Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 29 Dec 2025 09:17:30 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 3 ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย ชี้ 2026 ปีแห่งการประคองตัว ‘ไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน’ https://thestandard.co/17k-businesses-close-11-months/ Mon, 29 Dec 2025 09:17:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1159806 3 ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย ชี้ 2026 ปีแห่งการประคองตัว ‘ไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน’

​2025-2026 ยังคงเป็นปีแห่งการประคองตัวธุรกิจไทย! เผย 11 […]

The post 3 ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย ชี้ 2026 ปีแห่งการประคองตัว ‘ไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย ชี้ 2026 ปีแห่งการประคองตัว ‘ไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน’

2025-2026 ยังคงเป็นปีแห่งการประคองตัวธุรกิจไทย! เผย 11 เดือน ธุรกิจปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย แม้โรงแรม-ขนส่ง-ขายส่ง โตสวนกระแส ขณะที่ทุนนอก ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, สหรัฐฯ, จีน และฮ่องกง ขนเงินลงทุนไทยกว่า 2 แสนล้านบาท ด้าน สศอ. มองปีหน้า 2026 โอกาสใหม่ 3 อุตสาหกรรม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์-EV-อาหารสัตว์

 

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลวิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 5,554 ราย เมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (6,266 ราย) ลดลง 712 ราย คิดเป็น 11% จากสถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ‘เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว’

 

ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์อัตราการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจใหม่ พบว่า มี 3 ประเภทธุรกิจที่ขยายตัวอย่างน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2567 (YoY) คือ

 

  1. ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตและห้องชุด
  2. ธุรกิจการขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนฯ
  3. ธุรกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า

 

ขณะที่การจัดตั้งใหม่ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 80,064 ราย เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (83,219 ราย) ลดลง 3,155 ราย คิดเป็น 4% ทุนจดทะเบียนตั้งใหม่ 11 เดือน สะสมอยู่ที่ 250,852 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (262,850 ล้านบาท) ลดลง 11,999 ล้านบาท คิดเป็น 5%

 

ส่วนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤศจิกายน 2568 มีจำนวน 2,494 ราย เมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (2,852 ราย) ลดลง 358 ราย คิดเป็น 13%

 

การจดทะเบียนเลิกช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 16,671 ราย ลดลง 943 ราย คิดเป็น 5% เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (17,614 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิก 11 เดือน สะสมอยู่ที่ 88,797 ล้านบาท ลดลง 47,281 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (136,078 ล้านบาท)

 

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2568 ไตรมาส 3 ธุรกิจที่ปิดตัวมากสุด ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภัตตาคาร/ร้านอาหาร เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจซบเซา ต้นทุนสูง และการปรับตัวของผู้ประกอบการ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบหนัก

 

5 ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด

 

  1. ญี่ปุ่น 169 ราย คิดเป็น 17% เงินลงทุน 82,505 ล้านบาท
  2. สิงคโปร์ 146 ราย คิดเป็น 15% เงินลงทุน 100,265 ล้านบาท
  3. สหรัฐอเมริกา 137 ราย คิดเป็น 14% เงินลงทุน 5,038 ล้านบาท
  4. จีน 133 ราย คิดเป็น 14% เงินลงทุน 33,119 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง 104 ราย คิดเป็น 11% เงินลงทุน 14,496 ล้านบาท

 

ด้าน ศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมในปี 2569 ประเมินว่า ‘อุตสาหกรรมดาวเด่น’ ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของโลก ได้แก่

 

  • อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตตามตลาด AI และ IoT
  • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน (xEV) ที่ขยายตัวตามความต้องการตลาด มาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)
  • อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (HDD) ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิต HDD ความจุสูงเพื่อรองรับ Data Center
  • อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์สำเร็จรูปที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบและมาตรฐานการผลิต สามารถตอบสนองความต้องการบริโภคและตลาดสัตว์เลี้ยง ที่ขยายตัวต่อเนื่อง

 

อุตสาหกรรมที่ต้องเร่งปรับตัว

 

  • อุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE)
  • โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
  • เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน
  • สิ่งทอ
  • เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ

 

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเหล่านี้กำลังเผชิญทั้งแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ภาระหนี้ครัวเรือน การทะลักของสินค้านำเข้า ต้นทุนการผลิตที่สูง และมาตรการด้านภาษีและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ทำให้จำเป็นต้องปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

 

โดย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ว่า ปี 2568 นับว่าเป็นปีแห่งการประคองตัว อาจจบลงด้วยภาวะ ‘รถติดหล่ม’ ซึ่งการจะดึงเศรษฐกิจขึ้นจากหล่มจำเป็นต้องใช้ ‘พลังและงบประมาณมหาศาล’ และอาจต้องใช้เวลา ขณะที่กลุ่มธุรกิจ SME มองว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่สู้ดี และปีหน้าอาจไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน

 

ภาพ: Malte Mueller / Getty Image

The post 3 ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย ชี้ 2026 ปีแห่งการประคองตัว ‘ไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาคจาก CC-APAC Awards 2025 [PR News] https://thestandard.co/true-call-center-cc-apac-awards/ Mon, 29 Dec 2025 08:30:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1158691 ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาค จาก CC-APAC Awards 2025 [ADVERTORIAL]

ทรู คอร์ปอเรชั่น สร้างหมุดหมายสำคัญให้กับวงการคอลเซ็นเต […]

The post ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาคจาก CC-APAC Awards 2025 [PR News] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาค จาก CC-APAC Awards 2025 [ADVERTORIAL]

ทรู คอร์ปอเรชั่น สร้างหมุดหมายสำคัญให้กับวงการคอลเซ็นเตอร์ของไทยอีกครั้ง หลังคว้ารางวัลระดับ Platinum พร้อมกันถึง 3 สาขา จากเวทีระดับภูมิภาคอย่าง Contact Center Associations of Asia Pacific Awards 2025 หรือ CC-APAC Awards ซึ่งจัดขึ้นที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ความสำเร็จครั้งนี้ประกอบด้วยรางวัล Customer Experience ระดับ Platinum, Contact Center Operations ระดับ Platinum และ Business Contribution ระดับ Platinum ในกลุ่ม Corporate Award สะท้อนศักยภาพของคอลเซ็นเตอร์ทรู ในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้า การบริหารจัดการศูนย์บริการอย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงบทบาทเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าให้ธุรกิจในระดับเอเชียแปซิฟิก พร้อมตอกย้ำมาตรฐานใหม่ของคอลเซ็นเตอร์ไทยบนเวทีนานาชาติ

 

ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาค จาก CC-APAC Awards 2025 [ADVERTORIAL] 1

 

สำหรับ CC-APAC Awards เป็นเวทีรางวัลระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือกันของเครือข่ายสมาคมคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Contact Centre Association of Asia Pacific) มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงาน การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กร และการประยุกต์ใช้นวัตกรรมอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง

 

การตัดสินครั้งนี้ใช้วิธีประเมินแบบผสมผสานระหว่างการนำเสนอผลงานและการสัมภาษณ์เชิงลึกของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศ ยึดหลักความเป็นกลาง พิจารณาอย่างโปร่งใส รอบด้าน และสะท้อนผลลัพธ์จริงจากการดำเนินงาน หมวดการประเมินครอบคลุมมิติสำคัญของอุตสาหกรรมคอนแทคเซ็นเตอร์ ตั้งแต่ Business Contribution, Customer Experience, Employee Engagement, Contact Center Operations ไปจนถึง Technology Innovation ซึ่งสะท้อนพันธกิจของเวที CC-APAC Awards ในการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมด้วยเกณฑ์ที่ตรวจสอบได้และสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาอย่างยั่งยืนของภูมิภาค

 

ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาค จาก CC-APAC Awards 2025 [ADVERTORIAL] 2

 

ในปีนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น นำทัพโดย ดร.นพสรัญ ถือธงชัย หัวหน้าสายงานคอลเซ็นเตอร์ เข้าร่วมการแข่งขันในประเภท Corporate Award บนเวที CC-APAC Awards 2025 พร้อมประกาศเจตจำนงชัดเจนในการ “ยกระดับมาตรฐานประสบการณ์ลูกค้าไทยสู่เวทีสากล” ผ่านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร กระบวนการทำงาน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ

 

ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาค จาก CC-APAC Awards 2025 [ADVERTORIAL] 3

 

ดร.นพสรัญ กล่าวว่า “การก้าวสู่เวที CC-APAC 2025 คือการต่อยอดวิสัยทัศน์ของทรูในการมอบประสบการณ์ที่ ‘ดีที่สุดและมีความหมาย’ แก่ลูกค้าทุกคน เราภูมิใจกับทีมงานที่ทุ่มเทพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งทักษะ กระบวนการ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานคอลเซ็นเตอร์ไทยให้โดดเด่นบนเวทีโลก ควบคู่การขับเคลื่อนความยั่งยืนที่จับต้องได้ ด้วยวัฒนธรรมที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ระบบบริหารที่เน้นประสิทธิภาพ ภายใต้วงจรพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้มาตรฐานการบริการมีความสม่ำเสมอ สามารถติดตามและประเมินผลได้อย่างชัดเจน และเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมตลอดจนการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรับผิดชอบ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีทั้งต่อธุรกิจและสังคม พร้อมเปิดกว้างต่อความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และยกระดับมาตรฐานร่วมกัน”

 

ในช่วงท้าย ดร.นพสรัญ ยังได้กล่าวแสดงความยินดีกับทีมงานคอลเซ็นเตอร์ทุกคน พร้อมชื่นชมความทุ่มเทที่หลอมรวมเป็นพลังสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการบริการของประเทศไทย สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรไทยให้โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับบนเวทีระดับนานาชาติอย่างสง่างาม

The post ทรู คอร์ปอเรชั่น พาคอลเซ็นเตอร์ไทยคว้า 3 รางวัลระดับภูมิภาคจาก CC-APAC Awards 2025 [PR News] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องโลกการเงินปี 2026 ยุค ‘Great Divergence’ เมื่อ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยไปกลางปี สวนทาง ธปท. จ่อหั่น 2 รอบ รับมือตลาดแรงงานอ่อนแอและเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน https://thestandard.co/2026-great-divergence-fed-bot/ Mon, 29 Dec 2025 08:29:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1159733 ส่องโลกการเงินปี 2026 ยุค ‘Great Divergence’ เมื่อ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยไปกลางปี สวนทาง ธปท. จ่อหั่น 2 รอบ รับมือตลาดแรงงานอ่อนแอและเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

The post ส่องโลกการเงินปี 2026 ยุค ‘Great Divergence’ เมื่อ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยไปกลางปี สวนทาง ธปท. จ่อหั่น 2 รอบ รับมือตลาดแรงงานอ่อนแอและเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องโลกการเงินปี 2026 ยุค ‘Great Divergence’ เมื่อ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยไปกลางปี สวนทาง ธปท. จ่อหั่น 2 รอบ รับมือตลาดแรงงานอ่อนแอและเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน

The post ส่องโลกการเงินปี 2026 ยุค ‘Great Divergence’ เมื่อ Fed เลื่อนลดดอกเบี้ยไปกลางปี สวนทาง ธปท. จ่อหั่น 2 รอบ รับมือตลาดแรงงานอ่อนแอและเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮั่วเซ่งเฮง เผย 4 ปัจจัยหนุนราคาทองปี 2569 จ่อทำสถิตใหม่ 76,200 บาท แนะ DCA ทุกเดือน วางกลยุทธ์ก่อนเข้าซื้อ ป้องกันความเสี่ยง https://thestandard.co/hua-seng-heng-gold-2026/ Mon, 29 Dec 2025 08:16:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1159724 ฮั่วเซ่งเฮง เผย 4 ปัจจัยหนุนราคาทองปี 2569 จ่อทำสถิตใหม่ 76,200 บาท แนะ DCA ทุกเดือน วางกลยุทธ์ก่อนเข้าซื้อ ป้องกันความเสี่ยง

ฮั่วเซ่งเฮงมองแนวโน้มปี 69 ทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น แ […]

The post ฮั่วเซ่งเฮง เผย 4 ปัจจัยหนุนราคาทองปี 2569 จ่อทำสถิตใหม่ 76,200 บาท แนะ DCA ทุกเดือน วางกลยุทธ์ก่อนเข้าซื้อ ป้องกันความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮั่วเซ่งเฮง เผย 4 ปัจจัยหนุนราคาทองปี 2569 จ่อทำสถิตใหม่ 76,200 บาท แนะ DCA ทุกเดือน วางกลยุทธ์ก่อนเข้าซื้อ ป้องกันความเสี่ยง

ฮั่วเซ่งเฮงมองแนวโน้มปี 69 ทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น แม้อาจไม่ร้อนแรงเท่าปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนเชิงโครงสร้างทั้งด้านนโยบายการเงิน เงินทุนสถาบัน และบทบาทของผู้เล่นรายใหม่ในตลาด

 

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ราคาทองคำในปี 2569 ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 4 แต่อาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นร้อนแรง มากเหมือนปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่ราคาทองคำโลกให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในรอบ 46 ปี โดยราคาทองโลกเมื่อต้นปีอยู่ที่ 2,632 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ก่อนที่จะปรับขึ้นสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม และเพียง 7 เดือนถัดมา ราคาพุ่งทะลุ 4,000 ดอลลาร์ ในเดือนตุลาคม ก่อนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ในช่วงปลายปีที่ระดับ 4,531 ดอลลาร์ (เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2568) ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 70% ขณะที่ราคาทองคำภายในประเทศสร้างสถิติสูงสุดใหม่ที่ 67,400 บาทต่อบาททองคำ (เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568) โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 59%

 

“ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาทองคำในปี 2568 พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง มาจากความไม่แน่นอนของนโยบาย ‘ทรัมป์ 2.0’ โดยเฉพาะแนวคิด การใช้มาตราการภาษีตอบโต้ ทางการค้าต่อประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งสร้างความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก เพิ่มความเสี่ยงของสงครามการค้ารอบใหม่ และทำให้ความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนจึงหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และนโยบายที่คาดเดาได้ยาก

 

ขณะเดียวกัน ปี 2568 ยังเป็นปีที่เห็นแรงซื้อทองคำขนาดใหญ่จากผู้เล่น แทบทุกกลุ่มในตลาดพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงและเก็งกำไร เม็ดเงินมหาศาลจากกองทุน ETF ทองคำ หลังจากก่อนหน้านี้เงินไหลออกอย่างต่อเนื่องหลายปี รวมถึงธนาคารกลาง ทั่วโลกที่เร่งเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรอง เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ แรงซื้อที่กระจายตัวและมีขนาดใหญ่เช่นนี้ ทำให้โครงสร้างอุปสงค์ทองคำ แข็งแกร่งกว่าทุกช่วงที่ผ่านมา และกลายเป็นแรงหนุนสำคัญที่ผลักดัน ให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง จนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์” ธนรัชต์ กล่าว

 

4 ปัจจัยหนุน ราคาทองขึ้นปี 2569

 

1. ประธานเฟดคนใหม่ หนุนดอกเบี้ยขาลง

 

ทรัมป์มีแผนจะประกาศชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คนใหม่ในช่วงต้นปี 2569 โดยตัวเต็ง 3 คน ซึ่งอยู่ในรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้าย ได้แก่ เควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ, เควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟดสายเหยี่ยว, คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟดปัจจุบัน

 

ทั้งนี้ ตัวเต็งทุกคนล้วนแล้วแต่สนับสนุนนโยบายการลดดอกเบี้ยในเชิงรุก โดยเฉพาะวอลเลอร์ที่เคยส่งสัญญาณชัดเจนว่าควรลดดอกเบี้ยรวมราว 0.50-1.00% ขณะที่เควิน แฮสเซตต์ แม้ถูกมองว่าเป็นเต็งหนึ่ง แต่ก็อาจเผชิญแรงต้าน จากผู้ใกล้ชิดของทรัมป์

 

ไม่ว่าประธานเฟดคนใหม่จะเป็นใครก็ตาม ตลาดคาดว่าแนวนโยบาย การเงินของเฟด ภายใต้ประธานคนใหม่จะมีความผ่อนคลายมากกว่ายุคของ เจอโรม พาวเวล ซึ่งจะครบวาระในเดือนพฤษภาคม 2569 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มอยู่ในทิศทางขาลงต่อเนื่อง อย่างน้อยในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ขณะที่ธนาคารกลางของประเทศชั้นนำอื่น ๆ ส่วนใหญ่เริ่มยุติวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงแล้ว ยกเว้นธนาคารกลางอังกฤษ ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยมีแนวโน้มแคบลง และเพิ่มแรงกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

 

2. เงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำ

 

ปี 2568 ถือเป็นปีที่กองทุน ETF ทองคำ กลับมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของทองคำอีกครั้ง หลังจากที่เม็ดเงินไหลออกต่อเนื่องถึง 4 ปี โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิสูงถึง 712.6 ตัน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์หลักของนักลงทุนสถาบัน และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่หนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

 

สำหรับปี 2569 คาดว่า กองทุน ETF ทองคำจะยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด เนื่องจากผู้จัดการกองทุนระดับโลกหลายรายแนะนำให้มีทองคำเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น James Dimon CEO ของ JPMorgan หรือ Mike Wilson CIO ของ Morgan Stanley

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาความเสี่ยงที่อาจมีเม็ดเงินไหลออกเป็นระยะ จากการขายทำกำไรและการปรับพอร์ต หลังจากราคาทองคำปรับขึ้นมาแรง ซึ่งอาจทำให้ราคาผันผวนในบางช่วง

 

3. กระแสลดการพึ่งพาดอลลาร์ หนุนแรงซื้อจากธนาคารกลาง

 

ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา การที่ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำมากกว่า 1,000 ตันต่อปี ติดต่อกันถึง 3 ปี ทำให้ความต้องการทองคำจากภาคธนาคารกลาง เพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของอุปสงค์ทองคำโลก และกลายเป็นแรงขับเคลื่อน สำคัญของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา สำหรับปี 2568 แม้แรงซื้ออาจชะลอลงบ้าง โดยในช่วง 11 เดือนแรกมีการเข้าซื้อไปแล้ว 686 ตัน และคาดว่าปริมาณการซื้อ ตลอดทั้งปีอาจอยู่ที่ 850 ตัน ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก และสะท้อนให้เห็นว่า ธนาคารกลางยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดทองคำ

 

สำหรับแนวโน้มในปี 2569 คาดว่าธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกจะยังคงเดินหน้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง แม้ราคาจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม เช่น

 

  • ธนาคารกลางจีนที่เข้าซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11
  • ธนาคารกลางโปแลนด์ที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนทองคำเป็น 30% ของทุนสำรอง
  • ธนาคารกลางเซอร์เบียมีแผนเพิ่มทองคำอย่างน้อย 100 ตัน ภายในปี 2573 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ฯลฯ

 

ทั้งนี้ เนื่องจากหลายประเทศแสดงความกังวลต่อการด้อยค่าของสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะดอลลาร์ ที่นับวันความน่าเชื่อถือลดน้อยลง จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ แทรกแซงการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในความโปร่งใสของข้อมูลทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการพิมพ์ธนบัตรจำนวนมากเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน

 

4. ผู้เล่นรายใหม่จากโลกดิจิทัล เสริมสร้างตลาดทองคำ

 

นอกจากนักลงทุนรายย่อย กองทุน ETF ทองคำ และธนาคารกลางทั่วโลกแล้ว ปีนี้ตลาดทองคำยังได้เห็น “ผู้เล่นรายใหม่” จากฝั่งสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น สะท้อนว่าทองคำไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ของโลกการเงินแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่กำลังถูกเชื่อมโยงเข้ากับโลกคริปโท และเงินดิจิทัลอย่างชัดเจน

 

โดยTether ผู้ออกสเตเบิลคอยน์รายใหญ่ของโลกอย่าง USDT และโทเคนทองคำ Tether Gold (XAUt) โดยในช่วงไตรมาส 3 เข้าซื้อทองคำมากถึง 26 ตัน ทำให้ปริมาณทองคำสำรองเพิ่มขึ้นเป็น 116 ตัน กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือครองทองคำรายใหญ่ที่สุดนอกกลุ่มธนาคารกลาง และมีขนาดใกล้เคียงกับประเทศขนาดกลางอย่าง เกาหลีใต้ ฮังการี หรือกรีซ การเข้ามาของ Tether จึงช่วยขยายฐานผู้ซื้อทองคำ และเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนเชิงโครงสร้างที่ทำให้ตลาดทองคำในรอบนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ ธนรัชต์ ประเมินว่า “เป้าหมายราคาทองโลกปี 2569 ฮั่วเซ่งเฮงให้ไว้ที่ 4,770-5,200 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ขณะที่ราคาทองภายในประเทศอยู่ที่ระดับ 70,000-76,200 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาทที่ 31.00 บาทต่อดอลลาร์)”

 

กลยุทธ์การลงทุนทองคำ ปี 2569

 

สำหรับแผนการลงทุนระยะยาว ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต้องมีในพอร์ตการลงทุนเพื่อป้องกันความผันผวนของตลาดและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมือง แนะนำกลยุทธ์ทยอยสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนหรือ DCA (Dollar-Cost Averaging) โดยอาจทยอยสะสมทุกเดือนในจำนวนเงินเท่า ๆ กันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน ทั้งเป็นการสร้างวินัยการออมและการลงทุน

 

ส่วนแผนการลงทุนระยะสั้น แม้ว่าปีหน้าราคาทองโลกยังคงเป็นขาขึ้น แต่การไล่ซื้อในช่วงที่ราคาสูง จะทำให้มี ความเสี่ยงสูงตามไปด้วย ดังนั้น หากนักลงทุนวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ ตั้งแต่ก่อนเข้าซื้อ พร้อมกับรักษาวินัยการลงทุน จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

 

ภาพ: FOTOKITA/Shutterstock

The post ฮั่วเซ่งเฮง เผย 4 ปัจจัยหนุนราคาทองปี 2569 จ่อทำสถิตใหม่ 76,200 บาท แนะ DCA ทุกเดือน วางกลยุทธ์ก่อนเข้าซื้อ ป้องกันความเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดบทเรียนประกันสิงคโปร์ถึงไทย บริหารต้นทุนอย่างไร ค่าเบี้ยถูก-คุ้มครองสูง จนคนรวยแห่ทำกรมธรรม์สำรอง https://thestandard.co/singapore-insurance-model-lessons/ Mon, 29 Dec 2025 06:10:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1159652 ถอดบทเรียนประกันสิงคโปร์ถึงไทย บริหารต้นทุนอย่างไร ค่าเบี้ยถูก-คุ้มครองสูง จนคนรวยแห่ทำกรมธรรม์สำรอง

หากพูดถึง ‘ประกัน’ หลายคนคงมีภาพจำที่ไม่ดีต่ออุตสาหกรรม […]

The post ถอดบทเรียนประกันสิงคโปร์ถึงไทย บริหารต้นทุนอย่างไร ค่าเบี้ยถูก-คุ้มครองสูง จนคนรวยแห่ทำกรมธรรม์สำรอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดบทเรียนประกันสิงคโปร์ถึงไทย บริหารต้นทุนอย่างไร ค่าเบี้ยถูก-คุ้มครองสูง จนคนรวยแห่ทำกรมธรรม์สำรอง

หากพูดถึง ‘ประกัน’ หลายคนคงมีภาพจำที่ไม่ดีต่ออุตสาหกรรมประกันไทย สาเหตุหลักๆ คงหนีไม่พ้นการถูกตัวแทนประกันหลอกขายกรมธรรม์ ทำให้เกิดสารพัดปัญหาตามมา ไม่ว่าจะเป็นความยุ่งยากการเคลมค่าสินไหม หรือการโดนบริษัทยกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม แถมเบี้ยประกันก็แพงขึ้นทุกปี พร้อมเงื่อนไขความคุ้มครองที่ซับซ้อนขึ้น จนผู้บริโภคมองว่าไม่ ‘คุ้มค่า’ ที่จะจ่ายเบี้ยประกัน

 

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราจึงเห็นข่าวชนชั้นกลางค่อนบน และกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งสูงหันไปซื้อ ประกันชีวิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ ในขณะที่กลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ และชนชั้นกลางยังกลัวการซื้อประกัน เลือกยอมรับเสี่ยงเอง ดีกว่าต้องจ่ายเบี้ยประกัน แล้วลุ้นความคุ้มครอง

 

THE STANDARD WEALTH สัมภาษณ์ บุ้งกี๋ – ณัฐชนก มานะสมจิตร Senior Financial Advisor สิงคโปร์ เจ้าของเพจ GEE Money & More ชวนเจาะลึกเบื้องหลังอุตสาหกรรมประกันสิงคโปร์ มีดีอะไร ทำไมคนมีเงินถึงยอมบินไปทำประกัน, พร้อมเปิดสาเหตุทำไมประกันไทย ต้นทุนแพงขึ้น จนคนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง

 

และพูดคุยถึงแนวทางแก้ไข กับทอมมี่ – พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด (ABS) และ อดีตนายกสมาคมนักคณิต ศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย

 

ประกันชีวิตสิงคโปร์ โตแรงแซงค่าครองซีพ

 

สิงคโปร์ได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่คนมีความรู้การเงินสูงอันดับต้นๆ ของโลก โดยได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม การเป็น “ศูนย์กลางการเงิน” ระดับโลก

 

ทำให้แม้เศรษฐกิจจะโตช้าลง ค่าครองชีพสูง แต่อุตสาหกรรมประกันยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ข้อมูลล่าสุดโดยสมาคมประกันชีวิตสิงคโปร์ (The Life Insurance Association, Singapore หรือ LIA Singapore) รายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 (มกราคม-มิถุนายน) มีเบี้ยรับรายใหม่ (Weighted New Business Premiums) มูลค่า 2.99 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (7.23 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 7.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตหลักๆ มาจากเบี้ยประกันรับปีต่อไป ซึ่งเติบโตขึ้นถึง 22% ในขณะที่เบี้ยประกันภัย แบบชำระครั้งเดียวลดลง 21.3%

 

โดยประกันควบการลงทุน (Investment-Linked Policies หรือ ILPs) ยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ของอุตสาหกรรม เนื่องจากคนสิงคโปร์ส่วนใหญ่วางแผนการเงินระยะยาว จึงซื้อประกันไม่ใช่แค่ไว้ป้องกันความเสี่ยง ลดผลกระทบจากความไม่แน่นอน แต่ต้องได้ผลตอบแทนกลับมาด้วย สะท้อนจากเบี้ยรายรับใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 1.28 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (3.09 หมื่นล้านบาท) เติบโต 31.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 975 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.36 หมื่นล้านบาท)

 

ปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมประกันในสิงคโปร์โตแรง ไม่ได้มาจากความตื่นตัวของคน ในการวางแผนการเงินเท่านั้น แต่การเข้ามาการแข่งขันของกลุ่มบริษัทประกัน เพื่อแย่งชิงลูกค้าจากคู่แข่งที่มาจากทั่วทุกมุมโลก ผลักดันให้บริษัทประกัน ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุดทั้งในความคุ้มค่าการคุ้มครองและราคา อีกจุดเด่นที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาตินิยมทำประกันในสิงคโปร์คือประกันบางประเภท มีเฉพาะที่สิงคโปร์เท่านั้น

 

ทำไมสิงคโปร์เบี้ยถูก ความคุ้มครองสูงกว่าไทย

 

  • สิงคโปร์เป็นตลาดที่เปิดกว้างมาก มีบริษัทประกันจากต่างประเทศเข้ามาทำการตลาดเยอะ ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ทำให้ต้องแข่งขันกันหนักมาก ค่าเบี้ยจึงถูกลงประกอบกับ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกระบบการขายผ่านช่องทางออนไลน์หรือ การใช้เทคโนโลยีประกันภัย (InsurTech) แทนที่ตัวแทนขายบางส่วน ต้นทุนการหาลูกค้าจึงต่ำกว่าไทย
  • สิงคโปร์เป็นประเทศที่คนมีอายุขัยเฉลี่ยสูงสุขภาพโดยรวมดี ประชาชนจึงอายุยืนกว่าไทย ทำให้ความเสี่ยงของบริษัทประกันลดลง สามารถคิดเบี้ยต่ำลงได้แต่ยังให้ทุนประกันสูงอยู่
  • โครงสร้างตลาดโปร่งใส บริษัทประกันในสิงคโปร์อยู่ภายใต้กฎหมาย และการกำกับดูแล ของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) มีระบบเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส ทำให้ลูกค้าสามารถ เปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันแต่ละเจ้าได้ง่าย บริษัทประกันจึงต้องแข่งกัน เรื่องความคุ้มค่าของเบี้ย เพื่อรักษาฐานลูกค้า
  • บูรณาการข้อมูลร่วมกันทั้งระบบตั้งแต่สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ จนถึงอุปกรณ์เพื่อสุขภาพ เช่น นำนาฬิกา smartwatch มาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงรายบุคคน ทำให้เบี้ยออก มาตรงกับพฤติกรรมจริง ไม่ต้องบวกค่าความเสี่ยงแบบเหมารวมเหมือนระบบเดิม

 

“ประกันฝั่งไทย เรายังพึ่งตัวแทนขายเป็นหลัก ต้นทุนค่านายหน้า ค่าอบรม ค่าโครงสร้างองค์กรยังสูง อีกทั้งตลาดยังไม่เปิดเสรีมากนัก การแข่งขันเลยน้อย และการใช้ข้อมูลยังไม่ลึกเท่า พอรวมกันแล้ว เบี้ยเลยออกมาสูงกว่า ทั้งที่ทุนประกันอาจต่ำกว่า”

 

สรุปคือ ประกันสิงคโปร์มีข้อได้เปรียบด้านตลาดที่เปิดกว้างกว่า การปรับใช้เทคโนโลยีเยอะกว่า ทำให้ข้อมูลแม่นยำ และต้นทุนต่ำกว่า จึงสามารถออกแบบกรมธรรม์ที่เบี้ยถูกแต่ทุนประกันสูงได้ ในขณะที่ประกันไทยยังอยู่ในระบบที่มีต้นทุนการขายสูง และการกำหนดราคาโดยเฉลี่ยที่ยังไม่ personalized เท่าที่ควร

 

เปิดปัญหาต้นทุนประกันไทย แพงจนคนเอื้อมไม่ถึง

 

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ประกันไทยแข่งขันด้านต้นทุนได้ไม่ดีเท่าสิงคโปร์ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น จำกัด (ABS) และ อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นกับ THE STANDARD WEALTH ว่า การที่ประกันสิงคโปร์มีความยืดหยุ่นด้านการบริหารต้นทุนประกันมากกว่าไทย หลักๆ มาจาก 4 ปัจจัย ได้แก่

 

1. การเข้าถึงแหล่งเงินทุน

 

ประกันต่างประเทศสามารถกระจายความเสี่ยงการลงทุนด้วยเครื่องมือทางการเงิน ที่ซับซ้อนได้มากกว่าประเทศไทย แต่ก็จะมีความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่กรมธรรม์ไทยมีมูลค่าเป็นเงินบาท จึงต้องเน้นลงทุนในหุ้นไทย หรือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเพื่อจัดการความเสี่ยงหนี้ความคุ้มครอง และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

 

2. เงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลสูง

 

ด้วยความเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์ (Medical Hub) ทำให้โรงพยาบาลไทยแข่งขันกันด้านเทคโนโลยีอัปเกรดเครื่องมือทางการแพทย์ ให้ทันสมัย ซึ่งตามมาด้วยต้นทุนที่สูงส่งผลให้ต้นทุนการเคลมประกันสูงตาม

 

ประกอบกับกรมธรรม์ไม่ได้จำกัดสิทธิการเลือกโรงพยาบาล จึงเป็นช่องโหว่ให้ผู้เอาประกัน เคลมค่าสินไหมจากโรงพยาบาลที่ค่ารักษาแพงเพื่อความคุ้มค่า นอกจากนี้การเข้ามา ใช้บริการโรงพยาบาลระดับ 5 ดาวของกลุ่มคนต่างชาติ เป็นตัวเร่งค่ารักษาพยาบาล เฉลี่ยต่อครั้งแพงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เพราะคนไทยต้องแบกรับค่าเฉลี่ยต้นทุนการรักษา ร่วมกับคนต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในไทยด้วย

 

3. การเคลมประกันไม่มีระบบกลาง

 

บริษัทประกันจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติการรักษาของโรงพยาบาลได้โดยตรง ทำให้ต้นทุนข้อมูลสูง ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ข้อมูลทุกอย่างเชื่อมกันภายใต้ Ecosystem เดียวกัน บริษัทประกันจึงเห็นข้อมูล การเคลมของลูกค้าแต่ละคนและสามารถประเมินสัดส่วนกลุ่มลูกค้าที่ใช้ประกันในทางที่ไม่ เหมาะสมได้แม่นยำขึ้น

 

4. ระดับความรู้ประกันของคนไทย

 

ส่งผลต่อต้นทุนช่องทางขายประกันเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ ที่คนมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประกันอยู่แล้ว จึงมีโอกาสปิดการขายได้เร็วกว่า เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ตัวแทนประกันในไทยมีลูกค้าเข้ามาขอคำแนะนำ 10 คน มีโอกาสปิดการขายได้เพียง 1 คนเท่านั้น และลูกค้าแต่ละคนต้องมีการนัดคุยไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งเพื่อปูพื้นฐานความรู้ประกันก่อนเสนอขาย จึงใช้ระยะเวลานานกว่าเมื่อเทียบตัวแทนประกันสิงคโปร์ที่สามารถปิดการขายลูกค้าได้ 1 ใน 5 คน ดังนั้นบริษัทประกันจึงต้องต้องแบกรับต้นทุนค่าคอมมิชชันเพื่อจูงใจตัวแทนขาย

 

พิเชฐ กล่าวทิ้งทายว่า ถ้าคนไทยมีความรู้เรื่องของการจัดการความเสี่ยงระดับครัวเรือน ซึ่งก็คือ การซื้อประกัน จะช่วยลดต้นทุนระหว่าง Customer Journey ซึ่งจะทำให้ต้นทุน ช่องทางจำหน่ายถูกลงไปด้วย

 

‘ประกัน’ ยาสามัญประจำบ้าน คนสิงคโปร์

 

ในสายตาประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์เป็นต้นแบบของประเทศที่รัฐบาลออกแบบระบบ เพื่อเตรียมความพร้อมเกษียณให้ประชาชนอย่างแท้จริง แต่ทุกระบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่มีระบบไหนที่จะถูกใจทุกคน

 

สำหรับคนสิงคโปร์ ‘ประกัน’ เปรียบเสมือน ‘ยาสามัญประจำบ้าน’ ที่ทุกคนต้องมี เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในประเทศค่อนข้างแพง โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน อีกทั้งสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลที่ไม่ดีนัก ประกันสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น

 

ประกอบกับรัฐบาลมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จะบังคับให้ทุกคนต้องออมเงิน โดยประชาชนสามารถแบ่งเงินออมในกองทุนไปซื้อประกัน ทำให้ทุกคนเข้าถึงประกันได้ คนสิงคโปร์จึงนิยมซื้อประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์เพื่อวางแผนการเงินระยะยาว ให้อยู่ได้หลังเกษียณ

 

สำหรับหลักการเลือกซื้อประกัน คนสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าเป็นอันดับแรก โดยพิจารณาจากค่าเบี้ยประกัน ผลตอบแทนและวงเงินคุ้มครอง เน้นจ่ายเบี้ยน้อย วงเงินคุ้มครองสูง ด้วยความที่ตลาดเปิดกว้างบริษัทประกันไม่ใช่แค่แข่งกันเองในประเทศ แต่ต้องแข่งขันกับผู้เล่นที่มาจากทั่วโลก จึงเปิดโอกาสให้ประกันเจ้าเล็กแข่งขันกับเจ้าใหญ่ ด้วยราคาที่คุ้มค่ากว่า

The post ถอดบทเรียนประกันสิงคโปร์ถึงไทย บริหารต้นทุนอย่างไร ค่าเบี้ยถูก-คุ้มครองสูง จนคนรวยแห่ทำกรมธรรม์สำรอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
BOI หนุนจัด ‘Tomorrowland’ ดึงศิลปิน ดีเจระดับโลกโชว์จัดเต็ม 3 วันที่ชลบุรี ต่างชาติเยือนไทยแสนคน https://thestandard.co/boi-supports-tomorrowland-thailand-2026/ Mon, 29 Dec 2025 05:21:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1159637 BOI หนุนจัด ‘Tomorrowland’ ดึงศิลปิน ดีเจระดับโลกโชว์จัดเต็ม 3 วันที่ชลบุรี ต่างชาติเยือนไทยแสนคน

‘BOI’ ไฟเขียวส่งเสริมลงทุนบริษัท วีอาร์วัน.เวิลด์ (ไทยแ […]

The post BOI หนุนจัด ‘Tomorrowland’ ดึงศิลปิน ดีเจระดับโลกโชว์จัดเต็ม 3 วันที่ชลบุรี ต่างชาติเยือนไทยแสนคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
BOI หนุนจัด ‘Tomorrowland’ ดึงศิลปิน ดีเจระดับโลกโชว์จัดเต็ม 3 วันที่ชลบุรี ต่างชาติเยือนไทยแสนคน

‘BOI’ ไฟเขียวส่งเสริมลงทุนบริษัท วีอาร์วัน.เวิลด์ (ไทยแลนด์) จัด Tomorrowland มหกรรมดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกในไทย ที่แรกในเอเชีย เผยมีศิลปินและดีเจระดับโลกเตรียมเข้าร่วมแสดงคับคั่ง ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย ให้เป็นที่รู้จักในฐานะจุดหมายปลายทางการจัดงานเทศกาลระดับโลก และเป็น Festival Hub ของเอเชีย

 

วันที่ 29 ธ.ค. นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะทำงานพิจารณาโครงการ โดยได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติให้การส่งเสริมแก่ บริษัท วีอาร์วัน.เวิลด์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างไทย-เบลเยียม ในกิจการจัดงานมหกรรมดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ โดยโครงการนี้จะเป็นการจัดงานมหกรรมดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก (EDM Festival) ครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ชื่องาน “Tomorrowland Thailand” เริ่มจัดครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2569 ที่ Wisdom Valley จังหวัดชลบุรี เป็นเวลา 3 วัน

 

โดยจะสามารถรองรับผู้ชมได้สูงสุด 50,000 คนต่อวัน คาดว่าจะเป็นผู้ชมจากต่างประเทศกว่า 60% และคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมไม่ต่ำกว่า 21,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการจัดงาน

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

 

โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ทีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล สัญชาติเบลเยียม ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Tomorrowland Group ผู้ถือลิขสิทธิ์เทศกาลดนตรี Tomorrowland และมีประสบการณ์ในการจัดมหกรรมดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ (EDM Festival) มากกว่า 20 ปี ในหลายประเทศ และบริษัท วัน เอเชีย เวนเจอร์ส สัญชาติไทย ผู้มีประสบการณ์ในการจัดงานดนตรี EDM ระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Siam Songkran Music Festival รวมถึงงานเทศกาลนานาชาติอื่น ๆ มากกว่า 10 ปี

 

ความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายในการจัดงานมหกรรมดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ชื่อ ‘Tomorrowland Thailand’ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าสู่ประเทศไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลระดับโลกนี้

 

ขณะเดียวกัน ยังจะมีการดำเนินโครงการ “Tomorrowland Academy” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และมาตรฐานการจัดงานระดับนานาชาติสู่บุคลากรไทย ช่วยยกระดับศักยภาพบุคลากรไทยและภาคธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวและการจัดเทศกาลดนตรีในประเทศ

 

“บีโอไอได้เปิดส่งเสริมกิจการจัดงานมหกรรมดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ มาตั้งแต่ปี 2567 เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางในการจัดงานระดับโลก และเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยบีโอไอได้ปลดล็อคอุปสรรคของการจัดงานขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของศิลปินและทีมงานต่างชาติ และเรื่องภาระภาษีของอุปกรณ์จัดการแสดงที่อาจนำเข้ามาใช้เพียงชั่วคราวแล้วส่งกลับออกไป เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้จัดงานระดับโลกสามารถเข้ามาจัดงานแสดงในไทยได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมหกรรมคอนเสิร์ต กีฬา หรืองานเทศกาลนานาชาติต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยกระดับภาพลักษณ์ของไทยในกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง ช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สินค้าท้องถิ่น และบริการต่าง ๆ รวมถึงช่วยสร้างประสบการณ์ให้กับคนไทย และยกระดับบุคลากรไทยในธุรกิจอีเว้นท์ด้วย” นฤตม์ กล่าวย้ำ

 

ทั้งนี้ บีโอไอได้กำหนดหลักเกณฑ์การขอรับการส่งเสริมใน “กิจการจัดงานมหกรรมดนตรี กีฬา และเทศกาลนานาชาติ” จะต้องเป็นงานมหกรรมขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการจัดงานไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่องาน โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดงาน พร้อมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานสำหรับศิลปินและบุคลากรต่างชาติที่เข้ามาจัดงาน ผ่านศูนย์บริการ One Stop Service ที่บีโอไอดำเนินการร่วมกับ ตม. และกระทรวงแรงงาน ที่อาคาร One Bangkok

 

ภาพ: Mauricio Santana / Getty images

The post BOI หนุนจัด ‘Tomorrowland’ ดึงศิลปิน ดีเจระดับโลกโชว์จัดเต็ม 3 วันที่ชลบุรี ต่างชาติเยือนไทยแสนคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Wealth Expert: บทสรุปการลงทุน 2025 มองหาผู้ชนะ 2026 https://thestandard.co/gold-market-winner-2025-forecast-2026-uob/ Mon, 29 Dec 2025 01:00:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1156202 gold-market-winner-2025-forecast-2026-uob

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคที่เพิ่มสูงขึ้น ทั […]

The post Wealth Expert: บทสรุปการลงทุน 2025 มองหาผู้ชนะ 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
gold-market-winner-2025-forecast-2026-uob

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของเศรษฐกิจ ไปจนถึงความกังวลเกี่ยวกับงบลงทุนบนเทคโนโลยี AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนนำมาสู่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ แต่ตลอดทั้งปี 2025 ยังเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีของการลงทุน สะท้อนจากผลตอบแทนของหลายสินทรัพย์ที่ค่อนข้างโดดเด่น

 

ในบทความนี้ UOB Privilege Banking อยากชวนทุกคนย้อนมองโลกการลงทุนตลอดทั้งปี 2025 ที่ผ่านมา พร้อมมองแนวโน้มการลงทุนใน 2026 สินทรัพย์ใดจะยังโดดเด่นต่อไป

 

บทสรุป 2025 ทองคำคือผู้ชนะ หุ้นเทคยังคงแข็งแกร่ง

 

หากถามว่าสินทรัพย์ลงทุนใดร้อนแรงที่สุดในปีนี้ หลายคนน่าจะเทใจให้กับ ‘ทองคำ’ ด้วยผลตอบแทนที่สูงถึง 60% จนล่าสุดราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นมาสู่ระดับ 4,200 – 4,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

แรงผลักดันราคาทองคำส่วนหนึ่งเกิดจากความวิตกกังวลต่อความไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนหันเข้าหา ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ (Safe-haven assets) อย่างทองคำ นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับประโยชน์จากภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-off) ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องภาษี, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว, ความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ย และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ซึ่งนำไปสู่ความต้องการที่แข็งแกร่งจากธนาคารกลางและนักลงทุนรายย่อย

 

ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลก แม้โดยเฉลี่ยจะให้ผลตอบแทนต่ำกว่าทองคำ และแม้ว่าดัชนี S&P 500 จะเผชิญกับการย่อตัวในช่วงสั้นๆ ระหว่างทางเนื่องจากความระมัดระวังของนักลงทุนท่ามกลางมูลค่าหุ้นที่ตึงตัว แต่หุ้นสหรัฐฯ ก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งได้ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของกำไรภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง , การนำ AI มาใช้อย่างรวดเร็ว, กระแสเงินลงทุนไหลเข้าที่หนาแน่น, การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และเศรษฐกิจที่ยังทนทาน

 

โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 17% ด้วยแรงหนุนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ขณะที่หุ้นจีนให้ผลตอบแทน 33% ซึ่งเป็นผลจากมุมมองเชิงบวกต่อการปฏิรูปโครงสร้างที่มุ่งลดกำลังการผลิตส่วนเกิน, การฟื้นตัวของความสามารถในการทำกำไรของภาคอุตสาหกรรม, และแรงกดดันของภาวะเงินฝืดที่เริ่มผ่อนคลายลง

 

https://www.uob.com.sg/assets/web-resources/personal/pdf/invest/wealth-insights/monthly-investment-insights-202512.pdf

 

Stay Invested! พร้อมมองหาโอกาสลงทุนกับผู้ชนะในปี 2026

 

เตรียมพร้อมเข้าสู่ปี 2026 UOB Privilege Banking มองว่าจะยังเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ แม้ว่าผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆอาจจะไม่ได้เติบโตร้อนแรงเหมือนปี 2025  แต่ก็ยังได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง , นโยบาย One Big Beautiful Bill Act (OBBBA) ของสหรัฐฯ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและกำไรบริษัท , การลงทุนในกลุ่ม AI ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโต ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดได้ และหากเกิดความผันผวนขึ้นระหว่างทางการลงทุน เรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน การจัดพอร์ตลงทุนให้หลากหลาย กระจายการลงทุนทั้งประเภทสินทรัพย์ , ภูมิภาค และอุตสาหกรรม จะยังคงมีความสำคัญ

 

  • ในภาวะที่นโยบายการเงินยังอยู่ในโทนผ่อนคลาย ดอกเบี้ยยังเป็นขาลง แนะนำลงทุนในสินทรัพย์ที่มี income สม่ำเสมอ ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ Investment Grade  โดยตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญในการจัด asset allocation ช่วยลดความผันผวนของพอร์ต จากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ การเข้าลงทุนตราสารหนี้คุณภาพดี เพื่อ lock yield ไว้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ นักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับการแสวงหาผลตอบแทนพร้อมกับการเลือกลงทุนในตราสารคุณภาพดี ในกองทุน UGIS-N , UGIS-A และสำหรับลูกค้า UOB Privilege Banking สามารถเลือกลงทุนใน offshore bond ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงในหุ้นกู้ของบริษัทชั้นนำทั่วโลก ที่ยังให้อัตราผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ

 

  •   หุ้นปันผลคุณภาพดี ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ดีในการสร้าง income เช่นกัน หุ้นคุณภาพดีมีงบกระแสเงินสดที่มั่นคง, งบดุลที่แข็งแกร่ง และมีการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ มีแนวโน้มทำผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ดอกเบี้ยลดลงและหุ้นที่จ่ายปันผลจะช่วยให้นักลงทุนมี income จากพอร์ตลงทุนเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อในระยะยาว แนะนำลงทุนผ่านกองทุนรวม KFGDIV-A , KFGDIV-D และ Fidelity Funds – Asia Pacific Dividend Fund  (offshore fund)

 

  • หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของกำไรในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในปี 2025 บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งสร้างผลประกอบการที่เกินความคาดหมายของตลาด และจากคาดการณ์ของบริษัท AI ยักษ์ใหญ่ ยังสะท้อนถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในด้าน cloud computing  จึงคาดการณ์ว่าการขยายตัวของ AI จะยังดำเนินต่อไปในปี 2026 ด้วย แนะนำกระจายการลงทุนที่หลากหลาย ไม่กระจุกตัวแค่ใน Big Tech เท่านั้นจากความคาดหวังว่าการเติบโตของกำไรจะขยายวงกว้างออกไปนอกเหนือจากกลุ่มหุ้นยักษ์ใหญ่ในไตรมาสต่อๆ ไป รวมถึงกระจายด้านภูมิภาคด้วย หุ้นเทคโนโลยี AI ไม่ได้เติบโตแค่ในสหรัฐฯ แต่ภูมิภาคเอเชียยังเป็นผู้นำในการผลิตเทคโนโลยี ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงชิปหน่วยความจำแบนด์วิดธ์สูง (High-bandwidth memory) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AI Supply chain แนะนำการลงทุนผ่านกองทุนรวม KT-Technology  และ Wellington Asia Technology (offshore fund)

 

  • หุ้นจีน มีความเชื่อมั่นเชิงบวกที่เพิ่มขึ้นต่อศักยภาพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีน ท่ามกลางความมุ่งมั่นของจีนในการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการพึ่งพาตนเอง ได้แรงหนุนจากนโยบายของความมุ่งมั่นในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและแรงกดดันด้านกฎระเบียบที่ลดลงต่อภาคเอกชน คาดว่าจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและตลาดการเงินภายในประเทศ ระดับมูลค่าตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจ แต่นักลงทุนต้องตระหนักถึงความท้าทายต่างๆ เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังอ่อนแอ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แนะนำลงทุนแบบ All China เพื่อไม่พลาดโอกาสเติบโตจากทุกตลาดของจีน สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม UCHINA และ ABCG

 

  • ทองคำ ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ความต้องการที่ยังแข็งแกร่งจากนักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาทองคำยังคงอยู่ระดับสูง แนะนำลงทุนสัดส่วนลงทุน 5-10% ของพอร์ตโฟลิโอ นักลงทุนสามารถพิจารณาลงทุนทองคำผ่านกองทุนรวม UOBSG-H , SCBGOLD หรือ SCBGOLDH

 

ท่ามกลางโอกาสมากมาย เราจึงแนะนำนักลงทุนให้ Stay Invested เพราะการออกจากตลาดและเฝ้ารอจังหวะการกลับเข้ามาใหม่ อาจทำให้นักลงทุนพลาดโอกาสหรือจับจังหวะผิดพลาดได้  การ Stay Invested  , จัดพอร์ตกระจายการลงทุน และการทยอยลงทุนสม่ำเสมอ จะเป็นเส้นทางที่ช่วยให้นักลงทุนทุกท่านประสบความสำเร็จในระยะยาวตามเป้าหมายได้

 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน 

บทความนี้ได้รับการสนับสนุนโดย ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน)

The post Wealth Expert: บทสรุปการลงทุน 2025 มองหาผู้ชนะ 2026 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ถอดบทเรียนเศรษฐกิจไทยปี 2568 คนไทยผ่านวิกฤตอะไรกันมาบ้าง? https://thestandard.co/thailand-2025-year-review-crises-and-lessons-for-2026/ Mon, 29 Dec 2025 01:00:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1158589 thailand-2025-year-review-crises-and-lessons-for-2026

ปี 2568 นับเป็นปีแห่งความท้าทายและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ […]

The post ถอดบทเรียนเศรษฐกิจไทยปี 2568 คนไทยผ่านวิกฤตอะไรกันมาบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-2025-year-review-crises-and-lessons-for-2026

ปี 2568 นับเป็นปีแห่งความท้าทายและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งเศรษฐกิจที่เผชิญมรสุมความเสี่ยงจากปัญหาปากท้องครัวเรือน (กำลังซื้อยังอ่อนแอจากหนี้สูง), ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ตึงเครียด, ภูมิรัฐศาสตร์, วิกฤตศรัทธาในวงการศาสนาที่ถูกตั้งคำถาม, ภัยธรรมชาติ (อุทกภัย), ความผันผวนทางการเมือง, ทุนเทา, สแกมเมอร์, และความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง (การแข่งขัน/สังคมสูงวัย) ยังเป็นโจทย์ใหญ่ต่อเนื่องไปถึงปี 2569

 

เพื่อรับมือกับอนาคต THE STANDARD WEALTH ชวนถอดบทเรียน คนไทยต้องปรับตัวและรับมือกับความไม่แน่นอนสูงทั้งในด้านชีวิต การเงิน และความวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป 

 

1. ซิงซิงเอฟเฟกต์! สู่ปรากฏการณ์สแกมเมอร์เมียนมา-กัมพูชาล้อมไทย

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

‘ชาวจีน’ ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทย โดยแต่ละปีจะมีชาวจีนประมาณ 6.7 ล้านคน เดินทางมาท่องเที่ยวไทย กระทั่งในเดือน ม.ค. 2568 เมื่อเกิดเหตุการณ์ หวังซิง (Wang Xing หรือ ‘ซิงซิง’) นักแสดงหนุ่มชาวจีน เดินทางมาประเทศไทยแล้วถูกขบวนการค้ามนุษย์ลักพาตัว ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ 

 

กระแสข่าวดังกล่าวถูกแชร์อย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ ก่อนจะถึงช่วงหยุดยาวในเทศกาลตรุษจีนที่ผู้คนนิยมเดินทางท่องเที่ยวกลับลดลงและส่งผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างมากถึงกลางปีซึ่งไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยปีนี้เทรนด์การท่องเที่ยวเปลี่ยนชาวจีน บางส่วนหันไปท่องเที่ยวเวียดนามและญี่ปุ่นแทน

 

อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)  กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันเวียดนามไม่เพียงขยายมาตรการกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน ยังขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ที่คล้ายกับกลุ่มตลาดเป้าหมายของไทย อาทิ เกาหลีใต้ รัสเซีย ซึ่งก็เริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่า กลุ่มประเทศเหล่านี้ย้ายฐานไปเวียดนาม 

 

มูลค่าตัวเลขง่ายๆนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปนั้น ถ้านักท่องเที่ยวหายไป 1 ล้านคน รายได้ก็หายไป 50,000 ล้าน ค่าเฉลี่ยในการเที่ยวไทย 1 คน ราวๆ 5 หมื่นบาท ซึ่งดูตัวเลขจาก SCB EIC พบว่า ปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนอาจหายไป 1.5 ล้านคน ก็เท่ากับว่ารายได้จะหายไป 75,000 ล้านบาท ที่สำคัญคือ 33% ชาวจีนจับจ่ายเป็นค่ากินดื่ม ก็จะกระทบไปถึงธุรกิจร้านอาหาร SME อย่างที่ทุกคนทราบสถานการณ์บรรทัดทอง ถนนข้าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก 

 

2. ทุนจีนใกล้ฉัน: ‘ไทยแลนด์’ ดินแดนสวรรค์ทุน (เทา) จีน

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ตลอดช่วง 5 ปีนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เมียนมา โดยเฉพาะกัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ ที่หลอกลวงคนไทยและผู้คนทั่วโลก สร้างความเสียหาย ‘ปีละหลายแสนล้านบาท’ อีกทั้งยังมีการหลอกล่อแรงงานจากหลายประเทศเข้าไปทำงานในลักษณะค้ามนุษย์ จนกัมพูชาถูกขนานนามว่า ‘สแกมโบเดีย’

 

เงินจำนวนมหาศาลจากการฉ้อโกงเหล่านี้ ลามไปสู่ปัญหาการฟอกเงิน (Money Laundering) และประเทศไทยกลับกลายเป็นพื้นที่สำคัญในการฟอกเงินของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งผลให้ไทยถูกมองว่าเป็น ‘ศูนย์กลางการฟอกเงิน’ และเป็นแหล่งพักพิงของกลุ่มสแกมเมอร์ในภูมิภาค

 

รศ. ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า หลายปัจจัยทั้งการเปิดเสรีทางการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความรุนแรงของสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 เป็นปัจจัยเร่งให้ทุนจีนย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย

 

แม้การไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะเป็นผลดีในเชิงปริมาณ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สินค้าจีนกลับหลั่งไหลเข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากแข่งขันได้ยากขึ้น ธุรกิจทยอยปิดตัว และหลายกิจการถูกต่างชาติเทกโอเวอร์ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่ออัตราการเติบโตของ GDP ไทยรั้งท้ายประเทศเพื่อนบ้าน

 

ภาคการผลิตที่อ่อนแอ ประกอบกับกติกาการเปิดธุรกิจที่เอื้อต่อทุนต่างชาติ โดยใช้เงินเพียงราว 2 ล้านบาทก็สามารถจดทะเบียนตั้งบริษัทในไทยได้ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายที่เข้าถึงง่ายของทุนจีน ปรากฏการณ์นี้ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานและยังไร้การแก้ไขอย่างจริงจัง

 

ท้ายที่สุด ทุนจีนสีขาวจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็น ‘ทุนจีนสีเทา’ นอกเหนือจากการแข่งขันทางสินค้า ยังเกิดปัญหาใต้พรมเชื่อมโยงไปถึงอาชญากรรม ดังข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงิน สแกมเมอร์ หรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จนเกิดคำถามสำคัญในสังคมว่า เหตุใดประเทศไทยจึงกลายเป็นสวรรค์ของทุน (จีน) สีเทา 

 

3. ปีแห่งภัยพิบัติ: จากแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ถึงมหาอุทกภัย ‘หาดใหญ่’

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ในช่วงต้นปี 2568 ประเทศไทยต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึก เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ส่งแรงสะเทือนรับรู้ได้ตั้งแต่ภาคเหนือจดกรุงเทพฯ ส่งผลให้อาคารสูงหลาย แห่งต้องเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัยแต่ความเสียหายรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นกับอาคาร ‘สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่’ ที่พังถล่ม

อย่างไม่คาดคิด คร่าชีวิตผู้คนจำนวน และสูญหายอีกหลายราย กลายเป็นเหตุสะเทือนใจคนไทยทั่วประเทศ กระทบบรรยากาศลงทุน เศรษฐกิจชะงัก 

 

ระหว่างปีภัยธรรมชาติยังเกิดอีกหลายระลอก เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค. เมื่อพายุหลายลูกพัดล่มเข้าประเทศ ทำให้เกิดฝนตกหนัก กระทั่งเดือนพ.ย. พื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยโดยเฉพาะ ‘หาดใหญ่’ ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่เศรษฐกิจใต้ ประชาชนกว่า 1 ล้านครัวเรือนประสบความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน บ้านเรือน และสมาชิกในครอบครัว ความเสียหายทางเศรษฐกิจ หลายหมื่นล้านบาท นับเป็นหนึ่งในวิกฤตน้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย

 

4. ทรัมป์คัมแบ็ก! ภาษีสหรัฐฯ สะเทือนการค้าโลกและไทย 

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ช่วงเดือนเมษายน นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ามาคุมบังเหียนหวนคืนทำเนียบขาว ไ้ด้สร้างปรากฎการณ์สะท้านโลก ด้วยการประกาศรีดภาษีนำเข้าสินค้าจากเกือบทุกประเทศ นำไปสู่การทำสงครามการค้าอีกครั้งที่ห้ำหั่นกันระหว่างชาติมหาอำนาจกับจีน และสั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก

 

โดยช่วงท้ายปี ทรัมป์ ร่อนจดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ กับประเทศที่ได้ดุล การค้า และเก็บจริงวันที่ 1 ส.ค. 2568 โดย ‘ไทย’ เป็น 1 ใน 14 ประเทศแรกที่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทุกประเภทกับประเทศที่ได้ดุลการค้า ไทย ที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 37 % และมีผลเมื่อ 9 เม.ย. แต่สุดท้ายรัฐบาลได้เจรจาต่อรองจนเหลือ 19 % เทียบเท่าเพื่อนบ้านคู่แข่ง ทั้งนี้ภาษีสหรัฐฯ ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงทางอ้อม เนื่องจากไทยส่งสินค้าไทยสหรัฐฯ เป็นตลาดอันดับ 1

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากวิกฤตภาษีทรัมป์แล้ว โลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความร้อนแรงของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จุดกระแสความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แข่งขันกันผลิตและส่งออกชิป แย่งชิงทรัพยากรแร่แร์เอิร์ธ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ 

 

5. มรสุมการเมืองไทยกับแผลลึกปมขัดแย้ง ‘ไทย-กัมพูชา’ ที่ยังรอวันเจรจา

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ปีนี้ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้น  ครั้งแรก แม้โดนัล ทรัมป์เป็นตัวกลางในการเจรจาที่มาเลเซีย ในช่วงเดือนก.ค. ซึ่งเป็นช่วงหลังมีคลิปเสียงหลุดระหว่าง อดีตนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และ ฮุน เซน เผยแพร่ในโลกออนไลน์ กลายเป็น หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของปี กระทั่งนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด  

 

จากสถานการณ์ดังกล่าวนำมาสู่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจอีกครั้ง เมื่อพรรคประชาชน จับมือกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคพันธมิตร จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เสนอชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย และอนุทินประกาศยุบสภาในที่สุด เกิดสุญญากาศทางการเมือง ขณะที่ปัจจุบันเดือนธันวาคม สถานการณ์เหตุปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ ก็ยังไม่คลี่คลาย

   

The post ถอดบทเรียนเศรษฐกิจไทยปี 2568 คนไทยผ่านวิกฤตอะไรกันมาบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
IPO อาเซียนปี 2568 ลมเปลี่ยนทิศเน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’ ไทยมูลค่าระดมทุนรั้งท้าย 8 พันล้านบาท สิงคโปร์-เวียดนาม ครองดีลใหญ่ https://thestandard.co/asean-ipo-2025-quality-focus/ Mon, 29 Dec 2025 01:00:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1158614 IPO อาเซียนปี 2568 ลมเปลี่ยนทิศเน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’ ไทยมูลค่าระดมทุนรั้งท้าย 8 พันล้านบาท สิงคโปร์-เวียดนาม ครองดีลใหญ่

หลังโควิด ตลาด IPO ไทย ซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจ […]

The post IPO อาเซียนปี 2568 ลมเปลี่ยนทิศเน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’ ไทยมูลค่าระดมทุนรั้งท้าย 8 พันล้านบาท สิงคโปร์-เวียดนาม ครองดีลใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
IPO อาเซียนปี 2568 ลมเปลี่ยนทิศเน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’ ไทยมูลค่าระดมทุนรั้งท้าย 8 พันล้านบาท สิงคโปร์-เวียดนาม ครองดีลใหญ่

หลังโควิด ตลาด IPO ไทย ซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนบริษัทจดทะเบียน และมูลค่าระดมทุนที่ตกต่ำลงจากระดับแสนล้าน มาอยู่ที่ระดับ 20,000-30,000 ล้านบาท สะท้อนภาวะตลาดที่ขาดสภาพคล่อง จากวิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตหุ้นภายในของ บจ.

 

นอกจากนี้ หุ้นที่เข้ามาระดมทุนในตลาดยังเป็นหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจอุตสาหกรรมเก่า ที่ไม่ได้มีแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต รวมถึง PE ที่ถูก ทำให้หุ้นไทยขาดความเซ็กซี่ในสายตานักลงทุน ท่ามกลางความผันผวนจากปัจจัยภายนอก

 

คำถามคือ ในปี 2568 เมื่อเทียบกับอาเซียน ตลาด IPO ประเทศอื่นซบเซาแบบเดียวกันไหม อะไรคือปัจจัยเสี่ยง และอะไรคือข้อได้เปรียบที่สร้างแต้มต่อให้กับตลาดแต่ละประเทศ เมื่อเทียบผลการดำเนินไทยอยู่ตรงไหน ?

 

รายงานล่าสุดของ Deloitte พบว่า ในช่วง 10.5 เดือนของปี 2568 ตลาด IPO อาเซียน ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักดีลขนาดใหญ่ และการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมที่เข้ามาจดทะเบียนในสิงคโปร์, เวียดนาม, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่น่าสนใจคือ แม้จำนวนบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะลดลงเหลือ 102 บริษัท (ลดลงจาก 136 บริษัทในปี 2024) แต่เม็ดเงินระดมทุนรวมกลับพุ่งสูงขึ้นแตะระดับ 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.74 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 53% จากปี 2024 สะท้อนว่าตลาดให้ความสำคัญกับหุ้น IPO ที่ ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’

 

โดยขนาดดีล IPO โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากประมาณ 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีมูลค่าระดมทุนรวมกันมากกว่า 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นกว่า 83% ของเงินระดมทุนทั้งหมดในอาเซียน

 

มูลค่าระดมทุนที่พุ่งสูงขึ้นในปีนี้ ได้รับแรงหนุนหลักจากดีลขนาดใหญ่ (blockbuster IPOs) ในภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค

 

สิงคโปร์-เวียดนาม ผู้นำดีลยักษ์ IPO อาเซียน

 

ตลาด IPO อาเซียนกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีสิงคโปร์และเวียดนามเป็นหัวหอกหลักในการขับเคลื่อน ‘มูลค่าระดมทุน’ ภูมิภาคในช่วง 10.5 เดือนของปี 2568

 

สิงคโปร์ยังครองอันดับ 1 ในแง่ของมูลค่าการระดมทุนตลาด IPO โดยมีบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 9 บริษัท มูลค่ารวมประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (49,840 ล้านบาท) ปัจจัยสำคัญมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการปฏิรูปโครงสร้างตลาดที่เอื้อต่อการลงทุน

 

  • ปัจจัยหนุน: ความสำเร็จในปีนี้ขับเคลื่อนโดยการจดทะเบียนของกองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ NTT DC REIT และ Centurion Accommodation REIT ซึ่งแต่ละดีลระดมทุนได้มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อรวมกันแล้วคิดเป็น 88% ของมูลค่าการระดมทุน ทั้งหมดในสิงคโปร์ นอกจากนี้การปฏิรูปกฎระเบียบและโครงสร้างตลาดหุ้น โดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ที่กำกับดูแลโดยเน้นการเปิดเผยข้อมูลเป็นหลัก (Disclosure-based Regulatory Regime) เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ตลาดประเทศพัฒนาแล้ว
  • มูลค่าระดมทุนสูงสุดรอบ 7 ปี: มูลค่าการระดมทุนในปี 2568 ของสิงคโปร์พุ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2019
  • ผลตอบแทนโดดเด่น: หุ้น IPO ในปีนี้ให้ผลตอบแทนหลังเข้าจดทะเบียน (Post-IPO returns) ที่แข็งแกร่ง โดยปิดวันแรกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12% และให้ผลตอบแทนสะสมนับจากต้นปี (Year-to-Date) สูงถึง 29%

 

เทย์ ฮุย หลิง (Tay Hwee Ling) ผู้อำนวยการฝ่ายบริการตลาดทุนของ Deloitte Southeast Asia ให้ความเห็นว่า “การฟื้นตัวของสิงคโปร์เป็นสัญญาณของการเรียกคืนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก ตลาดในปีนี้ เน้นดีลที่มีขนาดใหญ่ (Large-cap) แม้จำนวนบริษัทจดทะเบียนจะน้อยลง แต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ด้วยการสนับสนุนจากมาตรการของ MAS เช่น โครงการพัฒนาตลาดทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และตอกย้ำตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ในฐานะผู้นำการฟื้นตัว ของตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

 

เมื่อมองไปข้างหน้า คาดว่านักลงทุนจะยังให้ความสนใจกับตลาด IPO สิงคโปร์ จากจำนวนบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียน และบริษัทจดทะเบียนข้ามพรมแดน (Cross-border Listings) ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทในอาเซียนที่มีความสนใจจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์

 

เวียดนามกลับมาสร้างความฮือฮา ด้วยการเข้าระดมทุน 2 ดีลยักษ์ใหญ่ในภาคบริการทางการเงิน ได้แก่ Techcom Securities (TCBS) และ VP Bank Securities ซึ่งมียอดระดมทุนรวมกันถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (31,150 ล้านบาท) หลังจากเผชิญกับภาวะตลาดซบเซาที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2018

 

  • ปัจจัยหนุน: เศรษฐกิจมหภาคที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น ทั้งนี้ปัจจัยที่ต้องจับตามองในปีหน้า คือการที่เวียดนามยกระดับสถานะสู่ ‘ตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มรอง’ (Secondary Emerging Market) ซึ่งจะมีผลในเดือนกันยายน 2026 คาดว่าจะช่วยดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติได้อีกมหาศาล

 

จิ่ง บุ่ย (Trinh BUI) หุ้นส่วนฝ่ายบริการตลาดทุนของ Deloitte Vietnam กล่าวว่า

 

“ตลาด IPO ของเวียดนามกำลังเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตใหม่ที่มีคุณภาพสูง ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยี หัวใจสำคัญคือการปฏิรูปกฎระเบียบ การกำกับดูแล ที่มุ่งเน้นความโปร่งใส และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานตลาดหุ้น ซึ่งจะทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ที่น่าดึงดูดใจที่สุดในเอเชีย”

 

มาเลเซีย-อินโดนีเซีย ครองแชมป์จำนวน IPO

 

มาเลเซียยังคงครองแชมป์ ‘จำนวนบริษัทจดทะเบียน’ สูงสุดในภูมิภาค โดยมีบริษัทเข้า IPO ทั้งหมด 48 บริษัท มูลค่าระดมทุน 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (34,265 ล้านบาท) ซึ่งแรงขับเคลื่อนหลักมาจากตลาด ACE Market (ตลาดสำหรับธุรกิจขนาดกลางและย่อมที่มีศักยภาพสูง) แม้ว่าตัวเลขในเชิงมูลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap) และเงินระดมทุนรวมจะปรับตัวลดลงบ้าง แต่แนวโน้มตลาดมาเลเซียยังอยู่ในทิศทางที่น่าพอใจ โดยปัจจุบันได้บรรลุเป้าหมายมีบริษัทจดทะเบียนครบ 60 บริษัทในปีนี้

 

  • ผลตอบแทนวันแรกปิดบวก

 

หุ้นในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค สร้างปรากฏการณ์ ‘หุ้นร้อน’ โดย THMY Holdings Berhad ปิดวันแรกบวกถึง 193.55% และ Oriental Kopi Holdings Berhad ปิดบวก 98.86%

 

  • ดีลข้ามพรมแดน

 

มาเลเซียเริ่มเห็นความหลากหลายจากการเข้ามาจดทะเบียนของบริษัทต่างชาติ เช่น UMS Integration Ltd (จดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์) และ Cuckoo International (MAL) Berhad ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Cuckoo Holdings จากเกาหลีใต้

 

ว่อง กา ชุน (Wong Kar Choon) หุ้นส่วนฝ่ายบริการตลาดทุนของ Deloitte Malaysia กล่าวว่า “ตลาด IPO ของมาเลเซียมีความหลากหลายสูงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและพลังงาน แม้จะมีปัจจัยลบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการภาษีศุลกากรที่กระทบภาคการส่งออก แต่บริษัทที่เน้นอุปสงค์ภายในประเทศยังคงมีความแข็งแกร่ง และเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนอย่างดี”

 

ด้านตลาด IPO อินโดนีเซียมีการปรับตัวที่ชัดเจน โดยเน้นการนำบริษัทที่มีมูลค่าสูง เข้าจดทะเบียนแทนการเน้นจำนวน โดยปีนี้มีบริษัทจดทะเบียนใหม่ 24 บริษัท มีมูลค่าระดมทุนรวม 921 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (28,689 ล้านบาท)

 

  • พลังงาน

 

เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นหัวหอกในการระดมทุน ครอบคลุมทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และเหมืองแร่ โดยมีดีลยักษ์ใหญ่คือ PT Merdeka Gold Resource Tbk (ระดมทุน 279 ล้านดอลลาร์) และ PT Chandra Daya Investasi Tbk (ระดมทุน 144 ล้านดอลลาร์)

 

  • อสังหาริมทรัพย์และสินค้าอุปโภคบริโภค

 

ตามมาเป็นอันดับสองและสาม โดยมีบริษัทชื่อดังอย่าง PT Bangun Kosambi Sukses Tbk (ในเครือ Agung Sedayu Group) และ PT Yupi Indo Jelly Gum Tbk เข้าจดทะเบียนเสริมความแข็งแกร่ง

 

เทย์ ฮุย หลิง (Tay Hwee Ling) ผู้อำนวยการฝ่ายบริการตลาดทุนของ Deloitte Southeast Asia ให้ความเห็นว่า “นักลงทุนในอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศ”

 

IPO ไทย สภาพคล่องหาย มูลค่ารั้งท้าย

 

สำหรับผลงานตลาด IPO ไทย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 23 ธ.ค.2568 พบว่ามีบริษัทจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด 18 บริษัท มูลค่าระดมทุนรวม 8,991.70 ล้านบาท โดยบริษัทเข้าระดมทุนลดลง 43.75% จากปี 2024 เช่นเดียวกับมูลค่าระดมทุน ที่ลดลงมากถึง 56% จากปี 2024 ทำให้มูลค่าระดมทุนต่ำสุดในรอบ 22 ปี

 

ซ้ำร้ายราคาหุ้นหลังเข้า IPO มี 12 จาก 18 ตัว ที่ราคาต่ำจองจากราคาเสนอขาย โดยส่วนใหญ่ราคาต่ำจองอยู่ที่ 30-50%

 

ทั้งนี้ สาเหตุที่ตลาด IPO ซบเซา หลักๆ เป็นผลมาจากภาวะตลาดที่ ‘สภาพคล่องลดลง’ จากการเปลี่ยนผ่านกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปสู่กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (ESG) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแกร่งของนักลงทุนสถาบันและสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทย เมื่อกองทุน LTF ครบอายุไถ่ถอน ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลไปยังตราสารหนี้ และการลงทุนต่างประเทศมากกว่าหุ้นไทย นักลงทุนสถาบันจึงขาด ‘เงินลงทุนใหม่’ จึงต้องขายหุ้นที่ถืออยู่ เพื่อซื้อหุ้นใหม่ โดยเน้นซื้อเก็บหุ้นตัวใหญ่ที่มีมูลค่าสูง

 

ประกอบกับแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติสะสมกว่า 400,000 ล้านบาท จึงทำให้แรงซื้อสองเสาหลักที่ค้ำจุนตลาดหุ้นไทย ได้แก่ นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศอ่อนกำลังลง ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยก็เน้นซื้อหุ้น IPO เพื่อเกร็งกำไรในการซื้อขายวันแรก เนื่องจากมีความอ่อนไหวต่อข่าวร้ายมากกว่า

 

กองทุน PE กุญแจเร่งการเติบโตของตลาด IPO อาเซียน

 

การที่กองทุนส่วนบุคคล หรือ Private Equity (PE) เข้ามามีบทบาทในตลาด IPO อาเซียน กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงมูลค่าดีลเฉลี่ยให้สูงขึ้น พร้อมกับเสริมสร้างความเชื่อมั่น ให้แก่ตลาดทุนในภาพรวม

 

แม้ว่าจำนวนบริษัทจดทะเบียนในภาพรวมจะลดลง แต่มูลค่าการระดมทุนรวมกลับพุ่งสูงขึ้นถึง 54% สะท้อนว่าบริษัทที่มีกองทุน PE หนุนหลังมักเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างธุรกิจ แข็งแกร่งและเติบโตเต็มที่ ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้ตลาดหลักทรัพย์เป็น ช่องทางหลักในการทำกำไรและถอนการลงทุน (Key Exit Route)

 

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านทิศทางตลาด IPO อาเซียนที่เน้น ‘คุณภาพมากกว่าปริมาณ’ โดย PE และนักลงทุนสถาบันกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในการกำหนดทิศทางการเติบโตของตลาดหุ้นอาเซียน

 

ทั้งนี้ การฟื้นตัวในครั้งนี้ ไม่เพียงบ่งชึ้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงบรรยากาศการถอนทุน (Exit Environment) ที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยกลุ่มธุรกิจที่ PE มักลงทุนได้แก่

 

  • โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: เช่น กองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ (REITs) และศูนย์ข้อมูล (Data Centers)
  • บริการทางการแพทย์ (Health Care)
  • ค้าปลีก (Consumer Retail)
  • เทคโนโลยี (Technology)

 

เทรนด์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจและแนวโน้มการลงทุนในอาเซียน กำลังมุ่งไปสู่การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และการลงทุนสินทรัพย์ในโลกจริง (Real Assets)

 

ในด้านการระดมทุนของกองทุน PE เองยังคงมีเสถียรภาพ โดยมีการจัดสรรเงินลงทุน (Capital Deployment) ไปยังบริษัทในพอร์ตโฟลิโออย่างมีนัยสำคัญ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างและสร้าง ความพร้อมในการเข้าจดทะเบียน ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญ ให้มีบริษัทคุณภาพดีจ่อคิวเข้าตลาด อย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2026

 

ดีลใหญ่หนุน IPO ไทยจ่อฟื้นปี 2569

 

สำหรับผลกระทบการเลือกตั้งต่อแนวโน้มตลาด IPO ปี 2569 ‘สรวิศ ไกรฤกษ์’ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มองว่า ข่าวการยุบสภา ตลาดรับรู้มาสักพักแล้วว่าจะเกิดขึ้น แม้ล่าสุดรัฐบาลอนุทินจะประกาศยุบสภาเร็วขึ้น 2 สัปดาห์ ตลาดก็คาดการณ์ไว้แล้ว

 

ทั้งนี้ ระยะเวลาการเข้า IPO เป็น Seasonal เหมือนเดิมทุกปี คือบริษัทที่สนใจระดมทุนจะรอปิดงบปีสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ และอัปเดตข้อมูลเพื่อยื่นไฟลิ่งช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งส่วนใหญ่มักยื่นก่อนวันหยุดสงกรานต์

 

ดังนั้น สำหรับบริษัทที่มีแผนเข้าระดมทุนอยู่แล้วไม่ได้กระทบอะไร เพราะกระบวนการพิจารณาจะต้องใช้เวลาขั้นต่ำอีก 6 เดือน กว่าจะได้วันเสนอขายก็เป็นช่วงสิ้นปี หรืออาจดีเลย์ได้ถึง 1 ปี

 

สำหรับปีหน้า ปัจจัยท้าทายต่อตลาด IPO ยังมีอยู่ แต่ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ก็มีลูกค้าใน Pipeline ของตัวเอง ปัจจุบันบริษัทประมาณ 5-6 บริษัทที่ยื่นไฟลิ่งแล้วรออนุมัติคำขอเสนอขาย และบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างเตรียมยื่นไฟลิ่ง คาดว่าจะทำให้ Sentiment หุ้น IPO ฟื้นตัวทั้งจำนวนบริษัทจดทะเบียนและมูลค่าระดมทุน

 

อย่างไรก็ตาม หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 2 รอบในปี 2569 มีความเป็นไปได้ว่าเงินทุนจะไหลกลับเข้ามาในช่วงกลางปีถึงปลายปี ซึ่งจะกระตุ้นกิจกรรมหุ้น IPO ให้กลับมาคึกคัก

 

นอกจากนี้ ต้องรอดูนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะมีมาตรการสนับสนุน Incentive กองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถาบันหรือไม่ หากมีปัจจัยสนับสนุนครบทั้ง 2 ปัจจัย คาดว่าจะช่วยคลี่คลายปัญหา IPO ในอดีตได้

 

ขนาดดีล IPO เฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2024 โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

IPO อาเซียนปี 2568 ลมเปลี่ยนทิศเน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’ ไทยมูลค่าระดมทุนรั้งท้าย 8 พันล้านบาท สิงคโปร์-เวียดนาม ครองดีลใหญ่ 1

 

ภาพประกอบ: ณัฏฐ์กานต์ ดวงมาตย์พล

The post IPO อาเซียนปี 2568 ลมเปลี่ยนทิศเน้น ‘คุณภาพ’ มากกว่า ‘ปริมาณ’ ไทยมูลค่าระดมทุนรั้งท้าย 8 พันล้านบาท สิงคโปร์-เวียดนาม ครองดีลใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
The 1 Insight เผยคนไทยยุคใหม่ใช้จ่ายอย่างมี ‘สติ’ ยอมจ่ายแพง ถ้าได้ ‘คุณค่า’ ที่ตอบโจทย์ชีวิต https://thestandard.co/1-insight-thais-spend-value/ Sun, 28 Dec 2025 13:20:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1159534 The 1 Insight เผย คนไทยยุคใหม่ใช้จ่ายอย่างมี ‘สติ’ ยอมจ่ายแพง ถ้าได้ ‘คุณค่า’ ที่ตอบโจทย์ชีวิต

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมผู้บริโภคไท […]

The post The 1 Insight เผยคนไทยยุคใหม่ใช้จ่ายอย่างมี ‘สติ’ ยอมจ่ายแพง ถ้าได้ ‘คุณค่า’ ที่ตอบโจทย์ชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
The 1 Insight เผย คนไทยยุคใหม่ใช้จ่ายอย่างมี ‘สติ’ ยอมจ่ายแพง ถ้าได้ ‘คุณค่า’ ที่ตอบโจทย์ชีวิต

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมผู้บริโภคไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า ‘Mindful Consumption’ หรือการบริโภคอย่างมีสติ ซึ่งไม่ใช่การหยุดใช้จ่าย แต่เป็นการเลือกใช้อย่างพิถีพิถันมากขึ้น โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการมองหาคุณค่าที่แท้จริงและการใส่ใจสุขภาพ

 

ผลวิเคราะห์จาก The 1 Insight ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคปัจจุบันไม่ได้ตัดสินใจซื้อเพียงเพราะสินค้าราคาถูกหรือมีส่วนลดอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับ ‘Value-Oriented Spending’ หรือการใช้จ่ายเพื่อคุณค่าที่ได้รับ ซึ่งแต่ละช่วงวัยมีนิยามความคุ้มค่าที่แตกต่างกันออกไปตามไลฟ์สไตล์

 

สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Gen Z ความคุ้มค่าคือการได้ค้นพบและครอบครองสินค้าที่สะท้อนตัวตน พวกเขามักมองหาแบรนด์ทางเลือกใหม่ๆ หรือแบรนด์เฉพาะกลุ่มที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน โดยเฉพาะแบรนด์แฟชั่นไทยและเกาหลีรุ่นใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้

 

ในขณะที่กลุ่มครอบครัวที่มีลูก นิยามคุณค่าจะมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมทักษะและการเรียนรู้ของบุตรหลาน พ่อแม่ยุคใหม่มองหา Family Solution ที่รวบรวมสินค้าและบริการสำหรับทุกคนในครอบครัวไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การศึกษา, แฟชั่น ไปจนถึงร้านอาหาร เพื่อความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดี

 

ส่วนกลุ่มรุ่นใหญ่อย่าง Gen X และ Baby Boomers กลับให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเพื่อการมีอายุยืนยาว หรือ Longevity การใช้จ่ายจึงเทไปที่บริการสปาเพื่อสุขภาพ, ฟิตเนส รวมถึงผลิตภัณฑ์วิตามินและอาหารเสริม เพื่อสร้างเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บในระยะยาว

 

อีกหนึ่งมิติของความคุ้มค่าที่ขาดไม่ได้คือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการซื้อสินค้า ผู้บริโภคยุคนี้มีความฉลาดเลือกและคิดคำนวณอย่างรอบคอบ พวกเขาไม่ได้มองแค่ตัวสินค้า แต่ยังคำนึงถึงคะแนนสะสม ส่วนลดจากบัตรเครดิต หรือสิทธิพิเศษจาก Loyalty Program ที่จะได้รับตามมา

 

พฤติกรรมนี้สะท้อนชัดเจนผ่านการเลือกใช้บริการร้านประจำเพื่อสะสมคะแนน หรือการวางแผนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อแลกไมล์สายการบิน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคต้องการความคุ้มค่าสูงสุดที่ครอบคลุมทั้งตัวสินค้าและประสบการณ์ที่เหนือระดับในทุกครั้งที่จ่ายเงินออกไป

 

นอกจากเรื่องความคุ้มค่าแล้ว เทรนด์ ‘Health & Wellness’ ได้กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการจับจ่ายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้คนทุกเพศทุกวัยหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายและใจเป็นอันดับต้นๆ ส่งผลให้ยอดขายสินค้ากลุ่มนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

 

ข้อมูลระบุว่ายอดขายในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ขณะที่ตลาดวิตามินและอาหารเสริมเติบโตสูงกว่า 5 เท่า ซึ่งยืนยันได้ว่าคนไทยหันมาใส่ใจเรื่องโภชนาการและการสร้างภูมิต้านทานอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่กระแสชั่วคราวแต่เป็นวิถีชีวิตใหม่

 

สินค้ากลุ่ม Activewear และอุปกรณ์ออกกำลังกายก็ได้รับความนิยมสูงตามไปด้วย โดยสินค้ายอดฮิต 3 อันดับแรกได้แก่ รองเท้าวิ่ง, ชุดออกกำลังกาย และเครื่องออกกำลังกาย สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนหันมาดูแลรูปร่างและทำกิจกรรมทางกายมากขึ้น ทั้งการไปยิมและการออกกำลังกายที่บ้าน

 

ธุรกิจความงามและสุขภาพก็เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์บำรุงผิว, สปา และฟิตเนส นอกจากนี้ยอดการซื้อประกันสุขภาพยังเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า แสดงถึงการวางแผนชีวิตที่รัดกุมและการเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

แนวโน้มเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า Mindful Consumption กำลังเปลี่ยนโครงสร้างพฤติกรรมผู้บริโภคไทยอย่างถาวร การใช้จ่ายต่อจากนี้จะถูกกำหนดด้วยความต้องการคุณค่าที่แท้จริงต่อชีวิต และการให้ความสำคัญกับสุขภาพของตนเองและคนรัก ซึ่งจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวตามให้ทัน

 

ภาพ : Ham patipak / Shutterstock

The post The 1 Insight เผยคนไทยยุคใหม่ใช้จ่ายอย่างมี ‘สติ’ ยอมจ่ายแพง ถ้าได้ ‘คุณค่า’ ที่ตอบโจทย์ชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>