Opinion – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 07 May 2025 04:07:37 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สิ่งที่หายไปจากแผน AI แห่งชาติ: ทำอย่างไรให้ไทยเป็น ‘ผู้สร้าง’ ไม่ใช่แค่ ‘ผู้ใช้’ https://thestandard.co/national-ai-strategy-thailand-creator-not-user/ Wed, 07 May 2025 04:07:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1071889 แผน AI แห่งชาติ

หลังจากคณะกรรมการ AI แห่งชาติประกาศยุทธศาสตร์ใหญ่ ตั้งเ […]

The post สิ่งที่หายไปจากแผน AI แห่งชาติ: ทำอย่างไรให้ไทยเป็น ‘ผู้สร้าง’ ไม่ใช่แค่ ‘ผู้ใช้’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แผน AI แห่งชาติ

หลังจากคณะกรรมการ AI แห่งชาติประกาศยุทธศาสตร์ใหญ่ ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็น ‘AI Hub of ASEAN’ ก็ได้รับความสนใจจากวงการเทคโนโลยีอย่างคึกคัก ด้วยตัวเลขเป้าหมายที่ 10 ล้าน AI Users, 90,000 AI Professionals, และ 50,000 AI Developers พร้อมงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 5 แสนล้านบาท ครอบคลุม Cloud, Data Center, GPU, National Data Bank และอื่นๆ

 

แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจในแผนนี้คือสิ่งที่แผนไม่ได้พูดถึงมากกว่าครับ เพราะถ้าอ่านดีๆ จะเห็นว่ายุทธศาสตร์ส่วนใหญ่จะเน้นที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ มากกว่าการสร้างเทคโนโลยีเพื่อส่งออก 

 

ในระดับ Infra การลงทุนใน Data Center และ GPU นี่ เราเป็นผู้ซื้อแน่ๆ ส่วนที่ผลิตเองได้มีน้อยมาก ในระดับ Model แม้จะมีการพูดถึงการสร้าง Open Source AI Platform และ National LLM แต่โดยทั่วไปแล้ว บริการลักษณะนี้มักมีเพื่อให้บริการกับผู้ใช้งานในประเทศ มากกว่าเพื่อส่งไปแข่งขันกับต่างประเทศ หรือในระดับ Application ที่มีการพูดถึง Use Case หลากหลาย แต่แทบทั้งหมดก็เป็นการใช้งานภายในประเทศ แม้จะมี Health AI ที่มีศักยภาพในการส่งออกนวัตกรรม แต่กลับไม่มีแผนชัดเจนในการต่อยอดสู่ตลาดระดับภูมิภาคหรือระดับโลก

 

ถ้าหากไปดูประเทศใกล้ตัวอย่างสิงคโปร์ เอกสาร National AI Strategy ที่ประกาศใช้ในปี 2023 ได้วางเป้าหมายเรื่อง ‘Local to Global’ ไว้อย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายให้คนสิงคโปร์และธุรกิจสิงคโปร์เป็น World-Leading in AI และมี Action Plan ว่าจะทำอะไรบ้าง จะสร้างขีดความสามารถระดับโลกได้อย่างไร จะดึงต่างประเทศมาหนุน Ecosystem ในประเทศอย่างไร เทียบกันแล้วแผนของไทยเรายังขาดกรอบคิดเชิงรุกในลักษณะเดียวกัน

 

ข้อเสนอ: ยกระดับไทยให้เป็นส่วนหนึ่งของ Global AI Supply Chain

 

หากต้องการเปลี่ยนบทบาทจากผู้ใช้ เป็นผู้สร้าง ไทยจำเป็นต้องมีนโยบายเสริมที่มุ่งเป้าไปที่การส่งเสริมนักวิจัยและผู้ประกอบการให้สามารถพัฒนาและขยายเทคโนโลยีไทยสู่เวทีโลกอย่างแท้จริง โดยผมขอเสนอแนวทางเพิ่มเติมสำหรับแผน AI แห่งชาติ ดังนี้

 

  1. Funding & Incentive: เพิ่ม Cheque Size ของ Grant ภาครัฐทั้งสำหรับวิจัยและสำหรับผู้ประกอบการ และเปิดทางให้ BOI สามารถร่วมลงทุนแบบ matching fund ควบคู่กับ Grant ได้ เพื่อให้มี Runway ที่ยาวพอที่จะดำเนินธุรกิจหรืองานวิจัยไปถึง milestone ใหญ่ได้

 

  1. Global R&D Collaboration: จัดตั้งโครงการ Global Joint Lab Program เพื่อจูงใจให้ Big Tech มาตั้งศูนย์วิจัย AI ในไทย โดยร่วมกับหน่วยงานวิจัยหรือบริษัทเอกชนไทย และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ

 

  1. Talent & Visibility: สนับสนุนให้นักวิจัยและผู้ประกอบการ AI ในการเข้าร่วมงานและออกบูทใน AI Conference ระดับนานาชาติ เพื่อให้ไทยมีตัวตนและบทบาทในการขับเคลื่อน AI ในระดับโลก

 

  1. Market Access & Partnership: สร้างโครงการ Co-Selling กับ AI/Cloud Marketplace ระดับโลก เพื่อเป็นช่องทางให้ AI Product & Service ของไทยได้เข้าถึงตลาดโลก

 

  1. Transparency & Trust: จัดทำ Thai AI Investment Dashboard เพื่อเปิดเผยรายชื่อบริษัท ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น, จำนวนเงินสนับสนุน, Milestone ที่ทำได้ เพื่อสร้างความโปร่งใส ไม่ให้เงินรัฐกลายเป็น Easy Money และสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนและนักลงทุน

 

โดยข้อเสนอ 5 ข้อนี้ ผมตั้งใจให้รองรับนักวิจัยและผู้ประกอบการในทุกๆ ช่วงของ journey ตั้งแต่มีทุนสำหรับผู้เริ่มต้น มีความร่วมมือในการวิจัยจากพันธมิตรระดับโลก มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี เมื่อเติบโตแล้วก็ได้ร่วมกับผู้นำตลาดเอานวัตกรรมไปขยายในระดับ Global

 

ส่งท้าย: ใครเป็นเจ้าของเทคโนโลยี – คนนั้นเป็นเจ้าของเศรษฐกิจ

 

ในโลกที่ AI กำลังกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจใหม่ คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ ‘ใครใช้ AI ได้มากที่สุด’ แต่คือ ‘ใครเป็นเจ้าของ AI ที่คนอื่นต้องใช้’

 

เพราะเจ้าของเทคโนโลยีไม่ใช่แค่สร้างเครื่องมือ แต่เป็นผู้กำหนดกติกา และเก็บผลประโยชน์จากทุกการใช้งาน

 

หากวันนี้ไทยยังไม่เริ่มเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้กำหนดเกม วันข้างหน้าเราอาจจะเป็นแค่ตัวประกอบ NPC ในเศรษฐกิจ AI ที่ไม่มีสิทธิ์เลือกบทของตัวเองก็ได้นะครับ

 

ภาพ: Vithun Khamsong / Getty Images, visual7 / Getty Imges

 

The post สิ่งที่หายไปจากแผน AI แห่งชาติ: ทำอย่างไรให้ไทยเป็น ‘ผู้สร้าง’ ไม่ใช่แค่ ‘ผู้ใช้’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกการเงินหลังวันปลดแอกสหรัฐฯ ตอนที่ 3 Sell or Buy America? https://thestandard.co/opinion-sell-or-buy-america/ Tue, 06 May 2025 03:49:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1071455

หลัง วันปลดแอกสหรัฐ ที่ประธานาธิบดี Donald Trump ตั้งกำ […]

The post โลกการเงินหลังวันปลดแอกสหรัฐฯ ตอนที่ 3 Sell or Buy America? appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลัง วันปลดแอกสหรัฐ ที่ประธานาธิบดี Donald Trump ตั้งกำแพงภาษีใส่ทุกประเทศทั่วโลก 

 

“ใครจะกะพริบตาก่อนระหว่างสหรัฐกับจีน”

 

เป็นคำถามที่ตลาดพยายามหาคำตอบมากที่สุด 

 

แต่ก่อนที่จะมีการเจรจาหรือถอยอย่างเป็นทางการ การเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ถูกตลาดตีความไปแล้วว่าเป็นการถอยของสหรัฐ เสมือน

 

“สงครามการค้าจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น” เนื่องจาก Trump ไม่กล้าพอที่จะเจ็บจริง

 

ทันใดนั้น หุ้นสหรัฐก็ดีดตัวกลับขึ้นเป็น V shape ดัชนี S&P 500 ล้างขาดทุนตั้งแต่เริ่มสงครามการค้าทั้งหมด ธีม Sell America ที่ขายหุ้น ขายบอนด์ และขายดอลลาร์ เริ่มตีกลับเหมือน Reciprocal Tariff ไม่เคยเกิดขึ้น

 

ตลาดกำลังมองโลกการเงินสวยเกินไปหรือไม่ และแค่การกะพริบตาครั้งเดียวของ Trump เท่ากับสหรัฐยอมแพ้แล้วจริงหรือ เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องรู้ให้ทัน

 

สำหรับการวิเคราะห์สงครามการค้าในรอบนี้ ผมประเมินว่าการแข่งขันระหว่างสหรัฐและจีนในปัจจุบัน เลยจุดที่เป็นเกมวัดใจ (Game of Chicken) ไปแล้ว และเกมนี้กำลังลากยาวเข้าสู่ War of Attrition หรือเกมแห่งความทรหด ที่ว่าด้วยการต่อสู้ระหว่างสองฝั่งที่แข็งแกร่งพอกัน ทั้งคู่ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการแข่งขันดำเนินต่อไป เกมจะจบก็ต่อเมื่อมีฝ่ายใดยอมแพ้ และต้องเสียรางวัลแห่งชัยชนะไป

 

ต้นทุนของเกม ผมมองว่าสูงใกล้เคียงกันทั้งคู่แค่คนละแบบ

 

สำหรับฝั่งจีน ทางตรงมีต้นทุนที่สูงกว่าเพราะเป็นฝั่งที่เกินดุลการค้า สินค้าถูกเก็บภาษีมากกว่า เมื่อเกมเริ่ม คำสั่งซื้อจะลดลงทันที และเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป จะต้องลดกำลังการผลิต ปิดโรงงาน ต่างชาติย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น คนงานถูกเลิกจ้าง เงินทุนไหลออก 

 

ภาครัฐจะเป็นผู้แบกรับต้นทุนหลัก จำเป็นต้องอัดฉีดนโยบายการเงินและการคลัง หาตลาดใหม่ให้ผู้ประกอบการเดิม ไปจนถึงส่งเสริมธุรกิจอนาคต

 

ส่วนฝั่งสหรัฐ แม้จะมีต้นทุนทางตรงที่ต่ำกว่าแต่ผลทางอ้อมก็ไม่น้อย เพราะภาคเอกชนคือผู้แบกรับต้นทุนหลัก เนื่องจากเป็นผู้จ่ายภาษีนำเข้า หรือจะผลิตเองก็ต้องใช้ต้นทุนสูง กดดัน Margin ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และถ้าเอกชนเลือกที่จะส่งผ่านภาษีไปให้ผู้บริโภค ราคาสินค้าทั้งหมดจะปรับตัวสูงขึ้น กดดันการบริโภคทันที

 

ความแตกต่างของสหรัฐคือการกระตุ้นจากนโยบายการเงินทำได้ยากเนื่องจากเงินเฟ้อสูง ขณะที่ฝั่งการคลังก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหนี้ของรัฐบาลสหรัฐแตะระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทางออกอาจต้องปล่อยให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง หรือเศรษฐกิจชะลอตัว กลายเป็นต้นทุนทางการเมืองของ Trump

 

เมื่อเจ็บแต่ทนได้ทั้งคู่ ก็ต้องเทียบกันต่อที่รางวัลแห่งชัยชนะ ในมุมนี้ ผมมองว่าสหรัฐแสดงออกชัดเจนว่าอยากชนะ

 

สำหรับจีน รางวัลใหญ่ที่สุดสำหรับชัยชนะครั้งนี้ คือสามารถกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับในปัจจุบัน

 

นอกจากนั้นชัยชนะในมุมจีน อาจเป็นการหลบกับดักการเติบโตช้าแบบ Lost Decade ของญี่ปุ่นได้ หรือส่งสัญญาณไปทั่วโลกว่าจีนไม่ใช่ประเทศที่จะถูกกดดันได้ง่าย ๆ 

 

ในมุมมองของผมชัยชนะระยะสั้น ไม่ใช่รางวัลใหญ่ที่จีนต้องรีบคว้า เพราะแค่ประคองเศรษฐกิจให้ไม่ล้มเหลว ในที่สุดจีนก็จะได้ทั้งหมดแค่ช้าลงหรือเร็วขึ้น

 

แต่ในฝั่งสหรัฐ ชัยชนะมีความหมายมากกว่าแค่ชะลอการขึ้นเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของจีน 

 

เนื่องจาก Trump มัดรวมความหวังในการดึงฐานการผลิตกลับบ้าน (Reshoring) สร้างงานในภาคอุตสาหกรรม การปรับกฎใหม่ของการค้าโลก (Reordering Trades) เพื่อให้สหรัฐได้เปรียบทุกประเทศ การใช้ภาษีการค้าเพื่อลดภาระการคลัง ไปจนถึงความพยายามที่จะคงสถานะการเป็นสกุลเงินหลักของดอลลาร์ ทั้งธุรกรรมการค้า การลงทุน ไปจนถึงทุนสำรองระหว่างประเทศ

 

แม้จะไม่ได้มีตรรกะหรือเหตุผลชัดเจน แต่เมื่อ Trump ผูกความหวังของเศรษฐกิจทุกอย่างไว้กับภาษีโต้ตอบ จึงเป็นไปได้ยากที่สหรัฐฯ จะยอมจบทุกอย่างตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเก็บภาษีอย่างที่ตลาดคิด

 

เมื่อมองผ่านเกมแห่งความทรหด บทสรุปของโลกการเงินอาจแตกต่างออกไป

 

หากสหรัฐไม่สามารถยืนยันความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและการค้าไว้ได้ ความเชื่อมั่นว่าสหรัฐแตกต่างจากทั่วโลก (US Exceptionalism) ที่เป็นแกนกลางของธีม Buy America จะไม่กลับมา

 

แต่ถ้าสหรัฐดึงดันไม่ยอมแพ้ และยอมแลกทุกอย่างเพื่อชัยชนะ ต้นทุนทางเศรษฐกิจ การเมือง และการเงินจะสูงขึ้นมาก กลายเป็นแรงกระแทกใหญ่ใส่ทุกสินทรัพย์ของสหรัฐ หมายความว่า ธีม Sell America จะกลับมาอีกครั้ง

 

นักชีววิทยาชาวอังกฤษ John Maynard Smith ผู้คิดค้น Game of Attrition กล่าวไว้ว่า 

 

“แก่นแท้ของเกมแห่งความทรหด คือยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งต้องจ่ายแพงขึ้น ผู้ที่ให้คุณค่ากับชัยชนะมากที่สุด จะยอมเจ็บได้มากที่สุด”

 

ดังนั้น Sell หรือ Buy America จึงเป็นคำถามปลายเปิด เมื่อเกมนี้ไม่จบง่าย นักลงทุนต้องหากลยุทธ์ตั้งรับให้พร้อมครับ 

 

 

ภาพ: Volodymyr Kalyniuk / Getty Images

The post โลกการเงินหลังวันปลดแอกสหรัฐฯ ตอนที่ 3 Sell or Buy America? appeared first on THE STANDARD.

]]>
New World Order อยู่อย่างไรในวันที่โลกลงทุนไม่เหมือนเดิม https://thestandard.co/new-world-order-changing-global-investment/ Tue, 06 May 2025 02:48:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1071396 New World Order

ผ่านไปเสียทีนะครับ สำหรับเดือนเมษายนที่แสนจะตื่นเต้น แล […]

The post New World Order อยู่อย่างไรในวันที่โลกลงทุนไม่เหมือนเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>
New World Order

ผ่านไปเสียทีนะครับ สำหรับเดือนเมษายนที่แสนจะตื่นเต้น และอบอวลไปด้วยบรรยากาศความกดดันที่ปกคลุมทั่วโลก จากความตึงเครียดของสงครามการค้า 2.0 ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีกับประเทศต่างๆ มีผลตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568 แม้เวลานี้จะมีการเลื่อนบังคับใช้ออกไป 90 วันเพื่อเปิดประตูเจรจาเป็นรายประเทศก็ตาม แต่ก็เป็นปัจจัยใหญ่ของตลาดลงทุนทุกประเภทในช่วงที่ผ่านมา จนสินทรัพย์เกิดความผันผวนรุนแรง โดยเฉพาะหุ้น ทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และแม้แต่พันธบัตรสหรัฐฯ ก็ไม่แคล้วปั่นป่วนโกลาหลตามไปด้วย   

 

นักวิเคราะห์ทั่วโลกไม่คาดว่า ทั้งสองประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ จะสามารถเจรจาตกลงกันได้ในเร็วๆ นี้ แม้ว่าทรัมป์จะบอกว่าอาจจะมีข้อตกลงเกิดขึ้นภายใน 3-4 สัปดาห์ข้างหน้าก็ตาม 

 

สงครามการค้า 2.0 ระหว่างสองประเทศ ต่างมีเป้าหมายยืนแท่นเบอร์หนึ่งของโลก โดยฝั่งสหรัฐฯ ที่ต้องรักษาความเป็นผู้นำโลกให้อยู่ตลอดไป นอกจากการใช้มาตรการภาษีฯ เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินของประเทศที่มีหนี้สูงลิ่วแล้ว สหรัฐฯ ยังมีเป้าหมายต้องการเตะตัดขาจีนเพื่อไม่ให้เติบโตแซงขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกแทนที่ได้ 

 

ส่วนจีนปักธงเป้าหมายชัดเจนมาตลอดว่า เดินหน้าทำทุกวิถีทางเพื่อให้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกแทนที่สหรัฐฯ นี่คือชนวนที่ทำให้ทั้งสองฝ่าย ใช้สนามรบทางเศรษฐกิจการค้าโลกในการสู้รบตบตีกันยาวๆ ไป 

 

แม้ว่าเวลานี้ทรัมป์จะเลื่อนการเริ่มใช้มาตรการภาษีฯ ออกไปอีก 90 วัน และหากเจรจากันออกมาลงตัว อาจจะช่วยให้ความตึงเครียดคลี่คลายลงได้ในช่วงไตรมาส 2 นี้ แต่หลังจากนี้ก็จะกลับมาสู่สภาวะความไม่แน่นอนของโลกอีกอยู่ดี เพราะช่วงครึ่งปีหลังหรือปีถัดๆ ไป ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ และจีน อาจจะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาตอบโต้กันอีกก็ได้ ซึ่งจะเป็นวังวนเข้าสู่เกมต่อรองของ 2 มหาอำนาจโลกต่อไประยะยาว

 

ผมประเมินว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นนี้ ไม่น่าจะเป็นลุกลามเป็นสงครามโลกครั้งที่สามแบบใช้กำลังทางการทหารเหมือนอดีตครับ แต่น่าจะเป็นเชิงการเมืองการค้าหรือเชิงการส่งออกนำเข้า และนโยบายเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ มากกว่า และในแต่ละรอบสงครามการค้า น่าจะเป็นการจบลงด้วยการเจรจาของทั้งสองฝ่าย สถานการณ์ก็ยืดเยื้อเรื้อรังกันไปอีกเป็นปีๆ นับจากนี้ ต้องจับตาการวางเกมในอนาคตของแต่ละฝ่ายกันไปยาวๆ 

 

จีนเองจะเร่งสร้างเครือข่ายการค้าใหม่ สร้างข้อตกลงการค้า FTA กับกลุ่ม BRICS, ASEAN, ตะวันออกกลาง เปิดตลาดใหม่ ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตะวันตก 

 

ส่วนสหรัฐฯ ก็จะหันมาสร้างพันธมิตรซัพพลายเชนใหม่ เน้นลงทุนในอเมริกาใต้ แอฟริกา และอินโดนีเซีย ดึงบริษัทญี่ปุ่น-เกาหลีมาช่วยสร้างฐานการผลิตให้สหรัฐฯ 

 

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ โลกจะเกิด ‘สองระบบ’ ของซัพพลายเชน ระหว่างฝั่งตะวันตก กับฝั่งจีนและพันธมิตร หรือเรียกกันว่า โลกทวิภพ ซึ่งจะไม่เหมือนปัจจุบันที่เป็นโลกาภิวัตน์ (Globalization) เป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของโลกที่ไม่ใช่แค่สงครามภาษี แต่คือ ศึกแย่งอำนาจการผลิตและทรัพยากร ที่ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายพึ่งพาอีกฝ่ายหนึ่งต่อไป 

 

‘Ray Dalio’ นักลงทุนชื่อดังของโลกและเป็นผู้ก่อตั้ง Bridgewater เตือนว่า “ตลาดไม่น่ากลัวเท่าโลกที่ไม่มีใครคุมเบรก” และยังส่งสัญญาณว่า วิกฤติที่กำลังจะมา อาจไม่มีชื่อเรียก เพราะมันคือของใหม่ที่ทั้งโลกไม่เคยเจอ เขายังมองว่า สิ่งที่กำลังจะเกิด อาจไม่ใช่แค่ Recession หรือภาวะถดถอย แต่เป็น “แรงสั่นสะเทือนระดับระบบการเงินโลก”

 

เขาวิเคราะห์ 3 ประเด็นที่น่ากังวล ว่า 1 “ระบบการเงินโลกกำลังจะพัง” เนื่องจากโลกกำลังเข้าสู่ “ยุคแห่งความไม่แน่นอน” ของระบบการเงิน เหตุผลสำคัญมาจากหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สูงลิ่ว การอัดมาตรการ QE แบบไร้แผน และนโยบายการคลังสุดโต่ง 

 

  1. “ภาษีของทรัมป์ คือเชื้อไฟ” ซึ่งสงครามการค้าที่กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับนโยบายภาษีของทรัมป์ ทำให้การค้าโลกสะดุด เงินเฟ้อพุ่ง และ “โลกอาจเข้าสู่ระเบียบใหม่ที่อเมริกาไม่ได้เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป” 

 

และสุดท้าย “ตลาดพันธบัตรกำลังสั่นคลอนเหมือนเมื่อปี 2008 แต่รุนแรงกว่า” ซึ่งนักลงทุนเทขายพันธบัตร ดอกเบี้ยขึ้นแต่คนไม่ซื้อ ก็แปลว่า “ไม่มีใครอยากถือหนี้สหรัฐฯ อีกแล้ว”

 

ถ้าระบบการเงินโลกเปลี่ยนจริง สินทรัพย์ต่างๆ ที่นักลงทุนถืออยู่ จำเป็นต้องปรับพอร์ตหรือไม่อย่างไร นักลงทุนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาลงทุนไม่ทันไรก็พอร์ตที่ติดลบไปแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนต่างอึดอัดไม่รู้จะขายขาดทุนดี หรือถ้าถือต่อแล้วเป็นอย่างไร จะหนีออกจากพอร์ตติดลบได้หรือไม่ และมีโอกาสที่พอร์ตจะรอดจากวิกฤตินี้ไหม

 

ผมมีวิธีการ 2 อย่าง ที่ยึดเป็นหลักการลงทุนที่สำคัญใช้ในการรับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ ครับ ซึ่งเป็นวิธีที่นักลงทุนมืออาชีพทั่วโลกใช้กันและสามารถใช้ได้ผลแน่นอนครับ นั่นก็คือ Mindset การลงทุนที่ดี และการบริหารจัดการพอร์ต (Portfolio Management) 

 

เรื่องแรก การสร้าง Mindset การลงทุนให้ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ครับ 

 

ข้อแรก “ตั้งสติ” เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุน ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติการณ์ใดหรือตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์ใดๆ ที่ปรับตัวร่วงแรงๆ หรือพุ่งขึ้นแรงๆ สิ่งแรกคือ ตั้งสติแล้วรีบทำการบ้านศึกษาหาข้อมูลทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าก่อน เมื่อคุณเห็นข้อมูลต่างๆ แล้วว่าจะเป็นอย่างไร และศึกษาบทเรียนของวิกฤติต่างๆ เวลาที่จบลงเป็นอย่างไร ซึ่งเวลาเกิดวิกฤติการณ์ใดๆ ขึ้น จนถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งมีจุดจบของมันและสถานการณ์ก็กลับมาสู่ภาวะปกติ 

 

ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นที่เวลาเกิดวิกฤติการณ์ใดๆ ขึ้น สุดท้ายตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้และเติบโตกว่าเดิม 

 

ผมมองว่าในระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา แต่ละวิกฤติจะมีการเรียนรู้และจัดการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้ระยะเวลาในการคลี่คลายได้เร็วขึ้น ก็จะส่งผลให้ตลาด

หุ้นฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเช่นกัน 

 

สำหรับ “วิกฤติสงครามการค้า” ในครั้งนี้ มาจากคนคนเดียวคือ “ทรัมป์” ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรก โลกเราเคยเกิดวิกฤติสงครามการค้ารอบแรกมาแล้ว และตลาดใช้เวลาฟื้นตัว 7 เดือน ซึ่งแตกต่างกับวิกฤติ Dot-Com และวิกฤติ Sub-prime ที่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจจริงๆ ทำให้หดตัวและฟื้นตัวยาก ก็จะใช้ระยะเวลาที่ยาวนานกว่าตลาดจะกลับมาได้ แต่ก็พบว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ตัวตลาดหุ้นก็สามารถเติบโตและทะลุนิวไฮเดิมเสมอ

 

แน่นอนว่า เราอาจจะคาดเดาไม่ได้ว่า วิกฤติสงครามการค้า 2.0 รอบนี้จะจบอย่างไร และเมื่อไร แต่สัจธรรมคือทุกวิกฤติจะมีวันจบ และสุดท้ายดัชนีก็จะเติบโตต่อไปได้เหมือนที่ผ่านๆ มา 

 

เพราะฉะนั้น ใครที่จิตใจอ่อนแอ อารมณ์อ่อนไหว ตื่นตระหนกง่ายเมื่อเห็นตลาดหุ้นแดงเถือกทั่วโลก เห็นพอร์ตตัวเองติดลบหวาดกลัวจนเทขายออกตามอารมณ์ตลาดพาไป คุณต้องปรับทัศนคติการลงทุนใหม่ คือ มีสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้คงอยู่ให้ได้ และทำการบ้านแยกแยะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน 

 

ข้อห้ามสำคัญ “อย่ารีบเทขาย” สินทรัพย์โดยที่ยังไม่ได้ดูว่าสินทรัพย์ที่ถือเป็นของดีไหมและไม่ทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนะครับ อีกอย่าง อย่าเสพข่าวมากมายเกินไป เพราะจะทำให้สับสนและเกิดความกลัวพุ่งขึ้น ทำให้เกิดการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจกับพอร์ตได้ อย่างกรณีสงครามการค้ารอบนี้ ควรดูภาพรวมใหญ่ๆและผลกระทบที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะมีการเจรจากัน แต่ยังต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อดูว่า จะมีประเด็นอะไรที่ทำให้ตลาดช็อกหรือไม่ หรือทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะได้ทบทวนดูพอร์ตว่า ยังปลอดภัยหรือไม่ 

 

ข้อที่สอง การหาโอกาสที่อยู่ในวิกฤติ เมื่อคุณมองสถานการณ์ตรงหน้าออกแล้ว ก็ทำการบ้านต่อไปด้วยการมองหาโอกาสลงทุน ยึดหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งนักลงทุนสาย VI ที่เน้นลงทุนระยะยาว จะเลือกหุ้นพื้นฐานดีๆ ธุรกิจเติบโตได้ และราคาปรับลดลงมากแล้ว หรือวิเคราะห์หาหุ้นที่ไม่ถูกกระทบจากมาตรการภาษีต่างๆ เช่น เลือกลงทุนหุ้น Domestic Play หุ้นอุปโภคบริโภคในประเทศทั้งของจีนของสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบน้อย ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวกับการส่งออกการนำเข้าจะได้รับผลกระทบมากก็ไม่ควรเข้าลงทุน เป็นต้น

 

ข้อที่สาม ทยอยลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน เมื่อคุณเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้แล้ว และมีเงินลงทุนจำนวนหนึ่ง คุณต้องวางกลยุทธ์การลงทุนด้วย เพราะในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนขึ้นลง ยังเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงอยู่ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่ดี ควรทยอยลงทุนจะแบ่งไม้ ไม้ละ 20% และ 30% ค่อยๆ เพิ่มไป หรือจะใช้วิธีลงทุนแบบ DCA (ถัวเฉลี่ย) ก็จะง่ายขึ้นครับ เช่น ลงทุนทุกวันที่ 15 หรือวันที่ 30 ของเดือน ซึ่งการ DCA จะช่วยถัวเฉลี่ยให้คุณได้ราคาต้นทุนที่ดีได้ ดีกว่ามานั่งจับจังหวะตลาดรายวัน ซึ่งยากที่จะคาดเดาได้ถูกทุกครั้งครับ

 

ถ้าถามว่าแล้วจะเริ่มต้นลงทุนตอนไหนดี ควรจะรอให้จบวิกฤติค่อยลงทุนดีไหม ผมตอบตรงๆ เลยครับว่า ไม่ดี! เพราะโดยปกติแล้ว ถ้ารอให้จบวิกฤติแล้วคุณค่อยเริ่มลงทุน มักจะได้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับคุณเริ่มลงทุน ณ วันแรกหรือช่วงแรกๆ ที่เริ่มเกิดสงคราม เพราะเป็นช่วงที่ตลาดตกมากที่สุด จะเป็นโอกาสที่เหมาะสำหรับทยอยลงทุน การใส่เงินลงทุนไปเรื่อยๆ จะช่วยให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยที่ดี หรือช่วงระหว่างทำสงคราม ก็ยังเป็นจังหวะที่ทยอยเข้าลงทุนได้ เพราะหลังจากที่ตลาดรับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว ตลาดจะเริ่มทรงตัว ภายใต้มุมมองคาดการณ์ว่า มีโอกาสจะเห็นจุดจบของสงครามหรือวิกฤติในข้างหน้า ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์มาถึงจุดจบ ตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวกลับมา เท่ากับคุณลงทุนในช่วงที่ราคาถูกมากๆ ทำให้มีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีกว่าการที่จะรอลงทุนตอนหลังวิกฤติจบ และตลาดฟื้นตัวแล้ว

 

หากวาง Mindset การลงทุนให้ถูกต้อง จะช่วยให้คุณมีหลักยึดในจิตใจที่มั่นคงขึ้นครับ และรู้ว่า เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น จะคว้าโอกาสลงทุนอย่างไร ให้พอร์ตเติบโตได้ 

 

เพราะฉะนั้น ในเวลาที่วิกฤติเริ่มต้นขึ้น คุณต้องตั้งสติและทำการบ้านครับ การหาโอกาสลงทุนที่ดี อย่าพยายามรอจนวิกฤติจบ ผมยืนยันว่า ควรซื้อช่วงที่เกิดวิกฤติหรือระหว่างวิกฤติจะดีกว่า และให้ค่อยๆ ทยอยซื้อเป็นไม้ๆ หรือ DCA ไปเรื่อยๆ เก็บใส่พอร์ตลงทุน คุณไม่ต้องรีบร้อน ขอย้ำว่า อย่าใส่เงินลงทุนทั้งก้อนหรือลงไม้เดียวใหญ่ๆ นะครับ 

 

เรื่องที่สอง การบริหารจัดการพอร์ต (Portfolio Management) เป็นภาคปฏิบัติจริงๆ โดยจะเอา mindset ที่เรียนรู้มาปฏิบัติจริง ซึ่งนักลงทุนมือใหม่มักจะเครียดต่อการลงทุนและพอร์ตมีปัญหา เพราะอาจจะบริหารจัดการพอร์ตไม่ได้ดีหรือไม่ได้มีการวางกลยุทธ์ลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์เท่าที่ควร ทำให้พอร์ตไปไม่ถึงเป้าหมายเสียที

 

การบริหารจัดการพอร์ต คือ การจัดสรรเงินลงทุนก้อนหนึ่งให้กระจายลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ ให้หลากหลายประเภทและหลายประเทศ เพื่อช่วยลดความผันผวนของพอร์ต หรือที่จะได้ยินกันบ่อยๆ ว่า จัด Asset Allocation ให้สมดุล ซึ่งนักลงทุนจะใช้เทคนิคการจัดสัดส่วนแบบ Core&Satellite ก็ได้ 

 

ผมจะแนะนำนักลงทุนมือใหม่เสมอว่า หากต้องการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เติบโตในระยะยาว คุณควรจัดสัดส่วนของพอร์ต Core (พอร์ตหลัก) และ Satellite (พอร์ตรอง) ก่อน เพราะปัญหาที่พบในนักลงทุนมือใหม่ คือ เมื่อเห็นเพื่อนลงทุนเฮละโลไปตลาดไหน ประเทศใดหรือหุ้นกลุ่มไหนก็เทเงินลงทุนตามๆ กันไป ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤติขึ้น เงินก้อนนั้นก็ได้รับผลกระทบจากตลาดขาลงเต็มๆ ดังนั้น การจัดสัดส่วนพอร์ต ถือเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงให้สมดุลและจะทำให้คุณสบายใจขึ้นได้ เรามาดูกันว่า พอร์ตหลักพอร์ตรองลงทุนอะไรได้บ้าง 

 

พอร์ตหลัก (Core) ถือเป็นพอร์ตที่ช่วยป้องกันความผันผวนของตลาดไม่ว่าจะ เศรษฐกิจดีหรือแย่ สินทรัพย์ที่ถืออยู่ในพอร์ตนี้ ยังสามารถทำผลตอบแทนได้เรื่อยๆ อาจจะไม่ได้สูงมากหวือหวาแต่ปลอดภัยเมื่อมีภัยมา เพราะเป็นพอร์ตที่มีทรัพย์สินหลากหลายประเภท หลักๆ จะลงทุนหุ้น (ส่วนใหญ่จะเป็นดัชนีตลาด หรือหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว) พันธบัตร ทองคำ ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยง เมื่อสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งปรับตัวลงแรงจากสถานการณ์เลวร้าย แต่ก็ยังมีสินทรัพย์ตัวอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบ ทำให้พอร์ตยังไปต่อได้ และหากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติหรือวิกฤติจบ ตลาดฟื้นตัว สินทรัพย์ตัวนั้นก็จะฟื้นกลับมาเติบโตต่อไป

 

พอร์ตรอง (Satellite) จะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่เติบโตสูงเพื่อบูสต์ผลตอบแทนให้เพิ่มมากขึ้นในยามตลาดขาขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นรายตัวของประเทศที่กำลังพัฒนา อย่างหุ้นจีน หรือหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธีมเมกะเทรนด์ อย่างเช่น กลุ่ม AI กลุ่มเฮลท์แคร์ เป็นต้น

 

โดยปกติผมจะแนะนำให้ลูกค้าวางพอร์ตหลักให้ดี เงินลงทุนซัก 70 – 80% จะอยู่ในพอร์ตหลักนี้ ยิ่งเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ ก็อย่าเพิ่งเน้นเสี่ยงมากครับ และอีก 20% จะอยู่ในพอร์ตรอง ลงทุนสินทรัพย์ที่เสี่ยงได้มากขึ้นแต่ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่าพอร์ตหลัก ส่วนใหญ่จะเน้นทรัพย์สินหลายประเทศหลายอุตสาหกรรมหรือหุ้นหลายตัว พอร์ตนี้เหมาะจะหาดูว่า ในช่วงวิกฤติแบบนี้ ควรจะลงทุนอะไรดี เช่น หุ้นสหรัฐฯ ตกลงมามากๆ จะ ลองเข้าหุ้นสหรัฐฯ ไหม หรือจะเป็นหุ้นจีน เพราะไม่ว่าจะสงครามการค้ารอบนี้จะจบแบบไหน ทั้งสองประเทศนี้ก็ยังเป็นเบอร์หนึ่งเบอร์สองของโลกครับ

 

จริงๆ แล้ว ตลาดมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ และทุกๆ การลงทุนไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ใดๆ ล้วนมีความเสี่ยงและมีโอกาสรับผลตอบแทนทั้งนั้น ซึ่งในแต่ละปี สินทรัพย์ก็จะขึ้นและลงแตกต่างกัน หากคุณจัดพอร์ตกระจายลงทุนได้ดีพอก็จะไม่เกิดความผันผวนมากนัก แม้ในยามเกิดวิกฤติหนักๆ พอร์ตรวมติดลบก็จะไม่หนักมากเท่าตลาดลงแรงๆ ครับ 

 

สำหรับนักลงทุนมือเก่าที่ชินชา ไม่ตื่นตระหนกกับวิกฤติแล้ว แม้จะบอกว่าได้จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงลงทุนไว้อย่างดีและเหมาะสมแล้วก็ตาม  แต่จริงๆแล้ว คุณก็ไม่ควรประมาทหรือชะล่าใจ ยังจำเป็นต้องทำการทบทวนหลักการลงทุนและปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการปรับพอร์ตหรือ Rebalancing เพื่อให้พอร์ตเติบโตได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด และมีความมั่นคง 

 

หลายๆ คนจะชอบคิดว่า จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงได้ปลอดภัยแล้ว และจะไม่ทำอะไรเลย ถือไปเรื่อยๆ รอตลาดกลับมาสู่ภาวะปกติ แบบนี้เป็นแนวคิดที่ผิดหลักการลงทุนที่ดีอย่างมากๆ ครับ การทบทวนและปรับพอร์ตยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำครับ เพื่อให้เงินของคุณทำงานสร้างผลตอบแทนได้อย่างเต็มที่

 

วิธีการปรับพอร์ตให้ถูกต้องถูกวิธีนั้น หลายคนยังเข้าใจผิดกันอยู่และปรับพอร์ตผิดวิธีด้วย ผมยกตัวอย่างเช่น คุณมีทรัพย์สินลงทุนในหุ้นและพันธบัตร 80% และ 20% เมื่อเห็นหุ้นตก สิ่งที่คนส่วนมากจะทำ คือ การขายหุ้นออกแล้วไปซื้อพันธบัตร เพราะเห็นว่า พันธบัตรมีความเสี่ยงต่ำกว่า ซึ่งวิธีปรับพอร์ตแบบนี้ผิดหลักการครับ 

 

หลักการปรับพอร์ตลงทุนที่ถูกต้อง คือ แม้ว่าหุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงจากภาวะผันผวนทั้งขึ้นและลงสูงก็ตาม แต่ถ้าเรารู้ว่า หุ้น (พื้นฐานดี) มีปรับตัวลงมาได้อีกสักพักก็จะขึ้นไปใหม่ หรือหากปรับตัวขึ้นไปแรงมากก็ปรับตัวลงได้เช่นกัน ซึ่งตอนนี้ในช่วงที่วิกฤติแบบนี้ หากจะปรับพอร์ต ควรจะดูสัดส่วนระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น กับพันธบัตรหรือเงินสด ที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ ว่าสัดส่วนเปลี่ยนไปไหม หากพบว่าสัดส่วนมันเปลี่ยนแปลงไปจากที่ตั้งไว้ 80% และ 20% ตามลำดับ สิ่งที่ต้องทำ คือ ‘Rebalancing’ ปรับสัดส่วนให้กลับมาอยู่ที่เหมาะสม หรืออยู่ตามที่ได้ตั้งไว้นั่นเอง 

 

อย่างเช่น เมื่อตลาดหุ้นตกหนัก กระทบต่อหุ้นในพอร์ตที่เคยมีสัดส่วน 80% ตกลงมาเหลือ 72% วิธีทำก็คือ หากเราไม่ใส่เงินใหม่ลงทุนเพิ่ม ผมก็แนะนำให้ขายพันธบัตรออก  เพื่อรักษาสัดส่วน 20% เพื่อที่จะทำให้พอร์ตยังรักษาสัดส่วนลงทุนตามเป้าหมาย และเมื่อสถานการณ์ตลาดกลับสู่ภาวะปกติ เวลาหุ้นเด้งขึ้นพอร์ตคุณก็จะได้ประโยชน์เต็มๆ ถึงตอนนั้นคุณก็ต้องปรับพอร์ต ในส่วนหุ้นที่มีสัดส่วนเกิน 80% ด้วยการขายทำกำไรออกมา และนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรหรือถือเงินสดไว้ จะทำให้สัดส่วนตรงนี้กลับมาอยู่ที่เดิม 20% นี่คือวิธีการปรับพอร์ต ’Rebalancing’ ที่ถูกต้องครับ และจะทำให้พอร์ตของคุณเติบโตด้วย 

 

ทุกวันนี้ ผมยังเห็นบางคน ปรับพอร์ต ’Rebalancing’ ผิดวิธีอยู่ครับ บางคนพอเห็นหุ้นตก (ทั้งๆ ที่เป็นหุ้นดี) กลับไปขายหุ้นนั้นออก ซึ่งในตอนช่วงที่หุ้นกลับมาขึ้น เท่ากับหุ้นที่ขายไปเสียประโยชน์ซะแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าหุ้นตก แนะนำให้กลับไปซื้อหุ้นโดยต้องเลือกหุ้นถูกหลักการด้วยนะครับ และถ้าเวลาที่หุ้นขึ้นเช่นมีข่าวดีจนทำให้หุ้นขึ้นมาได้ 10% เราอาจจะต้องขายหุ้นทำกำไร และโยกเงินกลับมาลงทุนซื้อพันธบัตรหรือถือเงินสดไว้

 

ซึ่งวิธีการปรับพอร์ต ‘Rebalancing’ แบบนี้ จะช่วยลดอารมณ์ของเราได้ดีครับ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในคนส่วนมากจะปรับพอร์ตตามอารมณ์ เวลาเห็นหุ้นตก ความกลัวครอบงำก็ตัดสินใจขายหุ้นออก แล้วคิดว่า ค่อยมาซื้อใหม่ตอนหุ้นขึ้น นี่คือการปรับตามอารมณ์ ซึ่งจะทำให้ได้ผลตอบแทนน้อยลง

 

ผมขอสรุปวิธีการปรับพอร์ตให้ถูกต้องตามหลักการ ก็คือ เมื่อทรัพย์สินที่มีความผันผวนสูงปรับตัวลดลงมา คุณควรต้องซื้อเพิ่มเพื่อรอวันที่ตลาดกลับภาวะปกติ เมื่อได้กำไรตอนนั้นค่อยขายออกมาครับ หากคุณทำตามวิธีนี้แล้ว พอร์ตของคุณจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

 

สำหรับใครที่ยังกลัวหรือไม่กล้าจะเข้าลงทุนในช่วงตลาดลงแรงๆ หรือในยามที่กำลังเกิดวิกฤติตอนนี้ 

 

ผมขอบอกว่า โอกาสทองมาถึงแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้ ในตลาดมีของดีราคาถูกให้เลือกเหมือนกับห้างสรรพสินค้าลดราคาแรงๆ ครับ 

 

การ Rebalance พอร์ต แม้แต่นักลงทุนชื่อดังของโลก “ Warren Buffett” ก็ยังต้องทำเช่นกัน ช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีข่าวว่าคุณปู่ขายหุ้นออกมามากตลอดปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังมีหุ้นอยู่ในพอร์ต 50% และถือเงินสดอีก 50% พร้อมจะลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ดีๆ ครับ 

 

แม้แต่นักลงทุนทั่วโลกก็ไม่ได้อยู่นิ่งกับการเฝ้ารอตลาดฟื้นกลับมาแน่นอน เพราะทุกคนมองเห็นโอกาสการซื้อสินทรัพย์ราคาถูกในช่วงที่ตลาดอยู่ดัชนีความกลัวพุ่ง มากกว่าดัชนีความโลภ

 

คุณปู่ Buffett แจกปรัชญาการลงทุนที่ท่านยึดถือเหนียวแน่นมาตลอดหลายทศวรรษ นั่นก็คือ จงกลัวในยามที่คนอื่นโลภ และโลภในยามที่ทุกคนกลัว

 

“Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful.”

 

พูดง่ายๆ ก็คือ ​“อย่าตามฝูงชนแบบไม่ลืมหูลืมตา”

เวลาใครๆ โลภอย่าพุ่งตามเข้าไปโดยไม่คิด เพราะราคาอาจจะแพงเกินจริงแล้ว

แต่ถ้าตลาดเริ่มกลัว ขายหุ้นกันราวกับโลกจะแตก นั่นแหละ! คือช่วงเวลาที่ของดีอาจหลุดมาในราคาถูกให้เราได้ช้อน 

​​

สิ่งที่ทำให้คุณปู่ Buffett ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จได้เป็นระยะเวลายาวนานได้นั้น ไม่ใช่เพราะปู่มีลูกแก้ววิเศษอะไรเลย แต่เพราะเขามี ‘Mindset ระยะยาว’ ที่ช่วยให้มองข้ามความกลัวในระยะสั้นไปได้

สิ่งที่ทำให้คุณปู่ Buffett เข้าใจดีว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน แค่คนส่วนใหญ่ตื่นกลัวเกินเหตุ!

นั่นคือเหตุผลที่ คุณปู่ Buffett กล้าซื้อหุ้นตอนตลาดกลัวสุดขีด เพราะเขารู้ว่านี่คือ ‘ช่วงลดราคา’ ของหุ้นดีๆ ครับ 

 

สำหรับคนที่ตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน รู้ว่าลงทุนเพื่ออะไร เลือกสินทรัพย์ให้เหมาะกับระยะเวลา พร้อมกับมี Mindset ระยะยาว วางแผนการลงทุนให้ดีแล้วใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้อง ปล่อยให้เงินทำงานแทนคุณ พอร์ตของคุณเติบโตแน่นอนครับ และคุณจะภาคภูมิใจที่เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ 

 

The post New World Order อยู่อย่างไรในวันที่โลกลงทุนไม่เหมือนเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>
การประมูลสิ่งอุทิศให้กับพระบรมสารีริกธาตุเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ https://thestandard.co/buddhist-offering-auction-religious-issue/ Tue, 06 May 2025 02:27:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1071386 พระบรมสารีริกธาตุ

สิ่งอุทิศที่พบร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าสาม […]

The post การประมูลสิ่งอุทิศให้กับพระบรมสารีริกธาตุเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พระบรมสารีริกธาตุ

สิ่งอุทิศที่พบร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าสามารถประมูลได้หรือไม่?

 

เป็นคำถามที่กำลังถกเถียงและพูดถึงเป็นวงกว้างในหมู่ชาวพุทธและไม่พุทธทั่วโลกว่า ถึงความเหมาะสมต่อบริษัทประมูลชื่อดัง Sotheby’s ว่า อัญมณีและสิ่งอุทิศที่พบร่วมกันกับพระบรมสารีริกธาตุ หรือจริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมสารีริกธาตุสมควรถูกตีราคาให้เป็นเงินหรือไม่ เพราะนี่คือการลดทอนคุณค่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นหัวใจของชาวพุทธแบบหนึ่ง

 

พระบรมสารีริกธาตุในโลกนี้มีมากมาย แต่เชื่อกันว่าพระบรมสารีริกธาตุนี้เป็นของแท้ เพราะพบในโกศที่จารึกอักษรพราหมีสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชระบุว่า “พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า” 

 

พระบรมสารีริกธาตุนี้เกี่ยวข้องกับประเทศไทยอย่างมาก คงต้องขอเล่าสั้นๆ สักนิด กล่าวคือ หลังจาก วิลเลียม เปปเป้ (William C. Peppé) ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุนี้เมื่อ ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441) ได้เป็นข่าวใหญ่โตทั่วอินเดีย จนท้ายที่สุดทราบไปถึงพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ซึ่งบวชอยู่ที่ลังกา และเคยรู้จักกับลอร์ดเคอร์ซันข้าหลวงใหญ่แห่งอังกฤษที่ปกครองอินเดีย จึงได้ทูลขอพระบรมสารีริกธาตุนี้ เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงทราบเรื่อง จึงได้ส่งเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ไปอัญเชิญพระบรมธาตุนี้มาเมื่อ พ.ศ. 2442 และได้บรรจุยัง “ภูเขาทอง” หรือ พระบรมบรรพต สืบมาจนถึงทุกวันนี้

 

เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับชาวพุทธไทยโดยตรง!

 

สิ่งอุทิศที่พบร่วมที่กำลังจะประมูลโดย Sotheby’s นี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของ “พระธาตุ” นั่นเอง ไม่ใช่ “อัญมณี” เฉยๆ ตามที่บริษัทประมูลพยายามแปลงความหมาย

 

ชาวพุทธไทยควรเพิกเฉยต่อปัญหานี้หรือไม่ในเมื่ออีกไม่กี่วันนี้วันวิสาขบูชากำลังจะมาถึง??? 

 

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังส่งเสียง แต่น่าแปลกใจที่ชาวพุทธไทยและสมาคมพุทธศาสนาในไทยกลับเงียบงัน?

 

การประมูลครั้งนี้ของบริษัทคือการเพิกเฉยและละเลยไม่สนใจศรัทธาของพุทธศาสนิกชนโดยแท้ ไม่สนใจต่อข้อวิพากษ์ของคนทั่วโลก และเป็นเหมือนการปล่อยให้อำนาจของเจ้าอาณานิคมยังคงดำรงอยู่

 

ไม่เพียงเท่านั้น การนำสิ่งอุทิศนี้มาประมูลยังเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาระดับโลกคือ การทวงคืน-ส่งคืนวัตถุ (repatriation) อย่างชัดเจน เพราะเป็นการนำวัตถุจากดินแดนอาณานิคมออกขายทอดตลาด ซึ่งนี่คือการทำให้ “วัตถุศักดิ์สิทธิ์” กลายเป็นเพียง “สิ่งของ” หรือเป็นเพียง “งานศิลปะ” เพื่อการประมูลเท่านั้น 

 

สิ่งอุทิศที่เป็นอัญมณีพบร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า (อ้างอิง: www.piprahwa.com/thejewels)

 

โกศทั้งห้าที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า (อ้างอิง: en.wikipedia.org/wiki/Piprahwa#Excavation_by_William_Claxton_Peppé)

 

ต่อประเด็นเรื่องนี้ ศาสตราจารย์แอชลีย์ ทอมป์สัน (Ashley Thompson) แห่งโซแอส มหาวิทยาลัยลอนดอน และ โคนัน จาง (Conan Cheong) นักศึกษาปริญญาเอกที่โซแอส ก็มีทัศนะไม่เห็นด้วยกับการประมูลพระบรมสารีริกธาตุครั้งนี้ ปรากฏอยู่ในบทความเรื่อง Selling the Buddha’s Relics Today ตีพิมพ์ในวารสารจริยธรรมพุทธศาสตร์ (Journal of Buddhist Ethics) ในที่นี้ขอสรุปสาระสำคัญของบทความตามนี้ 

 

ชาวพุทธทั่วโลกต่างวิตกตกใจเมื่อทราบว่า ในวันพุธที่ 7 พฤษภาคมนี้ บริษัท Sotheby’s ฮ่องกง จะทำการประมูล ‘อัญมณีในพระบรมสารีริกธาตุ’ ที่ขุดพบจากสถูปปิประห์วา (Piprahwa) ซึ่งพบในปี 1898 สถูปนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองลุมพินี ในรัฐอุตตรประเทศของอินเดีย แต่พระบรมสารีริกธาตุนี้ได้พบร่วมกับสิ่งอุทิศอันสูงค่าอีกด้วย ปัจจุบันพระบรมสารีริกธาตุนี้ส่วนหนึ่งยังได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ยังภูเขาทองที่วัดสระเกศอีกด้วย 

 

สถูปปิประห์วาที่ขุดพบพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า (อ้างอิง: en.wikipedia.org/wiki/Piprahwa#Excavation_by_William_Claxton_Peppé)

 

ย้อนกลับไป พระบรมสารีริกธาตุและสิ่งอุทิศที่ขุดพบในอินเดียนี้ได้พบบรรจุภายในกล่องหินขนาดใหญ่ ซึ่งถูกขุดขึ้นมาจากภายในสถูปตามคำสั่งของเจ้าที่ดินในยุคอาณานิคมของอังกฤษ ภายในสถูปผู้ขุดค้นได้พบพระบรมสารีริกธาตุและสิ่งอุทิศ (อัฐิธาตุ) ที่ทำจากหินกึ่งรัตนชาติและคริสตัล ซึ่งทั้งหมดบรรจุอยู่ในกล่องหินเดียวกัน หนึ่งในจารึกที่พบบนโกศหินได้ปรากฏจารึกว่าหนึ่งในสมาชิกของศากยะวงศ์ได้เป็นผู้ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชด้วยตนเอง 

 

สิ่งอุทิศที่เป็นอัญมณีที่ถูกนำมาประมูลในครั้งนี้ จึงสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นของถวายอันล้ำค่าแก่พระบรมสารีริกธาตุ หรือเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมสารีริกธาตุก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร อัฐิทั้งหมดนี้ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสำหรับชาวพุทธทั่วโลก เนื่องจากความใกล้ชิดกับร่างของพระพุทธเจ้า

 

อีกทั้งสิ่งอุทิศดังกล่าวยังมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับชาวพุทธไทยอีกด้วย ในช่วงเวลาที่ค้นพบพระบรมสารีริกธาตุนี้ กฎหมายอาณานิคมของอังกฤษกำหนดให้องค์กรโบราณคดีต้องส่งมอบของโบราณให้กับรัฐบาลอาณานิคมอังกฤษ เจ้าของที่ดินและผู้ค้นพบร่วมกันตัดสินใจแยก “อัญมณี” ออกจาก “กระดูกและเถ้าถ่าน” โดยมองว่าเฉพาะ “อัญมณี” เท่านั้นที่เป็นสิ่งที่ชาวยุโรปสนใจ ส่วนหนึ่งของอัฐิบัติอัญมณีถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อาณานิคมที่กัลกัตตา อีกส่วนหนึ่งได้มอบให้กับเจ้าของที่ดินซึ่งลูกจ้างของเขาเป็นผู้พบ ด้าน “กระดูกและเถ้าถ่าน” ได้ถูกส่งมอบเป็นของขวัญทางการทูตแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ซึ่งเป็นพระภิกษุ ได้เดินทางไปทำพิธีแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย เมื่อทราบเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ พระองค์จึงทรงยื่นหนังสือร้องขอต่อรัฐบาลอังกฤษเพื่อขอให้ส่งอัฐิที่ไม่เป็นที่สนใจของชาวยุโรปกลับมาให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า พระองค์ทรงบรรจุอัฐิเหล่านี้ไว้ในกรุงเทพฯ และต่อมาได้แจกจ่ายส่วนหนึ่งของอัฐิเหล่านี้ให้กับสถาบันพุทธศาสนาในทั่วโลก

 

เป็นทายาทของเจ้าของที่ดินในอาณานิคมปี 1898 ที่ขณะนี้กำลังพยายามขายสิ่งอุทิศที่เป็นอัญมณีในมูลค่า ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ให้แก่ผู้เสนอราคาสูงสุด 

 

เรื่องนี้ชาวพุทธจึงควรคัดค้าน! ทำไมในศตวรรษที่ 21 มรดกจากอาณานิคมของอังกฤษถึงสามารถสร้างรายได้หลายล้านจากการขายสิ่งอุทิศร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้ได้กันนะ? แล้วจะไม่มีกรรมอันน่าหลอกหลอนตามมาสำหรับทั้งผู้ซื้อและผู้ขายหรือ? พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศิลปะหรือสินค้าที่ควรเอามาหมุนเวียนในตลาดการเงินโลก การซื้อขายครั้งนี้ภายใต้การประณามของชาวพุทธทั่วโลกจะหยุดยั้งการกระทำครั้งนี้ได้หรือไม่? ในขณะที่เรารอวันวิสาขบูชา 2568 พ.ศ. นี้ เรามามองดูงานเฉลิมฉลองศาสนาของเวียดนามเพื่อเป็นแรงบันดาลใจที่จะแสดงให้เห็นว่าพระบรมสารีริกธาตุจากสารนาถมีคุณค่าเท่าใดต่อผู้แสวงบุญจากทั่วทุกสารทิศเข้ามากราบไหว้ ชาวพุทธไทยควรเรียกร้องให้สิ่งอุทิศร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุควรได้กลับมารวมกับพระบรมสารีริกธาตุเพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกสามารถกราบไหว้และนับถือได้

 

ทองคำที่พบร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุ (อ้างอิง: www.piprahwa.com/thejewels)

 

ในที่นี้ขอเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นบทความภาษาอังกฤษด้วย เพื่อให้รับรู้ในระดับนานาชาติ

 

Protest Sotheby’s Auction of Buddha Relics

 

Thai Buddhists have been shocked to learn that, on Wednesday, May 7, Sotheby’s Hong Kong is set to sell the ‘gem relics’ of Piprahwa. These relics were found in 1898 in a stupa at Piprahwa, just south of Lumbini, in today’s Uttar Pradesh, India. But they were not found there alone: they were mixed in with the relics now enshrined and venerated atop the Golden Mount of Wat Saket. They were dug up from inside the stupa on the orders of a British colonial landowner. Inside the stupa the diggers found a set of stone and crystal reliquaries, all encased together inside a large stone box. One of the reliquaries bares an inscription which provides incontrovertible evidence that members of the Sakya clan, descendants of the Buddha, deposited these relics of the Buddha himself during the Ashokan era. The ‘gem relics’ now being put up for auction may have been considered Buddha relics, or precious offerings made to the Buddha relics. In any case, all these relics are of the highest sacred order to Buddhists worldwide for their intimate association with the Buddha’s body.

 

They also have a special relationship to Thai Buddhists. At the time of their find, British colonial law required that archaeological finds be transferred to the British colonial government. The landowner-finder and his colonial peers decided to separate the ‘gems’ out from the ‘bones and ash’, determining that only the ‘gems’ were of interest to Europeans. A portion of the ‘gem relics’ were deposited in the colonial museum in Kolkata; another portion was granted to the landowner whose workers had found them. The ‘bones and ash’ were offered as a diplomatic gift to King Chulalangkorn.  Thai royal monastic Prince Prisdang Chumsai was at the time making pilgrimage to sacred Buddhist sites in India. Having seen the relics, he successfully petitioned the British crown government to send to King Chulalangkorn those relics which were deemed of no interest to Europeans. King Chulalangkorn enshrined them in Bangkok and subsequently distributed portions of them to Buddhist institutions around the world. 

 

It is the descendants of the 1898 colonial landowner who are now seeking to make an estimated $10 million in selling the relics to the highest bidder. Thai Buddhists protest! How is it that in the 21st century British colonial inheritors can make millions off the sale of precious relics? Will there not be horrific karmic retribution for both buyer and seller? Buddha relics are neither art nor commodity for circulation on global money markets. Can this sale be stopped in the name of Buddhists worldwide? As we anticipate Vesak Day 2568 B.E, let’s look to the holy celebrations in Vietnam to admire how the relics of Sarnath are made available to pilgrims from far and wide. Thai Buddhists demand that the ‘gem relics’ be reunited with the other relics to be made available for veneration to Buddhists everywhere.

The post การประมูลสิ่งอุทิศให้กับพระบรมสารีริกธาตุเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เธียร์รี อองรี ‘The King’ ตัวจริงของพรีเมียร์ลีก https://thestandard.co/opinion-thierry-henry-pl-true-king/ Sun, 04 May 2025 04:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1070886

ภาพของ โม ซาลาห์ ที่ได้ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พ […]

The post เธียร์รี อองรี ‘The King’ ตัวจริงของพรีเมียร์ลีก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ภาพของ โม ซาลาห์ ที่ได้ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูลอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้เกิดหนึ่งในประเด็นสนทนาภาษาลูกหนังที่สนุกและชวนค้นหาคำตอบ

 

‘The Egyptian King’ แห่งแอนฟิลด์นั้นอยู่ ณ จุดไหนของทำเนียบสุดยอดนักเตะพรีเมียร์ลีก?

 

ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในความรู้สึกส่วนตัวของผม รวมถึงใครอีกหลายคนที่ไม่ใช่แค่เพียงแฟนฟุตบอล แต่รวมถึงอดีตนักฟุตบอลทั้งที่เคยได้เห็นฟอร์มการเล่นผ่านตา เคยร่วมทีมกันมา หรือเคยประลองเพลงแข้งกันบนฟลอร์หญ้า

 

คนที่คู่ควรกับคำว่า ‘ราชา’ ของพรีเมียร์ลีกคือ เธียร์รี อองรี

 

ในประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษ ก่อนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนทุกสิ่งไปตลอดกาลเมื่อปี 1992 มีสุดยอดนักฟุตบอลมากมายหลายคนที่ผลัดกันมาสร้างตำนานในแบบของตัวเอง

 

อลัน เชียเรอร์, เอริค คันโตนา, เดนนิส เบิร์กแคมป์, จานฟรังโก โซลา, ไมเคิล โอเวน, ไรอัน กิ๊กส์, เซร์คิโอ อเกวโร, เอเดน อาซาร์, คริสเตียโน โรนัลโด, เควิน เดอ บรอยน์, เวย์น รูนีย์, ปาทริก วิเอรา, รอย คีน

 

หรือนักเตะในประเภท Cult Heroes ผู้มาเพื่อสร้างปรากฏการณ์อย่าง เปาโล ดิ คานิโอ, แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์, หลุยส์ ซัวเรซ

 

โม ซาลาห์ เองก็จัดอยู่ในสุดยอดนักฟุตบอลผู้ผ่านการพิสูจน์ผลงานอันน่ามหัศจรรย์ โดยเฉพาะในแง่ของความสม่ำเสมอในการเล่นตลอดช่วงระยะเวลา 8 ฤดูกาลของเขากับลิเวอร์พูลที่แทบจะไม่พลาดการลงสนามเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆ

 

ตรงนี้ต้องยอมรับในวินัยของซูเปอร์สตาร์ชาวอียิปต์ที่อยู่ในระดับไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับ คริสเตียโน โรนัลโด นักฟุตบอลที่อยู่ในหมวด ‘ซูเปอร์แมน’

 

 

เพียงแต่หากลองถามความรู้สึกกันอีกทีว่า ใครคือสุดยอดนักเตะตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ชื่อของ เธียร์รี อองรี มักจะเป็นชื่อที่หลายคนคิดถึงเป็นคนแรกๆ

 

เรื่องนี้มันมีเหตุผลครับ

 

อองรีนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่นักฟุตบอลที่เก่งกาจหาตัวจับได้ยาก แต่ยังมีคุณสมบัติอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เพียบพร้อมอยู่ในตัวเอง

 

นอกจากพรสวรรค์ในการเล่นอันสูงส่งแล้ว ความเร็วของเขาเหมือนวิ่งบนอากาศ อองรียังมีความเป็นผู้นำสูง มีความกล้าหาญที่พร้อมเผชิญหน้ากับทุกอุปสรรค เขายังสามารถตัดสินชัยชนะให้ทีมได้ตลอดเวลา และเราจะได้เห็นลีลาการเล่นอันน่าอัศจรรย์ใจจากเขาเสมอ

 

เหมือนลูกกระดกบอลขึ้นกลางอากาศก่อนกลับตัววอลเลย์เสียบสามเหลี่ยมในเกมที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

หรือการลากแหวกนักเตะลิเวอร์พูลทั้งแผง สับขาหลอกจน เจมี คาร์ราเกอร์ หัวทิ่มหัวตำก่อนจะยิงประตูเข้าไปอย่างเหนือชั้น

 

สิ่งเหล่านี้คือความมหัศจรรย์ในสายตาของเรา

 

แต่สำหรับอองรี มันคือความมหัศจรรย์ธรรมดา เป็นเรื่องที่เขาทำได้โดยไม่ได้รู้สึกยากลำบากอะไร

 

ว่าแล้วก็ยักไหล่ในสไตล์อองรีให้ดู

 

โอเค โดยระดับความมหัศจรรย์แล้ว อองรีอาจจะยังเทียบชั้นไม่ได้กับคนที่อยู่เหนือไปอีกขั้นอย่าง ‘โอ เฟโนเมโน’โรนัลโด (ต้นตำรับ) หรือแม้แต่โรนัลดินโญ รวมถึง ลิโอเนล เมสซี ซึ่งสองคนหลังเคยเล่นร่วมกันในทีมบาร์เซโลนา

 

แต่สำหรับในระดับพรีเมียร์ลีกแล้ว คนจำนวนไม่น้อยที่น่าจะคิดตรงกันว่าอองรีคือที่สุดจริงๆ 

 

เพราะไม่ใช่เพียงแค่เก่งในระดับที่ในยุคทองของเขาแล้ว อองรีเข้าขั้น Unplayable คือไม่มีใครต่อกรได้ จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน

 

บวกกับคาแรกเตอร์ ความมั่นใจของเขาซึ่งอยู่ในระดับทะลุเพดานทะยานฟ้า ใครก็เอาไม่ลงทั้งนั้น (นอกจากลิฟต์) ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความแตกต่างทางความรู้สึกให้แก่แฟนฟุตบอลจำนวนไม่น้อยที่จะจดจำเขาในฐานะหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด

 

สุดท้ายคือผลงานในเชิงประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นผลงานส่วนบุคคลซึ่งทำไป 175 ประตูจากการลงสนาม 258 นัดให้กับอาร์เซนอล (ซาลาห์ทำได้ 185 ประตูและ 87 แอสซิสต์จากการลงสนาม 297 นัด) คว้ารางวัลรองเท้าทองคำสำหรับดาวซัลโว 4 สมัย 

 

 

อองรียังพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการคว้าสร้างตำนาน The Invincibles แชมป์ไร้พ่ายในฤดูกาล 2003/04 ซึ่งเขาเป็นกำลังสำคัญของทีมในเวลานั้นด้วย

 

ผลงานดังกล่าวทำให้เมื่อพรีเมียร์ลีกตัดสินใจตั้งรางวัล Premier League Hall of Fame หรือหอเกียรติยศแห่งพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2021 ชื่อของอองรีคือหนึ่งในสองคนแรกที่ถูกเสนอให้เป็นนักฟุตบอลที่ได้รับการขึ้นหิ้งร่วมกับ อลัน เชียเรอร์ ที่เป็นดาวซัลโวตลอดกาลด้วยจำนวน 260 ประตู

 

การคว้าตัวสตาร์แห่งวงการฟุตบอลฝรั่งเศสรายนี้ยังเป็นหนึ่งในผลงาน ‘ประติมากรรมลูกหนัง’ ที่ อาร์แซน เวนเกอร์ บอสตลอดกาลของอาร์เซนอลภาคภูมิใจอย่างมากด้วย

 

เพราะเวนเกอร์เป็นคนที่มองขาดตั้งแต่แรกว่าอองรีนั้นจะเปล่งประกายที่สุดในบทบาทไหน

 

ย้อนกลับไปในปี 1999 อองรีย้ายจากโมนาโก มาอยู่กับยูเวนตุสในช่วงเดือนมกราคมหลังจบศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นทั้งเจ้าภาพและแชมป์โลก แต่การย้ายไปตูรินในครั้งนั้นกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะ มาร์เชลโล ลิปปี ไม่รู้ที่จะยัดเด็กคนนี้ลงตรงไหนในทีมเบียงโคเนรีที่อุดมไปด้วยสตาร์นามอุโฆษ

 

อเลสซานโดร เดล ปิเอโร, ฟิลิปโป อินซากี, ดาเนียล ฟอนเซกา, ซีเนดีน ซีดาน

 

คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ยูเวในเวลานั้นพยายามแก้ปัญหาด้วยการส่งอองรีลงสนามในบทบาทวิงแบ็กด้วยการหวังพึ่งความเร็วและเทคนิคในการทำเกมรุกของเขา ซึ่งปกติแล้วเป็นผู้เล่นที่เล่นตำแหน่งปีกซ้ายมาโดยตลอด แต่มันก็ไม่ได้ผลที่ดีนัก

 

จนกระทั่งเวนเกอร์กับอองรีมีโอกาสพบกันบนเที่ยวบินที่จะเดินทางไปปารีส

 

เวนเกอร์ซึ่งไปแอบชมเกมที่ยูเวนตุสพบกับอูดิเนเซ (ซึ่งอองรีโดนจับไปเล่นวิงแบ็ก) ก็เอ่ยปากทักทายก่อนจะบอกกับอดีตนักเตะเยาวชนของโมนาโก ทีมเก่าที่เขาเคยคุยและเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า “นายจะเล่นได้ดีที่สุดในบทศูนย์หน้า”

 

อองรีรู้สึกสนใจขึ้นมากับคำพูดนี้ เพราะเขาไม่เคยมองตัวเองในตำแหน่งศูนย์หน้ามาก่อน ก่อนที่เวนเกอร์จะขอโอกาสในการนัดพบกันอีกครั้ง

 

ก่อนที่จะมีการขอซื้อตัวอองรีมาจากยูเวนตุสอย่างเป็นทางการในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 1999/00 โดยอาร์เซนอลจ่ายค่าตัวให้ 11 ล้านปอนด์ (ยูเวพอใจได้กำไร 5 แสนปอนด์) และเวนเกอร์ก็เปลี่ยนแปลง – ไม่สิ – ปลดปล่อยเขาให้กลายเป็นสุดยอดกองหน้าที่ไม่มีใครหยุดได้

 

ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วอองรีจะตัดใจอำลาอาร์เซนอลไปหลังจบฤดูกาล 2005/06 ซึ่งเขามีส่วนช่วยในการพาทีมทะลุเข้าชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมกันเนอร์ส แต่คว้าถ้วย Big Ears กลับมาไม่สำเร็จ

 

แต่ภาพในใจของแฟนบอล โดยเฉพาะชาว Gooners พวกเขายังรักและเทิดทูน ‘ตีตี้’ คนนี้เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

 

 

โดยสิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องราวคือฉาก End Credit ตอนแถมที่อองรีได้โอกาสในการกลับมาสวมเสื้ออาร์เซนอลอีกครั้งในช่วงต้นปี 2012 ภายใต้สัญญายืมตัวระยะสั้นเพียงแค่ 2 เดือนเพื่อแก้ปัญหาแนวรุกที่บาดเจ็บของทีมในเวลานั้น

 

ในเกมแรกของการกลับมา อองรีได้โอกาสลงสนามเป็นตัวสำรองช่วงท้ายเกมเอฟเอคัพที่พบกับลีดส์ ยูไนเต็ด และลงมาก็สามารถทำประตูชัยให้ทีมได้เลย ก่อนจะระเบิดอารมณ์ทุกอย่างที่เก็บไว้เพราะไปจากทุกคนโดยไม่เคยได้ลา

 

แต่เท่านั้นไม่พอ ยังมีฉาก End Credit ที่ 2 ต่ออีกในเกมนัดสุดท้ายของอองรี ซึ่งกำลังจะหมดสัญญายืมตัวกับอาร์เซนอลและเตรียมกลับไปรับใช้นิวยอร์ก เรดบูลส์ ต้นสังกัดที่แท้จริง

 

เกมนั้นอองรีถูกเปลี่ยนตัวลงสนามมาเหมือนเคย และในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเกม อองรีก็ทำประตูชัยให้อาร์เซนอลเฉือนเอาชนะซันเดอร์แลนด์ได้ 2-1 

 

เป็นประตูปิดท้ายตำนาน ‘ราชาแห่งไฮบิวรี’ ได้ราวกับเทพนิยาย

 

ไม่มีตอนจบของเรื่องราวไหนจะสุดยอดไปกว่านี้อีกแล้ว

The post เธียร์รี อองรี ‘The King’ ตัวจริงของพรีเมียร์ลีก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปลดล็อกสูตรสำเร็จ พาธุรกิจอีสานสู่ Global https://thestandard.co/opinion-esan-to-global/ Sat, 03 May 2025 06:03:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1070863

🔓ปลดล็อกสูตรสำเร็จ พา ‘ธุรกิจอีสาน’ สู่ Glo […]

The post ปลดล็อกสูตรสำเร็จ พาธุรกิจอีสานสู่ Global appeared first on THE STANDARD.

]]>

🔓ปลดล็อกสูตรสำเร็จ พา ‘ธุรกิจอีสาน’ สู่ Global 🌏

 

อยากพาธุรกิจอีสานไปสู่ตลาดต่างประเทศต้องทำอย่างไร? มาล้วงสูตรสำเร็จพาธุรกิจ SMEs อีสาน จาก Local สู่ Global กับ ธณาภรณ์ โยวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร The Unique Prime Consultant Singapore ผู้ดูแลเบื้องหลังความสำเร็จแบบครบวงจรให้แก่ผู้ประกอบการไทยกว่า 100 ราย

 

📌ธุรกิจแบบไหนที่ตลาดต้องการ? 

 

นี่คงเป็นคำถามแรกๆ ที่ผู้ประกอบการไทยต้องการมองหาคำตอบก่อนจะพาธุรกิจของตัวเองไปสู่ตลาดโลก จากกรณีศึกษาของ The Unique Prime พบว่า ธุรกิจอาหาร แฟชั่น และส่งออก เป็นที่นิยมมากในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจอาหารที่ขยายตัวไปเติบโตต่างประเทศมากที่สุด อาทิ ‘ธุรกิจชานมไข่มุก’ เครื่องดื่มยอดฮิตที่คนไทยชื่นชอบ หรือแม้กระทั่ง ‘น้ำปลาร้า’ สินค้า Local ตัวท็อปจากภาคอีสานที่สามารถพาตัวไปเองไปโตในตลาดต่างประเทศจนสามารถส่งสินค้าไปได้ทั่วประเทศและทั่วโลกได้ 

 

👨🏼‍💼นักลงทุนต่างชาติมองศักยภาพธุรกิจไทยอย่างไร? 

 

ในสายตานักลงทุนต่างชาติมองว่าธุรกิจไทยมีศักยภาพโดดเด่นจากความสามารถของคนไทย ความคิดสร้างสรรค์และการแปรรูปท้องถิ่นที่สามารถนำวัตถุดิบในชุมชนมาแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้ เช่น ผลไม้อบแห้ง สมุนไพรที่ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ Wellness Spa และสินค้าอื่นๆ ที่ผสมผสานเสน่ห์ความเป็นไทยอย่างมีเอกลักษณ์ จนสามารถเติบโตได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

 

💪🏻จุดแข็งของธุรกิจอีสาน 

 

🏔 ที่ดิน – ทรัพยากรสำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ถือเป็นจุดแข็งที่สามารถใช้เป็นแต้มต่อในการต่อยอดธุรกิจได้มากกว่าภาคอื่นๆ ในประเทศไทย 

 

🌾 ทรัพยากรธรรมชาติที่ได้เปรียบ – ประเทศไทยมีวัตถุดิบคุณภาพดีจำนวนมาก ทำให้สามารถผลิตสินค้าในราคาต้นทุนที่แข่งขันได้

 

😊บุคลิกเข้าถึงง่าย – นักลงทุนต่างชาติยังมองว่าคนไทยมีนิสัยยิ้มแย้ม เป็นมิตร และเข้าถึงง่าย ทำให้การค้าขายและการลงทุนในประเทศไทยมีบรรยากาศที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก

 

ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ ‘ไทย’ จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการลงทุนและการตั้งฐานการผลิตจากต่างประเทศ ทั้งการแปรรูปสินค้าเกษตร การส่งออกงานฝีมือไปจนถึงการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น สมุนไพร เศษไม้ ใบหญ้า นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างยาดมสมุนไพร เป็นต้น 

 

🔒ความท้าทายที่รั้งธุรกิจอีสาน

 

แต่เมื่อมีจุดแข็ง ก็ต้องมีจุดอ่อน อะไรกันที่เป็นความท้าทายที่ยังฉุดรั้งไม่ให้ธุรกิจอีสานเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างที่ควรจะเป็น จากประสบการณ์การให้คำปรึกษาผู้ประกอบการชาวอีสานจำนวนมากของ The Unique Prime พบว่ามีความท้าทายอยู่ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่

 

🔸‘ความเจริญ’ ที่กระจุกตัวอยู่แค่หัวเมืองหลัก อย่างนครราชสีมาและขอนแก่น

 

🔸‘ความกลัว-ไม่กล้า’ เป็นข้อจำกัดทางด้านความคิดที่ทำให้ผู้ประกอบการชาวอีสานยังไม่กล้าก้าวออกจาก ‘comfort zone’ 

 

🌏จากอีสานสู่ Global ไม่ใช่เรื่องยาก

 

อย่างไรก็ตามด้วยองค์ประกอบข้างต้น ทั้งจุดแข็งด้านทรัพยากรที่ได้เปรียบ รวมไปถึงตลาดต่างประเทศที่มองเห็นศักยภาพในผู้ประกอบการไทยทั้งรายใหญ่หรือแม้กระทั่ง SMEs นี่เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่กำลังทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่า ‘ธุรกิจอีสาน’ สามารถไปสู่ Global ได้จริงๆ ประกอบกับสูตรสำเร็จ ‘S-A-U-C-E’ ที่ทาง The Unique Prime จะช่วยทำให้การไปสู่ตลาดต่างประเทศไม่ยากอย่างที่คิด ได้แก่ 

 

🔸S – Structure: วางโครงสร้างธุรกิจ กลยุทธ์การเติบโตในต่างประเทศ และการจัดการการเงินให้พร้อม 

🔸A – Asset: มองหาโอกาสเข้าถึงแหล่งการเงินระดับโลก

🔸U – Unlock: ปลดล็อกความมั่งคั่ง 

🔸C – Connect: เชื่อมโยงตลาดและพาร์ตเนอร์ธุรกิจที่ใช่

🔸E – Expand: การขยายธุรกิจไปต่างประเทศด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม

 

เท่ากับว่าตอนนี้มีสนามพร้อมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงเล่นแล้ว เหลือแค่ ‘ผู้ประกอบการไทย’ จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ต้องลุกขึ้นมองเห็นโอกาสรอบตัว และเริ่มต้นลงมือทำเพราะ ‘ตลาดโลก’ อาจเป็นภาพฝันใหญ่ที่ดูไกลออกไป แต่แค่ก้าวแรกก็สามารถพาธุรกิจไปได้ไกลและเติบโตได้เร็วกว่าที่คิด

 

อยากพาธุรกิจอีสานไปสู่ตลาดโลก ต้องมาฟังสูตรสำเร็จแบบเจาะลึกด้วยตัวเองกับ ธณาภรณ์ โยวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร The Unique Prime Consultant Singapore ใน Main Stage ในงาน The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025 วันที่ 5 ก.ค. 68 

 

🔥 ซื้อบัตร https://bit.ly/tssbwPKG

 

หมายเหตุ: ที่นั่งมีจำนวนจำกัด ลงทะเบียนได้เฉพาะผู้ที่ซื้อบัตรเท่านั้น

The post ปลดล็อกสูตรสำเร็จ พาธุรกิจอีสานสู่ Global appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมียนมาหลังแผ่นดินไหว ความเสียหายต่อมรดกทางวัฒนธรรม และอนาคตที่ยากจะมองเห็น https://thestandard.co/myanmar-earthquake-cultural-heritage-damage-2025/ Fri, 02 May 2025 09:51:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1070643 วัดอูมินธอนซ์เมืองสะกายพังถล่มหลังแผ่นดินไหวเมียนมาขนาด 7.7 แสดงความเสียหายรุนแรงต่อมรดกวัฒนธรรม

เวลา 12.50.52 น. (เวลาในเมียนมา) ของวันที่ 28 มีนาคม 25 […]

The post เมียนมาหลังแผ่นดินไหว ความเสียหายต่อมรดกทางวัฒนธรรม และอนาคตที่ยากจะมองเห็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
วัดอูมินธอนซ์เมืองสะกายพังถล่มหลังแผ่นดินไหวเมียนมาขนาด 7.7 แสดงความเสียหายรุนแรงต่อมรดกวัฒนธรรม

เวลา 12.50.52 น. (เวลาในเมียนมา) ของวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ใกล้กับเขตสะกายใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับวัด มัสยิด โบราณสถาน และตึกรามบ้านช่องนับหมื่นแห่ง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถือได้ว่าน่ากังวลมาก เพราะด้วยสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของเมียนมาแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะฟื้นฟูในเวลาอันใกล้นี้

 

ผู้เขียนได้สัมภาษณ์ ซอว์ ตุน ลิน (Saw Tun Lynn) อดีตอาจารย์ในภาควิชาโบราณคดี มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ปัจจุบันทำงานที่ศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ภายใต้องค์การรัฐมนตรีศึกษาธิการแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเรียกสั้นว่า “สปาฟ่า” (ย่อมาจาก SEAMEO SPAFA) ถึงความเสียหายดังกล่าว และแนวทางการจัดการของนักโบราณคดีเมียนมาในอนาคต

 

 

เมืองโบราณที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดมี 2 เมืองหลักคือ เมืองสะกาย และเมืองมัณฑะเลย์ แต่ที่รู้กันน้อยก็คือ รัฐไทใหญ่ และเมืองหงสาวดี (พะโค) ก็ได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน แต่ไม่ค่อยปรากฏในหน้าสื่อสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะรัฐไทใหญ่ และรัฐของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ จากการประเมินในเบื้องต้นพบว่ามีโบราณสถาน วัด และมัสยิดราว 9,643 แห่งในเมียนมาที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งบางแห่งพังทลายโดยสมบูรณ์ เพราะการสร้างขึ้นด้วยวัสดุดั้งเดิม เช่น อิฐและปูน ซึ่งมีความต้านทานต่อการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้ในระดับที่จำกัด

 

ความเสียหายดังกล่าวนี้ไม่ได้เพียงทำลายสถาปัตยกรรมอันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทำลายหัวใจและจิตวิญญาณของชาวเมียนมาอีกด้วย โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ประเทศเมียนมาอยู่ในภาวะวิกฤตทั้งจากเหตุแผ่นดินไหวและสถานการณ์ทางการเมืองยิ่งทำให้คนในประเทศรู้สึกถึงความไม่มั่นคงทางจิตใจเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

 

สภาพวัดแมนุ หรือ มหาอ่องเหม่ บอนซาน (Maha Aungmye Bonzan) ในเมืองอังวะ ก่อนและหลังพังทลาย

 

วัดอูมินธอนซ์เมืองสะกายพังถล่มหลังแผ่นดินไหวเมียนมาขนาด 7.7 แสดงความเสียหายรุนแรงต่อมรดกวัฒนธรรม

สภาพหอคอยในเมืองอังวะก่อนและหลังพังทลาย

 

ปัญหาอย่างสำคัญในเมียนมาคือ แม้ว่าจะผ่านแผ่นดินไหวมาหลายครั้ง เช่น แผ่นดินไหวที่พุกามในปี 1975 และแผ่นดินไหวที่เช่าว์ (Chauk) ในปี 2016 ก็ได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อโบราณสถานจำนวนมากเช่นกัน แต่สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์จำนวนมากยังไม่เคยหรือขาดการเสริมโครงสร้างที่ทันสมัย และก็แทบไม่มีมาตรการอนุรักษ์ใดๆ เลย ดังนั้น เมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่สะกายในปี 2025 จึงเกิดการพังทลายเป็นจำนวนมาก และสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างระบบการจัดการต่อภาวะภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่

 

ในทันทีหลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว องค์กรทางด้านมรดกวัฒนธรรมระดับท้องถิ่น สมาชิกชุมชน และพระสงฆ์ ได้ช่วยกันประเมินความเสียหายอย่างรวดเร็ว และด้วยความกล้าหาญโดยเริ่มจากการแชร์ภาพความเสียหายบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งภาพเหล่านี้กำลังถูกเก็บรวบรวมเพื่อสร้างฐานข้อมูลเบื้องต้น ความพยายามของพวกเขา รวมถึงการใช้การสำรวจด้วยภาพถ่าย ภาพจากดาวเทียม และการตรวจสอบด้วยตนเอง ทำให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างมีระบบและกว้างขวางมากขึ้น สมาคมโบราณคดีเมียนมา (MAA) ร่วมปรึกษากับ ICOMOS และผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ได้พัฒนาเครื่องมือสำคัญคือ แอปพลิเคชัน Heritage for Myanmar (HFM) (https://heritageformyanmar.org/)

 

 

แอปพลิเคชันมือถือ Android นวัตกรรมนี้ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ทางออนไลน์ผ่านแบบฟอร์มเว็บ เปิดให้สาธารณชนใช้งานเพียงสองสัปดาห์หลังจากแผ่นดินไหว แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนและการมองการณ์ไกลของสมาคมโบราณคดีเมียนมา (MAA) และพันธมิตร แอป HFM ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มพลังให้กับบุคคลในเมียนมาทุกคนให้มีส่วนร่วมในงานสำคัญในการบันทึกและประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสถานที่มรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แอปนี้มีฟังก์ชันการทำงานแบบออฟไลน์ เนื่องจากเข้าใจว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจมีจำกัดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือพื้นที่ห่างไกล ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บข้อมูลได้ในสนามและส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์กลางเมื่อมีการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ แอปยังมีแบบฟอร์มการประเมินที่มีทั้งภาษาเมียนมาและภาษาอังกฤษ เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ประชาชนทั่วไปและหน่วยงานท้องถิ่นไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกทางวัฒนธรรมที่มีประสบการณ์

 

สมาคมโบราณคดีเมียนมาขอเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้ประชาชน ชุมชนท้องถิ่น ผู้ที่สนใจด้านมรดก พระสงฆ์ และผู้ที่มีการเข้าถึงสถานที่ที่ได้รับผลกระทบ ร่วมมีส่วนในการป้อนข้อมูลลงในแอป โดยการบันทึกความเสียหายอย่างละเอียด, อธิบายประเภทและขอบเขตของความเสียหาย, บันทึกตำแหน่ง GPS ที่แม่นยำ และอัปโหลดภาพถ่ายและวิดีโอที่สนับสนุน ซึ่งทั้งหมดจะเป็นหูเป็นตาให้กับสมาคมโบราณคดีเมียนมาเพื่อสำรวจในพื้นที่ เพราะสถานการณ์ความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้เกินกำลังกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญที่มีจำนวนจำกัดจะสามารถทำได้เพียงลำพัง โดยการมีส่วนร่วมในความพยายามเก็บข้อมูลนี้ บุคคลจะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอันมีค่าของเมียนมา โดยจัดเตรียมข้อมูลที่สำคัญสำหรับการตอบสนองฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ การประเมินความเสี่ยง การวางแผนเชิงกลยุทธ์ และการฟื้นฟูในระยะยาว

 

สภาพวัดอูมินธอนซ์ (Umin Thonze) เมืองสะกายที่เสียหายจากแผ่นดินไหว

 

แม้ว่ากรมโบราณคดีภายใต้กระทรวงวัฒนธรรมของเมียนมาจะประเมินความเสียหายของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างรวดเร็วก็ตาม แต่การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขอบเขตจำกัด เพราะเน้นไปที่สถานที่ที่มีความเสียหายในระดับสูงและมีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ของชาติเพียงอย่างเดียว ที่น่าวิตกคือมาตรการฉุกเฉินจากรัฐบาลต่อสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้นกลับไม่มีการดำเนินการอย่างชัดเจน และครอบคลุมเพียงพอ

 

ตรงกันข้ามกับองค์กรท้องถิ่นและอาสาสมัครที่มีความมุ่งมั่นในการจัดการอนุรักษ์และป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นกับสถานที่สำคัญในทุกระดับ เช่น บางคนบางองค์กรได้เริ่มคลุมอาคารที่เสี่ยงต่อการพังทลายและจิตรกรรมที่อาจจะเลือนจากน้ำด้วยผ้ายาง บางส่วนหาไม้มาค้ำยันในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้เกิดการพังทลายมากขึ้น แต่ปัญหาของโบราณสถานพวกนี้คือทั้งหมดทำจากอิฐและปูน ทำให้เมื่อเกิดรอยแยกและรอยร้าวแล้วก็จะมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะพังทลายมากขึ้นได้ในไม่ช้า ซึ่งนับเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานสิ่งที่น่ากังวลเกี่ยวกับการจัดการในภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการขาดความรู้ด้านการอนุรักษ์อย่างเหมาะสม เช่น การทำลายรูปปั้นสิงโตที่เป็นผู้พิทักษ์หน้าวัดหลายแห่ง (เมียนมาเรียก Chinthe) ซึ่งได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ด้วยการใช้เครื่องจักรและรถแบ็กโฮขุดโดยปราศจากการบันทึกข้อมูล และความพยายามในการอนุรักษ์ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ นอกจากนี้ ยังมีรายงานในกรุงอังวะ (Innwa หรือ Ava) ว่าการนำอิฐที่พังทลายจากโบราณสถานไปใช้ในการซ่อมถนนดิน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ด้านหนึ่งสะท้อนว่าภาครัฐไม่ได้มีความรวดเร็วมากพอในการอนุรักษ์ อีกด้านคือการขาดความรู้ในระดับสาธารณะของประชาชนว่าจะต้องดำเนินการอนุรักษ์อย่างไร

 

วัดอูมินธอนซ์เมืองสะกายพังถล่มหลังแผ่นดินไหวเมียนมาขนาด 7.7 แสดงความเสียหายรุนแรงต่อมรดกวัฒนธรรม

รถแบ็กโฮกำลังรื้อสิงโตที่วัด Shinpin Nantaung เมืองมัณฑะเลย์

 

นอกจากนี้ แทนที่จะให้ความสำคัญกับการเสริมความมั่นคงให้กับโบราณสถานและวัดต่างๆ ในเบื้องต้น แต่กรมโบราณคดีเมียนมากลับไปเร่งการขุดค้น “เยนานดาว” (Ye’nandaw หรือ พระราชวังน้ำ) ที่เคยถูกฝังอยู่ในกรุงอังวะ ซึ่งเพิ่งค้นพบจากรอยแยกของแผ่นดินไหว เรื่องนี้จึงสะท้อนถึงปัญหาการจัดลำดับความสำคัญว่าสิ่งใดเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ควรดำเนินการ แต่ปัญหานี้อาจไม่ได้มาจากกรมโบราณคดี แต่อาจมาจากคำสั่งของผู้มีอำนาจที่ไม่จัดลำดับความสำคัญไม่เป็น

 

โบราณสถาน พม่า

เยนานดาว (Ye’nandaw) หรือ พระราชวังน้ำที่พบจากแผ่นดินไหว (https://www.facebook.com/photo/?fbid=1219960713026262&set=pcb.1219960809692919)

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมียนมานี้ยังซ้ำเติมด้วยอุปสรรคอื่นๆ อีกนานัปการ เช่น ความยากต่อการเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายอย่างมาก การขาดการประสานงานที่เห็นได้ชัดระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย และ การเกิดแผ่นดินไหวซ้ำ และความขัดแย้งทางการเมืองที่มีอยู่ในบางพื้นที่ทำให้หน่วยงานรัฐหรือองค์กรต่างๆ ไม่สามารถเข้าถึงได้

 

สภาพเจดีย์ชินพิวเม หรือ มยาเธียรดาน (Myatheindan) ในเมืองมิงกุน ก่อนและหลังพังทลาย

 

แน่นอนว่าแผ่นดินไหวสะกายในปี 2025 ครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมียนมา ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่แผ่นดินไหวครั้งนี้ก็ถือเป็นบททดสอบและเผยให้เห็นปัญหาหลายๆ เรื่องที่ซ่อนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเตรียมความพร้อมด้านภัยพิบัติสำหรับมรดกระดับชาติและท้องถิ่น การค้นพบที่สำคัญคือการขาดมาตรการฉุกเฉินที่มีการกำหนดขึ้นสำหรับการเสริมความมั่นคงและการปกป้องโบราณสถานและวัดที่เสียหายในทันที การเสริมความมั่นคงล่วงหน้าหรือมาตรการปรับปรุงโบราณสถานก่อนเกิดภัยพิบัติ เป็นต้น และแม้ว่าในตอนนี้จะเครื่องมือในการประเมินอย่างรวดเร็ว เช่น แอป HFM ที่พัฒนาขึ้นใหม่ แต่หลังจากการรวบรวมและประเมินแล้ว คำถามคือจะทำอย่างไรกันต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อนำไปสู่แนวทางการอนุรักษ์และบูรณะอย่างเป็นรูปธรรม

 

หากคิดกันในเชิงบวกตอนนี้ ชุมชนท้องถิ่น พระสงฆ์ และศาสนิกชนได้ทำการตอบสนองในระยะเริ่มต้นไปบ้างแล้ว ซึ่งหากมีการมอบอำนาจให้กับชุมชนเป็นฐานในการจัดการ ภายใต้การให้ความรู้ทางด้านการอนุรักษ์ที่ถูกต้อง ก็จะสามารถทำให้การอนุรักษ์เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งต้องมีการสร้างการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนในหมู่นักวิชาการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียถึงความจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนล่วงหน้าที่ครอบคลุม การทำแผนที่ความเสี่ยงของสถานที่มรดกอย่างละเอียด และการสร้างศักยภาพที่เข้มแข็งสำหรับทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม

 

ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือความเห็นของซอว์ ตุน ลิน นักโบราณคดีเมียนมาที่แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในไทย แต่ก็เฝ้าติดตามปัญหาที่เกิดขึ้นในเมียนมามาตลอด เรื่องการพังทลายของโบราณสถานนี้อาจยังเป็นเรื่องห่างไกลตัวในกรณีประเทศไทย แต่จากกรณีตึกถล่ม สตง. ก็คงทำให้เห็นแล้วว่า แค่ตึกหลังเดียว ไทยเราก็ยังไม่มีแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมืออย่างทันทีทันใด ทุกอย่างเป็นการแก้ไขปัญหาหน้างาน โชคดีที่ได้ผู้นำดีอย่างชัชชาติและทีม ถ้าไม่เช่นนั้นตึกถล่มนี้ก็คงไม่ถูกจัดการอย่างเป็นระบบ

 

ในกรณีของโบราณสถานนั้น คงได้เห็นกันแล้วว่า กรุงเทพฯ ก็มีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง แต่ในเขตภาคเหนือของไทยที่มีโบราณสถานล้านนามากมายเช่นกันก็ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงเป็นอย่างมาก ซึ่งควรต้องมีการอนุรักษ์เพื่อเสริมความมั่นคงในลักษณะการป้องกันในอนาคต นอกจากนี้แล้ว ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน รัฐควรมีทุนสนับสนุนให้มีโครงการสแกนหรือถ่ายภาพโบราณสถาน เพื่อเก็บข้อมูลในรูปแบบสามมิติ (3D) ให้มากขึ้น เผื่อในอนาคตหากเกิดแผ่นดินไหว หรือการเสื่อมสภาพของโบราณสถานพวกนี้ อย่างน้อยก็จะมีข้อมูลเชิงทัศนา (Visual) เอาไว้

 

ผมคิดว่าบทบาทของอาเซียน นอกเหนือไปจากเรื่องความร่วมมือในทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว แต่ควรแสดงบทบาททางการเมืองที่ชัดเจนและแข็งขันในสถานการณ์ที่ประเทศในอาเซียนประสบวิกฤตทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนในชาติเกิดความไม่มั่นคง เพราะหากไม่สามารถทำให้การเมืองของเมียนมาเป็นปกติได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ความช่วยเหลือในการบูรณะและอนุรักษ์โบราณสถานต่างๆ จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย ในขณะเดียวกันอาเซียนและองค์กรต่างๆ ก็ควรต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้กับมรดกทางวัฒนธรรมที่อยู่ในภาวะเสี่ยงหรือประสบภัยพิบัติด้วย เพราะมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้เป็นมรดกร่วมกันของคนในภูมิภาคที่อธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องของชาติใดชาติหนึ่งเท่านั้น

The post เมียนมาหลังแผ่นดินไหว ความเสียหายต่อมรดกทางวัฒนธรรม และอนาคตที่ยากจะมองเห็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความเชื่อมั่นดอลลาร์เสื่อมถอย กระตุ้นนักลงทุนยุโรปหวนซื้อทองคำแข็งแกร่งมากสุดในรอบ 3 ปี https://thestandard.co/opinion-euro-investors-gold/ Fri, 02 May 2025 01:44:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1070391

ในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ มีการปรับ […]

The post ความเชื่อมั่นดอลลาร์เสื่อมถอย กระตุ้นนักลงทุนยุโรปหวนซื้อทองคำแข็งแกร่งมากสุดในรอบ 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ มีการปรับตัวร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หรือนับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2022 ซึ่งถูกกดดันจากมุมมองเชิงลบทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง หุ้นสามัญ โดยข้อมูลจาก LSEG Lipper พบว่า ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน นักลงทุนมีการขายสุทธิพันธบัตรและหุ้นสามัญสหรัฐฯ สูงถึงระดับ 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามลำดับ 

 

ทั้งนี้ สถานการณ์ข้างต้น นับเป็นผลกระทบจากแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะแผนการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเพื่อการตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศคู่ค้า ที่มีการเปิดเผยรายละเอียดในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งประกอบไปด้วยการปรับขึ้นด้วยอัตราถ้วนหน้ากับทุกประเทศคู่ค้าที่ 10.0% และมีการปรับขึ้นด้วยอัตราระหว่าง 10.0-50.0% กับราว 60 ประเทศคู่ค้า อันนับเป็นแผนการที่แข็งกร้าวกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ 

 

อย่างไรก็ดี แม้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการด้านภาษีดังกล่าว กับราว 60 ประเทศ ที่ถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าด้วยอัตราเฉพาะ ยกเว้นจีน ที่มีการตอบโต้มาตรการด้านภาษีของสหรัฐฯ แต่กระนั้น ความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ประกอบกับมาตรการด้านภาษีดังกล่าว ที่มีแนวโน้มสร้างผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

 

อีกทั้งความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลังทรัมป์ มีการโจมตี เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed สำหรับความล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมการให้สัมภาษณ์ของที่ปรึกษาทรัมป์ถึงความพยายามในการหาหนทางปลดพาวเวลล์

 

ทั้งหมดข้างต้น กดดันให้ความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ ถดถอยลง เงินดอลลาร์จึงไม่ได้มีปัจจัยหนุน จากแรงซื้อในฐานะสกุลเงินปลอดภัย ขณะที่พันธบัตรสหรัฐฯ มีการเผชิญกับแรงเทขาย ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น มีข้อสังเกตว่า เงินดอลลาร์อ่อนไหวต่อรายงานในประเด็นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก 

 

ทั้งนี้ ทิศทางการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ นับเป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อการปรับตัวขึ้นราคาทองคำ อีกทั้งความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ถดถอยลง มีส่วนทำให้ทองคำได้รับมุมมองเชิงบวกในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ที่สูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจโลกในรอบเดือนที่ผ่านมา ทองคำจึงได้รับแรงซื้อที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก 

 

ราคาทองคำสร้างระดับสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยครั้งล่าสุดที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนการปรับฐานลง จากแรงขายทำกำไร และการฟื้นตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามสัญญาณเชิงบวกของสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน 

 

อนึ่ง การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงรอบเดือนที่ผ่านมานั้น มีแรงขับเคลื่อนที่น่าสนใจอย่าง แรงซื้อทองคำที่แข็งแกร่งของนักลงทุนในสหภาพยุโรป โดยระหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 18 เมษายน พบการเข้าซื้อกองทุนทองคำ (Gold ETF) สุทธิที่ราว 15.7 ตัน มูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่เมื่อพิจารณานับตั้งแต่เริ่มปี 2025 ถึงวันที่ 18 เมษายน พบการเข้าซื้อ Gold ETF สุทธิ พุ่งสูงถึง 63.6 ตัน มูลค่า 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ 

 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของสภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) พบว่า นักลงทุนในสหภาพยุโรปเข้าซื้อทองคำสุทธิผ่าน ETF สูงสุดในรอบ 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 2022 ทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่า โดยระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 เมษายน 2022 พบการเข้าซื้อทองคำสุทธิที่สูงถึง 128.3 ตัน มูลค่า 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกชี้นำจากการปะทุขึ้นของสมรภูมิรัสเซียและยูเครนในปีดังกล่าว 

 

อย่างไรก็ดี จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของ Fed ในปี 2022 นั้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำจึงสูงขึ้น โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนยุโรป เนื่องด้วยในปีดังกล่าว ค่าเงินยูโรมีการปรับตัวลงต่ำกว่า 1.0000 ยูโรต่อดอลลาร์ ต้นทุนสำหรับการถือครองทองคำในสกุลเงินยูโรจึงพุ่งตัวขึ้น  

 

ขณะที่ในปัจจุบัน นักลงทุนมีความต้องการกระจายการลงทุน โดยลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ และเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ของพื้นที่อื่น ซึ่งสหภาพยุโรปได้รับความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เงินยูโรจึงได้รับแรงซื้อที่สูงขึ้น หนุนให้มีการแข็งค่าสู่ระดับสูงสุดในรอบ 41 เดือน หรือตั้งแต่เดือนพ.ย. ปี 2021 

 

นอกจากการปรับตัวลงของค่าเงินดอลลาร์ และความถดถอยลงของความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯ เงินยูโรยังได้รับแรงหนุน จากมุมมองเชิงบวกในการเพิ่มการใช้งบประมาณทางการคลังของเยอรมนี และการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของสหภาพยุโรป ซึ่งถูกประเมินว่า จะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหภาพยุโรป 

 

ค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมาก พร้อมกับทิศทางการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ทำให้การลงทุนทองคำเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในสหภาพยุโรป ประกอบกับในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางชั้นนำ มีทิศทางปรับตัวลง หนุนมุมมองเชิงบวกด้านราคาของทองคำ ด้วยเหตุนี้ แรงซื้อทองคำอาจมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2025 แรงซื้อทองคำสุทธิผ่าน ETF ของนักลงทุนในสหภาพยุโรป มีโอกาสแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่มีส่วนขับเคลื่อนราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้  

The post ความเชื่อมั่นดอลลาร์เสื่อมถอย กระตุ้นนักลงทุนยุโรปหวนซื้อทองคำแข็งแกร่งมากสุดในรอบ 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
“วินนิ่งเปล่า?” Winning Eleven 30 ปีของเกมนี้ที่เราเคยล้อมวงเล่นด้วยกัน https://thestandard.co/winning-eleven-30th-anniversary/ Sun, 27 Apr 2025 02:00:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1068561 winning-eleven-30th-anniversary

สืบเนื่องจากไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ได้เขียนถึงเรื่องของ “อ […]

The post “วินนิ่งเปล่า?” Winning Eleven 30 ปีของเกมนี้ที่เราเคยล้อมวงเล่นด้วยกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
winning-eleven-30th-anniversary

สืบเนื่องจากไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ได้เขียนถึงเรื่องของ “อาเดรียโน จักรพรรดิลูกหนังผู้น่าเสียดาย” ก็อดคิดถึงเกมฟุตบอลระดับตำนานอย่าง “Winning Eleven” ขึ้นมาไม่ได้

 

เพราะในเกมช่วงยุคสมัยนั้น อาเดรียโนเป็นหนึ่งในผู้เล่นในเกมที่ขึ้นชื่อว่าเก่งจนใกล้โกงมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยสปีดความเร็ว ความแข็งแกร่ง และพลังการยิงที่เต็มหลอดที่สามารถทำประตูแบบแฟนตาซีให้เกิดขึ้นได้แบบสบายมาก (และตัวจริงก็ดันเก่งพอจะทำได้ในเกมด้วย!)

 

แต่อาเดรียโนไม่ได้เป็นความทรงจำเดียวของเกมนี้ครับ เพราะ Winning Eleven – หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า Pro Evolution Soccer (PES) – ยังมีเรื่องราวทำนองนี้อีกมากมายที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลาร่วม 30 ปีที่เกมออกวางจำหน่าย

 

และแต่ละสิ่งนั้นก็เป็นความทรงจำที่ถูกเก็บไว้อย่างดีสำหรับหลายคน

 

แต่ก่อนจะกดเข้ามาอ่านเรื่องราวกันต่อในลิงก์​ พอจะนึกถึงเรื่องอะไรออกบ้างครับเกี่ยวกับ “วินนิ่ง”?

 

Winning Eleven

 

ไม่ว่าจะนึกอะไรออก ขออนุญาตเล่าความเป็นมาตามความเข้าใจที่พอรู้กันสักนิดนึงครับ

 

Winning Eleven (ウイニングイレブン) เป็นตระกูลเกมฟุตบอลที่มีประวัติความเป็นมายาวนานมากจนน่าตกใจครับ

 

เพราะเผลอไผลแค่แป๊บเดียวเกมในตระกูล “วินนิ่ง” นั้นกำลังจะอายุครบรอบ 30 ปีในปีนี้แล้ว หากเรานับต้นตระกูลของเกมในภาคแรกคือ J-League Jikkyō Winning Eleven (Jリーグ 実況ウイニングイレブン) ซึ่งออกวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1995 ซึ่งเป็นผลงานของค่ายเกม Konami หนึ่งในค่ายเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลของญี่ปุ่น

 

ปกติแล้ว Konami ทำเกมหลากหลายนะครับ และมีเกมที่ได้รับความนิยมเยอะมากในช่วงยุค 80-90 เช่น TwinBee, Gradius, Akumajo Dracula (Castlevania หรือเกมแส้) Gambare Goemon (โกเอมอน) หรือ Metal Gear Solid ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกมแนว Action หรือ Shooting ตะลุยด่านเล่นเพลินๆ

 

แต่หนึ่งในตระกูลเกมที่ Konami ทำด้วยคือเกมกีฬา และเกมฟุตบอลเป็นหนึ่งในนั้น

 

ความจริงแล้วเกมแล้ว J-League Jikkyō Winning Eleven ไม่ใช่เกมฟุตบอลแรกของพวกเขาครับ เพราะต้นตระกูลของเกมตระกูล “Eleven” นั้นคือเกม “Jikkyō World Soccer Perfect Eleven” หรือที่จดกันง่ายๆ ว่า Perfect Eleven (และ International SuperStar Soccer หรือ ISS สำหรับภาษาอังกฤษ) ซึ่งออกวางจำหน่ายให้กับเครื่อง Super Famicom เมื่อปี 1994 

 

ก่อนจะมีภาคต่อมาคือเกม Jikkyō World Soccer Fighting Eleven (พร้อมกับสูตรกรรมการเป็นน้องหมา) ที่ออกวางจำหน่ายในปีถัดมา

 

และหากจะย้อนกลับไปอีก Konami ก็เคยทำเกมฟุตบอลมาก่อนแล้วอย่าง Exciting Cup (1989) และ Hyper Soccer (1992) ซึ่งทำโดยทีมพัฒนาในยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบให้ Perfect Eleven อีกที

 

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญจริงๆคือการผลัดยุคสมัยของเครื่องเกมคอนโซล จาก Super Famicom มาสู่ยุคใหม่ของเกมที่เป็น Polygon ที่สามารถสร้างในรูปแบบ 3 มิติที่สมจริงขึ้น

 

โดยเกมแรกที่ออกมาในช่วงเวลานั้นก็คือ J-League Jikkyō Winning Eleven นั่นเองครับ ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูเข้าสู่ยุคใหม่ของเกมฟุตบอลไปด้วย เพียงแต่เกมในเวอร์ชั่นเจลีก (ซึ่งออกมาเพื่อท้าชนกับ J-League Excite Stage จากค่าย Epoch ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสมัยนั้น) เป็นเหมือนแค่การชิมลางมากกว่า เพราะทีมในนั้นมีแต่ทีมเจลีกซึ่งไม่กว้างมาก

 

เกมแรกที่ถือเป็นเกมที่ “แมส” จริงๆคือ “Goal Storm” ซึ่งเป็นเกมเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่ออกวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 1995 ที่จับเอาเกม “วินนิ่งเจลีก” มาปัดฝุ่นแปลงโฉมใหม่ให้เป็นเกมทีมชาติที่เข้าถึงแฟนเกมทุกคนทั่วโลกได้

 

หลังจากนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากสำนวนภาษาอังกฤษเลยครับ

 

The rest is history…

 

Winning Eleven

 

ความนิยมที่เกิดขึ้นทำให้ Konami พัฒนาเกม 2 ภาษาสลับกันมาเรื่อยๆ ระหว่างภาษาญี่ปุ่นกับภาษาอังกฤษ โดยในทุกปีก็จะมีการพัฒนาขึ้นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไป 

 

แต่หัวใจคือการทำเกมฟุตบอลสนุกๆ มีเสียงพากย์ (Commentary) และเสียงบรรยากาศในสนามที่ตื่นเต้น (Ambience) และการเล่น (Gameplay) ที่สนุกเข้าใจง่าย แต่ก็พอมีอะไรให้ได้ชิงไหวชิงพริบในการเล่นกัน เช่น การจัดทีม จัดตัวลงเล่น ไปจนถึงระบบค่าความฟิตของผู้เล่นที่มีผลต่อการลงสนามไม่ต่างอะไรจากชีวิตจริง

 

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ Konami ทำได้และคาดหวังได้ในฐานะค่ายเกม

 

แต่สิ่งที่ Konami ไม่ได้คาดหวังคือการที่เกมของพวกเขาอย่าง Winning Eleven (ในชื่อภาษาอังกฤษที่มีหลากหลายเหลือเกินตั้งแต่ ISS, Goal Storm ก่อนจะมาจบที่ PES) คือการที่เกมนี้ได้สร้าง Community ฟุตบอลให้เกิดขึ้น

 

ในยุคสมัยที่เรายังไม่ได้ติดอยู่กับอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียมากนัก หนึ่งในการใช้ยามว่างสำหรับเด็กๆ คือการจับกลุ่มไปนั่งเล่นเกมด้วยกัน จะเป็นที่ร้านเกมแถวบ้านบ้าง ร้านเกมแถวโรงเรียนบ้าง ร้านเกมในห้างสรรพสินค้าบ้าง หรือจะเป็นที่บ้านเพื่อนที่มีเครื่องเกมบ้าง

 

นั่นทำให้เด็กๆ หลายคนได้ใช้จ่ายวันเวลาไปด้วยกัน แข่งกันเองบ้าง ขิงกันบ้าง ข่มกันบ้าง ช่วยติวกันบ้างเวลาเจอคนเก่งๆ ไปจนถึงคิดค้นหาสูตรวิธีการเล่นต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเพื่อไว้เอาชนะคนอื่น หรือเพื่อแบ่งปันกันก็ตาม หรือบางครั้งต่อให้มันจะมีบ้างที่ผิดใจกันซึ่งเป็นธรรมดาของวัยรุ่นที่เลือดยังร้อน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไป

 

ความนิยมของเกมในหลายประเทศสูงขึ้นมากตามจำนวนภาคที่เกิดขึ้นของเกม โดยเฉพาะในช่วงเกม “วินนิ่ง 3” (1998) และ “วินนิ่ง 4” (1999) ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสที่ความนิยมของเกมพุ่งสูงสุดทั่วโลก

 

ยอดนักเตะในยุคนั้นมากมายมีให้เลือกเล่นในเกม ไม่ว่าจะเป็น โรนัลโด, โรแบร์โต คาร์ลอส, ริวัลโด, ซีเนอดีน ซีดาน, ยูริ จอร์เกฟฟ์, ไมเคิล โอเวน หรือแม้แต่ตัวละครที่เป็นที่รักของคนเล่นเกมอย่าง โรเบิร์ต ยาร์นี, เอ็นวานโก คานู และตัวละครอีกมากมายหลายคน (ส่วนใหญ่จะเป็นพวกสปีด 9 ที่สร้างความแตกต่างได้ง่าย) 

 

เกมวินนิ่งจึงฮิตติดลมบนตั้งแต่นั้น จนเหมือนสายลมที่ไม่เคยแผ่วเลย มีอะไรใหม่ๆ มาให้เล่นให้ลองกันเรื่อย ซึ่งรวมถึงโหมดการเล่นแบบ Master League ที่พูดง่ายๆ คือการจำลองการแข่งรายการฟุตบอลลีกยุโรปมาให้เราได้เติมเต็มจินตนาการกัน

 

จากทีมที่มีแต่นักเตะโนเนม ค่อยๆ เก็บสะสมเงินจากการเอาชนะคู่แข่ง เอาไปซื้อตัวผู้เล่นดีๆ เข้ามาเพื่อให้เอาชนะคู่แข่งได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะทีมใหญ่ที่หากไม่มีตัวทีเด็ดในทีมเลยก็ยากจะเอาชนะ ก็ทำให้คนเล่นติดกันงอมแงมมากขึ้น

 

ความฮิตนั้นยังทำให้ในบ้านเรามีช่วงนึงที่เกิดการแฮกดัดแปลงเกมได้ มี Mod เกมที่แต่งโน่นเติมนี่กันอย่างสนุกสนาน เช่น ใส่เสียงพากย์ไทยลงไป ซึ่งตอนนั้นถือเป็นเรื่องที่สุดยอดอย่างมากเพราะคนทำ Mod ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก (แม้จริงๆ มันจะเป็นเรื่องที่ผิดก็เถอะ)

 

Winning Eleven

 

เขียนมาถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่ายิ่งเขียนยิ่งคิดถึง 

 

เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ดีและงดงามของชีวิตสำหรับหลายๆ คน ซึ่งก็รวมถึงตัวผมเองด้วย

 

ทั้งๆ ที่เกมวินนิ่งในยุคเก่านั้นก็ไม่ได้มีกราฟิกที่คมชัด สวยงาม สมจริงทั้งในเชิงของฟิสิกส์หรือแสงเงา ไม่ต้องกดปุ่มมากมายเพื่องัดลีลามหัศจรรย์ในการเลี้ยงบอล หรือโหมดการเล่นที่ซับซ้อน วางแผนกันละเอียดยิบยิ่งกว่าทำการบ้าน

 

แต่แค่เกมฟุตบอลที่เรียบง่าย จริงใจ สนุก และการได้เล่นด้วยกันกับคนจริงๆ นั่งข้างกัน สบตากัน เอาตัวบังจอยเวลาจะยิงลูกจุดโทษ สิ่งเหล่านี้คือ Human touch ที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการเล่นเกมแบบออนไลน์บ้านใครบ้านมันตามยุคสมัยปัจจุบัน (แต่ถ้าใครยังได้เล่นกับเพื่อนตัวเป็นๆ ก็ถือว่าดีมากเลย) 

 

บางครั้งเด็กก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ครับ

 

แค่เพื่อนรู้ใจสักคน เวลาว่างสักชั่วโมงหลังเลิกเรียน 

 

“วินนิ่งป่าว” 

 

“เอาดิ๊”

 

อ้างอิง:

The post “วินนิ่งเปล่า?” Winning Eleven 30 ปีของเกมนี้ที่เราเคยล้อมวงเล่นด้วยกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
TRUMPONOMICS คืออะไรสำหรับโลกการเงิน https://thestandard.co/trumponomics-world-financial/ Sat, 26 Apr 2025 03:13:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1068377 TRUMPONOMICS

นโยบายเศรษฐกิจของ Donald Trump เป็นเรื่องที่คุยกันไม่รู […]

The post TRUMPONOMICS คืออะไรสำหรับโลกการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>
TRUMPONOMICS

นโยบายเศรษฐกิจของ Donald Trump เป็นเรื่องที่คุยกันไม่รู้จบ

 

แม้ว่าผมจะวิเคราะห์นโยบายหลักของ Trump สำหรับปี 2025 ไปหลายบทแล้ว แต่ผ่านไปแค่ 100 วันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ทุกอย่างแทบไม่มีอะไรเหมือนเดิม ทั้งลำดับ ทั้งจังหวะของนโยบาย แม้ตลาดจะทำใจไว้บ้างแล้วว่าความไม่แน่นอนจะต้องสูง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับความผันผวนที่เกิดขึ้นจริงในตลาด

 

นักลงทุนไทยควรวางกลยุทธ์อย่างไร ถ้าการเปลี่ยนใจไปมาของ Trump เป็น “คุณลักษณะ” ไม่ใช่ “จุดบกพร่อง” ของ Trump Economics จึงเป็นคำถามสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

 

เพื่อให้เราจดจำลักษณะของ Trumponomics ได้ขึ้นใจ ผมเลือก 5 ตัวอักษรที่สื่อถึงความหมายของนโยบายเศรษฐกิจประกอบกันเป็นคำว่า TRUMP

 

T = Transition การเปลี่ยนผ่านและสลับขั้ว

 

ไม่ว่านโยบายเก่าจะดีหรือไม่ แต่ถ้าเป็นของขั้วตรงข้าม Trump มีแนวโน้มที่จะพลิกนโยบายไปอีกข้างอย่างไม่ลังเล

 

นโยบายที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านมากที่สุดในตอนนี้คือการปฏิรูปการค้าผ่านภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ต่อทั่วโลก

 

ทางทฤษฎี การขึ้นภาษีไปที่ระดับสูงที่สุดในรอบ 100ปี ไม่มีทางเป็นผลดีกับสหรัฐได้เลย แต่ Trump เลือกที่จะเปลี่ยนโดยให้เหตุผลว่าเป็นการกลับขั้วนโยบายที่เคยทำให้สหรัฐเสียเปรียบนานาประเทศโลก ทั้งที่ในความจริงทั้งสหรัฐและโลกได้ประโยชน์ทั้งคู่

 

Policy Transition มีโอกาสเกิดขึ้นอีก แบบคาดเดาจังหวะเวลาและผลกระทบไม่ได้ โดยนโยบายด้านการต่างประเทศมีโอกาสถูกเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องหลบด้วยการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เคยได้ประโยชน์จากความร่วมมือระหว่างประเทศ

 

R = Revolt นโยบายท้าทายระบบ

 

สัญญาณชัดเจนของการต่อต้านต่อระบบคือการที่ Trump พยายามบีบให้เกิดการเปลี่ยนตัวประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่โดยธรรมเนียม ธนาคารกลางไม่ควรถูกแทรกแซง เพื่อรักษาความเป็นอิสระทางนโยบายการเงิน

 

Trump ให้เหตุผลว่า Fed ทำร้ายเศรษฐกิจสหรัฐด้วยการขึ้นดอกเบี้ยสูงและเร็วเกินไป สำหรับประเทศ EM ทั่วไปอาจไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย แต่สำหรับสหรัฐ ที่เป็นต้นแบบของการใช้นโยบายการเงินโลก ความพยายามเปลี่ยนประธาน Fed จากแค่เรื่องการใช้นโยบายการเงินไม่ถูกใจ เป็นการท้าทายความเชื่อมั่นในกติกาการเงินครั้งใหญ่

 

ผลของการ Revolt จะทำให้ตลาดตั้งคำถามกับความเชื่อมั่นในกฎเกณฑ์ดั้งเดิม เพิ่มความผันผวนให้กับทุกสินทรัพย์ของสหรัฐ ไล่ตั้งแต่พันธบัตรรัฐบาล เงินดอลลาร์ ไปจนถึงตลาดหุ้น 

 

นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องมองหาสินทรัพย์ ตัวแทนของตลาดการเงินสหรัฐ เงินลงทุนมีความเสี่ยงที่จะไหลออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

U = Uncertainty ความไม่แน่นอน

 

สำหรับตลาดการเงิน นโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ดี อาจไม่แย่เท่ากับนโยบายเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

 

รัฐบาล Trump สร้างความไม่แน่นอนระดับนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การประกาศขึ้นภาษีกับคู่ค้า แล้วลดลงทันทีในอีกสัปดาห์ หรือการสัญญาว่าจะมีการเจรจาการค้ากับทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการเก็บภาษีการค้าเพื่อช่วยลดการขาดดุลการคลัง

 

ความไม่แน่นอนเหล่านี้สะท้อนในดัชนี Economic Policy Uncertainty ที่พุ่งแตะจุดสูงสุดเท่ากับระดับวิกฤติ GFC หรือ Covid-19 ตลาดหุ้นจะผันผวนไปมาทั้งที่ไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจใหม่

 

ผลกระทบสำคัญของ Uncertainty คือตลาดจะไม่สามารถคาดการณ์และวางแผนระยะยาวได้ ขณะเดียวกันนักลงทุนก็จะไม่มีแรงจูงใจให้รับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในระยะสั้น กลยุทธ์การลงทุนภายใต้ความไม่แน่นอน ทำได้เพียงคงหรือลดความเสี่ยง รอจังหวะกลับเข้าสู่ตลาด

 

M = Mighty ใช้อำนาจตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จ

 

ตลาดเข้าสู่ช่วงที่รัฐบาลสหรัฐบริหารด้วย Executive Order เป็นหลัก

 

นโยบายสำคัญตั้งแต่การขึ้นภาษี การคว่ำบาตรบริษัทต่างชาติ ล้วนไม่มีการผ่านรัฐสภา ไม่มี public debate และไม่มี checks & balances อย่างแท้จริง

 

ทั้งหมดเกิดขึ้นเพื่อให้ Trump กลายเป็นจุดศูนย์กลางของนโยบายทั้งหมด สามารถกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ และต่อรองกับทั่วโลกได้ด้วยตัวคนเดียว

 

คุณลักษณะนี้มีผลเสียสองเรื่อง อย่างแรก นโยบายของ Trump จะมีผลกระทบกับตลาดมากผิดปรกติทั้งทางบวกและทางลบ เนื่องจากตลาดมองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นสูง เรื่องที่สอง คือนโยบายที่จำเป็นต้องผ่านสภาจริง เช่นการลดภาษีอาจมีโอกาสลดลงเพราะ Trump จะเลือกวิธีที่ไม่ต้องต่อรองกับสภาก่อน

 

Mighty เป็น Key Person Risk ที่นักลงทุนอาจต้องเดาใจสิ่งที่ Trump ชอบหรือให้การสนับสนุนก่อนเหตุผลอื่น

 

สุดท้าย P = Patriotism ปลุกกระแสความภูมิใจในชาติ

 

“Make America Great Again” หรือ MAGA ไม่ใช่แค่คำขวัญแต่คือยุทธศาสตร์

 

นโยบายของ Trump อาจไม่ใช่นโยบายที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจหรือตลาดการเงินสหรัฐ แต่มักเป็นนโยบายที่อ้างอิงความภูมิใจในชาติเป็นพื้นฐาน

 

ภายใต้แนวคิด MAGA ที่ไม่เพียงต่อต้านระบบ Globalization แต่กำลังมองความมั่งคั่งของชาวโลกเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของสหรัฐ

 

จีนกลายเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งทั้งด้านเทคโนโลยีและทรัพยากร EU ถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบการค้า UN, WHO, IMF ถูกลดบทบาทหรือกีดกันไม่ให้มีอิทธิพลมากกว่าสหรัฐ ประเทศโลกที่สามเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการแย่งชิงทรัพยากร 

 

นโยบายจะเปลี่ยนจากร่วมมือเพื่อประสิทธิภาพไปเป็นทำเองแม้ต้นทุนจะแพงกว่า นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความขัดแย้งเช่น ความพยายามเข้าครอบครองทรัพยากรใน Greenland หรือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กลายเป็นการแย่งแหล่งทรัพยากรสำคัญ

 

ในมุมกลยุทธ์ ควรเน้นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ MAGA เช่น พลังงาน กลาโหม โครงสร้างพื้นฐาน และ Semiconductor พร้อมกับหลีกเลี่ยง

การลงทุนที่ต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ และกระจายพอร์ตไปยัง สินค้าโภคภัณฑ์ หรือประเทศที่มีเศรษฐกิจและทรัพยากรที่อยู่ได้ในโลกหลายขั้ว

 

เมื่อเราเข้าใจและรู้กลยุทธ์ในการอยู่กับ Trumponomics ผ่านตัวอักษรในคำว่า TRUMP แล้ว เรื่องสำคัญต่อจากนี้คือต้องวิเคราะห์ให้ออกว่านโยบายเหล่านี้จะนำไปสู่อะไรกันแน่

 

ในปัจจุบัน ผมมองว่าตลาดยังคงมีความหวัง และเชื่อลึกๆ ว่า Trump จะกลับตัวในที่สุด 

 

หมายความว่าความผันผวนและไม่แน่นอนในตลาดตอนนี้ เป็นเพียง “event-driven bear market” จากแรงกระแทกของข่าวภาษีและนโยบายการค้า สุดท้ายมีโอกาสกลับตัวได้เมื่อทุกประเทศยอมเจรจากับสหรัฐ

 

อย่างไรก็ดี ผมมองว่า event-driven bear market อาจกลายเป็น “cyclical bear” ที่ฟื้นตัวยากและกินเวลานานกว่าที่คิด หากความไม่แน่นอนลากยาว กลายเป็นประเด็นที่กดดันให้กำไรของตลาดลดลง (earnings recession)

 

โดยสรุป Trumponomics จึงเปรียบเสมือนความไม่แน่นอน และความผันผวนที่สูงขึ้นสำหรับตลาดการเงินในช่วงนี้ ขณะที่ในระยะยาว นโยบายของ Trump คือความพยายามที่จะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และลำดับอำนาจในการบริหาร

 

ทุกอย่างจะดีเหมือนที่ Trump บอก หรือจะแย่อย่างที่นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกกังวล สำหรับโลกการเงิน “ทิศทางกำไรของตลาด” หลังจากนี้ จะเป็นเครื่องตัดสิน รอชมพร้อมกันนะครับ

ภาพ: CFOTO / Future Publishing via Getty Images

The post TRUMPONOMICS คืออะไรสำหรับโลกการเงิน appeared first on THE STANDARD.

]]>