Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 30 May 2025 08:29:13 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดแผนลับ! ทรัมป์อาจใช้กฎหมายเก่า ‘Trade Act of 1974’ เก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุด 15% นาน 150 วัน https://thestandard.co/trump-trade-act-1974/ Fri, 30 May 2025 08:29:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1080378 trump-trade-act-1974

The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าววงในว่า รัฐบาลสหรั […]

The post เปิดแผนลับ! ทรัมป์อาจใช้กฎหมายเก่า ‘Trade Act of 1974’ เก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุด 15% นาน 150 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-trade-act-1974

The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าววงในว่า รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาใช้มาตรการชั่วคราวเพื่อตั้งกำแพงภาษีต่อประเทศต่างๆ เป็นอีกแผน ‘Plan B’ โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติในกฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ซึ่งอนุญาตให้เรียกเก็บภาษีศุลกากรได้สูงสุดถึง 15% เป็นเวลา 150 วัน

 

อย่างไรก็ดี ในรายงานระบุว่า รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ขาดในเรื่องนี้ ซึ่งอาจต้องรอศาลตัดสิน หลังจากศาลอุทธรณ์กลางเพิ่งมีคำสั่งให้มาตรการภาษีชุดใหญ่ที่สุดของทรัมป์กลับมามีผลบังคับใช้ได้ต่อไป ซึ่งถือเป็นการพลิกคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่สั่งระงับในช่วงวานนี้

 

ประเด็นภาษีสะเทือนการค้าโลกนี้กำลังกลายเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายภายในของสหรัฐฯ เอง เพราะคำสั่งของแต่ละศาลที่ออกมาห่างกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภาษี ขณะที่นักลงทุนยังจับตาผลการตัดสินใจในขั้นตอนต่อไป

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

สำหรับกฎหมาย Trade Act of 1974 นั้นครอบคลุมตั้งแต่มาตรา 301-310 โดยรวมเรียกว่า ‘มาตรา 301’ ถือเป็นเครื่องมือที่บังคับใช้สิทธิของสหรัฐฯ ตามสัญญาทางการค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

 

โดยครั้งหนึ่งสหรัฐฯ ได้เปิดสอบสวนสินค้านำเข้าจากจีนภายใต้มาตรา 301 และมาตรา 232 เกี่ยวกับสินค้านำเข้าที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ จนนำไปสู่การตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนเมื่อปี 2018 

 

ภาพ: Jabin Botsford / The Washington Post via Getty Images

 

อ้างอิง:

The post เปิดแผนลับ! ทรัมป์อาจใช้กฎหมายเก่า ‘Trade Act of 1974’ เก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุด 15% นาน 150 วัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แม้ทั่วโลกจะเจอความเสี่ยงที่คล้ายกัน แต่ไทยเสี่ยงถูกกระทบรุนแรงกว่า วิจัยกรุงศรีหั่นประมาณการ GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.1% https://thestandard.co/thai-gdp-2568-cut-risk-krungsri-research/ Fri, 30 May 2025 07:33:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1080336 กราฟแนวโน้ม GDP ไทยปี 2568 จากรายงานวิจัยกรุงศรี

วิจัยกรุงศรีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ พร้อมเตือนว […]

The post แม้ทั่วโลกจะเจอความเสี่ยงที่คล้ายกัน แต่ไทยเสี่ยงถูกกระทบรุนแรงกว่า วิจัยกรุงศรีหั่นประมาณการ GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.1% appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟแนวโน้ม GDP ไทยปี 2568 จากรายงานวิจัยกรุงศรี

วิจัยกรุงศรีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ พร้อมเตือนว่า นอกจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ แล้ว ไทยยังมี ‘ความเปราะบาง’ ภายในประเทศ ปัญหาเชิงโครงสร้าง นโยบายเศรษฐกิจเสี่ยงไม่มีประสิทธิผล และภาคท่องเที่ยวเสี่ยงฟื้นช้า โดยปัญหาเหล่านี้อาจกำลังฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

 

วันนี้ (30 พฤษภาคม) ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ และผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโต 2.1% ชะลอลงจากคาดการณ์เดิมที่ 2.7%

 

พร้อมทั้งเตือนว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องประสบกับความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีฉากทัศน์ที่หลากหลายและมีความไม่แน่นอนสูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงซ้อนจากความเปราะบางภายในประเทศ ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ความไม่แน่นอนของประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ และความล่าช้าของการฟื้นตัวในภาคท่องเที่ยว ปัจจัยดังกล่าวล้วนเพิ่มความเสี่ยงด้านต่ำต่อการเติบโต และอาจเป็นปัญหาที่ฝังลึกลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทย

 

“แม้ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วโลก แต่เมื่อผนวกกับแรงกดดันภายใน อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบที่รุนแรงกว่าหลายประเทศ ดังนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเชิงนโยบายควบคู่ไปกับการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์” ดร.พิมพ์นารา กล่าว 

 

วิจัยกรุงศรีเผย หั่น GDP ปีนี้จาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

 

  1. ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคม

 

  1. แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงเนื่องจากความกังวลของนักท่องเที่ยวจีนต่อสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย

 

  1. ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องอย่างเป็นวงจร (Negative feedback loop) ผ่านความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายและลงทุน

 

โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 35.5 ล้านคน มาอยู่ที่ 36.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ตามบริบทของความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

“ถึงแม้ว่าล่าสุด ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ) ศาลการค้าของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งระงับมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) แต่ยังมีความเสี่ยงที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้อำนาจตามกฎหมายอื่นๆ เพื่อเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม เช่นกฎหมายการค้าปี 1974 มาตรา 122 ที่อาจทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราไม่เกิน 15% ซึ่งจากความไม่แน่นอนดังกล่าว การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังจึงยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ”

 

ดร.พิมพ์นารา ระบุอีกว่า การคาดการณ์ครั้งนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ต่อประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่รวมถึงไทย ส่งผลให้การส่งออกทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.0% หลังจากที่เติบโตสูงด้วยอัตราเลขสองหลักในช่วงไตรมาสแรก

 

ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงที่ 2.6% ท่ามกลางแรงกดดันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอลง แนวโน้มรายได้ภาคเกษตรที่ชะลอตัว หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการฟื้นตัวช้าของภาคท่องเที่ยวที่จะกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ ในด้านการลงทุน 

 

แม้การลงทุนภาครัฐอาจเติบโตถึง 5.8% แต่ยังไม่สามารถเหนี่ยวนำให้การลงทุนภาคเอกชนกลับมาเติบโต (Crowding-In Effect) ได้ ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นช้ากระทบต่อการขยายการลงทุนในภาคบริการ เพิ่มความเสี่ยงที่การลงทุนภาคเอกชนอาจหดตัวต่อเนื่องที่ -0.5%

 

นอกจากนี้ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเป็นปัจจัยลบที่บั่นทอนความเชื่อมั่น และทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน

 

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้ความเสี่ยงของการค้าระหว่างประเทศ เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลังขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปีนี้

 

วิจัยกรุงศรีระบุว่า ในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายสำคัญหลายประการ ได้แก่ 

 

  • นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีความเสี่ยงสูง

 

  • ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบาง

 

  • ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านพื้นที่ทางการคลัง

 

  • ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตที่ลดลง ระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว

The post แม้ทั่วโลกจะเจอความเสี่ยงที่คล้ายกัน แต่ไทยเสี่ยงถูกกระทบรุนแรงกว่า วิจัยกรุงศรีหั่นประมาณการ GDP ไทยปีนี้เหลือ 2.1% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยเนื้อหอม! นอร์เวย์ยกเป็นตลาดซีฟู้ดเบอร์ 1 อาเซียน คนไทยคลั่งแซลมอน ดันยอดทะลุหมื่นล้าน รวมกว่า 42,500 ตัน https://thestandard.co/norwegian-salmon-thailand/ Fri, 30 May 2025 07:13:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1080333 ภาพบรรยากาศงาน THAIFEX 2025 กับการโปรโมตแซลมอนนอร์เวย์ในตลาดไทย

นอร์เวย์ขยับขึ้นนั่ง ‘บัลลังก์’ ประเทศผู้ส่งออกอาหารทะเ […]

The post ไทยเนื้อหอม! นอร์เวย์ยกเป็นตลาดซีฟู้ดเบอร์ 1 อาเซียน คนไทยคลั่งแซลมอน ดันยอดทะลุหมื่นล้าน รวมกว่า 42,500 ตัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพบรรยากาศงาน THAIFEX 2025 กับการโปรโมตแซลมอนนอร์เวย์ในตลาดไทย

นอร์เวย์ขยับขึ้นนั่ง ‘บัลลังก์’ ประเทศผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยตัวเลขส่งออก 2.8 ล้านตัน กระจายไป 150 ประเทศ มูลค่ารวมถึง 5.60 แสนล้านบาท หรือเทียบเท่ากับการเสิร์ฟมื้ออาหาร 38 ล้านมื้อต่อวัน 

 

ที่มองข้ามไม่ได้ คือในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567) มูลค่าการส่งออกพุ่งขึ้นถึง 2.25 แสนล้านบาท ท่ามกลางความท้าทายด้านการผลิตแซลมอนและความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เขย่าตลาดโลก

 

สำหรับประเทศไทยที่กำลังโตแรงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคง ‘ฮอต’ ในฐานะตลาดอันดับหนึ่งของนอร์เวย์ในภูมิภาค ปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยนำเข้าอาหารทะเลจากนอร์เวย์มูลค่าหนึ่งหมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% ปริมาณรวม 42,500 ตัน เพิ่มขึ้น 8% โดย 91% เป็นปลาตระกูลแซลมอนสด

 

ตัวเลขที่น่าสนใจคือ ไทยนำเข้าปลาตระกูลแซลมอน 27,000 ตัน และคาดว่าจะพุ่งแตะ 31,000 ตันภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งแซงหน้าญี่ปุ่นที่อยู่ที่ 26,800 ตัน แต่ยังตามหลังเกาหลีใต้ที่ 29,000 ตัน และจีนที่ครองแชมป์ 44,000 ตัน

 

แซลมอนนอร์เวย์ครองส่วนแบ่งตลาดในไทยถึง 70% ขณะที่ฟยอร์ดเทราต์และนอร์วีเจียนซาบะก็มาแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในร้านอาหารญี่ปุ่นกว่า 5,700 แห่งทั่วประเทศ

 

คริสเตียน เครเมอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สภาอุตสาหกรรมอาหารทะเลนอร์เวย์ (NSC) กล่าวใน THAIFEX – Anuga Asia 2025 โดยยอมรับว่าปี 2567 เจอความท้าทายหนักในการผลิตแซลมอน แต่นอร์เวย์ยังส่งออกอาหารทะเลได้กว่า 60 สายพันธุ์ โดยมูลค่าการส่งออกในรอบ 5 ปีพุ่งขึ้น 2.25 แสนล้านบาท

 

ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทย-EFTA ที่เพิ่งลงนามกลายเป็น ‘ตัวเร่ง’ สำคัญ เพราะอาหารทะเลมีสัดส่วนเกินครึ่งของการส่งออกทั้งหมดจากนอร์เวย์มาไทย คาดว่าตลาดไทยจะโตถึง 16% ภายในปี 2573

 

โอซฮิลด์ นัคเค่น ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ NSC ชี้ว่าปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการบริโภคคือร้านอาหารญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พร้อมเผยกิจกรรมการตลาดปี 2568 ที่ตรงกับครบรอบ 120 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-นอร์เวย์ อาทิ แคมเปญ Salmon Saturday เสาร์สุดฟิน ชวนกินแซลมอน และ From Sea to Sky: 120 Years of Friendship ร่วมกับการบินไทย

 

ตัวเลขการนำเข้าอาหารทะเลหลักจากนอร์เวย์ในปี 2567 ได้แก่ แซลมอน 19,000 ตัน มูลค่า 6 พันล้านบาท, ฟยอร์ดเทราต์ 8,000 ตัน มูลค่า 2.31 พันล้านบาท และนอร์วีเจียนซาบะ 11,500 ตัน มูลค่า 940 ล้านบาท

 

จากตัวเลขที่พุ่งทะยานไม่หยุด ภาพรวมทั้งหมดกำลังส่งสัญญาณชัดเจนว่า ธุรกิจอาหารทะเลระหว่างสองประเทศนี้ไม่ได้แค่ ‘ร้อนแรง’ แต่กำลังจะ ‘เดือดพล่าน’ ยิ่งขึ้นในอนาคต และเมื่อคนไทยยิ่งหลงใหลในแซลมอนและอาหารทะเลคุณภาพ ตลาดนี้ก็จะยิ่งใหญ่จนใครๆ ต้องจับตามอง

The post ไทยเนื้อหอม! นอร์เวย์ยกเป็นตลาดซีฟู้ดเบอร์ 1 อาเซียน คนไทยคลั่งแซลมอน ดันยอดทะลุหมื่นล้าน รวมกว่า 42,500 ตัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาร์เทียร์ ร่วมเชิดชูเกียรติผู้ได้รับรางวัล Impact Awards 2025 จากโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีเพื่อสังคมระดับโลก https://thestandard.co/cartier-impact-awards-2025/ Fri, 30 May 2025 04:45:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1080209

คาร์เทียร์จัดพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ผู้ประกอบการห […]

The post คาร์เทียร์ ร่วมเชิดชูเกียรติผู้ได้รับรางวัล Impact Awards 2025 จากโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีเพื่อสังคมระดับโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

คาร์เทียร์จัดพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ผู้ประกอบการหญิง 9 คน
จากทั่วโลก ในงาน Impact Awards 2025 ณ ศูนย์ศิลปะการแสดงซาไก ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติร่วมงานกว่า 800 คน เพื่อยกย่องอดีตผู้ได้รับทุนโครงการ Cartier Women’s Initiative ที่ประสบความสำเร็จในการสร้างผลงานอย่างเป็นรูปธรรมและผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

พิธีมอบรางวัลครั้งนี้เป็นกิจกรรมสำคัญส่งท้ายสัปดาห์ Cartier Women’s Initiative Impact Awards ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-23 พฤษภาคม ภายในงาน World Expo 2025 
ณ เมืองโอซาก้า ภูมิภาคคันไซ

 

โดยคาร์เทียร์มีส่วนร่วมออกแบบและจัดสร้าง Women’s Pavilion อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ภายใต้แนวคิด “Forces for Good” โดยในพิธีมอบรางวัล ได้สะท้อนความเชื่อมั่นของคาร์เทียร์ที่ว่า “เมื่อผู้หญิงก้าวหน้า มนุษยชาติก็ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน”

 

นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้น โครงการ Cartier Women’s Initiative มุ่งมั่นยกย่องและสนับสนุนผู้ประกอบการหญิงที่ใช้พลังของธุรกิจขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม โดยตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีที่ผ่านมา โครงการฯ ได้สนับสนุนผู้ประกอบการแล้วกว่า 330 ราย จาก 66 ประเทศทั่วโลก มอบเงินทุนรวมกว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 500 คน

 

โครงการฯ ให้การสนับสนุนทั้งในด้านเงินทุน และโปรแกรมพัฒนาศักยภาพระยะเวลา 1 ปี ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรการบริหารระดับผู้บริหารจาก INSEAD การฝึกอบรมธุรกิจที่ออกแบบเฉพาะบุคคล การให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ และการส่งเสริมภาพลักษณ์ ประชาสัมพันธ์ในระดับสากล

 

ในปี 2568 โครงการ Cartier Women’s Initiative ได้เชิดชูเกียรติอดีตผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 9 ท่าน ที่ดำเนินการขับเคลื่อนธุรกิจของตนให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ได้รับรางวัล Impact Awards ประจำปีนี้ได้รับการคัดเลือกใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ การพิทักษ์รักษ์โลก (Preserving Planet), การพัฒนาคุณภาพชีวิต (Improving Lives) และการสร้างสรรค์และส่งมอบโอกาส (Creating Opportunities) ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และครอบคลุมทั้ง 17 เป้าหมายหลัก

 

ผู้ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ได้รับการคัดเลือกผ่านกระบวนการประเมินและตัดสินอย่างเข้มงวด โดยสะท้อนถึงภาวะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และนวัตกรรมที่สามารถขยายผลได้ในระดับโลก

 

ผู้ได้รับรางวัลสาขาการพิทักษ์รักษ์โลก (Preserving the Planet)

 

เทรซี โอรูร์ก (Tracy O’Rourke) จากประเทศไอร์แลนด์ ผู้ก่อตั้ง Vivid Edge และเป็นผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2562 นำเสนอบริการบริหารจัดการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (energy efficiency as a service) เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างคุ้มค่า ผ่านการเข้าถึงเทคโนโลยีสะอาดในราคาที่เหมาะสม นับตั้งแต่เข้าร่วมโครงการ Cartier Women’s Initiative บริษัท Vivid Edge ได้ช่วยให้องค์กรต่างๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 36,457 ตัน และประหยัดพลังงานรวมกว่า 119.6 กิกะวัตต์ชั่วโมง เทียบเท่ากับการจ่ายพลังงานให้บ้านเรือนเกือบ 28,500 หลัง โดยลูกค้าสามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึงร้อยละ 82

 

เครส เวสลิง (Kresse Wesling) ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Elvis & Kresse จากสหราชอาณาจักร และผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2554 พัฒนาโมเดลธุรกิจที่ผสานหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ากับการตอบแทนสังคม โดยเปลี่ยนสายส่งดับเพลิงที่หมดอายุการใช้งานและเศษหนังให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์หรูคุณภาพสูง นับตั้งแต่เข้าร่วมโครงการ บริษัทสามารถลดปริมาณขยะที่ต้องฝังกลบได้มากกว่า 315 ตัน และบริจาคเงินมากกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับองค์กรการกุศลที่สนับสนุนชุมชนนักผจญเพลิง

 

คริสติน คาเก็ตสึ (Kristin Kagetsu) ผู้ร่วมก่อตั้ง Saathi จากประเทศอินเดีย และผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2561 ผลิตแผ่นอนามัยที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากเส้นใยกล้วย ซึ่งเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนทั้งต่อสุขอนามัยของผู้หญิงและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้กับผู้หญิงในพื้นที่ชนบท ปัจจุบัน Saathi เข้าถึงผู้หญิงกว่า 114,000 คน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 161 เมตริกตัน ลดขยะพลาสติกได้ 92 เมตริกตัน และสร้างงานให้กับผู้หญิงกว่า 485 คนในชุมชนที่ขาดแคลนโอกาสทางเศรษฐกิจ

 

ผู้ได้รับรางวัลสาขาการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Improving Lives)

 

เคทลิน ดอลการ์ต (Caitlin Dolkart) ผู้ก่อตั้ง Flare จากประเทศเคนยา ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2562 ได้พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินแบบครบวงจร ที่ช่วยลดระยะเวลาการเรียกรถพยาบาลลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้หลายพันรายทั่วภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก นับตั้งแต่เข้าร่วมโครงการ Cartier Women’s Initiative บริษัท Flare ได้ขยายการให้บริการครอบคลุมทั่วภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก โดยสามารถลดระยะเวลาเฉลี่ยในการส่งความช่วยเหลือไปยังสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศเคนยาได้ถึงร้อยละ 97 จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เหลือเพียง 16 นาทีเท่านั้น

 

นามิตา บังกา (Namita Banka) ผู้ก่อตั้ง Banka Bioloo จากประเทศอินเดีย ผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2556 ได้นำเสนอระบบสุขาภิบาลแก่ชุมชนด้อยโอกาส ผ่านการติดตั้งห้องน้ำชีวภาพและระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ช่วยยกระดับสุขภาพอนามัยและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น นับตั้งแต่ได้รับการสนับสนุน Banka Bioloo ได้ติดตั้งห้องน้ำชีวภาพกว่า 3,000 แห่ง
ให้กับการรถไฟอินเดีย ซึ่งรองรับผู้โดยสารจำนวนมากถึง 10 ล้านคนต่อวัน นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งห้องน้ำชีวภาพกว่า 30,000 หน่วยในพื้นที่ชนบท และเป็นบริษัทสุขาภิบาลแห่งแรกในอินเดียที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 1,000 คน

 

อีเวตต์ อิชิมเว (Yvette Ishimwe) ผู้บริหารกลุ่ม IRIBA Water Group จากประเทศรวันดา และผู้เข้าร่วมโครงการ
ในปี 2566 ได้ดำเนินธุรกิจให้บริการน้ำดื่มสะอาดในราคาที่เข้าถึงได้ ผ่านตู้กดน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยยกระดับสุขอนามัยและลดอัตราการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อจากน้ำในพื้นที่รายได้ต่ำ นับตั้งแต่ก่อตั้ง IRIBA สามารถส่งมอบ
น้ำดื่มที่ปลอดภัยให้กับประชาชนกว่า 517,000 คน และลดอัตราโรคติดเชื้อจากน้ำในโรงเรียนที่ติดตั้งระบบของบริษัทได้ถึงร้อยละ 37

 

ผู้ได้รับรางวัลสาขาการสร้างสรรค์และส่งมอบโอกาส (Creating Opportunities)

 

รามา คายาลี (Rama Kayyali) ผู้ก่อตั้ง Little Thinking Minds จากประเทศจอร์แดน ผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2557 มุ่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในภูมิภาคตะวันออกกลาง ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ภาษาอาหรับในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งช่วยเสริมทักษะการอ่านของเด็กๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแต่เข้าร่วมโครงการ Cartier Women’s Initiative แพลตฟอร์มของเธอสามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านของนักเรียนได้ถึงร้อยละ 25 และเข้าถึงผู้เรียนมากกว่า 400,000 คนใน 11 ประเทศ รวมถึงในกลุ่มชุมชนผู้ลี้ภัย

 

มาเรียม โทโรเซียน (Mariam Torosyan) ผู้ก่อตั้ง Safe YOU จากประเทศอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการในปี 2566 ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเพศ โดยนำเสนอทั้งบริการแจ้งเหตุฉุกเฉิน
และทรัพยากรสนับสนุนจากชุมชนใน 5 ประเทศ นับตั้งแต่เข้าร่วมโครงการ Cartier Women’s Initiative แพลตฟอร์ม 
Safe YOU ได้ขยายการให้บริการครอบคลุม 5 ประเทศ มีผู้ใช้งานมากกว่า 40,000 ราย รองรับการแจ้งเหตุฉุกเฉินกว่า 18,000 ครั้ง และเปิดตัวโมดูลใหม่เพื่อส่งเสริมศักยภาพทางการเงินสำหรับผู้ได้รับผลกระทบในรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

แจ็กกี้ สเตนสัน (Jackie Stenson) ผู้ร่วมก่อตั้ง Essmart จากประเทศอินเดีย ผู้เข้าร่วมโครงการในปี 2557 ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต อาทิ โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ และเตาหุงต้มสะอาด ให้กับชุมชนชนบท ผ่านระบบจัดจำหน่ายปลายทางที่เข้มแข็ง พร้อมส่งเสริมศักยภาพของผู้ค้าปลีกรายย่อยในท้องถิ่น จนถึงปัจจุบัน Essmart สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คนกว่า 1.4 ล้านคน เพิ่มชั่วโมงการใช้ชีวิตและทำงานได้มากกว่า 125 ล้านชั่วโมง 
ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 101 ล้านกิโลกรัม และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับร้านค้าในชนบทกว่า 5,000 ราย
ผู้นำหญิงที่เปี่ยมวิสัยทัศน์ทั้งเก้าท่านนี้ ล้วนเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ร่วมกันกำหนดนิยามใหม่ของความเป็นผู้นำ
และขยายขอบเขตของผลกระทบเชิงบวกที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด

 

ผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่ได้รับรางวัล Impact Awards ทั้ง 9 ท่าน ไม่เพียงได้รับการยกย่องจากความสำเร็จจาก
การดำเนินการขับเคลื่อนธุรกิจของตนให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ผ่านมา แต่ยังรวมถึงศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยผู้ได้รับรางวัลแต่ละท่านจะได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมโอกาสในการเพิ่มการรับรู้ผ่านสื่อระดับนานาชาติ และเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพระยะเวลา 1 ปี ซึ่งออกแบบมาเพื่อเสริมทักษะด้านการวัดผลกระทบ พัฒนาภาวะผู้นำ และขยายขอบเขตการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้ โครงการดังกล่าวได้เพิ่มเนื้อหาใหม่ในด้านการบริหารเวลา การเรียนรู้ร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่น และการวางแผน
กลยุทธ์ ซึ่งดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรโครงการรายใหม่

 

พิธีแห่งวิสัยทัศน์ เรื่องราว และการเฉลิมฉลอง

 

พิธีมอบรางวัล Impact Awards เป็นงานที่สะท้อนวิสัยทัศน์และถ่ายทอดเรื่องราว เส้นทางการดำเนินธุรกิจ ความสำเร็จ
อันโดดเด่นน่าจดจำของเหล่าผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่ได้รับรางวัลทั้ง 9 ท่าน ผ่านบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและแรงบันดาลใจ

 

ภายในงานเริ่มต้นด้วยการแสดงอันน่าประทับใจจากศิลปินชื่อดังของญี่ปุ่น ได้แก่ เคอิจิโร ชิบูยะ (Keiichiro Shibuya) บรรเลงเปียโน ซูมิเระ ฮิโรสึรุ (Sumire Hirotsuru) เล่นไวโอลิน และชิอากิ โฮริตะ (Chiaki Horita) แสดงศิลปะการเต้น
ด้วยบทเพลง “Ring for Violin and Piano (2025)” ซึ่งประพันธ์ขึ้นโดยเฉพาะสำหรับโครงการ Cartier Women’s Initiative ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งเสียงดนตรีและการเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นของศิลปินทั้งสาม

 

หลังจากบทเพลงเปิดงานอันทรงคุณค่า พิธีได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการด้วยการฉายภาพยนตร์สั้นเรื่อง “Shaping the Future” ซึ่งนำเสนอเสียงสะท้อนจากเยาวชนที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาระดับโลก พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างคนรุ่นต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
ในช่วงค่ำของงาน แซนดี ท็อกสวิก (OBE) (Sandi Toksvig OBE) ผู้ดำเนินรายการ นักเขียน และนักรณรงค์
เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ ได้กล่าวเปิดงานด้วยถ้อยคำที่สร้างแรงบันดาลใจ ช่วยสร้างบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความรู้และความประทับใจแก่ผู้เข้าร่วมงาน

 

ต่อมา จูน มิยาชิ (June Miyachi) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารคาร์เทียร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้ขึ้นกล่าว
สุนทรพจน์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตและความเป็นผู้นำของผู้หญิงอย่าง
เต็มศักยภาพ จากนั้นได้มีการพูดคุยในบรรยากาศอบอุ่นระหว่าง คุณวินจี ซิน (Wingee Sin) ผู้อำนวยการระดับโลกโครงการ Cartier Women’s Initiative และคุณแซนดี ท็อกสวิก ที่ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับพัฒนาการของความเป็นผู้นำสตรีในภาคธุรกิจ พร้อมสะท้อนถึงความสำเร็จที่ผ่านมาและแนวทางการดำเนินงานในอนาคต

 

พิธีดำเนินไปอย่างต่อเนื่องด้วยการพูดคุยแลกเปลี่ยน จากผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่ได้รับรางวัลในสาขาการพิทักษ์รักษ์โลก (Preserving the Planet) โดยแต่ละท่านได้เปิดเผยถึงผลกระทบเชิงบวกและวิสัยทัศน์เบื้องหลังโครงการริเริ่มของตนจากนั้นจึงมีการฉายวิดีโอจากผู้สนับสนุนของผู้รับรางวัลที่ได้ส่งต่อข้อความความรู้สึกต่องานของแต่ละท่าน เพื่อตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของพลังเครือข่ายและชุมชนในการขยายขอบเขตของผลกระทบให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

 

ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองยังคงดำเนินต่อเนื่องด้วยการเสวนาที่ได้รับเกียรติจากผู้ประกอบการเพื่อสังคมที่ได้รับรางวัล
ในสาขาการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Improving Lives) ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวคิดเกี่ยวกับพันธกิจของตน รวมถึงผลลัพธ์ที่สะท้อนผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระดับชุมชน การถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ได้รับการเสริมด้วยภาพยนตร์สั้นอันทรงพลัง ซึ่งรวบรวมจดหมายจากผู้คนที่ได้รับแรงสนับสนุนและเปลี่ยนแปลงชีวิตจากผลงานของผู้ประกอบการแต่ละท่าน เป็นการตอกย้ำอย่างทรงพลังถึงมิติความเป็นมนุษย์ซึ่งหล่อหลอมอยู่เบื้องหลังทุกองค์กรที่ได้รับเกียรติในครั้งนี้ สะท้อนถึงคุณค่าของความมุ่งมั่น ความเสียสละ และเจตนารมณ์ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่สังคม

 

ส่วนสุดท้ายของงานเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยน จากผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลในสาขาการสร้างสรรค์และส่งมอบโอกาส (Creating Opportunities) ตามด้วยภาพยนตร์สั้นเรื่อง “จดหมายถึงตัวเองในวัยเยาว์” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความกังวล ความมุ่งมั่น และพลังของผู้หญิงที่กล้าตัดสินใจเสี่ยงเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าตัวเองและเพื่อสังคม

 

ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองดำเนินมาสู่ช่วงที่ทรงพลังและสร้างแรงบันดาลใจสูงสุด ด้วยสุนทรพจน์จาก ซีริลล์ วิญเญอรอง ประธานกรรมการด้านวัฒนธรรมและสาธารณกุศล คาร์เทียร์ ซึ่งได้กล่าวเน้นย้ำถึงพันธสัญญาระยะยาวของเมซง
ในการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง การร่วมขับเคลื่อนความรับผิดชอบต่อสังคม และบทบาทสำคัญของผู้ประกอบการหญิง
ในฐานะพลังขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสำคัญระดับโลกอย่างยั่งยืน

 

“ผู้ประกอบการเพื่อสังคมหญิงที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ต่างเปี่ยมด้วยพลังร่วมกันอันยิ่งใหญ่
ในการขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในค่ำคืนนี้ เราได้ร่วมเฉลิมฉลอง
ไม่เพียงแค่ความสำเร็จในการต่อยอดแนวคิดเล็กๆ ให้เติบโตเป็นผลลัพธ์ที่ทรงพลัง หากยังรวมถึงศักยภาพ
อันน่าทึ่งของพวกเธอในการเปิดทางสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับคนรุ่นต่อไป ความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ของพวกเธอเปรียบเสมือนแสงแห่งความหวังและแรงบันดาลใจที่ส่องสว่างสำหรับพวกเราทุกคน” ซีริลล์ วิญเญอรอง ประธานกรรมการด้านวัฒนธรรมและสาธารณกุศล คาร์เทียร์

 

ปิดท้ายค่ำคืนแห่งแรงบันดาลใจ แขกผู้มีเกียรติได้ร่วมชมการแสดงศิลปะปิดงานอันเปี่ยมพลังโดย KAORIalive 
ซึ่งถ่ายทอดผ่านท่วงท่าการเต้นที่รังสรรค์ขึ้นโดยเฉพาะ ภายใต้ธีม “Forces for Good” ของโครงการ Cartier Women’s Initiative เพื่อเฉลิมฉลองความหวังและความสามัคคี ปลุกพลังแห่งความมุ่งมั่นในหัวใจของผู้ชมทุกคน

 

พิธีในค่ำคืนนั้นปิดฉากลงอย่างงดงาม ด้วยถ้อยคำสะท้อนความประทับใจจากพิธีกรผู้ดำเนินรายการ ส่งท้ายงาน
เฉลิมฉลองแห่งความเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์ และพลังของชุมชนอย่างสมบูรณ์แบบ ทิ้งท้ายด้วยแรงบันดาลใจและความเชื่อมั่นว่า ทุกคนต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่เปิดกว้างและยั่งยืนอย่างแท้จริง

 

สัปดาห์แห่งการบ่มเพาะและการสร้างเครือข่าย

 

ในปีนี้ Impact Awards Week ได้รับการออกแบบให้เป็นการเดินทางตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย ภายใต้แนวคิดของการเชื่อมโยง การใคร่ครวญ และการเฉลิมฉลองเกียรติคุณ โดยมีผู้ร่วมงานกว่า 180 คน ซึ่งล้วนเป็น
ผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจากหลากหลายภูมิหลัง อันประกอบด้วยผู้เข้าร่วมโครงการ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักศึกษาในพื้นที่ และพันธมิตรจากนานาประเทศ ซึ่งต่างมีเจตจำนงร่วมกันในการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศและการประกอบการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม พร้อมมอบประสบการณ์เชิงลึกตลอดสัปดาห์นี้
ด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย มุ่งเสริมสร้างการเติบโตทั้งในระดับวิชาชีพและความเชื่อมโยงในระดับบุคคล อันเป็นการหล่อหลอมเครือข่ายแห่งแรงบันดาลใจเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

 

สัปดาห์กิจกรรมเริ่มต้นด้วยพิธีเปิดซึ่งมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ในวันที่ 21 พฤษภาคม ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมพิธีเปิด Women’s Pavilion ภายใต้หัวข้อ “โทโมนิ” (Tomoni) ซึ่งหมายถึง “ร่วมกัน” ในภาษาญี่ปุ่น เพื่อย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนอนาคตที่สดใส เปิดกว้างและเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น โปรแกรมดำเนินต่อเนื่องจนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม ด้วยกิจกรรมเวิร์กช็อปที่จัดโดยชุมชน และปิดท้ายด้วยงานค็อกเทลอำลา 
ซึ่งสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ใหม่ พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

 

แนวโน้มสู่อนาคต: การจัดงานประจำปี 2569

 

เนื่องในโอกาสที่การจัดงานประจำปี 2568 ได้สิ้นสุดลง ทางคาร์เทียร์ขอประกาศเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ Cartier Women’s Initiative ประจำปี 2569 ซึ่งเริ่มเปิดรับสมัครตั้งแต่กลางเดือนเมษายน 2568 และจะปิดรับสมัคร
ในวันที่ 24 มิถุนายน 2568 (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.cartierwomensinitiative.com หรือกดสมัครที่ลิงก์นี้) 
ก่อนจะปิดท้ายด้วยพิธีมอบรางวัลระดับโลกที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศไทย ในปี 2569 การประกวดในปีนี้จะมุ่งเน้นไป
ที่การคัดเลือกผู้ประกอบการเพื่อสังคมหญิงที่มีความโดดเด่น จำนวน 30 ราย ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ผ่านการคัดเลือก
เป็น 3 อันดับแรกในแต่ละหมวดรางวัลทั้ง 10 หมวดหมู่

 

รางวัล Cartier Women’s Initiative ประจำปี 2569 จะประกอบด้วยรางวัลระดับภูมิภาคทั้งสิ้น 9 รางวัล รวมถึงรางวัล “Pioneer in Science & Technology” ซึ่งเป็นการยกย่องนวัตกรรมที่เกิดจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีชั้นสูง ผู้เข้าร่วมโครงการทุกท่านจะได้รับการสนับสนุนอย่างครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งด้านการเงิน สังคม 
และทุนมนุษย์ เพื่อส่งเสริมให้สามารถขยายขอบเขตของผลกระทบเชิงบวกจากธุรกิจที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงสังคม พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพในการเป็นผู้นำของตนเองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น การจัดงานในปี 2569 นี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของโครงการในการขยายบทบาทและเสียงของผู้หญิงเร่งส่งเสริมผู้ประกอบการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง รวมถึงการร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เท่าเทียม และครอบคลุมสำหรับทุกคน

The post คาร์เทียร์ ร่วมเชิดชูเกียรติผู้ได้รับรางวัล Impact Awards 2025 จากโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีเพื่อสังคมระดับโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ป่วนค้าโลก ขู่รีดภาษีใครบ้างก่อนศาลสั่งเบรก เจ้าตัวไม่ถอย ยื่นอุทธรณ์! ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ จับตากระทบครึ่งปีหลัง https://thestandard.co/trump-trade-tariff-courts-delta-thai-union/ Thu, 29 May 2025 13:20:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1080125 ทรัมป์ป่วนค้าโลก

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าส […]

The post ทรัมป์ป่วนค้าโลก ขู่รีดภาษีใครบ้างก่อนศาลสั่งเบรก เจ้าตัวไม่ถอย ยื่นอุทธรณ์! ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ จับตากระทบครึ่งปีหลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ป่วนค้าโลก

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการ โดยให้เหตุผลว่าภาษีเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการผลิตของสหรัฐฯ และจ้างงานคนในประเทศ 

 

ทรัมป์ต้องการลดช่องว่างระหว่างมูลค่าของสินค้าที่สหรัฐฯ ซื้อจากประเทศอื่น และสินค้าที่ขายให้กับประเทศเหล่านั้น และอ้างว่าอเมริกาถูก ‘คนโกง’ และ ‘ปล้นสะดม’ โดยชาวต่างชาติมานาน

 

แต่นับจากคำประกาศก็ทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน และอาจทำให้สินค้าของผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้นเสียเอง

 

มีเพียงสหราชอาณาจักรที่บรรลุข้อตกลงเรื่องภาษีนำเข้า ส่วนประเทศอื่นๆ ก็หวังว่าจะบรรลุข้อตกลงกับทำเนียบขาวได้ในเร็ววัน

 

ทว่าก่อนที่จะครบกำหนดที่ทรัมป์ยืด 90 วัน ล่าสุด วันนี้ (29 พ.ค.) ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) มีคำตัดสินว่า มาตรการกำแพงภาษีทั่วโลก (Global Tariff) ส่วนใหญ่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำนั้นขัดต่อกฎหมาย

 

แม้ผลกระทบโดยตรงของคำตัดสินของศาลยังไม่ชัดเจน แต่ทำเนียบขาวได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว

 

กว่า 2 เดือน นับจากวันปลดแอก 2 เม.ย. ทรัมป์ขู่ขึ้นภาษี ใครบ้างที่โดนหางเลข?

 

สหภาพยุโรป (EU)

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่าจะให้ขึ้นภาษี 50% สำหรับสินค้าทั้งหมดจากสหภาพยุโรปที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ

 

ในตอนแรกเขาเสนอให้ขึ้นภาษี 20% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของสหภาพยุโรป แต่ได้ลดลงเหลือ 10% จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม เพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจา โดยเขียนในโพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “การหารือกับสหภาพยุโรปไม่ได้ผลอะไรเลย!” ดังนั้น ภาษีใหม่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน”

 

แต่วันถัดมา ทรัมป์ระบุว่าเพิ่งได้รับแจ้งว่า EU ติดต่อมาเพื่อเร่งกำหนดวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องดี และหวังว่าพวกเขาจะยอมเปิดตลาดให้กับสหรัฐอเมริกาในที่สุด เหมือนกับที่เขาเรียกร้องจากจีน ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า EU มีท่าที “ดึงเกม” ในการเจรจากับทำเนียบขาวเรื่องข้อตกลงการค้าอย่างมาก

 

จีน

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนได้เพิ่มภาษีศุลกากรอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ปัจจุบันได้บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีอย่างมีนัยสำคัญ

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

 

หลังจากวันที่ 2 เมษายน ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้ามายังสหรัฐฯ แต่บางประเทศ รวมถึงจีน ก็ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า ในวันนั้นจีนตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ และการเพิ่มภาษีดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 145% เมื่อวันที่ 9 เมษายน และจีนจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ บางส่วน 125%

 

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ และจีนได้ ‘พักรบ’ ภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมด ยกเว้น 10% ในช่วงที่ชะลอออกไป 90 วัน 

 

มาตรการดังกล่าวจะทำให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลงเหลือ 30% ขณะที่จีนลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 10%

 

แคนาดาและเม็กซิโก

แคนาดาและเม็กซิโกก็ตกเป็นเป้าหมายของทรัมป์มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เช่นกัน เมื่อเขาประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากทั้งสองประเทศ 25% และเก็บภาษีพลังงานของแคนาดา 10% แต่ทรัมป์ก็ ‘กลับลำ’ เลื่อนและยกเว้นภาษีหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งแคนาดาจึงประกาศเก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์บางรุ่นที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9 เมษายน

 

เหล็กและอะลูมิเนียม

ภาษีนำเข้า 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมดที่เข้าสู่สหรัฐฯ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะเหล่านี้ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม

 

รถยนต์

ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน รถยนต์ที่ผลิตในต่างประเทศถูกเรียกเก็บภาษี 25% ซึ่งขยายเวลาให้ครอบคลุมถึงเครื่องยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ ที่นำเข้ามาตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม

 

สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์

วันที่ 12 เมษายน มีการประกาศยกเว้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภทจากจีนและที่อื่นๆ รวมถึงสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ แต่ในเวลาต่อมาทรัมป์เตือนว่าสัมปทานดังกล่าวอาจหมดลง

 

ส่งผลให้เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ‘ขั้นต่ำ’ สำหรับ iPhone ของ Apple ที่ไม่ได้ผลิตในอเมริกา

 

ภาพยนตร์

วันที่ 4 พฤษภาคม ทรัมป์ต้องการเรียกเก็บภาษี 100% สำหรับภาพยนตร์ต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของชาวอเมริกัน

 

ระงับวีซ่านักเรียน

วันที่ 28 พฤษภาคม ทรัมป์ออกคำสั่งไปยังสถานทูตและสถานกงสุลทั่วโลกให้ระงับการรับจองคิวสำหรับการยื่นขอวีซ่าของนักศึกษาต่างชาติเป็นการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีการออกระเบียบปฏิบัติสำหรับการตรวจสอบโซเชียลมีเดียของผู้สมัครวีซ่าเรียบร้อยแล้ว

 

คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ อย่าง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งทรัมป์เชื่อว่าเป็นฝ่ายซ้ายเกินไป 

 

สะเทือนหุ้น เศรษฐกิจโลก!

นับตั้งแต่วันประกาศภาษี เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นโลกอย่างมาก ซึ่งบริษัทต่างๆ ขายหุ้นในธุรกิจของตน หลายคนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในตลาดหุ้น แม้ว่าจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นโดยตรงก็ตาม เนื่องจากผลกระทบต่อเงินบำนาญ การจ้างงานและอัตราดอกเบี้ย

 

มูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโดยปกติถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ก็ลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน

 

ราคาหุ้นตกต่ำลง ส่งผลอย่างไร ทำไมดอลลาร์สหรัฐตกจึงมีความสำคัญ

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปี 2025 อันเป็นผลจากภาษีศุลกากรอีกด้วย

 

โดยคาดว่าสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด และระบุว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นในปี 2025

 

ขณะที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งครบ 100 วัน กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวลงในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2025 หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสก่อนหน้า

 

ท่ามกลางประธานาธิบดียืนกรานว่านโยบายของเขาได้ผล แต่อีกเสียงที่มีอิทธิพลภายในพรรครีพับลิกันของเขาเองได้เข้าร่วมกับพรรคเดโมแครตฝ่ายค้านและผู้นำต่างประเทศในการโจมตีมาตรการดังกล่าว 

 

เพราะราคาสินค้าที่นำเข้าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต่างๆ ส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นบางส่วนหรือทั้งหมด

 

ผู้ผลิต adidas และ Mattel ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกหลายแห่ง ต่างเห็นตรงกันว่าจะเรียกเก็บเงินจากลูกค้าชาวอเมริกันมากขึ้น

 

จนบริษัทบางแห่งอาจตัดสินใจนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศน้อยลง ซึ่งอาจทำให้สินค้าที่มีจำหน่ายมีราคาแพงขึ้น คาดว่าต้นทุนของสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยใช้ส่วนประกอบนำเข้าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

ภาษีทรัมป์กระทบ ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ หวั่นกดดันกำไร

แม้ว่าล่าสุด ศาลการค้าสหรัฐได้สั่งห้าม แต่ดูเหมือนรัฐบาลทรัมป์ ‘ไม่ยอม’ และอาจประวิงเวลา เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อ 

 

Nikkei Asia รายงานว่า สำหรับบริษัทเอกชนไทย อย่าง ‘ไทยยูเนี่ยน’ ผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ ได้ปรับลดคาดการณ์รายได้ลง ขณะที่ ‘เดลต้า ประเทศไทย’ ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ก็ห่วงว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นหลังเดือนกรกฎาคม

 

โดยไทยยูเนี่ยน ผู้ผลิตแบรนด์ ‘Chicken of the Sea’ ในสหรัฐฯ ได้ปรับลดเป้าการเติบโตของยอดขายทั้งปี จากเดิมที่คาดไว้ 3-4% เหลือเพียง 1-3% 

 

การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดขายลดลงมากถึงราว 27 ล้านดอลลาร์ หรือราว 900 ล้านบาท บริษัทระบุว่าจะปรับลดการลงทุนปีนี้ลงมากถึง 2,000 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของสภาพคล่องเงินสด

 

ขณะที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน โดย วิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย กล่าวในการแถลงข้อมูลแก่นักลงทุนว่า นโยบายภาษีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป

 

“แม้แนวโน้มความต้องการจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปจนถึงเดือนมิถุนายน จากคำสั่งซื้อช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนที่การชะลอเก็บภาษีเพิ่มเติม ที่จะสิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้นหากอัตราภาษีเกิน 15% ลูกค้าจะไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้

 

ภาพ: Demetrius Freeman / The Washington Post via Getty Images

อ้างอิง:

 

The post ทรัมป์ป่วนค้าโลก ขู่รีดภาษีใครบ้างก่อนศาลสั่งเบรก เจ้าตัวไม่ถอย ยื่นอุทธรณ์! ‘ไทยยูเนี่ยน-เดลต้า’ จับตากระทบครึ่งปีหลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Dubai International Chamber เปิดตัวสำนักงานในกรุงเทพฯ หนุนการขยายตัวของธุรกิจไทย-ส่งเสริมการค้าการลงทุนทวิภาคี https://thestandard.co/dubai-international-chamber-bangkok-office/ Thu, 29 May 2025 10:41:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1080086 Dubai International Chamber

หอการค้านานาชาติดูไบ (Dubai International Chamber) หนึ่ […]

The post Dubai International Chamber เปิดตัวสำนักงานในกรุงเทพฯ หนุนการขยายตัวของธุรกิจไทย-ส่งเสริมการค้าการลงทุนทวิภาคี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Dubai International Chamber

หอการค้านานาชาติดูไบ (Dubai International Chamber) หนึ่งในสามหอการค้าที่ดำเนินงานภายใต้การดูแลของเครือข่ายหอการค้าดูไบ (Dubai Chambers) เปิดสำนักงานผู้แทนแห่งใหม่ประจำประเทศไทยอย่างเป็นทางการในกรุงเทพฯ โดยจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการขยายธุรกิจจากประเทศไทยไปยังดูไบ และส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างสองตลาด

 

สำนักงานแห่งนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับภาคีหลักทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมทั้งมอบการสนับสนุนที่ครอบคลุมแก่กลุ่มธุรกิจของไทย อาทิ การช่วยเหลือเพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของตลาด การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และการให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการเข้าสู่ตลาดดูไบ ซึ่งการเปิดตัวสำนักงานจัดขึ้นระหว่างการประชุม ‘Doing Business with Thailand’ ที่โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ วันนี้ (29 พฤษภาคม)

 

งานประชุมนี้จัดโดยหอการค้าดูไบ (Dubai Chamber of Commerce) โดยความร่วมมือกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (TCC and BoT) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ (DITP) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำประเทศไทย และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ การประชุมในครั้งนี้รวบรวมเจ้าหน้าที่ระดับสูง ผู้นำทางธุรกิจ และบริษัทไทยที่สนใจสำรวจโอกาสในการเป็นพันธมิตรกับคณะผู้แทนหอการค้าจากดูไบ นอกจากนี้ยังมีการจัดประชุมแบบทวิภาคีกับกลุ่มบริษัทจากเมืองดูไบจำนวน 20 บริษัท ซึ่งดำเนินธุรกิจในหลากหลายภาคส่วน เช่น อาหารและเครื่องดื่ม การเกษตร ยานยนต์ การก่อสร้าง อิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจบริการ ทรัพยากรบุคคล สารหล่อลื่นอุตสาหกรรม การลงทุน และการค้าปลีกน้ำหอม

 

มูฮัมหมัด อาลี รอชีด ลูตาห์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หอการค้าดูไบ (His Excellency Mohammad Ali Rashed Lootah, President and CEO of Dubai Chambers) กล่าวว่า “การเปิดสำนักงานแห่งใหม่ของเราในกรุงเทพฯ จะช่วยปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ให้กับบริษัทไทยที่ต้องการเข้าสู่ดูไบ และใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ของเมืองในฐานะประตูสู่การเติบโตระดับโลก ประเทศไทยยังคงเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการผลักดันให้ดูไบเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนระดับโลก และเรามั่นใจว่าก้าวนี้จะสร้างโอกาสที่สำคัญให้กับธุรกิจในทั้งสองตลาด”

 

การประชุมทางธุรกิจในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวระหว่างประเทศไทยและดูไบ มูลค่าการค้าระหว่างสองฝ่ายที่ไม่ใช่น้ำมันนั้นสูงเกินกว่า 2.38 หมื่นล้านเดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED) ซึ่งเติบโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 23.3% ในปี 2567 เมื่อเทียบเป็นรายปี จำนวนบริษัทไทยที่ขึ้นทะเบียนสมาชิกของหอการค้าดูไบเพิ่มขึ้น 28.4% ในปี 2567 และแตะระดับ 190 แห่ง ณ สิ้นปี สะท้อนถึงโอกาสที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริษัทและนักลงทุนจากประเทศไทยในดูไบ

 

งานนี้ได้รับเกียรติจาก อูเบด ซะอีด อูเบดบินฏอริช อัลฎอฮิรี เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำประเทศไทย (H.E. Obaid Saeed Obaid Bintaresh Aldhaheri, Ambassador of the United Arab Emirates to the Kingdom of Thailand) และดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ และยังได้รับเกียรติจาก ชุตินทร คงศักดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์พิเศษ

 

หอการค้าดูไบได้นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจเชิงลึกของดูไบ โดยเน้นย้ำถึงความได้เปรียบในการแข่งขันที่เป็นเอกลักษณ์ของเอมิเรตส์สำหรับธุรกิจและนักลงทุน นอกจากนี้การประชุมยังมีการอภิปรายพิเศษร่วมกับผู้แทนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางธุรกิจของประเทศไทย รวมไปถึงโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนจากดูไบ

 

หอการค้าดูไบยังได้ให้คำแนะนำบริษัทจากดูไบที่ดำเนินกิจการในประเทศไทย เกี่ยวกับโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพสูงในหลากหลายภาคส่วน ทั้งในภาคการบริการให้เช่า พลังงานหมุนเวียน บริการด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ บริการขนส่งและกระจายสินค้า รวมไปถึงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

The post Dubai International Chamber เปิดตัวสำนักงานในกรุงเทพฯ หนุนการขยายตัวของธุรกิจไทย-ส่งเสริมการค้าการลงทุนทวิภาคี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศึกสายเลือด DUSIT กรณีศึกษา ‘แบ่งมรดกเท่าเทียม’ แต่กลายเป็นจุดตายของธุรกิจในยุคถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ https://thestandard.co/dusit-succession-problem-case-analysis/ Thu, 29 May 2025 09:54:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1080059 ดุสิตธานี

ดุสิตธานี (DUSIT) อาณาจักรธุรกิจโรงแรมเก่าแก่ของไทย เผช […]

The post ศึกสายเลือด DUSIT กรณีศึกษา ‘แบ่งมรดกเท่าเทียม’ แต่กลายเป็นจุดตายของธุรกิจในยุคถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดุสิตธานี

ดุสิตธานี (DUSIT) อาณาจักรธุรกิจโรงแรมเก่าแก่ของไทย เผชิญความปั่นป่วนจากความขัดแย้งภายในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นทายาทของผู้ก่อตั้งธุรกิจที่ดำเนินการมาเกือบ 80 ปี

 

จนทำให้ธุรกิจทั้งเครือเสี่ยงจะต้องหยุดชะงัก รวมถึงเมกะโปรเจกต์ของบริษัทมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ที่ใกล้จะเปิดอย่างเป็นทางการภายในปีนี้

 

ต้องเท้าความก่อนว่า บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 49.74%

 

และภายใต้ ชนัตถ์และลูก นี้เอง ก็ถูกแบ่งสันปันส่วนถือหุ้นร่วมกันระหว่าง 3 พี่น้องที่เป็นทายาทของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้ง DUSIT เมื่อปี 2491 ได้แก่

 

  1. กลุ่มตระกูลโทณวณิก ถือหุ้นรวม 26.66% โดย ชนินทธ์ โทณวณิก บุตรชายคนโต ถือหุ้น 25.40% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐพร ศิรินันท์ และ ศิรเดช โทณวณิก ถือคนละ 0.42%
  2. กลุ่มตระกูลเธียรประสิทธิ์ ถือหุ้นรวม 26.65% โดย สินี เธียรประสิทธิ์ บุตรสาวคนกลาง ถือหุ้น 26.57% ส่วนที่เหลือเป็นของณัฐสิทธิ พัฒนีพร ลลิตา และ ภมรศักดิ์ เธียรประสิทธิ์
  3. กลุ่มตระกูลสาลีรัฐวิภาค ถือหุ้นรวม 21.68% โดย สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค บุตรสาวคนเล็ก ถือหุ้น 21.62% ที่เหลือเป็นของชลิตา ภัทรพรรณ ภัทรพร และ ภัทร สาลีรัฐวิภาค
  4. และที่เหลืออีก 24.99% เป็นสัดส่วนของกองมรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย

 

ปมร้าวลึกที่เกิดขึ้นระหว่าง 3 พี่น้อง คือ ชนินทธ์, สินี และ สุนงค์ ซึ่งเป็นทายาทของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย จนนำมาสู่ความขัดแย้งครั้งนี้ อาจยากที่เราจะรู้เท็จจริงของสาเหตุความขัดแย้งทั้งหมด

 

แต่ก็มีการคาดเดากันบ้างว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลการดำเนินงานของ DUSIT ในช่วงที่ผ่านมาที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก และผู้ที่ถูกมองว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบก็คือ ชนินทธ์ ในฐานะรองประธานกรรมการของ DUSIT

 

ความขัดแย้งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกรรมการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย ชนินทธ์ ถูกโหวตให้ออกจากการเป็นกรรมการ ขณะที่มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ 2 คน คือ ภัทร สาลีรัฐวิภาค และ ลลิตา เธียรประสิทธิ์

 

เท่ากับว่าพี่ชายคนโตอย่างชนินทธ์หมดอำนาจในการจัดการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ขณะที่ตระกูลของน้องสาวอีกสองคนขึ้นมามีอำนาจในการตัดสินใจในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DUSIT ผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด แทนที่

 

จนเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สิ่งที่หลายฝ่ายไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น คือ การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ตัดสินใจโหวตไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ในการประชุมผู้ถือหุ้นของ DUSIT เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งที่ผ่านการตรวจสอบ และลงนามรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้ว และทำให้บริษัทไม่สามารถส่งงบไตรมาส 1 ปี 2568 ได้ทันตามกำหนด

 

แบ่งหุ้นเท่าๆ กัน จุดตายของธุรกิจ

 

แหล่งข่าวในวงการบริหารจัดการมรดกและจัดการทรัพย์สินครอบครัว มองว่า หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นภายใต้ความขัดแย้งครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ที่มีความใกล้เคียงกันมากเกินไป

 

ไม่เพียงแค่ DUSIT เท่านั้น แต่กับอีกหลายๆ ธุรกิจที่มักจะมีปัญหาและกลายเป็นจุดตายของธุรกิจคือการตัดสินใจส่งต่อมรดก โดยเฉพาะการจัดสรรการถือหุ้นในธุรกิจให้กับทายาทในสัดส่วนเท่าๆ กัน หรือเกือบจะเท่ากัน ส่งผลให้อำนาจในการบริหารมักจะถูกสั่นคลอนได้ง่าย เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น

 

“การแบ่งหุ้นในลักษณะเช่น ลูก 3 คน แบ่งกันไปคนละ 1 ส่วน ฟังดูเหมือนจะยุติธรรม แต่วิธีการนี้มักจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้”

 

การบริหารเรื่องของมรดกให้ดีนั้น จริงๆ ควรจะแบ่งตามความสามารถ และอธิบายเหตุผลให้ชัดเจนตั้งแต่แรก หรือในบางครอบครัวอาจจะใช้วิธีการแบ่งการถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจให้กับคนที่บริหารเก่งที่สุด สามารถเป็นได้ทั้งทายาทคนโต คนกลาง หรือคนเล็ก ขึ้นกับความสามารถ ส่วนคนที่ได้สัดส่วนในธุรกิจน้อยกว่าก็อาจจะได้มรดกอย่างอื่นไปเพิ่มเติม หากต้องการให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด

 

ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงที่ถูกเรียกว่า The Great Wealth Transfer หรือช่วงที่เจ้าของความมั่งคั่ง โดยเฉพาะจากรุ่น Baby Boomer ต้องส่งต่อความมั่งคั่งไปสู่ Gen X และ Gen Y หรือกลุ่ม Millennials ทำให้การวางแผนการส่งต่อมรดก ความมั่งคั่ง รวมถึงธุรกิจมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

 

ปลดล็อก ‘ดุสิตธานี’ หลังผู้ถือหุ้นไฟเขียวตั้งผู้สอบบัญชี ไม่โดนแขวน SP ลุยทำธุรกิจได้ตามปกติ

 

แม้ปัญหาจะยังไม่ได้ถูกสะสาง 100% และเกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท แต่ล่าสุดปัญหาส่วนใหญ่ดูเหมือนได้การแก้ไขปลดล็อกเรียบร้อยแล้ว

 

โดยเฉพาะประเด็นที่สำคัญที่หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติให้อนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเรียบร้อยแล้ว สามารถส่งงบการเงินงวดไตรมาสแรกของปี 2568 ได้ตามปกติ แม้งบการเงินปี 2567 จะไม่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น DUSIT แต่ไม่ได้มีประเด็นที่ผู้สอบบัญชีการไม่แสดงความเห็น ซึ่งสะท้อนว่า DUSIT ไม่ได้มีปัญหาในประเด็นของงบการเงินแต่อย่างใด

 

ดังนั้น หุ้นของ DUSIT ยังสามารถทำการซื้อ-ขายได้ตามปกติ และจะไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP หรือห้ามการซื้อ-ขายชั่วคราวตามที่เคยกังวลก่อนหน้านี้ 

 

ส่วนกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่อนุมัติให้กรรมการที่พ้นวาระทั้ง 4 ท่าน กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการของ DUSIT ต่อ ได้แก่

  1. อาสา สารสิน ประธานกรรมการ
  2. ปราณี ภาษีผล กรรมการอิสระ
  3. ภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ กรรมการอิสระ
  4. สมประสงค์ บุญยะชัย กรรมการอิสระ

 

ในประเด็นนี้จะไม่ผลกระทบต่อการดำเนินงานของ DUSIT ในปัจจุบัน เนื่องจาก DUSIT ยังมีจำนวนกรรมการที่เหลือเป็นจำนวนที่มากเพียงพอเป็นไปตามข้อกำหนด ข้อบังคับของบริษัท รวมทั้งกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกำหนดไว้ ส่งผลให้ธุรกิจของ DUSIT ยังดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ จึงไม่มีผลกระทบต่อทีมบริหารของ DUSIT ยังสามารถบริหารจัดการได้ปกติ

 

แน่นอนว่าปมความขัดแย้งระหว่างพี่น้องหรือคนในตระกูลเดียวกัน อย่างที่เกิดขึ้นกับ DUSIT ไม่ใช่กรณีแรก และก็มีให้เห็นมาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง และในอนาคตเราก็อาจจะยังเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นได้อีก แต่เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ลง การพูดคุยกันภายในครอบครัว รวมทั้งการวางแผนการส่งต่อธุรกิจ หรือมรดกต่างๆ จึงเป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญอย่างมากในทุกยุคทุกสมัย

The post ศึกสายเลือด DUSIT กรณีศึกษา ‘แบ่งมรดกเท่าเทียม’ แต่กลายเป็นจุดตายของธุรกิจในยุคถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดผลสำรวจ! เอกชนไทยกว่า 86% ผวา ‘โรงงานศูนย์เหรียญ’ บ่อนทำลายซัพพลายเชน https://thestandard.co/zero-baht-factory-impact/ Thu, 29 May 2025 08:12:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1080022 zero-baht-factory-impact

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเท […]

The post เปิดผลสำรวจ! เอกชนไทยกว่า 86% ผวา ‘โรงงานศูนย์เหรียญ’ บ่อนทำลายซัพพลายเชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
zero-baht-factory-impact

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 45 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ภายใต้หัวข้อ ‘โรงงานศูนย์เหรียญ กระทบอุตสาหกรรมไทยแค่ไหน’ 

 

จากผลสำรวจพบว่า การเข้ามาของกลุ่มทุนจากต่างประเทศเพื่อประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพื้นที่ หรือที่เรียกว่าโรงงานศูนย์เหรียญนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า สร้างผลกระทบเชิงลบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างมาก 

 

โดยเฉพาะประเด็นการหลีกเลี่ยงละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การลักลอบประกอบกิจการ การผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การลักลอบเข้ามาทำงาน และการนำเข้าผิดกฎหมาย ซึ่งมองว่า “สาเหตุของปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญในไทยเกิดจากกฎหมายไทยที่มีช่องโหว่ ตลอดจนผลกระทบจากสงครามการค้าที่เร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเข้ามาสวมสิทธิสินค้าส่งออกไทยเพื่อหลบเลี่ยงถิ่นกำเนิดสินค้า”

 

ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอขอให้ภาครัฐเข้มงวดในการออกใบอนุญาตประกอบการโรงงาน และบูรณาการตรวจสอบเชิงรุกปราบปรามการกระทำความผิด การใช้ธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือนอมินี และการใช้บัญชีม้า ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลและพัฒนาระบบติดตามวิเคราะห์พฤติกรรมของนิติบุคคลที่เข้าข่ายนอมินี เช่น การจ่ายภาษี, การจ้างงาน, การนำเข้าและส่งออก, การใช้ไฟฟ้า

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 45 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้

 

1. การเข้ามาของโรงงานศูนย์เหรียญจะส่งผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมไทยในระดับใด 

 

โดยผลสำรวจพบว่า กระทบมากถึง 86.9%

 

2. กลุ่มสินค้าใดจะได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของโรงงานศูนย์เหรียญ

 

อันดับ 1: เครื่องใช้ไฟฟ้า 70.3%

อันดับ 2: วัสดุก่อสร้าง 46.9%

อันดับ 3: อาหารแปรรูป อาหารเสริม และเครื่องสำอาง 26.2%

อันดับ 4: สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 25.5%

 

3. ปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญในไทยเกิดจากสาเหตุใด

 

อันดับ 1: กฎหมายที่มีช่องโหว่เป็นโอกาสเข้ามาลงทุนในไทย 74.5%

อันดับ 2: การย้ายฐานการผลิตหนีผลกระทบจากสงครามการค้า 58.6%

อันดับ 3: มาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ 26.9%

อันดับ 4: นโยบายและกฎหมายที่เข้มงวดในสิ่งแวดล้อมและการปล่อยมลพิษ 24.8% ของประเทศต้นทาง

 

4. ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อผลกระทบจากโรงงานศูนย์เหรียญในเรื่องใด

 

อันดับ 1: การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ลักลอบประกอบกิจการ 52.4% ผลิตไม่ได้มาตรฐาน ลักลอบเข้ามาทำงาน และนำเข้าผิดกฎหมาย

อันดับ 2: การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาสวมสิทธิไทยส่งออก (Re-Export) 50.3% เพื่อหลบเลี่ยงถิ่นกำเนิดสินค้า

อันดับ 3: การใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมที่มีมลพิษ 49.0% ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

อันดับ 4: ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และการแย่งส่วนแบ่งตลาด 22.8% ในประเทศและตลาดส่งออก

 

5. ภาครัฐควรดำเนินมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญอย่างไร

 

อันดับ 1: เข้มงวดในการออกใบอนุญาตประกอบการโรงงาน 52.4% และบูรณาการตรวจสอบเชิงรุก ปราบปรามการกระทำความผิด

อันดับ 2: ปราบปรามการใช้ธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือนอมินี และบัญชีม้า 51.7%

อันดับ 3: เชื่อมโยงข้อมูลและพัฒนาระบบติดตามวิเคราะห์พฤติกรรมของนิติบุคคล 31.7% เช่น การจ่ายภาษี, การจ้างงาน, การนำเข้าและส่งออก, การใช้ไฟฟ้า ฯลฯ

อันดับ 4: ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form C/O ทั่วไป 29.7%

 

6. ภาคอุตสาหกรรมให้คะแนนการทำงาน ‘ทีมสุดซอย’ กระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องการจัดการโรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและโรงงานศูนย์เหรียญในระดับใด

 

อันดับ 1: มาก 35.2%

อันดับ 2: มากที่สุด 29.0%

อันดับ 3: ปานกลาง 24.8%

อันดับ 4: น้อย 9.0%

อันดับ 5: น้อยที่สุด 2.0%

 

พบเรื่องร้องเรียน ‘อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ’ เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า

 

ด้าน พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 

 

หนึ่งในนโยบายที่ย้ำชัดมาตั้งแต่วันแรกที่ปฏิบัติงานคือ ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ โดยวางระบบใหม่ ส่งผลให้พบจำนวนเรื่องร้องเรียนของประชาชนในระบบเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า รวม 615 เรื่องภายในช่วง 3 เดือนแรก จากปกติกระทรวงอุตสาหกรรม รับเฉลี่ยอยู่ที่ 550 เรื่องต่อปี และดำเนินการปิดเรื่องสำเร็จแล้ว 300 เรื่อง 

 

โดยที่ผ่านมาทีมสุดซอยปิดโรงงานรีไซเคิลเถื่อนในจังหวัดชลบุรี ผนึก ‘บก.ปทส.’ บุกจับ-ปิด-ดำเนินคดี ‘โรงงานศูนย์เหรียญ’ ที่ซุกใน ‘ฟรีโซน’

 

ตั้งแต่ลอบเปิดกิจการยันแรงงานต่างด้าว พบนำเข้าเศษอะลูมิเนียมปนเปื้อนขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 1,600 ตัน พบลักษณะมีนายหน้าชาวไทยรับเป็นผู้ดูแล คอยประสานให้นักลงทุนชาวจีนมาเช่าพื้นที่

 

อีกทั้งตามรอยกลุ่มโรงงานรีไซเคิลย่านมหาชัยที่แอบฝังกากอุตสาหกรรม พบเหล็กข้ออ้อยหักงอในขณะนำไปก่อสร้างจากจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดตาก 

 

“นับเป็นการปราบขบวนการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ มุ่งเป้าแก้ปัญหาทุนเทาทุกรูปแบบ กำจัดอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ ทลายระบบ” พงศ์พลกล่าว 

 

ภาพ: HUNG CHIN LIU / Getty Images, Digital Vision / Getty Images

The post เปิดผลสำรวจ! เอกชนไทยกว่า 86% ผวา ‘โรงงานศูนย์เหรียญ’ บ่อนทำลายซัพพลายเชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮั่วเซ่งเฮงแนะจับตา ‘ทองคำ’ เมื่อสหรัฐฯ เผชิญหนี้พุ่ง-วิกฤตงบ เสี่ยง Shutdown ก.ย. นี้ https://thestandard.co/gold-market-us-shutdown/ Thu, 29 May 2025 05:38:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1079934 gold-market-us-shutdown

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่อปั่นป่วน! ความเสี่ยง ‘Government Shut […]

The post ฮั่วเซ่งเฮงแนะจับตา ‘ทองคำ’ เมื่อสหรัฐฯ เผชิญหนี้พุ่ง-วิกฤตงบ เสี่ยง Shutdown ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
gold-market-us-shutdown

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่อปั่นป่วน! ความเสี่ยง ‘Government Shutdown’ พุ่ง กดดันพันธบัตร-ดันทองคำพุ่ง

 

สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจและการคลังอีกครั้ง เมื่อความเสี่ยง Government Shutdown ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ หลังรัฐบาลยังไม่สามารถจัดทำงบประมาณปี 2026 ได้ทันกรอบเวลา ซึ่งถูกกำหนดไว้ในวันที่ 30 กันยายน 2025 โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเผยแพร่ ‘งบประมาณเบื้องต้น’ (Skinny Budget) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 ไปแล้ว แต่รายละเอียดงบประมาณฉบับเต็มยังไม่ถูกส่งให้สภาคองเกรส

 

ฮั่วเซ่งเฮงประเมินว่า การที่รายละเอียดงบประมาณฉบับเต็มยังไม่ถูกส่งให้สภาคองเกรส อาจทำให้กระบวนการพิจารณางบประมาณล่าช้า และเสี่ยงต่อการเกิด Government Shutdown หากไม่สามารถอนุมัติงบประมาณได้ทันก่อนวันที่ 30 กันยายน 2025

 

ปัจจุบันหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งแตะ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่การขาดดุลงบประมาณยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ข้อมูล ณ เดือนเมษายน) เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน แม้ว่ารายได้จากภาษีจะเพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายกลับมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงภาวะการคลังที่เริ่มควบคุมไม่ได้

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถของกระทรวงการคลังในการระดมทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาล หลังการเปิดขายพันธบัตรอายุ 20 ปี มูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติที่เคยเป็นผู้ถือครองรายใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และจีน

 

นโยบาย ‘ลดภาษี-เพิ่มรายจ่าย’ ของทรัมป์ อาจซ้ำเติมวิกฤต

 

การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมนโยบาย ‘One Big Beautiful Bill Act’ ที่จะขยายเวลาลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สร้างความกังวลว่าอาจทำให้รายได้รัฐหดตัวในระยะยาว ขณะที่ยังไม่มีแผนลดรายจ่ายอย่างจริงจัง ผลคือหนี้อาจพุ่งอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า

 

Moody’s และหน่วยงานจัดอันดับเครดิตต่างๆ ได้เริ่มส่งสัญญาณเตือน เช่น การลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ จาก Aaa ลงสู่ Aa1 โดยอ้างถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่รัฐบาลขาดวินัยทางการคลัง และแนวโน้มที่หนี้สาธารณะอาจทะลุ 134% ของ GDP ภายในปี 2035

 

ทองคำกำลังกลับมา? นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย

 

ในช่วงที่ความไม่แน่นอนพุ่งสูง ทั้งจากการเมือง หนี้สาธารณะ และเสถียรภาพของรัฐบาล ทองคำจึงกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งเหมือนอดีตที่ผ่านมา เช่น ช่วง Shutdown ในปี 2018-2019 ราคาทองคำปรับขึ้นกว่า 7% ภายใน 3 เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง

 

ล่าสุดราคาทองคำโลกยังเคลื่อนไหวในระดับสูงกว่า 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนัก เช่น Goldman Sachs และ J.P. Morgan มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งยังคงคาดการณ์ราคาทองคำโลกไว้ที่ระดับ 3,675-3,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์

 

โดยสรุป ฮั่วเซ่งเฮงประเมินว่า “ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงต้านจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะที่สูงเกินควบคุม พันธบัตรที่เริ่มถูกเมิน และงบประมาณใหม่ที่ยังไม่ลงตัว ความเสี่ยง Government Shutdown อาจเป็นตัวเร่งให้ตลาดโลกเข้าสู่โหมด ‘Risk-Off’ ในครึ่งหลังของปีนี้ ดังนั้นทองคำจึงอาจกลายเป็น ‘สินทรัพย์ดาวเด่น’ อีกครั้งในช่วงที่ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการเมืองสหรัฐฯ เริ่มสั่นคลอนอย่างมีนัยสำคัญ”

The post ฮั่วเซ่งเฮงแนะจับตา ‘ทองคำ’ เมื่อสหรัฐฯ เผชิญหนี้พุ่ง-วิกฤตงบ เสี่ยง Shutdown ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แผ่นดินไหวเขย่ากรุงเทพฯ บริษัทแห่ขอย้ายออกจากตึกสูง-เก่า CBRE เผย ผู้เช่าหันหาอาคารโลว์ไรส์-ชั้นล่าง https://thestandard.co/bangkok-quake-shifts-office-demand/ Thu, 29 May 2025 03:30:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1079850

ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ […]

The post แผ่นดินไหวเขย่ากรุงเทพฯ บริษัทแห่ขอย้ายออกจากตึกสูง-เก่า CBRE เผย ผู้เช่าหันหาอาคารโลว์ไรส์-ชั้นล่าง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งแรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ทั่วกรุงเทพฯ กลายเป็น ‘ตัวเร่งปฏิกิริยา’ ให้บริษัทต่างๆ เร่งพิจารณาย้ายสำนักงาน โดยเฉพาะการย้ายออกจากอาคารเก่าที่ได้รับผลกระทบ

 

รายงานตลาดอาคารสำนักงานกรุงเทพฯ ไตรมาส 1 ปี 2568 ระบุว่า แม้ตลาดจะเผชิญแรงกดดันจากซัพพลายใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราพื้นที่ว่างสูงขึ้นและการแข่งขันระหว่างเจ้าของอาคารรุนแรงขึ้น แต่ยอดการเช่าสุทธิ (Net Take-up) กลับสูงเป็นพิเศษ โดยได้รับแรงหนุนจากการย้ายเข้าสู่อาคารเกรด A+ ในย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) และอาคารเกรด A ทั้งในและนอก CBD

 

ซึ่งในขณะที่ซัพพลายใหม่จำนวนมากยังคงกดอัตราการเช่า แต่ยอดการเช่าสุทธิในไตรมาส 1 นั้นสูงเป็นพิเศษ ขณะที่ตลาดอาคารสำนักงานเกรด B กลับมียอดการเช่าสุทธิที่เป็นลบ

 

ซีบีอาร์อีเผย 3 ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อตลาดอาคารสำนักงานหลังเกิดแผ่นดินไหว ได้แก่

 

ประการแรก ‘ความปลอดภัยของโครงสร้าง’ กลายเป็นประเด็นสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับผู้เช่า ทั้งผู้เช่าปัจจุบันและผู้ที่กำลังมองหาพื้นที่ใหม่

 

โดยสิ่งที่ผู้เช่าปัจจุบันให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งคือ การสร้างความมั่นใจโดยเจ้าของอาคารว่าได้ดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างอาคารอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว สามารถประกาศได้ว่าอาคารมีความปลอดภัยตามมาตรฐานของกรุงเทพมหานคร

 

ประการที่สอง ‘การสื่อสารที่มีคุณภาพ’ จากเจ้าของอาคารมีความสำคัญอย่างมาก ผู้เช่าคาดหวังให้เจ้าของอาคารแจ้งข้อมูลอัปเดตอย่างทันท่วงที ชัดเจน และกระชับ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย รวมถึงสร้างคู่มือสิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่ชัดเจน

 

หลังเกิดเหตุ เจ้าของอาคารหลายรายแสดงตัวอย่างที่ดี โดยสื่อสารผ่านเทคโนโลยีหลากหลายช่องทาง ทั้งแอปพลิเคชันบนมือถือของอาคาร จอดิจิทัล โซเชียลมีเดีย และอีเมล เพื่อให้ผู้เช่าได้รับข้อมูลอัปเดตและมั่นใจในการตอบสนองของอาคาร

 

ประการที่สาม เกิด ‘การเปลี่ยนแปลงความต้องการ’ ด้านพื้นที่สำนักงาน โดยบริษัทที่ก่อนหน้านี้ตัดสินใจอยู่ในอาคารที่เช่ามานาน เริ่มพิจารณาย้ายออก
ซึ่งนับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหว บริษัทบางแห่งที่กำลังมองหาสำนักงานใหม่ได้เปลี่ยนความต้องการไปที่อาคารแบบโลว์ไรส์ หรือชั้นล่างๆ ของอาคารสูง โดยซีบีอาร์อียังเห็นบริษัทจำนวนมากขึ้นพิจารณาย้ายออกจากอาคารเก่าบางแห่งที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

 

ขณะที่ธุรกรรมการเช่าสำนักงานบางส่วนยังคงดำเนินต่อไปตามแผนในหลายสัปดาห์หลังแผ่นดินไหว แต่มีบางส่วนที่ล่าช้าออกไป เนื่องจากบริษัทต่างๆ ต้องการความมั่นใจจากเจ้าของอาคารที่จะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหม่ เนื่องจากมีบริการบางส่วนในอาคารที่ต้องหยุดชะงักไป

 

โดยรวมแล้ว อาคารสำนักงานส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความทนทานของโครงสร้าง อย่างไรก็ตาม เจ้าของอาคารที่ให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยอย่างทันท่วงที มีการสื่อสารกับผู้เช่าอย่างชัดเจน และดำเนินการซ่อมแซมสิ่งที่จำเป็นอย่างรวดเร็ว สามารถเสริมสร้างสถานะของอาคารให้โดดเด่นขึ้นในตลาดได้

 

ในทางตรงกันข้าม อาคารที่ไม่สามารถสื่อสารหรือให้ความมั่นใจแก่ผู้เช่าได้ดีในช่วงหลังเกิดแผ่นดินไหว มีแนวโน้มที่ผู้เช่าจะพิจารณาย้ายออกเพิ่มมากขึ้น

 

เมื่อ ‘ความปลอดภัย’ กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะสื่อถึง ‘คุณภาพ’ ซีบีอาร์อีคาดว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะเพิ่มแรงกระตุ้นต่อแนวโน้ม ‘การย้ายสำนักงานไปสู่อาคารคุณภาพสูง’ ในตลาดอาคารสำนักงานของกรุงเทพฯ มากขึ้น

 

ซีบีอาร์อี ประเทศไทยชี้ว่า เหตุการณ์นี้จะกระตุ้นให้เจ้าของอาคารเก่าที่สร้างมานานแล้วได้พิจารณาที่จะปรับใช้กลยุทธ์ทางเลือกสำหรับสินทรัพย์ของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน

 

ภาพ: Parilov / Shutterstock

The post แผ่นดินไหวเขย่ากรุงเทพฯ บริษัทแห่ขอย้ายออกจากตึกสูง-เก่า CBRE เผย ผู้เช่าหันหาอาคารโลว์ไรส์-ชั้นล่าง appeared first on THE STANDARD.

]]>