Opinion – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 07 Nov 2025 09:05:30 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 AI Bubble หรือ Mega Opportunity? ฝ่าทุกกระแส รอดได้ด้วยพลัง ‘ดอกเบี้ยทบต้น’ https://thestandard.co/ai-bubble-compound-interest/ Fri, 07 Nov 2025 09:05:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1140744 AI Bubble หรือ Mega Opportunity? ฝ่าทุกกระแส รอดได้ด้วยพลัง ‘ดอกเบี้ยทบต้น’

เหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนก็หมดปี 2568 แล้ว ปีนี้เป็นปีแ […]

The post AI Bubble หรือ Mega Opportunity? ฝ่าทุกกระแส รอดได้ด้วยพลัง ‘ดอกเบี้ยทบต้น’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI Bubble หรือ Mega Opportunity? ฝ่าทุกกระแส รอดได้ด้วยพลัง ‘ดอกเบี้ยทบต้น’

เหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนก็หมดปี 2568 แล้ว ปีนี้เป็นปีแห่งความผันผวนสูงจริงๆ ที่เห็นชัดๆ ‘หุ้นโลก’ ยังคงเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงเป็นไวกิ้งตลอดทั้งปี ทองคำที่เดินหน้าทำสถิติประวัติศาสตร์ใหม่มาต่อเนื่องก็เริ่มปรับฐานแล้ว คริปโทเคอร์เรนซียังคงหวือหวายิ่งกว่าหุ้นโลก

 

แต่ไม่ว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วิถีนักลงทุนอย่างพวกเราก็ต้องไปต่อโดยเฉพาะนักลงทุนสาย VI ที่พร้อมเป็นชาวสวน เพื่อคว้าโอกาสในวิกฤติ และผมจะชวนติดอาวุธการลงทุนด้วย ‘มหัศจรรย์ของพลังดอกเบี้ยทบต้น’ ทริคของคนที่มีเงินน้อยก็มีโอกาสสร้างเงินล้านได้ สร้างความมั่งคั่งในอนาคตแน่นอน

 

‘สหรัฐฯ – จีน’ พักยกสงครามการค้า 1 ปี Fed ลดดอกเบี้ย

 

ผมขอฉายภาพกระแสโลกที่เกิดขึ้นในช่วงต้นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และมาวัดปรอทความร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโมเมนตัมจากกระแส AI ฟองสบู่ เป็นตัวขับเคลื่อนให้ทำ All Time High ไม่พักจนถึงวันนี้

 

ปิดฉากงานประชุม APEC ปี 2568 ณ ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ จบลงด้วยบรรยากาศของผู้นำประเทศต่างๆ หารือถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งผู้นำจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาร่วมประชุมเป็นประจำทุกปี

 

และปีนี้เป็นปีพิเศษกว่า เพราะมีคู่หยุดโลก 2 ประธานาธิบดี ‘สีจิ้นผิง-โดนัลด์ ทรัมป์’ นัดพบปะพูดคุยแบบ ‘ทวิภาคี’ (bilateral meeting) กันอยู่ข้างๆ งาน APEC 2025 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีสี เดินทางมาร่วมประชุม APEC อยู่แล้ว

 

ผลการหารือของ 2 ผู้นำโลก ‘สหรัฐฯ – จีน’ รอบนี้ได้บรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราว 1 ปี! (แปลว่าจะต้องเจรจาใหม่ทุกปี) สิ่งที่ตกลงร่วมกันได้ คือ สหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าบางส่วนให้จีน จากประมาณ 57% ลงมาเป็นราว 47% เพื่อแลกกับจีนยอมจัดส่ง ‘แร่หายาก’ หรือ ‘rare earths’ และทรัพยากรสำคัญอื่นๆ ให้สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ ก็ยินดีที่จะเลื่อนใช้มาตรการส่งเสริมหรือควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีนในช่วงหนึ่งปี (suspension) เพื่อให้บรรยากาศคลี่คลายลง ขณะที่จีนยอมตกลงที่จะเริ่มซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ทันที และมีแผนซื้อในระดับหลายล้านตันในช่วงต่อไป

 

แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่มีการตกลงอย่างเป็นทางการในประเด็นไต้หวัน เกี่ยวกับชิปขั้นสูง

 

การพบปะดังกล่าวถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่ส่งออกมาว่าอเมริกาและจีนอาจพยายามลดความเสี่ยงจากการเผชิญหน้า และ ‘สร้างพื้นที่ร่วม’ มากขึ้น ส่วนนักลงทุน นักธุรกิจ ก็โล่งใจที่บรรยากาศทางการค้าและซัพพลายเชนอาจมี ‘ช่วงสงบ’ มากขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับปลดล็อกทั้งหมด

 

โลกยังกังวลต่อคู่พี่ใหญ่ของโลก คือ แม้จะมีการ ‘หยุดการสู้รบทางการค้า’ แต่ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง (structural reset) ของความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ และยังมีประเด็นหลักหลายอย่าง เช่น สิทธิในเทคโนโลยี, ความเป็นผู้นำด้าน AI, แรร์เอิร์ธ และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างลึกซึ้ง ขณะที่ภายหลังวันที่ประชุม มีความเห็นออกมาว่า APEC เองกำลังเผชิญกับแรงกดดัน เพราะจีนถูกตั้งคำถาม ‘การค้าเสรีและเท่าเทียม’ (free & fair trade)

 

ความเสี่ยงโลกการค้าในช่วงต่อจากนี้ไป คือ ข้อตกลงใดบังคับใช้จริงใน 1 ปีนี้ และผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การส่งออก เช่น แรร์เอิร์ธ, ถั่วเหลือง, เทคโนโลยี จะเป็นอย่างไร ปัญหาห่วงโซ่ส่งออกที่พึ่งพิงจีนหรือสหรัฐฯ มากเกินไป ล้วนแขวนอยู่บนเส้นด้ายความไม่แน่นอนของนโยบายหลังครบทุก 1 ปี จะต้องเจรจากันใหม่ สะท้อนว่า สงครามการค้าสงครามภาษีสงครามเทคโนโลยียังเป็นเงามืดครอบงำโลกการค้าอยู่ตลอดช่วงวาระของประธานาธิบดีทรัมป์

 

ส่วนศึกในประเทศของสหรัฐฯ มี 2 เรื่องสำคัญ

 

1. รัฐบาลสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะ Shut Down เป็นเวลายาวถึง 30 วันแล้ว! ยาวนานมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ และหากยังไม่กลับมาเปิดภายใน 6 วัน จะทำให้ ปี 2025 กลายเป็นการ Shut Down ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

 

2. จับสัญญาณดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ( Fed ) ซึ่งหลังการประชุมรอบเดือนตุลาคมล่าสุด (30 ต.ค.) มีมติเสียงแตก 10 ต่อ 2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 3.75 – 4% ตามที่ตลาดคาดการณ์ พร้อมประกาศยุติการลดขนาดงบดุล (QT) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้ ซึ่งยังเหลือขนาดงบดุลประมาณ 6.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

‘เจอโรม พาวเวล’ ประธาน Fed ระบุว่า การปรับลดดอกเบี้ยเป็นการป้องกันความเสี่ยง ยังไม่ใช่เข้าสู่รอบของการผ่อนคลายนโยบายการเงินก็ตาม พร้อมส่งสัญญาณว่า โอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม ยังไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนหลังจากที่ตลาดคาดหวังสูง 90% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนสุดท้ายของปีนี้

 

ตลาดประเมินว่า การตัดสินใจรอบนี้ของ Fed สะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจที่เผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้งตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัว เงินเฟ้อที่ยังสูง และข้อมูลเศรษฐกิจที่ขาดหายไปจากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาล ทำให้พาวเวลเลือกที่จะชะลอจังหวะดำเนินนโยบายการเงินมากกว่าที่จะเร่งผ่อนคลาย ท่ามกลางแรงกดดันจากประธานาธิบดีทรัมป์ให้ Fed ลดดอกเบี้ยแรงกว่านี้

 

ถ้อยแถลงของประธาน Fed ที่ออกมาทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินในเวลานั้น สะดุดข่าวพลิกจากบวกเป็นลบ ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันที ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวกลับขึ้นเหนือระดับ 4% ขณะที่ดัชนีหุ้นหลักที่ดีดตัวขึ้นก็อ่อนตัวลงช่วงท้ายตลาดของวันแถลงดังกล่าว

 

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ สหรัฐฯ เปิดตัวเลขเงินเฟ้อ เดือนกันยายนอยู่ที่ 3.0% ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด กลับมาเพิ่มความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีพื้นที่ ‘ลดดอกเบี้ย’ เร็วกว่าที่คิด ส่งผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสินทรัพย์เสี่ยงอาจตอบรับเชิงบวกจากข่าวนี้ ซึ่งเปลี่ยนอารมณ์ตลาดช่วงก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงหลังการประชุม Fed ออกมา

 

หุ้นสหรัฐฯ แกว่ง ผวา ‘AI ฟองสบู่’ หรือ ‘AI Revolution’ กันแน่

 

เรามาดูความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโลกกันครับ ล่าสุด ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ ทำสถิติใหม่ กระจุกตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนนี้แค่เพียงหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ก็นับเป็นสัดส่วนสูงถึง 42% ของมูลค่าตลาดทั้งหมดแล้ว เป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ แม้แต่ดัชนี Nasdaq ยังปิดบวกเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้มาเกือบ 30 ปีแล้ว

 

ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า ‘หุ้น Nvidia’ เพียงตัวเดียว กำลังมีมูลค่ามากกว่า GDP ของเยอรมนี, ญี่ปุ่น และอินเดียเสียอีก

 

ในเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา ‘Nvidia’ ออกมาสร้างประวัติศาสตร์มากมาย จนยกให้เป็น ‘วัน Nvidia’ แล้ว เพราะเพียงแค่วันนี้วันเดียว Nvidia ประกาศข่าวใหญ่ไม่ว่าจะเป็นลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ใน Nokia, ประกาศจับมือ Palantir , เตรียมเปิดตัวพันธมิตรด้าน AI กับ Hyundai และ Samsung, จับมือกับกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เตรียมสร้าง ‘ซูเปอร์คอมพิวเตอร์’ และประกาศคาดการณ์รายได้ ‘5 แสนล้านเหรียญ’ ใน 6 ไตรมาสข้างหน้า และกลายเป็นบริษัทแรกในโลกที่มูลค่าทะลุ ‘5 ล้านล้านเหรียญ’

 

หรือนี่อาจเป็นสัญญาณชัดว่า ‘AI Revolution’ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

สวนทางกับเสียงวิตกกังวล ‘ฟองสบู่ AI แตก’ ดังก้องในตลาดอยู่ …
JP Morgan เตือน! นักลงทุนกำลังหลงใหลหุ้นกลุ่ม ‘Magnificent 7’ มากเกินไปจนเกิดภาวะ Overcrowded Trade และราคามีความเสี่ยงกลับตัวลงแรงในไม่ช้า หากเศรษฐกิจแย่หรือกำไรบริษัทเริ่มชะลอ

 

นักลงทุนทั่วโลกต่างค้นหาคำตอบที่ยากจริงๆ มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้? ฟองสบู่เทคฯ จะแตกจริงไหม? หรือปรากฏการณ์นี้คือโอกาสลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยพบเห็นมา? ‘AI Bubble หรือ Mega Opportunity?

 

แต่ถึงแม้ในวันใดที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลง จะพบว่า หุ้นส่วนใหญ่ที่ร่วงหนัก จะเป็นกลุ่ม Big Tech และ AI เท่านั้น เพราะหากเราไปดูดัชนี S&P 500 Equal Weight หรือดัชนีที่ให้ ‘น้ำหนักหุ้น 500 ตัวเท่ากัน’ ไม่ว่าบริษัทจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน ดัชนีนี้กลับบวกอยู่

 

ปีนี้จึงเป็นอีกปีที่หุ้นสหรัฐฯ ทำผลงานโดดเด่นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยตั้งแต่ต้นปี 2025 ถึงปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 มีผลตอบแทนประมาณ +13.9%(YTD) ส่วน Nasdaq 100 อยู่ที่ราว +20.68%(YTD) เมื่อรวมผลตอบแทนของตลาดในช่วง 2 ปีก่อนหน้า (2023-2024) ที่ +40% ไปแล้ว ทำให้ 3 ปีมานี้ ผลตอบแทนบวกไปกว่า 50-60% ทีเดียว

 

มุมมองตลาดสหรัฐฯ ยังน่าลงทุนหรือไม่ ผมเชื่อว่า ตลาดยังขาขึ้นโดยรวม YTD เป็นบวกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แสดงถึงโมเมนตัมที่ดี และมีหลายภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น นอกเหนือจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น ภาคอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคที่เริ่มฟื้นตัว โดยปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นสหรัฐฯ ยังทำ All Time High ต่อเนื่อง ก็มาจากบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ประกาศกำไรงวดไตรมาส 3 ออกมา ซึ่งมีสัดส่วนถึง 85% ของบริษัทใน S&P 500 ที่ทำกำไรได้สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ด้านภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีสัญญาณแข็งแรงในหลายจุด แม้จะมีความเสี่ยงภายในประเทศอยู่ กดดันการเติบโตของ GDP ก็ตาม

 

แต่ความเสี่ยงที่ควรระวัง แน่นอนว่า นโยบายการค้าระหว่างประเทศขึ้นอยู่กับตัวทรัมป์เป็นสำคัญ ความกังวลเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ยังสูงหรืออาจจะลดน้อยกว่าคาด ขึ้นอยู่กับมุมมองของ Fed และปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ

 

ความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นไปค่อนข้างสูงแล้ว ทำให้ valuation อาจเริ่มถูกตั้งคำถามยังคุ้มค่าจะเข้าลงทุนในตอนนี้หรือไม่? ซึ่งไม่มีใครคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรอกครับ

 

ผมจึงแนะนำลูกค้าให้ทำการ Rebalance พอร์ตในส่วนที่ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เมื่อมีกำไรมากพอสมควรแล้ว เพื่อลดความเสี่ยงครับ โดยขายบางส่วนออกมาเท่านั้นเอง และหันมากระจายความเสี่ยงไปยังภูมิภาคอื่นหรือสินทรัพย์อื่นก็น่าสนใจ เพราะตลาดอาจมีช่วงพักหรือปรับฐานอยู่

 

ผมเชื่อว่านักลงทุนทั่วโลกก็ทำ Rebalance หุ้นสหรัฐฯ กันเป็นระยะๆ เราจึงเห็นดัชนีปรับฐานลง แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่รอจังหวะซื้อสวนเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นปรับลงเป็นระลอกในช่วงปลายปีนี้ครับ

 

แต่ถ้ามาดูความเคลื่อนไหวของนักลงทุนตำนานโลก คุณปู่ ‘Warren Buffett’ ยังคงสะสมเงินสดเพิ่มขึ้นจนเฉียด ‘4 แสนล้านดอลลาร์’ แล้ว สูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

นักลงทุนชาวสวน หัวใจแกร่งต้องเดินหน้าลงทุน

 

คุณปู่ ‘Warrant Buffet’ มักเตือนเสมอว่า การคาดเดาว่า ฝนจะตกเมื่อไหร่นั้นไม่มีความหมาย แต่การสร้างเรือต่างหากที่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ ฉะนั้น ในโลกการลงทุน อย่าพยายามไปคาดเดาว่า Fed จะปรับขึ้นหรือลงของอัตราดอกเบี้ยเลย ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือตกเท่าไหร่ เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร เพราะการคาดเดาเช่นนี้ ไม่ได้ส่งผลให้พอร์ตมีกำไรขึ้นมาได้ แต่การสร้างพอร์ตที่แข็งแรงเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ดีกว่า

 

สิ่งที่ผมอยากสื่อสารคือ หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้นระหว่างทาง สิ่งสำคัญ คือ การตั้งสติรับมือไตร่ตรองวิเคราะห์สินทรัพย์ต่างๆ ที่ลงทุนอยู่ในพอร์ต ว่ายังแข็งแรงเติบโตไปต่อได้ เพราะหากคุณได้วางแผนการลงทุนอย่างถูกหลักการมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว คุณก็ควรจะมั่นใจเดินหน้าลงทุนต่อไป

 

ยิ่งในช่วงที่มีมรสุมหรือวิกฤติใดๆ เกิดขึ้นหรือตลาดมีการปรับฐานลงในช่วงใด ผมแนะนำให้เฟ้นหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ดีมีอนาคตเติบโตในราคาถูกหรือราคาเหมาะสม เพราะการใส่เงินเพิ่มทุนในช่วงเวลาเช่นนี้ ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของพอร์ตระยะยาว

 

ใครที่มีพอร์ตลงทุน Core & Satellite อยู่แล้ว และได้ทำการ Rebalance พอร์ตในส่วนของทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ ออกมาไว้ก่อนหน้านี้ตามที่ผมแนะนำไป ตอนนี้ถือเป็นโอกาสทองที่จะเพิ่มลงทุนในหุ้นดีราคาถูกหรือสินทรัพย์ที่เฝ้ารอมานานจนราคาร่วงลงมาหาแล้ว ซึ่งลูกค้าผมก็ได้เพิ่มลงทุนกันคึกคักในช่วงตลาดปรับลงครับ

 

มหัศจรรย์ของพลังดอกเบี้ยทบต้น ทริคทำเงินน้อยเป็นเงินล้าน

 

จริงๆ การเพิ่มลงทุนที่นิยมกันมาก คือ ลงทุนถัวเฉลี่ย หรือ DCA แบบเป็นรายเดือน บางคนอาจเป็นรายไตรมาสหรือครึ่งปี หรืออาจเป็นช่วงที่มีเงินโบนัสเงินพิเศษใดๆที่เกิดขึ้นก็แบ่งมาลงทุนเพิ่มตามช่วงเวลา เพราะแต่ละคนอาจมีเม็ดเงินในการเพิ่มทุนที่แตกต่างกันไป

 

ถ้าคุณใส่เงินเพิ่มทุน หรือ DCA ไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็น ‘พลังดอกเบี้ยทบต้น’ ครับ ซึ่งเป็นพลังมหาศาลถึงขั้นที่อัจฉริยะอย่าง ‘Albert Einstein’ ยกว่าเป็น ‘สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก’

 

โดยพลังของดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้มาจากการที่เราใส่เงินเพิ่มเข้าไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการที่ ‘ผลตอบแทน’ ที่เราได้รับจากการลงทุนต่างๆ ไปลงทุนซ้ำ เรียกว่า Reinvest สร้าง ‘ผลตอบแทนของตัวมันเอง’ ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานปีเท่าไร พลังนี้ก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น เราจะเห็น เงินเติบโตแบบก้าวกระโดด

 

หัวใจของความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้นเกิดขึ้นได้ มี 3 องค์ประกอบ

 

  • จำนวนเงินลงทุน เริ่มจากเงินก้อนเล็กๆ แต่ใส่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายเดือนหรือทุก 3 เดือน เรียกว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) อย่างต่อเนื่อง
  • ระยะเวลา ยิ่งลงทุนนานเท่าไหร่ พลังของดอกเบี้ยทบต้น จะยิ่งทำให้เงินเติบโตเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
  • ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทน ดอกผลที่ได้รับในแต่ละงวด จะทบเป็นเงินต้นในงวดต่อไป เพราะฉะนั้นยิ่งมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ระยะเวลานานขึ้น ผลตอบแทนจะมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน เริ่มจากกรณีง่ายที่สุด สมมติคุณมีเงิน 10,000 บาท เอาไปฝากประจำที่ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ผ่านไป 1 ปี เงินจะกลายเป็น 10,200 บาท พอขึ้นปีถัดไป ดอกเบี้ย 2% จะถูกคิดจาก 10,200 บาท ไม่ใช่ 10,000 บาทอีกต่อไป กลายเป็น 10,404 บาท และจะค่อยๆ งอกเพิ่มทีละเล็กทีละน้อย

 

แต่ถ้าเปลี่ยนจากการฝากเงินเป็นการลงทุน สมมติผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 8% ภาพที่ได้จะต่างออกไปมาก เงินก้อนเดียวกัน 10,000 บาท ถ้าปล่อยไว้ 10 ปีจะกลายเป็น 22,196 บาท ถ้าปล่อยต่อไป 20 ปีจะโตเป็น 49,268 บาท และถ้าไม่แตะต้องเลย 30 ปีเต็ม เงินก้อนเล็กนี้จะขยายเป็น 109,357 บาท

 

แต่ถ้าเราไม่ได้ปล่อยให้เงินก้อนเดียวทำงาน แต่ ‘เติมเงินเข้าไปทุกเดือน’ หรือ DCA สมมติว่าเติมเดือนละ 1,000 บาท พร้อมเงินต้นก้อนแรก 10,000 บาท ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี ตัวเลขจะเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด

 

จากการคำนวณ พบว่า เงินก้อนดังกล่าวหลังผ่านไป 10 ปี จะกลายเป็น 205,142 บาท ผ่านไป 20 ปี จะเติบโตทะลุ 638,288 บาท และถ้าให้เวลาถึง 30 ปีเต็ม เงินเพียงหลักพันที่ใส่เข้าไปทุกเดือนจะงอกเงยจนกลายเป็นเงินเก็บกว่า 1,599,717 บาทเลยทีเดียว

 

อีกตัวอย่างที่อยากให้เห็นภาพเรื่องของ ‘เวลา’ คือส่วนผสมสำคัญ

 

เวลาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นทรงพลังขึ้นอย่างมหาศาล เพราะไม่ใช่แค่เงินต้นหรือผลตอบแทนเท่านั้นที่สำคัญ แต่ ‘จำนวนปี’ ที่ปล่อยให้เงินได้ทำงาน ก็ส่งผลต่อปลายทางอย่างมาก ลองดูตัวอย่างนี้แล้วจะเห็นภาพชัดขึ้น

 

สมมติ นาย A เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 22 ปี ลงเดือนละ 1,000 บาท ในพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี เขาใส่เงินต้นรวม 456,000 บาท แต่เมื่อถึงอายุ 60 เงินก้อนนี้จะงอกเงยกลายเป็น 2,954,310 บาท ด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่สะสมต่อเนื่อง

 

ในขณะที่นาย B เริ่มช้ากว่า คือเพิ่งลงทุนตอนอายุ 40 ปี ด้วยจำนวนเงินเดือนละ 1,000 บาทเท่ากัน และผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากัน เขาลงทุนได้แค่ 20 ปี รวมเงินต้น 240,000 บาท ปลายทางโตเป็นเพียง ราว 589,020 บาท เท่านั้น

 

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นของนาย A จากเงินต้น 456,000 โตเป็น 2,954,310 บาท เงินเพิ่มขึ้นถึง 2,498,310 บาท

 

ส่วนนาย B เงินต้น 240,000 บาท โตเป็น 589,020 บาท เงินเพิ่มขึ้นเพียง 349,020 บาท แม้เงินต้นจะต่างกันแค่ 216,000 บาท แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับต่างกันถึง 2,149,290 บาท

 

นี่คือพลังของ ‘เวลา’ ที่คุณจะได้จากมันมากขึ้น หากคุณลงทุนได้นานมากพอ

 

จากสองตัวอย่างข้างต้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ดอกเบี้ยทบต้นนั้นมีพลังจริงๆ เพราะมันคือ กลไกที่ทำให้เงินก้อนเล็ก ค่อยๆ งอกเงยกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ โดยปล่อยให้ ‘เวลา’ ทำงานแทนเรา

 

มหัศจรรย์ของพลังดอกเบี้ยทบต้น ได้กลายเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จของนักลงทุนมืออาชีพชื่อดังทั่วโลกนิยมใช้กันมายาวนานไม่เว้นแม้แต่คุณปู่ Warren Buffett และอีกหลายๆ ท่านที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายวิกฤติของโลก วันนี้ล้วนสร้างพอร์ตใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลกตามกันมาติดๆ

 

‘ดอกเบี้ยทบต้น’ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เงินเติบโตได้อย่างมาก ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งโตได้มากกว่า แต่มีหลายคนที่อาจยังไม่เข้าใจหลักการทำงานของดอกเบี้ยทบต้น ทำให้พลาดโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งไปอย่างน่าเสียดาย

 

ผมเชื่อว่า ทุกท่านที่ก้าวเข้ามาเป็นนักลงทุนสาย VI ต่างก็ ‘ฉลาดเลือก’ ยามวิกฤติจะขยันทำการบ้านวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเฟ้นหาของดีราคาถูกเดินหน้าลงทุนรอเก็บเกี่ยวผลตอบแทนกันไปยาวๆ ครับ แม้คุณจะบอกว่า คุณเลือกลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนที่มาบริหารพอร์ตให้ แต่คุณยังจำเป็นต้องทำการบ้านตรวจเช็กสุขภาพพอร์ตและความเสี่ยงรอบด้านอยู่เสมอนะครับ เพราะไม่มีใครดูแลเงินของคุณได้ดีเท่ากับตัวคุณเอง

 

ใครที่เป็นมือใหม่หรือมือเก่าที่ลงทุนแล้วติดๆ ขัดๆ พอร์ตไม่โตสักที คุณลองใช้เครื่องมือมหัศจรรย์ ‘ดอกเบี้ยทบต้น’ เป็นทริคสร้างเงินน้อยเป็นเงินล้านปูทางชีวิตคุณมีหลักประกันด้านการเงินที่มั่นคง และทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินที่เร็วขึ้นและได้เลือกใช้ชีวิตที่เป็นอิสระได้ โดยไม่ต้องทำงานหาเงินจนถึงเกษียณครับ

 

และรู้หรือไม่! เคล็ดลับของคนที่ประสบความสำเร็จการลงทุน อยู่ที่ ‘เวลา’ เริ่มเร็วกว่าเพียงไม่กี่ปีก็สร้างความต่างจากหลักแสนเป็นหลักล้าน….มองเห็นอนาคตรวยเร็วแน่นอน

The post AI Bubble หรือ Mega Opportunity? ฝ่าทุกกระแส รอดได้ด้วยพลัง ‘ดอกเบี้ยทบต้น’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AWS ปักธงไทยสู่ศูนย์กลาง Cloud & AI ชี้ 3 เสาหลัก ‘ทักษะ-พาร์ทเนอร์-การศึกษา’ คือกุญแจสำคัญ https://thestandard.co/thestandard-economicforum-2025-20/ Fri, 07 Nov 2025 08:25:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1140716 aws-5billion-investment-thailand-cloud-ai-hub

ในวันที่เศรษฐกิจโลกหมุนเร็วด้วยพลังของเทคโนโลยี ประเทศใ […]

The post AWS ปักธงไทยสู่ศูนย์กลาง Cloud & AI ชี้ 3 เสาหลัก ‘ทักษะ-พาร์ทเนอร์-การศึกษา’ คือกุญแจสำคัญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
aws-5billion-investment-thailand-cloud-ai-hub

ในวันที่เศรษฐกิจโลกหมุนเร็วด้วยพลังของเทคโนโลยี ประเทศใดที่สามารถเป็นเจ้าของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลได้ก่อน ย่อมมีโอกาสเป็นผู้นำในยุคใหม่มากขึ้นเท่านั้น และนั่นคือเหตุผลที่การลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ของ AWS ในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเรื่องของธุรกิจ แต่คือจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่อาจส่งแรงกระเพื่อมทั้งระบบเศรษฐกิจไทย

 

ในเวที THE STANDARD Economic Forum 2025 เซสชัน ‘Cloud + AI: Thailand’s Next Growth Engine’ Uwa Mukbong รองประธานฝ่ายบริการระดับโลกของ Amazon Web Services ได้ยืนยันอย่างชัดเจนถึงเจตจำนงของ AWS ที่จะยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของนวัตกรรม Cloud และ AI บนเวทีโลก

 

โครงสร้างพื้นฐานที่มาพร้อมความคาดหวัง

 

หลายคนอาจคิดว่า AWS เพิ่งเข้ามาทำตลาดในไทย แต่ความจริงแล้ว พวกเขาเริ่มปูทางมาตั้งแต่ปี 2015 โดยร่วมมือกับลูกค้าและสถาบันต่างๆ เพื่อช่วยให้เกิดการใช้คลาวด์อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อทุกอย่างเริ่มสุกงอม จึงเป็นจังหวะเหมาะในการวางศูนย์ข้อมูลถาวร

 

การเปิดตัว AWS Thailand Infrastructure Region ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา คือจุดเริ่มต้นของการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยดาต้าเซ็นเตอร์ระดับประเทศนี้จะเชื่อมต่อกับศูนย์ของ AWS ทั่วโลก ใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในสหรัฐฯ และยุโรป

 

แต่นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี เพราะเมื่อมีดาต้าเซ็นเตอร์ ก็เท่ากับว่าองค์กรไทยจะมีโอกาสเข้าถึงศักยภาพของคลาวด์และ AI แบบไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป ความเร็ว ความปลอดภัย และการจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศ ล้วนเอื้อให้ทุกภาคส่วนเร่งเครื่องดิจิทัลได้เต็มกำลัง

 

ถ้าเทคโนโลยีพร้อมแล้ว อะไรคือสิ่งที่ยังขาด?

 

แม้โครงสร้างพื้นฐานจะมาถึง แต่ตัวเลขจากการสำรวจของ AWS กลับชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการใช้ AI อย่างจริงจัง แม้จะมีบริษัทกว่า 32% ที่เริ่มนำ AI มาใช้งาน แต่กว่า 72% ยังอยู่แค่ขั้นทดลอง และมีเพียง 10% เท่านั้นที่สามารถนำ AI มาเปลี่ยนแปลงองค์กรได้

 

AWS จึงต่อยอดด้วยการตั้ง AWS Generative AI Innovation Center พร้อมลงทุนรวม 200 ล้านดอลลาร์ เพื่อทำให้โปรเจกต์ AI ต่างๆ เดินหน้าไปถึงขั้น Production ได้ภายใน 45 วัน เพราะในมุมของ AWS ถ้าไอเดียไม่ถูกนำไปใช้จริง ก็ไม่มีความหมาย

 

ในประเทศไทยเอง มีตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น แสนสิริ ที่พัฒนาแชตบอตและระบบอ่านใบแจ้งหนี้ด้วย OCR ซึ่งช่วยประหยัดเวลามหาศาล และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เริ่มใช้งาน GenAI เพื่อช่วยนักศึกษากว่า 52,000 คนเข้าถึงข้อมูล การวิเคราะห์ และคำแนะนำการเรียนได้ง่ายขึ้น

 

ทักษะของคนคือสิ่งเดียวที่เทคโนโลยีทำแทนไม่ได้

 

ในทุกเวทีที่ AWS ไปพูดถึงอนาคตของ Cloud และ AI สิ่งที่พวกเขาย้ำอยู่เสมอไม่ใช่เรื่องของเซิร์ฟเวอร์ หรือซอฟต์แวร์ แต่คือ ‘คน’

 

Uwa Mukbong รองประธาน AWS บอกไว้ว่า สิ่งที่จะเป็นตัวขัดขวางประเทศไทยไม่ใช่ความพร้อมด้านเทคโนโลยี แต่คือการขาดแคลนทักษะ ทั้งยังยอมรับว่า แม้ AWS จะฝึกอบรมคนไทยไปแล้วกว่า 100,000 คนในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่พอ

 

เป้าหมายใหม่ของ AWS จึงตั้งไว้ที่ 1 ล้านคน โดยต้องการฝึกอบรมให้ได้ปีละ 250,000 คน เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการสร้างบุคลากรด้าน GenAI 2 ล้านคน

 

สร้างระบบนิเวศให้เติบโตได้เอง

 

อีกมุมหนึ่งที่ AWS มองเห็น และพยายามสร้าง คือ ระบบนิเวศของเทคโนโลยีในประเทศไทย เพราะการเติบโตแบบยั่งยืน ไม่สามารถเกิดจากองค์กรใหญ่เพียงรายเดียว

 

AWS จึงเน้นการทำงานกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีหน้าใหม่ หรือผู้ให้บริการโซลูชัน เพื่อสร้างการจ้างงานใหม่ และทำให้บริการต่างๆ กระจายไปสู่ภาคอุตสาหกรรมในวงกว้าง

 

ในขณะเดียวกัน ภาคการศึกษาก็ต้องปรับตัว เพราะความรู้ล้วนเปลี่ยนเร็ว และทักษะใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา AWS จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ผ่านโครงการ Skills to Job Technical Alliance โดยออกแบบหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน เพื่อให้แน่ใจว่าเรียนจบแล้วทำงานได้ทันที

 

เมื่อ AWS ปักหมุดประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี แปลว่าเรามีเวทีให้แล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดคือ ‘นักแสดง’ ที่พร้อมก้าวขึ้นไป และสร้างเรื่องราวใหม่ให้โลกได้เห็น

 

ไม่ว่าเราจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย ผู้ประกอบการ หรือคนทำงานธรรมดาๆ โอกาสนี้คือจุดเริ่มต้นของการต่อยอด ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การสร้างงาน หรือแม้แต่การออกแบบสังคมใหม่ให้ดีขึ้นผ่านเทคโนโลยี

The post AWS ปักธงไทยสู่ศูนย์กลาง Cloud & AI ชี้ 3 เสาหลัก ‘ทักษะ-พาร์ทเนอร์-การศึกษา’ คือกุญแจสำคัญ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เดินหน้าพัฒนาความทันสมัยแบบจีน และร่วมกันสร้างอนาคตใหม่สำหรับการพัฒนาร่วมกัน https://thestandard.co/chinese-modernization-shared-future/ Fri, 07 Nov 2025 08:08:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1140693 เดินหน้าพัฒนาความทันสมัยแบบ จีน และร่วมกันสร้าง อนาคตใหม่สำหรับการพัฒนาร่วมกัน

ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2568 การประชุมเต็มคณะครั้งที […]

The post เดินหน้าพัฒนาความทันสมัยแบบจีน และร่วมกันสร้างอนาคตใหม่สำหรับการพัฒนาร่วมกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เดินหน้าพัฒนาความทันสมัยแบบ จีน และร่วมกันสร้าง อนาคตใหม่สำหรับการพัฒนาร่วมกัน

ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม 2568 การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 ได้จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ในที่ประชุมมีการอภิปรายและรับรอง ‘ข้อเสนอของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเกี่ยวกับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5 ปี ฉบับที่ 15’

 

แผนนี้เป็นแนวทางและพิมพ์เขียวเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาในอีก 5 ปีข้างหน้า แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะต่อยอดแรงผลักดันและเดินหน้าพัฒนาความทันสมัยแบบจีนต่อไป ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และทิศทางในอนาคตจะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างกว้างขวาง ในฐานะเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลก แผนพัฒนาของจีนในอีก 5 ปีข้างหน้า และแนวทางรับมือกับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ซับซ้อนและผันผวน จึงเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก

 

ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 จีนได้รับมือกับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงความเสี่ยงและความท้าทายหลายประการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนก้าวสู่ระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 4 ปีแรกของแผนฯ ฉบับที่ 14 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตเฉลี่ย 5.5% ต่อปี และคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศจะสูงถึงประมาณ 140 ล้านล้านหยวนภายในปี 2568 และมีสัดส่วนช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกมากถึง 30% ความเป็นอยู่ของประชาชนยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้สุทธิต่อหัวเติบโตเฉลี่ย 5.5% ต่อปี สอดคล้องกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

จีนได้สร้างระบบสาธารณสุข ระบบการศึกษา และระบบประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก จีนได้สร้างระบบพลังงานหมุนเวียนและห่วงโซ่อุตสาหกรรมพลังงานใหม่ที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในโลก กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการลดอัตราการสิ้นเปลืองการใช้พลังงานได้เร็วที่สุดในโลก ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกำลังประเทศโดยรวมของจีนได้ก้าวสู่ระดับสูงขึ้นอีกระดับ การพัฒนาให้ทันสมัยแบบจีนได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง

 

หลังจากเสร็จสิ้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 การพัฒนาของจีนก็ได้มาถึงจุดเริ่มต้นใหม่ และการพัฒนาให้ทันสมัยแบบจีนก็กำลังจะเริ่มต้น เครื่องยนต์เต็มสูบพร้อมเดินทางครั้งใหม่ รับไม้วิ่งผลัด โดยยึดมั่นในเป้าหมายการพัฒนาให้ทันสมัยแบบจีน

 

การกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เป็นวิทยาศาสตร์และการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นแนวทางสำคัญสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการบริหารประเทศ และเป็นข้อได้เปรียบทางการเมืองที่สำคัญของระบอบสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน ประวัติศาสตร์การพัฒนาของจีนใหม่เชื่อมโยงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทั้ง 14 ฉบับ

 

โดยมีแก่นเรื่องหลักคือการสร้างประเทศจีนให้เป็นประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 จะแล้วเสร็จในปีนี้ การประชุมครั้งนี้ได้เสนอเป้าหมายการพัฒนาหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 ได้แก่ ความสำเร็จที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพสูง การพัฒนาที่สำคัญในระดับการพึ่งพาตนเองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการปฏิรูปที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การพัฒนาที่สำคัญในระดับอารยธรรมสังคม การพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านคุณภาพชีวิตของประชาชน ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการสร้างประเทศจีนที่งดงาม และความมั่นคงแห่งชาติที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น บนพื้นฐานนี้ จีนจะมุ่งมั่นต่อไปอีก 5 ปี เพื่อให้บรรลุถึงการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในด้านความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ความแข็งแกร่งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความแข็งแกร่งด้านการป้องกันประเทศ ความแข็งแกร่งของชาติโดยรวม และบทบาทในเวทีโลกยกระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2578 โดยให้ GDP ต่อหัวอยู่ในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาปานกลาง และสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือการบรรลุถึงการพัฒนาประเทศทันสมัยในระบบสังคมนิยม จีนจะยังคงเขียนบทใหม่ให้กับปาฏิหาริย์สองประการ ซึ่งได้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมีเสถียรภาพทางสังคมในระยะยาว มีคุณูปการในการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค

 

การผลักดันการพัฒนาคุณภาพสูงและการเร่งสร้างการพึ่งพาตนเองทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพสูงเป็นภารกิจหลักของจีนในการสร้างประเทศทันสมัยในระบบสังคมนิยม สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสูงเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยยึดหลักการสร้างเศรษฐกิจเป็นภารกิจหลัก และยึดแนวคิดการพัฒนาใหม่เป็นทิศทางการพัฒนา เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและแข็งแรง รวมถึงความก้าวหน้าทางสังคมอย่างรอบด้าน

 

สิ่งสำคัญที่สุดของการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพสูงคือการเร่งสร้างการพึ่งพาตนเองทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อการพัฒนาพลังการผลิตใหม่ๆ พลังแห่งความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ที่การประยุกต์ใช้ จีนจะส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านและยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิมอย่างรอบด้าน พัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่อย่างแข็งขัน และวางแผนเชิงรุกสำหรับอุตสาหกรรมในอนาคต เร่งสร้างระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และพัฒนาเส้นทางใหม่ กล่าวคือใช้นวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีใหม่ไปพัฒนานวัตกรรมทางอุตสาหกรรมและใช้นวัตกรรมทางอุตสาหกรรมไปกระตุ้นนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จีนกำลังยกระดับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวบรวมพลังแห่งนวัตกรรม และสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรม นำมาซึ่งพลังและโมเมนตัมที่มากขึ้นให้กับการพัฒนาของตนเองและเศรษฐกิจโลก “จีนแห่งนวัตกรรม” ที่ก้าวหน้า มั่นใจ และเปิดกว้างมากขึ้น จะสร้างสะพานเชื่อมโยงการพัฒนาและความก้าวหน้าให้กับภูมิภาคและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมากยิ่งขึ้น

 

ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างมั่นคง การสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ถือเป็นภารกิจสำคัญยิ่งของชาติ เป็นจุดมุ่งหมายพื้นฐานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการสร้างความสามัคคีประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์และนำพาประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศในการต่อสู้ทุกรูปแบบ และเป็นข้อกำหนดสำคัญในการกำหนดแนวทางการพัฒนาของจีนในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 นับตั้งแต่การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 จีนได้ดำเนินมาตรการที่เข้มแข็งเพื่อสร้างหลักประกันและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เอาชนะการต่อสู้กับความยากจนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และสร้างสังคมที่มั่งคั่งปานกลางในทุกด้าน สร้างรากฐานที่มั่นคงที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน จีนจะยังคงยึดมั่นในเป้าหมายการสร้างมั่งคั่งร่วมกัน โดยดำเนินการส่งเสริมการจ้างงานที่มีคุณภาพสูงและเต็มที่ จัดการการศึกษาที่ดีตอบสนองความต้องการของประชาชน เร่งสร้างประเทศจีนที่มีสุขภาวะที่ดี และให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน จัดทำนโยบายและมาตรการที่ประชาชนเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกันเพื่อเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาที่ประชาชนชื่นใจในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 15 ยึดมั่นในการเปิดกว้างและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน

 

การเปิดกว้างในระดับสูงเป็นแรงผลักดันอันทรงพลังสำหรับการพัฒนาของจีนเองและเพื่อประโยชน์ของโลกอีกด้วย จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของกว่า 150 ประเทศและภูมิภาค ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา การค้าสินค้าและบริการของจีนอยู่ในอันดับที่หนึ่งและสองของโลก โดยมีการลงทุนในต่างประเทศเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 5% ต่อปี สร้างงานในท้องถิ่นจำนวนมาก และมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและความทันสมัยของทั้งสองฝ่ายอย่างแข็งขัน นโยบายยกเว้นวีซ่าฝ่ายเดียวของจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเปิดกว้างที่เป็นอิสระและเปิดกว้างฝ่ายเดียวของจีนกำลังขยายตัวอย่างเป็นระเบียบ เขตการค้าเสรี 22 แห่งของจีนมีมาตรฐานสูงที่สามารถสอดรับกับกฎระเบียบการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ประตูสู่โลกภายนอกของจีนจะไม่มีวันปิดลง มีแต่จะยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น จีนมีตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีพลวัตมากที่สุดในโลก และกำลังกลายเป็นสนามทดสอบความร่วมมือระดับโลกและผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ เป็นเวทีแบ่งปันผลกำไร และเป็นพื้นที่ประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติที่เป็นนวัตกรรม จีนเต็มใจที่จะทำงานร่วมกับทุกประเทศเพื่อสร้างโอกาส ส่งเสริมการพัฒนาที่เปิดกว้าง และบรรลุผลสำเร็จที่เป็นประโยชน์ร่วมกันต่อทุกฝ่าย

 

ปลายเดือนตุลาคม จีนและอาเซียนได้ลงนามในพิธีสารเพื่อยกระดับเขตการค้าเสรีเป็นเวอร์ชัน 3.0 พิธีสารฉบับนี้ประกอบด้วยบทใหม่เกี่ยวกับการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจสีเขียวเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในแนวปฏิบัติการค้าเสรีของแต่ละฝ่าย นอกจากนี้ยังกำหนดกรอบการทำงานที่เป็นระบบและข้อตกลงเชิงสถาบันสำหรับมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้า “บนชายแดน” และความร่วมมือในด้านใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ “หลังชายแดน” เช่น ความร่วมมือด้านดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งถือเป็นความมุ่งมั่นสูงสุดจากแนวปฏิบัติการค้าเสรีของจีนและอาเซียน

 

จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรสหายที่ดี ญาติมิตรที่ดี และหุ้นส่วนที่ดี มิตรภาพระหว่างสองประเทศสืบทอดกันมานับพันปี และแนวคิด “จีน ไทย พี่น้องกัน” มีมาช้านานและทวีคุณค่ามากขึ้น การเยือนไทยครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในปี 2565 ได้นำพาความก้าวหน้าครั้งใหม่ในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับความสัมพันธ์จีน-ไทย รากฐานมิตรภาพระหว่างสองประเทศเข้มแข็งยิ่งขึ้น และแรงขับเคลื่อนความร่วมมือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยต่อเนื่อง 12 ปี โดยมูลค่าการค้าทวิภาคีในปี 2567 สูงถึง 134,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้า จีนเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของไทย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 40% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย จากสถิติของไทย การส่งออกผลไม้ไปยังจีนคิดเป็น 97% ของมูลค่าการส่งออกผลไม้ทั้งหมดของไทย จีนยังเป็นแหล่งลงทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และไทยเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนในต่างประเทศมากที่สุด บริษัทไทยที่มีชื่อเสียงหลายรายเข้าร่วมงาน China International Import Expo (CIIE) อย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณธุรกรรมที่คาดการณ์ไว้สูงเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียน ความร่วมมือด้านรถไฟจีน-ไทยได้ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยและส่งเสริมการเชื่อมโยง ห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองประเทศมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวกำลังเฟื่องฟู

 

สำหรับอีก 5 ปีข้างหน้า จีนจะยังคงเดินหน้าพัฒนาความทันสมัยแบบจีน ขยายการเปิดกว้างในระดับสูงอย่างมั่นคง สร้างภูมิทัศน์ใหม่ของความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ และส่งเสริมการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมวลมนุษยชาติ แผนงานและการดำเนินงานเหล่านี้มีความสอดคล้องอย่างยิ่งกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของไทย ซึ่งเปิดโอกาสความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งมิติการค้า พลังงานใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล และการเกษตรสมัยใหม่จะมีโอกาสความร่วมมือที่เพิ่มมากขึ้น จีนยินดีที่จะร่วมมือกับไทยเพื่อส่งเสริมการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่กระบวนการพัฒนาความทันสมัยของทั้งสองประเทศ และมีส่วนร่วมมากขึ้นในการสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค

 

ภาพ: Reuters / ShutterStock

The post เดินหน้าพัฒนาความทันสมัยแบบจีน และร่วมกันสร้างอนาคตใหม่สำหรับการพัฒนาร่วมกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? https://thestandard.co/la-dodgers-destroy-baseball/ Fri, 07 Nov 2025 05:28:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1140638 แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 1

เจสัน เคลซี่ พี่ชายของแฟนเทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นแฟนทีมเบส […]

The post แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 1

เจสัน เคลซี่ พี่ชายของแฟนเทย์เลอร์ สวิฟต์ เป็นแฟนทีมเบสบอล ฟิลาเดลเฟีย ฟิลลี่ส์ เพิ่งด่าทอ แอลเอ ด็อดเจอร์ส ออกรายการพอดแคสต์ตัวเองว่าใช้เงินซื้อแชมป์ สองสมัยติด

 

แม้ แทรวิส เคลซี่ น้องชายไม่เห็นด้วย แต่ เจสัน ก็ไม่ยอม”เบสบอล ห่วยแตก คุณใช้เงินซื้อตำแหน่งแชมป์ มันกลายเป็นเรื่องโง่สุดของโลก”

 

รอบชิงเวิลด์ซีรีส์ครั้งนี้ เป็นทีมจาก สหรัฐฯ อย่าง ด็อดเจอร์ส สู้กับ โตรอนโต บลู เจย์ส ทีมจาก แคนาดา ก็จริง

 

แต่อย่าคิดว่า กระแสจะเทมาทาง ด็อดเจอร์ส นะครับ

 

พวกเขาอาจมีกองเชียร์อยู่ประมาณหนึ่ง แต่กองแช่งหมั่นไส้ทีมเงินถุงเงินถังมีมากกว่าอีก กล่าวหาว่าทำลายวงการ

 

ทำลายวงการยังไง ทำไม กระแสดีจัง

 

เบสบอลในสหรัฐฯ ผ่านความรุ่งเรือง เมื่อยุค 70, 80 มานานมากแล้ว

 

กระแสตกพักใหญ่

 

กระทั่ง มาร์ค วอลเตอร์ เจ้าของทีมเข้ามากอบกู้ ด็อดเจอร์ส และกลายเป็นแชมป์สองสมัยซ้อน

 

แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 2

 

พวกเขา ดวลสู้ บลู เจย์ส อย่างเร้าใจ มีเพลย์บีบหัวใจ แบบไปกลับเกิดขึ้นมากมาย

 

เกมสามต้องสู้กันยาวเหยียด 18 อินนิ่ง

 

เกมเจ็ดตัดสินชะตา ก็ต้องสู้ถึง 11 อินนิ่ง

 

ทำเอาหลายคนต่างยกย่องว่านี่คือ เกมเจ็ด ดีสุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ นี่คือ การทำลายวงการ? คุณแช่งไม่ขึ้นมากกว่ามั้ง?

 

อเล็กซ์ รอดริเกวซ ตำนานทีม นิวยอร์ก แยงกี้ส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของทีมบาส มินนิโซต้า ทิมเบอร์วูล์ฟส ยกย่องว่า”ในชั่วชีวิตของผม นี่คือ เวิลด์ซีรีส์ ยิ่งใหญ่สุด ที่ผมเคยดูมาแล้ว”

 

หลายทีมดัง ต่างเคยมีโอกาสจะได้ตัว แกนหลัก ด็อดเจอร์ส

 

แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 3

 

นิวยอร์ก แยงกี้ส์ เคยยื่นข้อเสนอให้ โยชิโนบุ ยามาโมโตะ 300 ล้านเหรียญ

 

แต่ไม่ได้ตัวยอดพิตเชอร์ ญี่ปุ่นไปครอง

 

ด็อดเจอร์ส ยื่นให้ 325 ล้านเหรียญ(10,725 ล้านบาท)

 

ตอนนั้นสื่อและแฟนๆ แขวะว่า มีเงินแต่ไม่มีความคิด กล้าจ้าง พิตเชอร์ ไม่เคยปาลูก ใน เมเจอร์ลีก เบสบอล แพงขนาดนั้น เชิญเหอะ

 

เพียงสองซีซั่น โยชิโนบุ คือ เอ็มวีพี เวิร์ล ซีรี่ส์

 

สามเกมในรอบชิง เขาขว้างระดับเทพ
โดยเฉพาะ เกมสอง กวาดคนเดียว 9 อินนิ่ง
เกมตัดสินก็ลงมาขว้างปิดกล่อง ส่งผลให้ ด็อดเจอร์ส กลายเป็นแชมป์

 

แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 4

 

บลู เจย์ส เคยเกือบ ได้ โชเฮ
แอตแลนต้า เบรฟส์ ปล่อย เฟร็ดดี้ ฟรีแม่น ออกมาเอง
บอสตัน เร้ดซ็อกซ์ เทรด มูกี้ เบตต์ส มาให้

 

ส่วน แยงกี้ส์ ก็ งกส่วนต่าง 25 ล้านเหรียญ

 

การมี ทีมที่เก่งกาจ มีซูเปอร์สตาร์ ไม่น่าทำลายวงการ

 

ชิคาโก้ บูลล์ส ยุคสมัย ไมเคิ่ล จอร์แดน ครองความยิ่งใหญ่ใน NBA หรือ กระแสโกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส สมัยยังฟาดฟันกับ คลีฟแลนด์ แคฟเวเลียร์ส ของ เลอบรอน เจมส์

 

แม้แฟนหลายคน จะพูดทำนอง น่าเบื่อ เจอกันบ่อยเกิน แต่นั่นคือยุค ที่เรตติ้ง ไม่น้อยเลย

 

อย่าง NFL เอง สมัยที่ ทอม เบรดี้ พา นิว อิงแลนด์ เพเทรียตส์ ครองลีก ก็มีทั้ง กองเชียร์ และ กองแช่ง กระตุกเรตติ้งเช่นกัน

 

คนอเมริกันดูเกมตัดสิน เวิร์ล ซีรี่ส์ คราวนี้ 26.8 ล้านราย มากสุดนับจาก 2017 (สมัยนั้น ด็อดเจอร์ส ก็ชิง)

 

แต่มันเหมือนเป็นเกมระดับนานาชาติเพราะคู่แข่งมาจาก แคนาดา

 

ยอดคนดู แคแนเดี้ยน อีก 18.5 ล้านราว 40% ของประชากรในชาติ
ส่วน ญี่ปุ่น อีก 21.9 ล้าน รวมกันก็ปาเข้าไป 60 ล้านแล้ว

 

กระแสตื่นตัว ทีมบุญทุ่ม อย่างด็อดเจอร์ส กระเพื่อมมาถึง ประเทศไทย อย่างน่าแปลกใจ

 

เสียดายเราไม่มีเรตติ้ง ในการวัด

 

คิดดูว่า ขนาดสมัย จอห์นนี่ เดม่อน นักเบสบอลระดับ ซูเปอร์สตาร์ เป็นลูกครึ่งไทย กลับแทบไม่มีใครรู้จัก

 

อาจเพราะ เดม่อน ดังเมื่อเกือบ 20 ปี สมัยที่โลกยังไม่มี โซเชียล มีเดีย

 

เขาเคยมาเล่นให้ เบสบอลทีมชาติไทย ซึ่งผมเคยบรรยาย ก็แทบไม่เป็นข่าว
ทั้งๆ ในสหรัฐฯ กลับรู้สึก ฮือฮามากกว่า

 

ทำไม เบสบอล กีฬาที่เหมือนจะย่อยยาก ถึงเกิดเป็นกระแส

 

เหมือนกับเมื่อราว 40 ปีก่อน ที่คนในเจนเอ๊กซ์ แบบผม เคยหลงใหล การ์ตูน เบสบอล แบบ ทัช

 

ฉากที่ คัทจัง ตาย กลายเป็นเรื่องช็อกของวงการคนอ่าน

 

ตรงนั้น ต้องยกเครดิต ให้ กับคนวาด และวางพล็อตเรื่อง อย่าง อาดาจิ มิซึรุ

 

ทำให้ เบสบอล ซึ่งเป็นเรื่องไกลตัว กลับย่อยให้เข้าใจง่าย จากลายเส้น และเรื่องราว

 

ยุคปัจจุบันข่าว เบสบอล ไม่สิ ต้องบอกว่า ข่าว แอลเอ ด็อดเจอร์ส ลงในหลายเพจ หรือแม้แต่เพจของผมเอง คนกดไลก์ กันเป็นพันๆ แชร์กันอย่างมหาศาล

 

คำตอบก็คือ โชเฮ โอห์ตานิ

 

แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 5

 

เรื่อง แคแรกเตอร์ ความเก่งกาจ เชื่อว่า หลายคนคง อ่านกันมาจากหลายสื่อ หรือแม้แต่ที่ผมเคยเขียนไปก่อนหน้า

 

กีฬาอะไรก็ตาม มันจะดูง่ายขึ้น ถ้ามีทีมเชียร์ มีคนเชียร์ ที่สำคัญทีมนั้นดันเก่ง

 

แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 6

 

เราเริ่มอิน กับ โชเฮ

 

ตอนที่ ทีมชาติญี่ปุ่น ลงแข่งชิงแชมป์โลก ปี 2023 พอดีทางทรูวิชั่นส์ ถ่ายทอดสด และมีคนบรรยาย เพื่ออธิบายกฎกติกา

 

ฉากปิดที่เขาต้องดวลกับ ไมค์ เทราท์ เพื่อนร่วมทีม แอลเอ แองเจิ้ลส์ มันยังกับฉากในหนังการ์ตูน

 

ก่อนที่ โชเฮ จะนำพาทีมชาติญี่ปุ่น ครองแชมป์สำเร็จ

 

แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 7

 

จังหวะและเวลาก็มีส่วน

 

ถ้า วอลเตอร์ ไม่เอา โชเฮ เข้าทีม ปล่อยเขา ยังจมอยู่กับ แองเจิ้ลส์ กระแส ก็คงไม่แรงต่อเนื่อง

 

หรือถ้าคู่ชิง เป็น มิลวอคกี้ บรูวเวอร์ส หรือทีมอะไรก็ตาม หลุดเข้ามาแทน ด็อดเจอร์ส กระแสก็ติดยาก

 

การมาของ โยชิโนบุ พิตเชอร์ เพื่อนร่วมชาติ ก็อิมพอร์ต จาก ญี่ปุ่น

 

ต่อด้วย โรกิ ซาซากิ ถือเป็นจุดขาย อย่างสบาย

 

แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? 8

 

ขนาด โชเฮ ย้ายมาปีแรก บาดเจ็บ ปาลูกไม่ได้ ยังสร้างผลงานระดับ ประวัติศาสตร์ MLB 50/50 ทั้ง ตีโฮมรัน และ การขโมยเบส

 

แม้รอบชิง 2024 จะบาดเจ็บเพิ่มหนัก เอ็นไหล่ซ้ายฉีก เกมสอง จนได้แค่ประคองตัวช่วงที่เหลือ

 

ด็อดเจอร์ส ก็ยังคว้าแชมป์ พร้อมทำให้ โชเฮ ได้แชมป์เบสบอลอาชีพ สมัยแรกในชีวิต

 

ปีนั้น โชเฮ ถูกเลือก เป็นเอ็มวีพี อย่างเป็นเอกฉันท์

 

สร้างประวัติศาสตร์ เป็นคนแรกที่ ได้ เอ็มวีพี เอกฉันท์ สามสมัย และเป็นเอ็มวีพี เอกฉันท์ ทั้ง ฝั่ง อเมริกัน และ เนชั่นแนลลีก

 

(MLB ในความจริงมี สองลีก นะครับ ทำให้ มี เอ็มวีพี สองคน เผื่อบางท่านอาจยังไม่ทราบ)

 

เขายังได้ครอง นักกีฬาชายยอดเยี่ยมแห่งปี ของสำนักข่าวใหญ่ AP สมัยสาม มากสุดลำดับสองตลอดกาล เทียบเท่า ไมเคิ่ล จอร์แดน ตำนานของ NBA

 

คนไทยเราเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น แค่คุณจะขึ้นเครื่อง เจแปน แอร์ไลน์ ก็ต้องเจอหน้า โชเฮ แล้ว

 

หรือใช้สายการบินอื่น พอลงไป ก็ต้องเจอหน้าเขา ตั้งแต่ โฆษณา ข้าวปั้น, ครีมกันแดด ที่สำคัญ คือชาเขียวแบรนด์ดัง

 

พอไปช็อปปิ้ง เอาต์เลต ก็ต้องเจอแผ่นป้าย โชเฮ อีก

 

มาปีนี้ โชเฮ กลับมารับงานสองหน้าที่

 

เป็น พิตเชอร์ เพื่อปาลูก อีกครั้ง แม้ไม่มากมายเหมือนสมัยอยู่ แองเจิ้ลส์ แต่ก็ถือว่า เหนียวแน่น ใช้ได้

 

ส่วนเกมบุก เขาตีโฮมรัน อย่างร้อนแรง หวดรวม 55 ลูก มากสุดในอาชีพ ลบสถิติแฟรนไชส์ ที่เคยทำเอาไว้ปีก่อน

 

มีหลายคน ถามผมว่า โชเฮ พอจะเป็นตำนาน หรือว่า GOAT แห่งเบสบอล ได้หรือยัง?

 

ผมไม่ได้ช่ำชองหรือ มีประสบการณ์ เบสบอลพอ จะบอกได้หรอกครับ

 

เอาแค่ว่า

 

นอกจากสถิติ 50/50 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นประวัติศาสตร์ที่ โชเฮ สร้างขึ้น

 

หรือ สดๆร้อนๆ อย่าง เกมสี่ การชิงแชมป์ เนชั่นแนลลีก ปราบ มิลวอคกี้

 

โชเฮ ทั้งขว้าง หกอินนิ่ง ไม่เสียรัน ทำให้ตัวตีคู่แข่งออก สิบคน และยังลงเล่นเกมบุก หวด สามโฮมรัน

 

มันไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

 

ตอนนี้ ก็สะสมแชมป์ มาแล้วสองสมัย

 

เมื่อเริ่มรู้จัก เบสบอล ผมรู้จัก เบ้บ รูธ แชมป์ เจ็ดสมัย, โยกิ เบอร์ร่า แชมป์ 13 สมัย แต่นั่นก็คือ เบสบอลยุคเก่า แทบไม่มีใครเกิดทันดู

 

เอาเป็นว่า โชเฮ ขึ้นไปยืนอยู่ในกลุ่มที่มีชื่อ รูธ, จอร์แดน, เบรดี้, เวย์น เกรตซกี้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ แบบไม่ต้องเคอะเขิน

 

(ผมเขียนต้นฉบับตอนที่ MLB ยังไม่ประกาศผล เอ็มวีพี โดยเชื่อว่า เขาจะได้อีกครั้ง)

 

เริ่มต้นด้วยเรื่อง ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการ เบสบอล วกกลับมาจบที่ โชเฮ จนได้

The post แอลเอ ด็อดเจอร์ส ทำลายวงการเบสบอล? appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI แทน + ตลาดแรงงานไม่เหมือนเดิม เด็กจบใหม่ต้อง ‘เก่ง-เร็ว’ แค่ไหนจึงจะรอด? https://thestandard.co/key-takeaway-survive-the-ai-job-market/ Fri, 07 Nov 2025 00:00:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1140499

ตลาดแรงงานตอนนี้ไม่ได้ต้องการแค่คนทั่วไป คนที่เชี่ยวชาญ […]

The post AI แทน + ตลาดแรงงานไม่เหมือนเดิม เด็กจบใหม่ต้อง ‘เก่ง-เร็ว’ แค่ไหนจึงจะรอด? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลาดแรงงานตอนนี้ไม่ได้ต้องการแค่คนทั่วไป คนที่เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง หรือเป็ดที่มีหลากหลายฟังก์ชันแต่ไม่เด่นสักอย่าง แต่เป็น ‘เป็ดตึง’ ที่นอกจากมีหลายฟังก์ชัน แล้วยังเชี่ยวชาญมากกว่าหนึ่งด้านอีกด้วย

 

นั่นคือสิ่งที่ ซีเค เจิง CEO of Fastwork และ กรวุฒิ ลาภปรารถนา CEO of TechUp เห็นตรงกัน ระหว่างบทสนทนาบนเวที ‘Future of Work: Empowering the Next Generation สร้างโอกาสงานให้เด็กจบใหม่ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง’ ภายในงาน THE STANDARD Economic Forum 2025

 

โลกการทำงานใหม่: AI ไม่ได้มาแทนที่ ‘คน’ แต่แทนที่ ‘งานน่าเบื่อ’

 

ภูมิทัศน์ตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง AI ไม่ได้เข้ามาเพื่อแย่งงานมนุษย์ทั้งหมด แต่จะเข้ามาทดแทนงานที่เราไม่อยากทำ เช่น งานเอกสาร งานคีย์ข้อมูล หรืองานบริการลูกค้าที่ต้องเจอกับอารมณ์ที่หลากหลาย AI จะบังคับให้มนุษย์ต้องยกระดับตัวเองขึ้นไปทำในสิ่งที่สร้างสรรค์และมีคุณค่ามากกว่าเดิม

 

ซีเคชี้ว่ามี 2 กลุ่มที่หางานยากที่สุดในยุคนี้ คือ ‘ผู้บริหารอาวุโส’ อายุ 45-60 ปีขึ้นไป ที่มีอีโก้สูง ปรับตัวช้า และไม่ยอมรับเทคโนโลยีใหม่ และ ‘เด็กจบใหม่’ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ เพราะองค์กรยุคนี้ต้องการคนที่พร้อมทำงานทันทีมากกว่าต้องมาสอนใหม่

 

กรเสริมว่า ความคาดหวังต่อเด็กจบใหม่ในอดีตคือการทำตามคำสั่งและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ AI สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีกว่า เหนื่อยน้อยกว่า และต้นทุนถูกกว่า เพียงเดือนละประมาณ 700 บาท เป็นค่า Subscribe เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม โอกาสอยู่ที่หัวหน้าหรือผู้บริหารส่วนใหญ่ยังใช้ AI ไม่เป็น เด็กจบใหม่ (Digital Natives) ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีอยู่แล้ว หากสามารถใช้ AI เป็น และเข้าไปช่วยองค์กรทำ Automation ได้ จะกลายเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก

 

‘เป็ดที่ตึง’ กลยุทธ์คว้าโอกาสของคนรุ่นใหม่

 

เมื่อ AI กลายเป็น ‘เป็ดที่เก่งมาก’ (Generalist) ที่รู้กว้างในทุกเรื่อง ทางรอดของมนุษย์คือการเป็น ‘เป็ดที่ตึง’ ซึ่งหมายถึง Specialist ที่เก่งรอบด้าน

 

ซีเคเน้นว่าต้องเก่งให้ลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อน เพื่อที่จะเป็นคนที่บอกได้ว่าสิ่งที่ AI ตอบนั้นถูกหรือผิด และยังต้องกว้างขวางในทักษะรอบๆ สายงานตัวเอง เพื่อจะเป็นคนแบบ ‘One Stop Service’ ได้

 

กรเสริมว่า นอกจากความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง คุณต้องมีทักษะทั่วไป ที่จำเป็น 3 อย่างคือ

 

1. การแก้ปัญหาเชิงตรรกะ

2. การสื่อสาร

3. การเรียนรู้ด้วยตนเอง

 

และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับเด็กจบใหม่ก็คือ ‘พอร์ตฟอลิโอ’ ในโลกความจริง ถ้ายังไม่มีใครจ้าง ก็จงสร้างผลงานขึ้นมาเอง เช่น ทำโฆษณาให้แบรนด์เองฟรีๆ แล้วโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย หรือหาแพลตฟอร์มรับจ้างทำงานฟรีแลนซ์เพื่อเป็นแหล่งเก็บผลงาน

 

ภาครัฐต้องเปลี่ยนบทบาท: จาก ‘ผู้เล่น’ สู่ ‘ผู้สนับสนุน’

 

การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในบทบาทที่ถูกต้อง รัฐควรต้องมองว่าอะไรคือปัญหาของวิกฤติเด็กจบใหม่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างในปัจจุบัน และหาทางแก้ที่ต้นเหตุจริงๆ มากกว่าปลายเหตุ

 

กรเสนอให้ภาครัฐนำโมเดลอย่างสิงคโปร์หรือฝรั่งเศสมาใช้ คือการให้ ‘Learning Credit’ (งบประมาณ) แก่ประชาชน เพื่อนำไป Upskill ในหลักสูตรที่ได้รับการรับรองว่าเป็นที่ต้องการของตลาด และมีข้อมูลชัดเจนว่าผู้เรียนจบแล้วได้งานจริง

 

นอกจากนั้น ปัญหาคือภาครัฐพยายามเป็น ‘ผู้เล่น’ ในทุกอุตสาหกรรม ทั้งที่คนเก่งที่สุดอยู่ที่ภาคเอกชน แท้จริงแล้วหน้าที่ของรัฐคือการเป็นผู้ ‘สร้างสิ่งแวดล้อม’ (Enabler) ให้ผู้ประกอบการเติบโตได้ เช่น การศึกษา การท่องเที่ยว หรือการเกษตร และที่เหลือให้เอกชนได้ไปตามทางของตัวเอง

 

วิกฤตตลาดแรงงานครั้งนี้ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง ในขณะที่เด็กจบใหม่กำลังเผชิญปัญหา พวกเขาไม่มีอำนาจมากพอจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

 

องค์กรต้องเปลี่ยนวิธีประเมินคุณค่าคน และภาครัฐต้องเลิกเป็นผู้เล่นและหันมาสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของเอกชน หากทั้งสามส่วนร่วมมือกัน เราจึงจะสร้างอนาคตของตลาดแรงงานไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตนี้ได้

The post AI แทน + ตลาดแรงงานไม่เหมือนเดิม เด็กจบใหม่ต้อง ‘เก่ง-เร็ว’ แค่ไหนจึงจะรอด? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจ 3 ปัจจัย ‘คน-กระบวนการ-เทคโนโลยี’ เหตุผลที่องค์กรไทยเริ่มทำ AI แล้ว ‘ยังไปไม่สุด’ https://thestandard.co/key-takeaway-why-thai-ai-stalls/ Thu, 06 Nov 2025 13:01:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1140493

AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป องค์กรไทยส่วนใหญ่ได้ R […]

The post สำรวจ 3 ปัจจัย ‘คน-กระบวนการ-เทคโนโลยี’ เหตุผลที่องค์กรไทยเริ่มทำ AI แล้ว ‘ยังไปไม่สุด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป องค์กรไทยส่วนใหญ่ได้ ‘เริ่ม’ เดินหน้ากันอย่างจริงจังแล้ว สัญญาณบวกคือ 40% ขององค์กรระบุว่าผู้นำระดับสูงมีส่วนร่วมอย่างมาก และมองว่า AI คือวาระสำคัญระดับผู้บริหาร

 

พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้สรุปภาพใหญ่ไว้อย่างน่าสนใจ บนเวที Tech Stage ในงาน THE STANDARD Economic Forum 2025 หัวข้อ Thailand’s AI-Driven Leadership Partner with Bluebik ว่า แม้หลายองค์กรจะเริ่มลงทุนด้าน AI แล้ว แต่ ‘การขยายผล’ เพื่อให้เกิดผลกระทบทั่วทั้งองค์กรนั้น ยังถือเป็นความท้าทายใหญ่ ทำให้การใช้ AI เพื่อสเกลองค์กรยังไปไม่สุด

 

3 อุปสรรคสำคัญที่กำลัง ‘ติดค้าง’ อยู่ในองค์กรไทย ได้แก่

 

1. คน (People): วัฒนธรรมและทักษะที่ยังไม่ทันเกม

 

อุปสรรคอันดับหนึ่งที่องค์กรไทยเห็นพ้องกันคือ ‘ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI’ ซึ่งข้อมูลชี้ชัดว่าเป็น Pain Point สูงสุดขององค์กรไทยถึง 20%

 

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ องค์กรส่วนใหญ่ยังไม่เร่งสร้างคนจากภายใน โดยเกือบครึ่งขององค์กรยังอบรมพนักงานด้าน AI ไม่ถึง 10%

 

อีกจุดอ่อนใหญ่คือผู้นำด้าน AI ที่ยังขาดแคลน ปัจจุบัน 40% ของโครงการ AI ถูกนำโดยฝ่าย IT ขณะที่มีองค์กรเพียง 11% เท่านั้นที่มีผู้บริหารหรือทีมเฉพาะด้าน AI โดยตรง

 

ผลที่ตามมาคือการทำงานแบบไซโล การสื่อสารระหว่างทีมธุรกิจกับทีมเทคนิคไม่ลื่นไหล โดยมีถึง 57% ขององค์กรที่ระบุว่า ‘ขาดความเข้าใจร่วมกัน’ และอีก 48% ที่ชี้ว่า ‘มีช่องว่างด้านการสื่อสาร’

 

2. กระบวนการ (Process): มีเครื่องมือแต่ไร้กฎกติกา

 

เพียง 15% ขององค์กรไทยเท่านั้นที่มีกรอบการกำกับดูแล AI อย่างเป็นทางการ ขณะที่อีก 40% อยู่ในระหว่างพัฒนา และที่น่าตกใจคือ 27% ระบุว่าการบริหารความเสี่ยง AI ‘ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ’

 

เมื่อไม่มีกฎกติกาที่ชัดเจน การวัดผลของ AI จึงกระจัดกระจาย 20% ขององค์กรยัง ‘ไม่ได้วัดผล AI เลย’ และแม้องค์กรส่วนใหญ่ถึง 65% จะวัดผลโดยอิงกับ ‘ประสิทธิภาพ’หรือ ‘ROI’ ถึง 47% แต่กลับมีเพียง 20% เท่านั้นที่ลงทุนเพื่อจุดประสงค์ด้านนวัตกรรม

 

3. เทคโนโลยี (Technology): พึ่งพา “เช่าใช้” มากกว่า “สร้างเอง”

 

ในยุคที่เทคโนโลยีพร้อมใช้งานแบบ Plug-and-Play องค์กรไทยจำนวนมากกำลังเลือกทางลัดที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาว

 

54% ขององค์กรใช้โมเดล AI/ML จากผู้ให้บริการคลาวด์ ขณะที่อีก 42% ใช้ Pre-trained Models และ APIs จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ เช่น OpenAI หรือ Google Vertex AI มีเพียง 35% เท่านั้นที่พัฒนาโมเดลขึ้นเองภายในองค์กร

 

การพึ่งพาโซลูชันสำเร็จรูปในฟังก์ชันเชิงกลยุทธ์ อาจส่งผลให้ขาดความสามารถแข่งขันในอนาคต โดยเฉพาะหากไม่สามารถปรับเทคโนโลยีให้เข้ากับบริบทเฉพาะของไทยได้

 

ปลดล็อก AI ด้วย 6 องค์ประกอบหลัก

 

เมื่อเห็นปัญหาชัดเจน พชรจึงเสนอ ‘พิมพ์เขียว’ ที่จะปลดล็อกศักยภาพ AI ให้เกิดผลจริง ด้วยการจัดการ 6 องค์ประกอบสำคัญ ภายใต้ 3 เสาหลัก

 

เสาที่ 1: ยกระดับ “คน” (People)

 

  • AI Leadership: ต้องเปลี่ยน AI ให้เป็นวาระของ C-Suite ไม่ใช่แค่เรื่องของ IT
  • AI Workforce: เร่ง Upskill พนักงานเดิม และยกระดับ AI Literacy ให้ทั่วถึงทั้งองค์กร ไม่ใช่ฝึกอบรมแค่ไม่ถึง 10%
  • Cross-functional Collaboration: ต้องสร้างสะพานเชื่อมทีมเทคนิคและธุรกิจ พร้อมจัดการปัญหาการสื่อสารและความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน

 

เสาที่ 2: วางระบบ “กระบวนการ” (Process)

 

  • Governance: สร้างกฎกติกาที่ชัดเจน โดยเริ่มจาก Data Governance, Regulatory Compliance และ Risk Management
  • Performance Metrics: เปลี่ยนวิธีวัดผลจาก ROI เพียงอย่างเดียว ไปสู่การวัดแบบองค์รวม เช่น OKRs, Customer Satisfaction และ Employee Adoption

 

เสาที่ 3: สร้าง “เทคโนโลยี” (Technology)

 

  • AI/ML Solutions: ลดการพึ่งพาโซลูชันสำเร็จรูป และสร้าง Core Capability 3 ด้าน ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรเป็นเจ้าของ ความสามารถในการปรับแต่งโมเดลให้เข้าใจบริบทไทย และการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ที่ฝังอยู่ในกระบวนการหลักของธุรกิจ

 

AI จะเปลี่ยนองค์กรได้จริงหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเริ่มหรือยัง แต่อยู่ที่ว่า กล้าปรับทั้ง “คน–กระบวนการ–เทคโนโลยี” พร้อมกันหรือเปล่า

 

ลองเริ่มต้นด้วยการ เช็ก 6 องค์ประกอบหลัก ดังนี้

 

  • ผู้นำมีวิสัยทัศน์เรื่อง AI หรือยัง?
  • คนในองค์กรเข้าใจและใช้งาน AI ได้จริงแค่ไหน?
  • กระบวนการรองรับชัดเจนหรือยังมีช่องโหว่?
  • วัดผลถูกจุดหรือยังยึดแค่ ROI?
  • เทคโนโลยีที่ใช้อยู่ “เช่า” หรือ “สร้าง”?
  • เรามีความสามารถด้าน AI ที่เป็นของตัวเองแล้วหรือยัง?

 

เพราะการขับเคลื่อน AI ให้เกิดผลจริง ไม่ใช่แค่เรื่องของงบประมาณหรือเครื่องมือ แต่คือเรื่องของการ ‘เลือกลงทุนในสิ่งที่ใช่’ และ ‘ทำให้คนทั้งองค์กรเติบโตไปกับมันได้’

The post สำรวจ 3 ปัจจัย ‘คน-กระบวนการ-เทคโนโลยี’ เหตุผลที่องค์กรไทยเริ่มทำ AI แล้ว ‘ยังไปไม่สุด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุขภาพดีไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่คือ “ความมั่งคั่ง” ใหม่ของประเทศไทย https://thestandard.co/key-takeaway-health-the-new-wealth/ Thu, 06 Nov 2025 12:55:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1140490

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เมื่อจำนวนผู้เสียช […]

The post สุขภาพดีไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่คือ “ความมั่งคั่ง” ใหม่ของประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มมากกว่าเด็กเกิดใหม่ และคนไทยมีชีวิตที่ยืนยาวแต่ไม่แข็งแรง โลกหลังจากนี้จึงไม่ได้ตั้งคำถามแค่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ถึงกี่ปี แต่ถามว่า “เราจะมีชีวิตดีได้อีกกี่ปี?”

 

หมอแอมป์-นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort ได้ชักชวนให้ผู้ฟังคิดตามว่า ‘สุขภาพดี’ เป็นไปได้มากกว่าแค่เรื่องส่วนตัว แต่สามารถเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจได้ด้วย บนเวที ‘The Wellness Frontier: Redefining Health, Wealth and the Future of Thailand’ ภายในงาน The Standard Economic Forum 2025

 

วิกฤตสุขภาพที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้างประชากร

 

ไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด ภายในปี 2576 เมื่อคนอายุเกิน 60 ปีจะมีสัดส่วนมากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ
ในขณะที่ปี 2567 อัตราเด็กเกิดใหม่ลดต่ำสุดในรอบ 75 ปี เหลือเพียง 462,000 คน แต่กลับมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 570,000 คน ผลลัพธ์คือจำนวนประชากรไทยติดลบเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน

 

และแม้คนไทยจะมีอายุขัยเฉลี่ยถึง 77 ปี แต่อายุที่สุขภาพยังดีจริงมีเพียงราว 67 ปีเท่านั้น นั่นหมายความว่าคนไทยใช้เวลาราวหนึ่งทศวรรษสุดท้ายของชีวิตอยู่กับโรคเรื้อรัง ตั้งแต่เบาหวาน ความดัน ไปจนถึงโรคหัวใจ ซึ่งทั้งหมดคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 380,000 คนต่อปี เฉลี่ย 44 คนต่อชั่วโมง

 

เมื่อสุขภาพกลายเป็นเศรษฐกิจ

 

“สุขภาพดีแค่ไหนถึงจะทำให้ประเทศมั่งคั่งได้?”

 

ข้อมูลจาก Global Wellness Institute (GWI) ชี้ว่าในปี 2566 มูลค่าเศรษฐกิจเวลเนสทั่วโลกสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และจะพุ่งทะยานเป็น 8.9 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ภายในปี 2571 เติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของ GDP โลก (4.8%) อย่างชัดเจน

 

แนวโน้มนี้สะท้อนว่าความมั่งคั่งของชาติในอนาคตอาจไม่ได้วัดกันที่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อีกต่อไป แต่จะวัดกันที่สุขภาวะมวลรวมของประชากร (Gross Wellness of People) การมีพลเมืองที่สุขภาพดี มีผลิตภาพสูง และไม่ต้องใช้ทรัพยากรทางการแพทย์เกินจำเป็น

 

ศักยภาพเวลเนสไทย: จุดแข็งที่โลกจับตา

 

ในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ไทยคือหนึ่งในดาวรุ่งของเศรษฐกิจสุขภาพ มูลค่าตลาดเวลเนสของไทยล่าสุดแตะ 40.5 พันล้านดอลลาร์ฯ เติบโตถึง 28.4% ในปีเดียวโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่ขยายตัวกว่า 119.5% ครองอันดับ 2 ของโลก รองจากจีนเท่านั้น

 

เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Wellness Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบและเป็นเอกลักษณ์ของไทย ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยนี้

 

  • อาหารไทยเพื่อสุขภาพที่ผู้บริโภคยินดีจ่ายแพงขึ้น 10–20% เพื่อเกษตรอินทรีย์
  • สมุนไพรไทย ที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ในอาเซียน มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท
  • การแพทย์แผนไทยทางการแพทย์ ที่ผสานภูมิปัญญาโบราณเข้ากับเทคโนโลยีทันสมัย เช่น MRI และ Shockwave Therapy

 

ขณะเดียวกัน มิติของสุขภาวะจิตวิญญาณก็สำคัญ งานวิจัยยืนยันว่าการฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอสามารถลดระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ได้ถึง 25–30% สะท้อนว่า “สุขภาวะ” ไม่ได้หมายถึงร่างกายเท่านั้น แต่รวมถึงสมดุลของใจด้วย

 

แนวคิดสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การดูแลสุขภาพในฐานะปัจเจกบุคคล แต่คือการมองสุขภาพในฐานะทุนทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

ดังที่ดร. ตนุพล ได้กล่าวว่า เมื่อคนมีร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่มั่นคง และจิตวิญญาณที่ตั้งมั่นในคุณค่า ประเทศก็จะมีพลเมืองที่พร้อมสร้างอนาคตใหม่ไปด้วยกัน เราจะไม่เพียงเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังเป็น ‘ฟันเฟืองเศรษฐกิจ’ ที่มีศักยภาพสร้างพลังการผลิตและนวัตกรรมใหม่ให้สังคมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

 

รัฐอาจมีบทบาทในการช่วยสนับสนุน Wellness Ecosystem ที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ลืมตาอ้าปาก เพื่อรองรับตลาดที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด สูงถึง 119.5% และครองอันดับสองในภูมิภาค โดยจะกลายเป็น ‘ฟันเฟืองเศรษฐกิจ’ ที่ทรงพลังที่สุด เพื่อสร้างอนาคตใหม่ให้ประเทศไทยในพรมแดนเวลเนสโลก

The post สุขภาพดีไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง แต่คือ “ความมั่งคั่ง” ใหม่ของประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
จบเรื่องเจรจาทางการค้า จบรอบพักฐานราคาทองคำ https://thestandard.co/opinion-trade-talks-end/ Thu, 06 Nov 2025 08:19:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1140328 จบเรื่องเจรจาทางการค้า จบรอบพักฐานราคาทองคำ

ในเดือนตุลาคม 2025 ราคาทองคำได้ขึ้นทำ All Time High ที่ […]

The post จบเรื่องเจรจาทางการค้า จบรอบพักฐานราคาทองคำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จบเรื่องเจรจาทางการค้า จบรอบพักฐานราคาทองคำ

ในเดือนตุลาคม 2025 ราคาทองคำได้ขึ้นทำ All Time High ที่ระดับ 4,381 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนับเป็นการปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้ากว่า 500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือกว่า +13% อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นในวันที่ 21 ตุลาคม ราคาทองคำได้ย่อตัวลงกว่า 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือกว่า -5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในรายวันที่รุนแรงมากที่สุดในรอบ 5 ปี ท่ามกลางความผันผวนจากหลากหลายประเด็น ทั้งนโยบายการเงินของ Fed, สถานการณ์ Government Shutdown และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่เริ่มคลี่คลาย

 

ณ ปัจจุบัน ราคาทองคำพยายามยืนเหนือโซน 3,900-4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเสร็จสิ้นการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งนำทัพโดย ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และ ‘สี จิ้นผิง’ โดยการประชุมดังกล่าวนั้นไม่มีการลงนามข้อตกลงหรือแถลงการณ์ อย่างไรก็ดี มีการเปิดเผยข้อตกลงเบื้องต้นในภายหลังว่า สหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเหลือ 47% จากเดิม 57% และปรับลดภาษีเฟนทานิลเหลือ 10% จากเดิม 20% เพื่อแลกกับการที่จีนกลับมาซื้อถั่วเหลือง และผ่อนปรนข้อจำกัดส่งออก Rare Earths หนึ่งปี

 

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำนั้นไม่ได้ปรับตัวลงหลังสถานการณ์ทางการค้าที่คลี่คลาย เนื่องจากราคาได้ตอบสนองเชิงลบไปพอสมควรแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับการที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เผยว่าจะเดินทางเยือนจีนในเดือนเมษายน 2026 นั้นสะท้อนถึงการผ่อนคลายมาตรการลงเพียงบางส่วน และยังต้องใช้เวลาในการแก้ไขประเด็นขัดแย้งอื่นๆ ส่งผลให้ตลาดประเมินเป็นเพียงการต่อเวลาพักรบ อีกทั้ง ยังมีประเด็นที่เป็นข้อสงสัย เช่น ความตึงเครียดเกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน ที่ไม่ได้ถูกนำขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาแต่อย่างใด

 

โดยเฉพาะการโพสต์ข้อความลง Truth Social ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ก่อนหน้าการประชุมเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ประกาศสั่งการให้กระทรวงกลาโหมกลับมาเริ่มโครงการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ โดยอ้างเป็นความจำเป็นเนื่องจากประเทศอื่นๆ ก็มีโครงการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน และกล่าวว่าสหรัฐฯ เป็นอันดับหนึ่ง รัสเซียอันดับสอง และจีนอันดับสาม ซึ่งจะทัดเทียมได้ภายใน 5 ปี

 

การปรับฐานของราคาทองคำจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงอาจเพียงพอแล้ว และนักลงทุนจะกลับมาประเมินนโยบายการเงินของ Fed เป็นปัจจัยหลักอีกครั้ง โดยการประชุม Fed วันที่ 29 ตุลาคม มีการปรับลดดอกเบี้ย 25 bps สู่ระดับ 3.75-4.00% ตามตลาดคาดการณ์ แต่มีบางส่วนที่มีความแข็งกร้าว (Hawkish) กว่าที่ประเมินไว้ นั่นคือถ้อยแถลงของ ‘เจอโรม พาวเวล’ ที่กล่าวว่า การปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอน ซึ่งส่งผลให้ FedWatch สะท้อนโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ย ลดลงเหลือ 70% จากเดิม 90%

 

แม้ในระยะสั้นตลาดจะตอบสนองต่อถ้อยแถลงดังกล่าวอย่างรวดเร็ว โดยทองคำย่อตัวลง ดอลลาร์ และ Bond Yield สหรัฐดีดตัวขึ้น อย่างไรก็ดี ในระยะกลางยังมีปัจจัยบวกที่ตลาดคาดหวังเอาไว้ นั่นคือการประกาศยุตินโยบายคุมเข้มเชิงปริมาณ หรือ Quantitative Tightening (QT) จะมีผลในวันที่ 1 ธันวาคม หลังจากเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ‘เจอโรม พาวเวล’ เคยได้ส่งสัญญาณยุติการทำ QT ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้น ความชัดเจนที่เกิดขึ้น จึงเป็นหนึ่งในการผ่อนคลายนโยบายการเงินซึ่งกลับมาหนุนราคาทองคำในระยะกลาง

 

ทั้งนี้ ทองคำในฐานะ Safe Haven Asset นั้นเหลืออีกหนึ่งปัจจัยที่อาจกระทบต่อราคาอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือสถานการณ์การปิดหน่วยงานรัฐฯ (Government Shutdown) โดยต้องจับตาว่าหากกลับมาเปิดทำการได้อีกครั้ง ทองคำจะเกิดแรงขายทำกำไรมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญคือข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่ถูกเลื่อนการประกาศในช่วงของการ Shutdown เมื่อกลับมารายงานได้อีกครั้ง ตลาดจะต้องทำการประเมินครั้งใหญ่ จากข้อมูลที่เก็บสะสมมานานหนึ่งเดือน ซึ่งจะเพิ่มความผันผวนในสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก

 

ภาพ: Quality Stock Arts / Shutterstock i viewfinder / Shutterstock

The post จบเรื่องเจรจาทางการค้า จบรอบพักฐานราคาทองคำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อ AI ‘โคลนนิ่งมนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป https://thestandard.co/ai-clones-humans-change-content/ Wed, 05 Nov 2025 01:42:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1139806 เมื่อ AI ‘โคลนนิ่ง มนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ไม่นานมานี้ หลายคนคงเห็นคลิปคนแบกช้างกลางถนน คลิปแมวพูด […]

The post เมื่อ AI ‘โคลนนิ่งมนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อ AI ‘โคลนนิ่ง มนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ไม่นานมานี้ หลายคนคงเห็นคลิปคนแบกช้างกลางถนน คลิปแมวพูดได้ หรือศิลปิน/คนดังที่เสียไปแล้วกลับมาโบกมือทักทายในโซเชียลมีเดีย แต่สุดท้ายเฉลยว่าทั้งหมดคือวิดีโอที่สร้างโดย AI ผ่านฟีเจอร์ใหม่ชื่อ Cameo ใน Sora 2 ของ OpenAI

 

นี่ไม่ใช่เรื่องในอนาคตอีกต่อไป แต่คือปัจจุบันที่กำลังจะเปลี่ยนวงการคอนเทนต์และสื่อไปตลอดกาล

 

🟡 Sora Cameo: เมื่อ AI จำลองตัวเราได้ครบทั้งเสียงและสายตา

 

Sora คือเทคโนโลยี Text-to-Video ที่ให้คุณพิมพ์ข้อความ แล้ว AI จะสร้างวิดีโอพร้อมภาพ เสียง และอารมณ์ออกมาในไม่กี่วินาที
แต่สิ่งที่ปฏิวัติจริงๆ คือ ‘Cameo’ ฟีเจอร์ที่ให้คุณอัดวิดีโอตัวเองเพียง 20 วินาที จากนั้นระบบจะเรียนรู้ใบหน้า น้ำเสียง และท่าทาง เพื่อสร้างอวาตาร์ของผู้ใช้ที่เหมือนจนแทบแยกไม่ออก

 

หลังจากนั้น คุณไม่ต้องอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เพราะ ‘คุณในโลกดิจิทัล’ สามารถพูดแทนคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา

 

OpenAI บอกว่า จุดประสงค์ของ Sora Cameo ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ แต่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ครีเอเตอร์สามารถโฟกัสกับไอเดียมากกว่ากระบวนการโปรดักชันที่ยุ่งยาก

 

🟡 จากสตูดิโอ 20 คน เหลือแค่คุณคนเดียว

 

Cameo เปลี่ยนทุกอย่างในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ เพราะมันช่วยให้คนธรรมดาสามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่ต้องมีทีมกล้อง ไฟ หรือห้องตัดต่ออีกต่อไป จากงบหลักแสน เหลือไม่กี่บาท จากหลายวัน เหลือไม่กี่นาที ทำให้ครีเอเตอร์สร้างวิดีโอได้ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องรอวันดีหรืออารมณ์ดี

 

แม้คนที่ไม่กล้าออกกล้อง ก็สามารถสร้าง “ตัวเองในเวอร์ชันมั่นใจ” เพื่อเล่าเรื่อง แนะนำสินค้า หรือสื่อสารในแบบที่ต้องการได้ นี่คือเหตุผลที่หลายสำนักเรียก Sora ว่า

 

“The most disruptive creative tool since the iPhone” หรือ “เครื่องมือสร้างสรรค์ที่พลิกโฉมวงการที่สุดนับตั้งแต่ไอโฟนเปิดตัว”

 

🟡 เมื่อโลกเต็มไปด้วยสิ่งที่ปลอมแต่ดูเหมือนจริง

 

เรากำลังเข้าสู่ยุคที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็อาจแยกไม่ออกว่าอะไรคือของจริง
กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว:

 

🔸ภาพยานอวกาศปลอม ถูกแชร์จนผู้เชี่ยวชาญต้องออกมาเตือน

🔸ข่าวหญิงไทยถูกสร้าง AI เป็นตัวเอง เพื่อหลอกเงินผ่านวิดีโอคอล

 

แม้ Sora จะมีระบบยืนยันตัวตนและอนุญาตการใช้ cameo เท่านั้น แต่ในโลกความเป็นจริง เครื่องมือ deepfake อื่น ๆ ก็มีอยู่เกลื่อน และยากจะควบคุม

 

สิ่งนี้ไม่ได้ท้าทายแค่ความจริง แต่มันยังท้าทายความเชื่อใจในสังคมดิจิทัลอย่างลึกซึ้ง

 

🟡 5 หลักคิดจากโลกของสื่อ

 

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจเห็น

 

🔸อินฟลูเอนเซอร์มีอวาตาร์ของตัวเอง 10 คน ทำคอนเทนต์พร้อมกัน 24 ชั่วโมง

🔸ผู้บริหารใช้ร่างเสมือนสื่อสารกับพนักงานทั่วโลก

🔸นักแสดงเล่นซีรีส์ 5 เรื่องพร้อมกันโดยไม่ต้องเข้ากองถ่าย

🔸แบรนด์ใช้ avatar ของพนักงานแทนแอดมินจริง

 

ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่สิ่งที่แทนไม่ได้อย่างแน่นอน คือ Trust — ความเชื่อใจที่มาจากความจริงใจ

 

เราจะอยู่กับมันอย่างไร:

 

🔸1. เรียนรู้ให้เร็วที่สุด — อย่ากลัวที่จะลอง ใช้ Sora หรือ AI Avatar เพื่อเข้าใจมันก่อนใคร

🔸2. นิยามตัวตนให้ชัดเจน — ในโลกที่ทุกอย่างลอกได้ สิ่งที่ไม่มีใครลอกได้คือแก่นของคุณ

🔸3. โปร่งใสกับผู้ชม — ถ้าใช้ AI ช่วย ก็บอกไปตรงๆ เพราะอนาคตของ influencer คือ Trust ไม่ใช่ยอดวิว

🔸4. ผสมมนุษย์กับเครื่องจักรให้เหมาะสม — ใช้ AI ทำงานซ้ำซาก แต่เก็บงานที่ต้องใช้หัวใจไว้กับตัวเอง

🔸5. ลงทุนในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ — เช่น Empathy, Storytelling, และ Human Understanding

 

Sora Cameo คือบททดสอบว่าเราจะนิยามความเป็นมนุษย์ใหม่อย่างไร

 

ถ้าเราใช้มันสร้างสิ่งดี มันจะขยายพลังของเรา แต่ถ้าเราปล่อยให้มันแทนที่ตัวเรา มันจะกลืนเราโดยไม่รู้ตัว

The post เมื่อ AI ‘โคลนนิ่งมนุษย์’ ได้จริง โลกคอนเทนต์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทางรอดธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 1: บรรษัทภิบาลรากฐานเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน https://thestandard.co/survival-family-business-governance-english-equivalent-of-the-full-headline/ Tue, 04 Nov 2025 08:27:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1139612 ทางรอดธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 1: บรรษัทภิบาลรากฐานเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

ธุรกิจครอบครัวคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจโลกทั้ง […]

The post ทางรอดธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 1: บรรษัทภิบาลรากฐานเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทางรอดธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 1: บรรษัทภิบาลรากฐานเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน

ธุรกิจครอบครัวคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจโลกทั้งในแง่รายได้และการจ้างงาน การถ่ายโอนธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เงื่อนไขการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนเห็นว่า ธุรกิจครอบครัวต้องเผชิญกับบริบทใหม่ที่กดดันให้ต้องเร่งปรับตัว ‘การเติบโต’ ไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘กำไร’ เท่านั้น แต่ต้องมีความยืดหยุ่น มีเป้าหมาย และสร้างคุณค่าอีกด้วย

 

รายงาน Global Family Business Report 2025 โดยเคพีเอ็มจีอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลกกว่า 2,700 ราย เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จที่แท้จริง ได้ชี้ให้เห็นกุญแจหลักสามประการที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตได้อย่างยั่งยืน ได้แก่ การกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส หรือบรรษัทภิบาล นโยบายความยั่งยืนที่ชัดเจน และการขยายหรือปรับปรุงธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ หรือการลงทุนเชิงกลยุทธ์

 

ผู้เขียนจะขอหยิบแต่ละประเด็นมาเล่าให้เห็นภาพชัดขึ้น ผ่านบทความสามตอนต่อเนื่อง โดยตอนแรกนี้จะเจาะลึกถึงบทบาทของ ‘บรรษัทภิบาล’ ในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจครอบครัว

 

บรรษัทภิบาล เริ่มที่ ‘บอร์ดที่ทำงานจริง’

 

ธุรกิจครอบครัวหลายแห่ง ยังเข้าใจว่าบรรษัทภิบาลเป็นเรื่องของกฎระเบียบ หรือระบบควบคุมที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ในความจริง บรรษัทภิบาลคือ ระบบคิดและตัดสินใจที่โปร่งใส มีหลักการ และสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของทั้งครอบครัวและธุรกิจ และหัวใจสำคัญของระบบนี้ก็คือ ‘บอร์ด’

 

ผู้เขียนขอหยิบยกผลการสำรวจของเคพีเอ็มจีที่ชี้ให้เห็นว่า การมีระบบบริหารและโครงสร้างที่มั่นคงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร โดย 67% ของธุรกิจครอบครัวที่มีผลการดำเนินงานสูง มีโครงสร้างบอร์ดอย่างเป็นทางการ และในกลุ่มที่มีความยั่งยืนสูง ก็พบว่า 70% มีบอร์ดที่ทำหน้าที่อย่างจริงจัง
ผู้เขียนมีความเห็นว่า ยิ่งธุรกิจครอบครัวมีขนาดใหญ่ขึ้นความสำคัญของบอร์ดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะบอร์ดไม่ได้เป็นแค่กลไกการกำกับดูแลให้การบริหารจัดการองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างวิสัยทัศน์ร่วม ผลักดันนวัตกรรม และเชื่อมโยงประสบการณ์ของสมาชิกครอบครัวต่างรุ่นเข้าด้วยกัน รวมถึงช่วยขับเคลื่อนนโยบายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจขนาดใหญ่ในยุคปัจจุบันไม่อาจมองข้ามได้

 

บอร์ดแบบไหนจึงจะ ‘เวิร์ก’ สำหรับธุรกิจครอบครัว

 

การมีบอร์ดเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันความสำเร็จของธุรกิจ บอร์ดนั้นต้องมีองค์ประกอบที่เหมาะสมจึงจะขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแท้จริง ผู้เขียนขอนำเสนอว่าบอร์ดที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะดังนี้

 

  • มีเป้าหมายและค่านิยมที่สอดคล้องกับธุรกิจ มีมุมมองและหลักการที่สอดรับกับครอบครัว เพื่อให้สามารถนำธุรกิจให้เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน
  • มีสมาชิกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศ หรือเจเนอเรชัน นอกจากนี้ สมาชิกของบอร์ดควรประกอบด้วยทั้งคนในและนอกครอบครัวที่มีความเป็นอิสระก็จะเป็นประโยชน์กับธุรกิจครอบครัวนั้น ๆ เพื่อให้ได้มุมมองและความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย สดใหม่ ไม่ยึดติดกับความเคยชิน
  • เปิดกว้างทางความคิด บอร์ดที่ดีควรเป็นเวทีของมุมมองต่างรุ่น เน้นการมีส่วนร่วม กล้าเปิดรับนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมทั้งเป็นการปลูกฝัง Entrepreneurial mindset หรือ ‘ความเป็นผู้ประกอบการ’ ให้แก่สมาชิกรุ่นใหม่ของครอบครัว ซึ่งถือเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ
  • กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสมาชิกบอร์ดแต่ละคนอย่างชัดเจน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส ทำให้ดำเนินงานและเติบโตได้อย่างมั่นคงและมีทิศทาง
  • สื่อสารอย่างสม่ำเสมอ การประชุมบอร์ดเป็นประจำ ช่วยให้สมาชิกบอร์ดทุกคนติดตามสถานการณ์ได้ทันเหตุการณ์ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของสมาชิกครอบครัว โดยเฉพาะสมาชิกรุ่นใหม่ที่จะต้องสืบทอดธุรกิจต่อไป
  • รับผิดชอบต่อผลประกอบการได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านผลประกอบการและกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน โดยต้องกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ และมีกระบวนการประเมินผลอย่างเป็นระบบ
  • วางแผนการสืบทอดอย่างมีระบบ การระบุและพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ในบอร์ดบนพื้นฐานของความสามารถและความคาดหวังของครอบครัว มีเกณฑ์การสืบทอดที่ชัดเจน และแผนงานที่เป็นขั้นตอน จะช่วยให้การส่งต่อธุรกิจสู่ทายาทเป็นไปอย่างราบรื่นและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจได้

 

จะเห็นได้ว่า บรรษัทภิบาล นอกจากจะเป็นเครื่องมือในการจัดการธุรกิจให้เติบโตอย่างโปร่งใสและเป็นระบบแล้ว ยังช่วยสร้างสมดุลระหว่าง ‘คุณค่า’ และ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในวันที่ครอบครัวเตรียมส่งต่อกิจการ การตั้งบอร์ดที่ทำงานอย่างจริงจัง มีระบบบริหารและโครงสร้างที่มั่นคงอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คือก้าวแรกที่สำคัญของการเปลี่ยนผ่านจาก ‘ธุรกิจครอบครัว’ ไปสู่ ‘ครอบครัวที่เป็นเจ้าของธุรกิจอย่างมืออาชีพ’

 

กุญแจที่สองที่จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตได้อย่างยั่งยืน คือนโยบายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจครอบครัวควรมีแนวทางรับมืออย่างไร ติดตามอ่านได้ในตอนถัดไปค่ะ

 

ภาพ: Miha Creative / Shutterstock

อ้างอิง:

  • รายงาน Global family business report 2025 ของเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล

The post ทางรอดธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 1: บรรษัทภิบาลรากฐานเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน appeared first on THE STANDARD.

]]>