Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 18 Nov 2025 15:31:52 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ https://thestandard.co/slump-beats-hamburger-crisis/ Tue, 18 Nov 2025 12:26:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1144732 สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’

สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร […]

The post สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’

สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ จับตาสินเชื่อ SME หดตัวหนักสุด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ธปท.มอง แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในอนาคตขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

 

วันนี้ (18 พฤศจิกายน) สมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส 3 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวอยู่ที่ -1.0% จากระยะเดียวกันปีก่อน และนับเป็นการติดลบ 5 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว

 

โดยการหดตัวดังกล่าวมาจากสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่หดตัวหนักขึ้นจาก ติดลบ 3.3% ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ มาอยู่ที่ติดลบ 4% ในไตรมาสล่าสุด ท่ามกลางสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง

 

ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.7% ในไตรมาส 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากขยายตัว 0.5% ในไตรมาสก่อนหน้า ท่ามกลางภาวะความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง ขณะที่การชำระคืนหนี้เพิ่มขึ้น

 

 

ส่องสถานการณ์ ‘สินเชื่อไทย’ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ

 

สมชายกล่าวต่อว่า อัตราการหดตัวในปัจจุบันไม่ได้รุนแรงเท่ากับช่วงวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) หรือช่วง ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ในช่วงปี 2552 ซึ่งคราวนั้น สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) หดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส (-3.2% ใน Q3/52 และ -1.7% ใน Q4/52)

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการหดตัวครั้งนี้จะไม่ลึกเท่า แต่ดูเหมือนจะ ‘ลากยาวกว่า’ เนื่องจาก ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มีการฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ภายในประมาณ 2 ไตรมาส

 

ส่วนเมื่อครั้ง ‘วิกฤตการเงินเอเชีย’ หรือ ‘ต้มยำกุ้ง’ ในปี 2540 มีบริบทที่แตกต่างกันกับปัจจุบันโดยสิ้นเชิง โดยครั้งนั้นเป็นวิกฤตของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และกระทบภาคธนาคารไทยอย่างหนัก จากปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน หรือเงินบาทที่อ่อนค่า

 

โดยในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งนั้น สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ (ไม่รวมเครือ) หดตัวถึง 12.1% ในปี 2541 และหดตัวต่อเนื่องถึงปี 2544

 

ขณะที่ในช่วงโควิด-19 สินเชื่อกลับมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งปี 2563 2564 และ 2565 เนื่องจากมีมาตรการของภาครัฐช่วยเสริมสภาพคล่อง

 

สำหรับ แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในอนาคต สมชายมองว่า ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นประโยชน์ในเชิง ‘ต้นทุนทางการเงิน’ มากกว่า และช่วยเรื่องการฟื้นตัวของคุณภาพสินเชื่อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

สัดส่วน NPL เพิ่มขึ้น เหตุฐานสินเชื่อรวมแคบลง

 

สัดส่วนคุณภาพสินเชื่อ NPL (Stage 3) ที่ผิดนัดชำระเกิน 90 วัน ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3 ปี 2568 จากระดับ 2.89% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งมาจาก ส่วนหนึ่งจากผลของฐานสินเชื่อที่หดตัว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่มูลหนี้ NPL ในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวจาก New NPL ที่ชะลอลงเป็นสำคัญ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อ Stage 3 ไตรมาส 3 ปี 2568 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 544.0 พันล้านบาท

 

เมื่อแยกเป็นรายประเภทสินเชื่อพบว่า NPL สินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ‘ชัดเจน’ จากมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending:RL) และคุณสู้เราช่วย โดย NPL สินเชื่อบ้านลดลงจาก 3.86% เป็น 3.83% ในไตรมาส 3 ปี 2568 ส่วน NPL สินเชื่อเช่าซื้อ ลดลงจาก 2.22% เป็น 2.17%

 

ขณะที่ บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล คุณภาพสินเชื่อยังค่อนข้างทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อย

 

 

SM ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

สำหรับสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk: SICR หรือ stage 2) หรือ SM ที่ผิดนัดชำระ 31-90 วัน ‘ปรับเพิ่มขึ้น’ ตามการจัดชั้นเชิงคุณภาพจากปัจจัยเฉพาะรายของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ และส่วนหนึ่งจากการปรับชั้นดีขึ้นของ NPL ส่งผลให้สัดส่วน stage 2 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.24%

 

“ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ SMEs และครัวเรือนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า” แถลงการณ์ระบุ

 

 

คาดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไตรมาส 3 ลดลงต่อเนื่อง

 

สมชายกล่าวต่อว่า หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงมาเหลือ 86.8% ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 (จาก 87.1% ในไตรมาสก่อน) โดยสาเหตุหลักมาจากสินเชื่อครัวเรือนที่ชะลอลง ซึ่งเกิดจากทั้งฝั่งผู้ให้สินเชื่อที่มีการเลือกปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกหนี้ที่มีศักยภาพมากขึ้น และฝั่งครัวเรือนที่ระมัดระวังการก่อหนี้เนื่องจากเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน

 

ขณะที่หนี้สินธุรกิจต่อ GDP ก็ลดลงในทิศทางเดียวกับหนี้ครัวเรือน เหลือ 81.3% (จาก 81.6%) ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 เนื่องมาจากความสามารถในการทำกำไรภาคธุรกิจลดลงเกือบทุกประเภทธุรกิจจากระยะเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย

 

สำหรับระยะต่อไป คาดการณ์เบื้องต้นว่า หนี้ครัวเรือนจะลดลงอย่างต่อเนื่อง หากพิจารณาจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 1.2% หนี้ครัวเรือนในไตรมาส 3 จะอยู่ที่ 86.6%

 

 

The post สินเชื่อแบงก์ติดลบ 5 ไตรมาสติด ซึมยาวกว่า ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ https://thestandard.co/bangkok-bank-travel-card/ Tue, 18 Nov 2025 11:41:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1144713 แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ

ธนาคารกรุงเทพ เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ บัตรเง […]

The post แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ

ธนาคารกรุงเทพ เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ บัตรเงินสดแบบเติมเงิน (Prepaid card) เจาะตลาดนักท่องเที่ยวไทยไปต่างประเทศ เสิร์ฟสิทธิพิเศษครบวงจร พาสู่ทุกจุดหมาย ภายใต้แนวคิด ‘ไป…ให้ถึง’ ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจนถึงจุดหมาย

 

โชค ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่ธนาคารกรุงเทพ ออกบัตร Travel Card หลังธนาคารเจ้าอื่น เพราะในช่วงที่ผ่านมา เข้มข้นกับการหาพาร์ตเนอร์ที่สามารถให้สิทธิประโยชน์ ที่คุ้มค่ากับลูกค้า โดยการร่วมมือกับ Mastercard ครั้งนี้ จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์ จากเครือข่ายระดับโลก ทั้งร้านค้าและดิวตี้ฟรี ซึ่งจะทำให้ได้รับส่วนลดพิเศษต่างๆ มากถึง 30-50% ซึ่งธนาคารไม่สามารถทำได้

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะลงมาจับตลาด Travel Card หลังเจ้าอื่น แต่ธนาคารไม่ได้กังวลว่า จะแข่งขันไม่ได้ เนื่องจากบัตร ‘Bangkok Bank Travel Card’ ไม่คิดค่าธรรมเนียม FX Rate และไม่มีค่าธรรมเนียมบัตรรายปี จึงตอบโจทย์ กลุ่มนักเดินทาง ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ โดยไม่ต้องเสียค่ามาร์กอัป อีกทั้งกลุ่มคนไทย ที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ยังเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง โดยตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดใช้บริการบัตรไม่ต่ำกว่า 100,000 ใบ

 

“ปัจจุบันคนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (ทีทีเอเอ) ที่คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีคนไทยไปเที่ยวต่างประเทศ (Outbound) ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน จากแรงหนุนของมาตรการฟรีวีซ่า โดยเฉพาะในประเทศที่มีวัฒนธรรม ที่น่าสนใจและธรรมชาติที่สวยงาม สายการบินเปิดให้บริการบินตรงในเส้นทางใหม่ๆ เทรนด์ Workation หรือ การทำงานระหว่างเดินทาง และราคาตั๋วเครื่องบินที่ปรับลดลง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้นักเดินทางตัดสินใจเที่ยวต่างประเทศง่ายและบ่อยขึ้น ซึ่งบัตร ‘Bangkok Bank Travel Card’ จะไม่ใช่แค่เครื่องมือทางการเงิน แต่จะเป็นเหมือน ‘เพื่อนคู่คิด’ ด้านการเงินสำหรับนักเดินทางยุค ใหม่ที่จะช่วยให้ทุกการใช้จ่ายในต่างแดนเป็นเรื่องง่าย”

 

ชูจุดแข็งสิทธิประโยชน์ แบบไปถึง

 

1. เที่ยวคุ้มทั่วโลก รองรับการทำรายการชำระสินค้าและบริการ 150 สกุลเงินทั่วโลก ทั้งสกุลเงินที่แลกเก็บไว้ในบัตร และสกุลเงินที่นอกเหนือที่รองรับ จะทำรายการผ่านเงินสกุลไทยบาทที่เติมอยู่ในบัตร โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนของ Mastercard ณ ช่วงเวลาทำการ

 

2. ไม่มีค่าความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศ 2.5% (Foreign Exchange Rate Risk : FX Rate) ในทุกการใช้จ่ายผ่านบัตร และถอนเงินสดสกุลเงินต่างประเทศผ่านเครื่อง ATM ที่ต่างประเทศที่รองรับ Mastercard ทั่วโลก

 

3. แลกเรตถูกใจ ได้ทันที สามารถตั้งค่าแจ้งเตือนเรตค่าเงินที่ต้องการไว้ล่วงหน้า ครอบคลุมสกุลเงินต่างประเทศมากถึง 11 สกุลเงิน ได้แก่ USD, GBP, EUR, JPY, HKD, SGD, CNY, AUD, NZD, CAD, และ CHF สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ด้วยตนเองตลอด 24 ชม. ผ่านโมบายแบงกิ้งธนาคารกรุงเทพ

 

4. รับความคุ้มครองประกันภัยการเดินทางต่างประเทศมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท โดย บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)

 

5. สิทธิประโยชน์ Mastercard Flight Delay Pass เมื่อเที่ยวบินล่าช้า สามารถเข้าใช้ห้องรับรองสนามบินได้กว่า 1,500 แห่งทั่วโลก ตั้งแต่ 15 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

 

6. สิทธิพิเศษก่อนบิน รับฟรีสิทธิเข้าใช้บริการห้องรับรองพิเศษ Miracle Lounge มูลค่า 1,500 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายสะสม ตามเงื่อนไขที่กำหนด และรับส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับผู้ถือบัตรพร้อมผู้ติดตามสูงสุด 5 ท่านต่อเที่ยวบิน แบบไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี

 

นอกจากนี้ บัตร ‘Bangkok Bank Travel Card’ ยังมาพร้อมมาตรฐานความปลอดภัย ขั้นสูงและบริการ SMS Spending Alert เพื่อสร้างความมั่นใจในทุกการใช้จ่าย ให้ทุกการเดินทางเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและความประทับใจแบบ ‘ไปถึง’ อย่างแท้จริง

The post แบงก์กรุงเทพ จับมือ Mastercard เปิดตัว ‘Bangkok Bank Travel Card’ เจาะตลาดสายเที่ยวต่างประเทศ กระเป๋าหนัก ตั้งเป้าปีแรกมียอดเปิดบัตร 100,000 ใบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บจ.สหรัฐ-ยุโรป กำไร Q3 ดีเกินคาด จับสัญญาณหุ้น AI เข้าภาวะฟองสบู่หรือไม่ มีปัจจัยเสี่ยงอะไรที่ต้องจับตา https://thestandard.co/ai-bubble-risks-q3-profits-4-words/ Tue, 18 Nov 2025 09:36:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1144621 บจ.สหรัฐ-ยุโรป กำไร Q3 ดีเกินคาด จับสัญญาณหุ้น AI เข้าภาวะฟองสบู่หรือไม่ มีปัจจัยเสี่ยงอะไรที่ต้องจับตา

ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปีได้ดำเนินมาถึงห […]

The post บจ.สหรัฐ-ยุโรป กำไร Q3 ดีเกินคาด จับสัญญาณหุ้น AI เข้าภาวะฟองสบู่หรือไม่ มีปัจจัยเสี่ยงอะไรที่ต้องจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>
บจ.สหรัฐ-ยุโรป กำไร Q3 ดีเกินคาด จับสัญญาณหุ้น AI เข้าภาวะฟองสบู่หรือไม่ มีปัจจัยเสี่ยงอะไรที่ต้องจับตา

ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปีได้ดำเนินมาถึงหลายตลาดสำคัญทั่วโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน ท่ามกลางบรรยากาศที่ผลประกอบการหลายส่วนออกมาดีกว่าคาด แต่บางตลาดกลับมีการเทขายเกิดขึ้น ขณะที่คำถามใหญ่เกี่ยวกับเทรนด์ AI ว่าเป็นเพียงฟองสบู่หรือไม่

 

สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth วิเคราะห์ผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในจลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการประกาศออกมาเกือบทั้งหมดแล้ว พบว่ามีถึง 64% ที่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่อยู่เพียง 49% สะท้อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีการเติบโตที่ค่อนข้างดี โดยเฉลี่ยแล้ว กำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ประมาณ 10% ขณะที่รายได้สูงกว่าที่คาดการณ์ 2%

 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด คือ การเติบโตของรายได้และการขยายตัวของอัตรากำไร (Margin) โดยรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6% เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้าที่มีการประเมินไว้ที่ 4%

 

อย่างไรก็ตาม แม้ผลประกอบการจะออกมาดี แต่ตลาดบางแห่งกลับมีการเทขาย คุณสิทธิชัยอธิบายว่า หนึ่งในเหตุผลคือ ในช่วงไตรมาส 3 ตามปกติเป็นไตรมาสที่ไม่ได้ดีนัก และราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นมาเพื่อสะท้อนภาพบางอย่างก่อนการประกาศ เมื่อผลประกอบการออกมาเป็นไปตามคาดหรือสูงกว่าคาด จึงเกิดการปรับประมาณการขึ้น และเป็นจังหวะที่นักลงทุนทำการ Take Profit

 

ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง แต่ต้องยอมรับว่าอัตราการเติบโตของกำไรในไตรมาส 3 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 8% จาก 11% ในไตรมาส 2 การชะลอตัวนี้สอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงด้วย

 

บจ.ยุโรป กำไรดีกว่าคาด แต่เศรษฐกิจยังน่ากังวล

 

โดยผลประกอบการของ MSCI ยุโรปแสดงให้เห็นแนวโน้มที่คล้ายคลึงกับสหรัฐฯ คือ 52% ประกาศผลประกอบการดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ที่น่าสนใจคือ กำไรโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ทั้งที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงเกือบ 1% สาเหตุหลักมาจาก Margin ที่มีการขยับตัวเพิ่มขึ้น และการอัปเกรดประมาณการกำไร

 

สิทธิชัย ยังชี้ว่า สิ่งที่ตลาดมีความกังวลในยุโรปคือภาพรวมของเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ดีนัก แต่ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจมหภาคเหมือนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Old Economy ได้แก่ ยานยนต์ (Automotive), สินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Good), พลังงานสะอาด (Clean Energy) และธนาคาร ซึ่ง 4 กลุ่มนี้มีสัญญาณของการฟื้นตัว (Bottom Out) หรือ Turnaround ยกเว้นหุ้นกลุ่มธนาคาร

 

ดังนั้น ตลาดหุ้นยุโรปจึงตอบสนองต่อผลประกอบการของบริษัทมากกว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจในไตรมาสนี้

 

จีน กลุ่มพลังงานสะอาดและ EV ระดับพรีเมียมโดดเด่น

 

แม้ผลประกอบการในจีนจะยังประกาศไม่เสร็จสิ้น แต่คาดการณ์ได้ว่าผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี
กลุ่มที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่

  • Clean Energy โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำโซลาร์เซลล์ มีการฟื้นตัว (Turnaround) ทั่วโลก
  • Mid-tier EV Car เช่น Xpeng, Li Auto
  • Insurance ตลาดพรีเมียมในกลุ่มประกันทำได้ดี

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลุ่มที่ยังไม่เห็นภาพชัดเจนนัก ได้แก่ การแข่งขันในสงครามราคา , ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า (Trade War) ที่ยังไม่จบสิ้น, และการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงต้องการการกระตุ้นอยู่ แม้ว่ามาตรการกระตุ้นจะดูเบาบางลงในระยะหลัง

 

สยบความกังวล ทำไม AI ถึงไม่เป็น Dot-com Bubble

 

ประเด็นที่นักลงทุนกังวลมากที่สุดคือ หุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI อาจเป็นฟองสบู่เหมือนกับวิกฤต Dot-com ในปี 2000 สิทธิชัยยืนยันว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ฟองสบู่ หากจะกังวล ควรจะกังวลตั้งแต่ปีที่แล้ว

 

โดยให้เหตุผลในการเปรียบเทียบกับวิกฤต Dot-com ดังนี้
1. ในช่วง Dot-com Bubble มีการลงทุนในระดับเกือบ 5% ของ GDP แต่การลงทุนใน AI รอบนี้อยู่ที่เพียงประมาณ 2.5-3% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งแสดงว่าการลงทุนในปัจจุบันยังน้อยกว่าในอดีตมาก

 

2. ผลกำไรของบริษัท (Corporate Earnings) ในช่วงวิกฤต Dot-com กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีการลดลง แต่ในปัจจุบัน กำไรของบริษัทไม่ได้ลดลง

 

3. Valuation ค่ากลางของ P/E Ratio ของหุ้นกลุ่ม Tech ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 32.6 เท่า ซึ่งสูง แต่ยังต่ำกว่าปีที่แล้วที่ 33.4 เท่า และต่ำกว่า P/E ของ Dot-com Bubble ที่เคยสูงถึง 64.5 เท่าอย่างชัดเจน

 

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Megacap 7) สามารถทำตามความคาดหวังที่สูงมากได้ ในช่วง Dot-com Bubble การเติบโตของรายได้พลาดเป้าที่คาดหวังไว้ แต่ Megacap 7 คาดหวังการเติบโตถึง 48% และผลประกอบการ 9 เดือนแรกก็ดีกว่าที่คาดทุกไตรมาส การที่บริษัทสามารถทำตามเป้าหมายได้ ทำให้การกล่าวหาว่าครั้งนี้เป็น Dot-com Bubble จึงไม่เป็นจริง

 

สิทธิชัยเสริมว่า หากกังวลเรื่อง Valuation ที่สูง ควรไปกังวลที่ S&P 500 มากกว่า เนื่องจากค่ากลางของ P/E Ratio สูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา

 

เปิดปัจจัยเสี่ยง ‘ฟองสบู่’ ที่แท้จริง คืออะไร

 

สิทธิชัย ประเมินต่อว่า ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดฟองสบู่ (Bubble) มีอยู่ด้วยกัน 3 องค์ประกอบหลักที่ต้องจับตา ได้แก่

  • SoftBank ธนาคารที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการกู้ยืม.
  • Nvidia ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI.
  • Open AI ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของจักรวาล AI

 

สิทธิชัย ยังระบุต่อว่า ตัวที่มีความเสี่ยงจะเป็นฟองสบู่มากที่สุด ไม่ใช่ SoftBank หรือ Nvidia แต่คือ Open AI แต่การประเมินนี้ต้องรอให้ Open AI ทำ IPO ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2027 ก่อน

 

การไหลออกของเงิน พันธบัตรญี่ปุ่นและ Flow ในตลาด

 

กรณีที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB Yield) ปรับตัวสูงขึ้นจนเกือบถึง 3% ทำให้เกิดความกังวลว่ากระแสเงินลงทุน (Flow) จะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงกลับสู่เงินเยน

 

สิทธิชัยมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักลงทุนที่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน ก็เลือกที่จะพักเงินไว้ในพันธบัตรบ้าง เพื่อรอจังหวะให้สัญญาณการกลับตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชัดเจนขึ้น

 

โดยเงินจำนวนมากยังคงไหลเข้าสู่ Money Market Fund บ่งชี้ว่า ตลาดกำลัง Stay on the sidelines หรือ รอสังเกตการณ์ และรอความชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้าม ยังไม่มีการไหลออกของกระแสเงินจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ภาพที่เห็นจึงเป็นเพียงการพักเงินไว้ก่อน เนื่องจากความกังวลต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่การโยกย้ายเงินลงทุนครั้งใหญ่ (Allocation)

The post บจ.สหรัฐ-ยุโรป กำไร Q3 ดีเกินคาด จับสัญญาณหุ้น AI เข้าภาวะฟองสบู่หรือไม่ มีปัจจัยเสี่ยงอะไรที่ต้องจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยานยนต์ไทยถึงจุดเปลี่ยน! xEV จ่อครองตลาดเกินครึ่งปี 69 ขณะที่การฟื้นตัวของยอดขายในประเทศโตเพียง 1% ถูกฉุดด้วยหนี้ครัวเรือนและมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซ้ำเติมการส่งออกชิ้นส่วน https://thestandard.co/market-focus-thai-ev-market-turning-point/ Tue, 18 Nov 2025 08:58:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1144590 ยานยนต์ไทยถึงจุดเปลี่ยน xEV จ่อครองตลาดเกินครึ่งปี 69 ขณะที่การฟื้นตัวของยอดขายในประเทศโตเพียง 1% ถูกฉุดด้วยหนี้ครัวเรือนและมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซ้ำเติมการส่งออกชิ้นส่วน

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่การฟื้นตั […]

The post ยานยนต์ไทยถึงจุดเปลี่ยน! xEV จ่อครองตลาดเกินครึ่งปี 69 ขณะที่การฟื้นตัวของยอดขายในประเทศโตเพียง 1% ถูกฉุดด้วยหนี้ครัวเรือนและมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซ้ำเติมการส่งออกชิ้นส่วน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยานยนต์ไทยถึงจุดเปลี่ยน xEV จ่อครองตลาดเกินครึ่งปี 69 ขณะที่การฟื้นตัวของยอดขายในประเทศโตเพียง 1% ถูกฉุดด้วยหนี้ครัวเรือนและมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซ้ำเติมการส่งออกชิ้นส่วน

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่การฟื้นตัวในระยะข้างหน้าจะยังไม่ทั่วถึง และมีความท้าทายอีกมากรออยู่

 

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2568 และจะเติบโตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2569 – 2572

 

โดยการฟื้นตัวจะชัดเจนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) และรถยนต์ SUV ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และอุปสงค์จากคู่ค้าหลักในอาเซียนและออสเตรเลียที่ผันผวน ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมเผชิญความท้าทายอีกหลายด้าน

 

ดังนั้น ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ ๆ ควบคู่กับการต่อยอดจุดแข็งเดิมในอุตสาหกรรมรถกระบะ ชิ้นส่วน และอะไหล่ยนต์ เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันและการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

ตลาดรถยนต์ไทยหดตัวชะลอลงในปี 2568 และมีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้บ้างในปี 2569 แต่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึงนัก

 

โดยคาดว่ายอดขายในประเทศจะอยู่ที่ 5.71 แสนคัน หรือขยายตัวเพียง 1%YoY โดยค่ายรถที่มีการเปิดตัวโมเดล SUV และยานยนต์ xEV (Hybird และ BEV) ยอดขายมีแนวโน้มเติบโตดีกว่ากลุ่มแบรนด์รอง รวมถึงผู้ผลิตที่พึ่งพาการจำหน่ายรถกระบะและรถยนต์สันดาป (ICE) เป็นหลัก

 

ในระยะข้างหน้า ตลาดรถยนต์ไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากรอบด้าน โดยด้านเศรษฐกิจมีความท้าทายจากระดับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง รวมถึงสถาบันการเงินมีแนวโน้มตรึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ ขณะเดียวกัน ปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น อายุการใช้งานรถยนต์ที่ยาวนานขึ้น การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และความนิยมในบริการเรียกรถ (Ride-sharing) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการฟื้นตัวของวัฏจักรยอดขายรถใหม่

 

นอกจากตลาดในประเทศแล้ว ภาคส่งออกยานยนต์ของไทย ก็มีแนวโน้มเผชิญความท้าทายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะจากคู่ค้าหลักอย่างกลุ่ม CLMV ที่อุปสงค์ชะลอลง รวมถึงการที่ออสเตรเลียหันมาเข้มงวดมาตรการ ด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ขณะเดียวกัน การแข่งขันจากค่ายยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดส่งออกก็ทวีความรุนแรงขึ้น

 

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า xEV มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง และคาดว่านับตั้งแต่ปี 2569 จะมีส่วนแบ่งตลาดเกินกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายยานยนต์ทั้งประเทศ

 

ยอดขายรถยนต์ไฮบริดมีแนวโน้มเติบโตราว 16%YOY ในปี 2569 โดยผู้ผลิตจากญี่ปุ่นจะครองความเป็นผู้นำตลาดผ่านกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่

 

  • การเพิ่มกำลังการผลิตรถไฮบริดในประเทศไทย
  • การพัฒนาโมเดลไฮบริดให้มีความหลากหลายทั้งด้านดีไซน์ ระดับราคา และสมรรถนะการขับขี่ ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นความสนใจและหนุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เนื่องจากแบรนด์ส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนาน มีความมั่นคง และพร้อมด้วยบริการหลังการขายและอะไหล่ยนต์ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) คาดว่าจะเติบโต 18%YOY ในปี 2569 โดยมีแรงหนุนจากความพร้อมที่เพิ่มขึ้นของ EV Ecosystem รวมถึงแนวโน้มผู้บริโภคที่หันมาเลือกซื้อ BEV ที่ผลิตในไทย

 

อย่างไรก็ตาม ตลาด BEV ยังเผชิญความท้าทายสำคัญ ทั้งการเสื่อมราคาที่ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว และเบี้ยประกันภัยอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจชะลอการตัดสินใจของผู้บริโภคออกไปได้

 

อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่รายได้ของผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์ใหม่ (OEM) คาดว่าจะฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มอะไหล่ทดแทน (REM) เนื่องจากปริมาณการผลิตรถยนต์ใหม่ฟื้นตัวช้า อีกทั้ง ภาคการส่งออกก็เผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์โลก ในระยะถัดไป

 

อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงสำคัญ 2 ประการ คือ
1. ความสามารถทางการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ อาจถูกท้าทายจากคู่แข่งในกลุ่ม USMCA, ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งมีข้อได้เปรียบจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
ต่ำกว่าไทย

 

2. ความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บภาษีสวมสิทธิ์ ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกจำเป็นต้องเร่งพัฒนาระบบตรวจสอบและรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นในห่วงโซ่อุปทานโลก

 

มาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

 

แม้ไทยจะมีความเชี่ยวชาญและความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนสำคัญของโลก แต่การปรับขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความท้าทายเพิ่มขึ้นใน 4 ด้านสำคัญ คือ

 

  1. การส่งออกชิ้นส่วน อะไหล่ยนต์ และจักรยานยนต์ของไทย มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เนื่องจากต้นทุนการค้าสูงกว่าคู่แข่งรายสำคัญหลายประเทศ ขณะที่อุตสาหกรรมยางล้อ คาดว่าจะรักษา
    ความได้เปรียบไว้ได้ แต่ในระยะยาว อาจเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกับเม็กซิโก ซึ่งกำลังได้รับความสนใจในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนของภูมิภาคอเมริกา
  2. อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยได้รับผลกระทบทางอ้อมจากคำสั่งซื้อของประเทศผู้ผลิตรถยนต์ที่ชะลอตัว โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่ใช้ชิ้นส่วนยานยนต์จากไทย นำไปประกอบและส่งออกรถยนต์ไปสู่ตลาดสหรัฐฯ
  3. การลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงบ้างในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
    เป็นหลัก เนื่องจากผู้ผลิตบางส่วนอาจหันไปเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ หรือขยายฐานการผลิตในภูมิภาคอเมริกา
    เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีและลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าในอนาคต
  4. การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อเผชิญความเสี่ยงต่อการถูกเก็บภาษีสวมสิทธิ์ ควบคู่กับมาตรการ Non-tariff ที่เข้มงวดขึ้น เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าในสัดส่วนสูง อีกทั้ง บทบาทของสินค้านำเข้าและธุรกิจต่างชาติก็เพิ่มขึ้นในไทยอย่างต่อเนื่อง

 

นโยบายเชิงรุกจากภาครัฐ ภาคการเงิน และภาคธุรกิจ ที่ครอบคลุมทั้งมิติของ ‘การปกป้อง’ ‘การกำกับดูแล’ และ ‘การส่งเสริมความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ’ ถือเป็นกลไกสำคัญในการรักษาและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการผลิต การเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ การยกระดับมาตรฐานสินค้าและแรงงานให้สอดคล้องกับตลาดโลก รวมถึงการสร้างแรงจูงใจด้านการลงทุนและนวัตกรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และกฎระเบียบทางการค้าระหว่างประเทศ

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับออนไลน์ได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/Automotive-Industry-111125?utm_source=Influencer&utm_medium=Influencer

The post ยานยนต์ไทยถึงจุดเปลี่ยน! xEV จ่อครองตลาดเกินครึ่งปี 69 ขณะที่การฟื้นตัวของยอดขายในประเทศโตเพียง 1% ถูกฉุดด้วยหนี้ครัวเรือนและมาตรการภาษีสหรัฐฯ ซ้ำเติมการส่งออกชิ้นส่วน appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติ ยืนยัน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 มาแน่ เงินเข้าม.ค.นี้ พร้อมลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ https://thestandard.co/plus-phase-two-welfare-cards/ Tue, 18 Nov 2025 08:55:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1144588 เอกนิติ ยืนยัน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 มาแน่ เงินเข้า ม.ค. นี้ พร้อมลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่

ดร.เอกนิติ รมว.คลัง ยืนยัน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 มาแน่ […]

The post เอกนิติ ยืนยัน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 มาแน่ เงินเข้าม.ค.นี้ พร้อมลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติ ยืนยัน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 มาแน่ เงินเข้า ม.ค. นี้ พร้อมลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่

ดร.เอกนิติ รมว.คลัง ยืนยัน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 มาแน่ มกราคมนี้ ควบคู่เปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โยนคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ ให้สรรพากร พิจารณารายละเอียดคำพิพากษา ชูกรอบ MTFF เสริมความมั่นคงการคลัง

 

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลจะดำเนินโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 อย่างแน่นอน ควบคู่ไปกับการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ โดยยืนยันว่า จะมีเงินเข้าภายในเดือนมกราคม 2569 ที่จะถึงนี้

 

ดร.เอกนิติ เผยว่า ระหว่างนี้ ‘โครงการคนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 กำลังอยู่ในขั้นตอนออกแบบโครงการร่วมกับสำนักงบประมาณ และปลัดกระทรวงการคลัง โดยจะนำข้อดีและข้อเสียของโครงการในเฟส 1 มาทบทวนและปรับปรุงแก้ไข พร้อมย้ำว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ ได้

 

สำหรับงบประมาณที่จะใช้ในโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 ดร.เอกนิติ คาดว่าจะใช้แหล่งเงินจากงบกลาง โดยจะเป็นจำนวนเงินเท่าไรนั้น ดร.เอกนิติ ชี้ว่าขึ้นอยู่กับการออกแบบโครงการ

 

Upskill ร้านค้า ช่วยกู้ออมสินได้ ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย

 

ดร.เอกนิติ เผยว่า วันนี้มีการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือ เรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการคนละครึ่งพลัส คือ การเพิ่มทักษะให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส

 

โดยจะเพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้าที่เข้าร่วมโครงการ 3 ด้าน ได้แก่
1. ทักษะด้านการขาย ขายยังไงให้ปัง และขายผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อทำให้ลูกค้าเพิ่มขึ้น
2. ทักษะด้านการเงิน สอนให้ดูทักษะด้านต้นทุนการเงินและการตั้งราคาการขายเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น
3. ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการขาย เพื่อช่วยลดต้นทุน

 

“ผลตอบรับร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสดีมาก ล่าสุดมีกว่า 950,000 ร้านค้า ซึ่งอยากให้ผู้ขายพัฒนาทักษะทั้ง 3 ด้านที่กล่าวมา เพื่อให้ขายของให้ปัง ทำยังไงให้ต้นทุนถูกลง และกำไรได้เยอะขึ้น” ดร.เอกนิติกล่าว

 

ขณะเดียวกัน ยังมีเครื่องมือดิจิทัลให้พ่อค้าแม่ค้าใช้ฟรี 6 เดือน ทั้งระบบบัญชีและข้อมูลต่างๆ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าสามารถขอกู้เงินได้ผ่านธนาคารออมสิน โดยต้องไปเรียนรู้การทำบัญชี และสามารถขอกู้เงินผ่านธนาคารออมสินได้ รายละไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อจะได้ไม่ไปกู้นอกระบบ

 

ปลัดคลัง ย้ำ Top Up ร้านค้า 4 แสนสิทธิ์เท่านั้น

 

ทั้งนี้ ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังย้ำว่า สำหรับโครงการเพิ่มทักษะร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 1 ซึ่งรัฐบาลจะมอบเงินสนับสนุน (Top Up) ให้อีก 20% ของยอดขาย เป็นงบประมาณไม่เกิน 800 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อร้านค้า จะเป็นการให้สิทธิ์แบบมาก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) เท่านั้น

 

โดยร้านค้าสามารถเข้าร่วมโครงการพัฒนาได้ตามความสนใจ ภายในวันที่ 19 พฤศจิกายน ถึง 19 ธันวาคม ดังนี้

 

1) เลือกสมัครเข้าร่วม Food Delivery Platform ได้แก่ Grab, Lineman, Robinhood, และ ShopeeFood ผ่านการผูกร้านค้าบนแอป ‘ถุงเงิน’ โดยร้านค้าจะต้องไม่เคยสมัครเข้าร่วมเป็นร้านค้าของ Food Delivery Platform รายนั้นๆ มาก่อนวันที่ 19 พฤศจิกายน

 

โดยร้านค้าต้องมีคำสั่งซื้อที่ใช้สิทธิผ่านโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ อย่างน้อย 5 รายการ ภายในวันที่ 19 ธันวาคม จึงจะถือว่าดำเนินการพัฒนาทักษะสำเร็จ

 

2) เข้าร่วมผ่านการอบรมทักษะออนไลน์กับธนาคารออมสิน โดยสมัครและเรียนหลักสูตรพัฒนาความรู้ทางการเงินผ่าน www.gsb.or.th ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน ถึง 19 ธันวาคม 2568

 

3) พัฒนาทักษะผ่านการอบรมออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) โดยเรียนรู้หลักสูตร DBD Academy ผ่าน https://dbdacademy.dbd.go.th/ ในระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568

 

โดยกระทรวงการคลังจะประกาศผลผู้ได้รับสิทธิในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ผ่านข้อความบนแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และข้อความสั้น (Short Message Service: SMS) และโอนเงินสนับสนุนให้แก่ร้านค้าผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ผูกกับแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ในวันที่ 25 ธันวาคม 25

 

ภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ รอสรรพากร พิจารณารายละเอียดคำพิพากษา

 

เมื่อถูกถามถึงกรณีที่ศาลฎีกา กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาทของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

 

ด้าน ดร.เอกนิติ กล่าวว่า “ได้หารือกับปลัดกระทรวงการคลังแล้ว เรื่องนี้ต้องทำตามคำพิพากษาของศาล ตอนนี้ได้มอบให้กรมสรรพากรพิจารณาในรายละเอียด คงต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เมื่อเป็นคำพิพากษาของศาล พวกเราก็ต้องปฏิบัติตาม ส่วนขั้นตอนรายละเอียดก็ให้กรมสรรพากรดู ซึ่งเป็นกระบวนการปกติของคำพิพากษา ในทุกคดีก็ต้องทำเหมือนกัน”

 

ชูกรอบ MTFF เสริมความมั่นคงการคลัง

 

สำหรับกรอบการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework) ดร.เอกนิติ ชี้ว่าเป็นหนึ่งใน ‘ฐานราก’ ของนโยบาย ‘Quick Big Win’ คือ การเสริมสร้างความมั่นคงทางการคลัง ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการคลัง ประกอบด้วย 4 หน่วยงานทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตกลงกันว่า จะทำแผนให้ชัดเจนใน 3 เรื่อง ดังนี้

 

  • กำหนดแนวทางบริหารการคลังอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เพิ่มเกณฑ์รายได้ จาก 14.8% เป็นไม่ต่ำกว่า 15.1% ของ GDP และลดรายจ่ายจาก 19% เป็นไม่เกิน 18% ต่อ GDP
  • กำหนดกฎการคลังให้เข้มงวดขึ้น เช่น ตั้งงบกลางไม่เกิน 3% ของงบประมาณ, กำหนดให้ชำระหนี้ไม่ต่ำกว่า 4% ของงบประมาณรายจ่าย, ของบผูกพันระหว่างปีได้ไม่เกิน 5% ของวงเงินงบประมาณ
  • การใช้นโยบายกึ่งการคลัง ผ่านมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่ง ที่ประชุม ครม.มอบให้ คณะกรรมการนโยบายการคลัง หารือเพื่อกำหนดรายละเอียดแนวทางให้ชัดเจนมากขึ้น จากเดิมที่ทำเพียงแค่กำหนดเพดานไว้ 32% ของงบประมาณ

 

นอกจากนี้ รัฐบาลจะใช้ ‘เครื่องมือทางการคลังที่ไม่ก่อหนี้สาธารณะ’ เพื่อสนับสนุนการลงทุน ผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFF) และ โครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เพื่อเพิ่มงบลงทุนของประเทศโดยไม่เป็นหนี้สาธารณะ

The post เอกนิติ ยืนยัน ‘คนละครึ่ง พลัส’ เฟส 2 มาแน่ เงินเข้าม.ค.นี้ พร้อมลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin ดิ่งหลุด 90,000 ดอลลาร์ ตลาดกังวลความกลัวลากหุ้นโลกร่วงตาม จับตางบ Nvidia พรุ่งนี้ https://thestandard.co/bitcoin-plunges-global-fear-4-words/ Tue, 18 Nov 2025 08:38:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1144568 Bitcoin ดิ่งหลุด 90,000 ดอลลาร์ ตลาดกังวลความกลัวลากหุ้นโลกร่วงตาม จับตางบ Nvidia พรุ่งนี้

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเผชิญกับการเทขายอย่างหนัก โดยร […]

The post Bitcoin ดิ่งหลุด 90,000 ดอลลาร์ ตลาดกังวลความกลัวลากหุ้นโลกร่วงตาม จับตางบ Nvidia พรุ่งนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin ดิ่งหลุด 90,000 ดอลลาร์ ตลาดกังวลความกลัวลากหุ้นโลกร่วงตาม จับตางบ Nvidia พรุ่งนี้

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเผชิญกับการเทขายอย่างหนัก โดยราคา Bitcoin คริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดิ่งลงทะลุ 90,000 ดอลลาร์ ไปเล็กน้อย ในช่วงเช้าวันนี้ (18 พฤศจิกายน) ตามเวลาเอเชีย การร่วงลงครั้งนี้ส่งผลให้ผลบวกของ Bitcoin ในปีนี้หมดไป และกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

 

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่พลิกกลับอย่างรวดเร็วและรุนแรง ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ขณะที่นักลงทุนต่างพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อถือเงินสดและพันธบัตร ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค และการรอคอยปัจจัยสำคัญที่จะชี้ชะตาตลาดในสัปดาห์นี้ นั่นคือ ผลประกอบการของ Nvidia และรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ

 

‘Extreme Fear’ ปกคลุมตลาด นักลงทุนแห่เปิด Short

 

การเทขาย Bitcoin ในรอบนี้ ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงไปแล้วกว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม และดัชนีความเชื่อมั่นที่รวบรวมโดย CoinMarketCap บ่งชี้ว่านักลงทุนในตลาดกำลังจมอยู่ในสภาวะกลัวสุดขีด (Extreme Fear)

 

ในตลาดออปชัน เทรดเดอร์กำลังเดิมพันในทิศทางขาลงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยข้อมูลจาก Deribit แสดงให้เห็นว่ามีความต้องการซื้อออปชันเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Protective Options) ที่ระดับราคา 85,000 ดอลลาร์ และ 80,000 ดอลลาร์ พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

คริส นิวเฮาส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Ergonia กล่าวว่า “การขาดหายไปของอุปสงค์จากการเข้าซื้อ Bitcoin ในฝั่ง Spot ที่เกิดจากความเชื่อมั่น สะท้อนภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผู้ซื้อที่สะสมสถานะมาตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้พบว่าตัวเองกำลังขาดทุนอย่างหนัก”

 

การดิ่งลงของ Bitcoin ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของสินทรัพย์เสี่ยงที่มีความผันผวนสูง (High-beta Risk Proxy) ได้ส่งผลกระทบเป็นโดมิโนไปยังตลาดอื่นๆ โดยดัชนีหุ้นทั่วโลกร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ดัชนี MSCI Asia Pacific ร่วงลง 2.3% และหลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเมษายน

 

ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1% เมื่อวันจันทร์ ปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันเป็นครั้งแรกในรอบ 139 วัน ซึ่งเป็นการทำลายสถิติการยืนเหนือเส้นแนวโน้มสำคัญที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับสองในศตวรรษนี้

 

ส่วนตลาดหุ้นเอเชีย หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกกระทบหนักที่สุด โดย SK Hynix และ Samsung Electronics ในเกาหลีใต้ต่างปรับตัวลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ร่วงลงจากความกังวลเรื่องยีลด์พันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้น

 

โธมัส บูโร global co-head of FX option trading จาก Societe Generale SA กล่าวว่า ดัชนีหุ้นกำลังเคลื่อนไหวในแดนลบอย่างน่ากังวล และ Bitcoin ก็สะท้อนการเคลื่อนไหวนี้แบบแทบจะเหมือนกันทั้งหมด ความสัมพันธ์นี้กำลังเพิ่มความกังวลให้กับความเชื่อมั่นของตลาด

 

จับตาผลประกอบการ Nvidia

 

นักลงทุนกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยที่รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะผลประกอบการของ Nvidia ที่จะรายงานออกมาในวันพุธที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ถือเป็นการทดสอบครั้งสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในธีม AI ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดมาตลอดทั้งปี ท่ามกลางความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่สูงมาก

 

นอกจากนี้ ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ จะรายงานออกมาในวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน หลังจากล่าช้าจากภาวะ Government Shutdown ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญต่อทิศทางนโยบายของเฟด

 

ทองคำร่วง 4 วันติด สวนทางแรงซื้อธนาคารกลาง

 

การที่ตลาดลดความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ย ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย โดยราคาทองคำร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน หลุดระดับ 4,015 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

อย่างไรก็ตาม ในภาพระยะยาว ทองคำยังคงปรับตัวขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ และอยู่ในเส้นทางที่จะทำสถิติการปรับขึ้นรายปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979 โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการคลัง โดย Goldman Sachs ระบุว่า ธนาคารกลางต่างๆ เข้าซื้อทองคำในเดือนกันยายนถึง 64 ตัน เพิ่มขึ้น 3 เท่าจากเดือนสิงหาคม

 

ภาพ: Spencer Platt/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post Bitcoin ดิ่งหลุด 90,000 ดอลลาร์ ตลาดกังวลความกลัวลากหุ้นโลกร่วงตาม จับตางบ Nvidia พรุ่งนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องเทรนด์นักการตลาดปี 2026 จะรอดได้ ต้องทิ้งตลาดแมส มุ่งสู่ Precision Marketing พร้อมสร้างคุณค่ามากกว่าแค่การขาย https://thestandard.co/2026-precision-marketing-trends/ Tue, 18 Nov 2025 07:59:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1144550 ส่องเทรนด์นักการตลาดปี 2026 จะรอดได้ ต้องทิ้ง ตลาดแมส มุ่งสู่ Precision Marketing พร้อมสร้างคุณค่ามากกว่าแค่การขาย

ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง สวนทางกับแรงกระเพื่อมขอ […]

The post ส่องเทรนด์นักการตลาดปี 2026 จะรอดได้ ต้องทิ้งตลาดแมส มุ่งสู่ Precision Marketing พร้อมสร้างคุณค่ามากกว่าแค่การขาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องเทรนด์นักการตลาดปี 2026 จะรอดได้ ต้องทิ้ง ตลาดแมส มุ่งสู่ Precision Marketing พร้อมสร้างคุณค่ามากกว่าแค่การขาย

ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง สวนทางกับแรงกระเพื่อมของเทคโนโลยีที่โตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาคธุรกิจทั่วโลกเผชิญความท้าทายใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม ทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็ว ทำให้บทบาทของนักการตลาดในยุคนี้ไม่ใช่เพียงการผลักดันยอดขาย แต่ต้องมองภาพใหญ่ของสังคม และเทคโนโลยีอย่างรอบด้านมากขึ้น

 

ท่ามกลางบริบทดังกล่าว ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แนวโน้มการตลาดปี 2026 โลกกำลังเคลื่อนจากภาวะสมดุลสู่โลกไร้สมดุล อย่างเห็นได้ชัด ส่วนปัจจัยหลักๆ มาจากภาวะความมั่งคั่ง หนี้สิน ผลผลิตแรงงาน ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ที่ส่งสัญญาณขัดแย้งกันในหลายทิศทาง

 

ถึงแม้ทิศทางทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ตลาดกลับขยายตัวน้อยลง และยังอยู่ท่ามกลางภาวะโลกร้อนแตะระดับเกิน 1.5 องศา สิ่งที่ตามมาคือการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกมิติของการพัฒนาไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวกันอีกต่อไป ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ตลาดขนาดใหญ่เริ่มถูกแบ่งย่อยลง เหลือเพียงตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพสูง

 

สิ่งที่นักการตลาดต้องปรับตัว คือ ต้องเลือกเล่นในพื้นที่ที่มีความเชี่ยวชาญมากที่สุด เพราะการขยายธุรกิจแบบแมสอาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงอีกต่อไป สอดคล้องกับอีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญ คือการเติบโตของแบรนด์เอเชียและจีนที่เริ่มก้าวขึ้นมามีบทบาทในตลาดตะวันตกมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือแม้แต่แพลตฟอร์มความบันเทิงระดับโลกยังต้องเพิ่มคอนเทนต์ที่สะท้อนอัตลักษณ์เอเชียเพื่อตอบรับฐานผู้ชมที่เปลี่ยนไป

 

ดร. บุรณิน ชี้ว่า จากนี้ไปความคิดสร้างสรรค์จะมีความสำคัญมากกว่าเหตุผลเชิงตรรกะ เพราะเมื่อทุกคนเข้าถึง AI ได้เท่าเทียมกัน ตรรกะที่ได้จากข้อมูลย่อมใกล้เคียงกัน ทำให้องค์ประกอบด้านความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างในตลาด ขณะเดียวกันเทคโนโลยีดิจิทัลจะก้าวเข้าสู่การใช้งานได้จริงมากขึ้น ทั้งโลกมัลติเวิร์ส AI Agentic ที่สามารถคิดและตัดสินใจได้ใกล้เคียงมนุษย์ รวมถึงหุ่นยนต์ Humanoid ซึ่งมีแนวโน้มถูกนำมาใช้ในงานการตลาดจริงจังในอนาคต

 

ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ปี 2026 จะเห็นความสนใจต่อประเด็นสังคมเพิ่มขึ้น แบรนด์ที่กล้าสะท้อนปัญหาที่ผู้บริโภครู้สึกถูกกดทับจะได้รับการสนับสนุนมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ที่กำลังเปลี่ยนไป จากผู้เชียร์ขายสินค้า กลายเป็นผู้ใช้จริง ผู้นำความคิด และผู้ถ่ายทอดประสบการณ์มากกว่าแค่ทำการโฆษณาเหมือนอดีต

 

อีกด้านหนึ่ง แบรนด์จำนวนมากจะนำอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และตัวตนของผู้คนมาผสานเข้ากับสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงเชิงอารมณ์ที่ลึกขึ้น เช่น กรณีรองเท้าแบรนด์หนึ่งที่นำตัวตนนักกีฬามาเป็นหัวใจของแบรนด์ จนสร้างความนิยมในไทยก่อนขยายสู่ตลาดโลก

 

สะท้อนให้เห็นว่า กลยุทธ์การตลาดมีความสำคัญกว่าแค่เน้นการผลิตเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากแบรนด์ไม่มีจุดขายชัดเจนอาจอยู่รอดยากขึ้น และอาจต้องหาทางไปควบรวม หรือคอลแล็บกับพันธมิตรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ที่สำคัญธุรกิจไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่ จำเป็นต้องบริหารเงินสดและกระแสเงินอย่างรอบคอบเพื่อรับมือความผันผวนในอนาคต

 

สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่องค์กรควรนำไปปรับใช้ในปี 2026 แบ่งออกเป็น 6 ด้าน เริ่มตั้งแต่

 

1. โลกไร้สมดุลคือจุดพิสูจน์ฝีมือ
ภาวะความผันผวนทั้งเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี จะรุนแรงขึ้นในปี 2026 ทำให้ความสามารถในการปรับตัวขององค์กรกลายเป็นปัจจัยชี้ชะตา บริษัทที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น ตัดสินใจได้เร็ว และพร้อมทดลองแนวทางใหม่ จะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างโดดเด่น ขณะที่ผู้เล่นที่ปรับตัวช้าอาจสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างรวดเร็ว

 

2. เน้นเฉพาะเจาะจงต้องเริ่มตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ–ปลายน้ำ’
กลยุทธ์ความเฉพาะเจาะจง (Precision Marketing) จะต้องถูกผสานตั้งแต่ขั้นตอนผลิต การจัดจำหน่าย ไปจนถึงประสบการณ์ลูกค้า เพื่อให้แบรนด์ตอบโจทย์ได้ตรงจุด เช่น โมเดลร้านโอมากาเสะที่สามารถกำหนดคอร์สอาหาร วัตถุดิบ และกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ สะท้อนว่าการกำหนดความเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ต้นทาง ทำให้ปลายน้ำสามารถควบคุมคุณภาพและสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภคได้มากขึ้น

 

3. แบรนด์จะมีทีมงาน AI ทำงานการตลาดแบบอัตโนมัติ
เทคโนโลยี AI จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมงานจริงของฝ่ายการตลาด ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริมเหมือนที่ผ่านมา โดยจะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล จัดการแคมเปญ ทำคอนเทนต์ และวิเคราะห์ลูกค้าแบบเรียลไทม์ ช่วยให้องค์กรเพิ่มความเร็ว ความแม่นยำ และลดต้นทุนได้พร้อมกัน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้พนักงานที่เป็นมนุษย์หันไปมุ่งเน้นงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น

 

4 การจัดการแบรนด์ไม่พอ ต้องสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม
ในยุคที่ผู้บริโภคตัดสินใจจากค่านิยมและจุดยืนของแบรนด์มากขึ้น องค์กรจำเป็นต้องก้าวข้ามการสร้างแบรนด์แบบเดิม และหันมาขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมที่เชื่อมโยงกับธุรกิจอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นความยั่งยืน การช่วยเหลือชุมชน หรือการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม การสร้างแรงกระเพื่อมทางสังคม จะทำให้แบรนด์มีบทบาทชัดเจนขึ้นและได้รับการยอมรับในระยะยาว

 

5. ไวรัลยุคใหม่ต้องมีความหมาย ไม่ใช่แค่สร้างดราม่า
การสร้างคอนเทนต์ไวรัลในยุคใหม่จะไม่อาศัยเพียงการปล่อยดราม่าหรือกระแสชั่วคราว แต่ต้องเป็นเนื้อหาที่สังคมรู้สึกว่ามีคุณค่าจริง และสามารถสร้างอิมแพ็กต์ต่อชีวิตหรือความคิดของผู้บริโภค สื่อความหมายที่ชัดเจนและมีส่วนร่วมได้ จะทำให้คอนเทนต์ถูกบอกต่ออย่างยั่งยืนกว่า และช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้

 

6. อินฟลูเอนเซอร์ต้องเปลี่ยนบทบาทสู่ไกด์ให้ความรู้
บทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2026 จะเปลี่ยนจากผู้ขายสินค้าหรือรีวิวทั่วไป ไปสู่บทบาทการเป็นไกด์ ที่ช่วยถ่ายทอดโอกาสการใช้งาน ข้อมูลสินค้า และคุณค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับ โดยต้องคัดเลือกผู้ใช้งานจริงหรือผู้มีอิทธิพลเชิงความคิด เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์

 

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ในปีหน้าแบรนด์ยังต้องใช้อินฟลูเอนเซอร์สร้างยอดขายหรือไม่ ดร. บุรณินย้ำว่า ยังจำเป็น แต่ต้องเปลี่ยนรูปแบบ แบรนด์ต้องเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นผู้ใช้สินค้าจริงและทำหน้าที่เป็นไกด์ให้ผู้บริโภคเห็นโอกาสการใช้งานสินค้า ไม่ใช่เพียงเชียร์ให้ซื้อ

 

นอกจากนี้ แบรนด์สินค้าต้องไม่หยุดอยู่ที่ภาพลักษณ์ให้แบรนด์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสามารถสร้างแรงกระเพื่อมเชิงสังคมและมีบทบาทในการพัฒนาความยั่งยืน และแบรนด์ต้องเปลี่ยนจากการสร้างดราม่าเพื่อเป็นข่าว มาเป็นคอนเทนต์ไวรัลที่มีความหมายในเชิงการตลาดมากกว่า

 

ดร. บุรณิน ยังสะท้อนถึงบริบทเศรษฐกิจโลกที่ยังโตต่ำและมีภาระหนี้ครัวเรือนสูง หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการลดหนี้ครัวเรือน ขณะที่เงินฝากและทองคำอาจเป็นปัจจัยช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วง 2–3 ปีข้างหน้า โดยในภาคธุรกิจ องค์กรขนาดใหญ่จะเน้นเพิ่มประสิทธิภาพ และหากเกิดวิกฤต ผู้เล่นรายเล็กจะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้ SMEs ต้องโฟกัสการเอาตัวรอดและทำให้ธุรกิจไม่ล้มหายไปจากตลาด

 

พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า โลกในปี 2026 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การตลาดไม่ใช่แค่การขายสินค้าโดยนักการตลาดยุคใหม่ต้องพร้อม ‘Prompt the Future’ สร้างพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และต้องปรับตัว ทำความเข้าใจทั้งผู้บริโภค บริบทสังคม และเทคโนโลยี เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์และอนาคตของประเทศ

 

ภาพ: Andriy Onufriyenko/Getty Images

The post ส่องเทรนด์นักการตลาดปี 2026 จะรอดได้ ต้องทิ้งตลาดแมส มุ่งสู่ Precision Marketing พร้อมสร้างคุณค่ามากกว่าแค่การขาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ทำงานมากกว่าเดิมเพื่อคงผลลัพธ์เท่าเดิม’ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำในวันที่เศรษฐกิจผันผวนจนกำลังซื้อเปราะบาง https://thestandard.co/work-harder-volatile-economy/ Tue, 18 Nov 2025 07:09:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1144526 ‘ทำงานมากกว่าเดิมเพื่อคงผลลัพธ์เท่าเดิม’ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำ ในวันที่เศรษฐกิจผันผวน จนกำลังซื้อเปราะบาง

ปี 2568 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกธุรกิจไม่เว้นแม้แต่ […]

The post ‘ทำงานมากกว่าเดิมเพื่อคงผลลัพธ์เท่าเดิม’ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำในวันที่เศรษฐกิจผันผวนจนกำลังซื้อเปราะบาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ทำงานมากกว่าเดิมเพื่อคงผลลัพธ์เท่าเดิม’ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำ ในวันที่เศรษฐกิจผันผวน จนกำลังซื้อเปราะบาง

ปี 2568 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกธุรกิจไม่เว้นแม้แต่ ‘ธุรกิจอาหาร’ ซึ่งถือเป็นปัจจัย 4 สำหรับมนุษย์ที่ต้องกินอยู่ทุกวัน นั่นเพราะต่างได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่เปราะบางจากเศรษฐกิจที่ผันผวน

 

ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ฉายมุมมองว่า ความท้าทายที่ว่านั้นมาจากทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันค่อนข้างผันผวนและปั่นป่วนคือ สงครามที่ยืดเยื้อระหว่างประเทศทำให้เกิดการหยุดชะงักของระบบ Supply Chain โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางเรือ ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบ

 

ขณะที่ปัญหาหลักของประเทศไทยคือ หนี้ครัวเรือนซึ่งทำให้คนไทยมีกำลังซื้อที่ลดลง ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้า อย่างรัฐบาลปัจจุบันมีอายุเพียง 4 เดือน จึงสามารถดำเนินโครงการได้ในระยะสั้นเท่านั้น เช่นโครงการคนละครึ่งพลัสที่เน้นกลุ่มรากหญ้าช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากฟื้นตัวได้ดี และการกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยเที่ยวดีมีคืนสำหรับกลุ่มระดับกลาง

 

อย่างไรก็ตามมาตรการเหล่านี้เป็นเพียงระยะสั้นหลังจาก 4 เดือนไปแล้ว การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะทำให้เกิดความไม่นิ่งอีกครั้ง ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจใช้เวลา 6-8 เดือน ดังนั้นคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะยังไม่ฟื้นตัวจนถึงกลางปีหน้า ถึงอย่างนั้นเศรษฐกิจจะไม่ทรุดกว่านี้แล้ว

 

“ในภาวะที่เศรษฐกิจเปราะบางแบบนี้ สำหรับผู้ประกอบการสิ่งที่ต้องทำคือ ต้องทำงานมากกว่าเดิมเพื่อคงผลลัพธ์เท่าเดิม หากทำงานเท่าเดิมผลลัพธ์จะลดลง แต่ถ้าใครทำน้อยลงส่งผลถึงธุรกิจอย่างแน่นอน” ไพศาล ระบุ

 

สำหรับแนวโน้มของธุรกิจร้านอาหาร (F&B) หากมองไปจนถึงปี 2569 นั้น สามารถแบ่งออกเป็น

 

1. ภาคการท่องเที่ยวกับการพึ่งพาตลาดภายใน: การท่องเที่ยวของไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนหันไปกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศตนเอง รัฐบาลจึงต้องกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นมาตรการระยะสั้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจ F&B ดีขึ้น อย่างไรก็ตามอาหารไทยยังคงมีราคาไม่สูง มีความหลากหลายเมื่อเทียบกับทั่วโลก และภาพลักษณ์เปลี่ยนจากการเน้น Night Life มาสู่เสน่ห์ของ Street Food และร้านอาหารที่หลากหลาย

 

2. การจัดการต้นทุนและการจัดหาวัตถุดิบ: ภาวะเงินเฟ้อโลกและค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าสูงขึ้นอย่างมาก เพื่อรักษาสมดุลด้านต้นทุนผู้ประกอบการควรหันมาใช้ วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Ingredient) ให้มากขึ้น

 

3. สงครามราคาและความคาดหวังด้านมูลค่า: ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการ คุณภาพที่ดีขึ้น แต่ไม่ต้องการจ่ายเงินเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะสงครามราคาในตลาดร้านอาหาร อย่างกลุ่ม High End/Luxury (เช่น ร้านอาหารในโรงแรม, Omakase) เริ่มลดราคาลงมาแข่งขันกับกลุ่มกลาง ทำให้เป็นกลุ่มที่เจอความท้าทายมากที่สุด

 

ที่น่าสนใจคือข้อมูลการใช้จ่ายของคนทำงานใน One Bangkok พบว่า การใช้จ่ายค่าอาหารส่วนใหญ่ ต่ำกว่า 100 บาท โดยกลุ่มที่ขายดีที่สุดคือ ต่ำกว่า 60 บาท ขณะที่ค่าเครื่องดื่มกลับมีราคา 100 บาทขึ้นไปและขายดีมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยอมจ่ายเงินกับเครื่องดื่มมากกว่าอาหาร

 

“กลยุทธ์ที่ใช้ในการรับมือคือการทำ Segmentation และ Tiering โดยใช้ Price by Location (ราคาตามทำเลที่ตั้ง) แทนการลดราคาในทุกช่องทาง”

 

4. เทรนด์สุขภาพและความยั่งยืน: โดยเทรนด์สุขภาพยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ร้านอาหารส่วนใหญ่เริ่มนำเมนูเพื่อสุขภาพมาผสมผสาน และ Plant-based ยังคงขายได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ Plant-based ยังมีราคาที่สูงและรสชาติยังไม่ถูกปากคนไทย ขณะเดียวกันธุรกิจทุกประเภทต้องทำเรื่องความยั่งยืนเพื่อความอยู่รอด นโยบายความยั่งยืนช่วยควบคุมต้นทุน โดยเฉพาะการจัดการ Food Waste

 

5. เทคโนโลยีและประสบการณ์: ไม่ว่าจะเป็น การใช้ Cashless, Mobile Ordering, และระบบ POS เป็นสิ่งที่ทุกร้านต้องทำ มีการนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล, ตรวจจับการโกงในร้าน, และวิเคราะห์ความพึงพอใจของลูกค้า รวมถึงการมีบริการ Delivery ในแง่ของประสบการณ์ หากร้านอาหารที่ไม่มี Concept หรือไม่สร้าง Experience จะอยู่ยาก ขณะที่การมี Storytelling จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีได้

 

6. ปัญหาแรงงาน: ปัญหาเรื่อง Skilled Labor (เช่น เชฟ) เริ่มหาได้ยากขึ้น และมีค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อตัว ผู้ประกอบการจึงมีต้นทุนในการอบรมพนักงาน (Training Cost) สูงขึ้น เนื่องจากอัตราการลาออกที่เพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ภายใต้กลุ่มธุรกิจอาหารในเครือไทยเบฟ ประกอบด้วยความหลากหลายของธุรกิจบริการอาหารที่มีศักยภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

 

โดยรวมพลังระหว่าง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด หรือ QSA (คิวเอสเอ), บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ OISHI (โออิชิ), และ บริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด หรือ FOA (เอฟโอเอ) ภายใต้วิสัยทัศน์ ONE FOODS GROUP: ONE FOOD – ONE TEAM – ONE GOAL และเป้าหมายในการดำเนินงานร่วมกัน

 

กลุ่ม QSA ประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant หรือ QSR) เป็นหนึ่งในผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ซี เคเอฟซี ประเทศไทย ที่มีสาขามากที่สุด หรือกว่า 500 สาขาทั่วประเทศ

 

กลุ่ม OISHI ประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น มีแบรนด์/ร้านอาหารญี่ปุ่น ที่แข็งแกร่งและหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทาน ภายใต้ตราสินค้า โออิชิ อีทโตะ (OISHI EATO) อีกด้วย

 

กลุ่ม FOA ประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารอย่างครบวงจร ตั้งแต่อาหารไทยทั่วทุกภูมิภาค, อาหารจีน, อาหารอาเซียน, อาหารชาติตะวันตก, รวมไปถึงเค้กและเบเกอรี่ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์

 

“กลุ่ม QSA จะเน้นขยายสาขาเพื่อสร้างการเติบโต ขณะที่ OISHI จะรีแบรนด์ให้ทันสมัยมากขึ้นโดยเริ่มไปแล้วกับชาบูชิ โดยแบรนด์ต่อไปที่จะปรับคือโออิชิ อีทเทอเรียม ด้าน FOA จะเน้นเปิดและพัฒนาแบรนด์เพื่อเสริมให้กับอสังหาริมทรัพย์ในเครือเป็นหลัก”

 

ข้อมูล ณ กันยายน 2568 เครือไทยเบฟในประเทศไทยมีรวมทั้งสิ้น 882 สาขา แบ่งเป็นกลุ่ม QSA (KFC) 530 สาขา,กลุ่ม OISHI 269 สาขา และกลุ่ม FOA 63 สาขา

 

ภาพ: Mangkorn Danggura / Shutterstock

The post ‘ทำงานมากกว่าเดิมเพื่อคงผลลัพธ์เท่าเดิม’ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำในวันที่เศรษฐกิจผันผวนจนกำลังซื้อเปราะบาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial] https://thestandard.co/gother-takes-thai-ota-global/ Tue, 18 Nov 2025 07:00:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1144172 จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial]

ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ ( […]

The post จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial]

ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agency: OTA) ที่มีผู้เล่นระดับโลกเป็นเจ้าสนาม การเกิดขึ้นของ Gother (โกเธอร์) แพลตฟอร์มบริการการท่องเที่ยวออนไลน์สัญชาติไทย ที่กล้ากระโดดเข้ามาท้าชิงเค้กก้อนใหญ่ ด้วยความเข้าใจนักเดินทางชาวไทยอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับวิสัยทัศน์และพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ปักธงเป็น 1 ใน 3 แพลตฟอร์มไทยยอดนิยมภายในปี 2570 ส่งให้ Gother ถูกจับตาในฐานะ ‘ม้ามืด’ ตัวจริง

 

Gother: ครบวงจร เรียบง่าย และจริงใจ

 

จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial] 1

 

Gother ไม่เพียงเข้าใจไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ ที่ไม่ได้มองหาแค่ความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ต้องการค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มชีวิต จึงพัฒนาแพลตฟอร์มที่เข้าใจมนุษย์และเข้าใจคนไทยมากที่สุด ผ่าน DNA หลัก 3 ข้อได้แก่

 

  • ครบวงจร – จองทุกอย่างได้ครบจบในที่เดียว ตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก รถเช่า แพ็กเกจทัวร์ ไปจนถึงกิจกรรมท่องเที่ยว
  • เรียบง่าย – ผ่านแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน
  • จริงใจ – ด้วยราคาที่โปร่งใส โปรโมชันที่ใช้ได้จริง พร้อมบริการที่เข้าใจความต้องการของลูกค้าคนไทยอย่างแท้จริง

 

‘ทัพหลัง’ สุดแกร่ง และความตั้งใจที่จะขับเคลื่อน OTA ไทยไปสู่ระดับสากล

 

จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial] 2

 

ความสำเร็จของ Gother เกิดขึ้นจากการวางกลยุทธ์ที่เฉียบคมและมี ‘ทัพหลัง’ ที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนด้านเงินลงทุนและความน่าเชื่อถือ

 

การร่วมลงทุนกับสองบริษัทในเครือธนาคารยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (บีคอน วีซี) จากธนาคารกสิกรไทย และ กรุงไทย เวนเจอร์ส (Krungthai Ventures) จากธนาคารกรุงไทย ช่วยต่อยอดความสำเร็จ สร้างการเติบโตทางธุรกิจ 300% ในเวลาเพียง 7 เดือนหลังเพิ่งเปิดตัว

 

นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Gother มีศักยภาพและความพร้อมที่จะกระโดดจากตลาดในประเทศ สู่การเป็นผู้เล่นตัวจริงในตลาดโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน เพราะไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน แต่ยังเป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่นและแตกต่างจากสตาร์ตอัปทั่วไป

 

เพิ่มช่องทางการเติบโต และเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่าน Google Flights และ Skyscanner

 

ก้าวสำคัญสู่การเติบโตในตลาดโลก คือการขยายช่องทางการขายไปสู่แพลตฟอร์มค้นหาการเดินทางที่เป็นมาตรฐานระดับโลก (Global Standard) อย่าง Google Flights และ Skyscanner ได้สำเร็จ ทำให้นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกสามารถมองเห็นและเข้าถึงบริการของ Gother ได้ง่ายขึ้น ย้ำภาพผู้นำแพลตฟอร์ม OTA สัญชาติไทยตัวจริงสยายปีกสู่เวทีโลกอย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยเทคโนโลยีและมาตรฐานของระดับสากล

 

ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้จากตัวเลขที่ ‘ก้าวกระโดด’

 

จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial] 3

 

ตัวชี้วัดความสำเร็จสำคัญคือ ตัวเลขยอดจองผ่านแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นถึง 579% และจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 514% เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ถูกทาง ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง จนสามารถเข้าไปเป็น Top of Mind ของคนไทยได้อย่างงดงาม

 

ก้าวต่อไปของ Gother: จาก ‘ม้ามืด’ สู่ ‘ผู้นำ’

 

แม้จะเริ่มต้นในฐานะม้ามืด แต่วันนี้ Gother ตั้งเป้าก้าวเป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในใจคนไทย และขยายฐานผู้ใช้งานในตลาดโลกให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในอนาคต ด้วยรากฐานที่มั่นคงและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การเดินทางของ Gother จากนี้ไปจึงไม่ใช่การไล่ตาม แต่คือการก้าวไปข้างหน้าเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ OTA ไทย

 

Gother คือตัวอย่างที่ชัดเจนของสตาร์ตอัปไทยที่มีศักยภาพ ด้วย DNA ที่แข็งแกร่งซึ่งเกิดจากความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ผสานกับทัพหลังที่น่าเชื่อถือและวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจพาแบรนด์ไทยปักธงบนเวทีโลก เพื่อพิสูจน์ว่า แบรนด์ของคนไทยก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและท้าชนกับผู้เล่นระดับโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรี

The post จับตา ‘Gother’ ม้ามืดแห่งสนาม OTA กับการพาแบรนด์ไทยไปเทียบชั้น OTA ระดับโลก [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ https://thestandard.co/thaksin-tax-payment-order-progress/ Tue, 18 Nov 2025 06:09:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1144489 ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ

ปลัดคลังเผย ‘สรรพากร’ เตรียมรายงานแนวทางเรียกเก็บภาษีคด […]

The post ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ

ปลัดคลังเผย ‘สรรพากร’ เตรียมรายงานแนวทางเรียกเก็บภาษีคดีขายหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้าน หลังศาลฎีกาพิพากษากลับ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ ส่วนกรณีที่ทรัพย์สินอาจอยู่ในชื่อลูกหรือหลาน ให้รอแถลงการณ์จากกรมสรรพากร

 

วันนี้ (18 พฤศจิกายน) ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าหลังศาลฎีกามีคำพิพากษากลับในคดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาท ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า จะมีการแถลงแนวทางการเรียกเก็บภาษีหลังจากนี้ แต่จำเป็นต้องรอการรายงานจากกรมสรรพากรเสียก่อน เพื่อความถูกต้องและชัดเจนของข้อมูล เนื่องจากเป็นประเด็นที่สาธารณชนให้ความสนใจ

 

“เข้าใจว่าเมื่อวานนี้ (17 พฤศจิกายน) สรรพากรเขาดำเนินการประชุมกันกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่ากระบวนการหลังจากนี้ต้องทำอย่างไร ก็เดี๋ยวรอให้สรรพากรมารายงาน เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง หรือรอกรมสรรพากรแถลงข่าวเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ก็ต้องมีความชัดเจน” ลวรณกล่าว

 

สำหรับระยะเวลาในการดำเนินคดีซึ่งถูกตั้งคำถามว่านานไปหรือไม่ ด้านลวรณระบุว่า ขั้นตอนดังกล่าวเป็นไปตามแนวปฏิบัติปกติของกรมสรรพากร พร้อมชี้ว่า อย่าไปมองที่ตัวบุคคล หรือวงเงิน เพราะขั้นตอนการดำเนินงานเป็นเหมือนกันหมดทุกคดี

 

รวมถึงระยะเวลาพิจารณาคดี ซึ่งลวรณระบุว่า เป็นการดำเนินไปตามขั้นตอนของศาล โดยกล่าวว่า “ไม่เร็วทันใจหรอก หลายคดีกว่าจะฟ้องกันจบ ทั้งสามศาล ก็ 6-7 ปีเหมือนกัน”

 

สำหรับขั้นตอนการสืบทรัพย์ กระบวนการบังคับคดี ลวรณกล่าวว่า ให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอัยการสูงสุดสามารถสืบทรัพย์และอายัดได้แม้อยู่ต่างประเทศ

 

ส่วนกรณีที่ทรัพย์สินอาจอยู่ในชื่อลูกหรือหลาน ลวรณระบุว่า ต้องรอให้กรมสรรพากรแถลงเพื่อความถูกต้อง และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

The post ปลัดคลังเผยความคืบหน้าคดีภาษีหุ้น ‘ชินคอร์ป’ สั่ง ‘ ทักษิณ’ จ่าย 1.76 หมื่นล้าน ‘สรรพากร’ ยืนยันอัยการสูงสุดมีอำนาจสืบทรัพย์ได้ แม้ทรัพย์อยู่ต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>