Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 19 Aug 2025 14:56:12 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ ธปท. จับตาสินเชื่อจ่อหดตัว 5 ไตรมาสติด KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี https://thestandard.co/thai-loan-contraction-hits-20-year-record/ Tue, 19 Aug 2025 13:32:03 +0000 https://thestandard.co/?p=1109087 สินเชื่อ KResearch

สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง ในไ […]

The post แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ ธปท. จับตาสินเชื่อจ่อหดตัว 5 ไตรมาสติด KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินเชื่อ KResearch

สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 จากสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่หดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ธปท.คาด สินเชื่อจ่อติดลบ 5 ไตรมาสติด แต่ลุ้นไตรมาส 4 ปี 2568 พลิกบวก KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี

 

สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 2 ปี 2568 โดยรวมยังติดลบต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน แต่การหดตัวชะลอลงมาอยู่ที่ -0.9% YoY ในไตรมาสนี้ เทียบกับ -1.3% YoY ในไตรมาสก่อนหน้า 

 

โดยสินเชื่อโดยรวมที่หดตัวมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs (-6.2% YoY ใน 2Q68) และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัว (-0.1% YoY ใน 2Q68) ต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.7% YoY ในไตรมาส

 

 

สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing loan: NPL หรือ Stage 3) ที่ผิดนัดชำระเกิน 90 วัน ในไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับ ‘เพิ่มขึ้นเล็กน้อย’ มาอยู่ที่ 554.9 พันล้านบาท โดยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจเป็นสำคัญ ขณะที่ปริมาณ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงทุกประเภท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ทรงตัวอยู่ที่ 2.91% จากระดับ 2.90% ในไตรมาสก่อนหน้า

 

สินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (SM หรือ stage 2) ปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ต โดยหลักเป็นการจัดชั้นดีขึ้นของลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 ลดลงอยู่ที่ 6.88% จาก 6.97% ในไตรมาสก่อนหน้า

 

 

 

สินเชื่อจ่อติดลบ 5 ไตรมาสติด ลุ้นไตรมาส 4 ปี 2568 พลิกบวก

 

สุวรรณี ประเมินว่า การเติบโตของสินเชื่อน่าจะไม่ได้กลับมาขยายตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 หรือจ่อติดลบ 5 ไตรมาสต่อเนื่อง เหตุก่อนหน้านี้มีการก่อหนี้สะสมไปมากแล้ว (Build Up), ตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงกระบวนการลดหนี้ภาคครัวเรือน (Deleveraging Process), ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออยู่, และความต้องการ (Demand) ในการลงทุนใหม่ๆ ก็ปรับลดลง

 

สำหรับแนวโน้ม การเติบโตของสินเชื่อในไตรมาส 4 ปี 2568 อาจพลิกบวกได้ เหตุเริ่มเห็นอัตราการเติบโตของสินเชื่อเริ่มผงกหัวขึ้นมาแล้ว แม้จะติดลบอยู่ โดยถ้ามีแรงส่งมากพอ และถ้าภาคธุรกิจมีการปรับตัว (Transform) น่าจะเป็นปัจจัยบวกที่จะกลับมาผลักดันการเติบโตของสินเชื่อได้ รวมถึงถ้าภาคการผลิตสามารถผลิตสินค้าออกมาตามความต้องการและขายได้

 

สุวรรณี กล่าวอีกว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลง 0.25% ไปสู่ระดับ 1.50% เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม อาจจะช่วยเพิ่มการเติบโตของสินเชื่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักน่าจะมาจากปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่า

 

โดยกล่าวว่า “หนึ่งสาเหตุหลักที่กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย มาจากภาวะการเงินตึงตัว ดังนั้น ธปท.จึงคิดว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยกลุ่มลูกหนี้ดอกเบี้ยลอยตัว โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ซึ่งราว 70% เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัว” สุวรรณี กล่าว 

 

KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี

 

ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ตามการรวบรวมข้อมูลสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในไทย (ไม่รวมเครือ) จำนวน 17 แห่ง หดตัว 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นับเป็นหดตัวยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 หรือติดลบนานสุดในรอบกว่า 20 ปี

 

ทั้งนี้ แม้ว่าข้อมูลของ KResearch เป็นคนละฐานกับ ธปท. แต่มีแนวโน้มจะเป็นทิศทางเดียวกัน

 

ดร.กาญจนา อธิบายอีกว่า การหดตัวของสินเชื่อในช่วงนี้มาจากการทยอยชำระคืนหนี้ หลังจากในช่วงโควิด สินเชื่อเติบโตอย่างมาก 

 

“ช่วงนี้ การชำระหนี้คืนค่อนข้างสูง แม้ยังมีการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด ทำให้ยอดการเติบโตของสินเชื่อติดลบ” ดร.กาญจนา ระบุ

 

นอกจากนี้ ยังพบว่า ในไตรมาสล่าสุด สินเชื่อยังติดลบแทบทุกผลิตภัณฑ์ โดยกลุ่มสินเชื่อที่ติดลบหนักที่สุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 คือ เช่าซื้อที่ลดลง 10.9% ซึ่งมีสัดส่วนที่ไม่ได้น้อยอยู่ที่ 6.9% ของสินเชื่อรวม โดยพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อมียอดคงค้างเกือบ 1 ล้านล้านบาท ทำให้ดึงการเติบโตของสินเชื่อทั้งระบบลง รองลงมาคือ กลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ติดลบ 4.6% ซึ่งขนาดพอร์ตของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท

 

KResearch ยังคงประมาณการการเติบโตของสินเชื่อทั้งปีนี้ที่ 0.6% จ่อติดลบต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกัน จากติดลบ 0.4% ในปี 2567 

 

สำหรับแนวโน้มต่อไปในครึ่งหลังของปีนี้ ดร.กาญจนากล่าวว่า น่าจะเป็นภาพคล้ายๆ กับช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก เศรษฐกิจในภาพรวมมีความเสี่ยงเยอะ ทำให้ความต้องการสินเชื่ออาจไม่กลับมา เนื่องจาก ผู้กู้เองก็ต้องระมัดระวังไม่กู้เพิ่ม หากแนวโน้มการทำธุรกิจของตนเองยังไม่กลับมา นอกจากนี้ ในฝั่งสถาบันการเงินเองก็อาจจะพิจารณาดูความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้อยู่เหมือนเดิม โดยภาคธุรกิจบางส่วนอาจขอใช้สินเชื่อในลักษณะเงินทุนหมุนเวียน อาจจะไม่ใช่เพื่อลงทุนระยะยาว

The post แบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ ธปท. จับตาสินเชื่อจ่อหดตัว 5 ไตรมาสติด KResearch ชี้สินเชื่อติดลบยาวนานสุดในรอบกว่า 20 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
AOT ตั้งคณะกรรมการทำ TOR เตรียมพร้อมเปิดประมูลพื้นที่ Duty Free หาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’ https://thestandard.co/aot-prepares-new-duty-free-auction/ Tue, 19 Aug 2025 11:03:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1108998 AOT

บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เดินหน้าแก้ปัญหากรณีที่บริ […]

The post AOT ตั้งคณะกรรมการทำ TOR เตรียมพร้อมเปิดประมูลพื้นที่ Duty Free หาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AOT

บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เดินหน้าแก้ปัญหากรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือกลุ่มคิง เพาเวอร์ ยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญา Duty Free กับ AOT โดย AOT ล่าสุดได้แต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระจาก 2 มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกันยายน และพร้อมที่จะเจรจาเพื่อให้จบดีลภายในปีนี้

 

ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า AOT ได้ว่าจ้างแต่งตั้ง มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นที่ปรึกษาเพื่อศึกษาประเด็นการขอยกเลิกสัญญาของคิง เพาเวอร์ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการเงินกำลังพิจารณาสัญญาอย่างละเอียดว่าสามารถปรับเปลี่ยน แก้ไข หรือต้องยกเลิกสัญญาจริงๆ ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยหลักการจะคำนึงถึงผลกระทบและผลประโยชน์สูงสุดที่ AOT จะได้รับเป็นเงื่อนไขหลัก

 

“คาดว่าการศึกษาการแก้สัญญาจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ จากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมการ AOT เพื่อพิจารณาแนวทางเจรจาภายในปลายเดือนกันยายน หรือต้นเดือนตุลาคม และเรามองว่าการเจรจากับคิง เพาเวอร์ จะต้องจบภายในเดือนตุลาคมนี้” ปวีณากล่าว

 

พร้อมเปิดประมูลหาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’

 

อย่างไรก็ดี หากผลการศึกษาพบว่าควรยกเลิกสัญญา ทาง AOT ก็พร้อมที่จะเดินหน้าตามกระบวนการ โดยไม่ได้คิดว่าต้องทำอย่างไรให้ คิง เพาเวอร์อยู่ได้ แต่จะยึดหลักผลประโยชน์สูงสุดของ AOT เป็นที่ตั้ง และในกรณีที่ต้องมีการยกเลิกสัญญา ขณะนี้ AOT แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำเงื่อนไขประกวดราคา (TOR) เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประมูลใหม่พื้นที่ Duty Free รองรับไว้แล้วเพื่อบริหารความเสี่ยงทุกด้าน หากมีเหตุจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาสัมปทานกับคิง เพาเวอร์ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามารับสัญญาสัมปทาน Duty Free คู่ขนานไปกับการเจรจากับ คิง เพาเวอร์ 

 

AOT

ภาพ: ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT

 

“ตอนนี้ข้อเสนอที่ AOT กำลังดูอยู่ของทีมที่ปรึกษาที่ศึกษาสัญญา Duty Free กับ King Power อาจจบที่การยกเลิกสัญญาสัมปทาน หรืออาจจบแบบมีข้อเสนอที่ดีสำหรับ AOT แล้วเรานำไปเจรจาต่อกับคิง เพาเวอร์ แต่หาก คิง เพาเวอร์ ไม่ยอมรับข้อเสนอของ AOT เราก็อาจกลับไปสู่กระบวนการยกเลิกสัญญาสัมปทาน เราไม่ได้คิดว่าจะทำยังไงให้ คิง เพาเวอร์อยู่ได้ ซึ่งการศึกษานี้เป็นฝั่งของ AOT ในบริบทที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน”

 

ขณะที่ AOT มีระเบียบชัดเจนว่าหากไม่มีข้อพิพาททางคดีความ บริษัทนั้น ๆ ยังสามารถกลับมาเข้าประมูลใหม่ได้ ซึ่งปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ ยังไม่ได้มีข้อพิพาทคดีความเกิดขึ้นกับ AOT

 

ทั้งนี้แม้รายได้จากคิง เพาเวอร์ จะคิดเป็นสัดส่วนถึง 17% ของรายได้ทั้งหมดของ AOT แต่ยืนยันว่า AOT ยังคงบริหารจัดการตามสัญญาปกติ และไม่มีการลดหย่อนให้เป็นพิเศษ ซึ่งในปัจจุบันคิง เพาเวอร์ มีทั้งส่วนที่ชำระและส่วนที่ค้างชำระ โดย AOT พยายามบริหารจัดการให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล และเติบโตอย่างยั่งยืน

 

AOT คาดปีนี้จะมีผู้โดยสารเพิ่มเป็น 127 ล้านคน

 

ปวีณา ยังอธิบายต่อว่า แม้ภาพรวมในปีนี้จำนวนผู้โดยสารจีนจะลดลงกว่า 40% แต่จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานของ AOT ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมียอดผู้โดยสารในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 9% เนื่องจากผู้โดยสารจากชาติอื่น ๆ เข้ามาทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มองหาตลาดใหม่ ๆ

 

“เปรียบเทียบคือ AOT จะไม่รอแฟนเก่าอย่างผู้โดยสารจีนที่มีแนวโน้มลดลงกลับมา แต่จะมองหาแฟนใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นชาวต่างชาติประเทศอื่น ๆ ที่สามารถมาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงได้” ปวีณากล่าว

 

โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งปีนี้งวดบัญชีงบการเงินบริษัทฯ (เดือนตุลาคม 2567-กันยายน 2568) จะอยู่ที่ประมาณ 127 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 119 ล้านคนในปีที่แล้ว หลังจากผ่านมาในช่วง 10 เดือนแรกของงวดบัญชีงบการเงินบริษัทฯ (เดือนตุลาคม 2567-กรกฎาคม 2568) ล่าสุด AOT มียอดผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 107 ล้านคน

 

ปวีณายอมรับว่าผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (เดือนสิงหาคม 2567- มิถุนายน 2568) กำไรของ AOT ลดลงเล็กน้อยประมาณ 50 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าบริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการได้ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ผู้โดยสารจีนลดลงอย่างมาก รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงท่าอากาศยานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์และโครงสร้างต่างๆ มีอายุการใช้งานนานแล้ว

 

“KPI ของผู้บริหารคือ การทำกำไร เพราะฉะนั้นเราต้องหาเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย ซึ่งการบริหารงานจะเน้นความมั่นคง ไม่ใช่ความหวือหวา และในอนาคตจะมีการสร้างรายได้ใหม่ๆ เข้ามาเสริมอย่างแน่นอน”

 

นอกจากนี้ AOT ได้ปรับการคาดการณ์ (Forecast) จำนวนผู้โดยสารให้บ่อยขึ้น จากเดิมทุก 1 ปีครึ่งเป็นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

AOT จับมือ ป. ป. ช. ส่งเสริมค่านิยมต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

 

นอกจากนี้ AOT ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป. ป. ช.) ในการขับเคลื่อนโครงการยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index – CPI) ด้านการประชาสัมพันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านการป้องกันและต่อต้านการทุจริต ผ่านการเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ต่อต้านการรับสินบนและการทุจริตทั้งในรูปแบบของอินโฟกราฟิก และคลิปวิดีโอบนจอแสดงผลภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในความดูแลของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ 

 

ซึ่งการดำเนินการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความโปร่งใสและยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ ผ่านท่าอากาศยานในฐานะ ‘ประตูสู่ประเทศไทย’ เป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารไปยังประชาชน นักท่องเที่ยว และนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ภาพ: TY Lim / Shutterstock

The post AOT ตั้งคณะกรรมการทำ TOR เตรียมพร้อมเปิดประมูลพื้นที่ Duty Free หาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยล้าหลัง หวั่นเวียดนามทิ้งห่าง! ‘ส.อ.ท.’ ชี้เหตุปะทะไทย-กัมพูชา ฉุดเชื่อมั่นอุตฯ ดิ่งต่ำสุดในรอบ 3 ปี https://thestandard.co/thai-industry-confidence-at-3-year-low/ Tue, 19 Aug 2025 10:47:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1108976 ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม

เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สะเทือนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและก […]

The post ไทยล้าหลัง หวั่นเวียดนามทิ้งห่าง! ‘ส.อ.ท.’ ชี้เหตุปะทะไทย-กัมพูชา ฉุดเชื่อมั่นอุตฯ ดิ่งต่ำสุดในรอบ 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม

เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา สะเทือนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดน ฉุดดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯ วูบต่ำสุดรอบ 3 ปี ‘ส.อ.ท.’ ห่วง GDP ไทยโตรั้งท้ายเพื่อนบ้าน หวั่นเวียดนามทิ้งห่าง Reciprocal Tariff กระทบขีดความสามารถการแข่งขัน 

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 86.6 ปรับตัวลดลง จาก 87.7 ในเดือนมิถุนายน2568 ต่ำสุดรอบ 3 ปี

 

ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดน โดยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 10,907.53 ล้านบาท ลดลง 32.29% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2568 (MoM) และลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) 

 

ปัจจุบันแรงงานกัมพูชาที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทยมีมากกว่า 510,000 คน แต่หากรวมแรงงานที่หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตัวเลขจะอยู่ที่ราว 1 ล้านคน 

 

โดยกระจายตัวอยู่ในภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น โรงงานผลิตสินค้า ภาคการเกษตร ได้แก่ แรงงานกรีดยางและเก็บเกี่ยวผลไม้ รวมถึงภาคบริการโดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรม และการท่องเที่ยว จากการได้รับรายงานคาดการณ์แรงงานกัมพูชากลับไป 3 แสนคนอย่างไรก็ตาม ไทยพึ่งพาแรงงานเมียนมาร์เป็นหลัก ซึ่งยังคงมากที่สุดราว 3 ล้านคน 

 

นอกจากนี้ สถานการณ์อุทกภัยและน้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น จังหวัดน่านและเชียงราย ยังสร้างความเสียหายต่อชุมชน บ้านเรือน และโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกัน ความกังวลต่อการจัดเก็บภาษี Reciprocal Tariff ในอัตรา 36% (ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568) ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย 

 

หวั่นไทยโตช้า เวียดนามทิ้งห่าง

 

เกรียงไกรระบุอีกว่า สิ่งที่น่าห่วงของเศรษฐกิจไทย สะท้อนได้จาก GDP ไทยที่โตรั้งท้ายเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม ที่เริ่มเห็นการปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐ ระบบราชการ เพื่อลดขั้นตอนการทำงาน ลดเงื่อนไขดึงดูดการลงทุน และล่าสุดได้ประกาศงบประมาณลงทุน 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดัน GDP 

 

ยิ่งสะท้อนว่า รัฐบาลมุ่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ควบคู่กันไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

 

“ถ้าเกิดเราช้าไปกว่านี้ เพื่อนบ้านก็ขยับตัว ทิ้งห่างเรา ขีดความสามารถการแข่งขันลดลง รวมถึงมาเลเซียและสิงคโปร์ ก็ร่วมกันพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮ เพื่อดึงดูดการลงทุน และสร้างแต้มต่อเพื่อลดผลกระทบภาษีสหรัฐฯ”

 

ห่วงงบประมาณล่าช้า

 

นอกจากนี้ เอกชนกังวลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่อาจเกิดความล่าช้า ตลอดจนการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในหมวดสินค้าคงทน เช่น เครื่องปรับอากาศและเครื่องจักรกล ส่งผลให้ภาคการบริโภคภายในประเทศเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม ยังคงมีปัจจัยบวกจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” จำนวน 500,000 สิทธิ์ ภายใต้งบประมาณ 1,750 ล้านบาท (เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568) ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง 

 

ขณะเดียวกัน การลงทุนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) 

 

ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุน ยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ และเพิ่มการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม อีกทั้ง ราคาน้ำมันที่ทรงตัว ยังมีส่วนช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ

 

นอกจากนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,356 ราย 47 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่าปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 70.1% เศรษฐกิจโลก 66.7% นโยบายภาครัฐ 57.2% 

 

ส่วนดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 89.2 ลดลงจาก 90.8 ในเดือนมิถุนายน 2568 เนื่องจากผลการเจรจาภาษี Reciprocal Tariff กับสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน หากอัตราภาษีไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อีกทั้งข้อพิพาทระหว่างไทย และกัมพูชาที่ยืดเยื้อยังคงส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดน

 

แนะ 3 ข้อเสนอภาครัฐ 

 

  1. เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้โดยเร็ว พร้อมทั้งจัดทำโครงการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา เพื่อบรรเทาผลกระทบและลดความเสี่ยงต่อการประกอบธุรกิจในระยะยาว

 

  1. เสนอให้ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือเงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินและสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

 

  1. เสนอให้ภาครัฐเร่งลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบ เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ 

The post ไทยล้าหลัง หวั่นเวียดนามทิ้งห่าง! ‘ส.อ.ท.’ ชี้เหตุปะทะไทย-กัมพูชา ฉุดเชื่อมั่นอุตฯ ดิ่งต่ำสุดในรอบ 3 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. อนุมัติเพิ่มลดหย่อนภาษีสำหรับซื้อ-ขาย ‘งานศิลปะ’ คาดดันตลาดโตอีกกว่า 100 ล้านบาทต่อปี https://thestandard.co/govt-tax-measures-art/ Tue, 19 Aug 2025 10:46:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1108981 govt-tax-measures-art

ครม. อนุมัติ ลดหย่อนงานศิลปะทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขาย ลดหย่อนผ […]

The post ครม. อนุมัติเพิ่มลดหย่อนภาษีสำหรับซื้อ-ขาย ‘งานศิลปะ’ คาดดันตลาดโตอีกกว่า 100 ล้านบาทต่อปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
govt-tax-measures-art

ครม. อนุมัติ ลดหย่อนงานศิลปะทั้งผู้ซื้อ-ผู้ขาย ลดหย่อนผู้ซื้อไม่เกิน 100,000 บาท เอื้อศิลปินหักค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็น 60% หนุนส่งเสริม Soft Power ไทยไปสู่โลก คาดช่วยตลาดโตอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปี

 

วันนี้ (19 สิงหาคม) คณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) มีมติ อนุมัติหลักการร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ ตามที่กรมสรรพากรจากกระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอ

  

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริม Soft Power ของประเทศ กระทรวงการคลังได้สนองนโยบายดังกล่าวด้วยการนำเสนอมาตรการภาษี 2 มาตรการดังนี้

  

มาตรการแรก มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะ ให้ผู้มีเงินได้หักลดหย่อนค่าซื้องานศิลปะด้านทัศนศิลป์ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทในแต่ละปีภาษี สำหรับการซื้องานศิลปะด้านทัศนศิลป์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 

 

โดยต้องซื้อจากศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ศิลปินศิลปาธร สาขาทัศนศิลป์ หรือศิลปินที่ได้ขึ้นทะเบียนศิลปินกับสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย หรือซื้อจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่จำหน่ายงานศิลปะหรือจัดประมูลงานศิลปะ เฉพาะงานศิลปะที่จัดทำหรือสร้างสรรค์โดยศิลปินข้างต้น 

 

ทั้งนี้ ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปหรือใบรับ พร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดงานศิลปะ

  

มาตรการที่สอง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ ให้ศิลปินผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากรที่เป็นเงินได้จากวิชาชีพอิสระประณีตศิลปกรรม หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้เพิ่มขึ้น จาก 30% เป็น 60% ตั้งแต่ปีภาษี 2568 เป็นต้นไปเป็นการถาวร โดยไม่กำหนดประเภทศิลปิน

 

ทั้งนี้ จุลพันธ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้องานศิลปะจะช่วยให้การซื้อขายงานศิลปะในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยกว่าปีละ 100 ล้านบาท ส่งเสริมให้ศิลปินผลิตงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น และผลักดันให้มีการจัดแสดงงานศิลปะระดับประเทศและระดับนานาชาติในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นตามไปด้วย 

 

ขณะที่มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปะจะช่วยบรรเทาภาระภาษีและสร้างแรงจูงใจให้ศิลปินผลิตงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยรวมแล้วการออกมาตรการภาษีทั้ง 2 มาตรการนี้จะทำให้ประเทศไทยมี Soft Power ด้านศิลปะในระดับโลก

The post ครม. อนุมัติเพิ่มลดหย่อนภาษีสำหรับซื้อ-ขาย ‘งานศิลปะ’ คาดดันตลาดโตอีกกว่า 100 ล้านบาทต่อปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก NaCGA สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ หลังครม.ไฟเขียว หวังช่วยรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อ ผ่านกลไก Risk-Based Pricing ลดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเดิม https://thestandard.co/nacga-credit-guarantee-thailand/ Tue, 19 Aug 2025 09:28:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1108924 NaCGA

ครม. เห็นชอบ ตั้ง NaCGA สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ ค […]

The post รู้จัก NaCGA สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ หลังครม.ไฟเขียว หวังช่วยรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อ ผ่านกลไก Risk-Based Pricing ลดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>
NaCGA

ครม. เห็นชอบ ตั้ง NaCGA สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระดับเครดิตรายบุคคล (Risk-Based Pricing) ชี้ต่ำกว่าการค้ำประกันแบบ PGS ตามเดิมอย่างมีนัยสำคัญ เผ่าภูมิเชื่อกฎหมายผ่านทันรัฐบาลชุดนี้

 

วันนี้ (19 สิงหาคม) เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. … เพื่อก่อตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ให้เป็นกลไกสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs

 

ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ประกอบด้วย 8 หมวด 132 มาตรา โดยจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป

 

เพิ่มกลไก NaCGA คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันแยกตามความเสี่ยง

 

แต่เดิม ภาครัฐอาศัยโครงการค้ำประกันสินเชื่อ (Portfolio Guarantee Scheme – PGS) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นกลไกหลัก และเป็นกลไกเดียวในการค้ำประกันเครดิต

 

สำหรับการก่อตั้ง NaCGA ครั้งนี้ เผ่าภูมิ เผยว่า มีขึ้นเพื่อเพิ่มกลไกในการค้ำประกันเครดิต เพิ่มเติมจาก PGS

 

โดย NaCGA จะมีสถานะนิติบุคคลในฐานะหน่วยงานของรัฐ ทำหน้าที่ในการประเมินความเสี่ยงและค้ำประกันเครดิต ให้ ‘ประชาชน’ ที่ต้องการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และ Non-Bank

 

ซึ่งกลไกของ NaCGA จะมีการคิดค่าธรรมเนียมรายบุคคล และค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) ทำให้ลูกหนี้ส่วนใหญ่จ่ายค่าธรรมเนียมตามระดับเครดิตของตนเอง ต่างจากระบบ PGS ที่มีการคิดค่าธรรมเนียมจากลูกหนี้เท่ากันทุกราย

 

สำหรับค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของ NaCGA เผ่าภูมิระบุว่า จะต่ำกว่าค่าธรรมเนียมมาตรฐานของ PGS ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 1.75% ต่อปี อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะแตกต่างกันไปตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคลอีกที

 

ทั้งนี้ เผ่าภูมิเตือนว่า NaCGA ไม่ได้มีการค้ำประกันเต็มวงเงินให้กับทุกคน และไม่การันตีว่าธนาคารจะเลือกปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ถือ “ใบค้ำประกันเครดิต” ของ NaCGA ทุกคน

 

ควบรวม บสย. คาดไม่เกิน 5 ปี

 

ทั้งนี้ บสย. จะเป็นแกนกลางในการก่อตั้งและควบรวมองค์กร NaCGA โดยบุคลากรทั้งหมดของ บสย. จะถูกย้ายมาอยู่กับ NaCGA ซึ่งกฎหมายกำหนดว่า กระบวนการควบรวมจะต้องแล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่เผ่าภูมิชี้ว่า สามารถขยายเวลาได้ โดยคาดว่าการเปลี่ยนผ่านในช่วงแรกจะใช้เวลาไม่เกิน 5 ปี

 

พร้อมกันนั้น ระบบ PGS จะยังคงดำเนินคู่ขนานกันไป แต่จะค่อยๆ ลดขนาดลงมา เพื่อให้การค้ำประกันมีลักษณะ Individual Based มากขึ้น

 

ทุนประเดิม 10,000 ล้านบาท

 

ส่วนแหล่งทุนของ NaCGA ประกอบด้วย (1) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (2) ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากผู้ประกอบการ (3) เงินสมทบจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ คิดเป็นสัดส่วนตามเงื่อนไข ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐเพียงอย่างเดียว

 

โดยทุนประเดิมราว 10,000 ล้านบาท เผ่าภูมิระบุว่า คลังมีทางเลือกในการดึงเงินจากกองทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialised Financial Institutions: SFIs) หรือเลือกดึงจากเงินกองกลางของ บสย. ได้

 

กลไกการทำงานของ NaCGA มีดังนี้

 

  1. ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อติดต่อ NaCGA เพื่อให้พิจารณาค้ำประกันเครดิตให้กับตนเอง ก่อนไปยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน
  2. NaCGA จะเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล การค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) โดยใช้ฐานข้อมูลและแบบจำลองความเสี่ยงด้านเครดิตที่ NaCGA จัดทำขึ้นจากข้อมูลทางการเงินและข้อมูลทางเลือก
  3. NaCGA จะออก “ใบค้ำประกันเครดิต” ให้กับผู้ขอสินเชื่อ โดยผู้ขอสินเชื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยตามความเสี่ยง เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และสถาบันการเงินที่ร่วมจ่าย
  4. ผู้ขอสินเชื่อนำใบค้ำประกันเครดิตที่ได้ไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อมี NaCGA เป็นผู้รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตแทนบางส่วนหรือทั้งหมดแล้ว
  5. สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อมี NaCGA เป็นผู้รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตแทนบางส่วนหรือทั้งหมดแล้ว
  6. หากผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ NaCGA จะเป็นผู้รับความเสี่ยงกับสถาบันการเงินตามเงื่อนไข

 

เผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ฐานข้อมูลของ NaCGA จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญของประเทศ โดยร่างกฎหมายได้กำหนดให้ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐและเอกชน นำส่งข้อมูลต่างๆ เพื่อจัดทำแบบจำลองเครดิตให้ NaCGA เพื่อให้เกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รวบรวมข้อมูลของภาคธุรกิจในประเทศอีกด้วย

 

เชื่อกฎหมายผ่านทันรัฐบาลชุดนี้

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฤษฎีกาจะต้องใช้เวลาประมาณ 30-45 วันเพื่อพิจารณาร่าง พ. ร. บ. ดังกล่าว แล้วจึงส่งกลับมายังที่ประชุม ครม. อีกครั้ง และเข้าสภาเพื่อบรรจุวาระต่อไป จึงยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ร่าง พ. ร. บ. ฉบับนี้จะผ่านทันสภาสมัยนี้หรือไม่ แต่ทางเผ่าภูมิมั่นใจว่าจะผ่านทันสมัยของรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน

 

สุดท้ายนี้ เผ่าภูมิยอมรับว่ายังมีข้อกังวลด้านจริยวิบัติ (Moral Hazard) อยู่บ้าง ว่าผู้กู้อาจไม่ใส่ใจรับผิดชอบภาระหนี้ของตัวเองเท่าเดิม หลังมีผู้ค้ำประกันให้ ซึ่งเผ่าภูมิชี้แจงว่า ทุกคนจำเป็นต้องรับผิดชอบและดูแลความน่าเชื่อถือของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง

The post รู้จัก NaCGA สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ หลังครม.ไฟเขียว หวังช่วยรายย่อยเข้าถึงสินเชื่อ ผ่านกลไก Risk-Based Pricing ลดค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเดิม appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติสั่งลดวงเงินโอน-ชำระไม่เกิน 50,000 ต่อวัน สำหรับกลุ่มเสี่ยงมิจฉาชีพ และกลุ่มเปราะบาง ภายในสิ้นปีนี้ https://thestandard.co/bot-sets-new-50k-transfer-limit/ Tue, 19 Aug 2025 08:43:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1108880 จำกัดวงเงินโอน

เช็กเลยใครได้รับผลกระทบ! แบงก์ชาติเตรียม ‘ปรับลด’ วงเงิ […]

The post แบงก์ชาติสั่งลดวงเงินโอน-ชำระไม่เกิน 50,000 ต่อวัน สำหรับกลุ่มเสี่ยงมิจฉาชีพ และกลุ่มเปราะบาง ภายในสิ้นปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จำกัดวงเงินโอน

เช็กเลยใครได้รับผลกระทบ! แบงก์ชาติเตรียม ‘ปรับลด’ วงเงินโอน-ชำระเงินต่อวันเหลือ 50,000 บาทต่อวัน สำหรับพร้อมเพย์และ Mobile Banking กลุ่มเสี่ยงเป็นมิจฉาชีพ และกลุ่มเปราะบาง เด็กต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี ใช้เฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น ยังไม่รวมนิติบุคคล

 

วันนี้ (19 สิงหาคม) ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. เตรียมกำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการทำธุรกรรมของลูกค้า (Customer Profiling) ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ Mobile Banking หรือ Internet Banking ส่วนกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน จะบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2568

 

โดยเตรียมจัดกลุ่มลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเสี่ยง กลุ่มทั่วไป และกลุ่มเปราะบาง รวมทั้ง แบ่งการกำหนดวงเงินเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ S (ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน) M (ไม่เกิน 200,000 บาทต่อวัน) และ L (มากกว่า 200,000 บาทต่อวัน) ดังนี้

 

  • กลุ่มเสี่ยง: ที่ต้องสงสัยจะเป็นมิจฉาชีพหรือบัญชีม้า โดยกลุ่มนี้จะถูกกำหนดขนาดวงเงินต่อวัน เป็นขนาด S (ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน) จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน
  • กลุ่มทั่วไป: ธนาคารต่างๆ จะมีการกำหนดวงเงินต่อวัน ตามขนาด S M L โดยพิจารณาจากข้อมูลลูกค้า กระแสเงินเข้าและออก (Flow) ประวัติการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ และสินทรัพย์
  • กลุ่มเปราะบาง: ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี จะมีการกำหนดวงเงินต่อวัน ตามขนาด S M L เช่นเดียวกับกลุ่มทั่วไป แต่ในกรณีกลุ่มเปราะบางที่ต้องการเพิ่มวงเงินสูงกว่าที่แบงก์กำหนดให้ธนาคารจะมีมาตรการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อป้องกันภัยทางการเงิน

 

Screenshot

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลในระบบ Thai Police พบว่า เด็กและผู้สูงอายุมักเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ โดยผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป พบว่า ถูกหลอกลวงถึง 41,577 เคส มูลค่าความเสียหายเฉลี่ย 416,453 บาทต่อคน ตามข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 มีนาคม – 30 มิถุนายน ไม่รวมเคสถูกหลอกซื้อสินค้าและบริการ

 

ปัจจุบัน การโอนเงินผ่าน Mobile Banking กำหนดไว้ที่ 50,000 บาทต่อครั้ง ไม่เกิน 200,000 บาทต่อวัน ส่วนการโอนผ่านพร้อมเพย์ กำหนดไว้ที่ 2 ล้านบาทต่อวัน 

 

 

Screenshot

 

เริ่มใช้มาตรการเมื่อไหร่?

 

สำหรับการบังคับใช้ ‘มาตรการกำหนดวงเงินให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน’ นี้ จะเริ่มเลยภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้บริการ Mobile Banking หรือ Internet Banking ส่วนกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน จะบังคับใช้ภายในสิ้นปี 2568

 

โดยผู้ที่ได้รับกำหนดวงเงินใหม่จะได้รับการแจ้งเตือนจากธนาคารผ่านช่องทางธรรมดา ที่ธนาคารแจ้งลูกค้าเป็นหลักอยู่แล้ว เช่น SME

 

 

 

ทั้งนี้ มาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจาก ธปท. พบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2568 จำนวนเคสแอปดูดเงินลดลงเป็น 0 เคส แต่ยังมีเหยื่อจำนวนมากถูกหลอกให้โอนเงินเองอยู่ โดยมูลค่าความเสียหายกรณีหลอกให้โอนเงินเองยังอยู่ที่ 5,651 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 จากระดับ 8,590 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

 

Screenshot

 

The post แบงก์ชาติสั่งลดวงเงินโอน-ชำระไม่เกิน 50,000 ต่อวัน สำหรับกลุ่มเสี่ยงมิจฉาชีพ และกลุ่มเปราะบาง ภายในสิ้นปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดิสนีย์ แต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก https://thestandard.co/disney-tony-zameczkowski-asia-pacific/ Tue, 19 Aug 2025 06:52:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1108834 โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก

บริษัท Walt Disney ประกาศแต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี ขึ้ […]

The post ดิสนีย์ แต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก

บริษัท Walt Disney ประกาศแต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี ขึ้นดำรงตำแหน่ง รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ฝ่าย Direct-to-Consumer (DTC) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยโทนีจะรายงานตรงต่อ ลุค คัง ประธานดิสนีย์ เอเชียแปซิฟิก และ โจ เออร์ลีย์ ประธานฝ่าย Direct-to-Consumer, Disney Entertainment

 

หากย้อนดูประวัติการทำงาน โทนี มีประสบการณ์ในวงการสื่อและบันเทิงมากกว่า 25 ปี เขาเคยมีบทบาทสำคัญในการขยายธุรกิจ Netflix ในเอเชียแปซิฟิก ในฐานะรองประธานและหัวหน้าฝ่ายพาร์ตเนอร์ชิป นอกจากนี้ยังเป็นผู้ก่อตั้งธุรกิจ YouTube Music ในเอเชียแปซิฟิกและเคยดูแลการพัฒนาความร่วมมือด้านกีฬาและบันเทิงในภูมิภาค ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) เรียกได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์เชิงลึกในวงการสื่อระดับโลก

 

ในบทบาทใหม่ที่ดิสนีย์ โทนีจะรับผิดชอบการขับเคลื่อนธุรกิจสตรีมมิง Disney+ ในเอเชียแปซิฟิก มุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่ง เพื่อผลักดันคอนเทนต์ให้เติบโตและสร้างฐานผู้ชมที่มั่นคง

 

ลุค คัง ประธาน ดิสนีย์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า เรายินดีที่โทนีเข้ามานำทัพธุรกิจ Direct-to-Consumer ในเอเชียแปซิฟิก ด้วยประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของเขา เรามั่นใจว่า Disney+ จะสามารถเติบโตและขึ้นเป็นแพลตฟอร์มผู้นำในภูมิภาคนี้ได้ ด้าน โทนี ซาเมคซคาวสกี กล่าวเสริมว่า รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับดิสนีย์ เพื่อผลักดันการเติบโตของ Disney+ ในเอเชียแปซิฟิก ตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาส และดิสนีย์ถือเป็นบริษัทชั้นนำที่มีทั้งความสร้างสรรค์และมีคอนเทนต์ที่หลากหลาย

 

สำหรับปี 2025 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของดิสนีย์ในภูมิภาคนี้ หลังเปิดตัว ESPN บน Disney+ ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยผลงานจากเกาหลี ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย อาทิ Gannibal ซีซัน 2 ทำสถิติผู้ชมสูงสุดในญี่ปุ่น และ Nine Puzzles ซีรีส์เกาหลีที่มียอดชมสูงสุดทั่วโลก

 

นอกจากนี้ ช่วงปลายปี ดิสนีย์เตรียมเปิดตัวคอนเทนต์ใหม่จากเอเชียแปซิฟิกอีกหลายเรื่อง เช่น Tempest, The Murky Stream, The Manipulated, Made in Korea, Cat’s Eye, Wandance และ Disney Twisted Wonderland: The Animation รวมถึงคอนเทนต์ระดับโลกอย่าง FX’s Alien: Earth, Eyes of Wakanda, Only Murders in the Building ซีซัน 5, All’s Fair และ Wonder Man จาก Marvel Television

 

ภาพ: kavi designs / Shutterstock 

อ้างอิง:

The post ดิสนีย์ แต่งตั้ง โทนี ซาเมคซคาวสกี นำทัพธุรกิจ Disney+ เอเชียแปซิฟิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ https://thestandard.co/touristdigipay-crypto-to-baht/ Tue, 19 Aug 2025 01:19:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1108664

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDig […]

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ถือเป็นฟีเจอร์ที่มีที่เดียวในโลกเปิดทางนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้คริปโตฯ แลกบาท จ่ายซื้อสินค้า หนุนภาคท่องเที่ยว

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’ เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้า และบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้ปลอดภัย

 

โดยกระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 

สำหรับโครงการนี้ว่า เป็นการนำระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันมาเชื่อมโยงกัน โดยให้ Exchange ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยเป็นผู้แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี เป็นเงินบาท แล้วโอนเข้าบัญชี E-Money ของนักท่องเที่ยวที่เปิดใหม่ โดยจะมีการทำ KYC (Know Your Customer) อย่างเข้มงวด เพื่อตรวจสอบตัวตนและยืนยันว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจริง

 

“เรากำลังสร้างฟีเจอร์ที่จะเป็นรูปแบบเดียวของโลกที่มีไม่เหมือนใคร คือเราไม่ได้ใช้คริปโทฯ เป็นเงินโดยตรง แต่แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อน ซึ่งต่างจากบางประเทศที่ใช้คริปโทฯ เป็นสกุลเงินหลัก นอกจากนี้เรายังไม่ได้ผูกคริปโทฯ เข้ากับบัตรเครดิต เพราะร้านค้าในไทยจำนวนมากไม่ได้รองรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต” พิชัยกล่าว

 

ภาพ: บรรยากาศงานแถลงข่าว การเปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’

 

ยืนยัน ‘TouristDigiPay ไม่ใช่ ‘Means of Payment’

 

พิชัย ได้ย้ำต่อว่าโครงการ ‘TouristDigiPay’ นี้ ไม่ใช่การใช้คริปโทเคอร์เรนซีเป็น Means of Payment หรือสื่อกลางในการชำระเงินโดยตรง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นเงินบาทไทยก่อนการใช้จ่ายจริง

 

โดยการออกแบบนี้มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการและร้านค้ารายย่อยในประเทศอาจเผชิญ หากต้องรับคริปโทฯ โดยตรง ซึ่งมีความผันผวนสูงและจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่ซับซ้อน

 

นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ยังไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงินเข้าถึงร้านค้ารายย่อย

 

พิชัยกล่าวต่อว่า การแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อนใช้จ่าย จะช่วยให้ร้านค้ารายย่อยทั่วไปสามารถรับการชำระเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบใด ๆ เนื่องจากเมื่อนักท่องเที่ยวชำระเงินเข้ามา ร้านค้าก็จะได้รับเป็นเงินบาทปกติ และไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล

 

หวังดันนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเพิ่มอีก 1.75 แสนล้านบาท

 

จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยปีละประมาณ 35 ล้านคน และมีการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 50,000 บาทต่อทริป หากโครงการนี้สามารถจูงใจให้นักท่องเที่ยวเพิ่มการใช้จ่ายได้ 10% จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.75 แสนล้านบาท

 

“เราไม่ได้คาดหวังให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโทฯ 100% แต่หวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมคนละ 50,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 55,000 บาท เนื่องจากความสะดวกในการใช้จ่าย” พิชัยกล่าว

 

มาตรการป้องกันการฟอกเงินและการใช้งาน

 

โครงการ TouristDigiPay ยังอยู่ในระยะของโครงการนำร่อง ‘Sandbox’ โดยมีการกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ที่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน และวงเงินสูงสุดในการใช้จ่ายต่อรายการไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการฟอกเงิน โดยระบบทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และธปท.

 

เฟสต่อไปจ่อเพิ่มวงเงินเปิดทางใช้ซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูงได้

 

ด้านลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากเดิมที่จำกัดพื้นที่ มาเป็นการจำกัดวงเงินแทน โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายเงินดิจิทัลได้ทั่วประเทศ แต่มีเพดานวงเงินแบบ

 

ลวรณ กล่าวต่อว่า ในอนาคตหากการใช้เงินดิจิทัลเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการซื้อขายสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือเรือยอชต์ผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งหลายประเทศก็เริ่มมีการดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว

 

ก.ล.ต. คาด TouristDigiPay เริ่มเปิดใช้ในไตรมาส 4 นี้

 

ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า คาดว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 4/2568 โดยคาดว่าจะมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม 1-2 รายแรกที่สามารถเริ่มให้บริการได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสนใจแล้วกว่า 35 ราย

 

โปรเจกต์ Sandbox นี้มีระยะเวลา 18 เดือน หากการทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ก็เชื่อมั่นว่านวัตกรรมนี้จะสามารถขยายผลในวงกว้างได้ในอนาคต

 

สำหรับโครงสร้างของ TouristDigiPay ใช้ Ecosystem เดิม ที่มีอยู่แล้ว โดยฝั่งหนึ่งคือระบบของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เช่น ศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือระบบการชำระเงินของภาคธุรกิจทั่วไป ซึ่งรวมถึง Tourist Wallet ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ผู้ให้บริการในโครงการนี้จึงเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจากทั้ง ก.ล.ต. และ ธปท. รวมถึงอยู่ภายใต้การดูแลเรื่องกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ดังนี้

 

  • ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้ารายย่อย
  • ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ know your merchant (kym)

 

นอกจากนี้ โครงการนี้ไม่มีการจำกัดพื้นที่ สามารถเข้าถึงได้ทุกร้านค้าในประเทศไทย และคาดหวังว่าจะเริ่มใช้ได้ทันช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 นี้

 

 

ดร. พรอนงค์ ย้ำว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ การใช้คริปโตฯ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการโดยตรง (Means of payment) แต่เป็นการ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ จากคริปโตฯ เป็นเงินบาท แล้วนำเงินบาทที่ได้ไปใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินปกติ เช่น QR Code การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะส่งผลกระทบต่อร้านค้า

 

สำหรับสกุลเงินคริปโตฯ ที่สามารถใช้ได้นั้น ไม่มีการจำกัด โดยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละรายว่าจะลิสต์เหรียญใดไว้บ้าง และเมื่อนักท่องเที่ยวแลกเงินบาทไปแล้ว แต่ใช้ไม่หมด ก็สามารถนำเงินบาทที่เหลือมาแลกกลับเป็นคริปโตฯ สกุลเดิม หรือสกุลอื่นเพื่อโอนกลับไปยัง Wallet ของตนเองได้เช่นกัน

 

 

ปปง. ยืนยันมีความพร้อมในการตรวจสอบการฟอกเงิน

 

เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ถึงมาตรการความพร้อมในการรับมือกับโครงการ TouristDigiPay โดยยืนยันว่า ปปง.มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบและสกัดกั้นการฟอกเงินตั้งแต่ต้นทาง

 

โดย ปปง.ทำงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกระบวนการที่เงินจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล ซึ่งมีมาตรการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง ทั้งในส่วนของ การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) และ การตรวจสอบสถานะลูกค้า (CDD) “เรามั่นใจในกระบวนการทำงานของเรา เพราะเราเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง โดยมีการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น” เลขาธิการ ปปง.กล่าว

 

เมื่อถูกถามถึงกรณีที่อาจมีเงินผิดกฎหมายหลุดรอดไปถึงปลายทาง เลขาธิการ ปปง.กล่าวว่า “หากมีการเปลี่ยนเงินดิจิทัลกลับมาเป็นเงินสด เราก็จะมีการตรวจสอบอีกครั้ง”

 

นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า ปปง. มีความพร้อมอย่างเต็มที่แม้จะมีการขยายเวลาโครงการหรือเพิ่มวงเงินในอนาคต

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จักกลไก Negative Income Tax ระบบสวัสดิการใหม่ ที่ทุกคนต้องยื่นภาษี? วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ใครควรได้รับเงินโอนบ้าง? https://thestandard.co/negative-income-tax-welfare-system-thailand/ Mon, 18 Aug 2025 13:44:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1108612 Negative Income Tax

Negative Income Tax (NIT) เริ่มกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง […]

The post รู้จักกลไก Negative Income Tax ระบบสวัสดิการใหม่ ที่ทุกคนต้องยื่นภาษี? วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ใครควรได้รับเงินโอนบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Negative Income Tax

Negative Income Tax (NIT) เริ่มกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังจาก ‘ลวรณ แสงสนิท’ ปลัดกระทรวงการคลัง ประกาศว่า กระทรวงการคลังจะนำนโยบายนี้มาใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2570

 

“แนวคิดของ Negative Income Tax คือ หากรายได้ถึงเกณฑ์ต้องมาเสียภาษี แต่หากมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็มารับสวัสดิการ ดังนั้นทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ผู้มีรายได้น้อยก็ต้องยื่นเพื่อยืนยันว่ามีรายได้น้อยจริงๆ เราตั้งเป้าว่าปี 2570 จะเริ่มใช้ได้จริง ตอนนี้ก็กำลังเดินหน้าพัฒนาระบบต่างๆ อยู่” ลวรณ ระบุ

 

Negative Income Tax คืออะไร

 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ ‘สภาพัฒน์’ อธิบายว่า “Negative Income Tax เป็นกลไกให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และเป็นการรวมระบบการให้ความช่วยเหลือไว้ในระบบเดียว ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้รูปแบบหนึ่ง”

 

Negative Income Tax มาจากไหน

 

นโยบาย Negative Income Tax ไม่ใช่เรื่องใหม่ในไทย เนื่องจากมีศึกษาและนำเสนอ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ตั้งแต่ปี 2557 แล้ว และ Negative Income Tax ยังถูกระบุไว้ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564 และ 2565) ในหน้า 85 ไว้แล้วด้วย

 

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ระบุว่า “ผู้มีงานทำในระบบที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีมีการยื่นแบบเพื่อชำระภาษีที่ถูกต้องและครบถ้วน โดยควรเร่งรัดการใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐเพื่อการเข้าถึงข้อมูลของผู้เสียภาษีทั้งบุคคลและผู้ประกอบการที่ได้มีการลงทะเบียนในฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ และเร่งรัดระบบการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในลักษณะที่เป็นการให้ความช่วยเหลือทางตรง (Negative Income Tax) ซึ่งเป็นการคัดกรองเป้าหมายผู้ได้รับการช่วยเหลือโดยใช้ระดับรายได้เป็นตัวกำหนด”

 

นอกจากนี้ ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน Dinner Talk: Vision for Thailand 2024 ของเครือเนชั่นว่า กระทรวงการคลังต้องการปรับระบบภาษีให้เป็นธรรมมากขึ้น จึงพยายามผลักดัน Negative Income Tax โดยอยากเห็นคนไทยทุกคน ‘ยื่นแบบ’ เพื่อให้ภาษีกลับคืนไปยังคนรายได้ต่ำ

 

โดยในคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อ 12 กันยายน 2567 ก็ระบุว่า “รัฐบาลจะเปลี่ยนโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ ดึงแรงงานนอกระบบที่มีอยู่มากกว่า 50% เข้าสู่ระบบ ศึกษาความเป็นไปได้ของการปฏิรูประบบภาษีไปสู่แบบ Negative Income Tax ซึ่งผู้มีรายได้น้อยจะได้รับ ‘เงินภาษีคืนเป็นขั้นบันได’ ตามเกณฑ์ที่กำหนด”

 

นอกจากนี้ เมื่อวัน 15 สิงหาคมที่ผ่านมา แพรทองธาร ยังโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เพื่อย้ำถึงความตั้งใจว่า “ยื่นภาษี ลดเหลื่อมล้ำรัฐบาลผุดนโยบาย Negative Income Tax ปฏิรูประบบภาษีบุคคล ช่วยคนจนจัดสรรสวัสดิการ”

 

Negative Income Tax แปลเป็นไทยว่าอะไรได้บ้าง

 

Negative Income Tax อาจฟังดูเป็น ‘เรื่องยาก’ และ ‘ไกลตัวประชาชน’ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Negative Income Tax ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยไว้หลายครั้ง ตัวอย่างเช่น

  • ‘ภาษีเงินได้แบบติดลบ’ โดยสภาพัฒน์
  • ‘เงินโอน แก้จน คนขยัน’ โดยดร. ปัณณ์ อนันอภิบุตร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่เคยตั้งชื่อนี้ไว้ในบทความเสนอในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เมื่อปี 2557 ร่วมกับผู้เขียนอื่น ๆ
  • ‘เงินโอน คนสร้างตัว’ โดยพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า นโยบายนี้จะทำให้ผู้มีรายได้น้อยเกินกว่าจะดำรงชีพ จะได้รับเงินภาษีแทนการจ่ายเงินภาษี ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนทำงานเข้ามาในระบบและมีโอกาสพัฒนาสร้างตัวเองไปด้วย

 

รู้จักกลไก: ทำไมจึงเปรียบ Negative Income Tax เป็น ‘เงินโอน’

 

มาตรการ NIT ถือเป็นการจัดสวัสดิการที่จัดสรรผ่านระบบภาษีอากร ภายใต้เงื่อนไขว่า ผู้ที่อยู่ในมาตรการ NIT จะต้องทำงาน โดยต้องมีรายได้เนื่องจากการทำงานและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับผู้เสียภาษีในระบบ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นผู้มีรายได้น้อยที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือตามสมควรจริงๆ

 

โดยปกติแล้ว อัตราการได้รับเงินโอนจากรัฐบาลจะแบ่งได้เป็น 3 ช่วงรายได้ ได้แก่

 

  1. ช่วงจูงใจได้เงินโอนเพิ่มขึ้น (Phase-in) ผู้มีเงินได้ในช่วงนี้จะได้รับเงินสมทบจากภาครัฐเพิ่มขึ้น เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ทำงานและสร้างรายได้ให้ตนเองมากขึ้น
  2. ช่วงได้เงินโอนคงที่ (Plateau) เป็นช่วงที่จะได้รับเงินโอนคงที่
  3. ช่วงเงินโอนลดลง (Phase-out) เป็นช่วงที่ผู้มีเงินได้เริ่มมีรายได้เพียงพอในระดับหนึ่ง ภาครัฐจึงช่วยเหลือในอัตราที่ลดลง จนกระทั่งผู้มีเงินได้มีรายได้ถึงเกณฑ์ภาครัฐก็จะหยุดการให้เงินโอนช่วยเหลือ

 

 

Negative Income Tax

 

เปิดข้อเสนอ NIT สำหรับไทย: ใครควรเป็นกลุ่มเป้าหมาย

 

ดร. ปัณณ์ อนันอภิบุตร ผู้อำนวยการกองนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยกล่าวว่า จากข้อแนะนำที่เคยเสนอไปมองว่า ควรจำกัดกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับสวัสดิการนี้มุ่งไปที่ผู้อยู่ใต้เส้นความยากจน ซึ่งจะมีรายได้อยู่ที่ราว 30,000 – 40,000 บาทต่อปี และไปสิ้นสุดที่ผู้ที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ซึ่งอยู่ที่ราว 80,000 บาทต่อปี

 

ทั้งนี้ เส้นความยากจน (Poverty Line) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับความยากจนของคนในประเทศไทยของสภาพัฒน์ พิจารณาจากรายได้ต่อเดือนของบุคคล หากรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จะถือว่าเป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ อยู่ที่ 3,043 บาท/คน/เดือน (ในปี 2566) หรือมีรายได้ทั้งปีต่ำกว่าหรือเท่ากับ 36,516 บาท/คน/ปี

 

โดยในช่วง Phase-in อัตราเงินโอนอยู่ที่ 20% ของรายได้ โดยเพิ่มเรื่อยๆ ตั้งแต่รายได้ 0 บาทต่อปี จนกระทั่งถึงจุดสูงสุดที่รายได้ 30,000 บาทต่อปี

 

ส่วนผู้ที่มีเงินได้ 30,000 – 40,000 บาทต่อปี จะอยู่ในช่วง Plateau ซึ่งจะได้เงินโอนคงที่ ในอัตรา 20% ของรายได้

 

ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่ผู้นั้นยังเป็นคนจน และเมื่อผู้นั้นมีรายได้พ้นจากระดับความยากจนแล้ว รัฐบาลจะลดความช่วยเหลือลง

 

ช่วง Phase-out: เงินโอนจะลดลง โดยจะไปสิ้นสุดที่ระดับรายได้ 80,000 บาทต่อปี ก็จะหยุดจ่ายเงินโอน ซึ่งเชื่อมโยงกับค่าแรงขั้นต่ำ

 

เริ่มใช้ Negative Income Tax ทุกคนต้องยื่นแบบหรือไม่

 

ดร. ปัณณ์ เสนอว่า ผู้ที่ต้องการรับสวัสดิการเงินโอน NIT นี้ ควรต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องยื่นแบบตามกฎหมายก็ตาม เนื่องจาก ยื่นแบบฯ จะทำให้รัฐสามารถทราบรายได้ของผู้มีเงินได้ได้ และหากมีกรณีที่สงสัยถึงความถูกต้องของรายการเงินได้ รัฐก็จะมีแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอันเป็นหลักฐานที่ทำให้รัฐสามารถตรวจสอบข้อมูลทางการเงินได้สะดวกมากขึ้น

 

กระนั้น ดร. ปัณณ์ ยังยืนยันว่า การยื่นแบบสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ควรเป็นรูปแบบ (Form) ‘อย่างง่าย’ ในกระดาษ 1 แผ่น 

 

ทั้งนี้ ตามกฎหมายปัจจุบัน ระบุว่า ผู้มีเงินได้พึงประเมินขั้นต่ำ (ต่อปี) ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีนั้นๆ สำหรับคนโสดมีเงินได้เงินเดือนประเภทเดียว เกิน 120,000 บาท (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.91) และมีเงินได้ประเภทอื่นนอกจากเงินเดือน เกิน 60,000 บาท (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90)

 

เปิดข้อดี – เสีย Negative Income Tax vs. สวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบัน

 

รศ. ดร. อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า ระบบสวัสดิการปัจจุบัน และ Negative Income Tax มีข้อดี – ข้อเสียต่างกัน

 

โดยระบบสวัสดิการปัจจุบันมีข้อดีคือ ‘ทำง่าย’ โดยรัฐสามารถคัดกรองคนตามเงื่อนไขต่างๆ เข้ามา แล้วจัดให้สวัสดิการให้ทั้งในรูปเงินช่วยเหลือและสิ่งของอื่นๆ (In-kind) อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของระบบสวัสดิการปัจจุบัน คือ ‘ไม่ยั่งยืน’ เนื่องจาก ไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้คนเข้าสู่ระบบเพิ่ม และไม่ได้ทำให้ฐานภาษีของประเทศกว้างขึ้น

 

ขณะที่ Negative Income Tax เป็นนโยบายที่ยังช่วยผู้มีรายได้น้อยอยู่ แต่ขณะเดียวกัน ก็ช่วยส่งเสริมให้คนทำงานมากขึ้นด้วย และยังทำให้รัฐรู้ข้อมูลรายได้ของคนมากขึ้น สามารถช่วยขยายฐานภาษีเงินได้ในอนาคตให้กว้างขึ้นได้

 

สำหรับขนาดเงินโอนหรือความช่วยเหลือ รศ. ดร. อธิภัทร ระบุว่า “ตามหลักการ ถ้าอยากให้คนหันมาใช้ NIT ก็ควรจ่ายเงินมากกว่าหรือเท่ากับนโยบายปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปัจจุบัน ผู้ร่วมโครงการก็ไม่ได้ใช้ (Utilize) สวัสดิการทั้งหมด เช่น ส่วนลดต่างๆ หรือค่าเดินทาง ดังนั้นถ้าแปลงออกมาตัวเงินก็อาจจะไม่ต้องให้เต็มมูลค่าเท่ากับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐขนาดนั้น ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับการออกแบบนโยบายด้วย”

 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้วงเงินซื้อสินค้า 300 บาทต่อคนต่อเดือน

วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน วงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ 750 บาทต่อคนต่อเดือน ค่าไฟฟ้า (ใช้ฟรี) หากใช้ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ส่วนลดค่าน้ำประปา จำนวน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เป็นต้น

 

เปิดความท้าทาย หากคลังต้องการดัน NIT ให้ใช้ได้ ภายใน 2 ปี

 

รศ. ดร. อธิภัทร มองความท้าทายหลักๆ หากกระทรวงการคลังต้องการผลักดันให้ Negative Income Tax ใช้ให้เสร็จทันภายในปี 2570 มี 3 ความท้าทายหลัก ได้แก่ ความยากในการตรวจสอบหรือยืนยันความถูกต้อง (Verify) ของรายได้ผู้มีรายได้น้อย ความท้าทายด้านการบริหารจัดการ (Administration) และ ความท้าทายด้านกฎหมาย

 

รศ. ดร. อธิภัทร อธิบายว่า ความยาก NIT ในไทยคือ การตรวจสอบหรือยืนยันความถูกต้อง (Verify) ของรายได้ของผู้มีรายได้น้อย 

 

“ดังนั้นถ้าต้องทำภายใน 2 ปี ทำได้ แต่อาจจะทำได้แค่ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่รัฐมั่นใจว่า รู้รายได้ที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น แรงงานรายได้น้อยที่มีนายจ้างอยู่ในระบบ ที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว ส่วนแรงงานนอกระบบ เช่น พ่อค้าหมูปิ้ง หรือแรงงานก่อสร้างที่ไม่ได้อยู่ในระบบ คิดว่า ภายใน 2 ปีนี้ยังไม่น่าทำ (ตรวจสอบความถูกต้องของรายได้) ได้”

 

นอกจากนี้ NIT ยังมีความยากในด้านการบริหารจัดการ (Administration) ‘มากกว่า’ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเยอะมาก เนื่องจากบัตรสวัสดิการแค่คัดกรองตอนลงทะเบียนครั้งเดียวแล้วให้กรมบัญชีกลางจ่าย แต่ว่า NIT จะต้องมีการทำงานร่วมกันขององค์กรหลายส่วน เนื่องจากต้องเชื่อมกับระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากร ซึ่งจะเปลี่ยนหน้าตาของกรมสรรพากรไปค่อนข้างมาก เห็นได้จากระบบ EITC ของสหรัฐฯ ใช้ทรัพยากรของสรรพากรของสหรัฐฯ ถึง 70%

 

“หน่วยงานจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ (Internal Revenue Service: IRS) หรือสรรพากรของสหรัฐฯ เคยให้สัมภาษณ์ว่า การดำเนินโครงการ Earned Income Tax Credit (EITC) เป็นมาตรการที่เหนื่อยที่สุดขององค์กร ซึ่งใช้ทรัพยากร (resource) ราว 70% ขององค์กร IRS”

 

NIT ยังมีความท้าทายด้านกฎหมาย เนื่องจาก ถ้ามีการกำหนดให้กรมสรรพากรเป็นผู้จ่ายเงินออกไปด้วย อาจจะต้องแก้กฎหมายประมวลรัษฎากร เนื่องจากปกติแล้วกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่รับภาษีอย่างเดียว ไม่ใช่คนจ่าย

 

ขณะที่แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ทางกฎหมาย 3 กรณี สำหรับการออกนโยบาย NIT ได้แก่ การออกกฎหมายเฉพาะฉบับใหม่ การแก้กฎหมายประมวลรัษฎากรบางมาตรา และอาจไม่ได้ต้องแก้กฎหมายใดเลยก็เป็นไปได้ อยู่ที่เกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด

 

ถอดบทเรียน NIT ต่างประเทศ

 

ในบทความ Negative Income Tax: ระบบภาษีแบบใหม่ ไทยต้องทำอย่างไร ของสภาพัฒน์ ระบุว่า มีทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ที่มีการนำ NIT มาประยุกต์ใช้ ‘ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน’ ซึ่งส่งผลต่อการกำหนดเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ

 

สิงคโปร์

  • ชื่อ: Workfare Income Supplement (WIS)
  • วัตถุประสงค์: ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของประเทศ และส่งเสริมให้เกิดการออมเพื่อการเกษียณ
  • เงื่อนไขพิเศษ: มีการแบ่งเงินช่วยเหลือส่วนหนึ่งสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • ผลลัพธ์: ทำให้รายได้สุทธิของผู้มีงานทำเต็มเวลา ระหว่างปี 2559 – 2564 เพิ่มขึ้น 2.1% ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้น้อยที่สุด 20% (Percentile 20) เพิ่มขึ้น 2.7% ซึ่งนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สะท้อนได้จากค่าสัมประสิทธิ์จินีของสิงคโปร์ที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556
  • WIS ยังทำให้อัตราการจ้างงานของแรงงานที่มีรายได้น้อยระหว่างปี 2550 – 2553 เพิ่มขึ้นจาก 2.7% เป็น 7.3% และยังสามารถจูงใจให้ผู้สูงอายุทำงานต่อหรือกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้

 

สหรัฐอเมริกา

  • ชื่อ: Earned Income Tax Credit (EITC)
  • วัตถุประสงค์: ช่วยเหลือผู้มีงานทำอายุ 25 – 65 ปี ที่มีรายได้น้อย และมีหมายเลขประกันสังคมอย่างถูกต้อง และช่วยลดภาระการดูแลสมาชิกในครัวเรือน
  • เงื่อนไขพิเศษ: การให้ความช่วยเหลือจึงคำนึงถึงภาระการดูแลสมาชิกในครัวเรือนด้วย อาทิ การมีบุตร จำนวนบุตร จะได้รับเงินช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้น
  • ผลลัพธ์: การให้ระดับเครดิตภาษีคืนที่พิจารณาตามการมีบุตร ส่งผลต่อการลดความยากจนของแต่ละประเภทครัวเรือนต่างกัน โดย EITC สามารถลดสัดส่วนคนจนของครัวเรือนที่ไม่สมรสและมีสมาชิกที่เป็นเด็ก 3 คน ได้ถึง 20.2% ขณะที่ลดสัดส่วนคนจนของครัวเรือนที่ไม่สมรสและไม่มีเด็กได้เพียง 1 5%

 

เกาหลีใต้

  • ชื่อ: Earned Income Tax Credit (EITC)
  • วัตถุประสงค์/เงื่อนไขพิเศษ: พิจารณา
  • ทั้งการมีบุตรและจำนวนบุตร ตลอดจนแหล่งที่มาของรายได้ครัวเรือน (ทางเดียว/สองทาง) รวมทั้ง ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มแรงงานอิสระ ซึ่งจะได้ประโยชน์ในระดับที่แตกต่างกันไป
  • ผลลัพธ์: EITC มีส่วนทำให้แนวโน้มอัตราการทำงานเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนผู้มีงานทำและชั่วโมงการทำงาน
  • หมายเหตุ: EITC ยังไม่สามารถช่วยลดความยากจนในกลุ่มผู้สูงอายุได้ เนื่องจากระดับเงินช่วยเหลือยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความยากจน รวมถึงการจ่ายเงินที่เป็นรายปียังทำให้ผู้สูงอายุต้องบริหารจัดการเงินช่วยเหลือที่ได้รับมาด้วยตนเอง ซึ่งในบางกรณีทำได้ยาก

 

ออสเตรเลีย

 

  • ชื่อ: Family Tax Benefit: FTB
  • วัตถุประสงค์/เงื่อนไขพิเศษ: ช่วยเหลือครัวเรือนรายได้น้อยในการเลี้ยงดูบุตร โดยจำแนกระดับความช่วยเหลือตามจำนวนบุตร อายุบุตร ตลอดจนลักษณะของครัวเรือน (ครัวเรือนสมบูรณ์/พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว)

 

สวีเดน

  • ชื่อ: Earned Income Tax Credit (EITC)
  • วัตถุประสงค์/เงื่อนไขพิเศษ: ไม่มีการกำหนดอัตราการชดเชย
  • ในช่วง Phase-out เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอุปทานของแรงงานในตลาด

 

ถอดบทเรียนประเทศที่ยกเลิก NIT

 

แคนาดาเป็นประเทศที่เคยนำ NIT มาประยุกต์ใช้ แต่ปัจจุบันยกเลิกแล้ว ในโครงการทดลองรายได้พื้นฐาน (MINCOME) ในเมืองโดฟิน (Dauphin) ของรัฐแมนิโทบา โดยจะให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นเงินช่วยเหลือจะลดลงตามสัดส่วน ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องยินยอมให้ติดตามข้อมูล อาทิ ข้อมูลรายได้จากการทำงาน และสถานะทางสังคม เพื่อให้สามารถประเมินผลของโครงการได้

 

อย่างไรก็ตาม โครงการได้ถูกยกเลิกไปภายหลังการเปลี่ยนรัฐบาล เนื่องจากขณะนั้นภาครัฐยังมีนโยบายในการลดรายจ่าย ซึ่งโครงการนี้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าผลลัพธ์ที่ได้ ทำให้ภาครัฐไม่สามารถสนับสนุนโครงการต่อได้ในระยะยาว

 

ถอดความสำเร็จ NIT จากต่างประเทศ

 

ประเทศที่สามารถนำ NIT มาประยุกต์ใช้และยังสามารถดำเนินการต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบต่ำ

  • สวีเดน: มีสัดส่วนของแรงงานนอกระบบที่ 3.3%
  • สหรัฐฯ: มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบราว 16%
  • ออสเตรเลีย: มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบราว 26%
  • เกาหลีใต้: มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบราว 26.6%
  • สิงคโปร์: มีระบบกฎหมายแรงงานที่เข้มงวดและมีมาตรการสนับสนุนการจ้างงานในระบบส่งผลให้สัดส่วนของแรงงานนอกระบบต่ำ และไม่มีการจัดทำ
  • ข้อมูลสถิติ ซึ่งการที่แรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานในระบบนั้นเป็นผลดีต่อการจัดเก็บข้อมูล

The post รู้จักกลไก Negative Income Tax ระบบสวัสดิการใหม่ ที่ทุกคนต้องยื่นภาษี? วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ใครควรได้รับเงินโอนบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพรวมอสังหาฯ ครึ่งปีแรก พบรายใหญ่ยังแกร่ง แต่พร้อมใจปรับพอร์ต ‘ทิ้งตลาดแมส-โฟกัสบ้านหรู’ ที่มีกำลังซื้อสูง https://thestandard.co/thai-property-market-h1-2025-review/ Mon, 18 Aug 2025 13:02:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1108595 อสังหาริมทรัพย์

ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท […]

The post ภาพรวมอสังหาฯ ครึ่งปีแรก พบรายใหญ่ยังแกร่ง แต่พร้อมใจปรับพอร์ต ‘ทิ้งตลาดแมส-โฟกัสบ้านหรู’ ที่มีกำลังซื้อสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อสังหาริมทรัพย์

ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการรายใหญ่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญแรงกดดันรอบด้าน โดยบริษัทชั้นนำยังคงสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรได้อย่างน่าพอใจ

 

ขณะที่มุมมองต่อครึ่งปีหลังส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง แต่ก็พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์สำคัญร่วมกันคือการปรับพอร์ตโฟลิโอไปมุ่งเน้นตลาดระดับกลางถึงบนที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง

 

เอพี ไทยแลนด์ (AP) รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 20,940 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,870 ล้านบาท สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงมั่นคง โดยมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.73 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อพร้อมใช้อีกกว่า 18,619 ล้านบาท

 

รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ ว่าที่ประธานฝ่ายบริหาร กล่าวว่า (President-designate) ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย กุญแจสำคัญคือการบริหารเสถียรภาพทางการเงินซึ่งเปรียบเสมือน ‘ออกซิเจน’ ของธุรกิจ สำหรับแผนในครึ่งปีหลัง เอพีเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 34 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 53,350 ล้านบาท โดยมีไฮไลต์คือการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ ‘XAVIER’ ในกลุ่มทาวน์โฮม และแบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ BEON

 

แสนสิริ (SIRI) มีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 1,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 49% ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิรวม 2,028 ล้านบาท จากรายได้รวม 15,678 ล้านบาท บริษัทยังได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น

 

วิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน ระบุว่า ความสำเร็จมาจากการบริหารพอร์ตสินค้าพร้อมขายอย่างมีประสิทธิภาพ และการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่ภูเก็ตได้ตามกำหนด และมองว่าการที่ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ถือเป็นสัญญาณบวกที่จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ โดยในช่วงครึ่งปีหลัง แสนสิริเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพสูง เช่น จตุโชติและภูเก็ต

 

เอสซี แอสเสท (SC) โชว์ผลงานไตรมาส 2 ด้วยรายได้รวม 5,220 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 95% ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 7,891 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่แข็งแกร่งถึง 19,600 ล้านบาท

 

อรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร เผยว่าการเติบโตมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกลุ่มโครงการบ้านระดับพรีเมียมราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งบริษัทครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 สำหรับครึ่งปีหลังมีแผนจะเปิดโครงการใหม่อีก 8 โครงการ มูลค่า 16,400 ล้านบาท พร้อมกับเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 2 แห่ง เพื่อเสริมพอร์ตรายได้ประจำ

 

พฤกษา เรียลเอสเตท รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2568 ด้วยยอดขาย 5,400 ล้านบาท และมีรายได้ 5,172 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม

 

ธีระ ทองวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า กลยุทธ์ของบริษัทคือการมุ่งยกระดับพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดระดับกลางถึงบนที่มีกำลังซื้อ สำหรับแผนในช่วงครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 12 โครงการ โดยเป็นโครงการแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ มูลค่า 1,130 ล้านบาท ทิศทางคือการมุ่งเปิดโครงการที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

 

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) มีรายได้ครึ่งปีแรกรวม 3,402.1 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 27.2 ล้านบาท ซึ่งชะลอตัวลงจากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและยังไม่มีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ยอดโอนโครงการแนวราบยังคงเติบโตได้ 25.2% จากปีก่อนหน้า

 

ธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีแรงหนุนจากการเตรียมโอน

คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ 4 โครงการ ซึ่งมีมูลค่า Backlog รวมกว่า 8,600 ล้านบาท บริษัทยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าต่างประเทศไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น รัสเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

 

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) แสดงให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในไตรมาส 2 โดยสามารถสร้างกำไรสุทธิได้ 257 ล้านบาท เติบโตขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลงานดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการปรับพอร์ตไปเน้นกลุ่มบ้านหรู ซึ่งทำให้ยอดขายเติบโตถึง 77% จากไตรมาสก่อนหน้า และความสำเร็จของ 3 โครงการคอนโดพร้อมอยู่ที่มียอดขายรวมแล้วกว่า 9,483 ล้านบาท

 

ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ย้ำถึงความเชื่อมั่นในการก้าวผ่านสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงิน ซึ่งบริษัทได้ชำระคืนหุ้นกู้ไปแล้วกว่า 17,928 ล้านบาทตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายการลงทุนไปยังจังหวัดภูเก็ตด้วยเมกะโปรเจกต์ และเตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ

 

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) มีผลประกอบการครึ่งปีแรกด้วยรายได้รวม 2,640 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 301 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 37% จากปีก่อนหน้า บริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง และมียอด Backlog รอรับรู้รายได้อีก 7,453 ล้านบาท

 

อธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เผยว่าท่ามกลางกำลังซื้อที่ชะลอตัว บริษัทได้มุ่งเน้นการนำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น เช่น โครงการ ‘LivNex เช่าออมบ้าน’ ซึ่งสร้างยอดขายได้ถึง 1,628 ล้านบาท 

 

นอกจากนี้ ความร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่น Hankyu Hanshin Properties ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 9 ปี รวม 68 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 84,300 ล้านบาท ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของบริษัท เพราะช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำและเงื่อนไขยืดหยุ่น เสริมสภาพคล่องและความสามารถในการแข่งขัน

 

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ผู้บริหารส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าตลาดยังคงมีความท้าทายสูง ปัจจัยกดดันหลักยังคงมาจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตแบบชะงักงัน, ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง, และมาตรการสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

 

อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณบวกปรากฏขึ้นบ้าง โดยเฉพาะการที่ กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งถูกมองว่าจะช่วยลดภาระของผู้กู้และกระตุ้นตลาดให้กลับมาคึกคักได้

 

จากสถานการณ์ดังกล่าว กลยุทธ์ของผู้ประกอบการในช่วงที่เหลือของปีจึงมุ่งเน้นไปในทิศทางเดียวกัน คือการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสภาพคล่องและกระแสเงินสดเป็นอันดับแรก 

 

ขณะเดียวกันจะมีการปรับพอร์ตสินค้าโดยหันไปให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลางถึงบนมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อสูง ควบคู่ไปกับการเร่งโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่สร้างเสร็จแล้วเพื่อรับรู้รายได้ และการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลที่มีศักยภาพและมั่นใจว่ามีดีมานด์รองรับ

The post ภาพรวมอสังหาฯ ครึ่งปีแรก พบรายใหญ่ยังแกร่ง แต่พร้อมใจปรับพอร์ต ‘ทิ้งตลาดแมส-โฟกัสบ้านหรู’ ที่มีกำลังซื้อสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>