผู้นิยมดัดแปลงอาหารเกาหลีเข้ากับ Fine Dining แบบฝรั่งเศสที่เธอเพิ่งได้แชมป์ทำอาหารระดับโลกและกำลังจะทำงานในร้านอาหารมิชลิน 3 ดาว แต่ก็มีเหตุให้เธอย้อนเวลากลับไปกว่า 500 ปี ในยุคของกษัตริย์อีฮอน (อีแชมิน) หรือยอนซันกุน (ในเรื่องใช้ชื่อยอนฮีกุนเพื่อเลี่ยงดรามา) ทรราชในประวัติศาสตร์เกาหลี ขณะเดียวกันเขาคือนักชิมตัวยงที่มีประสาทรับรสไวเกินมนุษย์ อีฮอนตกหลุมรักในรสมือของจียองทันทีที่ได้ชิม เธอจึงถูกพาเข้าวังเพื่อรังสรรค์อาหารฟิวชันให้พระองค์ทุกวัน ขณะเดียวกันถ้าผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว นั่นหมายถึงชีวิต

 

การเข้ามาของจียองทำให้ คังมกจู (คังฮันนา) สนมเอกผู้ทะเยอทะยานของอีฮอนไม่พอใจอย่างมากจนเกิดเป็นเรื่องรักสามเส้าที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือ องค์ชายเจซาน (ชเวกวีฮา) ศัตรูทางการเมืองของกษัตริย์ ก็หาโอกาสที่จะโค่นบัลลังก์ของอีฮอนได้ทุกเมื่อ

 

 

เรียกได้ว่า Bon Appetit, Your Majesty มีครบทุกรสไม่แพ้รสชาติอาหารในเรื่องทำให้กลายเป็นซีรีส์เกาหลีใต้ยอดฮิตประจำปีนี้ โดยได้เรตติ้งทั่วประเทศเกาหลีใต้สูงถึง 12.7% ในอีพี 6 ส่วนบน Netflix ในช่วงวันที่ 1-7 กันยายน มียอดผู้ชมสูงถึง 7.5 ล้านครั้ง ครองอันดับ 2 บนชาร์ตซีรีส์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษต่อเนื่องกัน 2 สัปดาห์ และติด Top 10 ใน 73 ประเทศทั่วโลก

 

เอาเข้าจริง Bon Appetit, Your Majesty แทบจะเดินตามรอยสูตรสำเร็จของซีรีส์เกาหลีทั้งการย้อนเวลา รักสามเส้า การแก่งแย่งอำนาจในราชสำนักจนเริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความซ้ำซากจำเจ แต่ Bon Appetit, Your Majesty ก็หยิบเอาเรื่องราวของกษัตริย์ที่มักถูกเล่าแค่ด้านเดียวอยู่บ่อยๆ มาตีความใหม่และมีความเห็นอกเห็นใจมากกว่าที่เคย จนเกิดมุมมองน่าสนใจ ซึ่งในระยะหลังๆ ซีรีส์เกาหลีหลายเรื่องเอาตัวร้ายในประวัติศาสตร์มาเล่าใหม่ อย่างเช่นควังแฮกุน กษัตริย์องค์ที่ 15 ที่ถูกปลดเพราะสั่งประหารน้องชาย การปลดพระพันปี และนโยบายการทูตใน The Crowned Clown (2019) หรือ ชอลจง กษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์โชซอน ที่ในประวัติศาสตร์บันทึกว่าเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดใน Mr Queen (2020)

 

สำหรับคาแรกเตอร์อีฮอนหรือยอนฮีกุนยังคงโหดร้ายเหมือนในหน้าประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่ต่างไปคือการให้เหตุผลกับทุกๆ เรื่องที่เขาทำ เหมือนตั้งใจสร้างพระเอก ‘ทรงอย่างแบด แซดอย่างบ่อย’ แม้จะดูอันตรายแต่ก็น่าเห็นใจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการเลือกอีแชมินมารับบทนี้แทนที่พัคซองฮุนที่ถอนตัวเพราะดราม่าก่อนหน้านี้ ก็มีทั้งข้อดีและความท้าทาย อย่างแรกเลยคือความน่าเกรงขามเพราะถ้าเทียบจากบทบาทที่เคยได้รับของพัคซองฮุน คนดูก็น่าจะอินได้ง่ายกว่า 

 

ขณะเดียวกันความสดใหม่ของอีแชมินก็สร้างรสชาติที่แตกต่างทำให้อีฮอนเป็นเด็กเอาแต่ใจทำให้คนดูหลงรักความอ่อนไหวของเขาได้ง่ายกว่า

ขณะที่ตัวละครจียองหลุดเข้าไปในยุคโชซอนตอนอายุ 27 ปีซึ่งไล่เรี่ยกับอายุจริงของกษัตริย์อีฮอนช่วงท้ายรัชกาล แต่ก็รู้กันว่านักแสดงที่มารับบทนี้คือยุนอาที่มีอายุมากกว่าอีแชมินก็ช่วยสร้างเคมีบางอย่างในประเด็นขาดความอบอุ่นจากแม่ของอีฮอนให้ดูชัดเจนขึ้นอีกหน่อย

 

นอกจากนักแสดง องค์ประกอบสำคัญของเรื่องนี้ก็คืออาหารที่พิถีพิถันถ่ายออกมาได้น่ากินทุกเมนู และยังได้ที่ปรึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจากรายการ Culinary Class Wars ของ Netflix เพื่อให้แต่ละเมนูออกมาสมจริง อร่อยจนตัวละครกินแซ่บกินนัวยั่วน้ำลายคนดูไปด้วย

อย่างที่รู้กันว่าซีรีส์เกาหลีมักสอดแทรกอาหารเข้ามาในเส้นเรื่อง และวนเวียนอยู่แค่ไม่กี่ชนิด แต่สำหรับเมนูในเรื่องนี้คือการฟิวชั่นเข้ากับอาหารฝรั่งเศสที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดของอาหารระดับโลก เหมือนตั้งใจจะซ่อนข้อความว่าปัจจุบันอาหารและวัฒนธรรมเกาหลีสอดแทรกอยู่ในวัฒนธรรมสากลไปแล้ว ซึ่งถ้าย้อนกลับไป 20 ปีก่อนแทบจะไม่มีใครรู้จักอาหารเกาหลีเลย จนกระทั่งแนะนำตัวผ่านซีรีส์เรื่องแดจังกึม ฮิตไปทั่วโลก โดย Bon Appetit, Your Majesty ก็เหมือนจะทริบิวต์ให้กับเรื่องนี้กลายๆ เพราะเนื้อหาในเรื่องเกิดขึ้นในรัชกาลก่อนแดจังกึมเพียงหนึ่งรัชกาล รวมทั้งตัวละครกิลกึม (ยุนซออา) ที่ต้องมาลุ้นกันว่าจะเติบโตขึ้นไปเป็นใคร

ความจริงซีรีส์ไทยก็พยายามเอาประวัติศาสตร์มาตีความใหม่ อย่างล่าสุดในเรื่องแม่หยัวที่ว่าด้วยเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์นางร้ายในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ถ้าไม่นับประเด็นดราม่าเรื่องการทรมานสัตว์ ก็นับว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจเพราะประวัติศาสตร์คือเรื่องเล่า เพียงแต่เล่าโดยใคร ซึ่ง ‘ผู้ร้าย’ อาจจะเป็นเพียง ‘ผู้แพ้’ ในประวัติศาสตร์ก็เป็นไปได้

 

Bon Appetit, Your Majesty รับชมได้ทาง Netflix

 

ภาพ: TVN

The post ​​Bon appetit, Your majesty ซีรีส์ที่ทำให้ประวัติศาสตร์และอาหารเกาหลีมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Shortcut ปรัชญา 3-4-2-1 เหตุผลที่ อโมริม รักไม่ยอมเปลี่ยน(แผน) https://thestandard.co/ruben-amorim-man-united-crisis/ Mon, 15 Sep 2025 10:13:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1119502 ruben-amorim-man-united-crisis

ประเด็นสำคัญ   เพราะมันไม่ใช่แค่แผนแต่คือความเชื่อ […]

The post Shortcut ปรัชญา 3-4-2-1 เหตุผลที่ อโมริม รักไม่ยอมเปลี่ยน(แผน) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ruben-amorim-man-united-crisis

 

“มันมีสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่มีใครรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ผมจะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลงอะไรแน่ ถ้าผมอยากจะเปลี่ยนแปลงปรัชญาของตัวเอง ผมจะทำเอง แต่ถ้าผมยังไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด คุณก็ต้องเปลี่ยนที่ตัวคนแทน”

 

นี่เป็นอีกครั้งที่รูเบน อโมริม ยืนยันว่าเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงปรัชญาการเล่นในแบบของตัวเอง 3-4-2-1 แม้ว่าทีมจะยังคงทำผลงานได้ย่ำแย่และเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ซึ่งล่าสุดการแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี ทำให้ทีมมีแค่ 4 คะแนนจากการลงสนาม 4 นัดแรกของฤดูกาล เป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เข้ายุคพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1992/93 ก็ตาม

 

คำถามที่อยากชวนคิดไปด้วยกันในวันนี้คือ ทำไมรูเบน อโมริมถึงเปลี่ยนแผนการเล่นให้ไม่ได้?

 

แต่ก่อนอื่นลองฟังความเห็นจาก รอย คีน อดีตกัปตันผู้ยิ่งใหญ่แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ดกันก่อน “มันทำให้ผมกังวล” มิดฟิลด์เลือดเดือดให้ความเห็นในรายการวิเคราะห์ทางสถานี Sky Sports “แมนฯ ยูไนเต็ดทีมนี้ขาดคุณภาพในการเล่นอย่างชัดเจน ลองดูผลการแข่ง ลองดูจำนวนแต้มต่อเกม จำนวนประตูได้และเสีย มันดูไม่ดีเลย”

 

สิ่งที่คีนพูดนั้นเป็นไปตามเนื้อผ้า แมนฯ​ ยูไนเต็ด ภายใต้ยุคของอโมริมยังคงดำดิ่งไปกับความ New-low เรื่อยๆ โดยสถิติล่าสุดที่ทำได้คือการออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างเลวร้ายที่สุดเก็บได้เพียงแค่ 4 จาก 12 แต้มเต็มเท่านั้น

 

ทั้งๆ ที่ลงทุนไปมากกว่า 200 ล้านปอนด์ในช่วงปิดฤดูกาล!

 

ถึงแม้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทีมปีศาจแดงออกสตาร์ทเลวร้ายขนาดนี้จะจบด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 26 ปีของสโมสร แต่ความแตกต่างกันระหว่างวันนี้กับวันนั้นคือในฤดูกาลก่อนหน้า (1991/92) แมนฯ​ ยูไนเต็ด จบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี และพวกเขาได้จิ๊กซอว์สำคัญชิ้นสุดท้ายอย่างเอริค คันโตนา

 

ในขณะที่อโมริม ผลงานเลวร้ายจัดจนละเหี่ยใจ โดยที่ Opta คำนวณว่าพวกเขามีโอกาสตกชั้น (11 เปอร์เซ็นต์) ได้มากกว่าที่จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมท็อป 5 ที่จะได้ไปยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีกเสียอีก (7.3 เปอร์เซ็นต์)

 

และถ้านับตั้งแต่ช่วงที่เข้ามาคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมที่ทำผลงานได้เลวร้ายที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยเก็บได้แค่ 31 แต้มจาก 31 นัดที่ลงสนาม ไม่มีทีมไหนจะทำผลงานได้แย่ขนาดนี้อีกแล้ว 

 

แน่นอนว่าปัญหาเดียวปัญหาเดิมที่ทุกคนพูดถึงมาตลอดคือระบบการเล่น 3-4-2-1 (หรือจะ 3-4-3 ก็ได้ไม่ผิด) ของเขาที่ผ่านมา 10 เดือนแล้วก็ยังไม่มีแววว่าจะเป็นโล้เป็นพาย แต่กลายเป็นพะโล้หมูสามชั้นนุ่มๆสำหรับทีมต่างๆได้เคี้ยวกันหยุ่นๆชุ่มลิ้น

 

เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบบการเล่นดังไม่เคยหยุด แต่ก็เช่นเดียวกับกุนซือคนหนุ่มวัย 40 ปีชาวโปรตุเกสที่ยืนยัน หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีวันเปลี่ยน

 

เพราะอะไร?

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

เพราะมันไม่ใช่แค่แผนแต่คือความเชื่อทั้งชีวิต

 

ในความดื้อรั้นของอโมริม บางทีเราต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้งๆที่หลายคนเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนและปรับสักนิด บางทีแมนฯ​ ยูไนเต็ด อาจจะพลิกกลับมาทำผลงานกระฉูดแล้วก็เป็นได้

 

เหตุผลนั้นอาจเป็นเพราะปรัชญาหรือระบบการเล่น 3-4-2-1 นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ระบบการเล่นธรรมดา

 

แต่มันหมายถึงความเชื่อทั้งชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อรูเบน อโมริมเลยทีเดียว

 

ทุกอย่างต้องย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นในช่วงแรกที่เขาได้โอกาสสัมผัสงานในการคุมทีมกับสโมสร คาซา เปีย ในฤดูกาล 2018/19

 

อโมริม ในเวลานั้นเพิ่งจะประกาศอำลาวงการมาหมาดๆ ในวัย 32 ปี หลังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรุนแรงเอ็นเข่าฉีกขาด กำลังศึกษาวิชาการเป็นโค้ช โดยหนึ่งใน “ชั้นเรียน” ในช่วงที่เข้ารับการอบรมคือการเข้าไปเข้าไปชมการฝึกสอนของโชเซ มูรินโญ “The Special One” ที่กำลังคุมแมนฯ ยูไนเต็ดด้วย เรียกว่าวิชากำลังร้อน

 

แต่ผลงานในการคุมทีม 2 นัดแรกของเขากลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด คาซา แพ้รวดทั้ง 2 นัด และทำให้อโมริม เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการคุมทีมของตัวเองว่าสิ่งที่เขารู้และเชื่อมานั้นผิดไปหรือเปล่า ความภาคภูมิใจที่สั่งสมมาถูกท้าทายอย่างหนักจากความผิดหวัง

 

สิ่งที่อโมริมทำคือการประกาศกับลูกทีมว่าขอให้เชื่อและทำตามเขาสักนิด ถ้ามันยังไม่ได้ผลอีก เขาจะลาออกจากตำแหน่งเอง

 

ในเกมที่ 3 กับคาซา อโมริมสั่งเปลี่ยนระบบการเล่นใหม่มาใช้กองหลัง 3 ตัวเป็นครั้งแรก และปรากฏว่ามันได้ผล! เขาสัมผัสได้ว่านี่คือระบบการเล่นที่จะนำไปสู่ฟุตบอลในแบบที่เขาอยากเห็นและอยากให้เป็น ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาเรื่อย

 

จนกระทั่งมาถึงจุดสูงสุดในช่วงการคุมทีมสปอร์ติง ลิสบอน พาทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัยในฤดูกาล 2020/21 และ 2023/24

 

ดังนั้นระบบการเล่นนี้คือสิ่งที่เขาเชื่อและยึดมั่นมาตลอดการทำงานในบทบาทโค้ช

 

ถ้าจะเปลี่ยน ก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความเชื่อทั้งหมด ซึ่งไม่ง่าย

 

และนั่นทำให้อโมริมบอกอีกครั้งว่าคนเดียวที่จะทำให้เขาเปลี่ยนได้ก็มีแต่ตัวเองเท่านั้น (ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่ใช่ในเวลานี้)

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

คนดื้อไม่ได้มีแค่คนเดียว

 

เดินถอยหลังกลับมาอีกนิดสักก้าวสองก้าว แล้วกลับมาคิดดูจะพบว่าความจริงแล้วบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่อโมริมเท่านั้นที่ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง

 

ในโลกฟุตบอลก็มีคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองแบบนี้มากมาย ซึ่งก็มีหลายคนที่โดดเด่นในจุดนี้

 

“เอล โลโค” มาร์เซโล บิเอลซา ปราชญ์ลูกหนังชาวอาร์เจนตินาเป็นหนึ่งในคนที่จะทำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อเสมอโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร หรือทีมจะเผชิญกับอะไรอยู่ ตกอยู่ในสภาวะไหนก็ตาม

 

ย้อนกลับไปไม่กี่ปีก่อนในช่วงที่คุมทีม ลีดส์​ ยูไนเต็ด ทีมยูงทองประสบปัญหาผลงานการเล่นเริ่มต่ำ สไตล์การเล่นเพรสซิงสุดมันของพวกเขาเริ่มถูกแก้ทางได้ บิเอลซาตกอยู่ในสภาวะแบบเดียวกับอโมริมคือเขาถูกขอให้เปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นใหม่

 

แต่สิ่งที่ “คุรุ” ของวงการทำคือการปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงตามเสียงเหล่านั้น เขายังยืนยันจะให้ทีมเล่นในแบบเดิมเท่านั้น

 

สุดท้ายบิเอลซาถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลีดส์ในที่สุด แต่ก็เป็นวันที่เศร้าที่สุดสำหรับแฟนบอลด้วยเช่นกันเพราะถ้าไม่มีบรมกุนซือผู้นี้มารับงานคุมทีมให้ทั้งๆ ที่อยู่ในระดับลีกรอง อดีตยักษ์ใหญ่จากแคว้นแลงคาเชียร์อาจจะไม่มีวันได้กลับมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งก็ได้

 

ตัวอย่างอีกคนที่ยืนหยัดในความเชื่อของตัวเองคือ แอนจ์ ปอสเตโคกลู ที่เซ็นชื่อของตัวเองไว้ด้วยปากกาเมจิกที่มองไม่เห็นบนเสื้อของนักเตะทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ทุกคน ด้วยสไตล์การเล่น “High-line” เลเวลสูงสุด

 

หนึ่งในเกมที่สร้างชื่ออย่างมากคือเกมในฤดูกาล 2023/24 ที่สเปอร์สต้องเหลือผู้เล่นแค่ 9 คนในการเจอกับเชลซี แต่บอสชาวออสเตรเลียสายเลือดกรีซยังยืนยันจะให้ทีมเล่นในแบบเดิม สุดท้ายแม้ทีมจะแพ้ย่อยยับ แต่ก็ได้ใจแฟนฟุตบอลส่วนหนึ่งพอสมควร

 

ปัญหาคือฟุตบอลในแบบของเขามีอายุไม่นาน ทีมประสบปัญหาอาการบาดเจ็บมากมายที่เชื่อว่าเป็นผลจากระบบการเล่นที่ใช้ร่างกายของผู้เล่นในทีมอย่างหนักเกินไป และทีมก็เล่นได้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆจนแทบมองไม่เห็นลายเซ็นนั้นอีก 

 

แต่อย่างน้อยปอสเตโคกลู ก็ทำในสิ่งที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ว่า “ทีมของเขาจะได้แชมป์ในฤดูกาลที่ 2 เสมอ” (และนั่นก็มาจากการเอาชนะทีมของอโมริมด้วย…) ถึงสุดท้ายจะโดนปลดจากตำแหน่งในเวลาต่อมาก็ตาม

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

Reinvent โลกหมุนไป เราต้องเปลี่ยนแปลงสิ

 

มีคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแล้ว ก็ต้องมีคนที่ยอมเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน ซึ่งในเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมี 2 กรณีศึกษาที่น่าสนใจ

 

คนแรกคือ อันโตนิโอ คอนเต กุนซือคนห้าวผู้ที่สร้างปรากฏการณ์พาเชลซี ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2016/17 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

 

สิ่งที่ทำให้คอนเตพาเชลซีที่เริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ถึงกับดีนักกลับมาติดลมบนคว้าแชมป์ได้ เกิดจากการตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเล่นใหม่จากระบบการเล่นแบบกองหลัง 4 คน มาเป็นระบบการเล่น 3-5-2 ที่ได้มาจากการทดลองในช่วงครึ่งหลังของเกมที่พบกับอาร์เซนอล

 

ผลการทดลองในวันนั้นทำให้กุนซือชาวอิตาลี ค้นพบว่าระบบการเล่นแบบนี้มีความเหมาะสมกับนักฟุตบอลในทีมมากกว่า และมีทีเด็ดอยู่ที่วิงแบ็ก 2 ฝั่งอย่าง มาร์กอส อลอนโซ กับวิคเตอร์ โมเซส ที่มีทั้งทักษะและพละกำลังที่จะวิ่งขึ้นวิ่งลง สร้างสรรค์เกมให้ทีมตัวเอง และทำลายเกมรุกฝ่ายตรงข้ามได้

 

อย่างไรก็ดี “หัวใจ” ในการทำงานของคอนเตไม่ได้อยู่ที่ “ระบบ” แต่เป็น “คน” หาวิธีการใช้คนให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ที่สุด

 

คนที่ 2 ที่ปรับเปลี่ยนทีมตลอดคือเป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกสมัยใหม่ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักประดิษฐ์” ของโลกลูกหนังยุคศตวรรษที่ 21

 

อย่างที่ทุกคนรู้ เป๊ป คือผู้ที่ทำให้เกิดเทรนด์ของฟุตบอลในแบบเน้นการครองบอล (Positional ball) ที่คิดค้นมาตั้งแต่ยุคการคุมทีมบาร์เซโลนา และฟุตบอลในแบบ Tiki-taka (ชื่อที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย) รวมถึงการคิดค้นตำแหน่ง False nine ที่ไม่ใช่แค่ทำให้บาร์ซาครองโลก แต่ยังเปลี่ยนลิโอเนล เมสซี ให้เป็นราชาลูกหนังของโลกด้วย

 

มาถึงบาเยิร์น มิวนิค เป๊ปประดิษฐ์แท็กติกใหม่ด้วยการใช้ Inverted-fullback โดยกำหนดให้โยชัว คิมมิช แบ็กขวามันสมองของทีมหุบเข้ามาตรงกลางเพื่อเติมจำนวนผู้เล่นในแดนกลางและควบคุมให้บอลอยู่ในการคอนโทรลของทีมมากที่สุด และทำให้เกิดเทรนด์แบ็กหุบในแบบนี้อยู่หลายปี

 

กับแมนฯ ซิตีเอง แม้จะประสบความสำเร็จมากมายได้แชมป์ลีกถึง 7 จาก 9 ฤดูกาล แต่เป๊ปเองก็เคยเจอช่วงเวลายากลำบากโดยเฉพาะในปี 2020 ที่เซร์จิโอ อเกวโร หัวหอกตัวเก่งเริ่มโรยรามีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ต้องคิดแผนการเล่นในแบบใหม่ และพบคำตอบในการใช้กองกลางที่มีเซนส์ในการเขยิบเข้ากรอบเขตโทษอย่างอิลคาย กุนโดวาน หรือฟิล โฟเดน ในตำแหน่งศูนย์หน้าจำเป็น ทำให้ทีมกลับมาคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2020/21 ได้สำเร็จ

 

โดยที่ทุกวันนี้เป๊ปก็ยังคงพยายามคิดค้นหาสูตรลูกหนังใหม่ๆ ที่จะพาทีมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

 

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

แล้วอโมริมควรจะเปลี่ยนแผนจริงไหม?

 

คนเกือบทั้งโลกก็มองเห็นเหมือนกันหมดว่าระบบ 3-4-2-1 (หรือจะ 3-4-3, 3-2-5 ในเกมรุก, 5-2-3 ในเกมรับ หรือ 5-4-1 ในเกมรับลึก) ที่อโมริมยึดมั่นมันไม่เวิร์ก ไม่ได้ผล

 

ปัญหาใหญ่ที่มองกันคือนักฟุตบอลที่มีไม่เข้ากับระบบการเล่น ลูกทีมเกิดอาการสับสน ไม่มั่นใจว่าควรจะเคลื่อนที่แบบไหน ไปอยู่ที่จุดไหน และจะเล่นกันแบบไหน ที่แย่กว่านั้นคืออโมริมเองก็ดูจะไม่รู้คำตอบด้วยซ้ำว่าเขาจะจัดทีมแบบไหนถึงจะออกมาดีและลงตัวที่สุด

 

จุดใหญ่เท่าฝาหม้อในเวลานี้คือมิดฟิลด์คู่กลางที่ทำให้อะไรๆ มันดูติดขัดไปหมด การถอยบรูโน เฟอร์นันเดส กัปตันทีมลงมาจากบทบาทกองกลางตัวรุก นอกจากจะลดทอนความอันตรายในแดนหน้า ยังทำให้แดนกลางขาดความสมดุลอย่างแรง เพียงแต่ก็ต้องใช้ตรงนี้เพราะไม่รู้จะใช้ที่ไหนแล้ว

 

ไหนจะการทดลองจับเมสัน เมาต์ไปยืนวิงแบ็กซ้ายที่ไม่ได้ผล เช่นกันกับอาหมัด ดิยาลโล นักเตะที่ดีที่สุดในฤดูกาลที่แล้วก็ถูกขยับสลับตำแหน่งไปเรื่อย ส่วนค็อบบี เมนู กองกลางที่ดีที่สุดของทีมอีกคนต้องตกเป็นตัวสำรองอดทน แม้ว่ามานูเอล อูการ์เต และคาเซมิโร จะทำหน้าที่ได้แย่ก็ตามในบทกองกลางตัวรับ

 

อย่างไรก็ดีในมุมนักวิเคราะห์อย่างแดนนี เมอร์ฟีย์ แห่ง BBC Sport มองว่าจริงๆแล้วอโมริม กำลังจูนแมนฯ​ ยูไนเต็ดอยู่และก็ถือว่าทำได้ดีด้วย โดยทีมดูมีทรง (Shape) มากกว่าในฤดูกาลที่แล้ว เล่นกันตลอดได้แน่นเป็นกลุ่มก้อนทั้งเกมรับและเกมรุก ซึ่งจะมองเห็นในเกมกับแมนฯ ซิตี ว่าก็มีช่วงที่สามารถต่อบอลสู้กันได้อยู่

 

ปัญหาคือตัวผู้เล่นที่มีไม่ดีพอ เกมรับทำผิดพลาดจนเสียประตูง่ายๆ และเกมรุกก็ไม่เฉียบขาดเฉียบคมพอที่จะมีสกอร์ได้

 

ฟังแบบนี้แล้วเหมือนจะใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพียงแต่เมอร์ฟีย์สรุปว่า ถึงอโมริมจะมีความพยายามและตั้งใจดี แต่ปัญหาคือตัวของเขาเองก็ยังมีปัญหากับความคิดของตัวเอง และแก้ปัญหาไม่ตกโดยเฉพาะการต้องใส่บรูโน ไว้ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ 

 

มันจะทำให้บทสรุปทุกอย่างจบเหมือนเดิม เพราะเป็นการทดลองด้วยวิธีเดิมๆ

 

ไม่ต่างจากอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยบอกไว้ “ถ้าเอาแต่ทดลองแบบเดิมๆ จะคาดหวังผลแบบใหม่ได้อย่างไร”

 

เพียงแต่สำหรับอโมริมแล้ว บางทีเขาอาจจะใช้ชีวิตตามปรัชญา “สโตอิก” (ฟังเพิ่มเติมได้จากรายการ Shortcut ปรัชญา) อยู่ ก็เป็นไปได้นะครับ

 

 

 

เพราะจับความรู้สึกจากถ้อยคำแล้ว เหมือนได้ยินเสียงความในใจกระซิบเบาๆ บอกว่า “ช่างแม่ง!” อย่างไรชอบกล

 

อ้างอิง

 

The post Shortcut ปรัชญา 3-4-2-1 เหตุผลที่ อโมริม รักไม่ยอมเปลี่ยน(แผน) appeared first on THE STANDARD.

]]>
โอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน https://thestandard.co/thai-food-industry-transition-era-opportunities/ Mon, 15 Sep 2025 09:53:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1119475 อุตสาหกรรมอาหาร

อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการเปล […]

The post โอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อุตสาหกรรมอาหาร

อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากเมกะเทรนด์หลักอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลต่อกระบวนการผลิต การแปรรูป และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร โดยถือเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต แต่ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะก่อให้เกิดความท้าทาย แต่อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ได้  

 

ทั้งนี้ งานวิจัย Value in Motion ของ PwC ชี้ว่าระบบอาหารโลกกำลังเข้าสู่ยุค ‘how we feed’ ซึ่งจะเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยคาดว่าโดเมนแห่งการเติบโตนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่ม (gross value added: GVA) สูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2578  

 

สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย: ข้อสังเกตและโอกาสสำหรับธุรกิจ 

 

รายงานผลสำรวจเสียงของผู้บริโภค ปี 2568 ฉบับประเทศไทย ของ PwC พบว่า ผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญกับอาหารคุณภาพที่สอดคล้องกับสุขภาพ ความสะดวก และความยั่งยืน (sustainability) แม้จะได้รับผลกระทบจากราคาที่สูงขึ้น โดย 57% รับรู้ถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงเน้นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากอาหารที่บริโภค โดย 66% กังวลเรื่องยาฆ่าแมลง 55% กังวลเกี่ยวกับวัตถุเจือปนและสารกันบูด และ 51% กังวลผลกระทบของอาหารแปรรูปขั้นสูง ขณะเดียวกัน 43% ก็พร้อมจะเปลี่ยนแบรนด์อาหารเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพ 

 

ในประเด็นด้านเทคโนโลยี ผลการสำรวจฉบับนี้พบว่าผู้บริโภคไทยมีการใช้งานเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดย 29% ซื้ออาหารออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 15% และมากถึง 98% เห็นว่า AI มีบทบาทในชีวิตประจำวันของพวกเขา นอกจากนี้ ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมยังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดย 92% ของผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมีความเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มสำหรับอาหารที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง 70% ของผู้บริโภคมีเจตจำนงที่จะลดขยะอาหาร (food waste) ด้วยการเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น 

 

เปลี่ยนผ่านธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 

 

มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคไทยในปัจจุบันต้องการสินค้าราคาย่อมเยา ดีต่อสุขภาพ และสะดวกสบาย ธุรกิจจึงควรหาสมดุลระหว่างความคุ้มค่าและความต้องการเหล่านี้ ทั้งนี้ รายงาน Voice of the Consumer Survey 2025 ได้แนะนำสามแนวทางหลักสำหรับอุตสาหกรรมอาหารไทยในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ 

 

  1. ตรวจสอบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าและราคาที่เหมาะสม แทนการปรับขึ้นราคาหรือลดปริมาณสินค้า โดยเน้นการเสริมคุณประโยชน์ด้านสุขภาพ เช่น การเพิ่มโปรตีนหรือไฟเบอร์ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดปริมาณน้ำตาลและต้นทุนโดยไม่ลดทอนคุณภาพและรสชาติ นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมเฉพาะกลุ่ม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเทรนด์สุขภาพ โภชนาการ และอาหารเฉพาะทาง
  2. สร้าง “โดเมน” ในตลาดการแข่งขัน การขับเคลื่อนการเติบโตและเสริมสร้างความภักดีของลูกค้าสามารถดำเนินการผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ภาคการดูแลสุขภาพไปจนถึงเทคโนโลยี เพื่อนำเสนอบริการที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของผู้บริโภค เช่น บริการวางแผนมื้ออาหารและสมัครสมาชิกจัดส่งสินค้า ทั้งนี้ จากผลสำรวจของเราพบว่า บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคบรรจุภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จสูงมีแนวโน้มที่จะสร้างพันธมิตรกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ปลดล็อกศักยภาพการทำกำไร และถ่ายทอดประสิทธิภาพต้นทุนสู่ผู้บริโภค เป็นต้น
  3. ยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภค โดยการใช้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ขั้นสูง เพื่อคาดการณ์และปรับแต่งบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล และช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาและเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ค่านิยมของตนเอง เช่น สุขภาพ ความยั่งยืน หรือแหล่งที่มาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยี AI และอุปกรณ์สวมใส่ ให้เกิดตัวเลือกที่สะดวกและสามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ตามคุณค่าที่ลูกค้าให้ความสำคัญ 

 

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมอาหารไทย การปรับตัวและการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องจะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าฟันอุปสรรคและไขว่คว้าโอกาสใหม่ ๆ ได้อย่างมั่นคง ในขณะเดียวกัน การนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับคุณภาพ สุขภาพ และความยั่งยืน จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้น การวางแผนเชิงกลยุทธ์และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำพาธุรกิจอาหารไทยก้าวสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต 

 

ภาพ: Paper Boat Creative/Getty Images 

อ้างอิง: 

 

The post โอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แตกแยก เกลียดชัง และนองเลือด: เมื่อชาร์ลี เคิร์กคือเหยื่อรายล่าสุดของการเมืองยุคทรัมป์ https://thestandard.co/charlie-kirk-assassination-us-politics/ Sun, 14 Sep 2025 09:05:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1119192 charlie-kirk-assassination-us-politics

ประเด็นสำคัญ   รู้จัก ชาร์ลี เคิร์ก แนวคิดแบบ ‘ขวา […]

The post แตกแยก เกลียดชัง และนองเลือด: เมื่อชาร์ลี เคิร์กคือเหยื่อรายล่าสุดของการเมืองยุคทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
charlie-kirk-assassination-us-politics

 

เหตุการณ์การลอบสังหารผู้สนับสนุนตัวยงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่าง ‘ชาร์ลี เคิร์ก’ ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สะเทือนขวัญของประเทศสหรัฐอเมริกา และน่าจะเป็นอีกเหตุการณ์ที่ทำให้เราเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า การเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาในยุคทรัมป์นั้น เต็มไปด้วยความแตกแยก เกลียดชัง จนนำไปสู่ความรุนแรงมากกว่ายุคก่อนๆ 

 

รู้จัก ชาร์ลี เคิร์ก

 

เคิร์กมีความสนใจการเมืองมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ โดยที่เขานั้นมีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมเคร่งศาสนา เขาได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในครั้งแรกในปี 2010 ในขณะที่เขายังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมปลาย โดยเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาของมลรัฐอิลลินอยส์ ในเวลาต่อมาเขาก็ได้รับคัดเลือกให้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาที่ Harper College 

 

ที่นี่เองที่เคิร์กค้นพบว่า มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งรวมตัวกันของฝ่ายซ้าย (ทั้งอาจารย์และนักศึกษา) ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจาก Harper College เพื่อมาทำงานการเมืองเต็มตัว ด้วยการก่อตั้งองค์กร Turning Point USA โดยมีจุดประสงค์หลักด้วยการเผยแพร่แนวคิดแบบอนุรักษนิยมให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ผ่านรายการวิทยุและพอดแคสต์ เพื่อตอบโต้กับวัฒนธรรมเสรีนิยมที่แพร่กระจายอยู่ในแคมปัสของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ

 

ด้วยความเฉลียวฉลาด ไหวพริบ และการพูดจาที่ฉะฉานของเคิร์ก ทำให้องค์กร Turning Point USA ของเขาได้รับความสนใจจากสื่อฝ่ายขวา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Fox News) ทำให้องค์กรของเขาเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการสนับสนุนจากนายทุนฝ่ายอนุรักษนิยม

 

เคิร์กและองค์กร Turning Point USA ของเขาให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างเต็มตัว เคิร์กนั้นถือได้ว่าเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีความ ‘จงรักภักดีต่อทรัมป์’ สูงมาก และเขาก็เป็น ‘หัวหอก’ ในการหาเสียงให้กับทรัมป์โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย-Gen Z การที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับแคมเปญการหาเสียงของทรัมป์ ก็ทำให้เขาเกิดความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับลูกชายของทรัมป์อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์

 

แนวคิดแบบ ‘ขวาจัด’

 

เคิร์กมีแนวคิดว่า ชาติตะวันตกควรจะเป็น ‘ชาติของชาวคริสเตียน’ (Christian Nationalist) เขาเชื่อว่า โลกใบนี้เจริญขึ้นมาได้ (โดยเฉพาะโลกตะวันตก) เพราะวัฒนธรรมแบบชาวคริสต์ และชาติตะวันตกควรจะรักษาความเป็นคริสต์เอาไว้ เขาเชื่อว่า การเปิดรับ ‘ผู้อพยพผิวสี’ ที่ไม่ใช่ชาวคริสเตียนเข้ามาจะทำให้สังคมอเมริกาเสื่อมลง และนี่เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนของทรัมป์อย่างเต็มตัว เพราะทรัมป์เป็นนักการเมืองที่มีนโยบายต่อต้านผู้อพยพอย่างเข้มข้นมากกว่านักการเมืองจากพรรครีพับลิกันคนอื่นๆ

 

นอกจากแนวคิดเรื่องผู้อพยพแล้ว ด้วยความที่เขามีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมเคร่งศาสนาก็ทำให้เขา ‘ต่อต้าน’ สิทธิของ LGBTQIA+ (โดยเฉพาะทรานส์เจนเดอร์), การทำแท้ง และ ‘สนับสนุน’ สิทธิในการถือปืน (Second Amendment) อย่างเต็มตัว

 

เคิร์กเคยกล่าวว่า การที่จะมีคนตายจากอาวุธปืนนั้น ‘เป็นเรื่องปกติ’ และเป็นเรื่องที่สังคมอเมริกา ‘จำเป็นที่จะต้องแลก’ เพื่อรักษาสิทธิที่ทุกคนจะครอบครองอาวุธปืนได้ เขาบอกว่า มันเป็น ‘การแลกที่คุ้มค่า’ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่งว่า ตัวของเขาเองก็กลายเป็นหนึ่งในชีวิตที่ต้องแลก เพื่อรักษา Second Amendment เอาไว้

 

เลือดและความรุนแรง

 

ความรุนแรงนั้น ไม่ใช่คนแปลกหน้า สำหรับการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้ความรุนแรงและการลอบสังหารนักการเมืองมีมาตั้งแต่สมัยก่อร่างสร้างประเทศจนมาพีคสุดในสมัยสงครามกลางเมือง อย่างไรก็ดี ความรุนแรงก็ได้ลดลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงปลายของศตวรรษที่ 20 ซึ่งก็เป็นไปตามเทรนด์ของโลกตะวันตกที่มีความศิวิไลซ์มากขึ้น มีการตัดสินปัญหาด้วยการเจรจาและประนีประนอมกันมากขึ้น โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

 

อย่างไรก็ตาม ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ความรุนแรงในทางการเมืองนั้นได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ภายหลังจากที่ทรัมป์ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในปี 2016 ด้วยเหตุจากการที่ทรัมป์มีบุคลิกแบบที่เป็น ‘นักสู้ที่ไม่เคยยอมใคร’ เป็นอัลฟาเมล เขาพยายามฉายภาพให้ฐานเสียงของเขาเห็นว่า พรรคเดโมแครตนั้นคือ ‘ศัตรูหมายเลขหนึ่ง’ ที่พยายามจะทำลายเขา ทำให้ฐานเสียงของเขาพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงกับคนของเดโมแครต ซึ่งก็แน่นอนว่า มันย่อมเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงกลับคืนมาจากเดโมแครต ‘เป็นวงจรไม่รู้จบ’

 

บรรยากาศของความรุนแรง ‘แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ นี้ก็ได้สะท้อนออกมาให้เห็นในหลายเหตุการณ์ เช่น การทำร้ายร่างกายของสามีของอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเดโมแครตอย่างแนนซี เปโลซี, การลอบวางเพลิงของบ้านพักของผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียจากพรรคเดโมแครตอย่าง จอช แชปิโร, การสังหารประธานสภาท้องถิ่นของพรรคเดโมแครตที่มลรัฐมินนิโซตา, การจลาจลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ภายหลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งของทรัมป์ รวมถึงการลอบสังหารของตัวทรัมป์ และเคิร์กที่เป็น ‘เหยื่อคนล่าสุด’ ของความรุนแรงนี้

 

ในช่วงอีกสามปีที่เหลือของรัฐบาลทรัมป์ สมัยที่สอง สถานการณ์ความรุนแรงก็คงจะไม่ได้ลดลง ตราบเท่าที่ทรัมป์ยังคงสุมไฟให้กับผู้สนับสนุนของเขา เพราะแม้แต่หลังเหตุการณ์นี้ เขาก็กล่าวปราศรัยในทันทีภายหลังการเสียชีวิตของเคิร์กว่า นี่เป็นผลงานของ ‘กลุ่มซ้ายจัด’ (ทั้งๆที่ เรายังไม่ได้ข้อสรุปว่า แรงจูงใจของผู้สังหารอย่างไทเลอร์ โรบินสันคืออะไร) และกล่าวว่า เขาจะลากตัวกลุ่มซ้ายจัดมาลงโทษ เพื่อล้างแค้นให้กับเคิร์ก ผู้เป็นเพื่อนของเขาให้จงได้

 

แฟ้มภาพ: Jabin Botsford / The Washington Post via Getty Images

The post แตกแยก เกลียดชัง และนองเลือด: เมื่อชาร์ลี เคิร์กคือเหยื่อรายล่าสุดของการเมืองยุคทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
KANORI ไม่ได้ขายแค่ Handroll แต่ขาย ‘ความกล้าแตกต่าง’ ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ https://thestandard.co/kanori-business-strategy/ Sun, 14 Sep 2025 06:58:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1119155 kanori-business-strategy

ในยุคที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่แทบทุกเดือน และเทรนด์กา […]

The post KANORI ไม่ได้ขายแค่ Handroll แต่ขาย ‘ความกล้าแตกต่าง’ ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
kanori-business-strategy

ในยุคที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่แทบทุกเดือน และเทรนด์การกินเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่าข่าวหน้าหนึ่ง การจะสร้างแบรนด์ที่ ‘แตกต่าง’ และ ‘อยู่ได้นาน’ กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง

 

แต่ในตลาดที่เต็มไปด้วยความคุ้นเคย Kanori แบรนด์ Sushi Hand Roll ที่เพิ่งเปิดเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา และคว้าการเติบโตกว่า 500% ได้ในเวลาไม่ถึงสองปีเต็ม กลับเลือกหยิบสิ่งที่คนไทย ‘ยังไม่รู้จักดีพอ’ มาทำให้เป็นที่รัก ด้วยแรงบันดาลใจจากเมนูเดียวกันนี้ในนิวยอร์ก เมืองแห่งความเร่งรีบที่ผู้คนอาจมีไฟล์สไตล์ใกล้เคียงกับคนกรุงเทพฯ

 

เลือกจะ Niche ในทางที่ใช่ที่สุด

 

แทนที่จะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีเมนูครบทุกอย่าง Kanori เลือกที่จะโฟกัสแค่ ‘Handroll’ อาหารที่ยังไม่ได้รับความนิยมในไทยในตอนนั้น

 

ความมั่นใจนี้ไม่ได้มาจาก Passion อย่างเดียว แต่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้ก่อตั้งที่ได้ไปลองกิน Handroll ที่นิวยอร์กบ่อยครั้ง จนเห็นศักยภาพของเมนูนี้ว่าเข้าใจง่าย กินง่าย และมีเสน่ห์เฉพาะตัว ตามสไตล์ Newyorker ที่เร่งรีบ กินง่าย และสามารถนำมาปรับใช้กับคนไทยได้

 

จุดที่น่าสนใจคือ แม้จะรู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ยังเลือกทำ เพราะเชื่อว่าการกล้าจะแตกต่าง ในตลาดที่ยังไม่มีใครเล่นจะคุ้มค่ากว่าเสมอ

 

คิดใหญ่ แต่เริ่มจากเล็ก

 

ก่อนเปิดร้านจริง Kanori ไม่ได้รีบเปิดหน้าร้านทันที แต่เริ่มจากการให้เพื่อนมาชิม (Tasting) เพื่อเก็บฟีดแบ็ก และเลือกเปิดสาขาแรกที่สุขุมวิท 19 ด้วยที่นั่งเพียง 20 ที่เท่านั้น เพื่อทดลองตลาดอย่างมีกลยุทธ์

 

โต๊ะบาร์ที่คนไทยไม่คุ้น แต่กลับเหมาะกับแบรนด์

 

ก่อนโควิด คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ชินกับการนั่งรับประทานอาหารแบบเคาน์เตอร์บาร์ โดยเฉพาะกับอาหารญี่ปุ่นที่มักมาพร้อมโต๊ะกลุ่มหรือร้านแบบเต็มรูปแบบ

 

แต่โควิด-19 กลายเป็นตัวเปลี่ยนเกม พฤติกรรมการนั่งแยกกลายเป็นเรื่องปกติ และเทรนด์ Omakase ก็เข้ามาช่วย Educate ตลาดให้ยอมรับประสบการณ์แบบ Personal Dining

 

จึงเป็นโอกาสดีสำหรับ Kanori ที่เลือกวางรูปแบบร้านเป็นแบบนั่งเคาน์เตอร์บาร์หน้าเชฟ จึงเป็นแบรนด์ที่ ‘พร้อมอยู่แล้ว’ สำหรับโลกหลังโควิด เสิร์ฟประสบการณ์แบบพรีเมียมได้ทันที

 

ความลับที่ไม่มีใครก็อปได้ คือแต้มต่อที่ยั่งยืน

 

Kanori ไม่ได้หยุดแค่การคัดเลือกวัตถุดิบดี ๆ แต่ไปไกลกว่านั้นด้วยการบินไปญี่ปุ่นเพื่อหาแหล่งผลิตสาหร่ายด้วยตนเอง และเจรจาเป็น Distributor รายเดียวในไทย

 

นั่นทำให้แม้จะมีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่สามารถลอกสูตรความอร่อยที่มาจากวัตถุดิบต้นทางเดียวกันได้

 

นี่คือ ‘ความลับ’ ที่ Kanori ใช้สร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน

 

การเข้าห้างคือการขึ้นเลเวลของระบบหลังบ้าน

 

แม้ Kanori จะเติบโตเร็ว แต่ไม่ได้ข้ามขั้น

 

เมื่อเข้าสู่ห้างระดับพรีเมียม สิ่งที่ต้องเจอคือค่าใช้จ่ายล่วงหน้า Hidden Cost และกฎระเบียบมากมายที่คนทําร้านอาหารแบบ Stand-alone อาจไม่เคยเจอ

 

แต่พวกเขาก็ใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้ ทั้งการดีไซน์ร้านให้เข้ากับพื้นที่ การจัดระบบทีม และการเจรจากับศูนย์การค้าอย่างมืออาชีพ

 

เพราะการขยายร้านให้เร็ว ไม่สำคัญเท่าการขยายโดยไม่สูญเสียคุณภาพ

 

Kanori ไม่ได้สำเร็จแค่เพราะดวงดี แต่เพราะเลือกเส้นทางที่ ‘ต่าง’ และ ‘ลึก’ ตั้งแต่วันแรก

 

พวกเขามีสายตาที่มองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม มีความกล้าที่จะลงแรงกับสิ่งที่ยังไม่มีใครทำ และมีวินัยมากพอจะรักษามาตรฐาน แม้ในวันที่โตเร็ว

 

เรียนวิธีกล้าที่จะต่างอย่างมีระบบ ไปกับ ปวิตรา กอบกุลสุวรรณ และ ปณิธิ กอบกุลสุวรรณ จาก Kanori ได้บนเวที YOUNG ENTREPRENEUR STAGE งาน The Secret Sauce Summit 2025 วันที่ 16-17 กันยายน 2568

The post KANORI ไม่ได้ขายแค่ Handroll แต่ขาย ‘ความกล้าแตกต่าง’ ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จากการ ‘เริ่มทำ’ สู่พลังการเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย: บันทึกจากการสมัครผู้ว่าการ ธปท. https://thestandard.co/former-bot-candidate-shares-vision/ Sun, 14 Sep 2025 03:58:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1119094 ผู้ว่าการ ธปท.

ปี 2568 ผมตัดสินใจสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้ว่าการธนาค […]

The post จากการ ‘เริ่มทำ’ สู่พลังการเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย: บันทึกจากการสมัครผู้ว่าการ ธปท. appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ว่าการ ธปท.

ปี 2568 ผมตัดสินใจสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เพราะ ‘อยากเป็น’ แต่เพราะ ‘อยากทำ’ – ทำในสิ่งที่เชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นในเชิงโครงสร้าง

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด และสรุปได้อย่างไม่มีข้อสงสัยว่า เรากำลังติดกับดักการเติบโตต่ำ ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง และความไม่ทั่วถึงในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ ความท้าทายเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือชุดเดิมที่เน้นแต่เสถียรภาพโดยละเลยประสิทธิภาพและความทั่วถึง

 

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์มหภาคที่มีประสบการณ์ทำงานในภาคการเงิน ผมเชื่อว่า ‘ระบบเศรษฐกิจการเงิน’ คือกลไกสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรของประเทศ แต่ในปัจจุบันกลไกนี้ยังทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะถูกจำกัดด้วยโครงสร้างสถาบัน ข้อมูลไม่สมบูรณ์ กลไกจูงใจที่บิดเบี้ยว และพื้นที่เชิงนโยบายที่ไม่เปิดกว้างพอให้เกิดนวัตกรรมหรือของใหม่

 

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจลาออกจาก SCB อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 31 มีนาคม เพื่อทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเตรียมข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับตำแหน่งนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า ถ้าจะอาสาเป็น “หัวหน้าทีมออกแบบระบบเศรษฐกิจการเงินไทย” คนต่อไป จะต้องมองปัญหาทั้งองค์รวม มีแนวทางที่ชัดเจนจับต้องได้ และสามารถลงมือทำได้จริง

 

ข้อเสนอ: ระบบเศรษฐกิจการเงินที่ “ทั่วถึง มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพ”

 

ผมและทีมงานเล็กๆ ได้ทำงานหนักตลอด 2 เดือนเพื่อพัฒนาแนวคิดที่ตอบโจทย์นี้ เราเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นระบบ แล้วออกแบบข้อเสนอใน 3 มิติหลัก ได้แก่

 

  • ความทั่วถึง (Inclusion): เช่น ระบบบัญชีหลายระดับ (Tiered Account Services) และโครงการศูนย์ข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ (Commercial Credit Reference) เพื่อให้ประชาชนและ SME เข้าถึงบริการทางการเงินที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับบริบทของตน
  • ประสิทธิภาพ (Efficiency): เช่น กลไก Credit Mediator เพื่อเชื่อมข้อมูลและประเมินความเสี่ยงร่วมระหว่างภาคธุรกิจและสถาบันการเงิน ลดอุปสรรคในการปล่อยสินเชื่อ
  • เสถียรภาพ (Stability): เช่น การใช้มาตรการ Countercyclical Capital Buffer (CCyB) อย่างยืดหยุ่น การปรับปรุงการดำเนินนโยบายการเงิน และการพัฒนาระบบจัดการหนี้เสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ข้อเสนอทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้อยู่ภายใต้บทบาทของ ธปท. และสามารถดำเนินการได้ทันที ไม่ได้เป็นแค่แนวคิดในอากาศ แต่มี Execution Plan กำกับทุกโครงการ และอ้างอิงจากกรณีศึกษาจริงจากต่างประเทศ

(เอกสารแสดงวิสัยทัศน์ฯ ฉบับเต็ม ฉบับย่อ และเอกสารนำเสนอวิสัยทัศน์ฯ)

 

ประสบการณ์ในกระบวนการสรรหา

 

เมื่อถึงวันยื่นใบสมัคร ผมเดินทางไปด้วยตัวเอง เพราะรู้สึกว่านี่คืออีกหนึ่งประสบการณ์ในชีวิตที่สำคัญและน่าจดจำ จากนั้นใช้เวลาอีก 3 สัปดาห์ในเตรียมแผนการนำเสนอวิสัยทัศน์ (ที่ประกอบไปด้วย แผนการทำงาน ผู้เกี่ยวข้อง ตัวชี้วัดความสำเร็จ ฯลฯ) อย่างไรก็ดี การนำเสนอได้ถูกจำกัดเวลาไว้เพียง 10 นาที และมีเวลาตอบคำถามจากรรมการฯ อีก 20 นาที

 

แม้เวลาจะสั้น แต่ผมใช้โอกาสนี้นำเสนอภาพใหญ่ของการเปลี่ยนผ่านบทบาท ธปท. จาก ‘ผู้รักษาเสถียรภาพ’ สู่ ‘ผู้ออกแบบระบบเศรษฐกิจการเงิน’ ที่ทำงานเชิงรุก มีบทบาทมากขึ้นกับภาคเศรษฐกิจจริงและชีวิตประชาชน

 

หลังนำเสนอ ผมรู้ว่าผลลัพธ์อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง และท้ายที่สุดก็มีผู้สมัครท่านอื่นได้รับการคัดเลือก

 

แม้ไม่ได้ถูกเสนอชื่อ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมีค่ามาก – มิตรภาพ คำแนะนำ ความหวัง และพลังสนับสนุนจากผู้คนหลากหลายที่เห็นความตั้งใจและเนื้อหาของข้อเสนอ แล้วช่วยส่งต่อ ช่วยแชร์ ช่วยแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่ส่งแรงใจมาให้โดยไม่รู้จักกันมาก่อน

 

มื้ออาหารและเครือข่ายเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย

 

คืนวันหลังทราบผล อาเตา อาหงิด ชวนผมกับน้อยไปทานข้าวที่บ้านในบรรยากาศเป็นกันเอง ก่อนมื้ออาหารจะเริ่มขึ้น อาเตาหยิบมือถือขึ้นมาโทร พอปลายสายรับ แกพูดขำๆ พร้อมกับรอยยิ้มว่า

 

“จ๋วง…มึงว่างไหม มากินข้าวกับท่านผู้ว่าฯ สอบตกกัน”

ทุกคนหัวเราะ แล้วอีกฝ่ายตอบว่า 

“อ๋อ ไปกินกับเครือข่ายบรรยงเหรอพี่…”

แกตอบทันที

“เครือข่ายบรรยงก็มีกูคนเดียวนี่แหละ และเท่าที่นั่งอยู่ตรงนี้”

 

เสียงหัวเราะตามมาอีกครั้ง ผมไม่ได้พูดอะไรแต่เถียงในใจ ผมรู้ว่าเครือข่ายของผมมีมากกว่านั้น เครือข่ายของผมคือทุกคนที่ยังเชื่อว่า “ระบบเศรษฐกิจไทยต้องเปลี่ยนแปลงได้” คือผู้ที่พร้อมส่งต่อแนวคิด สนับสนุนข้อเสนอ แนะนำ เสนอแนะ แสดงความเห็น เพื่อให้เสียงของนโยบายที่ดีถูกได้ยินและต่อยอดต่อไป

 

แม้ผมจะไม่ได้โอกาส ‘ได้ทำ’ ในตำแหน่งนั้น แต่ผมได้ ‘เริ่มทำ’ ไปแล้ว และหวังว่าการเริ่มทำของผมจะช่วยจุดประกายให้คนอื่นลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้…ให้กับเศรษฐกิจไทย

 

เปลี่ยนเศรษฐกิจไทยไปด้วยกัน

 

สุดท้ายผมขอขอบคุณ ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหา ที่เปิดโอกาสให้ผมได้แสดงวิสัยทัศน์ 

 

ขอบคุณ ผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกคน ที่ร่วมแลกเปลี่ยน ถกเถียง พัฒนาแนวคิดกันอย่างเข้มข้น

 

ขอบคุณ ผู้ใหญ่หลายท่าน ที่ให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา

 

ขอบคุณ ทีมเล็กๆ ที่ร่วมกันทำงานใหญ่ และทุ่มเทอย่างเต็มที่ตลอดสามเดือนด้วยใจโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ

 

และขอบคุณ ทุกเสียงที่ส่งกำลังใจให้ ไม่ว่าจะรู้จักกันหรือไม่

 

ผมยังมีความหวังและจะยังคงใช้ความรู้ ความสามารถที่มี ทำหน้าที่บนบทบาทต่อไปให้ดีที่สุด เศรษฐกิจไทยจะเปลี่ยนได้ ถ้าเราออกมาอาสาทำงานเพื่อสาธารณะกันมากขึ้น 

 

มาช่วยกัน #เปลี่ยนเศรษฐกิจไทย กันครับ

 

ภาพ: peshkov/Getty Images 

อ้างอิง​

 

The post จากการ ‘เริ่มทำ’ สู่พลังการเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย: บันทึกจากการสมัครผู้ว่าการ ธปท. appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Saint กาลครั้งหนึ่งของ… ไมเคิล โอเวน (อดีต) เด็กมหัศจรรย์ที่โลกลืม https://thestandard.co/michael-owen-the-saint/ Sun, 14 Sep 2025 02:00:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1119010 michael-owen-liverpool-balon-dor

กลางทศวรรษที่ 90 เป็นช่วงเวลาที่แฟนลิเวอร์พูลเริ่มกลับม […]

The post The Saint กาลครั้งหนึ่งของ… ไมเคิล โอเวน (อดีต) เด็กมหัศจรรย์ที่โลกลืม appeared first on THE STANDARD.

]]>
michael-owen-liverpool-balon-dor

กลางทศวรรษที่ 90 เป็นช่วงเวลาที่แฟนลิเวอร์พูลเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งที่จะทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมา หลังจากที่พบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากจากการทำทีมที่ล้มเหลวของแกรมม์ ซูเนสส์ อดีตยอดมิดฟิลด์ในยุคทอง

 

รอย เอแวนส์ นำฟุตบอลที่สวยงามกลับมาใต้ปรัชญาการเล่น “Pass & Move” และกำเนิดเหล่านักเตะรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาเป็นขวัญใจของผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็น สตีฟ แม็คมานามาน, เจมี เรดแนปป์, ร็อบ โจนส์, เดวิด เจมส์, สแตน คอลลีมอร์ รวมถึง ร็อบบี ฟาวเลอร์ หัวหอกซ้ายมฤตยูที่ได้รับการยกย่องและคาดหวังว่านี่แหละคือคนที่จะพาลิเวอร์พูลกลับสู่บัลลังก์ของพวกเขาอีกครั้ง

 

แต่ในห้วงเวลานั้นเองก็เริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบตามหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไปจนถึงหนังสือพิมพ์ในระดับประเทศว่าลิเวอร์พูลได้ค้นพบ “เคนนี ดัลกลิช คนใหม่” แล้วซึ่งเป็นเด็กที่อยู่ในทีมเยาวชนของพวกเขาเอง ที่ยิ่งทำให้เดอะ ค็อปตื่นเต้นกันเข้าไปใหญ่

 

แล้ว “เด็กในคำทำนาย” คนนี้ก็กลายเป็นความจริง

 

ไมเคิล เจมส์ โอเวน กองหน้าดาวรุ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ลิเวอร์พูลสร้างขึ้นมา ไม่เพียงแค่แจ้งเกิดได้อย่างรวดเร็วในทีมชุดใหญ่ แต่ใช้เวลาน้อยนิดในการไปสู่การเป็นเจ้าของลูกฟุตบอลทองคำ “บัลลงดอร์” ในปี 2001

 

เรื่องราวที่ทุกคนเหมือนจะลืมไปหมดแล้ว…

 

ไมเคิล โอเวน

 

บทสนทนาที่จริงใจแบบไม่ผ่าน “ตัวกรอง” ใดๆ ระหว่างริโอ เฟอร์ดินานด์ ในฐานะผู้ดำเนินรายการ “Rio Presents” กับเพื่อนเก่าอย่าง ไมเคิล โอเวน เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน นำไปสู่บทสนทนาที่น่าสนใจสำหรับแฟนฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่ “เกิดทัน” ในช่วงเวลานั้น

 

ไม่ว่าจะเป็นรางวัลบัลลงดอร์ ที่โอเวน นำมาวางโชว์ให้เฟอร์ดินานด์ ที่มาเยือนถึงบ้านได้ชมอย่างใกล้ๆ แต่ห้ามสัมผัสเพราะคนที่จะสัมผัสได้นั้นสงวนสิทธิ์สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลตัวจริงเท่านั้น

 

หรือบทสนทนาที่ย้อนเวลากลับไปถึงวันเก่าๆ โรงเรียนฟุตบอลลีลล์แชลล์ (Lilleshall) สถานที่ศึกษาวิชาลูกหนังที่ดีที่สุดของอังกฤษในช่วงเวลานั้นจนได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็นดัง “ฮ็อกวอตส์” ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งยอดนักเตะอย่างเฟอร์ดินานด์เองก็ยังไม่ได้เข้าไปเรียน แต่โอเวนได้

 

และแน่นอนกับสิ่งที่มีการพูดถึงมากเพราะมาจากถ้อยคำของอดีตกองหน้าหมายเลขหนึ่งของทีมชาติอังกฤษ ที่แอบน้อยใจว่าผู้คนลืมกันไปหมดแล้วถึงความยอดเยี่ยมในอดีตของเขา จดจำกันเพียงแต่ภาพช่วงวันเวลาที่ตกต่ำโดยเฉพาะในช่วงท้ายกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนลิเวอร์พูลจำนวนมากยังไม่ให้อภัย) และสโมสรสุดท้ายในชีวิตกับสโต๊ค ซิตี

 

โอเวนยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวหรือ? 

 

คำตอบจากใจคือการได้แต่พยักหน้าเบาๆ

 

ไมเคิล โอเวน

 

ไมเคิล เจมส์ โอเวน เมื่อครั้งเป็นนักเตะดาวรุ่งนั้นถือว่าเป็นสตาร์ในระดับเกมลูกหนังเยาวชนของอังกฤษ ชนิดที่ใครที่อยู่ในวงการบอลเด็กเมืองผู้ดีต้นยุค 90 ต้องเคยได้ยินชื่อเด็กคนนี้อย่างแน่นอน

 

เพราะนี่คือนักเตะระดับ ‘ปีศาจ’ ที่ทุบสถิติการทำประตูเป็นว่าเล่น ยกตัวอย่างเช่น การเล่นให้ทีมเยาวชนโมลด์ อเล็กซานดรา โดยลงเล่นในทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 10 ปีตั้งแต่อายุเพียงแค่ 8 ขวบ ซึ่งการที่เล่นข้ามรุ่นได้เพราะครูพละไปขอร้องฝ่ายจัดการแข่งขันให้อนุญาตเนื่องจากเขาเก่งเกินรุ่นเดียวกันไปเยอะมากแล้ว

 

โอเวน ทำประตูได้ตั้งแต่เกมแรกกับโมลด์ อเล็กซานดรา ก่อนจะยิงไปทั้งหมด 34 ประตูจาก 24 นัด

 

ในระดับโรงเรียน เขาทำลายสถิติของเอียน รัช ในทีมโรงเรียนประถม ดีไซด์ แอเรีย รุ่นอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ยืนยงมากว่า 20 ปี โดยทำไป 97 ประตู มากกว่าตำนานวีรบุรุษแห่งแอนฟิลด์ถึง 25 ประตู ในตอนที่อายุเพียง 9 ขวบ (และสวมปลอกแขนกัปตันทีมด้วย)

 

พออายุได้ 12 ขวบ เขาสามารถเลือกที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักเรียนทุนของสโมสรได้ และทำให้มีสโมสรดังจากทั่วประเทศพยายามติดต่อทาบทามเขาอย่างมากมายตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไม่ว่าจะเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งไบรอัน คิดด์ มือขวาของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันถึงกับมาดูฟอร์มด้วยตัวเอง หรือเชลซีและอาร์เซนอล

 

แต่ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ ด้วยจดหมายน้อยของสตีฟ ไฮเวย์ อดีตตำนานนักเตะผู้ผันตัวเองไปดูแลทีมเยาวชนของลิเวอร์พูลที่รับปากว่าจะดูแลเขาอย่างดีที่สุด และทำให้ เทอร์รี โอเวน พ่อของไมเคิล ซึ่งเคยเป็นอดีตนักเตะของเชสเตอร์ และเอฟเวอร์ตัน (แน่นอนว่าพวกเขาคือเอฟเวอร์โตเนียน) และตัวเจ้าหนูมหัศจรรย์เองตอบตกลงที่จะรับข้อเสนอของลิเวอร์พูล

 

ก่อนที่จะได้รับการแนะนำจากทีมให้เข้าเรียนที่ลีลล์แชลล์ ในตอนอายุ 14 ปี ซึ่งการได้ไปโรงเรียนฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในเวลานั้น (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) เป็นหนึ่งในการสร้างรากฐานที่สำคัญที่ทำให้โอเวน ก้าวไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

 

เขากลายเป็นดาวเด่นในทีมชาติชุดเยาวชน สร้างสถิติยิง 28 ประตูจากการลงสนาม 20 นัด ให้กับทีมชาติอังกฤษชุดยู-15 และยู-16 ส่วนในระดับสโมสรกับลิเวอร์พูล เขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน สามารถไต่ระดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

จนเริ่มมีการพูดกันว่าที่แอนฟิลด์มีเด็กมหัศจรรย์คนใหม่ที่กำลังจะถือกำเนิดอีกคน

 

ไมเคิล โอเวน

 

เสียงเล่าเสียงลือนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ดังสนั่นพสุธากัมปนาท เมื่อโอเวน นำลิเวอร์พูลชุดเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ สมัยแรกของสโมสรได้ในช่วงเดือนเมษายน 1996 ด้วยการเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งก็มียอดดาวรุ่งอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด และริโอ เฟอร์ดินานด์อยู่ในทีม

 

ถึงตอนนั้นทุกคนอยากเห็นโอเวนได้โอกาสลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่แล้ว ซึ่งรอย เอแวนส์เองก็ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะเปิดประตูให้เช่นกัน โดยเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกในวันคล้ายวันเกิดอายุครบรอบ 17 ปี ก่อนที่จะถูกดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่

 

แต่ไม่ว่าผู้คนจะแซ่ซ้องขนาดไหนโอเวนก็ต้องอดทนรอคอยโอกาสของตัวเองตลอดทั้งปี จนกระทั่งถึงเกมนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล 1996/97 ซึ่งลิเวอร์พูลไปเยือนวิมเบิลดัน ที่สนามเซลเฮิร์สท์ ปาร์ค ก็เริ่มมีการพูดกันว่าอาจจะเป็นโอกาสที่เหมาะสม The Guardian ถึงกับรายงานข่าวว่า “Anfield prodigy on standby” 

 

ก่อนที่เอแวนส์จะส่งเด็กในคำทำนายของทุกคนลงสนามจริงๆในช่วงครึ่งเวลาหลัง และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อโอเวนสามารถทำประตูได้ทันทีในเกมประเดิมสนามหลังได้บอลแทงทะลุช่องจาก สติก อิงเก บียอร์นบี แบ็กซ้ายจอมเปิดก่อนจะชิงจังหวะสลัดกับดักล้ำหน้าหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ เปิดลำตัวและเลือกยิงเข้าไปอย่างเยือกเย็น

 

ประตูนี้อาจจะไม่ทำให้ลิเวอร์พูลรอดพ้นจากความปราชัยได้ พวกเขาแพ้วิมเบิลดัน 2-1 (เจสัน ยูลล์ และดีน โฮลส์เวิร์ธ ทำประตูให้เดอะ ดอนส์นำไปก่อน 2-0) แต่อย่างน้อยมันก็เป็นประกายไฟในวันฝนพรำที่ลิเวอร์พูลในยุคของอีแวนส์ ผลงานยังไม่ดีขึ้นจนถึงขั้นขึ้นมาลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก (ซึ่งในยุคนั้นยังเรียกกันว่าพรีเมียร์ชิพ) ได้

 

เพียงแต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือประตูที่เกิดขึ้นในวันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลามหัศจรรย์

 

แม้มันจะแสนสั้นก็ตาม

 

ฤดูกาล 1997/98 โอเวน (หรือ Midget ของเพื่อนๆ) ได้กลายเป็นกองหน้าตัวหลักของลิเวอร์พูลที่หลายคนคาดหวังว่า เขาจะจับคู่กับร็อบบี ฟาวเลอร์ ซึ่งน่าจับตามองเพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นสุดยอดดาวรุ่งพรสวรรค์ไม่แพ้กัน

 

ไมเคิล โอเวน

 

เพียงแต่โชคชะตาจะส่งให้โอเวนมากกว่า เมื่อฟาวเลอร์ เริ่มประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ รุ่นน้องอย่างเขาจึงได้โอกาสในการเป็นตัวหลักแทนและสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเกินกว่าที่ใครจะคิดเพราะสามารถคว้ารางวัล “รองเท้าทองคำ” หรือดาวซัลโวประจำฤดูกาลมาครองได้ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น กับผลงานในพรีเมียร์ลีกจำนวน 18 ประตู​ (เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำได้จนถึงปัจจุบัน)

 

ผลงานดังกล่าวยังทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจาก PFA และเป็นอันดับ 3 ในรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA รองจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์ และโทนี อดัมส์ ซึ่งพาอาร์เซนนอลคว้าดับเบิลแชมป์ได้ในฤดูกาลนั้น

 

ก่อนที่ความบ้าคลั่งจะปะทุถึงขีดสุดในฟุตบอลโลก 1998 เมื่อโอเวน ซึ่งได้โอกาสจากเกล็นน์ ฮอดเดิล เก็บประสบการณ์ในเกมอุ่นเครื่องได้ไม่นาน และถูกเรียกตัวติดทีมไปฟุตบอลโลกที่ประเทศฝรั่งเศสด้วย 

 

โอเวน ได้โอกาสลงเป็นตัวสำรองในนัดแรกที่พบกับตูนิเซีย ก่อนจะได้โอกาสในเกมที่ 2 โรมาเนียที่แม้ทีมจะแพ้ 2-1 แต่เจ้าหนูมหัศจรรย์ทำประตูได้ ทำให้เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูได้ใน “ฟรองซ์ 98” ด้วยวัย 18 ปี 190 วัน และเกือบจะยิงตีเสมอได้ด้วยหากลูกยิงไกลไม่ชนเสาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

 

ผลงานดังกล่าวทำให้โอเวนต้องลงเป็นตัวจริงตามคำเรียกร้องของแฟนๆในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับโคลอมเบีย ที่สุดท้ายอังกฤษผ่านด่านได้และได้เข้าสู่รอบน็อคเอาต์ ก่อนจะพบกับอาร์เจนตินา หนึ่งในตัวเต็งของการแข่งขันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายในเกมที่สร้างตำนานให้กับตัวเอง

 

โดยในเกมดังกล่าวแม้ว่าอังกฤษจะพ่ายแพ้ (และเดวิด เบ็คแฮม เป็นจำเลยของประเทศ) แต่โอเวนสร้างชื่อให้กับตัวเองได้ด้วยการฉีกแนวรับของแชมป์โลก 2 สมัยขาดวิ่น ทั้งเรียกจุดโทษได้ และทำประตูให้ตัวเองได้ด้วยการสปีดเอาชนะโรแบร์โต อยาลา และโฮเซ ชาม็อต ก่อนยิงผ่านคาร์ลอส โรอา ผู้รักษาประตูเข้าไปจากนอกกรอบเขตโทษ

 

ผลงานในฟุตบอลโลกและผลงานในฤดูกาลมหัศจรรย์กับลิเวอร์พูลทำให้เขาได้รางวัลนักฟุตบอลแห่งปีอันดับ 3 จากการประกาศของ FIFA และเป็นอันดับ 4 ในรางวัลบัลลงดอร์ในช่วงปลายปีเดียวกัน

 

สิ่งที่น่าเศร้าคือช่วงเวลาความมหัศจรรย์ของโอเวนนั้นสั้นยิ่งนัก

 

ไมเคิล โอเวน

 

การใช้ร่างกายมาอย่างหนักตั้งแต่เด็กโดยไม่ได้รับการดูแลทะนุถนอมอย่างที่ควรจะเป็น ต่อให้จิตใจของเขาจะโตเกินตัว แต่ร่างกายของโอเวนก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กคนอื่นๆทำให้วันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะระเบิดออกมา

 

ในเกมพรีเมียร์ลีกกับลีดส์ ยูไนเต็ดในเดือนเมษายนปี 1999 โอเวน เกิดเสียหลักล้มหน้าคะมำในจังหวะสปีดไปเอาบอล ซึ่งแม้ในเหตุการณ์จริงจะเหมือนการสะดุดยอดหญ้าล้ม แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะเขาเอามือข้างหนึ่งกุมที่กล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา (แฮมสตริง) ส่วนมืออีกข้างปิดใบหน้าด้วยความเจ็บปวด

 

กล้ามเนื้อมัดสำคัญที่ทำให้เขาเป็น ‘จรวด’ ในสนามฉีกขาดสะบั้น และจำเป็นต้องพักการเล่นนานถึง 5 เดือน (ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นดาวซัลโวอยู่ดีในฤดูกาลนั้น)

 

สิ่งที่โอเวนไม่ได้บอกและไม่มีใครรู้ในตอนนั้นคือเขารู้ตัวตั้งแต่วินาทีนั้นแล้วว่าเขาจะไม่มีวันกลับมาเป็นคนเดิมอีกแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บมันได้พรากสมบัติล้ำค่าที่ฟ้าประทานมาให้เขาแค่คนเดียวไปเป็นที่เรียบร้อย

 

ถึงอย่างนั้นโอเวนก็ยังกลับมาเป็นนักเตะแถวหน้าของโลกอยู่เหมือนเดิม เขาเป็นเบอร์หนึ่งของลิเวอร์พูลอย่างถาวร (ขณะที่ฟาวเลอร์ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย) จับคู่กับเอมิล เฮสกีย์ ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติอังกฤษ 

 

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการพา ‘หงส์แดง’ คว้าเทรเบิลแชมป์ได้ในฤดูกาลมหัศจรรย์ 2000/01 ที่กวาดแชมป์ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และยูเอฟา คัพ โดยเฉพาะในเกมเอฟเอ คัพ เขาคือคนทำ 2 ประตูช่วยให้ลิเวอร์พูลที่เจียนอยู่เจียนไปตลอดทั้งเกมพลิกกลับมาเอาชนะอาร์เซนอลได้อย่างเหลือเชื่อ

 

ไมเคิล โอเวน

 

ผลงานนั้นทำให้โอเวนได้รับการโหวตจากผู้สื่อข่าวที่น่าเชื่อถือในวงการฟุตบอลยุโรปให้เป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2001 เหนือสุดยอดนักเตะระดับตำนานทุกคน แม้มันจะเป็นบัลลงดอร์ที่แฟนฟุตบอลหลายคนฉงนว่า ทำไมโอเวนถึงได้ก็ตาม

 

จุดนั้นอาจจะนับว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิตของเขา (ในระดับทีมชาติก็ยิงแฮตทริกใส่เยอรมนีได้ถึงบ้าน) แล้ว เพราะหลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยที่คนภายนอกอาจจะไม่ทันได้สังเกต

 

ถึงแม้ว่าในปี 2004 โอเวนจะได้โอกาสย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริด แต่มันกลับเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะคิดว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จจะได้กลับมาลิเวอร์พูลแบบง่ายๆ ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผน เพราะนอกจากจะยึดตำแหน่งที่เบร์นาเบวไม่ได้ เขาก็ไม่ได้กลับมาลิเวอร์พูลด้วย เมื่อนิวคาสเซิลยื่นข้อเสนอให้มากกว่าที่ลิเวอร์พูลจะยอมสู้ราคา

 

โอเวนจึงไม่มีวันได้กลับมาแอนฟิลด์ในฐานะนักเตะของทีมอีก ก่อนจะเริ่มบาดเจ็บหนักและเรื้อรัง (เอ็นไขว้เข่าขาดในฟุตบอลโลก 2006) และทำลายชื่อเสียงของตัวเองด้วยการเลือกย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ด ตามคำเชิญชวนของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่ทำให้เดอะ ค็อปตัดสายสัมพันธ์กับเขาจนถึงวันนี้ และสโมสรสุดท้ายในชีวิตคือสโตค ซิตี ที่อยู่ได้เพียงไม่นานก็ตัดสินใจอำลาวงการ

 

ไมเคิล โอเวน

 

เรื่องราวของโอเวน เป็นหนึ่งในเรื่อง “What if” ที่น่าเสียดายไม่เฉพาะสำหรับแฟนลิเวอร์พูล หรือแฟนบอลอังกฤษ

 

ถ้ากล้ามเนื้อไม่ฉีกในวันนั้น

 

ถ้าเขาได้รับการดูแลดีกว่านี้ในช่วงวัยรุ่น ได้มีโอกาสพัฒนาร่างกายและเทคนิคการเล่นที่สำคัญบางอย่าง ที่จะไม่ทำให้เป็นแค่กองหน้าที่มีแต่ความเร็วชิงจังหวะเอาชนะคู่แข่ง

 

ถ้าเขาตัดสินใจอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป 

 

หรือถ้าเขาตัดสินใจไม่เลือกย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ด

 

เพียงแต่สำหรับโอเวนแล้ว เขายอมรับผลของการตัดสินใจทุกอย่างไม่ว่ามันจะร้ายหรือดีแค่ไหนก็ตาม

 

เพราะต่อให้มันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผู้คนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่สำหรับเขาแล้ว เขายังจดจำตัวเองในช่วงเวลาที่ดีที่สุดได้อยู่เสมอ

 

และเจ้าตัวคงจะดีใจถ้ายังมีคนที่จดจำเขาในวันนั้นได้

The post The Saint กาลครั้งหนึ่งของ… ไมเคิล โอเวน (อดีต) เด็กมหัศจรรย์ที่โลกลืม appeared first on THE STANDARD.

]]>
จาก VI สู่ AI เทรดเดอร์อัจฉริยะ https://thestandard.co/quant-vs-vi-ai-investing/ Sat, 13 Sep 2025 09:38:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1118974 quant-vs-vi-ai-investing

สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ AI ที่จะสามารถเ […]

The post จาก VI สู่ AI เทรดเดอร์อัจฉริยะ appeared first on THE STANDARD.

]]>
quant-vs-vi-ai-investing

สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ AI ที่จะสามารถเข้ามาแทนที่คนในธุรกิจต่าง ๆ พบว่า วงการเงินซึ่งรวมถึงธนาคาร การประกัน และหลักทรัพย์นั้น อยู่ในระดับสูงมากถึงระดับ 50% ไปแล้ว โดยที่ธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการบริหารทรัพย์สินและการลงทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 40%

 

การลงทุนและการเทรดหลักทรัพย์ของผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก ในปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าทำโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์น่าจะมากกว่า 50% ไปแล้ว บางแห่งอาจจะสูงเป็นกว่า 90% ไปแล้วก็ได้ เพราะแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยเอง โปรแกรมเทรดดิ้งกลายเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละวัน คือเทรดมากกว่ากลุ่มอื่นทั้งหมด ว่าที่จริงในตลาดอย่างในสหรัฐนั้น 

 

ผมเชื่อว่าคนที่ซื้อขายในตลาดส่วนใหญ่กลายเป็น “เครื่องจักร” หรือหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่นี้เป็นหลัก โดยเครื่องจักรที่ว่าก็คือคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็น AI ที่คิดแทนคนในการตัดสินใจสั่งซื้อ-สั่งขาย

 

หลักคิดหรือกลยุทธ์ในการลงทุนในยุคที่คอมพิวเตอร์และ AI มีบทบาทนำในปัจจุบันนั้น ก็เป็นการลงทุนหรือการเทรดหลักทรัพย์ที่เน้นความรวดเร็วและออกแนวเก็งกำไรเป็นหลัก และแนวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากก็คือสิ่งที่เรียกว่า “Quant” หรือการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลัก

 

พวก Quant ก็คือคนที่ประยุกต์สถิติทางคณิตศาสตร์ระดับสูง กับตัวเลขในตลาดการเงินโดยใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์และ AI เข้าไปคำนวณเพื่อมองหารูปแบบและแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ โดยที่โปรแกรมจะถูกออกแบบมาให้ทำการซื้อ-ขายอย่างอัตโนมัติตามกลยุทธ์ที่จะทำให้สามารถทำกำไรได้

 

ความสำเร็จและการขยายตัวของพวก Quant นั้น ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และถึงวันนี้น่าจะเป็น “กระแสหลัก” ไปแล้ว และแน่นอนว่า เหนือกว่าการลงทุนแบบ “VI” ที่เคยโดดเด่นและดังมานานอานิสงส์จากการสนับสนุนและรับรองโดย วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนมือหนึ่งของโลกที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมโดยมีผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 20% ติดต่อกันประมาณ 70 ปี

 

ความสำเร็จและความนิยมของ Quant นั้น ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คงมาจากตัวนักลงทุนที่เป็นผู้นำเช่นกัน ซึ่งก็คือ Jim Simons ผู้บริหารของ Renaissance Technologies ซึ่งบริหารกองทุนหลักคือ “Medallion Fund” ตั้งแต่ปี 1988-2018 เป็นเวลา 30 ปีและได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึง 66% ต่อปี และถ้าหักค่าธรรมเนียมค่าบริหารก็ยังให้ผลตอบแทนถึงปีละ 39% เหนือกว่าผลตอบแทนของบัฟเฟตต์มาก และกลายเป็นสถิติโลกที่ไม่มีใครทำได้ ส่วนตัวของจิม ไซม่อนเองซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีก่อนที่อายุ 86 ปี ก็ร่ำรวยติดอันดับโลก ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 30 พันล้านเหรียญหรือ 1 ล้านล้านบาทในวันที่เขาตาย

 

ที่มาของการลงทุนแบบ Quant เองนั้น ก็มีอะไรคล้ายคลึงกับการลงทุนแบบ VI ในแง่ที่ว่าทั้งคู่มี “บิดา” หรือผู้ให้กำเนิดแนวคิดที่สามารถสร้างผลงานการลงทุนแบบใหม่ที่เหนือกว่าได้ ในกรณีของ VI ก็คือเบน เกรแฮม ในช่วงประมาณปี 1934 หลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่หุ้นตกลงมาและมีราคาถูกมาก

 

Quant นั้น คนที่น่าจะเป็น “บิดา” ก็คือ Edward O Thorp ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่หันไปศึกษาเรื่องการพนันในบ่อนและการลงทุนใน “ตลาดการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” หรือตลาดหุ้น โดยวัตถุประสงค์ก็คือการพิสูจน์ว่าเราสามารถเอาชนะในเกมนี้ได้โดยอาศัยการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์และสถิติ

 

เริ่มแรก เขาเข้าไปเล่นไพ่แบล็กแจ็กหรือไพ่ 21 ในคาสิโนโดยการคิด “สูตร” ตามสถิติและคณิตศาสตร์และกำหนดวิธีการเล่นโดยการ “นับไพ่” และการกำหนด “เม็ดเงินพนันในแต่ละรอบ” ที่ทำให้เขา “ได้เปรียบ” ทางสถิติ ซึ่งผลก็คือ เขาก็สามารถทำเงินได้กำไรจากบ่อนเป็นประจำจนทำให้คาสิโนต่างก็ปฏิเสธไม่ให้เขาเล่น เขาเขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ในชื่อ “Beat the Dealer” หรือ “เอาชนะบ่อน” ในปี 1964 ซึ่งดังมาก เพราะไม่มีใครเคยคิดว่านักพนันจะชนะบ่อนได้

 

ต่อมา เขาเปลี่ยนไปเล่นหุ้นหรือซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด โดยการใช้สูตรคณิตศาสตร์และเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณหามูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นอนุพันธ์เช่น วอร์แรนต์และออปชันที่มีหลักทรัพย์แม่ที่มีราคาตลาดอยู่แล้ว เขาจะซื้อ-ขายหลักทรัพย์โดยมีกลยุทธ์ที่จะเฮดจ์ความเสี่ยงที่หุ้นจะขึ้นหรือลงโดยการซื้อหุ้นในด้านหนึ่ง และขายชอร์ตหุ้นตัวเดียวกันเมื่อออปชันของหุ้นตัวนั้นมีราคาที่ผิดเพี้ยนไปจากสูตรที่เขาคำนวณได้มากพอ ด้วยการทำแบบนั้น เขาก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่จะได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยในการเทรดแต่ละครั้ง แต่เมื่อเทรดหุ้นมาก กำไรก็จะเป็นกอบเป็นกำ และทั้งหมดนั้นเขาก็เขียนไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ “Beat the Market” หรือเอาชนะตลาดในปี 1967

 

ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นของเขาในช่วง 20 ปี ตั้งแต่ปี 1969-1988 คือ บวก 19.1% ต่อปีแบบทบต้น และไม่มีปีไหนที่ขาดทุนเลย เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ 10 2% และติดลบไป 4 ปี ความมั่งคั่งของเขาก็ “รวย” ระดับเศรษฐี แม้อาจจะไม่ใช่มหาเศรษฐี เขาเลิกจากการลงทุนและกลับไปใช้ชีวิตที่เขาชอบ นั่นก็คือ การเป็นนักวิชาการ ซึ่งนั่นก็คงคล้าย ๆ กับเบน เกรแฮมที่มีธรรมชาติเป็นนักคิดมากกว่าการหาเงินจากการลงทุนมาก ๆ

 

โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างระหว่าง VI กับการเทรดหุ้นหรือลงทุนแบบ Quant ก็คือ คนที่เป็น VI นั้น จะเป็นคนที่เน้นพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นหรือหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมองหรือวิเคราะห์ธุรกิจในระยะยาว เสร็จแล้วก็ต้องดูว่าผลประกอบการในระยะยาวจะคุ้มกับราคาหุ้นหรือไม่ ดังนั้น คนที่จะเป็น VI จะต้องรอบรู้ในศิลปะต่าง ๆ ที่หลากหลายมากรวมถึงเรื่องทางธุรกิจที่ทุกบริษัทจะต้องแข่งขันกัน

 

พวก Quant นั้น ต้องใช้ข้อมูลตัวเลขในการคำนวณดูความเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาสถิติและความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วถือโอกาสซื้อ-ขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว คนที่เป็น Quant จึงมักจะเป็นคนที่รู้เรื่องของตัวเลข การคำนวณและเป็นคนเก่งทางด้านโค้ดดิ้ง โดยที่แทบจะไม่ต้องรู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นเป็นบริษัทที่ทำอะไร

 

“บิดา” ของ Quant คือ Ed Thorp นั้น เป็นนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เช่นเดียวกับ Jim Simons ก็เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และเคยเป็นนักถอดรหัสโค้ดในช่วงสงครามเย็น นอกจากนั้น เฮดจ์ฟันด์ดัง ๆ ส่วนใหญ่เวลาจ้างพนักงานก็มักจะไม่จ้างนักการเงินแต่จ้างนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ วิศวกร หรือแม้แต่นักดาราศาสตร์มาบริหารกองทุน ถ้าจะพูดไป คนเหล่านี้จำนวนมากเป็นคน “อัจฉริยะ” IQ ระดับ 130-140 น่าจะเป็นเรื่องปกติ ผมเองรู้จักเด็กหนุ่มสาวคนไทยที่ทำงานให้กับกองทุนเหล่านี้ที่ไม่ได้จบทางด้านการเงินการลงทุน แต่เป็นเด็กทุนระดับ Top ของประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก

 

ผลงานของ VI นั้น มองในระยะยาวแล้วก็ค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะถ้าเป็นระดับ “เซียน” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่ยอมรับของสังคมการลงทุน เหตุผลอาจจะเป็นว่าคนรู้ว่ากองทุนอย่าง ARK Invest ของป้าเคที่วูด หรือบริษัทอย่างเบิร์กไชร์นั้น “รวยยังไง” ถือหุ้นอะไรบ้าง

 

ในกรณีของ Quant นั้น เกมก็คือการทำกำไรแต่ละครั้งจะน้อย ๆ และมีการป้องกันความเสี่ยงได้ดี ไม่มีการขาดทุนเพราะทุกเทรดทำด้วยโปรแกรมที่คำนวณถึงโอกาสขาดทุนไว้แล้ว วิธีทำกำไรให้มากก็คือการเทรดให้มากด้วยต้นทุนที่ต่ำ เช่น ค่าธรรมเนียมน้อยมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะใกล้ 0 ดังนั้น Quant จำนวนมากในช่วงเวลานี้จึงอาจจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากโลกของการเทรดหลักทรัพย์พัฒนาไปมาก ต้นทุนการดำเนินการลดลงมาก เช่นเดียวกับโปรแกรมหรือโค้ดก็อาจจะทำได้เร็วและถูก อานิสงส์จากความก้าวหน้าของ AI

 

อย่างไรก็ตาม ผลงานของ Quant ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนัก เพราะกองทุนมักจะเสนอให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่จำนวนจำกัดที่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน สิ่งที่พอรู้นอกจากผลงานของ Jim Simons ในกองทุน Medallion Fund ซึ่งไม่ได้เปิดให้กับประชาชนทั่วไปที่โดดเด่นมากแล้ว ผลงานกองทุนอื่น ๆ ของ Jim Simons เองก็อยู่ในระดับประมาณปีละ 8-12% แบบทบต้นเท่านั้น และน่าจะไม่ต่างจากผลงานในกลุ่ม VI ทั่วไปมากนัก

 

สุดท้ายก็คือ เราในฐานะของนักลงทุน ควรจะเลือกแนวทางไหนในการลงทุน ควรจะเป็นแนว VI หรือเชื่อในแนว Quant.

 

โดยส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าคนที่จะเป็นนักลงทุนแนว Quant นั้น จะต้องมีความรู้ความสามารถทางตัวเลขและวิทยาศาสตร์สูง หรือเป็นพวก “อัจฉริยะ” คนที่รู้แต่วิธีใช้โปรแกรมเทรดหุ้นนั้นยากที่จะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน เพราะโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จนั้น พอใช้ไปสักระยะก็มักจะใช้ไม่ได้ต่อไป คนที่จะชนะคงต้องเป็นคนที่สามารถดัดแปลงโปรแกรมไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าของเดิมเริ่มใช้ไม่ได้แล้ว

 

ด้วยการพัฒนาของ AI ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมเองคิดว่ามีความเสี่ยงมากสำหรับคนที่ลงทุนระยะสั้นหรือเทรดหุ้นที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดได้ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหนรวมถึง VI ดังนั้น ผมคิดว่าน่าจะยังเหลือแค่ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในตลาดนั่นก็คือ การ “ลงทุนระยะยาวจริง ๆ” ที่ AI ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ดีกว่าคนที่ยังมี “จินตนาการ” มากกว่า

 

ภาพ: Andriy Onufriyenko / Getty images

The post จาก VI สู่ AI เทรดเดอร์อัจฉริยะ appeared first on THE STANDARD.

]]>