Opinion – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 28 Nov 2024 07:15:50 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 4 ‘ทวิสต์ & ทรัมป์’ สำหรับปี 2025 https://thestandard.co/4-twists-and-trump-2025/ Thu, 28 Nov 2024 07:15:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1013831

ในช่วงที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับนักวิเคราะห์และ […]

The post 4 ‘ทวิสต์ & ทรัมป์’ สำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วงที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับนักวิเคราะห์และนักลงทุนจากหลากหลายประเทศ รวมทั้งผู้ทำนโยบายที่เคยรับมือกับทรัมป์ 1.0 แต่ยังไม่มีโอกาสตกตะกอนความคิด จนไม่นานมานี้ จึงอยากจะฝากข้อสังเกต 4 ประการเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาและสงครามการค้าต่างๆ ที่คิดว่าธุรกิจ นักลงทุน และผู้วางนโยบาย ควรจะเตรียมรับมือในปีหน้าครับ

 

1. คนทำดีลไม่ใช่คนทำนโยบาย (Deal Maker > Policy Maker)

 

ในปีหน้า โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผู้วางนโยบายที่สำคัญและมีผลกระทบต่อทั้งโลกมากที่สุด แต่ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองสหรัฐฯ และอดีตผู้นำประเทศที่เคยเจรจากับเขา ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทรัมป์คือนักเจรจา/นักทำดีล ไม่ใช่นักทำนโยบาย ซึ่งแปลว่านโยบายที่ประกาศออกมานั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอ ขึ้นอยู่กับดีลที่เขาอยากได้ และหลายมาตรการก็ทำขึ้นเพื่อเปิดโต๊ะเจรจาสร้างอำนาจต่อรองให้ตนเอง ถ้าอยากจะอ่านเกมให้ขาดต้องช่วยกันเดาว่าเขาต้องการดีลอะไร ไม่ใช่เพียงวิเคราะห์จุดยืนและหลักการของแต่ละนโยบาย

 

ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่านโยบายของทรัมป์จะไม่ดุดัน ตรงกันข้าม นักเจรจาต่อรองย่อมรู้ดีว่าการเจรจาต้องเริ่มจากการออกมาตรการ ‘ไม้แข็ง’ ที่เฟียร์ซมาก่อน เพื่อให้ฝั่งตนเองได้เปรียบและทุบโต๊ะให้คนรีบมาที่โต๊ะเจรจา ดังนั้นสงครามการค้าปีหน้าน่าจะดุดันเป็นพิเศษ

 

2. ทรัมป์ 2.0 อาจไม่เหมือนทรัมป์ 1.0

 

ผู้ที่ติดตามการเมืองหลายประเทศจะชอบเตือนคล้ายๆ กันว่าอย่าประมาทไปคิดว่าผู้นำในเทอมที่ 2 จะคล้ายๆ กับเทอมที่ 1 แม้สไตล์จะคล้ายกัน แต่บริบทที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนคนเดียวกันเป็นผู้นำที่ต่างกันมากใน 2 ยุค

 

แน่นอนว่าจุดเด่นของทรัมป์คือการที่คาดเดาได้ยากไม่ว่าจะเป็นยุคไหน แต่สิ่งที่เราพอรู้แล้ววันนี้คืออย่างน้อย

 

  • รอบนี้เขามีประสบการณ์การเป็นผู้นำรัฐบาลสหรัฐฯ มาแล้ว
  • รอบนี้เขามีทั้งสภาล่างและสภาสูงอยู่ในมือ ทำให้ผลักดันมาตรการต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น
  • นี่จะเป็นเทอมสุดท้ายของเขา โอกาสสุดท้ายที่ ‘เช็กบิล’ และไว้ลายให้โลกจำ

 

ทั้งหมดนี้ชี้ไปว่าสงครามการค้าอาจเข้มข้นกว่ายุคก่อน และมีผลกระทบกับประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย อย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

  • ทางตรงที่ 1: หากสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีใส่ทุกประเทศดังที่เคยประกาศไว้ ก็จะโดนกระทบเต็มๆ
  • ทางตรงที่ 2: หากมีการตั้งกำแพงภาษีปิดช่องทางสินค้าของบริษัทจีนที่มาตั้งโรงงานในไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ด้วย ก็จะทำให้การส่งออกจากไทยโดนหางเลขไปด้วย

 

  • ทางอ้อมที่ 1: หากกำแพงภาษีใส่จีนบีบให้จีนต้องระบายสินค้ามาที่อาเซียนและไทยมากขึ้น สินค้าราคาถูกจะทะลักเข้ามามากขึ้น
  • ทางอ้อมที่ 2: หากจีนตอบโต้กำแพงภาษีด้วยการปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนลง (ดังที่ทำในอดีต) ทำให้เกิดการแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดอื่น
  • ทางอ้อมที่ 3: ความไม่แน่นอนทางการค้าโลกทำให้ธุรกิจทั่วโลกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ฉุดการค้าโลกตั้งแต่ก่อนมาตรการออกมา (Goldman Sachs พบว่าช่องทางนี้มีอิมแพ็กต์สูงมากในยุโรปยุคทรัมป์ 1.0)

 

ทั้งหมดนี้แปลว่าแรงกระแทกจากสงครามการค้าอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนมาตรการเกิดขึ้น และกระทบการส่งออกไทยได้แม้ไม่ได้โดนตรงๆ

 

3. อยากได้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า แต่ใช้นโยบายดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า

 

อีกความย้อนแย้งก็คือทรัมป์ชอบพูดว่าอยากได้เงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง แต่ชุดนโยบายของเขานั้นล้วนนำไปสู่การทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เช่น

 

  • นโยบายกำแพงภาษีสูง ลดการนำเข้า
  • ทำเงินเฟ้อสูงขึ้น (จากลดคนเข้าเมือง+ลดนำเข้า) อาจทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้น้อยลงกว่าที่คาด
  • ทำให้ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะยุโรปอ่อนแอลง ส่งผลให้เงินยูโรอ่อน (เวลายูโรอ่อนค่า ดอลลาร์มักแข็งค่า)

 

ดังนั้นนอกจากจะมีสงครามการค้าแล้ว ความย้อนแย้งนี้อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินเพิ่มไปอีก

 

4. อยากทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่ แต่นโยบายอาจกลับทำให้อาเซียนยิ่งใหญ่ขึ้น

 

ดังธีมในหนังสือ Twists and Turns ที่ว่าในทุก ‘ทวิสต์’ ย่อมมีโอกาส ‘เทิร์น’ สงครามการค้า 2.0 ที่ดุดันในปีหน้าอาจส่งผลบวกกับอินเดีย อาเซียน และเศรษฐกิจไทย ในระยะยาว โดยทำให้การเคลื่อนย้ายการลงทุนของธุรกิจข้ามชาติจากจีนมาที่เอเชียตอนใต้ที่เกิดขึ้นแล้วใน 3-4 ปีที่ผ่านมานั้นเร่งตัวขึ้นกว่าเดิม

 

นอกจากนี้ ต่อไปเราอาจเห็นการเคลื่อนย้ายไม่เพียงเงินทุน แต่รวมไปถึง Talent หรือหัวกะทิ มาทำงานในภูมิภาคมากขึ้น และผู้ประกอบการเก่งๆ อาจมาสร้างธุรกิจ สร้างงานใหม่ๆ ในตลาดนี้มากขึ้น

 

โดยประเทศที่เป็น ‘ตาอยู่’ ได้ประโยชน์มากหน่อยก็คือกลุ่มประเทศในอาเซียนรวมทั้งไทยด้วย (Pivot to ASEAN) แต่จะได้ประโยชน์มากน้อยก็คงขึ้นอยู่กับว่าไทยเราพร้อมที่จะตักตวงประโยชน์จากกระแสนี้อย่างเต็มที่แค่ไหน โรงงานที่มาจะใช้ไทยเป็นแค่ ‘เปลือกห่อ’ สินค้าส่งออกไปยังประเทศตะวันตก หรือจะมาพร้อม ‘แก่น’ คือความรู้และเทคโนโลยีที่ไทยเอามาใช้พัฒนาคนและต่อยอดได้

 

ทั้ง 4 ทวิสต์ในยุคทรัมป์ 2.0 ชี้ไปในทางเดียวกันว่าสถานการณ์โลกและอาเซียนอาจเป็นเหมือนตัว J คือจะแย่ลงก่อนในปีหน้าร้าย (อาจ) กลายเป็นดีในระยะยาวหากรู้จักฉกฉวยโอกาส

 

หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์กับการคิดถึงแผนปีหน้ากันครับ

 

ภาพ: Andriy Onufriyenko / Getty Images

อ้างอิง:

The post 4 ‘ทวิสต์ & ทรัมป์’ สำหรับปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Arcane Season 2 ไม่ใช่แค่แอนิเมชันจากเกมที่ดี แต่คืองานที่ทำให้หลงรักตัวละคร https://thestandard.co/opinion-arcane-season-2/ Wed, 27 Nov 2024 09:00:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1013377

ปี 2024 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่คอเกมทั่วโลกได้ชมภาพยนตร์แล […]

The post Arcane Season 2 ไม่ใช่แค่แอนิเมชันจากเกมที่ดี แต่คืองานที่ทำให้หลงรักตัวละคร appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปี 2024 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่คอเกมทั่วโลกได้ชมภาพยนตร์และซีรีส์ที่ดัดแปลงจากวิดีโอเกมชื่อดังกันอย่างเต็มอิ่ม ไม่ว่าจะเป็น Borderlands ที่ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง Cate Blanchett, Kevin Hart, Jamie Lee Curtis และ Jack Black มาร่วมรับบทนำ, Knuckles ซีรีส์ภาคแยกจากภาพยนตร์ชุด Sonic the Hedgehog, Fallout ซีรีส์แนวโลกล่มสลาย ดัดแปลงจากแฟรนไชส์วิดีโอเกมในชื่อเดียวกันที่ได้เสียงวิจารณ์ที่ดีจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม 

 

ในที่สุดก็มาถึงคิวของ Arcane Season 2 ซีรีส์แอนิเมชันดัดแปลงจากเกมยอดฮิตอย่าง League of Legends จากค่าย Riot Games ที่จะพาผู้ชมไปติดตามบทสรุปของสองพี่น้องต่างขั้วและเหล่าตัวละครที่ทุกคนหลงรัก หลังจากซีซันแรกสามารถคว้าใจนักวิจารณ์และผู้ชมไปได้อย่างอยู่หมัด พร้อมกับคว้ารางวัล Emmy Awards สาขา Outstanding Animated Program มาได้สำเร็จ โดยในซีซันสุดท้ายยังคงได้ Christian Linke และ Alex Yee กลับมาดูแลในตำแหน่งผู้สร้างและเขียนบทร่วม พร้อมทีมแอนิเมเตอร์จาก Fortiche Production มารับหน้าที่สร้างสรรค์งานภาพสุดบ้าคลั่งเช่นเดิม 

 

 

ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เล่นเกม League of Legends มาบ้าง เคยหยิบสองตัวละครหลักของซีรีส์อย่าง Vi และ Jinx มาลองเล่นอยู่บางครั้ง แต่ก็ห่างหายจากเกมนี้ไปนานหลายปี (น่าจะก่อนที่ Riot Games เปิดตัวเกิร์ลกรุ๊ป K/DA) เราจึงขอวางตัวเองเป็นหนึ่งในผู้ชมทั่วไปที่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของตัวละครและโลก Runeterra จากเกมต้นฉบับมาก่อน

 

ซึ่งจุดเด่นสำคัญที่ซีรีส์ Arcane นำเสนอได้ดีและแข็งแรงมาตั้งแต่ซีซันแรก คือความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครหลักที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด ทั้งความสัมพันธ์พี่น้องที่ทั้งรักทั้งชังของ Vi (Hailee Steinfeld) และ Jinx (Ella Purnell) การพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนยอมรับในความสามารถของ Caitlyn (Katie Leung) ความมุ่งมั่นในการพัฒนา Hextech ที่รายล้อมไปด้วยเกมการเมืองของสองคู่หูนักประดิษฐ์ Jayce (Kevin Alejandro) และ Viktor (Harry Lloyd) ฯลฯ 

 

เรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครที่เข้าถึงผู้ชมได้ไม่ยากเหล่านี้ จึงทำหน้าที่จูงมือผู้ชมก้าวเข้าสู่อาณาจักร Piltover, Zaun และโลก Runeterra ทีละก้าว จนเราไม่อาจถอนตัวกลับและอยากจะสำรวจโลกที่ตัวละครเหล่านี้อาศัยอยู่ให้มากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นแฟนเกมต้นฉบับมาก่อนก็ตาม

 

 

มาถึงซีซันสุดท้าย ความสัมพันธ์ของตัวละครยังคงเป็นแกนหลักสำคัญที่ถูกนำเสนอได้น่าสนใจเช่นเดิม แต่คราวนี้เราจะได้ถลำลึกลงไปสำรวจชีวิตและความรู้สึกของพวกเขาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ทั้ง Jinx ที่ตอนแรกเธอมีเพียง Silco (Jason Spisak) ที่เชื่อมั่นและโอบรับตัวตนของเธอทั้งหมด แต่ตอนนี้เธอกลับกลายเป็น ‘สัญลักษณ์’ ที่มอบความกล้าและความหวังแก่ผู้คนชาว Zaun ในการต่อสู้กับชาว Piltover รวมถึงการได้เจอกับ Isha (Lucy Lowe) ที่ทำให้เธอเผยแง่มุม ‘อ่อนโยน’ ให้เราเห็น ซึ่งเชื่อว่าแม้แต่เธอเองก็คงคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีมุมนี้เช่นกัน 

 

Caitlyn จากเดิมที่เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่หลังจากเผชิญหน้ากับความสูญเสีย เธอกลับถูกความแค้นครอบงำจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หรือ Viktor ที่พยายามค้นหาวิธีรักษาโรคร้ายของตนเอง จนได้มาพบหนทางหยุดยั้งทุกความขัดแย้งและเปลี่ยนให้เขากลายเป็นเหมือนพระเจ้า 

 

 

ขณะเดียวกัน เราก็ได้ทำความรู้จักแง่มุมของตัวละครอื่นๆ ที่ซีซันแรกไม่ได้เผยให้เราเห็นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Ekko (Reed Shannon) พ่อหนุ่มนักประดิษฐ์ที่พยายามหาทางช่วยเหลือผู้คนในชุมชนเล็กๆ จนเหตุการณ์ต่างๆ พาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ Jinx ผ่านอีกจักรวาลหนึ่งที่ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องหันอาวุธเข้าหากัน รวมถึง Heimerdinger (Mick Wingert) หลังจากที่ถูกขับออกจากตำแหน่งสมาชิกสภา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสนุกสนานอีกครั้ง โดยไม่ต้องระแวดระวังเรื่องเกมการเมืองอย่างที่เคย (เราจึงไม่แปลกใจนักที่เขาตัดสินใจเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือ Ekko) 

 

ส่วนตัวละครที่มีความเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดเห็นจะเป็น Vi แม้ชีวิตของเธอจะเป๋ หลงทิศทางไปบ้างในบางคราว แต่เธอก็ยังคงยึดมั่นในสิ่งที่เธอเชื่อ แม้ Jinx จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เธอก็ยังเชื่อว่าน้องสาวในวัยเด็กยังคงอยู่ในตัวของ Jinx และพร้อมจะปกป้องน้องสาวของตัวเองเสมอ หรือ Caitlyn ที่แม้สถานการณ์มากมายจะบีบบังคับให้ทั้งคู่ผิดใจกัน แต่ท้ายที่สุด Caitlyn ก็ยังคงเป็น Cupcake ของ Vi ที่เธอพร้อมจะคอยยืนเคียงข้าง รวมถึง Vander (JB Blanc) ที่ไม่ว่าร่างกายของเขาจะเปลี่ยนไปขนาดไหน เขาก็ยังคงเป็นพ่อที่เธอรักไม่เปลี่ยนแปลง 

 

ซึ่งทุกการกระทำของ Vi ก็สะท้อนให้เราเห็นว่าเธอยังคงยึดมั่นและทำตามคำพูดสุดท้ายของ Vander ผู้เป็นพ่อที่กล่าวกับเธอว่า 

 

“เธอมีจิตใจที่ดี อย่าเสียมันไป ไม่ว่าโลกจะทำร้ายเธอแค่ไหน ปกป้องครอบครัวด้วย”

 

 

ซึ่งนอกจากงานภาพที่ทั้งงดงามและบ้าคลั่ง Arcane ยังมาพร้อมกับท่วงท่าการเล่าเรื่องอันแพรวพราวที่ช่วยผลักดันให้เรื่องราวของตัวละครทรงพลังและเข้าถึงใจผู้ชมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดนตรีและเพลงประกอบที่เข้ามาช่วยกำหนดจังหวะและปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชม การออกแบบมุมกล้องที่หลากหลาย โดยเฉพาะตอนที่ 9 กับฉากการปรากฏตัวของ Ekko ที่ทำให้เราเผลอคิดว่าเขาคือพระเอกของเรื่อง ไปจนถึงการลำดับเรื่องราวในแต่ละองก์ที่เลือกปกปิด-เปิดเผยปมปัญหาต่างๆ อย่างถูกที่ถูกเวลา

 

 

ไม่น่าเชื่อว่าซีรีส์แอนิเมชันความยาว 2 ซีซัน 18 ตอน และยังอัดแน่นไปด้วยตัวละครที่น่าจดจำมากมาย จะทำให้เราผูกพันและหลงรักพวกเขาอย่างหมดใจได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราทุกคนต่างมีบางพาร์ตในชีวิตที่เชื่อมโยงกับตัวละครเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย 

 

บางคนอาจเคยพยายามทำทุกอย่างให้ดี แต่ก็มักจะผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง จนถูกคนรอบข้างปฏิเสธคล้ายกับ Jinx บางคนอาจเคยต้องเผชิญกับการสูญเสียและยังต้องพยายามแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่ภายในกลับแหลกสลายและต้องการอ้อมกอดจากใครบางคนแบบเดียวกับ Caitlyn บางคนอาจเคยวาดฝันถึงชีวิตของตัวเองในอีกจักรวาลหนึ่งที่ทุกอย่างดูจะเป็นไปอย่างที่หวัง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้งเช่นเดียวกับ Ekko หรือบางคนอาจเคยมุ่งมั่นตั้งใจและทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อสร้างสรรค์บางสิ่งขึ้นมาให้สำเร็จ แต่ในท้ายที่สุดผลลัพธ์ของมันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราตั้งใจแบบเดียวกับ Jayce ฯลฯ

 

มองอีกมุมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า Arcane ไม่ได้เป็นแค่ซีรีส์ดัดแปลงจากเกมที่มีงานภาพเปี่ยมจินตนาการและฉากแอ็กชันสุดบ้าคลั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันเรื่องเยี่ยมที่กำลังสะกิดบอกกับผู้ชมผ่านเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ว่า เราต่างมีบาดแผลมากมายที่ไม่อาจลบออกไปจากจิตใจได้ บางแผลเกิดจากฝีมือของเราเอง บางแผลก็เกิดจากโลกสีเทาๆ ที่คอยโบยตีเราอย่างไร้ปรานี จนหลายครั้งมันก็ทำให้เราไขว้เขวและหลงทาง และสิ่งที่เราพอจะทำได้เพื่อเยียวยาบาดแผลเหล่านั้นคงเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

 

และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอจงอย่าสูญเสีย ‘จิตใจที่ดี’ ไป 

 

สามารถรับชมซีรีส์ Arcane ทั้งสองซีซันได้แล้ววันนี้ทาง Netflix

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: www.youtube.com/watch?v=X7JUhmNpJtw&t=2s 

 

 

ภาพ: Netflix

The post Arcane Season 2 ไม่ใช่แค่แอนิเมชันจากเกมที่ดี แต่คืองานที่ทำให้หลงรักตัวละคร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำร้ายตัวเองไม่ใช่เรื่องตลก! บางทีเป๊ปควรคิดเรื่องการพักเยียวยาจิตใจ หลังตอบสื่อ “ผมแค่อยากทำร้ายตัวเอง” https://thestandard.co/opinion-pep-mental-health-comment/ Wed, 27 Nov 2024 03:00:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1013256

การทำร้ายตัวเองไม่ใช่เรื่องตลก!   บางที เป๊ป กวาร์ […]

The post ทำร้ายตัวเองไม่ใช่เรื่องตลก! บางทีเป๊ปควรคิดเรื่องการพักเยียวยาจิตใจ หลังตอบสื่อ “ผมแค่อยากทำร้ายตัวเอง” appeared first on THE STANDARD.

]]>

การทำร้ายตัวเองไม่ใช่เรื่องตลก!

 

  1. บางที เป๊ป กวาร์ดิโอลา อาจต้องทบทวนเรื่องการพักผ่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้ เช่นเดียวกับทีมบริหารที่ควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ภายหลังมีภาพของเป๊ปที่ใบหน้ามีรอยแผลตรงจมูกและรอยช้ำที่สังเกตได้ชัดบริเวณศีรษะ ระหว่างให้สัมภาษณ์หลังเกมที่พวกเขาทำได้เพียงเสมอกับเฟเยนูร์ด 3-3 ในเกม UCL เมื่อคืนนี้

 

ย้อนกลับไปในเกมดังกล่าว แมนฯ ซิตี้ ที่ต้องการดึงโมเมนตัมและพลังใจของผู้เล่นและแฟนบอลกลับมาจากเกมนัดนี้ ก่อนถึงคิวดวลลิเวอร์พูลช่วงสุดสัปดาห์นี้

 

พวกเขาเริ่มต้นได้ดี เล่นได้เหนือกว่าในครึ่งแรกจนถึงต้นครึ่งหลัง กับการครองสกอร์นำห่างคู่แข่ง 3-0 

 

ทว่า 15 นาทีสุดท้าย ทีมดังแห่งเอเรดิวิซีลีกที่หาทางแก้เกมด้วยการครองบอลหาช่องเข้าทำประตูอยู่พักใหญ่ มารัวสกอร์คืนได้ 3 ลูกรวด ชนิดที่ช็อกแฟนบอลในเอติฮัด หลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมพวกเขาทำได้เพียงเสมอ 3-3 และไร้ชัยมา 6 เกมติด

 

นักเตะและทีมสตาฟฟ์ทุกคนของแมนฯ ซิตี้ ต่างผิดหวังในผลสกอร์ที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับแฟนบอลที่ตอบสนองผลงานในสนามด้วยเสียงโห่หลังจบเกม

 

เรื่องนี้เป๊ปเองก็ได้ตอบสื่อและเข้าใจความรู้สึกของแฟนบอลดี

 

“เกมล่าสุดที่พบกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 0-4 พวกเขาอยู่ที่นั่น มันมีเสียงปรบมือ แน่นอนว่าพวกเขาผิดหวัง เราเข้าใจ! พวกเขา (แฟนบอล) ไม่ได้มาที่นี่เพื่อรำลึกความสำเร็จในอดีต พวกเขามาที่นี่วันนี้เพื่อดูทีมชนะและทำผลงานให้ดี ถ้าพวกเขาจะแสดงความรู้สึกนี้ออกมามันก็ถูกต้อง”

 

เรื่องนี้เป๊ปเองก็ผิดหวังเช่นกัน เพราะระหว่างเกมมีช่วงที่เขาหงุดหงิดกับฟอร์มการเล่นของลูกทีมมาก จนเผลอเอานิ้วเกาหน้าตัวเองอย่างแรงจนเป็นรอยแผลตรงจมูก

 

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อกลับเข้าห้องแต่งตัว (ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น) เขาเดินออกมานั่งตอบคำถามสื่อด้วยสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะบริเวณหัวของเขามีรอยแดงจ้ำๆ หลายจุดจนมองเห็นได้ชัด (คาดว่าเกิดจากการเกาด้วยความแรง)

 

“ผมเผลอเอานิ้ว (เล็บ) ไปโดนหน้า ผมอยากทำร้ายตัวเอง” เป๊ปพูดปิดท้ายและเดินออกจากห้องแถลงข่าวไป พร้อมเสียงไล่หลังจากนักข่าวที่แสดงความเป็นห่วง

 

ภาพที่ออกมาทำให้แฟนบอลเริ่มแสดงความเป็นห่วงสภาพจิตใจของเป๊ปเป็นอย่างมาก แม้เรื่องการแข่งขันในสนามจะสำคัญต่อคนหน้างาน แต่เรื่องของจิตใจก็เป็นอีกสิ่งที่พวกเขาไม่ควรละเลย

 

หลังเหตุการณ์นี้คงต้องตามต่อไปว่า แมนฯ ซิตี้ และตัวของเป๊ปเองที่เพิ่งขยายสัญญากันไปไม่นานนี้ จะร่วมกันหาวิธีแก้ปัญหาที่มากกว่าเรื่องในสนามอย่างไร เพราะวันนี้ปัญหาลามไปมีผลทางจิตใจแล้ว ซึ่งน่าเป็นห่วงพอสมควร โดยเฉพาะวันที่เขาเริ่มทำร้ายตัวเอง

 

บางทีอาจถึงเวลาที่เป๊ปต้องหยุดคิดเรื่องทีม…และหันมาให้ความสำคัญกับจิตใจของตัวเอง เพื่อให้กายและใจของเขาที่ทำงานหนักติดต่อกันมาหลายปีได้พักผ่อนบ้าง

 

It will be okay.

 

The post ทำร้ายตัวเองไม่ใช่เรื่องตลก! บางทีเป๊ปควรคิดเรื่องการพักเยียวยาจิตใจ หลังตอบสื่อ “ผมแค่อยากทำร้ายตัวเอง” appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trumponomics 2.0: สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ไทยจะโดนอะไร https://thestandard.co/trumponomics-2-0/ Tue, 26 Nov 2024 12:12:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1013128

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ สู่ทำเนียบขาวในปี 2025 กำลั […]

The post Trumponomics 2.0: สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ไทยจะโดนอะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ สู่ทำเนียบขาวในปี 2025 กำลังจะจุดชนวนสงครามการค้าครั้งใหญ่ที่จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยในช่วงที่ผ่านมา การแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจชุดใหม่อย่างรวดเร็วของทรัมป์สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยหลายฝ่ายมองว่ามีสามปัจจัยที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจโลก

 

  1. นโยบายแบบ ‘ทรัมป์’ ที่เน้นการปกป้องผลประโยชน์สหรัฐฯ: ในด้านบวก ทรัมป์ได้แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของ Tesla และ วิเวก รามาสวามี นักธุรกิจรุ่นใหม่ ให้นำทีมปฏิรูประบบราชการผ่านหน่วยงานใหม่ที่เรียกว่า DOGE พร้อมสัญญาว่าจะลดงบประมาณรัฐถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี AI แต่ในทางกลับกัน นโยบายที่น่ากังวลคือการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนถึง 60% และจากประเทศอื่นๆ 10-20% รวมถึงแผนเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายครั้งใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานและเงินเฟ้อพุ่งสูง

 

  1. อุปสรรคในทางปฏิบัติที่ต้องเผชิญ: แม้นโยบายจะฟังดูแข็งกร้าว แต่การนำไปปฏิบัติจริงอาจไม่ง่ายนัก การขึ้นภาษีนำเข้าต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งแม้แต่พรรครีพับลิกันเองก็อาจคัดค้าน ขณะที่การเนรเทศผู้อพยพจำนวนมากต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐต่างๆ ซึ่งหลายรัฐอาจปฏิเสธ

 

  1. ปัจจัยด้านบุคลิกภาพของทรัมป์: ทรัมป์เป็นที่รู้จักในเรื่องการตัดสินใจที่ไม่แน่นอนและการให้ความสำคัญกับตลาดหุ้น การดำเนินนโยบายจริงอาจแตกต่างจากที่ประกาศไว้ โดยเฉพาะหากส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน

 

แม้มีความเป็นไปได้ที่นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ยุค 2.0 จะทำได้ไม่เร็ว แต่ความเสี่ยงมีมาก โดยเฉพาะสงครามการค้า เมื่อสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% สูงกว่าประเทศอื่นที่จะถูกเก็บที่ 10-20% ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจทำให้การนำเข้าจากจีนอาจดิ่งลงถึง 85% หากมาตรการนี้มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ โดยในฝั่งของจีน หลายฝ่ายมองว่าจีนพร้อมจะตอบโต้ด้วยการปล่อยค่าเงินหยวนอ่อนค่า ท่ามกลางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวต่อเนื่องกว่า 3 ปี ทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจยอมให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเพื่อช่วยผู้ส่งออก ขณะที่หันไปเน้นการลงทุนในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น 9.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 เพื่อรองรับการส่งออกไปยังตลาดอื่นทดแทนสหรัฐฯ

 

เรามองว่าการที่เศรษฐกิจจีนซบเซาในประเทศ ประกอบกับตลาดสหรัฐฯ ที่กำลังจะปิดประตู ทำให้การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของจีนต้องมุ่งเป้าไปที่การส่งออกไปยังประเทศที่สามเช่นไทยมากขึ้น โดยหากพิจารณาจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยที่ขยายตัวดีที่ 3.0% แต่เมื่อพิจารณาไส้ในจะพบว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสขยายตัวดีนั้นมาจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวแรงตามการเบิกจ่ายงบประมาณที่เร่งขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสุทธิเป็นส่วนทำให้ GDP ขยายตัวชะลอจากไตรมาสก่อนจากการนำเข้าที่มากขึ้น โดยการนำเข้าสินค้าที่ขยายตัวดีนั้นส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก คอมพิวเตอร์ หม้อแปลงและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า บ่งชี้การตีตลาดของจีน ซึ่งจะมีมากขึ้นหากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น

 

ในภาพใหญ่ เราจับตาสินค้าต่างๆ ที่จะมีการทำสงครามการค้ารุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเพิ่มการส่งออกจาก 1 ล้านคันในปี 2018 เป็น 5 ล้านคันในปี 2024 ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ทำให้หลายประเทศเริ่มใช้มาตรการกีดกัน ทั้งสหรัฐฯ ที่เตรียมห้ามใช้ซอฟต์แวร์จีนในรถยนต์ ซึ่งเท่ากับห้ามนำเข้ารถยนต์จีนไปโดยปริยาย แคนาดาที่ตั้งกำแพงภาษี 100% และยุโรปที่กำลังถกเถียงเรื่องการเก็บภาษี 45% แต่เยอรมนีและฮังการีคัดค้านเพราะกลัวจีนตอบโต้ นอกจากนั้นบราซิล ชิลี และเม็กซิโก เพิ่มภาษีเหล็กนำเข้าจากจีน อินโดนีเซียที่ขู่เก็บภาษีสูงถึง 200% ในสินค้าบางหมวด เช่น เซรามิก สิ่งทอ และรองเท้า และมาเลเซียทบทวนมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กจากจีน

 

ในส่วนของไทย การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 19 ด้วยมูลค่า 3.28 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้ไทยเผชิญความท้าทายในประเด็นเครื่องกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) อย่างน้อย 3 ประการ คือ

 

  1. ปัจจุบันไทยยังคงถูกจัดอยู่ใน Watch List (WL) ในประเด็นการคุ้มครองและการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา โดยสหรัฐฯ กังวลในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ การจำหน่ายสินค้าปลอมแปลง ความล่าช้าในกระบวนการจดสิทธิบัตร และการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ อาจนำประเด็นเหล่านี้มาเล่นงานได้

 

  1. ไทยถูกจัดให้อยู่ในสถานะประเทศที่ต้องจับตาในเกณฑ์ประเทศผู้บิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) ของสหรัฐฯ โดยเกณฑ์ดังกล่าวมี 3 ข้อหลัก และประเทศที่ถูกจับตาต้องเข้าเงื่อนไขอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อ ซึ่งในปัจจุบันไทยเข้าเกณฑ์ 2 จาก 3 ข้อ คือมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 32,839 ล้านดอลลาร์ (เกินเกณฑ์ 20,000 ล้านดอลลาร์) และมีการสะสมทุนสำรองเพิ่มขึ้น 25,300 ล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือน (เกินเกณฑ์ 2% ของ GDP) ซึ่งหากเราถูกจัดให้เป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ไทยอาจถูกบังคับให้ปรับนโยบายการเงินตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่มาตรการกดดันทางการค้าและการลงทุนเพิ่มเติม และ

 

  1. สหรัฐฯ กดดันให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สาร Ractopamine ซึ่งหากเราต้องยอมตาม จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยที่ปัจจุบันมีเกษตรกรรายย่อยกว่า 180,000 ราย มีฟาร์มขนาดกลางถึงใหญ่อีก 20,000 ราย และจะทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ 15-20% ซึ่งสหรัฐฯ อาจใช้ประเด็นนี้เป็นเงื่อนไขในการเจรจาการค้า โดยขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าไทยหากไม่ยอมเปิดตลาด

 

ในส่วนคำแนะนำการลงทุน เรามองว่านักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศและมีลักษณะป้องกันความเสี่ยง (Defensive Growth) เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม การท่องเที่ยว โรงพยาบาล และค้าปลีก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

 

สำหรับหุ้นที่แนะนำสำหรับไตรมาส 1/25 มี 5 ตัว ดังนี้: ADVANC, AOT, BCH, CPALL และ HMPRO โดยจุดเด่นร่วมของหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ 1. เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ 2. มีลักษณะ Defensive Growth (เติบโตแต่มีความเสี่ยงต่ำ) 3. ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4. มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 5. มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดี

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังความเสี่ยงในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่อาจกลับมา ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องกลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น

 

โดยสรุป เรามองว่าปี 2025 อาจเป็นปีแห่งโอกาสและความท้าทาย ผู้ลงทุนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง

 

ขอให้นักลงทุนโชคดี

 

หมายเหตุ:

  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

อ้างอิง:

  • ‘CafeInvest’ แหล่งรวมข้อมูลการลงทุน และบทวิเคราะห์คุณภาพ โดย InnovestX: www.innovestX.co.th/cafeinvest
  • ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักลงทุนกับ InnovestX เปิดบัญชีลงทุน: https://innovestx.onelink.me/23if/u2qmpt6r
  • รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก: https://linktr.ee/InnovestX

The post Trumponomics 2.0: สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ไทยจะโดนอะไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปี 2025 ลูกค้าจะเริ่มล้า ขอหยุดพัก ธุรกิจและแบรนด์สินค้าจะทำอะไรได้บ้าง? https://thestandard.co/business-customer-engagement-2025/ Tue, 26 Nov 2024 11:00:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1013063 ธุรกิจ

ปี 2025 ลูกค้าจะมองหาอะไร?   เหนื่อยแล้ว…ที่ […]

The post ปี 2025 ลูกค้าจะเริ่มล้า ขอหยุดพัก ธุรกิจและแบรนด์สินค้าจะทำอะไรได้บ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธุรกิจ

ปี 2025 ลูกค้าจะมองหาอะไร?

 

เหนื่อยแล้ว…ที่ผ่านมาต้องวิ่งคว้า Milestone ปีหน้าขอเดินช้าลงเพื่อชื่นชม Minorstone หรือความสำเร็จเล็กๆ ในชีวิตบ้างได้ไหม

 

World Global Style Network หรือ WGSN ผู้นำด้านการวิเคราะห์เทรนด์ระดับโลก คาดการณ์อนาคตผู้บริโภคที่น่าจับตามองในช่วง 18-24 เดือนข้างหน้า โดย The Secret Sauce เลือกหยิบ 4 โปรไฟล์ผู้บริโภคจากรายงาน Future Consumer 2026 มาแบ่งปันให้คนทำแบรนด์และทำสินค้าอ่านใจลูกค้าออก เห็นภาพชัด นำอินไซต์ไปปรับใช้ได้ในทันที

 

🟡 The Gleamers – ผู้แสวงหาความสว่าง


ผู้บริโภคกลุ่มนี้เบื่อกับชีวิตที่เร่งรีบ ต้องการสร้างสมดุลให้กับชีวิตด้วยการเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ และเรียกมันว่า Minorstone เพราะมองว่านั่นคือ ‘แสงสว่าง’ ในชีวิตที่ควรหยิบมาเชยชมบ้าง พวกเขาหันมาให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของตนเองและสังคมรอบข้าง

 

ไอเดียสำหรับแบรนด์:

 

  • ร่วมฉลองความสำเร็จเล็กๆ ของลูกค้า
  • แสดงออกว่ารับรู้และเข้าใจถึงความเหนื่อยล้า
  • ส่งเสริม Well-being ของลูกค้าและชุมชน

 

🟡 The Autonomists – ผู้เป็นอิสระ

 

กลุ่มนี้มีความเป็นตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ อยากได้ผู้สนับสนุนมากกว่า พวกเขาปฏิเสธบรรทัดฐานแบบเดิมๆ ไม่ชอบทำตามขนบ แต่ก็ยังต้องการคอมมูนิตี้ให้พบปะกับคนที่คิดแบบเดียวกัน

 

แบรนด์สามารถสนับสนุนลูกค้าผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้โดย:

 

  • สื่อสารจริงใจ โปร่งใส และให้เกียรติ
  • เปิดพื้นที่ให้ได้แสดงออก
  • สนับสนุนตัวตนของลูกค้า ไม่ควบคุมหรือโน้มน้าวให้เปลี่ยน

 

🟡 The Imperialists – ผู้แสวงหาความจริง

 

สำหรับกลุ่มนี้ ‘ความจริง’ สำคัญที่สุด ไม่อยากฟังเรื่องเล่าที่สวยหรู แค่ต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสินค้า พวกเขาจะตรงๆ และพร้อมให้โอกาสแม้แบรนด์จะทำผิดพลาด ตราบใดที่แบรนด์กล้ายอมรับผิดและแสดงออกด้วยความจริงใจ

 

ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะชื่นชอบ:

 

  • การตลาดที่โปร่งใสและเน้นความจริง
  • ฉลากที่ให้ข้อมูลห่วงโซ่อุปทานโดยละเอียด
  • การสื่อสารที่ชัดเจน ตรงๆ ไม่ประดิษฐ์หรือบิดคำพูด

 

🟡 The Synergists – ผู้ประสานประโยชน์

 

กลุ่มนี้เปรียบเสมือน Cyborg รักในนวัตกรรม แต่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ เชื่อใน Human-First Technology เทคโนโลยีต้องเท่าเทียมและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

 

สิ่งที่แบรนด์ควรทำเพื่อมัดใจผู้บริโภคกลุ่มนี้:

 

  • ลงทุนใน R&D สร้างนวัตกรรมอย่างรับผิดชอบ
  • สื่อสารให้รู้ว่าแบรนด์ช่วยอะไรโลกบ้าง
  • ร่วมมือกับภาคส่วนที่หลากหลาย เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือจัดการกับปัญหาของโลก

The post ปี 2025 ลูกค้าจะเริ่มล้า ขอหยุดพัก ธุรกิจและแบรนด์สินค้าจะทำอะไรได้บ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN https://thestandard.co/opinion-long-us-long-mag7/ Mon, 25 Nov 2024 11:23:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1012611

ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตกเป็นของพรรครีพับลิกันและ […]

The post LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชัยชนะของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตกเป็นของพรรครีพับลิกันและ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช่แล้วครับ ทรัมป์…เขาคนนั้นจะกลับมาพร้อมกับระลอกใหม่ของสงครามการค้า กำแพงภาษี นโยบายแรงงาน และความผันผวนจากการโพสต์ผ่าน X 

 

ในบทความนี้ผมจึงอยากชวนคุยในประเด็นนโยบายของทรัมป์ เพื่อให้นักลงทุนเห็นถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 พร้อมกับการปรับพอร์ตสินทรัพย์การลงทุนกันครับ

 

นโยบายการคลังของทรัมป์เป็นไปได้สูงว่าจะยังคงดำเนินมาตรการคงหรือลดภาษีนิติบุคคลที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2017 หรือกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) และอาจปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 15% เพิ่มเติมอีกด้วย

 

‘นโยบายการค้า’ ของทรัมป์จะจัดเก็บภาษีนำเข้า 10-20% กับทุกประเทศทั่วโลก และภาษีนำเข้า 60% สำหรับสินค้าจากจีน

 

‘นโยบายแรงงาน’ ของทรัมป์ยังคงความชาตินิยมและสนับสนุน America First โดยจะกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการให้สัญชาติอเมริกัน 

 

‘นโยบายพลังงาน’ ของทรัมป์ จากความเชื่อในเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งอาจนำไปสู่การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซภายในสหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงแนวโน้มการยกเลิก Inflation Reduction Act (IRA) ของ โจ ไบเดน ที่โฟกัสพลังงานสะอาดหรือข้อตกลงปารีส

 

‘นโยบายการเงิน’ ของทรัมป์จะส่งเสริมสกุลเงินดิจิทัลในทุกด้าน ทั้งการทำให้สหรัฐฯ เป็น ‘เมืองหลวงของโลกด้าน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซี’ และข้อเสนอให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin 1 ล้าน BTC เพื่อเป็นสินทรัพย์สำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Reserves) รวมถึงประเด็นที่ทรัมป์เคยหาเสียงเอาไว้ว่าอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบัน หรือเปลี่ยนตัว เจอโรม พาวเวลล์

 

‘นโยบายด้านความมั่นคง’ ของทรัมป์แสดงจุดยืนชัดเจนเรื่องสันติ ซึ่งอาจนำไปสู่การสนับสนุนให้มีการเจรจายุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และโน้มน้าวอิสราเอลให้สงบศึกกับฮามาส

 

นโยบายอื่นๆ ของทรัมป์ เช่น สนับสนุนสิทธิในการพกอาวุธ การไม่ลงนามในกฎหมายห้ามทำแท้ง และแต่ละรัฐควรกำหนดนโยบายการทำแท้งของตนเอง 

 

ผลกระทบต่อการลงทุนที่ผมมองเห็นอย่างชัดเจนมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่

 

ประการที่ 1 คือ กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์จะเติบโตต่อ จากมาตรการช่วยเหลือการลดภาษีนิติบุคคลและการขึ้นกำแพงภาษีกับประเทศอื่นๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ โดยตลาดคาดการณ์ว่าทุกการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง 1% กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Russell 2000 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.0-1.5% รวมถึง S&P 500 และ Nasdaq ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.4-1.0%

 

ประการที่ 2 คือ น้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดหมีในขณะที่เงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้ ทั้งการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันกำลังการผลิตหรืออุปทานของน้ำมันโลกก็เยอะมากอยู่แล้ว รวมไปถึงการเจรจาเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ หากสำเร็จราคาน้ำมันดิบคงไม่สวยแน่สำหรับปี 2025

 

ประการที่ 3 คือ ความผันผวนคือสิ่งที่แน่นอนในปี 2025 แม้ราคาน้ำมันดิบจะลดลง แต่นั่นไม่อาจทำให้เงินเฟ้อลดลงตาม เพราะราคาสินค้าและบริการจะแพงขึ้นทั่วโลก รวมถึงมาตรการแรงงานที่เน้นคนอเมริกัน เราอาจจะเห็นเงินเฟ้อจากที่ส่งผ่านค่าแรงอีกระลอกก็เป็นได้ ด้วยความคลุมเครือนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงยังต้อง ‘Data Dependent’ กันต่ออีกปี รวมถึงความเสี่ยงเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

ผมจึงอยากนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนกองทุน SSF RMF ต้อนรับปี 2025 กันครับ การลงทุนในสหรัฐฯ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBRS2000(SSF) ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ตามดัชนี Russell 2000 และสำหรับ RMF ผมแนะนำ KUS500XRMF ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ตามดัชนี S&P 500 (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน)

 

ส่วนการลงทุนในคริปโตและหุ้นเทคโนโลยี สำหรับ SSF ผมแนะนำ TNEXTGEN-SSF ซึ่งลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธีม Next Generation Internet และสำหรับ RMF ผมแนะนำ TISCONEXTGENRMF-A

 

การลงทุนป้องกันเงินเฟ้อ สำหรับ SSF ผมแนะนำ SCBGOLDH-SSF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) และสำหรับ RMF ผมแนะนำ SCBGOLDHRMF ลงทุนในทองคำผ่าน SPDR Gold ETF (ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน) เพราะเงินเฟ้อยังวางใจไม่ได้

 

อย่าลืมปรับพอร์ตการลงทุนรับปี 2025 และลดหย่อนภาษีกันนะครับ 

 

นโยบายของทรัมป์และผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ 

 

อ้างอิง: 

  • CGS International, CGSI Estimates, CGSI Macro & Wealth Research, CGSI Quantitative Team, Bloomberg)

The post LONG US, LONG MAG7, SHORT EM and HOLD BITCOIN appeared first on THE STANDARD.

]]>
นโยบายการเงินโลกกับแรงกดดันทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศในปี 2025 https://thestandard.co/opinion-2025-global-monetary-policy/ Sat, 23 Nov 2024 06:27:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1011955

นโยบายการเงินปี 2025 เป็นความหวังสำคัญของนักลงทุนแทบทั้ […]

The post นโยบายการเงินโลกกับแรงกดดันทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศในปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

นโยบายการเงินปี 2025 เป็นความหวังสำคัญของนักลงทุนแทบทั้งตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปรากฏว่าเป็น Donald Trump ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง ทิศทางการค้าและการเมืองโลกจะถูกปั่นป่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เมื่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสูง การตอบสนองของธนาคารกลางจะมีความสำคัญเป็นพิเศษ ธนาคารกลางจะเลือกเดินทางไหน และสินทรัพย์ทางการเงินจะตอบรับอย่างไร เป็นเรื่องที่เราต้องร่วมกันคิดและแชร์ให้ทุกคนเข้าใจพร้อมกัน

 

เริ่มต้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตลาดคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงไปถึงระดับ 3.75-4.00% ท่ามกลางกระแสกดดันทั้งบวกและลบ

 

Fed ให้เหตุผลของดอกเบี้ยขาลงรอบนี้ว่าเป็นการลดเพื่อช่วยเศรษฐกิจ เมื่อการว่างงานเริ่มปรับตัวขึ้นโดยที่เงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวกลับเข้าสู่เป้าหมาย 2.0%

 

นโยบายการเมืองที่ปั่นป่วนอาจทำให้ Fed หวั่นใจในประเด็นเงินเฟ้อมากที่สุด อย่างไรก็ดี ผมมองว่านโยบายการเมืองของ Trump โดยรวมมีความผสมผสาน

 

เช่นกำแพงภาษีหรือการกีดกันทางการค้าสามารถหนุนให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นได้จริง แต่ในทางกลับกัน นโยบายลดจำนวนผู้อพยพก็อาจสร้างความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวถึงถดถอย กดเงินเฟ้อลงได้เช่นกัน

 

ตลาดบอนด์ดูจะเห็นด้วยกับผม เมื่อยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ผันผวนตลอดปี กลับมาปิดใกล้ระดับปลายปีที่แล้วที่ 4.3% สะท้อนว่าเศรษฐกิจอาจไม่มีอะไรผิดคาด

 

มีแต่ตลาดหุ้นที่มอง Trump เป็นบวกมาก สะท้อนความหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปัจจุบันมี Long-Term Earning Yield (LTEY) ของ S&P 500 ลดลง (เพราะหุ้นขึ้น) เหลือเพียง 2.8% ใกล้จุดต่ำปลายปี 2021 ก่อนตลาดปรับฐาน

 

สิ่งที่ Fed อาจต้องเตรียมตั้งรับคือการเมืองจะผันผวนจนเจาะฟองสบู่การเงินสหรัฐฯ แตกหรือไม่ แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผมเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ Fed จะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเข้าช่วยอย่างรวดเร็ว

 

ธนาคารกลางที่สองธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องเตรียมพบกับเศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัวและคาดว่าจะถูกการเมืองโลกกดดันมากที่สุด อาจต้องลดดอกเบี้ยลง 100-125 bps

 

IMF คาด การเติบโตของ GDP ในยูโรโซนในปี 2025 จะขยายตัวแค่ 1.2% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะลดลงต่ำกว่า 2.0% การกลับมาของ Trump จะยิ่งทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจแย่ลง

 

เพราะถ้าการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เกิดขึ้นจริง จะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจยุโรปที่พึ่งพาการส่งออกสูง ขณะที่การกลับมาของ Trump ยิ่งเป็นการตอกย้ำกระแสการเมืองทั่วโลกที่แต่ละประเทศต้องป้องกันผลประโยชน์ของชาติตัวเองก่อน สวนทางกับแนวคิดหลักของยูโรโซนปัจจุบัน

 

นอกจากนั้นประเทศในฝั่งยุโรปก็มีกำหนดการเลือกตั้งรออยู่ในปีหน้ามากมาย เช่น เยอรมนีในเดือนกุมภาพันธ์, ฟินแลนด์ในเดือนเมษายน และโปแลนด์ในเดือนตุลาคม ผมมองว่า ECB ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อประคองเศรษฐกิจและเสริมสร้างความสามัคคีในกลุ่มประเทศยูโรโซน

 

ด้วยการขยายตัวเศรษฐกิจที่ต่ำ ผมมองว่าดอกเบี้ยนโยบาย (ECB Deposit Facility Rate) ที่ 3.25% ในปัจจุบันสามารถลดลงได้ถึง 1.75-2.0% และเงิน EUR มีแนวโน้มอ่อนค่าลงไปซื้อขายในระดับใกล้เคียงกับ USD

 

ด้านธนาคารกลางเอเชียอย่างธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ถูกคาดหวังว่าจะเป็นปีที่ขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75-1.00% ได้สักที แต่การเมืองที่อ่อนแออาจทำให้ความเข้มงวดจำเป็นต้องลดลง

 

BOJ คาดว่าเงินเฟ้อในญี่ปุ่นจะอยู่ในระดับ 1.5-2.0% ในปี 2025 เพียงพอที่จะเข้มงวดทางการเงินเมื่อไรก็ได้

 

แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ต่างจากยุโรปที่มีความท้าทายจากการกลับมาของ Trump เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุดอันดับ 5 นโยบายภาษีที่พุ่งเป้าไปที่การปรับสมดุลการค้าจะเพิ่มแรงกดดันต่อภาคส่งออกของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์

 

ขณะเดียวกันการเมืองในประเทศของญี่ปุ่นก็กำลังลำบาก หลังพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) สูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐอาจเกิดขึ้นช้า และมีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป

 

อย่างไรก็ดี ฝั่งตลาดการเงินดูจะไม่มองแบบนั้น บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นอายุ 10 ปีคงปรับตัวขึ้นตามยีลด์สหรัฐฯ ล่าสุดซื้อขายใกล้เคียงระดับสูงสุดของปีที่ 1.1% ขณะที่เงิน JPY แกว่งตัวในกรอบกว้าง 142-162 JPY/USD

 

ผมคงมุมมองว่า BOJ สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ แต่เห็นได้ชัดว่าในปี 2025 ญี่ปุ่นอาจต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากการเมืองทั้งในและนอกประเทศ นโยบายการเงินอาจมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่า Normalization อาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยถ้า JPY แข็งหลุด 145 JPY/USD และอาจจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเมื่อ JPY อ่อนค่าทะลุ 165 JPY/USD ขึ้นไป

 

สุดท้ายและสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยคือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ในจุดที่สามารถลดดอกเบี้ยได้ อย่างไรก็ดี แรงกดดันทางการเมืองจะทำให้ต้องดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบ

 

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด ชี้ชัดว่า ธปท. ผ่อนคลายนโยบายการเงินลงได้

 

เพราะแม้ก่อนหน้านี้ กนง. จะยืนยันมาตลอดว่าดอกเบี้ยนโยบายสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพระยะยาวแล้ว แต่ท้ายที่สุดกลับลดดอกเบี้ยลง 25 bps เหลือ 2.25% ด้วยเหตุผลเพื่อบรรเทาภาระหนี้

 

มองลึกลงไปในภาพเศรษฐกิจไทย กนง. คาดว่า GDP จะขยายตัวเพียง 2.9% ด้วยเงินเฟ้อพื้นฐานระดับ 0.9% ในปี 2025 จะเห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายได้ในระยะสั้น

 

ประเด็นสงครามการค้า สำหรับประเทศไทยเคยได้รับผลกระทบที่ผสมผสาน โดยมีแรงหนุนจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างชาติจากจีนมายังประเทศไทย แต่สงครามการค้าจะกดดันให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า ส่งผลให้ความต้องการสินค้าส่งออกของไทยลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม

 

ส่วนในประเทศ เสถียรภาพทางการเมืองที่ต่ำกลายเป็นภาวะปกติของไทย ทำให้การกระตุ้นทางการคลังเกิดขึ้นยาก และภาครัฐหันมากดดัน ธปท. ให้ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย

 

ปี 2025 จะยิ่งทวีความร้อนแรงมากขึ้นเมื่อตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. จะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน แน่นอนว่าความผันผวนจะสูงขึ้นและ กนง. ต้องบริหารจัดการนโยบายการเงินให้สามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจและรักษาความเชื่อมั่นในตลาดให้ได้

 

ผมมองว่าดอกเบี้ยของไทยมีโอกาสลดลงได้ถึง 1.50% ในปีหน้า บอนด์ยีลด์ 10 ปีมีโอกาสปรับตัวลงไปที่ 2.00-2.50% และด้วยเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน การค้าที่อาจสะดุดจากปัญหาการเมืองโลก ผมคาดว่าเงิน THB จะซื้อขายในกรอบกว้าง 33.5-35.5 THB/USD ในปีหน้าครับ

The post นโยบายการเงินโลกกับแรงกดดันทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศในปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ข้ามไปลาวดู ‘วัฒนธรรมสีมา’ ในนครหลวงเวียงจันทน์ https://thestandard.co/opinion-sima-culture/ Sat, 23 Nov 2024 03:19:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1011887

เส้นพรมแดนของประเทศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อร้อยกว่า […]

The post ข้ามไปลาวดู ‘วัฒนธรรมสีมา’ ในนครหลวงเวียงจันทน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เส้นพรมแดนของประเทศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เดิมทีผู้คน 2 ฝั่งโขงต่างเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอ ย้อนกลับไปเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว พระพุทธศาสนาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเผยแผ่เข้าไปตามเส้นทางโบราณ ลัดเลาะตามแนวภูเขาและแม่น้ำสายต่างๆ ทำให้รูปแบบศิลปกรรมระหว่างไทยกับลาวมีความคล้ายคลึงกัน

 

วังช้าง เมืองโพนโฮง แขวงเวียงจันทน์ เป็นศาสนสถานที่รู้จักกันมานานแล้วทั้งในหมู่ของนักวิชาการและนักท่องเที่ยวแนวผจญภัย จุดเด่นคือมีภาพสลักของพระพุทธรูปที่มีอายุเก่าแก่พันกว่าปี บทความนี้จะเป็นการอธิบายอายุสมัย คติความเชื่อ และที่มาของการสลักพระพุทธรูปแห่งนี้

 

สภาพทางภูมิศาสตร์ของวังช้าง

 

วังช้างอยู่ห่างจากตัวเมืองนครเวียงจันทน์ขึ้นไปทางเหนือราว 75 กิโลเมตร บริเวณวังช้างมีโครงสร้างทางธรณีของแหล่งโบราณคดีวังช้างเป็นหินทราย ถ้าจัดหมวดหมู่หินตามอย่างประเทศไทยแล้วจัดอยู่ในหมวดหินภูพาน (Phu Phan Formation) ติดกับวังช้างมีแม่น้ำแจ้งไหลผ่าน แม่น้ำนี้ไหลลงไปทางทิศตะวันออกสมทบกับแม่น้ำงึม ลัดเลาะไปตามภูเขา ก่อนที่จะลงแม่น้ำโขงที่บ้านปากงึม ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจังหวัดหนองคาย เนื่องจากแม่น้ำแจ้งนี้ไหลผ่านลัดเลาะไปตามภูเขา จึงทำให้บางช่วงเกิดลักษณะพื้นที่ที่เป็นวังน้ำขึ้นมา มีเรื่องเล่าว่าในสมัยโบราณเคยมีช้างลงไปเล่นน้ำ จึงได้ชื่อว่า ‘วังช้าง’ 

 

แม่น้ำแจ้งและสภาพแวดล้อมบริเวณวังช้าง

แม่น้ำแจ้งและสภาพแวดล้อมบริเวณวังช้าง

 

ส่วนสภาพป่าบริเวณนี้เป็นป่าเบญจพรรณ ยกเว้นพื้นที่ใกล้กับแม่น้ำที่มีความชื้นสูงซึ่งมีพืชพันธุ์ในป่าดิบแล้งขึ้นบ้าง อาทิ พวกเฟิร์น ในส่วนของด้านบนภูเขาที่มีลักษณะหน้าดินตื้นจึงเป็นลักษณะของป่าเต็งรัง แต่โดยรวมแล้วสภาพแวดล้อมบริเวณนี้เหมาะสมอย่างมากต่อการอยู่อาศัย เพราะไม่ขาดแคลนน้ำ 

 

พระพุทธรูปสลักบนเพิงผาหิน

 

พระพุทธรูปสลักหินที่พบที่วังช้างประกอบด้วยกลุ่มของภาพสลักพระพุทธรูป 2 กลุ่มหลัก ดังนี้

 

กลุ่มที่ 1 เป็นพระพุทธรูปสลักหินองค์ใหญ่จำนวน 2 องค์ มีความสูงประมาณ 3.5 เมตร ปางแสดงธรรม หรือ ‘วิตรรกมุทรา’ (Vitarka Mudra) ด้วยพระหัตถ์ (มือ) ขวา พระหัตถ์ซ้ายวางบนหน้าตักคล้ายกับการทำสมาธิ เบื้องหน้าของพระพุทธรูปองค์ติดกับเหลี่ยมภูเขาซึ่งมีพระพุทธรูปอีก 3 องค์ แบ่งเป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง 2 องค์ และพระพุทธรูปประทับยืนอีก 1 องค์ เดิมทีพระพุทธรูปทั้งหมดนี้คงอยู่ในอาคารหลังคาคลุม เพราะพบช่องที่เกิดจากการสกัดหินเพื่อเสียบไม้คาน 

 

ในแง่ของรูปแบบศิลปะแล้ว พระพุทธรูปกลุ่มนี้มีความคล้ายคลึงกันกับศิลปะทวารวดีในประเทศไทย กล่าวคือพระพักตร์มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม, พระขนง (คิ้ว) ต่อกันเป็นปีกกา, พระเนตร (ตา) ใหญ่ค่อนข้างโป่งนูน และพระโอษฐ์ (ปาก) ค่อนข้างหนาสักเล็กน้อย แต่ก็นับว่าบางกว่าพระพุทธรูปทวารวดีในประเทศไทย ในความเห็นส่วนตัวรูปหน้าของพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์ต่างกันเล็กน้อย แต่คล้ายกับคนมีอายุราวสัก 35-45 ปี 

 

ในส่วนของพระวรกายค่อนข้างใหญ่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ทั้ง 2 องค์นั่งขัดสมาธิราบพระชงฆ์ พระบาทข้างขวาหย่อนมาบังพระชงฆ์และพระบาทข้างซ้าย พระบาทข้างขวาแผ่ออกจนเห็นเกือบทั้งหมด ลักษณะเช่นนี้เป็นรูปแบบการนั่งของพระพุทธรูปแบบทวารวดี 

 

อย่างไรก็ตาม ที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์นี้ก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะเขมรเข้ามาด้วยแล้ว กล่าวคือมีการสลักไรพระศก (ไรผม) เรียงกันเป็นเส้นขนาดเล็ก เช่นเดียวกับพระศกด้านข้างขมับไล่ไปจนถึงผนังด้านหลังนั้นก็สลักให้มีขนาดเล็กเช่นกัน ลักษณะอาจได้รับอิทธิพลจากการสวมมงกุฎของพระพุทธรูปในศิลปะเขมรที่ปรากฏในศิลปะแบบบาปวนถึงนครวัด มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 (คริสต์ศตวรรษที่ 11-12) ดังนั้นจึงทำให้กำหนดอายุพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์นี้ว่าควรสลักขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ซึ่งถ้าเทียบกับศิลปะทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทยแล้วก็จะอยู่ในศิลปะทวารวดีตอนปลาย ซึ่งเป็นระยะที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมรเช่นกัน 

 

แต่อย่างที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ในที่อื่นว่าการใช้คำว่า ‘ศิลปะทวารวดี’ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นอาจต้องมีการทบทวนกันใหม่ เนื่องจากแม้ว่าในทางรูปแบบศิลปะและยังมีการค้นพบจารึกภาษามอญโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่บ้างก็ตาม โดยพบในจังหวัดชัยภูมิ, ขอนแก่น, มหาสารคาม, อุดรธานี และสกลนคร แต่ก็เป็นจารึกที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14-15 เป็นหลัก และมีข้อความสั้นๆ เป็นเรื่องทางศาสนา โดยจารึกเหล่านั้นก็ไม่ได้ปรากฏชื่อทวารวดี (ศรีทวารวตี) เลยแต่อย่างใด ดังนั้นจารึกพวกนี้จึงอาจเป็นเพียงกลุ่มของพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่นำภาษาและวัฒนธรรมจากทวารวดีภาคกลางมาเผยแพร่ แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรื่องทางการเมือง 

 

ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 16 พบว่าภาษาหลักที่ใช้กันในช่วงเวลานี้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยใช้ภาษาเขมรโบราณแทน ซึ่งความจริงแล้วในหลายพื้นที่พบการใช้ภาษาเขมรโบราณมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ และสุรินทร์ เรื่องนี้สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางวัฒนธรรมและการเมือง หลักฐานหนึ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ห่างจากภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี มีการค้นพบจารึกบนใบเสมาที่พบที่วัดป่าหนองเป่ง อำเภอบ้านผือ จารึกด้วยอักษรเขมรโบราณ ภาษาสันสกฤตกับเขมรโบราณ กำหนดอายุไว้ราวพุทธศตวรรษที่ 16 (คริสต์ศตวรรษที่ 10-11) ความว่า ศรีมานราชาเป็นช่วงเวลากลียุค อยู่ในกาลเดือนเจตร (เดือน 5) โขลญพุทา…เร่งรีบกำหนดวันโดยเร็ว เพื่อประกอบพิธีบูชาบวงสรวงพระเทวีด้วยความยินดี ผู้มีนามทั้งสามมีโขลญพลเป็นหัวหน้า เป็นผู้ประกอบพิธีในครั้งนั้น (กรมศิลปากร, วัฒนธรรมเสมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, เอกสารออนไลน์, ไม่ทราบปีที่พิมพ์) 

 

หลักฐานนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภาษาหลักในเวลานี้เป็นภาษาเขมรโบราณ และพื้นที่ใกล้ภูพระบาทนี้มีกษัตริย์ท้องถิ่นนามว่า ‘ศรีมานราชา’ พระนามกษัตริย์เช่นนี้ไม่พบในกลุ่มวัฒนธรรมมอญ หากพบในกลุ่มกษัตริย์ของฝูหนาน ประเด็นนี้จึงทำให้เราอาจต้องทบทวนให้มากขึ้น เพราะภาษาที่ใช้ในเวลานี้ก็ไม่ใช่ภาษามอญโบราณเสียแล้ว การจะใช้คำว่า ‘ทวารวดีภาคอีสาน’ จึงย่อมไม่สอดคล้องกับบริบททางประวัติศาสตร์ และยังสื่อถึงวิธีการนิยามที่ใช้กรอบของศิลปะจากส่วนกลางมาอธิบาย

 

พระพุทธรูปสลักหินกลุ่มที่ 1

พระพุทธรูปสลักหินกลุ่มที่ 1

 

พระพุทธรูปประธาน 2 องค์ของพระพุทธรูปสลักหินกลุ่มที่ 1

พระพุทธรูปประธาน 2 องค์ของพระพุทธรูปสลักหินกลุ่มที่ 1

 

พระพักตร์ของพระพุทธรูปที่วังช้าง พระพักตร์พระพุทธรูปศิลปะเขมรแบบนครวัด 

พระพักตร์ของพระพุทธรูปที่วังช้าง พระพักตร์พระพุทธรูปศิลปะเขมรแบบนครวัด 
พบที่วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

 

กลับมาที่เรื่องของพระพุทธรูปที่วังช้าง สำหรับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยแล้ว พบเศียรพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่อาจเทียบเคียงได้กับพระพุทธรูปที่วังช้างคือ เศียรพระพุทธรูปที่วัดป่าหนองเป่ง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ที่จะเห็นได้ว่าไรพระศกสลักเป็นแถวเส้นผมขนาดเล็ก นอกจากนี้แล้วรัศมีและอุษณีษะยังมีลักษณะที่โป่งนูน คล้ายกันมากกับพระพุทธรูปที่วังช้างอีกด้วย เหตุผลที่อุษณีษะและรัศมีมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกมนขึ้นไปนี้ อาจเป็นความพยายามในการเลียนแบบยอดมงกุฎของพระพุทธรูปในศิลปะเขมร 

 

เศียรพระพุทธรูปด้านหน้าและด้านข้างที่วัดป่าหนองเป่ง

เศียรพระพุทธรูปด้านหน้าและด้านข้างที่วัดป่าหนองเป่ง

 

พระพุทธรูปประทับยืนและนั่งทั้ง 3 องค์ที่พระพุทธรูปกลุ่มที่ 1

พระพุทธรูปประทับยืนและนั่งทั้ง 3 องค์ที่พระพุทธรูปกลุ่มที่ 1

 

พระพุทธรูปอีก 3 องค์เล็กมีลักษณะพระพักตร์ที่คล้ายกันกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่อีก 2 องค์ ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะสลักในเวลาใกล้เคียงกัน แต่พระหัตถ์และพระเพลาของพระพุทธรูปประทับนั่งทั้ง 2 องค์แสดงให้เห็นชัดว่ามีการซ่อม จึงทำให้มีลักษณะของศิลปะแบบล้านช้าง สำหรับพระพุทธรูปประทับยืน พระกรด้านซ้ายแนบพระวรกายแต่แอ่นออกเล็กน้อย คล้ายกับท่าทางของพระกรแบบปางเปิดโลกของพระพุทธรูปล้านช้าง ปกติแล้วถ้าเป็นพระพุทธรูปในอินเดียหรือทวารวดีพระหัตถ์จะแบออก ส่วนพระกรและพระหัตถ์ข้างขวาหักไป ถ้าเป็นอย่างพระพุทธรูปทวารวดีอาจทำเป็นปางแสดงธรรม (วิตรรกมุทรา) หรือปางประทานอภัย (อภัยมุทรา)

 

รัศมีของพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ทำเป็นแท่งมนขึ้นไปคล้ายกับลูกแก้ว ลักษณะเช่นนี้ไม่พบในศิลปะทวารวดีในประเทศไทย โดยมากแล้วจะทำเป็นลูกแก้วมีขนาดเล็ก เหตุที่ทำรัศมีเป็นรูปทรงคล้ายลูกแก้วนี้ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะอินเดียในสมัยราชวงศ์ปาละ ซึ่งมีอาณาเขตอยู่บริเวณแคว้นเบงกอล มีอายุระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8-12 (พุทธศตวรรษที่ 13-17) รัศมีลูกแก้วแบบนี้ส่งอิทธิพลให้กับศิลปะทวารวดีเช่นกัน ดังเห็นได้จากพระพุทธรูปหลายองค์ทั้งที่พบในเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เมืองนครปฐม หรือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกตัวอย่างเช่น ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง เป็นไปได้

 

พระพุทธรูปสลักหินกลุ่มที่ 2

พระพุทธรูปสลักหินกลุ่มที่ 2

 

กลุ่มที่ 2 เป็นพระพุทธรูปองค์เล็กจำนวน 5 องค์ พระพุทธรูปองค์กลางมีขนาดใหญ่กว่าองค์อื่นอีก 3 องค์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้ทำปางวิตรรกมุทรา ส่วนอีก 3 องค์ทำปางสมาธิ เบื้องพระหัตถ์ซ้ายของพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์นี้เป็นรอยแยกของหินขนาดใหญ่เป็นแนวตัดตรง ปรากฏว่ามีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งจากลักษณะการแตกของหินเป็นแนวตรงนี้เป็นธรรมชาติโดยทั่วไปของการแตกของหินทราย แสดงว่าพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้เคยสลักอยู่บนหินก้อนเดียวกัน เดิมทีพระพุทธรูปกลุ่มนี้เคยอยู่ภายใต้อาคารหลังคาคลุมเช่นกัน สังเกตได้จากก้อนหินของพระพุทธรูปที่แยกออกไปเพียงองค์เดียวกันนั้นมีการสลักหินเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายกับจั่ว และมีช่องสำหรับเสียบคานไม้สลักลึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมลงไปด้วย

 

พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้มีลักษณะพระพักตร์ พระวรกาย และลักษณะการนั่ง เหมือนกันกับพระพุทธรูปกลุ่มที่ 1 กล่าวคือพระพักตร์มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม พระขนงต่อกันเป็นปีกกา ดวงพระเนตรใหญ่ค่อนข้างโป่งนูน พระโอษฐ์ค่อนข้างหนาสักเล็กน้อย พระวรกายใหญ่ ประทับนั่งขัดสมาธิราบแบบหลวมๆ ลักษณะดังกล่าวจึงสะท้อนอิทธิพลของศิลปะทวารวดีหรือศิลปะจากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย

 

มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพระพุทธรูปนั่งทั้ง 5 องค์ในกลุ่มที่ 2 และอีก 5 องค์ในกลุ่มที่ 1 คือทั้งหมดห่มจีวรแบบห่มคลุม ซึ่งนับเป็นข้อแตกต่างจากพระพุทธรูปในศิลปะทวารวดีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยที่นิยมทำพระพุทธรูปแบบห่มเฉียงโดยเปิดพระอังสา (ไหล่) ขวา แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปประทับยืนจะห่มคลุมโดยตลอด ความแตกต่างของวิธีการห่มจีวรนี้ไม่ทราบเหตุผลที่ชัดเจน แต่อาจเป็นเพราะอิทธิพลทางด้านศิลปะจากพระพุทธรูปทรงเครื่องประทับนั่งในศิลปะเขมรที่ไม่ห่มจีวรเฉียงเช่นกัน 

 

ลักษณะของหินที่แตกออกและยังเห็นร่องรอยการสลักเป็นหลังคาจั่วสามเหลี่ยม

ลักษณะของหินที่แตกออกและยังเห็นร่องรอยการสลักเป็นหลังคาจั่วสามเหลี่ยม

 

คติความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

 

ด้วยพระพุทธรูปทั้งหมดประทับนั่งขัดสมาธิราบ (วีราสนะหรือสัตตวปรยังคะ) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นเครื่องบ่งชี้หนึ่งว่าพระพุทธรูปที่สร้างเนื่องในศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายเถรวาทนั้น พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่มีความสำคัญ ประกอบด้วย พระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมนพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า, พระโคตมพุทธเจ้า และพระศรีอริยเมตไตรย ทั้งหมดเป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัลป์ ซึ่งพระศรีอริยเมตไตรยเป็นพระพุทธเจ้าที่รอการมาจุติ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว เมื่อสร้างพระศรีอริยเมตไตรยนิยมทำเป็นรูปแบบนักบวชหรือพระโพธิสัตว์ มากกว่าจะเป็นรูปแบบเหมือนกับพระพุทธเจ้า แต่ในจีนมีหลายแห่งที่ทำรูปกายแบบพระพุทธเจ้าและอยู่ร่วมกับอดีตพระพุทธเจ้าทั้ง 4 องค์เช่นกัน ดังนั้นช่างจึงอาจหมายให้พระศรีอริยเมตไตรยปรากฏกายในฐานะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

 

แต่ถ้าในกรณีที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าในนิกายเถรวาทแล้ว ตามความเชื่อในศาสนาพุทธนิกายมหายานก็มีการนับถือพระพุทธเจ้า 5 องค์เช่นกันเรียกว่า ‘ธยานิพุทธะ’ หรือ ‘ชินนะ’ ประกอบด้วย พระพุทธเจ้าไวโรจนะ แสดงปางปฐมเทศนา (ธรรมจักรมุทรา) ประจำทิศกลาง, พระพุทธเจ้าอมิตภะ แสดงปางสมาธิ (ธยานมุทรา) ประจำทิศตะวันตก, พระพุทธเจ้าอักโษภยะ แสดงปางมารวิชัย (ภูมิสปรศมุทรา) ประจำทิศตะวันออก, พระพุทธเจ้าอโมฆสิทธิ แสดงปางประทานอภัย (อภัยมุทรา) ประจำทิศเหนือ และพระพุทธเจ้ารัตนสัมภาวะ แสดงประทานพร (วรมุทรา) ประจำทิศใต้ โดยทั้งหมดอยู่ในรูปกายของพระพุทธเจ้าเสมอ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากปางต่างๆ แล้วจะพบว่าพระพุทธรูปที่วังช้างไม่ได้แสดงปางที่แตกต่างกันไปตามคัมภีร์แต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างเนื่องในศาสนาพุทธมหายาน

 

มีเรื่องที่น่าสนใจคือ พระพุทธรูปในกลุ่มที่ 2 นั้น พระพุทธประธานองค์กลางที่มีขนาดใหญ่กว่าองค์อื่นแสดงปางวิตรรกมุทรา ซึ่งบางแห่งเช่นที่บุโรพุทโธ (Borobudur) บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ให้สลักพระพุทธรูปปางนี้ไว้บนยอดสูงสุดของโบราณสถาน เปรียบได้กับทิศกลาง ดังนั้นโดยนัยแล้วจึงยกย่องปางดังกล่าวนี้เปรียบเสมือนกับธรรมะหรือแสงสว่าง เรื่องนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับคติของมหายานโดยตรง แต่อาจเกี่ยวข้องกับการทำวิปัสสนาที่เมื่อพระสงฆ์เข้าไปในวิหารถ้ำแล้ว เสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่กำลังแสดงธรรมอยู่ก็เป็นไปได้

 

ด้วยเหตุนี้พระพุทธรูปองค์กลางที่วังช้างที่ทำเป็นปางวิตรรกมุทรา จึงอาจเป็นการเปรียบเปรยแทนพระพุทธเจ้าที่กำลังแสดงธรรมในอดีตที่ผ่านมาก็คือ พระพุทธเจ้าโคตม ในขณะที่พระพุทธรูปองค์ใหญ่อีก 2 องค์ในกลุ่มแรกนั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะแทนพระพุทธเจ้าโคตม และพระพุทธเจ้าที่จะมาเทศน์ในอนาคตคือพระศรีอริยเมตไตรย นี่จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการสร้างพระพุทธรูป 2 องค์นี้มีขนาดใหญ่เสมอกัน 

 

ความสัมพันธ์ของพระพุทธรูปสลักหินที่วังช้างกับโบราณสถานอื่น

 

พระพุทธรูปสลักที่วังช้างถือว่ามีความโดดเด่น เพราะมีขนาดองค์สูงใหญ่มากเมื่อเทียบกับโบราณสถานแห่งอื่นๆ และถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีศิลปะคล้ายกับทวารวดีที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของกลุ่มวัฒนธรรมนี้ที่พบในลาว 

 

แต่นอกเหนือไปจากพระพุทธรูปสลักที่วังช้างแล้วยังพบว่ามีโบราณสถานอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันอีก ได้แก่ ในลาวคือโบราณสถานด่านสูง เมืองนาทรายทอง แขวงเวียงจันทน์ ซึ่งพระพุทธรูปถูกสลักบนหินรูปทรงคล้ายดอกเห็ดล้อมรอบด้วยใบเสมา พระพุทธรูปที่โบราณสถานแห่งนี้สะท้อนอิทธิพลของศิลปะเขมรเช่นกัน ดังนั้นจึงกำหนดอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 

 

พระพุทธรูปสลักหินที่ถ้ำพระ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเพิ่งได้รับมรดกโลกไปเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา พระพุทธรูปประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้ว ขัดสมาธิราบ พระพักตร์และพระเกศาแสดงอิทธิพลของศิลปะเขมรเช่นกัน ซุ้มเป็นศิลปะบันทายสรี-บาปวน มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 นอกจากที่ภูพระบาทแล้วยังพบการแกะสลักพระพุทธรูปที่หินรูปดอกเห็ดอีกแห่งที่ไม่ห่างกันมากจากภูพระบาทคือวัดภูโขง อำเภอบ้านผือเช่นกัน ทั้งหมดนี้จึงสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์โบราณในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับลาว ซึ่งคงเป็นพระสงฆ์กลุ่มเดียวกันและมีนิกายเหมือนกัน

 

พระพุทธรูปสลักหินที่โบราณสถานด่านสูง

พระพุทธรูปสลักหินที่โบราณสถานด่านสูง

 

พระพุทธรูปสลักหินที่ถ้ำพ่อตา อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

พระพุทธรูปสลักหินที่ถ้ำพ่อตา อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

 

สรุป 

 

พระพุทธรูปสลักหินที่วังช้างสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์กับศิลปะในกลุ่มวัฒนธรรมสีมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เช่น รูปแบบพระพักตร์ที่มีความแตกต่างในเชิงรายละเอียด หรือห่มจีวรแบบห่มคลุม จากรูปแบบพระเกศาและส่วนอื่นๆ ประกอบกันแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะเขมรในสมัยบาปวนถึงนครวัด จึงกำหนดอายุได้ว่าพระพุทธรูปที่วังช้างควรแกะสลักขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17

 

ความสัมพันธ์ของผู้คนระหว่างไทยและลาวนั้นมีมาอย่างยาวนาน เพียงแต่พรมแดนของรัฐชาติสมัยใหม่เท่านั้นที่นำไปสู่กระบวนการก่อตัวของจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์และความเป็นพลเมืองที่แตกต่างกัน ซึ่งนี่เองทำให้มรดกโลกมักตีกรอบกันอยู่ในประเทศของตนเองเป็นหลัก ยากที่จะข้ามพ้นเส้นพรมแดนของรัฐชาติสมัยใหม่ 

 

คำอธิบายภาพเปิด: พระพุทธรูปสลักบนหินที่วังช้าง แขวงเวียงจันทน์

The post ข้ามไปลาวดู ‘วัฒนธรรมสีมา’ ในนครหลวงเวียงจันทน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กฎหมายสมรสเท่าเทียม เริ่มมีผลบังคับวันใดกันแน่? https://thestandard.co/opinion-equal-marriage-law/ Fri, 22 Nov 2024 07:13:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1011576

​หลังจากที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งแ […]

The post กฎหมายสมรสเท่าเทียม เริ่มมีผลบังคับวันใดกันแน่? appeared first on THE STANDARD.

]]>

​หลังจากที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 ก็ถือว่ากฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย 

 

เนื่องจากการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่แสดงถึงความเสร็จสิ้นบริบูรณ์ของการนิติบัญญัติหรือการตรากฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดเรื่องขั้นตอนสุดท้ายนี้ไว้ในมาตรา 81 วรรคสอง

 

​อย่างไรก็ดี การประกาศตัวว่ามีกฎหมายเกิดขึ้นในประเทศกับการมีผลใช้บังคับได้ของกฎหมายนั้นเป็นประเด็นที่แยกออกจากกันได้ กล่าวคือแม้กฎหมายนั้นจะถูกประกาศออกมาแล้วแต่กฎหมายนั้นอาจยังไม่มีผลใช้บังคับก็ได้ ซึ่งหมายความว่า กฎหมายนั้นยังไม่เริ่มเปล่งอำนาจที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือความเป็นไปตามที่กฎหมายนั้นได้ตราขึ้น อุปมาเหมือนทารกที่คลอดออกมาแล้วแต่ยังไม่ส่งเสียงร้อง

 

​เหตุผลที่กฎหมายปรากฏตัวในราชกิจจานุเบกษาแต่ยังไม่มีผลใช้บังคับ เพราะประสงค์ให้ชะลอผลที่จะเกิดขึ้นจากกฎหมายนั้นออกไปก่อน ที่เป็นเช่นนั้นมีเหตุผลสำคัญคือ เพื่อให้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในภายหน้า เช่น การวางแผนเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องปรับตัว การประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อใช้สิทธิที่จะเกิดขึ้นใหม่

 

​กฎหมายสมรสเท่าเทียมก็มีลักษณะดังที่ได้กล่าวมา เนื่องจากในมาตรา 2 บัญญัติว่า ‘พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป’ ซึ่งวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือวันที่ 24 กันยายน 2567

 

​คำถามที่ต้องการความชัดเจนคือ สรุปแล้วกฎหมายสมรสเท่าเทียมใช้บังคับได้ ณ วันใดเป็นวันแรก

 

เรื่องนี้มีความเห็นไม่ตรงกัน เพราะฝ่ายหนึ่งเห็นว่ามีผล ณ วันที่ 22 มกราคม 2568 แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่ามีผล ณ วันที่ 23 มกราคม 2568 ต่างกันอยู่ 1 วัน

 

​สำหรับฝ่ายที่เห็นว่ามีผล ณ วันที่ 22 มกราคม 2567 สามารถเห็นได้ตามสื่อต่างๆ ที่ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับการมีผลในวันดังกล่าว ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ พบข่าวว่ามีภาคประชาชนที่เตรียมจัดแคมเปญรวมคู่รัก LGBTQIA+ ทั้งสิ้น 1,448 คู่ไปจดทะเบียนสมรสตั้งแต่วันแรกซึ่งหมายถึงวันที่ 22 

 

แต่ฝ่ายที่เห็นว่ามีผล ณ วันที่ 23 มกราคม 2568 ก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทัศนะจากฝั่งกระทรวงมหาดไทยที่ออกมากล่าวถึงการเตรียมความพร้อมและกล่าวถึงวันเริ่มมีผลบังคับของกฎหมายว่าคือวันที่ 23 ซึ่งขยับออกไปจากฝ่ายแรก 1 วัน

 

​ข้อควรทราบคือ กระทรวงมหาดไทยคือหน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทสำคัญต่อการวางระบบระเบียบเกี่ยวกับการจดทะเบียนครอบครัว และอย่างที่หลายคนรู้อยู่ว่า ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศเป็นสถานที่สำคัญของการจดทะเบียนสมรส ซึ่งสถานที่เหล่านั้นมีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดูแล

 

​แต่ข้อที่น่าจินตนาการคือ หากมีคู่สมรส LGBTQIA+ จำนวน 1,448 คู่หรือมากกว่านั้นเดินทางไปขอจดทะเบียนสมรสในวันที่ 22 แต่ถูกปฏิเสธ สถานการณ์จะเป็นเช่นไร

 

​คำถามรากฐานของเรื่องนี้คือ เหตุใดวันมีผลของกฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงมีมุมมองที่แตกต่าง

 

​จากคำถามดังกล่าวมีข้อสังเกตว่า ก็เพราะวันเริ่มต้นนับระยะเวลาเพื่อหาวันมีผลใช้บังคับไม่ตรงกัน เนื่องจากฝ่ายที่สองนับคนละวันกับฝ่ายแรก โดยฝ่ายที่สองขยับวันเริ่มนับไปอีกหนึ่งวัน

 

​หากย้อนกลับไปดูตัวบทจะพบถ้อยบัญญัติว่า ‘ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ 

 

ฝ่ายแรกนับเริ่มนับวันที่ 24 กันยายน 2567 เพราะมองว่าวันนั้นคือวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังเนื้อความในตัวบทที่ให้ ‘นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ ซึ่งก็คือนับตั้งแต่วันที่ 24 ดังกล่าว ท้ายสุดจึงทำให้วันที่มีผลใช้บังคับ (ซึ่งต้องผ่านพ้น 120 วันก่อน) คือวันที่ 22 มกราคม 2568

 

แต่ฝ่ายที่สองมีการแถลงจากฝั่งกระทรวงมหาดไทยว่า ถือการนับวันบังคับตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา โดยนับวันแรกคือวันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศ ซึ่งหมายความว่าไม่ได้นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษานั่นเอง ซึ่งตรงนี้มีข้อมูลมาสำทับด้วย กล่าวคือสำนักงานศาลยุติธรรมได้ออกหนังสือเวียนฉบับลงวันที่ 26 กันยายน 2567 เกี่ยวกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ทั้งนี้ มีเนื้อความที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้โดยสรุปว่า การนับระยะเวลานั้นมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน โดยอ้างถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 ที่ว่าด้วยการนับระยะเวลาตามประมวลกฎหมายดังกล่าว พร้อมกับอ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งประเด็นนี้เชื่อมโยงได้กับการชี้แจงจากฝั่งกระทรวงมหาดไทยที่ออกมากล่าวโดยมีนัยว่ายึดถือตามแนวนี้

 

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการนับเวลาของฝ่ายที่หนึ่งจะไม่มีข้อมูลสำทับ เนื่องจากการที่เริ่มต้นนับวันที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาเป็นวันแรกของการนับเพื่อนำไปสู่การหาวันมีผลใช้บังคับนั้น มีแนวความเห็นจากฝั่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นข้อที่สร้างความหนักแน่นให้กับฝั่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในอดีตที่มีที่มาจากกรณีซึ่งมีประเด็นความเห็น 2 แนวที่เขย่งกัน 1 วันเกี่ยวกับวันที่มีผลใช้บังคับของกฎหมายให้พิจารณา เช่นในคราวที่มีความเห็นเกี่ยวกับวันเริ่มใช้บังคับ พ.ร.บ.ปปง. ซึ่งฝั่งคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่า เมื่อกฎหมายกำหนดโดยชัดแจ้งว่าให้เริ่มนับกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก็ต้องนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้น ไม่ใช่นับวันรุ่งขึ้น

 

​สำหรับตัวผู้เขียนเองมีความเห็นว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับ ณ วันที่ 22 มกราคม 2568 เป็นไปในทิศทางเดียวกับฝ่ายแรก ซึ่งมีแนวของฝั่งคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเครื่องสนับสนุน 

 

ทั้งนี้ เพราะผู้เขียนเห็นว่ากฎหมายบัญญัติชัดเจนในตัวเอง ว่านับแต่วันใดเป็นวันเริ่มต้นคำนวณ 120 วันที่จะนำไปสู่การหาวันแรกที่กฎหมายมีผล เมื่อตัวกฎหมายสมรสเท่าเทียมกำหนดไว้ในตัวเองว่านับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นจุดเริ่มต้นการคำนวณ ก็ต้องเป็นไปตามที่ตัวกฎหมายสมรสเท่าเทียมชี้ชัดไว้เช่นนั้นแล้ว

 

ดังนั้นจึงนับวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือวันที่ 24 กันยายน 2567 เป็นวันที่ 1 และครบกำหนด 120 วันในวันที่ 21 มกราคม 2568 เพราะฉะนั้นกฎหมายสมรสเท่าเทียมจึงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นวัน ‘พ้น’ กำหนด 120 วันเป็นต้นไปตามที่กฎหมายระบุ

 

​ผู้เขียนเห็นว่าความเห็นที่แตกต่างสองแนวในเรื่องวันมีผลใช้บังคับของกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีประเด็นต่อไปในวันข้างหน้า หากยังไม่มีข้อยุติหรือยังมีความเห็นที่ต่างกันระหว่างผู้ประสงค์จดทะเบียนสมรสกับหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการเข้าไปขอจดทะเบียนสมรสในวันที่ 22 มกราคม 2568 แล้วถูกปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่

 

​อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดังกล่าวยังมีช่องทางในการยุติปัญหาข้อพิพาท นั่นคือการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพราะในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า หากเจ้าหน้าที่ปฏิเสธการจดทะเบียนสมรสให้แก่คู่รัก LGBTQIA+ ในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่ายังไม่ถึงวันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับให้จดทะเบียนสมรสได้ ก็ถือว่ามีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ มีสภาพเป็นคดีปกครอง ไม่ใช่คดีแพ่งที่ประสงค์ให้บังคับตามสิทธิในทางครอบครัว คู่รัก LGBTQIA+ ที่ถูกปฏิเสธมีสิทธิยื่นฟ้องศาลปกครองได้ เพราะศาลปกครองมีอำนาจในกรณีดังกล่าว ไม่ใช่ศาลยุติธรรม (จากการที่ผู้เขียนลองค้นคว้า พบว่ามีคดีที่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธการจดทะเบียนสมรสแล้วถูกฟ้องเป็นคดีในศาลปกครองให้เทียบเคียงคือ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.233/2557) และถ้าการที่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะจดทะเบียนสมรสให้กับคู่รัก LGBTQIA+ มีคดีเกิดขึ้น ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ศาลปกครองจะตัดสินชี้ขาดว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลในวันที่ 22 มกราคม 2568 หรือวันที่ 23 มกราคม 2568 กันแน่

The post กฎหมายสมรสเท่าเทียม เริ่มมีผลบังคับวันใดกันแน่? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เรารู้อะไรเกี่ยวกับ Oreshnik อาวุธใหม่ที่รัสเซียใช้โจมตียูเครน กับฉากทัศน์ใหม่ของสงคราม https://thestandard.co/oreshnik-weapon-war/ Fri, 22 Nov 2024 03:29:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1011433 Oreshnik

หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกคำสั่งกึ่งๆ ทิ้งทวนด้ […]

The post เรารู้อะไรเกี่ยวกับ Oreshnik อาวุธใหม่ที่รัสเซียใช้โจมตียูเครน กับฉากทัศน์ใหม่ของสงคราม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Oreshnik

หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกคำสั่งกึ่งๆ ทิ้งทวนด้วยการอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธปล่อยและอาวุธนำวิถีในการโจมตีดินแดนรัสเซียได้เต็มที่ ยูเครนก็ประเดิมใช้ ATACMS ยิงเข้าใส่เป้าหมายในรัสเซีย และรัสเซียก็ยิงตอบโต้ใส่ยูเครน คราวนี้ด้วยขีปนาวุธพิสัยปานกลางด้วยเช่นกัน (ไม่ใช่ขีปนาวุธข้ามทวีป หรือ ICBM ตามที่ยูเครนกล่าวอ้างแต่แรก)

 

แน่นอนว่าตั้งแต่เริ่มสงครามมาสหรัฐอเมริกาไม่อนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธที่ส่งมอบให้ยิงเข้าใส่ดินแดนรัสเซียเพราะเกรงว่าจะเป็นการส่งสัญญาณเพิ่มความตึงเครียดกับรัสเซีย แม้ยูเครนจะส่งคำขอมาเรื่อยๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายหลักที่เป็นคลังอาวุธ ที่รวมพล หรือศูนย์ส่งกำลังบำรุงของกองทัพรัสเซียนั้นอยู่ในดินแดนของรัสเซียทั้งสิ้น

 

แต่คาดว่ามีสองสิ่งที่ทำให้ประธานาธิบดีไบเดนเปลี่ยนใจ อย่างแรกก็คือการที่รัสเซียนำเข้าทหารเกาหลีเหนือมารบในยูเครนกว่า 1 หมื่นนาย ซึ่งในมุมมองของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่ารัสเซียเพิ่มความตึงเครียดให้กับสถานการณ์ก่อน อีกอย่างหนึ่งก็คือชัยชนะเลือกตั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีท่าทีต้องการยุติสงคราม และมีความเป็นไปได้สูงที่อาจมีข้อเสนอที่ทำให้ยูเครนเสียเปรียบ หรือแม้แต่อาจงดส่งความช่วยเหลือให้กับยูเครน การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นการอนุญาตแบบสุดซอยไปก่อน เพื่อที่ว่าในช่วงสองเดือนนี้ยูเครนจะได้มีโอกาสใช้งานอาวุธได้โดยมีข้อจำกัดน้อยลง ลดความเสียเปรียบของตนเอง และอาจทำให้ทรัมป์เห็นข้อดีของการสนับสนุนยูเครนต่อไป

 

ทั้งนี้ ขีปนาวุธที่ยูเครนยิงเข้าใส่รัสเซียก็คือมิสไซล์ MGM-140 Army Tactical Missile System หรือเรียกย่อๆ ว่า ATACMS ซึ่งมีข้อดีคือสามารถใช้งานกับรถยิงจรวดหลายลำกล้อง M142 HIMARS ที่ยูเครนมีใช้งานอยู่แล้ว โดยทำการเปลี่ยนแค่กระเปาะด้านหลังก็สามารถยิง ATACMS ได้

 

ATACMS ผลิตโดยบริษัท Lockheed Martin มีราคาราวลูกละ 60 ล้านบาท มีพิสัยยิงไกลสุด 300 กิโลเมตร จรวดจะบินขึ้นไปสูงสุดที่ 50 กิโลเมตรก่อนที่จะตกลงมาด้วยความเร็วสูงสุดที่มัค 3 มีหัวรบที่หลากหลายและมีน้ำหนักมากกว่า 200 กิโลกรัม หรืออาจใช้หัวรบที่บรรจุลูกระเบิดย่อยเล็กๆ ตั้งแต่ 300-900 ลูก ซึ่งทำให้มีน้ำหนักหัวรบสูงสุดที่มากกว่า 500 กิโลกรัมได้ และนำวิถีด้วยแรงเฉื่อยและ GPS

 

แม้จะฟังดูว่า ATACMS เป็นจรวดที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ถือว่าเป็นจรวดที่มีอายุการใช้งานมานาน และสหรัฐอเมริกาวางแผนที่จะพัฒนาจรวดแบบใหม่เข้าประจำการแทน เพียงแต่สำหรับยูเครนแล้ว การมีจรวด ATACMS ใช้สามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของข้าศึก เพื่อลดขีดความสามารถและการส่งกำลังบำรุงให้กับหน่วยทหารแนวหน้าได้ รวมถึงข้อดีคือราคาไม่แพงนักเมื่อเทียบกับจรวดแบบอื่น และใช้รถฐานยิง M142 HIMARS ซึ่งสามารถใช้งานจรวดได้หลากหลายและมีความทันสมัย

 

ทั้งนี้ ยูเครนใช้ ATACMS รุ่นที่มีหัวรบเป็นลูกระเบิดย่อยและหัวรบระเบิดลูกเดียวมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยใช้กับเป้าหมายที่เป็นที่รวมพล คลังเก็บกระสุน หรือกองบัญชาการส่วนหน้า และผลลัพธ์การใช้งานในยูเครนก็ค่อนข้างน่าประทับใจ จนทำให้มีอีกหลายประเทศสั่งซื้อจรวดแบบนี้เข้าประจำการ เช่น ออสเตรเลีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และโมร็อกโก ทำให้ผู้ผลิตอย่าง Lockheed Martin สามารถเริ่มสายการผลิตจรวดได้อีกครั้ง

 

ส่วนการตอบโต้ของรัสเซียด้วยการยิงขีปนาวุธเข้าใส่ยูเครนนั้น แม้ว่ายูเครนจะออกมายืนยันว่าเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปหรือ ICBM (Intercontinental Ballistic Missile) แต่สหรัฐอเมริกาออกมายืนยันว่ารัสเซียน่าจะใช้ขีปนาวุธพิสัยกลางหรือ IRBM (Intermediate-Range Ballistic Missile) ที่มีพิสัยระหว่าง 3,000-5,500 กิโลเมตรมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ออกมาแถลงว่ารัสเซียได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลางรุ่นใหม่ล่าสุดเข้าใส่ยูเครน โดยกล่าวว่ายูเครนไม่มีขีดความสามารถในการป้องกันได้ ซึ่งปูตินเปิดเผยชื่อว่าเป็นรุ่น Oreshnik

 

คาดว่าขีปนาวุธ Oreshnik นั้นยังอยู่ในระหว่างการทดสอบอยู่ โดยรัสเซียใช้การโจมตียูเครนในครั้งนี้เป็นการทดสอบอาวุธแบบใหม่ไปในตัว ซึ่งทำให้เราไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่ลักษณะเด่นของขีปนาวุธ IRBM แบบนี้คือเป็นขีปนาวุธที่ออกแบบมาสำหรับติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้หลายหัวรบ แม้ว่าการโจมตีในครั้งนี้จะเป็นการใช้หัวรบธรรมดาก็ตาม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธที่มีขีดความสามารถในระดับนี้เข้าโจมตียูเครน

 

สิ่งที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของ Oreshnik ซึ่งเป็นขีปนาวุธแบบ IRBM ก็คือความเร็วที่สูง โดย Oreshnik มีความเร็วในช่วงสุดท้ายมากกว่ามัค 8 ซึ่งทำให้มีระบบป้องกันภัยทางอากาศจำนวนน้อยที่สามารถยิงสกัดได้ หนึ่งในนั้นก็คือ MIM-104 Patriot ที่ยูเครนมีใช้งานแต่ก็ยังไม่ครอบคลุมนัก

 

ดังนั้นแม้เราจะเชื่อว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยูเครนนั้นเกิดขึ้นได้ยาก รวมถึงการใช้จรวดของทั้งสองฝ่ายในลักษณะนี้อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงผลสงครามโดยตรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสร้างผลกระทบให้อีกฝ่ายพอสมควร ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งเพิ่มความร้อนแรงของสถานการณ์ยูเครน-รัสเซียมากเข้าไปอีก

 

ซึ่งนั่นก็เป็นโจทย์ของทั้งยูเครน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ว่าจะหาทางยุติสงครามนี้อย่างไร จะสร้างข้อตกลงที่ทั้งสามฝ่ายยอมรับร่วมกันได้อย่างไร รวมถึงถ้าสหรัฐอเมริกาลดการสนับสนุนยูเครนลงจริงๆ ประเทศยุโรปที่ประกาศว่าพร้อมสนับสนุนยูเครนต่อเนื่องไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะเปลี่ยนท่าทีไปแบบใดนั้น จะสามารถสนับสนุนได้อย่างที่พูดจริงๆ หรือไม่ หรือรัสเซียเองที่สงครามลากยาวไปก็ไม่เป็นผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจและสภาพสังคมของรัสเซียเลยนั้น จะหาทางลงอย่างไรที่ทำให้ประธานาธิบดีปูตินรู้สึกว่าได้รับชัยชนะในการบุกยูเครนครั้งนี้โดยที่ยูเครนก็ยอมรับได้ด้วย

 

แต่ไม่ว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งที่มั่นใจได้ก็คือสงครามการรุกรานยูเครนของรัสเซียนั้นไม่น่าจะจบลงง่ายๆ แน่นอน

ภาพ: Brendan SMIALOWSKI and Mikhail METZEL / various sources / AFP

The post เรารู้อะไรเกี่ยวกับ Oreshnik อาวุธใหม่ที่รัสเซียใช้โจมตียูเครน กับฉากทัศน์ใหม่ของสงคราม appeared first on THE STANDARD.

]]>