Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 04 Oct 2025 11:46:13 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘Government Shutdown’ สหรัฐฯ ทำเวียตเจ็ทไทยแลนด์ต้องเลื่อนไฟลท์บินตรง กรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ)/โอซาก้า หลังรับมอบเครื่อง Boeing 737-8 ล่าช้า https://thestandard.co/us-shutdown-vietjet-thailand/ Sat, 04 Oct 2025 11:46:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1126547 ‘Government Shutdown’ สหรัฐฯ ทำ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ต้องเลื่อนไฟลท์บินตรง กรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ)/โอซาก้า หลังรับมอบ เครื่อง Boeing 737-8 ล่าช้า

จากรณีที่สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ต้องเลื่อนเที่ยวบิน […]

The post ‘Government Shutdown’ สหรัฐฯ ทำเวียตเจ็ทไทยแลนด์ต้องเลื่อนไฟลท์บินตรง กรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ)/โอซาก้า หลังรับมอบเครื่อง Boeing 737-8 ล่าช้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘Government Shutdown’ สหรัฐฯ ทำ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ต้องเลื่อนไฟลท์บินตรง กรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ)/โอซาก้า หลังรับมอบ เครื่อง Boeing 737-8 ล่าช้า

จากรณีที่สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ต้องเลื่อนเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในเส้นทางบินตรงกรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ) และกรุงเทพ – โอซาก้า จากเดิมที่มีกำหนดวันที่ 15 ธันวาคม 2568 ซึ่งจะบินด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 737-8 ที่กำลังจะได้รับมอบราวสิ้นเดือนตุลาคมนี้
 
ปิ่นยศ พิบูลสงคราม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการพาณิชย์และลูกค้าสัมพันธ์ สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า การที่สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ Government Shutdown หรือการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้การรับมอบต้องเลื่อนออกไปจนเป็นเหตุผลที่ต้องเลื่อนเที่ยวบินปฐมฤกษ์ตาม
 
“การเกิดภาวะ Government Shutdown ทำให้กำหนดรับต้องเครื่องขยับไปสู่ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ทำให้ทั้ง 2 เที่ยวบินเลื่อนออกไปเป็นช่วงกลางเดือนมกราคม 2569 แทน” ปิ่นยศ ระบุ
 
สำหรับผู้โดยสารที่จองตั๋วเข้ามาแล้วนั้นปิ่นยศระบุว่า สามารถบินได้ตามกำหนดเดิม ทว่าจะมีการเปลี่ยนเส้นทางโดยเส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ) ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่เวียดนาม ส่วน กรุงเทพ – โอซาก้า จะเป็นเปลี่ยนไปที่ไทเปแทน
 
“ตอนนี้เรายังไม่ได้ยกเลิกเส้นทางบิน โดยลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปยังเส้นทางใหม่ที่เราได้กำหนด หรือจะเก็บเป็นเครดิตเพื่อบินเส้นทางเดิมได้”
 
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้สายการบินเวียตเจ็ทไทยแลนด์ จะมีการรับมอบ Boeing 737-8 เครื่องใหม่ทั้งหมด 9 ลำ ซึ่งมีการเลื่อนแค่ลำแรก ส่วนลำที่เหลือยังเป็นไปตามกำหนดการเดิม

The post ‘Government Shutdown’ สหรัฐฯ ทำเวียตเจ็ทไทยแลนด์ต้องเลื่อนไฟลท์บินตรง กรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ)/โอซาก้า หลังรับมอบเครื่อง Boeing 737-8 ล่าช้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคารโลกคาด GDP ไทยอาจหายไป 7-14% ภายในปี 2050 หากไม่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ https://thestandard.co/world-bank-thai-gdp-loss-2050/ Sat, 04 Oct 2025 09:55:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1126466

ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในอีก 25 ป […]

The post ธนาคารโลกคาด GDP ไทยอาจหายไป 7-14% ภายในปี 2050 หากไม่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในอีก 25 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2050 อาจหายไป 7-14% หากไม่สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะส่งผลให้การบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงทำได้ยากขึ้นมาก

 

จากรายงานการพัฒนาประเทศและสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Thailand Country Climate and Development Report – CCDR) ที่จัดทำโดย World Bank ล่าสุด ระบุว่า ต้นทุนและความเสี่ยงของการไม่ดำเนินการ (costs of inaction) ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงกว่าต้นทุนที่ต้องลงทุนอย่างมาก เมื่อพิจารณาจาแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาค 2 รูปแบบที่ใช้ในการประเมินผลกระทบภายใต้สถานการณ์ธุรกิจตามปกติ (Business-as-Usual – BAU)

 

สถานการณ์การปรับตัวนี้รวมถึงการลงทุนในการบรรเทาอุทกภัย ความมั่นคงทางน้ำ การป้องกันชายฝั่ง และมาตรการอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทยในการจำกัดและปรับตัวต่อผลกระทบทางกายภาพของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

แบบจำลองสะท้อนให้เห็นว่า การสูญเสีย GDP ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ภายในปี 2050 GDP จะลดลง 7-14% ซึ่งหมายความว่าในอีก 2 – 3 ทศวรรษข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจลดอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีลง 0.5% หรือมากกว่า ทำให้การบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2037 ที่ท้าทายอยู่แล้วทำได้ยากขึ้นไปอีก เพราะต้องอาศัยการเติบโตของ GDP เฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี

 

ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อ GDP อย่างหนักที่สุดคือ การสูญเสียผลิตภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อน (heat related labor productivity loss) ซึ่งกระทบต่อแรงงานในทุกภาคส่วนและทั่วประเทศ

 

ขณะที่ความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางกายภาพที่สำคัญที่สุดคืออุทกภัยและความเครียดจากความร้อน ซึ่งล้วนมีต้นทุนสูงมาก อย่างเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 ก่อให้เกิดความเสียหายสูงถึง 12.6% ของ GDP หากเกิดอุทกภัยในระดับเดียวกันซ้ำในปี 2030 อาจส่งผลให้ GDP ของไทยลดลงเกือบ 10% ในปีนั้น และการสูญเสียจะเพิ่มเป็น 15% หากการฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้า โดยรวมแล้ว ผลกระทบจากน้ำท่วมมีค่าเฉลี่ยประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3% ของ GDP ต่อปี

 

สำหรับกรุงเทพมหานคร การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทุก 1 องศาเซลเซียส อาจก่อให้เกิดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการตายจากความร้อน การสูญเสียผลิตภาพ และการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น ระหว่าง 85,000 – 123,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับ 1.6-2% ของ GDP กรุงเทพฯ ในปี 2019

 

นอกจากภัยคุกคามทางกายภาพแล้ว ประเทศไทยยังเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากการที่ประเทศคู่ค้าเร่งลดการปล่อยคาร์บอน หากไทยไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ในขณะที่คู่ค้าใช้มาตรการเข้มงวด เช่น การสูญเสียการเข้าถึงห่วงโซ่คุณค่าและการลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยว อาจส่งผลให้ GDP ลดลงเกือบ 7% ภายในปี 2050

 

มากไปกว่านั้นยังมีแรงกดดันจากบริษัทข้ามชาติ ซึ่งประมาณ 78% ของบริษัทข้ามชาติ (MNCs) วางแผนที่จะกีดกันซัพพลายเออร์ที่ปล่อยคาร์บอนสูงออกจากห่วงโซ่อุปทานของตนตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

 

ผลตอบแทนมหาศาลจากการลงมือทำ GDP อาจพุ่ง 4-5%

 

แม้ว่าการลงทุนที่จำเป็นในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศจะสูง แต่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสุทธิก็จะสูงกว่ามาก CCDR ประเมินว่า การลงทุนเพิ่มเติมที่จำเป็นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการปรับตัวและการบรรเทาผลกระทบ อยู่ที่ 219,000 ล้านดอลลาร์ ในมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ตลอด 25 ปีข้างหน้า ซึ่งเท่ากับ 2.4% ของ GDP สะสม

 

การลงทุนเพื่อปรับตัว เช่น การป้องกันน้ำท่วม, ความมั่นคงทางน้ำ, การป้องกันชายฝั่ง ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยกว่า 1% ของ GDP ต่อปี สามารถเพิ่ม GDP ต่อปีได้ 2-3% ภายในปี 2040 และ 4-5% ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่มีการปรับตัว

 

ภายใต้สถานการณ์การลดคาร์บอนแบบเร่งรัด (Accelerated Decarbonization – AD) คาดการณ์ว่า GDP ในปี 2050 จะสูงขึ้นถึง 2.5% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ฐาน
การระดมทุนและการปฏิรูปเชิงนโยบาย

 

การลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยการจัดสรรเงินทุนจากภาครัฐและเอกชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยภาครัฐต้องรับผิดชอบหลักในการลงทุนด้านการปรับตัว ซึ่งรวมถึงการป้องกันน้ำท่วม การจัดการน้ำ และการคุ้มครองทางสังคม โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายสาธารณะเพิ่มเติมด้านการปรับตัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1% ของ GDP ต่อปี ตลอด 25 ปีข้างหน้า

 

การนำเครื่องมือกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) มาใช้ โดยสมมติว่าราคาเริ่มต้นที่ 25 ดอลลาร์ต่อ tCO2e ในปี 2030 มีศักยภาพในการสร้างรายได้สาธารณะใกล้เคียง 1% ของ GDP ในปี 2030 รายได้นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำไปชดเชยค่าใช้จ่ายด้านการปรับตัวและมาตรการทางสังคมเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อครัวเรือนยากจน

 

ส่วนการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนแบบเร่งด่วนต้องอาศัยการปฏิรูปโครงสร้างตลาดพลังงานเพื่อส่งเสริมการแข่งขันและการรับเอาพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยจะต้องมีการลงทุนในด้านพลังงานหมุนเวียนและการปรับปรุงกริดให้ทันสมัย คิดเป็นต้นทุนรวม 98,000 ล้านดอลลาร์ แต่จะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมลดลงเหลือ 5.6 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งต่ำกว่าสถานการณ์ปกติที่ 7 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง

 

นอกจากนี้ ประเทศไทยมีโอกาสสูงในการเป็นผู้ส่งออกสินค้าและบริการสีเขียว โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ และเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน ซึ่งอาจช่วยเพิ่มการส่งออกอีก 2-3% ของ GDP ภายในปี 2030

The post ธนาคารโลกคาด GDP ไทยอาจหายไป 7-14% ภายในปี 2050 หากไม่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin จ่อทุบ All-Time High! ผงาดขึ้นแท่น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ ท่ามกลางวิกฤต Government Shutdown ของสหรัฐฯ https://thestandard.co/bitcoin-safe-haven-us-shutdown/ Sat, 04 Oct 2025 05:12:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1126344 Bitcoin Government Shutdown

Bitcoin กำลังตอกย้ำสถานะใหม่ในฐานะ ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ ( […]

The post Bitcoin จ่อทุบ All-Time High! ผงาดขึ้นแท่น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ ท่ามกลางวิกฤต Government Shutdown ของสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin Government Shutdown

Bitcoin กำลังตอกย้ำสถานะใหม่ในฐานะ ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ (Safe Haven) โดยราคาได้ทะยานขึ้นอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 ตุลาคม) เข้าใกล้ระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะปิดทำการชั่วคราว (Government Shutdown) เป็นวันที่สาม

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองของนักลงทุน ที่กำลังมองหาสินทรัพย์เพื่อหลบภัยจากความปั่นป่วนทางการเมืองและเศรษฐกิจในวอชิงตัน และดูเหมือนว่า Bitcoin จะกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ

 

ราคา Bitcoin ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2% เมื่อวันศุกร์ แตะระดับ 123,874 ดอลลาร์ ซึ่งห่างจากสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ระดับกว่า 124,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพียงแค่ 1% เท่านั้น และหากนับรวมทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ ทะยานขึ้นแล้วถึง 12%

 

เจฟฟ์ เคนดริก นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered ชี้ว่าปรากฏการณ์นี้แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง “ภาวะ Shutdown ในครั้งนี้มีความสำคัญ ในช่วง Shutdown ครั้งก่อนของทรัมป์ Bitcoin ยังอยู่ในจุดที่แตกต่างจากตอนนี้และมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แต่ในปีนี้ Bitcoin ได้เคลื่อนไหวตามความเสี่ยงของรัฐบาลสหรัฐฯ’ อย่างชัดเจน”

 

Standard Chartered คาดการณ์ว่า Bitcoin จะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ในเร็วๆ นี้ และมีเป้าหมายต่อไปที่ระดับ 135,000 ดอลลาร์

 

ภาวะชะงักงันทางการเมืองในสหรัฐฯ ได้ผลักดันให้นักลงทุนโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยประเภทอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น 0.5% ในวันศุกร์ และบวกขึ้นมากกว่า 2% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

แม้แต่ในตลาดหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงก็ยังคงมีแรงซื้อเข้ามาในวันศุกร์ โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ปรับตัวสูงขึ้น 0.5% และ 0.27% ตามลำดับ ซึ่งอาจสะท้อนถึงความคาดหวังว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต

 

การที่ Bitcoin สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่น่าจับตามองถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของสกุลเงินดิจิทัลในภูมิทัศน์การเงินโลก ที่กำลังได้รับการยอมรับในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” มากขึ้นเรื่อยๆ

 

อ้างอิง:

The post Bitcoin จ่อทุบ All-Time High! ผงาดขึ้นแท่น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ ท่ามกลางวิกฤต Government Shutdown ของสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อีก 15 ปี ‘Gen Y-Gen Z’ จ่อขึ้นเป็นมหาเศรษฐีแทนที่เบบี้บูมเมอร์ ด้วยส่วนแบ่งความมั่งคั่งมากกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมด https://thestandard.co/geny-genz-billionaires-wealth-2040/ Sat, 04 Oct 2025 02:52:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1126213 มหาเศรษฐี Gen Y Gen Z

รายงานล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลความมั่งคั่งชั้นนำอ […]

The post อีก 15 ปี ‘Gen Y-Gen Z’ จ่อขึ้นเป็นมหาเศรษฐีแทนที่เบบี้บูมเมอร์ ด้วยส่วนแบ่งความมั่งคั่งมากกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
มหาเศรษฐี Gen Y Gen Z

รายงานล่าสุดจากบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลความมั่งคั่งชั้นนำอย่าง Altrata เผย แนวโน้มสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มอภิมหาเศรษฐีโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยคาดว่าภายในปี 2040 คนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญแทนที่เบบี้บูมเมอร์และคนรุ่นเก่า

 

สอดรับกับข้อมูล เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่า จำนวนผู้ที่มีทรัพย์สินสุทธิอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์ทั่วโลก เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 5.1 แสนคน ขยายตัว 5.4% นับตั้งแต่ต้นปี แต่ปัจจุบัน กลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z ยังคงมีสัดส่วนเพียง 8% ของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีทั้งหมด ขณะที่กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ยังคงครองสัดส่วนสูงสุดเกือบ 45% ตามมาด้วย Silent Generation หรือผู้ที่เกิดก่อนปี 1945 มีสัดส่วน 22%

 

Altrata คาดการณ์ว่า ทิศทางดังกล่าวจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากปรากฏการณ์ การถ่ายโอนความมั่งคั่งระหว่างรุ่น (Great Wealth Transfer) โดยภายในปี 2040 สัดส่วนของ Gen Y และ Gen Z จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าหนึ่งในสามของกลุ่มอภิมหาเศรษฐี

 

ในทางตรงกันข้าม สัดส่วนของเบบี้บูมเมอร์และ Silent Generation จะลดลงจากสองในสามเหลือเพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น นอกจากนี้ Gen X จะก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มอภิมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุด ด้วยสัดส่วนถึง 45%

 

มายา อิมเบิร์ก หัวหน้าฝ่ายวิจัยและการวิเคราะห์ของ Altrata กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้ธุรกิจที่ให้บริการกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งสูง ไม่ว่าจะเป็น ผู้จัดการความมั่งคั่ง, ดีลเลอร์งานศิลปะ หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร ต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวเพื่อรองรับพฤติกรรมและความต้องการที่แตกต่างกันของคนแต่ละช่วงวัย

 

พร้อมย้ำว่า แม้เวลาที่คาดการณ์ 15 ปี จะดูนาน แต่จริงๆ ธุรกิจจะต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือ พร้อมยกตัวอย่างให้ธุรกิจต้องหาคำตอบให้ได้ เช่น รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเศรษฐีรุ่นใหม่หรือไม่ หรือเรือยอชต์จะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ดึงดูดใจเหมือนที่เคยเป็นมาในกลุ่มคนรุ่นก่อนหรือไม่

 

ด้าน มาอีน ชาบาน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการวิเคราะห์ของ Altrata แสดงความเห็นต่อ Inside Wealth ว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มอภิมหาเศรษฐีรุ่นใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้ Trusts และ Family Offices มากขึ้น โดยเครื่องมือดังกล่าวช่วยให้สามารถถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังทายาทได้ตั้งแต่อายุน้อย

 

หมายความว่า คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงความมั่งคั่งได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เจ้าของทรัพย์สินรุ่นก่อนเสียชีวิต ส่วนในแง่ของแหล่งที่มาของความมั่งคั่ง ความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดระหว่างแต่ละช่วงวัยคือ อุตสาหกรรมที่สร้างความมั่งคั่ง โดยคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักสร้างความมั่งคั่งและทำงานในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน เช่น

 

1. อุตสาหกรรมการบริการและบันเทิง (Hospitality & Entertainment): คนรุ่นใหม่มีสัดส่วนถึง 15% ที่มั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งสูงกว่าคนรุ่นเก่าที่สัดส่วนต่ำกว่า 5%

 

2. อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เกือบ 9% ของคนรุ่นใหม่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ โดยคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าเบบี้บูมเมอร์ถึงสองเท่า

 

3. การธนาคารและการเงิน แม้จะเป็นอุตสาหกรรมยอดนิยมที่สุดในทุกเจเนอเรชัน แต่สำหรับคนรุ่นใหม่กลับมีสัดส่วนไม่ถึง 20% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 10%

 

ความแตกต่างดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่บริษัทเทคโนโลยีสร้างมหาเศรษฐีหน้าใหม่จำนวนมาก รวมถึงกระแส อินฟลูเอนเซอร์ และ คนดัง ที่สามารถเปลี่ยนโซเชียลมีเดียให้เป็นแหล่งรายได้มหาศาล

 

ขณะเดียวกัน แม้คนรุ่นใหม่จะมีรายได้สูง แต่พฤติกรรมการใช้จ่ายและการลงทุนก็มีความแตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด จากรายงานระบุว่าปัจจัยด้านอายุมีผลต่อการจัดลำดับความสำคัญ โดยคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการกุศลน้อย และจะให้ความสำคัญกับอสังหาริมทรัพย์และสินค้าหรูหรามากกว่า

 

มายา อิมเบิร์ก ให้เหตุผลว่า ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หลายคนกำลังบริหารธุรกิจที่มีลักษณะขาดสภาพคล่อง (Illiquid Assets) ซึ่งทำให้พวกเขามีเวลาและเงินสดเหลือสำหรับการบริจาคน้อยกว่าคนรุ่นก่อน

 

ด้วยเหตุนี้ในพอร์ตการลงทุนของคนรุ่นใหม่ จะมีสัดส่วนลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์มากกว่า เนื่องจากพวกเขายังอยู่ในช่วงจับจ่ายและสะสม ซึ่งตรงกันข้ามกับเบบี้บูมเมอร์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในช่วงลดขนาดการใช้ชีวิต

 

มหาเศรษฐี Gen Y Gen Z

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

The post อีก 15 ปี ‘Gen Y-Gen Z’ จ่อขึ้นเป็นมหาเศรษฐีแทนที่เบบี้บูมเมอร์ ด้วยส่วนแบ่งความมั่งคั่งมากกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิเคราะห์สงครามหม้อต้ม หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ บุกไปพรีเมียม ฟาก MK ขยับสู่ตลาดแมส เกมสวนทางใครจะชนะใจลูกค้า? https://thestandard.co/wealth-in-depth-suki-teenoi-mk/ Fri, 03 Oct 2025 11:37:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1126127 วิเคราะห์สงครามหม้อต้ม หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ บุกไปพรีเมียม ฟาก MK ขยับสู่ตลาดแมส เกมสวนทางใครจะชนะใจลูกค้า?

ท่ามกลางสมรภูมิร้านชาบู-สุกี้บุฟเฟต์ที่ดุเดือดร้อนแรง แ […]

The post วิเคราะห์สงครามหม้อต้ม หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ บุกไปพรีเมียม ฟาก MK ขยับสู่ตลาดแมส เกมสวนทางใครจะชนะใจลูกค้า? appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิเคราะห์สงครามหม้อต้ม หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ บุกไปพรีเมียม ฟาก MK ขยับสู่ตลาดแมส เกมสวนทางใครจะชนะใจลูกค้า?

ท่ามกลางสมรภูมิร้านชาบู-สุกี้บุฟเฟต์ที่ดุเดือดร้อนแรง แบรนด์เล็กและใหญ่ต่างปรับกระบวนท่าเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น สุกี้ตี๋น้อย แบรนด์ที่สร้างชื่อจากตลาดแมส กำลังท้าทายภาพลักษณ์เดิมด้วยการเปิดตัว Teenoi Gold เพื่อขยับสู่ตลาดพรีเมียม ขณะที่ MK เจ้าตลาดเดิม กลับเลือกใช้กลยุทธ์สวนทาง สร้างแบรนด์น้องใหม่ ‘โบนัส สุกี้’ ราคาเข้าถึงง่าย ลงมาเจาะตลาดแมส

 

เรียกว่าการเคลื่อนไหวของทั้งสองแบรนด์ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่แตกต่างกันไป THE STANDARD WEALTH พาฟังมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์และการตลาด ที่จะมาวิเคราะห์ถึงการทำแบรนด์จากล่างขึ้นบนนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่าการทำแบรนด์จากบนลงล่าง ซึ่งถือเป็นโจทย์หินของสุกี้ตี๋น้อย ที่ต้องใช้ความพยายามสลัดภาพจำเดิมให้ได้

 

แต่ในทางกลับกัน MK กลับเลือกสร้างแบรนด์ใหม่ ลงมาในตลาดที่ตนไม่ได้เป็นเจ้าของอยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังในการปรับตัวเพื่อรับมือกับคู่แข่ง ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด คำถามคือกลยุทธ์ของใครจะประสบความสำเร็จและยั่งยืนกว่ากัน ก็อาจต้องขึ้นอยู่กับเสียงตอบรับของผู้บริโภค

 

วิเคราะห์กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ‘จากล่างขึ้นบน’ ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล ประธานหลักสูตรปริญญาโทด้านแบรนด์และการตลาด ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองที่น่าสนใจกับ THE STANDARD WEALTH ถึงปรากฏการณ์ที่แบรนด์สุกี้และชาบูต่างปรับกระบวนท่าเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด โดยชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการทำแบรนด์จากล่างขึ้นบน และการเคลื่อนไหวที่น่าจับตาของทั้ง สุกี้ตี๋น้อย และ MK

 

 

โดยทั่วไปแล้ว กลยุทธ์การสร้างแบรนด์จากตลาดบนลงสู่ตลาดล่าง (Top-Down Branding) มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าการขยับจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up Branding) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแบรนด์แฟชั่นหรูอย่าง Armani ที่แตกไลน์แบรนด์ลูกอย่าง AX (Armani Exchange) ซึ่งทำให้การทำตลาดง่ายขึ้น และในทางกลับกัน แบรนด์ในตลาดแมสที่ต้องการขยับขึ้นไปในตลาดพรีเมียมอย่าง Zara มักจะเลือกใช้ชื่อแบรนด์ใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงภาพจำเดิมๆ

 

ส่วนในกรณีของ สุกี้ตี๋น้อย หลังจากที่ได้เปิดตัว สุกี้ตี๋น้อย Gold เพื่อเจาะกลุ่มตลาดพรีเมียม จึงถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ แต่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ติดภาพจำว่าสุกี้ตี๋น้อยคือแบรนด์ที่เน้นปริมาณและราคาเข้าถึงง่าย

 

“แบรนด์ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อดึงลูกค้ากลุ่มที่ยอมจ่าย 500 บาทต่อมื้อให้ได้ เรียกว่าไม่ง่ายเลย เห็นได้จากที่ผ่านมาแบรนด์ใหญ่อย่าง MK ก็เคยทำ ‘MK Gold’ มาแล้ว แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร”

 

แต่ในทางกลับกัน MK เลือกที่จะใช้กลยุทธ์สวนทาง ด้วยการสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อลงสู่ตลาดแมสอย่าง ‘โบนัส สุกี้’ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังในการปรับตัวเพื่อรับมือกับคู่แข่งอย่างสุกี้ตี๋น้อย โดยสิ่งที่น่าสนใจคือการที่ MK เลือกที่จะไม่ใช้ชื่อแบรนด์เดิม แต่กลับเลือกสร้างแบรนด์ใหม่ พร้อมทั้งดึงทีมบริหารคนใหม่ๆ ที่มาจากวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างเข้ามาขับเคลื่อน

 

และหากพิจารณาจากงบการเงินแล้ว MK มีจุดแข็งที่สำคัญคือ ‘กระสุน’ หรือเงินทุนที่มากกว่า มีสภาพคล่องและกระแสเงินสดสูง ทำให้สามารถทุ่มงบประมาณในการทำการตลาดและขยายสาขาของ โบนัส สุกี้ ได้อย่างเต็มที่ สะท้อนให้เห็นถึงการกลับมาสู่สังเวียนอย่างจริงจัง หลังจากที่หลายคนเคยมองว่า MK เคลื่อนไหวช้ากว่าสุกี้ตี๋น้อย

 

หลักการสร้างแบรนด์ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่ต้อง ‘เปลี่ยนวิธีคิด’

 

“MK มาถูกทาง เพราะการจะเปลี่ยนแปลงแบรนด์ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อ แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดและกระบวนการทำงานทั้งหมด หากใช้คนเดิมๆ ที่คุ้นชินกับวัฒนธรรมเดิม ภาพลักษณ์ที่ออกมาก็จะยังคงเหมือนกับแบรนด์เดิม” ผศ. ดร. เอกก์ ย้ำ

 

นอกจากนี้การแข่งขันในตลาดชาบู-สุกี้ที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านการแข่งขันลดราคาและมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้บริโภค สิ่งที่ตามมาทำให้ธุรกิจนี้มีแนวโน้มที่จะมีกำไรลดลงในระยะยาว ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่คล้ายคลึงกับธุรกิจอื่นๆ ที่มีการแข่งขันสูงขึ้นแต่ขนาดตลาดไม่ได้เติบโตตาม เช่น ธุรกิจขนส่งในปัจจุบันที่ผู้ให้บริการมีจำนวนมาก ทำให้ส่วนแบ่งตลาดเล็กลง และการแข่งขันด้านราคาก็ลดลงตามไปด้วย

 

 

ผศ. ดร เอกก์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่ขยับขึ้นหรือลง สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยน ‘วิธีคิด’ และ ‘กระบวนการ’ โดยตลาดแมสจะเน้นเรื่องการลดต้นทุน ขณะที่ตลาดพรีเมียมจะเน้นการเพิ่มคุณค่า ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาบุคลากรและปรับปรุงระบบการทำงานภายในอย่างจริงจัง

 

และแม้ว่าปัจจุบันร้านอาหารจะพูดถึงแต่เรื่องความอร่อยและความคุ้มค่าจนไม่มีความแตกต่าง แต่หากแบรนด์สามารถสร้างความโดดเด่นและเจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางได้ ก็จะสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น

 

‘สุกี้ตี๋น้อย’ ชี้ Teenoi Gold ไม่ได้แข่งกับใคร แต่แค่มองเห็นช่องว่างในตลาด

 

ย้อนไปเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นัทธมน พิศาลกิจวนิช ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย ตัดสินใจจับมือกับ เชฟโฮ หรือเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง HO KITCHEN SEAFOOD เปิดตัวแบรนด์ใหม่ Teenoi Gold เป็นร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์พรีเมียม ราคาเริ่ม 599 บาท ประเดิมเปิดสาขาแรกที่เมเจอร์ รัชโยธิน จากนั้นจะทยอยเปิด Teenoi Gold อีก 2 สาขาในปลายปีนี้

 

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซา ถือเป็นความท้าทายอยู่ไม่น้อย ยิ่งที่ผ่านมาในภาพจำของผู้บริโภคส่วนใหญ่ มักจะมองว่าสุกี้ตี๋น้อยเป็นแบรนด์ที่ราคาเข้าถึงง่าย กลายเป็นคำถามตัวโตๆ ว่า จะสลัดภาพลักษณ์แบรนด์เก่าไปสู่แบรนด์ใหม่ได้อย่างไร นั่นคือโจทย์หินของสุกี้ตี๋น้อย

 

 

แต่ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อย ย้ำว่า แม้สุกี้ตี๋น้อยจะเป็นแบรนด์ที่เกิดและดังจากตลาดแมส แต่เชื่อว่าการดึงตัว เชฟโฮ เข้ามาร่วมงาน ก็จะช่วยยกระดับให้ภาพลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนมากขึ้น ที่สำคัญมองว่าร้านกลุ่มพรีเมียมแมสบุฟเฟต์ ยังมีโอกาสโตเพราะในตลาดก็ยังไม่เห็นแบรนด์ Top of mind อย่างชัดเจน

 

และแม้ที่ผ่านมาหลายคนจะมองว่าสุกี้ตี๋น้อยท้าชนกับแบรนด์ใหญ่ แต่ขอยืนยันว่าไม่ได้แข่งกับใคร แค่เมื่อมองเห็นช่องว่างในตลาดก็อยากทำในสิ่งที่แตกต่างเท่านั้น และเชื่อว่าแบรนด์ใหม่จะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น พร้อมสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แบรนด์สุกี้ตี๋น้อย ที่ไม่ได้ทำได้แค่แมสเท่านั้น

 

เปิดเบื้องหลัง MK Buffet 299 บาท ไม่ใช่การทำสงครามราคา

 

ด้าน ทานตะวัน ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการ MORNING WEALTH ของ THE STANDARD ถึงกลยุทธ์การรุกตลาดบุฟเฟต์ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา MK เคยทดลองและได้ศึกษาตลาดบุฟเฟต์ตั้งแต่ระดับพรีเมียมไปจนถึงระดับราคาประหยัด (Budget Buffet) เนื่องจากเห็นถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บริษัทตัดสินใจทดลองเปิดตัว โมเดลบุฟเฟต์ราคา 299 บาท

 

หลังจากเปิดตัวโปรโมชันนี้พบว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เคยห่างหายจาก MK ไปนานกว่า 6 เดือน ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมนั้นเติบโต 370%

 

กลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้มา MK นานกว่า 3 เดือน กลับมาทานเพิ่มขึ้น เติบโต 182% โดยมีกลุ่มลูกค้าใหม่ที่อายุเฉลี่ยลดลง เป็นอายุ 26-35 เติบโตเพิ่มขึ้น 6% นอกจากนั้นยังมีลูกค้ากลับมาทานซ้ำ เฉลี่ย 27% ภายใน 2 เดือน

 

“ในฝั่งของทีมการตลาดได้มีการติดตามพฤติกรรมลูกค้า และนำข้อมูล Data มาปรับใช้ให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด”

 

ทานตะวัน ย้ำว่า การรุกตลาดบุฟเฟต์ของ MK ไม่ได้เป็นการทำ ‘สงครามราคา’ อย่างที่หลายคนมอง แต่เป็นผลมาจากการศึกษาอินไซต์ของตลาดมานาน และยังคงยึดมั่นในจุดยืนด้านคุณภาพเป็นหลัก และหากต้องการทำสงครามราคาจริง ๆ บริษัทสามารถลดราคาได้มากกว่านี้ แต่หัวใจสำคัญของ MK ไม่ใช่เรื่องของราคา แต่คือการรักษา Core Value ของแบรนด์ไว้

 

ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านและบทบาทของแบรนด์ ‘โบนัส สุกี้’

 

ทานตะวัน กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนจากร้านอาหารแบบอาลาคาร์ต มาเป็นบุฟเฟต์ที่เจาะกลุ่มตลาดแมสถือเป็นความท้าทายใหม่ แต่ในมุมของการบริหารจัดการหน้าร้านและ Supply Chain นั้นไม่มีปัญหา

 

เนื่องจาก MK มีระบบหลังบ้านที่แข็งแกร่งและทีมจัดซื้อที่พร้อมหาวัตถุดิบเข้ามารองรับความต้องการของลูกค้า และมีครัวกลางที่เพียงพอต่อการรองรับร้านกว่า 1,000 สาขา แต่ปัจจุบันนั้นยังมีราว 600-700 สาขาเท่านั้น (รวมทุกแบรนด์)

 

“สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการบริหารจัดการปริมาณของวัตถุดิบเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า”

 

 

อีกทั้งโมเดลธุรกิจบุฟเฟต์ บริษัทได้นำข้อมูลที่ได้จากการทดลองแคมเปญต่าง ๆ เช่น หมูมาราธอน และ ซีฟู้ดมาราธอน มาใช้ในการพัฒนาแคมเปญบุฟเฟต์ 299 บาท ที่เปิดตัวพร้อมกันมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ และจะนำข้อมูลเชิงลึกนี้ไปต่อยอดกับแบรนด์น้องใหม่ โบนัส สุกี้ ซึ่งเป็นแบรนด์บุฟเฟต์ที่วางโพชิชันนิ่งต่างกันกับ MK

 

ในขณะที่ MK จะเน้นลูกค้าที่เชื่อมั่นในแบรนด์และมีฐานแฟนที่แข็งแกร่ง แต่ โบนัส สุกี้ จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลง โดยปัจจุบัน โบนัส สุกี้ สาขาแรกได้เปิดให้บริการแล้ว 3 จังหวัด ได้แก่ สระบุรี ชัยนาท และกรุงเทพฯ ทั้งนี้ โบนัส สุกี้ ได้ใช้ระบบหลังบ้านร่วมกับ MK เพื่อเสริมการเติบโตให้กับบริษัทร่วมกัน

 

ส่วนในมุมของนักลงทุนที่กังวลว่าการลดราคาจะส่งผลกระทบต่อกำไร ทานตะวันยืนยันว่า แคมเปญบุฟเฟต์ได้เพิ่มทราฟฟิกให้ร้านเกินเป้าหมายที่วางไว้ และทำให้ภาพรวมรายได้ของ MK เติบโตขึ้น 5% สะท้อนได้จากร้านที่เข้าร่วมแคมเปญบุฟเฟต์มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 33% ที่สำคัญคือ สามารถดึงลูกค้าที่หายไปให้กลับมาใช้บริการได้ถึง 33% ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ซึ่งสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ได้

 

พร้อมยืนยันว่า การลงมาเล่นในตลาดบุฟเฟต์ราคาเข้าถึงง่าย ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของ MK เสียหาย เพราะบริษัทยังให้ความสำคัญกับคุณภาพ และประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับเหมือนเดิม และก้าวต่อไปของ MK จะยังมองที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และนำความต้องการของลูกค้ามาใช้พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต

 

‘ลัคกี้ สุกี้’ หนึ่งในผู้เล่นรายสำคัญ ย้ำจะไม่ลงแข่งในสงครามราคา

 

ด้านฝั่ง ‘ลัคกี้ สุกี้’ นับเป็นผู้เล่นอีกหนึ่งราย ที่กระโดดเข้ามาชิมลางในตลาดมากว่า 3 ปี ก็ยังประกาศว่าจะไม่ลงแข่งในสนามสงครามราคา เมื่อไม่นานมานี้ รสรินทร์ ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเน็ต จำกัด ผู้ก่อตั้ง ลัคกี้ สุกี้ กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ในปีนี้ร้านอาหารชาบูและสุกี้มีการแข่งขันดุเดือดที่สุดเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่าแบรนด์ขนาดใหญ่จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณด้านการตลาดจำนวนมากเพื่อรักษาฐานลูกค้า

 

 

ขณะที่แบรนด์ขนาดกลางต้องหาโปรโมชันและกิมมิกใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจไปด้วย และบางรายเลือกที่จะใช้กลยุทธ์หั่นราคา เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง ซึ่งยิ่งทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นไปอีก แต่ไม่ว่าตลาดจะแข่งขันกันดุเดือดมากแค่ไหน นโยบายของ ลัคกี้ สุกี้ จะไม่ลงไปเล่นในสงครามราคา เพราะมองว่าการแข่งขันที่มุ่งเน้นเพียงการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายในระยะสั้นนั้นไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน

 

แม้ปัจจัยของราคาจะมีผลต่อการเพิ่มความถี่ให้ลูกค้าเข้าร้านโดยตรงก็ตาม แต่การที่แบรนด์ไม่ได้ลดราคา นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ลูกค้าหายไป ซึ่งที่ผ่านมาลัคกี้จะเน้นการสร้างประสบการณ์ เพื่อดึงดูดลูกค้า

 

ไม่ว่าจะเป็นการบริการที่โดดเด่น บรรยากาศของร้านที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่น หรือการสร้าง ‘เมนูพระเอก’ ที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบมีกิมมิกเป็นช่วง ๆ เช่น การจัดแคมเปญแจกเป็ดย่างและหมูกรอบเข้ามาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

 

ท้ายที่สุด บทสรุปของสงครามครั้งนี้อาจไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะชนะ แต่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าใครจะปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภคได้อย่างแท้จริงมากกว่า

The post วิเคราะห์สงครามหม้อต้ม หลัง ‘สุกี้ตี๋น้อย’ บุกไปพรีเมียม ฟาก MK ขยับสู่ตลาดแมส เกมสวนทางใครจะชนะใจลูกค้า? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดแผน PDP 2025 ฉบับ ‘รมว.อรรถพล’ รุกพลังงานสะอาด นับหนึ่งคาร์บอน CCS -โซลาร์ชุมชน https://thestandard.co/pdp-2025-clean-energy-push/ Fri, 03 Oct 2025 11:20:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1126118

อรรถพล รมว.กระทรวงพลังงาน รุก ‘พลังงานสะอาด’ ดันโซลาร์ฟ […]

The post เปิดแผน PDP 2025 ฉบับ ‘รมว.อรรถพล’ รุกพลังงานสะอาด นับหนึ่งคาร์บอน CCS -โซลาร์ชุมชน appeared first on THE STANDARD.

]]>

อรรถพล รมว.กระทรวงพลังงาน รุก ‘พลังงานสะอาด’ ดันโซลาร์ฟาร์มชุมชน คาร์บอน CCS เขย่าแผน PDP 2025 ให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน เดินหน้า ‘Quick Big Win’ ประกาศลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล ทุกชนิด 50 สตางค์/ลิตร ย้ำแนวโน้มค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย. 69 จะไม่สูงกว่าปัจจุบัน

 

วันที่ 3 ต.ค. ที่กระทรวงพลังงาน อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล คือ การผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำผ่านการตั้งเป้าให้ไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net zero) ภายในปี 2050 จากเดิมที่จะบรรลุในปี 2065 หรือเร็วขึ้น 15 ปี

 

ดังนั้น กระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) เป็นโครงการที่ช่วยลดคาร์บอนได้จำนวนมาก เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจใช้พลังงานสะอาดแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ แต่โครงการ CCS ตอบโจทย์ในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอน ซึ่งได้มีการนําเสนอไปในสภาแล้ว

 

ทั้งนี้ การดักจับและกักเก็บคาร์บอนจะอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan: PDP 2025) ฉบับใหม่ด้วย

 

“การดักจับและกักเก็บคาร์บอน ต้องใช้ระยะเวลาเป็น 10 ปี เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่นอกชายฝั่งทะเล และถือเป็นเรื่องใหม่จึงต้องมีการปรับกฎเกณฑ์ให้รองรับและเหมาะสม โดยต้องประสานกับหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงการคลัง และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”

 

โดยมีความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานและประเทศญี่ปุ่นนําเรือเข้ามาสำรวจพื้นที่นอกชายฝั่งใต้ทะเล นับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและ มีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน 7,000 ล้านตันต่อปี ออกนอกชายฝั่งประมาณ 200 กิโลเมตร โดยจะพยายามนับหนึ่งให้ได้ภายใน 4 เดือนนี้

 

“โครงการ CCS ทำวันนี้ 10 ปีเสร็จ แต่ต้องเริ่มคิดเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เราต้องเริ่มนับหนึ่งให้ได้ ซึ่งแหล่งอาทิตย์ถือเป็นโครงการนำร่อง ของ ปตท.สผ. ซึ่งโครงการนี้จะเป็นโปรเจ็กต์หลักของประเทศอีกด้วย” อรรถพล กล่าว

 

ขณะเดียวกัน กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่าง ดำเนินการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ ปรับปรุงจากแผน PDP 2018 ให้เป็นแผน PDP ที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งจะมีการเพิ่มการดำเนินงาน Net Zero เข้ามาไว้ในแผน จะช่วยให้ภาพรวมของประเทศไปถึงเป้าที่ประกาศไว้ได้ นอกจากนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการจัดทำแผน PDP ชุดใหม่

 

เนื่องจากประธานชุดปัจจุบันได้ยื่นหนังสือลาออก ซึ่งจะมีการเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม โดยจะเสนอให้ กพช.อนุมัติชุดใหม่เร็วๆนี้

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าจะดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการแผน PDP ให้ต้องแล้วเสร็จภายในปีนี้ และพยายามจัดทำแผนฉบับใหม่ให้เสร็จภายใน 4 เดือน

 

ส่วนโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ จากโควตาของพลังงานสะอาดตาม PDP ฉบับเดิม 8,600 เมกะวัตต์ โดยจะเหลืออีก 1,500 เมกะวัตต์ นำมาใช้กับโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนโดยเฉพาะ ซึ่งให้ผู้ประกอบการร่วมกับชุมชน

 

โดยไฟฟ้าที่ได้จะจำหน่ายให้กับชุมชนส่วนไฟฟ้าที่เหลือจะขายเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Grid) โดยจะกำหนดราคาที่เหมาะสมแต่ราคาจะต่ำกว่าราคาไฟฟ้าทั่วไป ซึ่งจะมีการประชุมและอนุมัติโดย กพช. คาดว่าจะมีการประกาศเงื่อนไข เปิดรับสมัครชุมชนภายใน 4 เดือนนี้

 

‘Quick Big Win’ ลดราคาน้ำมัน-ตรึงค่าไฟ-ดึง 5 ปั๊มน้ำมัน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

 

ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ราคาพลังงานเป็นภาระของประชาชน โดยการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร

 

รวมทั้ง ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาเบนซินลงด้วย 50 สตางค์ต่อลิตรด้วย ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการน้ำมันลดเหลือ 31.44 บาทต่อลิตร (จากเดิม 31.94 บาท/ลิตร)

 

นอกจากนี้ ได้มีความร่วมมือกับบริษัทน้ำมันในการปรับลดราคากลุ่มเบนซินทุกชนิดลดลง 50 สตางค์ต่อลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (4 ตุลาคม 2568)

 

ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายและความตั้งใจในการเข้ามาดูแลราคาน้ำมันไม่ให้เป็นภาระของประชาชน

 

“ในช่วงหน้าหนาวนี้ ราคาพลังงาน ราคาน้ำมันจะกระโดดสูงขึ้น แต่จะพูดคุยหารือกันในการใช้เครื่องมือของกระทรวงเพื่อดูและไม่ให้ราคากระโดดสูงขึ้นส่วนราคาค่าไฟในช่วงหน้าหนาวนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้น”

 

อย่างไรก็ดี ค่าไฟในงวด มกราคม-เมษายน 2569 จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์พลังงานในช่วงนี้ ซึ่งเราพยายามติดตามอย่างใกล้ชิดสามารถให้คำมั่นสัญญาได้ว่าราคาค่าไฟรอบหน้าจะไม่สูงไปกว่ารอบปัจจุบัน

 

เบื้องต้นจะดำเนินการให้อยู่ในกรอบของ “การตรึงราคาหรือลดราคา” หากสามารถบริหารจัดการให้ราคาลดลงได้ก็จะรีบดำเนินการ

 

ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ ปัจจุบันถือว่าดีขึ้น ติดลบอยู่ที่ 17,838 ล้านบาท จาก 1 แสนกว่าล้านบาท และจากเงื่อนไขการใช้หนี้

 

“ขณะนี้ ได้มีการใช้หนี้เงินที่กู้มาได้เร็วกว่าแผน ดังนั้น หากมีการบริหารจัดการและเป็นไปตามแผนก็จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องพอที่จะไปดูแลราคาก๊าซหุงต้มและน้ำมันดีเซล เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการดูแลเศรษฐกิจ” อรรถพล กล่าว

 

 

อีกหนึ่งในภารกิจหลักของกระทรวงพลังงานคือการนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเข้าไปช่วยยกระดับกระบวนการผลิตของวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพ ลดต้นทุน และลดการใช้พลังงานฟอสซิล แคมเปญ “กินพี่…แล้วหมีหนาว”

 

โดยล่าสุดจับมือบริษัทพลังงานชั้นนำของประเทศ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ 5 บริษัทผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของไทย ได้แก่ PTTOR PTG เชลล์ คาลเท็กซ์ และซัสโก้ เร่งส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณภาพ ที่ผลิตจากพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ ตั้งเป้ายกระดับรายได้ให้ชุมชน สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ และร่วมลดภาวะโลกร้อน

 

อรรถพล กล่าวถึง สถานการณ์ Government Shutdown ของสหรัฐฯ นั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าติดตาม ยังขณะนี้ไม่กระทบราคาพลังงานของไทย ซึ่งน่าจะกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ พนักงานรัฐที่ต้องหยุดงานโดยไม่มีเงินเดือน ภาคการท่องเที่ยวสหรัฐฯเองมากกว่า

The post เปิดแผน PDP 2025 ฉบับ ‘รมว.อรรถพล’ รุกพลังงานสะอาด นับหนึ่งคาร์บอน CCS -โซลาร์ชุมชน appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI กำลังครองตลาดหุ้นทั่วโลก ดันหุ้นโลกบวก 6 วันรวด ขณะที่ Alibaba กลับมาร้อนแรง มูลค่าฟื้น 8 ล้านล้านบาท https://thestandard.co/ai-global-stock-market-alibaba/ Fri, 03 Oct 2025 09:46:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1126049 AI หนุนตลาดหุ้นโลก หุ้นบวกต่อเนื่อง Alibaba ฟื้นตัวมูลค่า 8 ล้านล้านบาท

ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ล่าสุด […]

The post AI กำลังครองตลาดหุ้นทั่วโลก ดันหุ้นโลกบวก 6 วันรวด ขณะที่ Alibaba กลับมาร้อนแรง มูลค่าฟื้น 8 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI หนุนตลาดหุ้นโลก หุ้นบวกต่อเนื่อง Alibaba ฟื้นตัวมูลค่า 8 ล้านล้านบาท

ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ล่าสุด ดัชนี MSCI All Country World Index ปรับตัวขึ้น 6 วันรวด ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหุ้นโลกพุ่งขึ้นมาแล้ว 18% โดยปัจจัยหนุนสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องคือ กระแสความเชื่อมั่นในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง

 

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสวนทางกับความเสี่ยงทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับภาวะ Government Shutdown สะท้อนว่าในขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักกับโอกาสการเติบโตของเทคโนโลยี AI มากกว่าความวุ่นวายทางการเมืองในระยะสั้น

 

หุ้นแพง แต่ยังห่างไกลฟองสบู่แตก

 

กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่เชื่อมโยงกับ AI ของสหรัฐฯ แข็งแกร่งมาก หลังจากที่กำไรของหลายบริษัทยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมองว่า แม้หุ้นสหรัฐฯ จะมี P/E กว่า 20 เท่า แต่ท้ายที่สุดจะค่อยๆ ลดลงจากกำไรที่เติบโตได้ทัน

 

ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีจีน อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘หุ้นแถวสอง’ ซึ่งนักลงทุนมองว่ามีโอกาสจะเติบโตตามหุ้นสหรัฐฯ ส่วนหุ้นทั่วโลกที่ยังเป็นขาขึ้นได้ปัจจัยหนุนสำคัญจากเทรนด์ดอกเบี้ยขาลง และความไม่เชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์ จึงเห็นแรงขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้เงินทุนไหลเข้ามายังตลาดหุ้น ทองคำ และคริปโต

 

“จุดที่น่าสนใจคือ กำไรของหุ้นเทคโนโลยีจะตอบรับกับความคาดหวังไปได้ต่อเนื่องแค่ไหน และเม็ดเงินการลงทุน (CAPEX) การลงทุนใน AI ที่สูงผิดปกติในช่วงนี้ หากเริ่มลดลงอาจจะเห็นตลาดหุ้นพักฐานได้ แต่เชื่อว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ อย่างเร็วน่าจะเป็นปีหน้า”​ กรรณ์กล่าว

 

กรรณ์กล่าวต่อว่า แนวโน้มหุ้นฝั่งเอเชียในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020s น่าจะกลับมาโดดเด่นกว่าหุ้นสหรัฐฯ ได้ แม้เราจะเห็นหุ้นสหรัฐฯ เติบโตได้ต่อในช่วงปี 2026 – 2028 แต่การปรับตัวขึ้นอาจไม่รุนแรงเท่ากับ 4-5 ปีที่ผ่านมา

 

โดยสรุปแล้วแม้ราคาหุ้นโลกในเวลานี้จะแพง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณอันตรายจากภาวะฟองสบู่มากนัก ต่างไปจากวิกฤตดอทคอมในอดีต เพราะกำไรของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง

 

AI พาหุ้นเทคจีนทะยาน! Alibaba พุ่งกว่า 120%

 

ฟากตลาดหุ้นจีนกำลังอยู่ในภาวะกระทิงครั้งใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในรอบหลายปี แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้คือพลังขับเคลื่อนที่ไม่ได้มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นหลักอีกต่อไป แต่มาจากกระแสความคลั่งไคล้ใน AI ซึ่งเป็นเทรนด์เดียวกับที่กำลังขับเคลื่อนตลาดหุ้นทั่วโลก

 

เอริก หว่อง ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Stillpoint Investments กล่าวว่า “ความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลจะทำและไม่ทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่จะนำเงินไปลงทุนในส่วนของเศรษฐกิจที่พวกเขาคิดว่ามีการเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษ” และส่วนนั้นก็คือ AI

 

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการพุ่งขึ้นอย่างมหาศาลของราคาหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI ในจีนนับตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะ Alibaba ผู้พัฒนาระบบ AI โอเพนซอร์สที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ราคาหุ้น พุ่งขึ้นกว่า 120% ในปีนี้ เพิ่มมูลค่าตลาดไปแล้วกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 8 ล้านล้านบาท

 

Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ผู้ผลิตชิปที่ล้ำสมัยที่สุดของจีน ราคาหุ้น ทะยานขึ้นถึงประมาณ 180% ขณะที่ Baidu, Tencent และ Xiaomi ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นราว 60% ในปีนี้

 

เมื่อเปรียบเทียบกับ Nvidia ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ AI Boom ทั่วโลก และเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นประมาณ 40% ในปีนี้

 

ที่น่าสนใจคือ ดัชนีหุ้นจีนในปัจจุบันถูกครอบงำโดยบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น โดย 3 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Tencent, Alibaba และ Xiaomi มีน้ำหนักรวมกันคิดเป็นประมาณ 30% ของดัชนี

 

วินนี วู หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นจีนของ BofA Global Research ได้ขนานนามจีนว่าเป็น “ผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งของโลกในด้าน AI” โดยชี้ถึงจุดแข็งทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐ, ข้อมูลมหาศาล, แหล่งพลังงานที่เพียงพอ, ความสามารถในการผลิตชั้นนำ และภาคเอกชนที่มีการแข่งขันสูง

 

AI ดูดเม็ดเงินทุบสถิติเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์

 

ข้อมูลล่าสุดจาก PitchBook เผยว่า สตาร์ทอัพในกลุ่ม AI ได้กลายเป็น ‘หลุมดำ’ ที่ดูดเม็ดเงินลงทุนไปแล้วถึง 1.927 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

 

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ปี 2025 กำลังจะกลายเป็นปีแรกในประวัติศาสตร์ที่เม็ดเงินลงทุน VC กว่าครึ่งหนึ่งของโลก ราว 53.2% ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรม AI เพียงกลุ่มเดียว แต่ในทางกลับกัน สตาร์ทอัพนอกสายตา โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ AI กลับกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการระดมทุน

 

ไคล์ แซนฟอร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ PitchBook สรุปภาพตลาดในปัจจุบันไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน ตลาดก็ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คุณอยู่ในวงการ AI หรือไม่ก็ไม่ใช่ คุณเป็นบริษัทใหญ่ หรือไม่ก็ไม่ใช่”

 

เงินทุนส่วนใหญ่ไม่ได้กระจายไปยังสตาร์ทอัพ AI หน้าใหม่ทั้งหมด แต่กลับไปกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทที่เป็นที่ยอมรับและเป็นผู้นำในตลาดอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นในไตรมาสล่าสุด สตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Anthropic และ xAI ของ อีลอน มัสก์ ต่างก็สามารถระดมทุนได้ในระดับหลายพันล้านดอลลาร์

 

โดยกลุ่ม AI กำลังเฟื่องฟู สตาร์ทอัพในกลุ่มอื่นๆ กลับต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้าย ทั้งจำนวนบริษัททั่วโลกที่สามารถระดมทุน VC ได้สำเร็จในปี 2025 กำลังจะแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

 

ขณะที่จำนวนบริษัท VC ที่สามารถระดมทุนจัดตั้งกองทุนใหม่ก็ลดลงเช่นกัน ข้อมูลจาก PitchBook ชี้ว่า ปีนี้มีกองทุนใหม่เพียง 823 กองทุนที่ระดมทุนได้ราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงอย่างฮวบฮาบเมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มีถึง 4,430 กองทุน ระดมทุนได้กว่า 4.12 แสนล้านดอลลาร์

 

แซนฟอร์ดอธิบายว่า ปัจจัยสำคัญมาจากผลพวงของตลาด IPO และการควบรวมกิจการ (M&A) ที่ยังคงซบเซา ทำให้นักลงทุนในกองทุน VC (Limited Partners) และบริษัท VC เอง “พิจารณาอย่างรอบคอบมากขึ้นว่าจะนำเงินไปลงทุนที่ไหน และพวกเขากำลังมุ่งเน้นไปที่ AI” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเดิมพันที่ปลอดภัยและมีศักยภาพการเติบโตสูงสุดในขณะนี้

 

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างล้นหลามต่อศักยภาพของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับระบบนิเวศสตาร์ทอัพในภาพรวม ที่อาจขาดความหลากหลายและนวัตกรรมใหม่ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เท่าที่ควร

 

ภาพ: Connect Images/KaPe Schmidt / Getty Images

อ้างอิง:

The post AI กำลังครองตลาดหุ้นทั่วโลก ดันหุ้นโลกบวก 6 วันรวด ขณะที่ Alibaba กลับมาร้อนแรง มูลค่าฟื้น 8 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุป! นโยบายเศรษฐกิจ ‘รัฐบาลอนุทิน’ KResearch มอง ‘Quick Win’ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มาก ชี้วินัยการคลังยังเป็นโจทย์ใหญ่ https://thestandard.co/anutin-gov-economic-policy-info/ Fri, 03 Oct 2025 06:05:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1125975

KResearch มอง ‘Quick Win’ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มาก ชี้ว […]

The post สรุป! นโยบายเศรษฐกิจ ‘รัฐบาลอนุทิน’ KResearch มอง ‘Quick Win’ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มาก ชี้วินัยการคลังยังเป็นโจทย์ใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

KResearch มอง ‘Quick Win’ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มาก ชี้วินัยการคลังยังเป็นโจทย์ใหญ่ ขณะที่ ‘อายุการทำงานสั้น’ อาจกดดันประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณ

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินนโยบายเศรษฐกิจ ‘รัฐบาลอนุทิน’ หลังมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29-30 กันยายน 2568

 

โดยมองว่านโยบาย Quick Win จะช่วยบรรเทาค่าครองชีพและประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ส่วนนโยบายระยะยาว คาดว่ารัฐบาลจะมีแผนเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation Plan) ที่ชัดเจนในระยะต่อไป

 

นโยบายระยะสั้นช่วยประคองเศรษฐกิจปลายปี

 

สำหรับนโยบายในระยะสั้น ซึ่งมีการมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นกำลังซื้อ แก้ปัญหาหนี้ ฟื้นภาคการท่องเที่ยว ดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และดูแลผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทาง KResearch คาดว่าจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพในระยะสั้น และประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

 

ทั้งนี้ KResearch ประเมินว่า โครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ จะเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มเติมราว 0.15% ของ GDP และมีแรงหนุนเพิ่มเติมต่อ GDP ไม่มากนัก เนื่องจากเป็นวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งถูกจัดสรรไว้ในงบประมาณเดิมอยู่แล้ว ตลอดจนกำลังซื้อยังคงอ่อนแรง ทำให้แนวโน้มการบริโภคส่วนเพิ่ม (MPC) ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

 

อย่างไรก็ดี KResearch ชี้ว่ายังคงต้องรอความชัดเจนเกี่ยวกับงบประมาณและเงื่อนไขการใช้จ่าย ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่กำหนด จึงจะสามารถประเมินผลกระทบได้อย่างแม่นยำ

 

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว KResearch คาดว่ารัฐบาลอาจพิจารณาออกมาตรการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งต้องรอรายละเอียดที่จะออกมา โดยผลต่อเศรษฐกิจคงขึ้นอยู่กับวงเงิน ช่วงเวลา พื้นที่และเงื่อนไขในการใช้จ่าย

 

โดย KResearch มองว่า การออกมาตรการในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอาจช่วยหนุนการเข้าร่วมโครงการได้ดีกว่าในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวนซึ่งอาจกระทบการพิจารณาเดินทางท่องเที่ยว

 

อย่างไรก็ดี KResearch มองว่าการท่องเที่ยวในประเทศยังเผชิญปัจจัยกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและรายได้ รวมถึงแนวโน้มการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทยที่ปัจจุบันมีความสะดวกและคุ้มค่ามากขึ้นจากการทำตลาดของบริษัทนำเที่ยว พร้อมชี้ว่าจำเป็นต้องฟื้นความเชื่อมั่น เพื่อเพิ่มการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่อาจต้องเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง

 

KResearch มองรัฐบาลใหม่เน้นรักษาวินัยทางการคลัง

 

อย่างไรก็ตาม KResearch แสดงความกังวลต่อข้อจำกัดของพื้นที่การคลัง (Fiscal Space) รวมถึงข้อกังวลสถานะการคลังจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ซึ่งกดดันให้รัฐบาลจะต้องดำเนินนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องเข้มงวดกับกรอบวินัยทางการคลังมากขึ้น

 

ทั้งนี้ KResearch ประเมินว่านโยบายเศรษฐกิจในระยะปานกลางถึงยาว จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาวินัยทางการคลัง และเน้นปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม (Reinvent Thailand)

 

ซึ่ง KResearch คาดว่าในระยะต่อไป รัฐบาลจะมีแผนเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (Fiscal Consolidation Plan) ที่ชัดเจนในการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มฐานการจัดเก็บรายได้ภาษี และการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

กรอบเวลาสั้นๆ ท้าทายการเบิกจ่ายงบ

 

นอกจากนี้ KResearch ยังแสดงความกังวลต่อ กรอบเวลาบริหารราชการซึ่งมีระยะสั้น จากการที่ต้องให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน รวมถึงความท้าทายในการผลักดันนโยบายหลักเนื่องจากเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตลอดจนการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งคาดว่าจะมีระยะเวลาทั้งสิ้นราว 8 เดือน เมื่อนับรวมช่วงรัฐบาลรักษาการ

 

อย่างไรก็ตาม KResearch ชี้ว่า ภายใต้กรอบเวลาสั้นๆ รัฐบาลสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุน ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 (เดือนมิ.ย.-ก.ย.) ได้ หลังการเบิกจ่ายมีการชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ จากช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง

 

ตามข้อมูล ณ วันที่ 26 ก.ย. 2568 การเบิกจ่ายงบลงทุนของปีงบประมาณ 68 ยังคงต่ำกว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนของปีงบประมาณ 2567 โดยการเบิกจ่ายงบลงทุน ของปีงบประมาณ 68 อยู่ที่ 60% ขณะที่การเบิกจ่ายงบลงทุน ของปีงบประมาณ 67 อยู่ที่ 65%

 

ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 KResearch คาดว่าจะมีแนวโน้มต่ำกว่าปีก่อน จากปัจจัยฐานสูงจากความต่อเนื่องของการเร่งรัดการเบิกจ่ายหลังงบประมาณปี 2567 อนุมัติล่าช้า

 

 

ภาพประกอบ: ณัฏฐ์กานต์ ดวงมาตย์พล

The post สรุป! นโยบายเศรษฐกิจ ‘รัฐบาลอนุทิน’ KResearch มอง ‘Quick Win’ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มาก ชี้วินัยการคลังยังเป็นโจทย์ใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อยากมีเงินพอใช้หลังเกษียณ ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่ ? https://thestandard.co/retirement-planning-30s-monthlysavings/ Fri, 03 Oct 2025 04:05:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1125935 Retirement-Planning-30s-MonthlySavings

‘เงิน’ หนึ่งในปัจจัยสำคัญของชีวิตมนุษย์ แต่ในช่วงต้นของ […]

The post อยากมีเงินพอใช้หลังเกษียณ ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่ ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
Retirement-Planning-30s-MonthlySavings

‘เงิน’ หนึ่งในปัจจัยสำคัญของชีวิตมนุษย์ แต่ในช่วงต้นของชีวิตหลายคนอาจไม่คำนึงถึงการวางแผนเรื่องเงินเท่าใดนัก โดยเฉพาะในวันที่เรายังมีแรงทำงานเพื่อหารายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แน่นอนและเป็นกระแสเงินสดที่ไหลเข้าสู่บัญชีทุกเดือน แต่หากปล่อยไว้นานวันเข้าจนเริ่มใกล้เกษียณ เงินเก็บของหลายๆ คนอาจไม่มากพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองหลังเกษียณ

 

บทความนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH อยากจะพาทุกคนไปตั้งคำถาม พร้อมกับสำรวจกันว่า ‘ถ้าอยากมีเงินใช้ …. บาท หลังเกษียณ จะต้องเตรียมเงินไว้เท่าไร’

 

ข้อมูลด้านล่างนี้จะเป็นการยกตัวอย่างหลายๆ สถานการณ์ ว่าถ้าหากคนวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปี มีเงินเก็บประมาณ 200,000 บาท อยากเกษียณ ตอนอายุ 60 ปี แล้วมีอายุจนถึง 80 ปี โดยที่อยากมีเงินใช้ 30,000 บาท, 50,000 บาท, 80,000 บาท, 100,000 บาท ไปจนถึง 200,000 บาทต่อเดือน จะต้องมีเงินก้อนเท่าไร ณ อายุ 60 ปี และออมเงินต่อเดือนกี่บาท หากมีอัตราเงินเฟ้อราว 3% ต่อปี

 


 

อยากมีเงินพอใช้หลังเกษียณ ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่ ?

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

The post อยากมีเงินพอใช้หลังเกษียณ ต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่ ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
วางแผนการเงินง่ายๆ ฉบับชาว Gig Economy https://thestandard.co/gig-economy-financial-planning/ Fri, 03 Oct 2025 03:37:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1125921 Gig Economy

ชาว Gen Z รุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงที่โลกกำลั […]

The post วางแผนการเงินง่ายๆ ฉบับชาว Gig Economy appeared first on THE STANDARD.

]]>
Gig Economy

ชาว Gen Z รุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว พวกเขาให้ความสำคัญกับอิสระและความยืดหยุ่นในชีวิต ไม่ได้มองหางานประจำที่ต้องเข้าออฟฟิศ 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็นอีกต่อไป แต่ Gen Z จำนวนมากเลือกที่จะทำงานในรูปแบบ Gig Economy เช่น ฟรีแลนซ์, ครีเอเตอร์, ค้าขายออนไลน์ หรือทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆ

 

รูปแบบการทำงานนี้มีข้อดีและมีอิสระมากมาย แต่ก็มีความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาวที่ต้องบริหารจัดการให้ดี

 

ทำไม Gen Z ถึงเลือก Gig Economy?

 

Gig Economy กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามรายงานของธนาคารโลกปี 2023 มีแรงงานแบบ Gig มากถึง 435 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งคิดเป็น 12.5% ของแรงงานทั้งหม่ และในปี 2027 ในประเทศพัฒนาแล้ว ครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมดคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ Gig Economy ซึ่งเติบโตเร็วกว่าแรงงานแบบดั้งเดิมถึง 3 เท่า โดยมี Gen Z เป็นผู้นำเทรนด์

 

ซึ่งจุดเด่นของ Gig Economy ที่ดึงดูดใจชาว Gen Z ก็คือความอิสระและยืดหยุ่นในการทำงานทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ และจะรับงานกับใครก็ได้ งานมีความหลากหลายไม่น่าเบื่อ รวมทั้งโอกาสทำเงินที่มากกว่า ขึ้นอยู่กับความสามารถและความขยันโดยตรง

 

ความเสี่ยงทางการเงินที่ชาว Gig ต้องเผชิญ

 

อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นของ Gig Economy มาพร้อมกับความเสี่ยงทางการเงิน ซึ่งชาว Gig มักจะละเลยการให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

 

  1. รายได้ไม่สม่ำเสมอ

 

ความท้าทายหลักของชาว Gig คือ รายได้อาจมาเป็นก้อนใหญ่ในเดือนนี้ แต่อาจหายไปเลยใน 2-3 เดือนข้างหน้า การเงินจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจ หรือการแข่งขันในตลาด

 

  1. ขาดสวัสดิการพื้นฐาน

 

ชาว Gig ไม่ได้สิทธิประโยชน์อัตโนมัติเหมือนพนักงานประจำ เช่น ประกันสุขภาพกลุ่ม, วันลาป่วย/ลาพักร้อนแบบมีค่าจ้าง, หรือเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 

  1. ภาระการจัดการภาษีด้วยตนเอง

 

ภาษีอยู่ทุกที่ คนทำงานแบบ Gig ต้องรับผิดชอบการจัดการภาษีทั้งหมดด้วยตัวเอง หลายงานก็ไม่มีหัก ณ ที่จ่ายให้ และต้องรวมยอดรายได้จากทุกแหล่งมาคำนวณภาษีทั้งหมด

 

4 เสาหลักแผนการเงินที่ชาว Gig ควรเตรียมพร้อม

 

เพื่อสร้างความมั่นคงและอิสระทางการเงินในระยะยาว ชาว Gig ควรสร้างแผนการเงินที่รัดกุมกว่าพนักงานประจำ

 

  1. กองทุนสำรองฉุกเฉินต้องมีมากกว่า

 

เมื่อรายได้ไม่สม่ำเสมอ เงินสำรองฉุกเฉิน จึงเป็นสิ่งสำคัญไว้เพื่อป้องกันความไม่แน่นอน เราควรแยกบัญชีเงินสำรองฉุกเฉินออกจากบัญชีรายจ่ายประจำอย่างชัดเจน 

 

จำนวนที่เหมาะสม: ในขณะที่พนักงานประจำอาจสำรอง 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย แต่ชาว Gig ที่รายได้ผันผวน ควรตั้งเป้าไว้ที่ 6-12 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ เช่น หากมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท ก็ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 120,000 – 240,000 บาท เพื่อรองรับช่วงที่งานขาดมือหรือต้องหยุดพักเนื่องจากปัญหาสุขภาพ

 

ที่เก็บ: ควรเก็บไว้ในบัญชีที่มีสภาพคล่องสูงและถอนง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง หรือ กองทุนรวมตลาดเงิน

 

  1. การจัดการภาษีอย่างเป็นระบบ

 

การจัดการภาษีเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะรายได้จะถูกโอนเข้ามาโดยที่ไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเหมือนพนักงานประจำ

 

แยกบัญชีโดยเฉพาะ: เปิดบัญชีธนาคาร 1 บัญชีสำหรับรับเงินค่าจ้างฟรีแลนซ์โดยเฉพาะ แยกออกจากบัญชีที่ใช้จ่ายส่วนตัว เมื่อได้รับเงินเข้ามา ให้โอนเงินส่วนหนึ่ง (เช่น 20-30% ของรายได้) ไปเก็บไว้ในบัญชีสำรองสำหรับจ่ายภาษี เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเงินพร้อมจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อถึงกำหนด 

 

จัดเก็บข้อมูลรายรับรายจ่าย: เก็บบันทึกข้อมูลรายรับให้ครบถ้วน และรวบรวมหลักฐานค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อนำมาลดหย่อนภาษี

 

ยื่นภาษีอย่างถูกต้อง: รายได้มีหลายประเภท ซึ่งการคำนวณภาษีจะแตกต่างกัน รวมถึงเวลาในการชำระภาษีที่ต่างออกไปด้วย ควรศึกษารายได้แต่ละก้อนของเราให้ดี เพื่อชำระภาษีอย่างถูกต้องตรงเวลา

 

  1. ทำประกันสุขภาพ ป้องกันความเสี่ยงให้ตัวเอง

 

เมื่อเราคือ ‘CEO’ และ ‘พนักงาน’ ของตัวเอง การดูแลสุขภาพคือการรักษาสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด และยิ่งเราเป็นชาว Gig ที่ขาดสวัสดิการประกันสุขภาพจากนายจ้าง การเตรียมการด้านสุขภาพจึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะหากเจ็บป่วย รายได้จะหยุดทันทีและยังต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย

 

ประกันสังคม: หากเราไม่ได้เป็นพนักงานประจำ ควรสมัคร ประกันสังคมมาตรา 40 (ทางเลือก 1-3) เพื่อรับความคุ้มครองพื้นฐานด้านการรักษาพยาบาล และเงินชดเชยรายได้บางส่วน

 

ซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติม: พิจารณาซื้อประกันสุขภาพส่วนบุคคล เพื่อเพิ่มความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่า และลดความเสี่ยงที่เงินสำรองฉุกเฉินจะต้องถูกนำมาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากรายได้ที่หยุดลงทันทีเมื่อป่วย และพิจารณาประกันชดเชยรายได้เพิ่มเติม เพราะหากต้องนอนโรงพยาบาล เราก็ยังได้เงินชดเชยเป็นรายวันแม้จะทำงานไม่ได้

 

ประกันอุบัติเหตุ: สำหรับงานที่ต้องเดินทางบ่อย หรือทำงานที่มีความเสี่ยงจากการเดินทาง ควรมีประกันอุบัติเหตุติดตัวไว้

 

  1. แผนเกษียณระยะยาว

 

แม้การเกษียณจะดูยังเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับ Gen Z แต่สุดท้าย Gen Z ก็จะเติบโตขึ้นถึงวัยที่ทำงานไม่ไหว และยิ่งเราอยู่ใน Gig Economy ที่ไม่มีนายจ้าง ก็หมายความว่า เราต้องรับผิดชอบการเกษียณของตัวเอง 100% การเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจะทำให้ได้เปรียบมากกว่า

 

เมื่อเราจ่ายภาษีครบแล้ว ควรนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนเพื่ออนาคต โดยใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐมอบให้

 

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): RMF (Retirement Mutual Fund) คือตัวเลือกที่ดีที่สุดและคล้าย PVD ที่สุดสำหรับผู้ไม่มีงานประจำ เพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อ การออมระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มที่

 

ลักษณะ: เป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่เราเลือกเอง (หุ้น, ตราสารหนี้, ทองคำ ฯลฯ)

 

ประโยชน์หลัก:

  • ลดหย่อนภาษี: สามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออม/ลงทุนเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  • ยืดหยุ่น: เลือกจำนวนเงินลงทุนและนโยบายการลงทุนได้เอง ไม่ต้องมีนายจ้างช่วยสมทบ
  • เงื่อนไข: ต้องถือหน่วยลงทุนจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม

 

ประกันชีวิตแบบบำนาญ: หากเราต้องการความแน่นอนว่าจะมีเงินบำนาญเข้ามาอย่างสม่ำเสมอหลังเกษียณ ประกันบำนาญคือคำตอบ

 

ลักษณะ: เป็นการออมเงินกับบริษัทประกัน โดยบริษัทจะรับประกันว่าจะจ่ายเงินบำนาญคืนให้เราเป็นงวดๆ ตั้งแต่ช่วงอายุที่กำหนด (เช่น อายุ 60 ปี) ไปจนถึงช่วงอายุที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

 

ประโยชน์หลัก:

  • ลดหย่อนภาษี: สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (และเมื่อรวมกับ RMF และการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท)
  • ความแน่นอน: ให้ความมั่นคงเรื่องกระแสเงินสดหลังเกษียณตามที่ระบุในสัญญา

 

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): สำหรับคนทำงานแบบไม่มีนายจ้างที่ยังไม่มีการออมระยะยาวอย่างจริงจัง หรือมีรายได้ไม่แน่นอน กอช. (National Savings Fund – NSF) เป็นทางเลือกที่ดีที่รัฐบาลมีส่วนช่วยสมทบ

 

ลักษณะ: เป็นการออมแบบสมัครใจสำหรับแรงงานนอกระบบ

 

ประโยชน์หลัก:

  • รัฐบาลช่วยสมทบ: เราจะได้เงินสมทบจากรัฐบาลเพิ่มเติมตามช่วงอายุ และได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน
  • จ่ายเป็นบำนาญ: เมื่ออายุครบ 60 ปี และมีเงินสะสมเพียงพอ จะได้รับเงินคืนเป็นบำนาญรายเดือน
  • เงื่อนไข: ผู้สมัครกอช. ต้องไม่มีประกันสังคม (ม.40 ทางเลือก 1 เข้าร่วมได้) ไม่เป็นข้าราชการ ไม่มีกบข. ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

 

ประกันสังคม ม.40 ทางเลือก 2 และ 3: เงินที่ผู้ประกันตนมาตรา 40 ทางเลือก 2 และ 3 จะได้รับเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน จะเป็น “เงินบำเหน็จชราภาพ” ซึ่งจะได้เป็นก้อนแค่ครั้งเดียว ซึ่งประกอบด้วย เงินสะสม + เงินสมทบจากรัฐ + ผลประโยชน์ตอบแทน

 

Gig Economy มีข้อได้เปรียบในเรื่องของอิสระและความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตและการทำงาน แต่ความสำเร็จในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีแผนการเงินที่แข็งแรงและมีวินัย

 

จงทำงานอย่างอิสระ แต่อย่าลืมวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบและมีวินัย เริ่มต้นด้วยการสร้างเงินสำรองฉุกเฉิน, จัดการภาษีให้ครบถ้วน, ซื้อประกันสุขภาพที่เหมาะสม, และเริ่มต้นแผนเกษียณตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มมีรายได้

 

วางรากฐานการเงินตั้งแต่วันนี้ เพื่อเป็นชาว Gig ที่มีอิสระได้อย่างแท้จริงไปตลอดชีวิต

 

อ้างอิง:

 

The post วางแผนการเงินง่ายๆ ฉบับชาว Gig Economy appeared first on THE STANDARD.

]]>