Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 08 Dec 2025 12:01:16 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘ศุภจี’ รับเจรจาภาษีสหรัฐฯ เสี่ยงปิดดีลไม่ทันสิ้นปี’68 หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา https://thestandard.co/thai-us-trade-talks-delayed-border-clash/ Mon, 08 Dec 2025 12:00:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1152468 ‘ศุภจี’ รับเจรจาภาษีสหรัฐฯ เสี่ยงปิดดีลไม่ทันสิ้นปี’68 หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

รัฐมนตรีพาณิชย์ ‘ศุภจี’ เผยเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา อา […]

The post ‘ศุภจี’ รับเจรจาภาษีสหรัฐฯ เสี่ยงปิดดีลไม่ทันสิ้นปี’68 หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ศุภจี’ รับเจรจาภาษีสหรัฐฯ เสี่ยงปิดดีลไม่ทันสิ้นปี’68 หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

รัฐมนตรีพาณิชย์ ‘ศุภจี’ เผยเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา อาจฉุดเจรจาภาษีสหรัฐฯ ล่าช้า ชี้ไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่ม เดินหน้าเจรจาทุกช่องทาง แม้ไม่มั่นใจปิดดีลทันปี’68

 

วันที่ 8 ธ.ค. ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึง กรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุดจะมีผลกระทบต่อเจรจาภาษีสหรัฐฯ หรือไม่นั้น ปัจจุบันเจรจาภาษีสหรัฐฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจาในรายละเอียด
ในส่วนที่ไม่ใช่ของภาษีและมีเป้าหมายให้ได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้

 

โดยส่วนตัว ‘ไม่กังวล’ เพราะมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไทยไม่ได้เป็นฝ่ายผิด และไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

 

“เชื่อว่าสหรัฐฯ ไม่ได้นำ 2 เรื่องนี้ มาปนกัน เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนั้นคือช่วงที่ทหารไปเหยียบกับระเบิด ซึ่งประเทศกัมพูชา ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่คุยกัน ดังนั้นไม่ใช่ความผิดของเรา”

 

ทั้งนี้ ไทยจะยังดำเนินการเจรจาต่อไปทุกช่องทางต่างๆ แม้ว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะส่งหนังสือมาระงับการเจรจาชั่วคราวไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์ความขัดแย้งจะยุติลง ซึ่ง ทางทีมไทยแลนด์ได้ส่งหนังสือยืนยัน ว่ายังมีความประสงค์ที่จะเจรจาต่อ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อยังไม่มีการได้ข้อสรุปและเซ็น สัญญาหรือเซ็นข้อตกลงถือว่าไทยก็ยังคงมีความยืดหยุ่นทางการค้า ผลกระทบเพียงอย่างเดียวที่ไทย ได้รับในขณะนี้คือ ‘ความไม่แน่นอน’ ต้องจับตาสถานการณ์หลังจากนี้ต่อไป

 

ขณะเดียวกัน ในอีกด้านอาจเป็นประโยชน์ กรณีอาจประวิงเวลาในการพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ได้เจรจาสิ้นสุดลงไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ศุภจี ยอมรับว่า “ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเจรจาสำเร็จได้ ทันภายในสิ้นปี 2568 ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่”

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

โดยต้องติดตาม กรณีศาลฎีกาสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการไต่สวนว่าคำสั่งของประธานาธิบดี สหรัฐฯจะเห็นชอบหรือไม่

 

ศุภจี ย้ำอีกว่า “การเจรจาไทยสหรัฐฯไม่น่าเกี่ยว กับเหตุปะทะไทยกัมพูชาและเห็นว่าสิ่งที่ไทยตอบโต้ เป็นไปด้วยความสมเหตุสมผล ทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง และสหรัฐฯ น่าจะเข้าใจและไม่ตั้งเงื่อนไขเพิ่มกับไทย แม้จะไม่สามารถผลการเจรจาได้ในสิ้นปีนี้ เชื่อว่าไม่น่ามีผลอะไรไปมากกว่านี้ เพราะอัตราภาษีถูกเรียกเก็บไปแล้วตามอัตราเดิม 19%”

 

ศุภจี ระบุถึงผลกระทบอีกว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการติดตาม ผลกระทบสถานการณ์ค้าขายบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาอย่างใกล้ชิด ว่าจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเดิมมากน้อยแค่ไหน

 

แต่หากย้อนไปช่วงกลางปี หลังจากเหตุการณ์ปะทะ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งได้มีดำเนินการปิดด่านไทยกัมพูชาไปแล้ว ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ลดลงต่อเนื่องไปแล้ว 99.99%

 

สำหรับตัวเลขการค้าชายแดนไทยกัมพูชา 10 เดือนแรกของปี มีมูลค่า 95,554 ล้านบาท ติดลบ 36.68% ในจำนวนนี้ส่งออก 72,844 ล้านบาท ติดลบ 38.43% ส่วนการนำเข้า อยู่ที่ 22,710 ล้านบาท ติดลบ 30.32%

 

เฉพาะเดือนตุลาคมเดือนเดียว มีมูลค่าอยู่ที่ 9 ล้านบาท ติดลบ 99.94% แยกเป็น ส่งออก 9 ล้านบาท ติดลบ 99.93% นำเข้า 320,000 บาท ติดลบ 99.99 %

 

สำหรับ การดำเนินงานกระทรวงพาณิชย์ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เดินหน้า “เยียวยาน้ำท่วม-ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” 2 ภารกิจคู่ขนาน เร่งมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย 3 ระยะ ผ่าน 7 นโยบายเรือธง Quick Big Win

 

ทั้งนี้ ประเมินสรุปผลงานในช่วง 2 เดือน โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 68 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3.5 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.18% ของ GDP

 

“ในปี 69 จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนหน้า หรือเทียบเท่า 0.46% ของ GDP” ศุภจีกล่าวทิ้งท้าย

The post ‘ศุภจี’ รับเจรจาภาษีสหรัฐฯ เสี่ยงปิดดีลไม่ทันสิ้นปี’68 หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
คลังชง 3 มาตรการการออมเข้าครม. เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท แต่คนรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้น้อยลงเป็น 0.7 เท่า https://thestandard.co/thai-finance-ministry-tax-deduction-800k-income-group-split/ Mon, 08 Dec 2025 10:59:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1152451 คลังชง 3 มาตรการการออมเข้าครม. เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท แต่คนรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้น้อยลงเป็น 0.7 เท่า

เอกนิติ รมว.คลัง ชง 3 มาตรการการออมเข้า ครม.เศรษฐกิจ เพ […]

The post คลังชง 3 มาตรการการออมเข้าครม. เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท แต่คนรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้น้อยลงเป็น 0.7 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
คลังชง 3 มาตรการการออมเข้าครม. เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท แต่คนรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้น้อยลงเป็น 0.7 เท่า

เอกนิติ รมว.คลัง ชง 3 มาตรการการออมเข้า ครม.เศรษฐกิจ เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดเป็น 800,000 บาท แต่ปรับสูตรคำนวณลดหย่อนระหว่างคนรายได้สูงกว่าและต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี

 

วันนี้ (8 ธันวาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งที่ 7/2568 ได้หารือ 3 มาตรการการออม ภายใต้ เสาหลักที่ 5 ‘เพิ่มการออมภาคประชาชน’ ของนโยบาย ‘Quick Big Win’ เพื่อเตรียมความพร้อมให้คนไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยจะมีการเพิ่มแหล่งระดมเงินออม รวมถึงเพิ่มความเป็นธรรมให้คนรายได้น้อย และระดมเงินเข้าตลาดทุนมากขึ้น

 

โดยมาตรการที่ 1 คือการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดเป็น 800,000 บาท ให้กับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ซึ่งจะเป็นการลดหย่อนถาวร ไม่จำเป็นต้องขอใหม่ปีต่อปี และจะมีการปรับเกณฑ์ลดหย่อนเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมให้แก่ผู้มีรายได้น้อย

 

โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถลดหย่อนได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.3 เท่า ส่วนผู้มีรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนได้น้อยลงเป็น 0.7 เท่า ต่างจากเดิมที่ทุกคนซื้อลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า ในกรอบเพดานสูงสุด

 

“ทุกคนจะได้เต็มที่สูงสุด 800,000 บาทเหมือนกัน นับเป็นการจัดระบบให้มีความเรียบร้อย” ดร.เอกนิติกล่าว

 

นอกจากนี้ มีมาตรการจูงใจให้คนเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น ด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีจ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ย วงเงิน 200,000 บาทแรก ให้กับผู้ที่ถือหน่วยลงทุนเกิน 5 ปีอีกด้วย

 

มาตรการที่ 2 จำหน่าย พันธบัตร ‘ออม พลัส’ ให้กับประชาชนทุกเดือน ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคง โดยมีราคาขั้นต่ำที่ 1,000 บาท ตามราคาตลาด นับเป็นการเพิ่มแรงจูงใจสำหรับการออม

 

มาตรการที่ 3 ยกเว้นอากรให้กับผู้ซื้อประกันวินาศภัย ไม่ว่าจะเป็น ประกันน้ำท่วม หรือประกันท่องเที่ยว เพื่อทำให้ผู้ซื้อประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance) กล้าซื้อประกันมากขึ้น

 

ดร.เอกนิติระบุว่า “การยกเว้นอากรจะช่วยให้คนกล้าซื้อประกัน เพราะโลกทุกวันนี้ความเสี่ยงเยอะขึ้น”

 

สำหรับการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ รวมถึงความคืบหน้าโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 ดร.เอกนิติระบุว่าอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดร่วมกับทีมเศรษฐกิจ โดยจะชี้แจงอีกครั้งเมื่อได้ข้อสรุป อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติ ระบุว่าทั้งสองมาตรการยังไม่ได้มีการหารือกันในครม.เศรษฐกิจครั้งนี้

 

ส่วนกรณีเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจกระทบต่อการเจรจาการค้ากับทางสหรัฐฯ ด้านดร.เอกนิติ ระบุว่า วันนี้ได้มีการพูดคุยกับ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยมอบนโยบายให้หารือกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายไทยได้มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติมองว่า ไทยไม่ใช่ฝ่ายผิด เนื่องจากกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดการโจมตีก่อนโดยกล่าวว่า “แต่เราไม่ได้เป็นคนทำผิด วันนี้เขาเป็นคนทำผิดมาโจมตีเราก่อน”

The post คลังชง 3 มาตรการการออมเข้าครม. เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 8 แสนบาท แต่คนรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้น้อยลงเป็น 0.7 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หอการค้าไทย’ แถลงการณ์ย้ำจุดยืน ความมั่นคงชาติต้องมาก่อนเศรษฐกิจ หวังรัฐยุติปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ โดยเร็ว https://thestandard.co/thai-cambodia-border-trade-closure-economic-impact-300-billion/ Mon, 08 Dec 2025 10:55:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1152446 ‘หอการค้าไทย’ แถลงการณ์ย้ำจุดยืน ความมั่นคงชาติต้องมาก่อนเศรษฐกิจ หวังรัฐยุติปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ โดยเร็ว

หอการค้าไทยย้ำความมั่นคงต้องมาก่อนเศรษฐกิจ พร้อมหนุนรัฐ […]

The post ‘หอการค้าไทย’ แถลงการณ์ย้ำจุดยืน ความมั่นคงชาติต้องมาก่อนเศรษฐกิจ หวังรัฐยุติปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ โดยเร็ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หอการค้าไทย’ แถลงการณ์ย้ำจุดยืน ความมั่นคงชาติต้องมาก่อนเศรษฐกิจ หวังรัฐยุติปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ โดยเร็ว

หอการค้าไทยย้ำความมั่นคงต้องมาก่อนเศรษฐกิจ พร้อมหนุนรัฐเร่งคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สงบโดยเร็ว

 

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในนามภาคเอกชนไทย ขอแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีเหตุปะทะเกิดขึ้นเพิ่มเติมในช่วงที่ผ่านมา

 

โดยขอเรียนย้ำว่า ภาคเอกชนมิได้สนับสนุนให้เกิดความรุนแรง การเผชิญหน้า หรือสงครามในทุกรูปแบบ

 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประเทศไทยถูกละเมิดอธิปไตย และมีการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างประเทศหลายครั้ง ประเทศไทยย่อมมีสิทธิและความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนตามหลักสากล

 

หอการค้าไทยเห็นว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นต้องแยกแยะประเด็นด้าน ความมั่นคง ออกจากประเด็นทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยความมั่นคงของประเทศและชีวิตของประชาชนต้องมาก่อนเศรษฐกิจเป็นลำดับแรก

 

“แม้ภาคธุรกิจจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากการปิดด่านการค้าชายแดนที่ยืดเยื้อมากกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อการค้าชายแดน การลงทุน และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ”

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ทั้งนี้ ภาคเอกชนเห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวจำเป็น ต้องได้รับการจัดการอย่างเด็ดขาด ชัดเจน และยุติโดยเร็ว เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในเวทีนานาชาติ และทำให้ระบบเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

 

หอการค้าไทยจึงขอสนับสนุนรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาให้จบโดยเร็ว และโดยสิ้นเชิง รวมถึงการพิจารณามาตรการที่เหมาะสมและจำเป็น หากต้องมีการดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศอย่างชัดเจน

 

ในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนเห็นว่า การสื่อสารกับนานาชาติระหว่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ภาครัฐควรเร่งสื่อสาร ทำความเข้าใจ และชี้แจงอย่างเป็นระบบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากประเทศไทยเป็นฝ่ายเริ่มต้น แต่เป็นผลจากการละเมิดข้อตกลงและอธิปไตยของไทย โดยฝั่งกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ลดความคลาดเคลื่อน และรักษาภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลก

 

ทั้งนี้ หอการค้าไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายลงโดยเร็ว นำไปสู่ความสงบเรียบร้อย สันติภาพ และความมั่นคงของประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยและประชาชนชาวไทยในระยะยาว

 

รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ด่าน และมี 1 ด่าน เป็นจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว 1 เขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ

 

ข้อมูลจากกองความร่วมมือการค้าและการลงทุน กรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า ปี 2024 การค้าระหว่างไทยและกัมพูชา มีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 300,000 ล้านบาท

 

โดยส่วนใหญ่ไทยส่งออกไปกัมพูชาประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 90% ส่วนอีก 10% เป็นการนำเข้าจากกัมพูชา และไทยเกินดุลการค้ากัมพูชาประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์

 

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ข้างต้น จึงมีการปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชาทั้งหมด ส่งผลให้มูลค่าการค้าหายไปกว่า 99.99%

The post ‘หอการค้าไทย’ แถลงการณ์ย้ำจุดยืน ความมั่นคงชาติต้องมาก่อนเศรษฐกิจ หวังรัฐยุติปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ โดยเร็ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลอง “เล่าข่าว” ผ่าน “เล่าข้าว” และ “เสียงดนตรี” เมื่อเอกลักษณ์ท้องถิ่น ถูกแปรเปลี่ยนสู่เครื่องดื่ม และเสียงดนตรี ที่ให้กลิ่นอายความเป็นไทย https://thestandard.co/gao-hang-music-drink-thai-identity/ Mon, 08 Dec 2025 10:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1152191 ลอง “เล่าข่าว” ผ่าน “เล่าข้าว” และ “เสียงดนตรี” เมื่อเอกลักษณ์ท้องถิ่น ถูกแปรเปลี่ยนสู่เครื่องดื่ม และเสียงดนตรี ที่ให้กลิ่นอายความเป็นไทย

เมื่อ “ดนตรี” และ “ข้าว” มาอยู่ด้วยกัน จะเป็นอย่างไร? ห […]

The post ลอง “เล่าข่าว” ผ่าน “เล่าข้าว” และ “เสียงดนตรี” เมื่อเอกลักษณ์ท้องถิ่น ถูกแปรเปลี่ยนสู่เครื่องดื่ม และเสียงดนตรี ที่ให้กลิ่นอายความเป็นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลอง “เล่าข่าว” ผ่าน “เล่าข้าว” และ “เสียงดนตรี” เมื่อเอกลักษณ์ท้องถิ่น ถูกแปรเปลี่ยนสู่เครื่องดื่ม และเสียงดนตรี ที่ให้กลิ่นอายความเป็นไทย

เมื่อ “ดนตรี” และ “ข้าว” มาอยู่ด้วยกัน จะเป็นอย่างไร? หลายคนคงนึกภาพไม่ออก วันนี้จะ “เล่าข่าว” แบบง่ายๆ ผ่าน “เล่าข้าว-เก้าหาง” ให้ทุกคนเห็นภาพ พร้อมเคล้าคลอไปกับ “เสียงดนตรี” กลิ่นอายท้องถิ่นสื่อถึงความเป็นข้าวไทย ที่ได้ศิลปิน-นักดนตรีที่เราคุ้นเคยอย่าง “แม็กซ์ เจนมานะ” ศิลปินและผู้ร่วมก่อตั้ง “เบียร์ประดิษฐ์” พร้อมด้วย “เฮียวิทย์ 8 Minutes History” หรือ “ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน” เจ้าพ่อสายเล่าประวัติศาสตร์ และ “อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา” เจ้าของฉายา “เจ้าพ่อโพสต์โมเดิร์น” กับ

 

In Conversation เจาะลึกเรื่อง “ข้าว” และประวัติความเป็นมา ในงาน “เล่าข้าว : What We Talk About When We Talk About Rice”

 

ตำนาน “เก้าหาง (Gao Hang)”

นานมาแล้วเรามีสุนัขวิเศษเก้าหาง ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เป็นเพื่อนคู่ใจ มันลอบขึ้นไปบนฟ้าแล้วใช้หางทั้งเก้าตวัดกองข้าว ที่เหล่าเทวดาเก็บไว้
แต่ “ตัวฟ้า” หรือ “แถน” เห็นเหตุการณ์
จึงหยิบขวานมาขว้างใส่เจ้าสุนัขวิเศษถึงแปดครั้ง
เหลือเพียงหางเดียวไม่สามารถโบยบินได้อีกต่อไป
แต่หางเดียวนั้นก็เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์จากสรวงสวรรค์
และมนุษย์ก็เริ่มสามารถเพาะปลูกข้าวได้นับจากนั้นมา

 

โดย “เก้าหาง (Gao Hang)”

คือความเคารพต่อเหล้าข้าวของไทย กลั่นจากข้าวหอมมะลิ 100%
ผ่านกระบวนการหมักและกลั่นในสไตล์เก้าหาง บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยบทสนทนาเรื่องเล่าจากข้าว เติมเต็มด้วยเสียงดนตรีสไตล์ Experimental Healing Music ดนตรีที่ใช้ข้าวเล่าเรื่อง ทำให้เราได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของยุคสมัยจากอดีตถึงปัจจุบัน

 

[PR News]

The post ลอง “เล่าข่าว” ผ่าน “เล่าข้าว” และ “เสียงดนตรี” เมื่อเอกลักษณ์ท้องถิ่น ถูกแปรเปลี่ยนสู่เครื่องดื่ม และเสียงดนตรี ที่ให้กลิ่นอายความเป็นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เควิน แฮสเซตต์’ ขึ้นแท่นตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ หนุนความหวังตลาดต่อทิศทางลดดอกเบี้ยเชิงรุก ดันความเชื่อมั่นนโยบายการเติบโต https://thestandard.co/kevin-hassett-emerges-candidate-for-fed-chairman/ Mon, 08 Dec 2025 09:56:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1152377 ‘เควิน แฮสเซตต์’ ขึ้นแท่นตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ หนุนความหวังตลาดต่อทิศทางลดดอกเบี้ยเชิงรุก ดันความเชื่อมั่นนโยบายการเติบโต

ท่ามกลางการจับตาทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ล่าสุดสำนั […]

The post ‘เควิน แฮสเซตต์’ ขึ้นแท่นตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ หนุนความหวังตลาดต่อทิศทางลดดอกเบี้ยเชิงรุก ดันความเชื่อมั่นนโยบายการเติบโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เควิน แฮสเซตต์’ ขึ้นแท่นตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ หนุนความหวังตลาดต่อทิศทางลดดอกเบี้ยเชิงรุก ดันความเชื่อมั่นนโยบายการเติบโต

ท่ามกลางการจับตาทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg ระบุว่า ชื่อของเควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ กลับมาโดดเด่นอีกครั้งในฐานะตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ หลังมีรายงานว่าตลาดตอบรับเชิงบวกต่อความเป็นไปได้ที่แฮสเซตต์จะทำหน้าที่ต่อจากเจอโรม พาวเวล ซึ่งจะสิ้นสุดวาระลงในปี 2026 ความสอดคล้องด้านนโยบายกับรัฐบาลและท่าทีสนับสนุนการลดดอกเบี้ยเชิงรุก ทำให้แฮสเซตต์ถูกมองว่าเป็นผู้ที่จะนำพา Fed เข้าสู่ยุคใหม่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ขณะเดียวกัน ตลาดกำลังถกเถียงเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลางและผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

 

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า เควิน แฮสเซตต์ หรือ ดร. เควิน อัลเลน แฮสเซตต์ (Dr. Kevin Allen Hassett) ไม่ใช่หน้าใหม่ในแวดวงเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ผ่านประสบการณ์การทำงานมาอย่างยาวนาน เช่น

  • นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์สายอนุรักษ์นิยมที่ได้รับการยอมรับสูง เคยทำงานใน Fed และ Columbia Business School รวมทั้งเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับจอร์จ ดับเบิลยู บุช มิตต์ รอมนีย์ แม้แต่อดีตประธาน Fed ระดับตำนานอย่าง อลัน กรีนสแปน
  • มีผลงานด้านวิจัยและงานสอนในสถาบันเศรษฐกิจชั้นนำ รวมถึงสถาบัน American Enterprise Institute
  • จบการศึกษาระดับปริญญาเอก ดีกรี Ph.D. จาก University of Pennsylvania
  • เคยดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ (CEA) ระหว่างปี 2017–2019 ในรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก
  • ปี 2025 กลับมารับตำแหน่งผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ (National Economic Council: NEC) ในรัฐบาลทรัมป์สมัยที่สอง

 

ก่อนหน้านี้ แม้แฮสเซตต์เคยปฏิเสธในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CBS ว่า “ตนยังไม่ขอยืนยันอะไรเกี่ยวกับตำแหน่งประธาน Fed” แต่ตลาดกลับตอบรับข่าวลืออย่างดี เพราะเล็งเห็นสัญญาณว่า ทรัมป์กำลังใกล้เลือกตัวจริงมากขึ้นแล้ว ในอดีต แฮสเซตต์เคยตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของ Fed อาจได้รับอิทธิพลทางการเมือง โดยระบุว่า Fed ขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่มีการผ่านกฎหมายลดภาษี แต่กลับลดดอกเบี้ยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนผลประโยชน์ทางการเมืองแฝงอยู่ในกระบวนการตัดสินใจ

 

จุดยืนด้านนโยบายที่สอดคล้องกับทำเนียบขาว

 

นักวิเคราะห์ระบุว่า แฮสเซตต์มีความสอดคล้องกับทรัมป์อย่างชัดเจนในหลายด้าน ทั้งนโยบายลดภาษี การลดกฎระเบียบ และท่าทีสนับสนุนการกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต แฮสเซตต์เป็นหนึ่งในผู้เรียกร้องให้ Fed ลดดอกเบี้ยในอัตราที่มากกว่าเดิม โดยมองว่าการปรับลดดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนธันวาคมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสนับสนุนภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ แฮสเซตต์ยังเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่วิจารณ์แนวทางการขึ้นดอกเบี้ยของพาวเวลอย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่าการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัจจัยที่ถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 

ความกังวลต่อความเป็นอิสระของ Fed

 

แม้แฮสเซตต์จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร แต่หลายฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระในการทำงาน เพราะ Fed คือ ‘ผู้กุมบังเหียนเศรษฐกิจโลก’ การขยับดอกเบี้ยเพียง 0.25% สามารถเขย่าตลาดหุ้นทั่วโลกและส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจได้ทันที

 

สื่อในสหรัฐฯ หลายสำนักต่างรายงานในทิศทางเดียวกันว่า ความใกล้ชิดระหว่างแฮสเซตต์กับทรัมป์อาจทำให้ Fed ถูกกดดันให้คงนโยบายดอกเบี้ยต่ำเกินไปในระยะยาว และอาจทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจสั่นคลอน เช่น

  • Washington Post เตือนว่า Fed อาจลังเลที่จะขึ้นดอกเบี้ยแม้มีความจำเป็น
  • Business Insider ระบุว่า การเมืองอาจเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจเชิงนโยบายของ Fed
  • Austan Goolsbee ประธาน Fed ชิคาโกกล่าวว่า หากการเมืองมีบทบาทมากเกินไป อาจนำพาสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ “เงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้นและอัตราว่างงานที่สูงขึ้น”

 

ขณะนี้ แฮสเซตต์ยังคงอยู่ในรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายร่วมกับ เควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการ Fed สายเหยี่ยว และคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการ Fed ปัจจุบัน โดยทรัมป์อาจประกาศชื่อประธาน Fed คนใหม่ปลายเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเป็นของขวัญคริสต์มาสให้กับทุกคน ตามคำให้สัมภาษณ์ของ สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ

 

Dot Plot 2026: ปัจจัยชี้ขาดทิศทางทองคำรอบใหม่

 

แม้ตลาดจะให้ความสนใจกับการประชุม Fed ในเดือนธันวาคมนี้ โดยคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งที่สามของปีนี้ แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ตัวเลขดอกเบี้ยก็คือ Dot Plot หรือแผนภูมิที่บ่งชี้มุมมองของกรรมการ Fed ต่อแนวโน้มดอกเบี้ยในปีต่อๆ ไป

 

ข้อมูลในรอบเดือนกันยายนที่ผ่านมาชี้ว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเพียงปีละครั้งในช่วงปี 2026 – 2027 ซึ่งเป็นการปรับลดแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ตลาดจับตาว่า Dot Plot รอบใหม่นี้จะส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยที่เร็วกว่าหรือมากกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่

 

หาก Dot Plot บ่งชี้ว่าการลดดอกเบี้ยเร่งตัวเร็วขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า และกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ในทางตรงกันข้าม หาก Fed ส่งสัญญาณว่าการลดดอกเบี้ยต้องเลื่อนออกไป หรือมีจำนวนครั้งน้อยลง ราคาทองคำอาจถูกกดดันในระยะสั้น แม้ภาพรวมระยะยาวยังได้รับแรงหนุนจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

 

“โดยรวมแล้ว Dot Plot ปี 2026 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีอิทธิพลต่อทิศทางราคาทองคำมากกว่าที่คาดการณ์ไว้” ธนรัชต์ กล่าวสรุป

 

ภาพ: Chip Somodevilla/Getty Images

The post ‘เควิน แฮสเซตต์’ ขึ้นแท่นตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ หนุนความหวังตลาดต่อทิศทางลดดอกเบี้ยเชิงรุก ดันความเชื่อมั่นนโยบายการเติบโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5% https://thestandard.co/thailands-gdp-growth-to-slow-in-2026/ Mon, 08 Dec 2025 09:44:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1152373 OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5%

OECD คาด GDP ประเทศไทยปี 2026 เติบโต 1.5% ชะลอลงจากปีนี […]

The post OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5% appeared first on THE STANDARD.

]]>
OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5%

OECD คาด GDP ประเทศไทยปี 2026 เติบโต 1.5% ชะลอลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 2% จากผลกระทบเชิงลบของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ส่วนปี 2027 มีโอกาสกลับมาเติบโต 2.6% ด้านสถาบันป๋วยชี้ปัญหาหลักเศรษฐกิจไทยคือ ผลิตภาพ (Productivity) เติบโตต่ำเพียง 0.5% โดยเฉลี่ย

 

จากการประชุมหารือระดับสูงและเผยแพร่รายงานสำรวจและประเมินสถานะทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ปี 2568 (Thailand’s Economic Survey 2025) ดร. František Ruzicka, OECD Deputy Secretary-General เปิดเผยถึงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย (OECD Economic Survey of Thailand) ฉบับล่าสุด ซึ่งเป็นฉบับแรกนับตั้งแต่ไทยได้สถานะ ‘ประเทศผู้สมัคร’ การเข้าเป็นสมาชิก OECD ในปี 2024

 

ดร. František กล่าวว่า แนวโน้ม GDP ไทยคาดว่าจะเติบโต 2% ในปี 2025 จากนั้นชะลอตัวเล็กน้อยเหลือ 1.5% ในปี 2026 และกลับมาเร่งตัวขึ้นในปี 2027 เป็น 2.6% ที่ผ่านมากิจกรรมทางเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีได้รับแรงหนุนจากการเร่งส่งออกก่อนหน้ากำแพงภาษีที่อาจสูงขึ้น แต่ในครึ่งปีหลังการเติบโตอ่อนแรงลงจากการค้าและการลงทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเติบโตจะฟื้นตัวในปี 2027 เมื่อผลกระทบจากกำแพงภาษีผ่านพ้นไป

 

OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5% 1

 

“ไทยประสบความสำเร็จในการเพิ่มรายได้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ระหว่างปี 2000 ถึง 2024 รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นจากราว 30% ของค่าเฉลี่ย OECD มาอยู่ที่กว่า 40% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในกลุ่ม G20 ที่ระดับ 35% อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงการเติบโตของผลิตภาพที่อ่อนแอ ตอกย้ำถึงความสำคัญที่ต้องมีการปฏิรูปใหม่อีกครั้ง”

 

ทั้งนี้ OECD มีข้อเสนอแนะหลัก 4 ด้าน ได้แก่

 

ด้านที่ 1 การปรับปรุงสถานะทางการคลัง (Fiscal Position) เป็นกุญแจสำคัญในการรับประกันความยั่งยืนของหนี้ เพดานหนี้สาธารณะของไทยที่ 70% ของ GDP ถือเป็นหลักยึดที่สำคัญ (ระดับหนี้ปัจจุบันอยู่ที่ 65%) การจะทำให้หนี้สาธารณะลดลงต้องเริ่มจากการรักษาเสถียรภาพการขาดดุลงบประมาณในระยะสั้น และเพิ่มความเข้มแข็งของกฎวินัยการคลัง

 

อีกส่วนที่สำคัญคือรายได้ภาษีของไทยที่ค่อนข้างต่ำเพียง 17% ของ GDP เทียบกับกลุ่มประเทศ OECD ที่เฉลี่ย 34% โดยไทยมีโอกาสเพิ่มรายได้ผ่าน 2 ทางเลือก คือ 1) การเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันยังต่ำอยู่ที่ 7% และ 2) การลดเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำเพื่อให้คนเข้าสู่ระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากขึ้น

 

ด้านที่ 2 เพิ่มการเติบโตของผลิตภาพ (Productivity) ไทยเป็นประเทศแรกๆ ในอาเซียนที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลก แต่ผลิตภาพแรงงานเริ่มโตช้าลงเหลือเฉลี่ย 2.1% เทียบกับ 4.8% ในอดีต ไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory reforms) ลดขั้นตอนราชการ โดย OECD พบว่าไทยมีกฎระเบียบที่เข้มงวดเป็นอันดับ 4 จาก 47 ประเทศ

 

ด้านที่ 3 ปรับโครงสร้างธุรกิจและแก้ปัญหาแรงงานนอกระบบ ที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจไทยมีบทบาทสูงและสร้างความบิดเบือนในตลาด ควรให้อำนาจองค์กรกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ในการจัดการพฤติกรรมกีดกันการแข่งขันของรัฐวิสาหกิจ และทำให้รัฐวิสาหกิจต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกับเอกชน

 

ด้านที่ 4 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไทยมีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากโลกรวน ต้นทุนความเสียหายเฉลี่ย 0.7% ของ GDP ต่อปี ต้องลงทุนในระบบเตือนภัยและโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อภัยพิบัติ การลดคาร์บอนในภาคพลังงานเป็นกุญแจสำคัญสู่ Net Zero 2050 ต้องทยอยเลิกใช้ถ่านหินและขยายพลังงานหมุนเวียน

 

สถาบันป๋วยชี้ Productivity ของไทยเหลือโตเพียง 0.5%

 

ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยว่า การเติบโตของผลิตภาพของไทยต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จาก 3.4% – 3.9% ระหว่างปี 1991 – 2020 ลงมาเหลือ 0.5% ในช่วงปี 2021 – 2024

 

“ในอดีตไทยได้ประโยชน์จากการย้ายแรงงานจากเกษตรไปสู่ภาคการผลิต แต่ปัจจุบันภาคบริการมีบทบาทมากขึ้นแต่กลับมีผลิตภาพต่ำ ทำให้ภาพรวมชะลอตัว ผลิตภาพต่ำกระจายตัวไปทั่ว โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labor intensive)”

 

สาเหตุหลักของผลิตภาพที่ลดลงมาจากหลายสาเหตุ ทั้งการลงทุนภาคเอกชนที่ลงมาต่ำกว่า 2% นานนับทศวรรษ, คุณภาพแรงงานไม่ตรงความต้องการ, หนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจสูงทำให้ขาดสภาพคล่อง และนโยบายรัฐที่ไม่แน่นอนทำให้เอกชนไม่กล้าวางแผนระยะยาว

 

OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5% 2

 

ขณะเดียวกัน 70% ของแรงงานไทยทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีผลิตภาพต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และ SMEs มีผลิตภาพต่ำกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก ทั้งๆ ที่ SMEs มีสัดส่วนต่อ GDP ไทยถึง 35%

 

ดร.โสมรัศมิ์ เสนอว่าภาครัฐ เอกชน และภาคการเงิน ต้องทำงานร่วมกัน แยกกันทำไม่ได้ผล รัฐต้องสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้อง เอกชนต้องนำเรื่องนวัตกรรม

 

OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5% 3

 

ภาพ: Valeria Mongelli/Anadolu via Getty Images

The post OECD คาด GDP ไทยปี 2026 โตช้าลงเหลือ 1.5% สถาบันป๋วยชี้ปัญหาผลิตภาพโตต่ำเพียง 0.5% appeared first on THE STANDARD.

]]>
เดอะมอลล์งัดกลยุทธ์ ‘รบเฉพาะในสนามที่เราชนะ’ ทุ่ม 500 ล้าน ผนึก Sekiguchi ส่ง ‘มอนชิชิ’ ดึงทราฟฟิกส่งท้ายปี https://thestandard.co/themall-group-monchhichi-campaign-500-million/ Mon, 08 Dec 2025 08:29:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1152329 เดอะมอลล์งัดกลยุทธ์ ‘รบเฉพาะในสนามที่เราชนะ’ ทุ่ม 500 ล้าน ผนึก Sekiguchi ส่ง ‘มอนชิชิ’ ดึงทราฟฟิกส่งท้ายปี

เดอะมอลล์ กรุ๊ป กางแผนโค้งสุดท้ายปี 2568 ชูโมเดลการตลาด […]

The post เดอะมอลล์งัดกลยุทธ์ ‘รบเฉพาะในสนามที่เราชนะ’ ทุ่ม 500 ล้าน ผนึก Sekiguchi ส่ง ‘มอนชิชิ’ ดึงทราฟฟิกส่งท้ายปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เดอะมอลล์งัดกลยุทธ์ ‘รบเฉพาะในสนามที่เราชนะ’ ทุ่ม 500 ล้าน ผนึก Sekiguchi ส่ง ‘มอนชิชิ’ ดึงทราฟฟิกส่งท้ายปี

เดอะมอลล์ กรุ๊ป กางแผนโค้งสุดท้ายปี 2568 ชูโมเดลการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยวัฒนธรรม ‘Fandom Culture’ และกระแสของสะสมที่กำลังขยายวงกว้าง จากกลุ่มเฉพาะทางสู่ฐานลูกค้าหลักอย่าง Gen Z และกลุ่มครอบครัว ซึ่งเทรนด์ดังกล่าวกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดทราฟฟิกเข้าสู่ศูนย์การค้า

 

ล่าสุด ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 500 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปี โดยผนึกกำลังกับ เซกิกูชิ (Sekiguchi) เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์อย่าง ‘มอนชิชิ’ (Monchhichi) เพื่อนำเสนอความอบอุ่นแบบไทยเข้ากับซอฟต์พาวเวอร์ของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนอกประเทศญี่ปุ่นที่มีการนำเสนอคาแรกเตอร์นี้ในรูปแบบวัฒนธรรมท้องถิ่น

มีทั้งบรรยากาศการตกแต่ง ‘มอนชิชิ คริสต์มาสธีม’ นำคาแรคเตอร์มอนชิชิ มาใช้บนกระดาษห่อของขวัญและถุงช้อปปิ้งเฉพาะเทศกาลนี้ ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ เอ็มโพเรียม และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ รวมถึงพรีเมี่ยม มอนชิชิ ลิมิเต็ด คอลเลคชัน เป็นต้น ซึ่งแคมเปญนี้จะจัดตั้งแต่ 6 พฤศจิกายน 2568 – 11 มกราคม 2569 นี้ ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ทุกสาขา เอ็มโพเรียม พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์

 

วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ช่วงปลายปีถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของธุรกิจค้าปลีกและการท่องเที่ยว รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจปลายปีอย่างมีนัยสำคัญ จึงมุ่งสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความสนุกสนาน มีเอกลักษณ์ และดึงดูดผู้คนทุกกลุ่ม ตั้งแต่ครอบครัว คนรุ่นทำงาน ไปจนถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

นอกจากการใช้คาแรกเตอร์มาร์เก็ตติ้งแล้ว เดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ของ The Mall Lifestore อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาและรองรับงานสเกลระดับนานาชาติ อาทิ การรีโนเวทสาขาบางกะปิและบางแค ให้มีพื้นที่รองรับกิจกรรม Fan Meeting ของศิลปินเกาหลี หรือการจัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนร้านค้าให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น

 

อีกทั้งในยุคที่สินค้าสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ลูกค้าจึงไม่ได้มาเดินห้างฯ เพียงเพื่อช้อปปิ้ง แต่ต้องการมาเพื่อสัมผัสความบันเทิงในศูนย์การค้า เห็นได้จากความสำเร็จของโซนสวนน้ำ หรือการจัดกิจกรรมบ้านผีสิงซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีทำให้เห็นว่าผู้บริโภคยุคใหม่พร้อมที่จะจ่ายเงินเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่แปลกใหม่และหาไม่ได้จากโลกออนไลน์

 

อีกหนึ่งแม่เหล็กสำคัญคือกลุ่ม Food & Gourmet ซึ่งยังคงเป็นเซกเมนต์ที่เติบโตสูงสุดสอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าหลังโควิดที่นิยมทานอาหารนอกบ้าน หรือเลือกซื้อสินค้าแบบพร้อมปรุงคุณภาพสูง กูร์เมต์ มาร์เก็ต จึงปรับกลยุทธ์ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบพรีเมียมและการดึงร้านอาหารระดับมิชลิน ไกด์ เข้ามาเสริมทัพ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ

 

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซัน คาดการณ์ว่าบรรยากาศการจับจ่ายจะกลับมาคึกคัก โดยตั้งเป้ายอดขายให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แม้กำลังซื้อระดับกลางอาจทรงตัว จากภาวะหนี้ครัวเรือน แต่กลุ่มลูกค้าระดับบนยังคงมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง โดยมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น โครงการช้อปดีมีคืน ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายได้จริงในวงกว้าง

“เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะบริหารงบการตลาดอย่างระมัดระวัง โดยใช้กลยุทธ์ ‘รบในสนามที่เราชนะ’ โดยจะเลือกโฟกัสเฉพาะแคมเปญที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ” แม่ทัพการตลาดเดอะมอลล์กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจยังต้องเผชิญกับความท้าทายในอนาคต โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่ Aging Society และปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนรุ่นใหม่ โจทย์ใหญ่ของการตลาดในปีหน้าจึงเป็นการบริหารจัดการให้ลูกค้าที่มีจำนวนจำกัดกลับมาใช้บริการถี่ขึ้น รวมถึงการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเพื่อชดเชยกำลังซื้อในประเทศที่อาจไม่เพียงพอ

The post เดอะมอลล์งัดกลยุทธ์ ‘รบเฉพาะในสนามที่เราชนะ’ ทุ่ม 500 ล้าน ผนึก Sekiguchi ส่ง ‘มอนชิชิ’ ดึงทราฟฟิกส่งท้ายปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี https://thestandard.co/microsoft-frontier-firms-ai-returns/ Mon, 08 Dec 2025 08:28:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1152326 อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’ Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี

ในงาน Microsoft Ignite 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ […]

The post อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’ Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี

ในงาน Microsoft Ignite 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้ ไมโครซอฟท์ได้ตอกย้ำวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการผลักดันให้องค์กรธุรกิจยกระดับสู่การเป็น ‘Frontier firms’ หรือผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI

 

โดยชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เพียงส่วนเสริม (Add-on) อีกต่อไป แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องถูกนำมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกเลเยอร์ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานอย่างศูนย์ข้อมูล ไปจนถึงเครื่องมือที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพของบุคลากรในทุกแผนก

 

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัว Work IQ ฟีเจอร์อัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับ Microsoft 365 Copilot และระบบนิเวศของ AI Agent โดย Work IQ ถูกออกแบบมาให้เข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้ผ่านแกนหลักคือ ‘ความทรงจำ’ (Memory) และ ‘การอนุมาน’ (Inference) เพื่อเรียนรู้สไตล์การทำงาน พฤติกรรม และความต้องการเฉพาะบุคคล

 

จากนั้นนำมาประมวลผลเพื่อคาดการณ์การดำเนินการถัดไปที่ดีที่สุด ซึ่งจะผสานอยู่ในแอปพลิเคชันหลักอย่าง Word, Outlook และ Teams ทำให้ Copilot สามารถมอบประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน อาทิ Agent Mode ใน Microsoft 365 ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานร่วมกับ Copilot เพื่อสร้างเอกสารและสเปรดชีตคุณภาพสูงได้แบบ End-to-End, Sales Development Agent ที่เชื่อมต่อข้อมูลจาก CRM อย่าง Salesforce เพื่อช่วยทีมขายปิดการขายได้เร็วขึ้น

 

และ Teams Mode ที่เปลี่ยน Copilot ให้เป็นเสมือนเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยจัดการวาระการประชุมได้ครบวงจร รวมถึงการเปิดตัว Microsoft 365 Copilot Business ในราคา 21 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้ เพื่อขยายโอกาสให้ธุรกิจ SMEs เข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้ง่ายขึ้น

 

ในฝั่งของการบริหารจัดการองค์กร ไมโครซอฟท์ได้นำเสนอโซลูชัน Fabric IQ และ Foundry IQ ที่ช่วยให้ AI Agent เข้าใจบริบททางธุรกิจและเชื่อมโยงข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆ เข้ากับความต้องการจริง ทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน (Real-time)

 

ควบคู่ไปกับ Microsoft Agent 365 เครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบและกำกับดูแลความปลอดภัยของ AI Agent ทั้งหมดในองค์กรผ่านระบบ Registry กลาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านไอทีและภัยคุกคามทางไซเบอร์

 

จากการสำรวจร่วมกับ IDC ผู้นำทางธุรกิจกว่า 4,000 คน พบว่าองค์กรที่เป็น Frontier firms หรือผู้ที่นำ AI มาปรับใช้ในฟังก์ชันธุรกิจอย่างจริงจัง สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าผู้ที่เริ่มต้นช้าถึง 3 เท่า โดย 71% ของบริษัทเหล่านี้วางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณด้าน AI

 

และ 58% กำลังใช้โซลูชัน AI แบบปรับแต่งเองเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยคาดการณ์ว่าการใช้งาน Agentic AI จะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวในอีก 2 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่า AI ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกธุรกิจยุคใหม่

The post อย่าตกขบวน ‘Frontier firms’! Microsoft ชี้องค์กรที่ใช้ AI จริงจัง สร้างผลตอบแทนเหนือคู่แข่ง 3 เท่า เผยเทรนด์ Agentic AI จ่อโต 3 เท่าใน 2 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCB EIC เปิดผลสำรวจ ‘กับดักหนี้’ ลามคนชั้นกลาง-บน เสี่ยงฉุดการบริโภคไทยปีหน้าโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี https://thestandard.co/scb-eic-debt-trap-middle-upper/ Mon, 08 Dec 2025 08:25:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1152324 SCB EIC เปิดผลสำรวจ ‘กับดักหนี้’ ลามคนชั้นกลาง-บน เสี่ยงฉุดการบริโภค ไทย ปีหน้าโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี

เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณน่ากังวล เมื่อ ‘การบริโภคภาคเอกชน’ […]

The post SCB EIC เปิดผลสำรวจ ‘กับดักหนี้’ ลามคนชั้นกลาง-บน เสี่ยงฉุดการบริโภคไทยปีหน้าโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCB EIC เปิดผลสำรวจ ‘กับดักหนี้’ ลามคนชั้นกลาง-บน เสี่ยงฉุดการบริโภค ไทย ปีหน้าโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี

เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณน่ากังวล เมื่อ ‘การบริโภคภาคเอกชน’ เครื่องยนต์หลักที่เคยแบก GDP กำลังจะหมดแรง SCB EIC เผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคล่าสุด พบสัญญาณอันตราย ‘รายได้โตไม่ทันรายจ่าย’ ลุกลามจากกลุ่มเปราะบางสู่ ‘คนรายได้ปานกลาง-สูง’ พร้อมเปิด 3 ปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดรั้งกำลังซื้อในระยะข้างหน้า

 

ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำต่อเนื่อง โดยประเมิน GDP ปีนี้ไว้ที่ 2.1% และมองว่าปีหน้าจะชะลอตัวลงเหลือเพียง 1.5% ซึ่งหนึ่งในปัจจัยกดดันสำคัญคือ การบริโภคภาคเอกชน ที่ขยายตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

เจาะลึก 3 ปัจจัย ทำไมการบริโภคไทย ‘หมดแรง’

ดร.ปุณยวัจน์ ระบุว่า การบริโภคภาคเอกชนถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่มีสัดส่วนเกือบ 60% ของ GDP ไทย ในอดีตเคยเติบโตได้ระดับ 5-6% แต่ในปีนี้คาดว่าจะโตเพียง 2.6% และปีหน้าอาจเหลือเพียง 1.9% ซึ่งหากตัดช่วงวิกฤตโควิด-19 ออกไป จะถือเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีโดยมีสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่:

  • ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ โดยดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับการบริโภคที่ชะลอตัว
  • การเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น (Credit Crunch) ซึ่งแม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงมาอยู่ที่ 87% แต่เป็นการลดลงที่ไม่สะท้อนสุขภาพการเงินที่ดี เพราะเกิดจากสินเชื่อครัวเรือนที่ติดลบ ติดต่อกัน 2 ไตรมาสเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สะท้อนว่าคนไทยกู้เงินมาบริโภคได้ยากขึ้นเนื่องจากปัญหาคุณภาพหนี้ (NPL)
  • รายได้ฟื้นตัวช้ากว่าที่คิด ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเผยความจริงที่น่าตกใจว่า รายได้ของครัวเรือนไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ‘ลดลง’ เมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อนหน้า ในรูปของตัวเงิน สวนทางกับภาวะปกติที่รายได้ควรเติบโตขึ้น

 

SCB EIC เปิดผลสำรวจ ‘กับดักหนี้’ ลามคนชั้นกลาง-บน เสี่ยงฉุดการบริโภค ไทย ปีหน้าโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี 1

 

เจาะผลสำรวจ SCB EIC เมื่อ ‘คนรายได้สูง’ เริ่มสั่นคลอน

 

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค (SCB EIC Consumer Survey) ในช่วงสิ้น
ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ จากกลุ่มตัวอย่างเกือบ 2,000 คน พบข้อมูลที่สะท้อนความเปราะบางทางการเงินที่รุนแรงขึ้น ดังนี้

 

1. พบปัญหา ‘รายได้โตไม่ทันรายจ่าย’ ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 70% ระบุว่ารายได้เท่าเดิมหรือลดลง ในขณะที่ 90% ระบุว่ารายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคกว่า 1 ใน 3 เผชิญปัญหารายได้โตไม่ทันรายจ่าย ที่น่ากังวลคือ ปัญหานี้ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่กลุ่มรายได้น้อย ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน อีกต่อไป แต่เริ่มลามเข้าสู่ กลุ่มรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง 30,000 – 50,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งพบว่ามีปัญหานี้ถึง 50% หรือครึ่งหนึ่งของกลุ่ม

 

2. ภาระหนี้ชนเพดาน (Debt Service Ratio) สูงลิ่ว ในกลุ่มที่มีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย พบว่า 35% ต้องนำเงินรายได้ไปจ่ายหนี้มากกว่า 60% ต่อเดือน และที่น่าตกใจที่สุดคือ กลุ่มรายได้น้อยกว่า 1 ใน 5 ระบุว่าต้องจ่ายหนี้มากกว่า 100% ของรายได้ หรือ หาเงินได้ 100 บาท ต้องจ่ายหนี้มากกว่า 100 บาท ซึ่งสะท้อนว่าต้องดึงเงินเก็บมาใช้หรือกู้นอกระบบมาหมุนเวียน

 

3. กลุ่มเสี่ยงใหม่ จ่ายไหวแต่ ‘ตึงมือ’ ผลสำรวจพบกลุ่ม ‘สีเหลืองและสีเทา’ หรือกลุ่มคนที่มีรายได้ 30,000 – 100,000 บาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ แต่ยอมรับว่าการจ่ายหนี้เริ่มมีปัญหาและตึงตัวมาก คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ในอนาคต หากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ

 

SCB EIC เปิดผลสำรวจ ‘กับดักหนี้’ ลามคนชั้นกลาง-บน เสี่ยงฉุดการบริโภค ไทย ปีหน้าโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี 2

 

4. กับดักสินเชื่อดิจิทัลและพฤติกรรมฟุ่มเฟือย สำหรับกลุ่มที่ผิดนัดชำระหนี้ไปแล้ว นอกจากสาเหตุเรื่องรายได้ไม่พอจ่าย อีกปัจจัยที่เพิ่มขึ้นคือ ‘การก่อหนี้เกินตัว’ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงง่าย เช่น แอปพลิเคชันเงินกู้ หรือ Buy Now Pay Later ซึ่งพบว่าราว 4-5% ของผู้ผิดนัดชำระหนี้ระบุว่าสินเชื่อรูปแบบนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หมุนเงินไม่ทัน

 

แนะทางออกแก้หนี้อย่างยั่งยืนด้วยกลยุทธ์ ‘3 ป.’

 

ดร.ปุณยวัจน์ ทิ้งท้ายว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องยากแต่จำเป็นต้องทำ โดยเสนอแนวทาง 3 ด้าน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ดังนี้

  • ป. ปรับ โดยภาครัฐ ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการแก้หนี้ เช่น การค้ำประกันเครดิต หรือมาตรการจูงใจสถาบันการเงิน
  • ป. ปล่อย โดยสถาบันการเงิน ปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) และควรมีกลไก ‘ให้รางวัล’ ลูกหนี้วินัยดีให้สามารถปิดหนี้ได้เร็วขึ้น ไม่ใช่เน้นแต่บทลงโทษ
  • ป. เปลี่ยน โดยลูกหนี้ ผู้กู้ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วางแผนการเงิน และหารายได้เสริมเพื่อลดความเสี่ยง

 

ทั้งนี้ การแก้หนี้จะสำเร็จได้ เศรษฐกิจต้องเติบโตไปพร้อมกัน เพื่อให้รายได้ของประชาชนกลับมาขยายตัวและรองรับภาระหนี้ได้ในระยะยาว

The post SCB EIC เปิดผลสำรวจ ‘กับดักหนี้’ ลามคนชั้นกลาง-บน เสี่ยงฉุดการบริโภคไทยปีหน้าโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมดปัญหาไปเก้อ! ท็อปส์ จับมือ Google Cloud เปิดตัว ‘AI Chatbot’ เช็กสต็อกสินค้าหน้าร้านได้เรียลไทม์ ครั้งแรกในไทย https://thestandard.co/tops-google-ai-stock-real-time/ Mon, 08 Dec 2025 08:21:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1152317 หมดปัญหาไปเก้อ ท็อปส์ จับมือ Google Cloud เปิดตัว ‘AI Chatbot’ เช็กสต็อกสินค้าหน้าร้านได้เรียลไทม์ ครั้งแรกในไทย

ท็อปส์ ธุรกิจกลุ่มฟู้ดในเครือเซ็นทรัล รีเทล ประกาศเดินห […]

The post หมดปัญหาไปเก้อ! ท็อปส์ จับมือ Google Cloud เปิดตัว ‘AI Chatbot’ เช็กสต็อกสินค้าหน้าร้านได้เรียลไทม์ ครั้งแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมดปัญหาไปเก้อ ท็อปส์ จับมือ Google Cloud เปิดตัว ‘AI Chatbot’ เช็กสต็อกสินค้าหน้าร้านได้เรียลไทม์ ครั้งแรกในไทย

ท็อปส์ ธุรกิจกลุ่มฟู้ดในเครือเซ็นทรัล รีเทล ประกาศเดินหน้ากลยุทธ์ดิจิทัลครั้งสำคัญผ่านความร่วมมือกับ Google Cloud เปิดตัวนวัตกรรมแชทบอท AI เจเนอเรชันใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ‘Google Cloud’s Conversational Agents’

 

AI ดังกล่าวมาพร้อมฟีเจอร์ในการตรวจสอบสต็อกสินค้าภายในสาขาแบบเรียลไทม์เป็นครั้งแรก ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเช็กความพร้อมของสินค้าที่สาขาใกล้บ้านได้ทันทีก่อนออกเดินทาง ลดความซ้ำซ้อนและเชื่อมต่อประสบการณ์ช้อปปิ้งระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ

 

สเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล มองว่าเทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมค้าปลีกโลก ทั้งในด้านวิธีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและการมอบประสบการณ์ที่แม่นยำ สอดคล้องกับเทรนด์ ‘Hyper-personalization’ และการเสริมศักยภาพออมนิแชแนลที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดในอนาคต โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีอัตราการเติบโตด้าน AI ในธุรกิจค้าปลีกอย่างรวดเร็ว ซึ่งท็อปส์มุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อยกระดับความสะดวกสบายสูงสุดให้แก่ผู้บริโภค

 

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จเดิม โดยมุ่งเน้นประโยชน์การใช้งานจริง ระบบสนทนาอัจฉริยะรุ่นใหม่สามารถส่งมอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทั้งการติดตามสถานะคำสั่งซื้อ การค้นหาสาขา และการตรวจสอบสินค้าคงคลัง ซึ่งช่วยให้ลูกค้าวางแผนการจับจ่ายได้แม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในสาขา ลดภาระงานของพนักงานหน้าร้าน และทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

อรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กูเกิล คลาวด์ ประเทศไทย ขยายความว่าความร่วมมือนี้สะท้อนศักยภาพของ ‘AI Agents’ ในการเปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็นประโยชน์ที่จับต้องได้สำหรับผู้บริโภค ทำให้ท็อปส์สามารถก้าวข้ามระบบอัตโนมัติแบบเดิมไปสู่การให้บริการที่รวดเร็วและชาญฉลาดขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ พร้อมเชื่อมต่อประสบการณ์ลูกค้าในทุกช่องทางเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ด้านนวัตกรรมและผลตอบแทนทางธุรกิจให้กับอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย

 

ในเชิงเทคนิค อาชิช อโรรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ระบุว่าระบบถูกออกแบบโดยยึดประสบการณ์มนุษย์เป็นหลัก รองรับความซับซ้อนของภาษาไทยและสำเนียงท้องถิ่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกเหมือนสนทนากับพนักงานจริง โดยระบบสามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อและการตรวจสอบสต็อกได้อย่างรวดเร็ว พร้อมรองรับการโต้ตอบที่เกิดขึ้นพร้อมกันได้นับพันรายการในทันที

 

นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค นวัตกรรมนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในเชิงธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุนงานบริการลูกค้าและสร้างฐานข้อมูลเชิงลึกด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งท็อปส์จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้วางกลยุทธ์ทางธุรกิจและเสริมความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดค้าปลีกที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

สำหรับทิศทางในอนาคต ท็อปส์วางแผนที่จะขยายผลไปสู่การใช้ระบบ ‘Personalized Shopping Intelligence’ ในระยะถัดไป โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า เพื่อปรับโปรโมชันและคำแนะนำสินค้าให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งของแต่ละบุคคล เป้าหมายคือการก้าวสู่การเป็นผู้ช่วยช้อปปิ้งอัจฉริยะที่สามารถตอบโจทย์และเข้าใจความต้องการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

The post หมดปัญหาไปเก้อ! ท็อปส์ จับมือ Google Cloud เปิดตัว ‘AI Chatbot’ เช็กสต็อกสินค้าหน้าร้านได้เรียลไทม์ ครั้งแรกในไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>