Business – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 24 Jun 2025 14:38:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘One Big, Beautiful Bill Act’ ลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ สะเทือนโลกการลงทุนอย่างไร? https://thestandard.co/one-big-beautiful-bill-act/ Wed, 25 Jun 2025 02:00:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1086763

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบ […]

The post ‘One Big, Beautiful Bill Act’ ลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ สะเทือนโลกการลงทุนอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2025 คือการผลักดันแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ระลอกที่สอง หรือที่ถูกเรียกในชื่อ ‘One Big, Beautiful Bill Act’ (OBBBA) ซึ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 22 พฤษภาคม 2025 ด้วยคะแนน 215-214 ซึ่งกำลังรอการพิจารณาในวุฒิสภา หากผ่านคาดว่าจะเสนอประธานาธิบดีลงนามภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2025

 

โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีส่วนใหญ่จากกฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ปี 2017 ที่กำลังจะหมดอายุลง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐหลายรายการ ตั้งแต่การปฏิรูปโครงการประกันสุขภาพ (Medicaid) และความช่วยเหลือด้านอาหาร ไปจนถึงงบประมาณกลาโหมและความมั่นคงชายแดน 

 

การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ มักสร้างแรงสั่นสะเทือนไปสู่ตลาดการเงินโลก และก่อให้เกิดคำถามสำคัญว่า นโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างไร บทความนี้ UOB Privilege Banking จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ ‘One Big, Beautiful Bill Act’ พร้อมวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง เพื่อให้นักลงทุนสามารถเตรียมพร้อมและวางกลยุทธ์จัดพอร์ตได้อย่างทันท่วงที

 

เจาะลึกไส้ใน ‘One Big, Beautiful Bill Act’

 

ภายใต้ร่างกฎหมายที่มีรายละเอียดมากมายกว่า 1,000 หน้า ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายนี้คือเรื่องการลดภาระภาษีของประชาชน หลายมาตรการมาจากนโยบายที่ทรัมป์หาเสียงไว้ในปีที่แล้ว มีการขยายมาตรการภาษีจาก Tax Cuts and Jobs Act ปี 2017 ให้เป็นถาวร ยกเว้นภาษีทิป ค่าล่วงเวลา และการหักลดหย่อนดอกเบี้ยสินเชื่อรถยนต์ 

 

ทั้งยังเพิ่มการหักลดหย่อนสำหรับผู้เสียภาษีระดับมลรัฐและภาษีระดับท้องถิ่น (SALT) จาก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 40,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และยังเพิ่มเครดิตภาษีเด็กเป็น 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2026 จะยกเว้นภาษีมรดกและการให้มูลค่า 15 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ 

 

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งบัญชีออมทรัพย์สำหรับเด็กในโครงการ Trump Account โดยรัฐบาลจะฝากเงินเริ่มต้น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้เด็กที่เกิดในปี 2024-2028 และผู้ปกครองออมเพิ่มได้สูงสุด 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยได้รับสิทธิทางภาษี และถอนใช้เพื่อการศึกษา ฝึกอาชีพ หรือซื้อบ้านหลังแรกเมื่อบรรลุนิติภาวะ

 

รวมถึงยังมีนโยบายที่สนับสนุนภาคธุรกิจ โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการทำวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) มาหักค่าใช้จ่ายได้ และส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กด้วยการให้หักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ทั้งยังมีการปฏิรูปเครดิตภาษีพลังงานสะอาดซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มการลงทุนของภาคธุรกิจ และเป็นประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจ

 

นอกจากประเด็นด้านการลดภาษี ร่างกฎหมายนี้ยังมีการจัดสรรงบประมาณด้านกลาโหม 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาระบบป้องกันขีปนาวุธ เพิ่มความสามารถของกองทัพ และยกระดับสวัสดิการทหาร และนโยบายด้านแรงงานข้ามชาติทั้งงบประมาณเพื่อก่อสร้างกำแพงชายแดน เพิ่มเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนชายแดน โครงการความมั่นคงชายแดน และการเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย

 

One Big, Beautiful Bill Act ก็ยังมีประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติด้วยคือ ‘Section 899’ ซึ่งเป็นมาตรการตอบโต้ทางภาษีที่มีการเรียกเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ โดยจะเพิ่มอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ของเงินปันผลสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ในอัตรา 5-20% เป็นการทยอยปรับเพิ่มขึ้นปีละ 5% ส่งผลให้ความน่าสนใจของหุ้นปันผลอาจลดลง 

 

แต่คาดว่าผลกระทบจะอยู่ในระดับที่จำกัด เพราะนโยบายนี้ไม่ได้ใช้กับนักลงทุนต่างชาติทุกราย แต่มีการมุ่งเป้าไปที่นักลงทุนบางประเทศที่สหรัฐฯ มองว่ามีการเก็บ ‘ภาษีต่างประเทศที่ไม่เป็นธรรม’ เช่น ภาษีบริการดิจิทัล (Digital Services Tax) ของแคนาดา เป็นต้น 

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ‘Section 899’ น่าจะเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรอง มากกว่าที่จะบังคับใช้จริง และแนะนำให้นักลงทุนรอดูความชัดเจนก่อน ซึ่งรายละเอียดของร่างกฎหมายยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั้นของวุฒิสภา 

 

เศรษฐกิจจะโตได้จริงหรือแค่วาดฝัน?

 

แน่นอนว่าในหลายๆ ส่วนของ One Big, Beautiful Bill Act ได้เสริมสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนมากขึ้น ภาระภาษีที่ลดลงอาจช่วยสนับสนุนการบริโภคและการเติบโตของกำไรบริษัท รวมถึงส่งเสริมการลงทุนที่มากขึ้น แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจจะเกิดขึ้นในระยะสั้น และผลในระยะยาวอาจจะไม่มากนัก 

 

มีการคาดการณ์ว่าจากนโยบายของ One Big, Beautiful Bill Act นี้ จะส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 0.4% ในปี 2026-2034 เพราะแม้ว่าการลดภาษีจะสร้างแรงจูงใจในการทำงานและลงทุน แต่ผลกระทบเชิงบวกเหล่านี้ อาจถูกหักล้างด้วยผลกระทบเชิงลบจากการกู้ยืมของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล 

 

ความกังวลด้านการขาดดุลงบประมาณที่จะเพิ่มสูงขึ้น จะลดทอนการเติบโตในระยะยาว 

 

สำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) คาดการณ์ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะเพิ่มภาระหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ขึ้นอีกประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลา 10 ปี สถาบันจัดอันดับเครดิต Moody’s ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมคาดการณ์ว่าอัตราหนี้ต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นจากราว 100% สู่ระดับ 134% การเพิ่มขึ้นของหนี้ในระดับนี้ จึงอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะยาว 

 

ประเด็นนี้ได้ไปกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ปรับตัวสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี พุ่งทะลุระดับ 5% สะท้อนความไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาลทรัมป์   

 

นอกจากนี้ การประเมินดังกล่าวยังไม่ได้รวมผลกระทบเชิงลบจากความตึงเครียดทางการค้าและการลดการย้ายถิ่นฐาน ซึ่ง Tax Foundation ประเมินแยกต่างหากว่า นโยบายภาษีการค้าของทรัมป์อาจลดผลผลิตลงถึง 0.8% ซึ่งจะหักล้างผลกระทบเชิงบวกจากแผนลดภาษีนี้ทั้งหมด

 

ตลาดหุ้นยังแข็งแกร่ง แต่บทสรุปสำหรับนักลงทุนคืออะไร?

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ปัจจัยหนุนมาจากเศรษฐกิจและผลประกอบการที่ยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับความเชื่อมั่นต่อเทรนด์ AI ที่กลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การที่มูลค่าหุ้น (Valuation) กลับมาสูง ทำให้ตลาดมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยกระทบใหม่ๆ มากขึ้น 

 

บทเรียนสำคัญที่สุดจากการลงทุนในปี 2025 คือ “การตื่นตระหนกและตอบสนองต่อทุกการประกาศนโยบายที่ยังไม่ถูกบังคับใช้เป็นกลยุทธ์ที่ล้มเหลว” กระบวนการออกกฎหมายมีความซับซ้อนและอาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะถึงจุดที่ต้องผ่านกฎหมายจริงๆ 

 

ในสภาวะตลาดเช่นนี้ UOB Privilege Banking เชื่อว่า กลยุทธ์ที่สุขุมที่สุดคือ “การเพิกเฉยต่อเสียงรบกวนให้ได้มากที่สุด และตอบสนองต่อข้อเท็จจริงเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว” 

 

จัดพอร์ตรับมืออย่างไร? 

 

UOB Privilege Banking แนะนำให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง (Diversification) มีความหลากหลายในการลงทุน ทั้งภูมิภาคและกลุ่มอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเลือกลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดี 

 

อีกทั้งในสถานการณ์ที่ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลการลงทุนให้จะช่วยให้นักลงทุนไม่พลาดโอกาสในทุกสภาวะตลาด เช่นการลงทุนผ่านกองทุน CIO Fund ที่มีทีม CIO (Chief Investment Officer) จาก UOB Singapore ช่วยดูแลปรับพอร์ตให้อย่างใกล้ชิดและเชิงรุก (Active) มีการกระจายการลงทุนทั่วโลกในทุกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับภาวะตลาด โดยมีให้เลือก 2 กองทุนด้วยกัน 

 

นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ดังนี้ 

  1. UIFT-N (กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ อินคัม ฟันด์ TH) ความเสี่ยงระดับ 5 นโยบายการลงทุนหลักจะลงทุนในหุ้น 50 : ตราสารหนี้ 50 เป็นลักษณะของกองทุนผสม เน้นการสร้างสมดุลให้พอร์ต 

 

  1. UGFT (กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ โกรท ฟันด์ TH) ความเสี่ยงระดับ 6 นโยบายการลงทุนหลักจะลงทุนในหุ้น 80 : ตราสารหนี้ 20 เน้นการเติบโตระยะยาว  

 

สำหรับท่านที่สนใจเพิ่มเติม สามารถศึกษารายละเอียดและติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

 

UOB_Privilege-Banking

The post ‘One Big, Beautiful Bill Act’ ลดภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ สะเทือนโลกการลงทุนอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอร์ดคัดเลือกฯ เคาะส่งเพียง 2 รายชื่อบุคคลที่สมควรเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ส่ง รมว.คลัง พร้อมเปิดเบื้องหลัง-คำถามสัมภาษณ์ https://thestandard.co/selection-committee-sends-2-names-for-new-bot-governor/ Tue, 24 Jun 2025 14:37:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1088672 แบงก์ชาติ

พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะ […]

The post บอร์ดคัดเลือกฯ เคาะส่งเพียง 2 รายชื่อบุคคลที่สมควรเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ส่ง รมว.คลัง พร้อมเปิดเบื้องหลัง-คำถามสัมภาษณ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบงก์ชาติ

พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการคัดเลือกฯ) และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ ครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 ได้ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 

 

โดยให้ 6 ผู้สมัครที่ผ่านคุณสมบัติเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ เริ่มตั้งแต่เวลา 14.00 น. และเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 18.30 น. หลังจบการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้พิจารณาสรุปบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 2 รายชื่อ เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เป็นการเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการคัดเลือกฯ

 

โดยรายชื่อผู้สมัครที่เดินทางเข้ามายังสำนักงานเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เรียงตามลำดับการมาถึง มีดังนี้

 

  1. ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 
  2. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) 
  3. รศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  4. ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และอุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย 
  5. วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
  6. ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อบาคัส ดิจิทัล จำกัด

 

สำหรับขั้นตอนต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอโปรดเกล้าแต่งตั้งต่อไป

 

ขณะที่ รศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ภายหลังการให้สัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์กับคณะกรรมการฯ ว่า ตอนตนเองเข้าสัมภาษณ์เป็นคนที่ 3 ในช่วงเวลาราว 16.00 น. โดยใช้เวลาสัมภาษณ์ 30 นาที ซึ่งคำถามสัมภาษณ์ประกอบด้วย 4 คำถาม แบ่งเป็นคำถามบังคับของผู้สมัครทุกราย คือ มีวิสัยทัศน์การดำเนินนโยบายการเงินให้สอดประสานการทำงานกระทรวงการคลังอย่างไร

 

ส่วนอีก 3 คำถามเป็นคำถามสุ่มหรือจับสลากที่ผู้สมัครแต่ละคนจะได้คำถามที่แตกต่างกัน โดยของตนเองได้คำถามดังนี้

 

– คำถามเกี่ยวกับนโยบายในการลดความเหลื่อมล้ำ

– คำถามเกี่ยวกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน

– คำถามเกี่ยวกับนโยบายการส่งออก

The post บอร์ดคัดเลือกฯ เคาะส่งเพียง 2 รายชื่อบุคคลที่สมควรเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ส่ง รมว.คลัง พร้อมเปิดเบื้องหลัง-คำถามสัมภาษณ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 1.15 แสนล้านบาท คาดกระตุ้น GDP ได้ 0.4% เพิ่มการจ้างงาน 7.4 ล้านคน https://thestandard.co/thailands-2025-economic-stimulus-package/ Tue, 24 Jun 2025 13:06:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1088641 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568

สรุปโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 115,000 ล้านบา […]

The post สรุปโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 1.15 แสนล้านบาท คาดกระตุ้น GDP ได้ 0.4% เพิ่มการจ้างงาน 7.4 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568

สรุปโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 115,000 ล้านบาท คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.4% เพิ่มการจ้างงาน 7.4 ล้านคน พบว่า 73% ของเม็ดเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนที่เหลือไปช่วยผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล ไปจนถึงภาคการท่องเที่ยว

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท โดยมีโครงการผ่านการพิจารณาวงเงิน 115,375 ล้านบาท 

 

วงเงินที่ผ่านการพิจารณาสามารถแบ่งออกไปใช้จ่ายในโครงการ 4 ประเภทหลัก ได้แก่

 

  1. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน วงเงินรวม 85,000 ล้านบาท (กว่า 73%) ซึ่งรวมทั้ง โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 
  2. ด้านการท่องเที่ยว วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท (ราว 8.7%)
  3. ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท (ราว 9.6%)
  4. ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ จำนวน 9,201 ล้านบาท (ราว 7.9%)

 

คาดกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.4% เพิ่มการจ้างงาน 7.4 ล้านคน

 

พิชัยยังระบุด้วยว่า เม็ดเงิน 115,375 ล้านบาทจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว

 

รวมทั้งจะสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของของเม็ดเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท

 

“แผนการขับเคลื่อนฯ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจ” 

 

พิชัยย้ำว่าการอนุมัติข้อเสนอโครงการฯ เป็นการอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเท่านั้น ในขั้นตอนการขอรับ
การจัดสรร และการเบิกจ่ายงบประมาณ จะต้องมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

 

เม็ดเงินกระจายไปจังหวัดเล็ก-รายได้ต่อหัวต่ำ

 

พิชัยกล่าวอีกว่า เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำในสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และภาคกลาง ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูง จะมีการกระจายวงเงินงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยกว่า

 

โดยจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กได้รับวงเงินที่ผ่านการพิจารณามากกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า ทำให้เกิดผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากกว่า

 

นอกจากนี้การกระจายวงเงินงบประมาณมีความทั่วถึงทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ ทุกพื้นที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านน้ำและด้านคมนาคม ถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางถึงระยะยาว

 

ส่วนเม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงไปยังสาขาเศรษฐกิจต้นน้ำและปลายน้ำ (Forward และ Backward Linkage) เช่น สาขาก่อสร้าง สาขาค้าปลีกค้าส่ง สาขาการเงิน และบริการอื่นๆ เป็นต้น

 

ทั้งนี้ ในระยะต่อไปคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณากำหนดนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป

 

 

โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568

The post สรุปโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 วงเงิน 1.15 แสนล้านบาท คาดกระตุ้น GDP ได้ 0.4% เพิ่มการจ้างงาน 7.4 ล้านคน appeared first on THE STANDARD.

]]>
EV ดันยอดผลิตรถพุ่งรอบ 21 เดือน! ส.อ.ท. จี้รัฐอัดแคมเปญ ‘รถเก่าแลกใหม่’ สู้ภาษีสหรัฐฯ-สงครามตะวันออกกลาง https://thestandard.co/car-production-ev-may/ Tue, 24 Jun 2025 11:45:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1088606 car-production-ev-may

ยอดผลิตรถเดือนพฤษภาคม พุ่ง 10.32% แตะ 139,186 คัน เพิ่ม […]

The post EV ดันยอดผลิตรถพุ่งรอบ 21 เดือน! ส.อ.ท. จี้รัฐอัดแคมเปญ ‘รถเก่าแลกใหม่’ สู้ภาษีสหรัฐฯ-สงครามตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
car-production-ev-may

ยอดผลิตรถเดือนพฤษภาคม พุ่ง 10.32% แตะ 139,186 คัน เพิ่มครั้งแรกในรอบ 21 เดือน เหตุค่ายรถเร่งผลิต EV ชดเชย EV3.5 ‘ส.อ.ท.’หนุนรัฐบาลเดินหน้าโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ชี้ปิดชายแดนไม่สะเทือนส่งออก ห่วงเจรจาภาษีสหรัฐฯ สงครามตะวันออกกลางสะเทือนส่งออก

 

วันที่ 24 มิถุนายน สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตรถยนต์ได้ทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ถึง 33.51% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 10.32%

 

ทั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน เหตุผลหลักมาจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ BEV และ PHEV ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 63.88% นับว่าเป็นข่าวดีในรอบปี ที่ยอดผลิตรถยนต์เริ่มไปในทางสัญญาณบวก

 

อย่างไรก็ตาม หากรวมตัวเลข 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) ยังคงมียอดผลิตทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลง 7.82% ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 87,297 คัน ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 1.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ก็ยังคงลดลง 10.2%

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ห่วงสารพัดปัจจัยฉุดเศรษฐกิจทั้งการเมือง ค่าครองชีพ นักท่องเที่ยวลดลง 

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ที่ 10.67% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 4.73% เป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV เพราะราคาที่ลดลงและจับต้องได้มากขึ้น 

 

“แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลง 24.84% จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพราะหนี้ครัวเรือนสูง เศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอ จากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำ รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น การจ้างงานแรงงานกลุ่มยานยนต์ลดลง 3-4 วันต่อสัปดาห์ อีกทั้งการท่องเที่ยวจีนที่ชะลอตัวลง บวกกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เพราะปัญหาการเมืองที่ขัดแย้ง ซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก”

 

ดังนั้น ยอดขาย 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม 2568) จึงอยู่ที่ 252,615 คัน ลดลงจากปี 2567 ที่ 2.98%

 

ส่วนยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV 5 เดือนอยู่ที่ 53,955 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 22.85% ประเภท HEV 60,793 คัน เพิ่มขึ้น 2.49% ประเภท PHEV 9,822 คัน เพิ่มขึ้น 142.34%

 

‘ตอนนี้ยอด 5 เดือน ผลิต EV ได้สูงสุด เพราะค่ายรถเร่งผลิตชดเชยตามมาตรการที่ EV3.0-3.5 และปีนี้คาดว่าจะเห็น EV ผลิตถึง 50,000 คัน รวมยอดผลิตรถทั้งหมดจะผลิตได้ที่ 600,000 คัน’

 

หวัง ‘รถเก่าแลกรถใหม่’ กระตุ้นยอดขาย

 

สำหรับโครงการ ‘รถเก่าแลกรถใหม่’ เป็นข้อเสนอที่กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมุ่งหวังกระตุ้นยอดขายในประเทศ โดยปัจจุบันรถเก่าที่เป็นกระบะอายุ 20 ปี อยู่ในระบบราว 2 ล้านคัน 

 

ดังนั้น เงื่อนไขต้องรอดูว่าจะลดภาษีรุ่นไหนและแลกอะไร ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องหารือกับไฟแนนซ์ เพื่อปลดล็อกมาตรการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เพื่อให้โครงการเดินหน้า และควรมีกองทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับไม่ให้รถขาดทุน ซึ่งต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อคัน และจะสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายรถทั้งระบบได้ 50,000-100,000 คัน ทั้งนี้ เสนอให้รถที่มีอายุ 7-8 ปี เข้าเงื่อนไขด้วย 

 

ปิดชายแดนไม่สะเทือนส่งออกยานยนต์ ห่วงรัฐเจรจาภาษีสหรัฐฯ จับตาตะวันออกกลางใกล้ชิด

 

สุรพงษ์กล่าวอีกว่า การปิดชายแดนไม่กระทบมาก เนื่องจากไทยส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์และรถสำเร็จรูปทางเรือส่วนใหญ่ และ ล่าสุดยังไม่ได้รับรายงานผลกระทบจากโรงงานที่ไปตั้งฐานการผลิตที่กัมพูชา

 

ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากตะวันออกกลางเป็นตลาดหลักของไทย ที่มีสัดส่วนส่งออกไปถึง 19% แต่มีเพียงไม่กี่บริษัทใช้ช่องแคบฮอร์มุช พร้อมทั้งเฝ้าติดตามการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ซึ่งใกล้ครบกำหนด 8 กรกฎาคม ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งจะกระทบกับการส่งออกอุตสาหกรรมซัพพลายอย่างมาก

 

ภาพ: Justin Sullivan / Getty images

The post EV ดันยอดผลิตรถพุ่งรอบ 21 เดือน! ส.อ.ท. จี้รัฐอัดแคมเปญ ‘รถเก่าแลกใหม่’ สู้ภาษีสหรัฐฯ-สงครามตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCB WEALTH จัดสัมมนา Solution Amidst Uncertainty ให้กลุ่มลูกค้า FIRST เจาะลึกเศรษฐกิจไทยพร้อมกลยุทธ์การสร้างผลตอบแทนในยุคความไม่แน่นอนสูง https://thestandard.co/scb-wealth-blackrock-investment/ Tue, 24 Jun 2025 11:11:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1088576 scb-wealth-blackrock-investment

SCB WEALTH จัดงานสัมมนาเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Solution Amidst Un […]

The post SCB WEALTH จัดสัมมนา Solution Amidst Uncertainty ให้กลุ่มลูกค้า FIRST เจาะลึกเศรษฐกิจไทยพร้อมกลยุทธ์การสร้างผลตอบแทนในยุคความไม่แน่นอนสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
scb-wealth-blackrock-investment

SCB WEALTH จัดงานสัมมนาเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Solution Amidst Uncertainty’ สำหรับกลุ่มลูกค้า FIRSTโดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญของ BlackRock ร่วมเป็นผู้บรรยายพิเศษ ซึ่งงานสัมมนานี้ได้เจาะลึกทิศทางเศรษฐกิจไทย รวมถึงกลยุทธ์การสร้างผลตอบแทนในภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นางสาวศลิษา หาญพานิช (ที่ 3 ซ้าย ) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth and Insurance Capability Development และ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน CASA Product ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมด้วย นายนิคิล มัจรา (ที่2ขวา) Managing Director,Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ด (ที่ 1 ขวา) Director , APAC Multi-Asset Strategies & Solutions , BlackRock นายธณาพล อิทธินิธิภัค (ที่ 3 ขวา) Head of Thailand Business, BlackRock นางสาวเกษรี อายุตตะกะ (ที่2 ซ้าย) ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ และนายรุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ (ที่1ซ้าย) ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมงานสัมมนา เมื่อเร็วๆ นี้ ณ โรงแรมโซ แบงคอก กรุงเทพฯ

 

นางสาวเกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ บรรยายในหัวข้อ ‘Thailand Market Update’ ได้วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มองว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568อาจขยายตัวเพียง 1.5% จากผลกระทบด้านการส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และการลงทุนของภาคเอกชนที่มีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่อง โดยคาดว่า GDP ช่วงครึ่งปีหลัง อาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% แม้ว่าเศรษฐกิจไทยใน ไตรมาสแรกจะออกมาดีกว่าคาด โดยยังสามารถขยายตัวที่ 3.1% แต่เป็นผลจากการเร่งส่งออก ก่อนนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัว โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มชะลอตัว จากการส่งออกที่จะหดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี รวมถึงผลกระทบภาคการผลิตหากสินค้าจีนไหลเข้ามาไทยมากขึ้น ที่จะกดดันการลงทุนของภาคเอกชน โดยก่อนการเจรจาต่อรอง ไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสูงถึง 36% ติดอันดับ 20 จาก 185 ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ทำให้ซ้ำเติมภาคการผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัว

 

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้ มาอยู่ที่ 1.25% เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่สูง ทั้งนี้ ในช่วงสงครามการค้า 1.0 ระหว่างสหรัฐฯ และจีน อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.3% ซึ่งในขณะนั้นไทยถูกกระทบทางอ้อม จากข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ-จีน เท่านั้น แต่เมื่อเทียบปัจจุบัน ที่สงครามการค้ารุนแรงกว่า และไทยได้รับผลกระทบมากกว่าสงครามการค้ารอบก่อน พบว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงอยู่ที่ 0.85% จึงมีช่องว่างที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก และอัตราเงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือนเมษายนกลับมาติดลบ จากราคาพลังงานที่ลดลงมาก ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่า CPI ในไตรมาส 2 นี้อาจยังติดลบจากฐานที่ต่ำ ซึ่งเอื้อต่อการลดดอกเบี้ยของ กนง.

 

ด้านตลาดตราสารหนี้ มองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของไทย ยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อ จากการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยที่ผ่านมา Bond Yield ของไทย ยังไม่ได้สะท้อนภาพการปรับลดดอกเบี้ยลงทั้งหมด เนื่องจาก กนง. ยังส่งสัญญาณในการรักษา Policy Space ทั้งนี้ การปรับตัวสูงขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ จากปัญหาการขาดดุลการคลัง ทำให้เกิดแรงเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เข้าสู่พันธบัตรของตลาดเกิดใหม่ รวมถึง ตลาดพันธบัตรไทย ที่ยังเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า และเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัว ทำให้ Bond Yield ของไทยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น SCB CIO แนะนำการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน Investment Grade ระยะสั้นถึงกลางของไทย

 

ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทย Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับในอดีต ปัจจุบัน P/E อยู่ที่ 12.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และ SET Earning Yield Gap เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย 10 ปี อยู่ในระดับสูงกว่า +1SD นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงที่ 4.4% อย่างไรก็ตาม SCB CIO ยังต้องติดตามพัฒนาการในด้านการเจรจาสงครามการค้า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดในระยะถัดไป นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนไทยในปีนี้ มีการประกาศแผนซื้อหุ้นคืน ( Share repurchase) เพิ่มมากขึ้น เป็นการส่งสัญญาณถึงความมั่นใจของผู้บริหารต่อมูลค่าหุ้น ในกรณีที่ราคาหุ้นของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุนต่อมูลค่าหุ้นที่ปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ

 

ทั้งนี้ EPS ของตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะถูกปรับลดประมาณการลง เนื่องจาก ผลกระทบด้านภาษีนำเข้าที่มีต่อภาคการส่งออก โดยการปรับประมาณการขึ้นอยู่กับอัตราภาษีนำเข้าที่เก็บจริง และระยะเวลาในการเจรจาเรื่องการค้า โดย Base case มองว่าไทยอาจถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ 15% ทำให้ SCB CIO ประเมิน EPS ของตลาดน่าจะถูกปรับลดประมาณการลงจาก 90 บาทต่อหุ้น มาอยู่ที่ 82 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 9% จากระดับปัจจุบัน

 

หลังจากนั้นต่อด้วยเสวนาในหัวข้อ ‘Global Market Outlook & Solutions amidst Uncertainty’ ผู้เชี่ยวชาญจาก SCB WEALTH และ BlackRock โดย นายรุ่งโรจน์ เสกสรรวิริยะ ผู้อำนวยการ Investment Product Selection ธนาคารไทยพาณิชย์ นายนิคิล มัจรา Managing Director, Head of APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock นายมาร์ก ฟัสชาร์ค Director, APAC Multi-Asset Strategies & Solutions, BlackRock และ นายธณาพล อิทธินิธิภัค Head of Thailand Business, BlackRock ได้ร่วมกันวิเคราะห์มุมมองเศรษฐกิจโลก และกลยุทธ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ในช่วงเวลาที่ภาวะการลงทุนมีความไม่แน่นอนสูง โดย BlackRock ประเมินว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังต้องเฝ้าติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ เช่น อัตราภาษีนำเข้า อัตราการว่างงาน การใช้จ่ายของผู้บริโภค และผลประกอบการของภาคธุรกิจ เพื่อประเมินขอบเขตของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ มองว่า การถือเงินสดในช่วงตลาดผันผวน อาจช่วยลดความเสี่ยงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทน โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดังที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งในอดีต ดังนั้น การ Stay Invested หรือดำรงเงินลงทุนไว้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จับจังหวะตลาดจึงเป็นแนวคิดที่แนะนำให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ได้เข้าใจถึงการลงทุนในระยะยาวที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่งคั่ง

 

นอกจากนี้ จากผลการศึกษาของ BlackRock พบว่า สินทรัพย์ประเภทหุ้นและตราสารหนี้ มีค่าความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหรือลดลงเหมือนๆ กัน จึงเริ่มไม่ตอบโจทย์ด้านการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน ดังนั้น การเพิ่มสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนโดยไม่ขึ้นกับภาวะตลาดจึงมีความจำเป็นมากขึ้น การจัดพอร์ตแบบยืดหยุ่นด้วยกลยุทธ์ Multi – Asset และ Liquid Alternatives ซึ่งกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ในระยะยาว และยังช่วยดูแลพอร์ตในช่วงตลาดขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อตลาดโลกมีความผันผวนสูง

 

นายรุ่งโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน SCB Global Multi- Asset Core Portfolio (SCBGMCORE) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 เป็นกองทุนที่ได้รับความร่วมมือจาก BlackRock ในการออกแบบการลงทุน คัดสรรสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์โดยเฉพาะ และเป็นความภูมิใจที่ BlackRock ได้นำเอาแนวคิดการบริหารการลงทุนมาใช้ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก กองทุนนี้ลงทุนโดยใช้กลยุทธ์แบบ Absolute Return ในการช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตในสัดส่วน 25% ที่ใช้เป็นตัวชูโรงสำหรับการลงทุนยุคใหม่ และอีก 75% ลงทุนในกองทุน ETF ที่กระจายลงทุนใน หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ REIT และ TIPs ทั้งนี้ BlackRock เป็นผู้บริหารกองทุนนี้โดยเป็นการบริหารแบบเชิงรุก พร้อมกับมีความยืดหยุ่นสูง และมีระบบควบคุมความผันผวนในพอร์ต ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด เพื่อยกระดับประสบการณ์การลงทุนให้ลูกค้าธนาคาร บรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวให้มีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด Your Success. Our Success.

 

คำเตือน

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SCB Global Multi-Asset Core Portfolio (SCBGMCORE(A)) ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง โปรดศึกษารายละเอียดข้อมูลกองทุนกับ บลจ.ไทยพาณิชย์ อีกครั้ง
  • กองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • กองทุนรวม SCBGMCORE(A) นี้บริหารจัดการการลงทุนในผลิตภัณฑ์ต่างประเทศโดย BlackRock (Singapore) Limited ภายใต้สัญญาแต่งตั้งรับมอบหมายงานด้านการจัดการลงทุนเป็นไปตามที่ระบุในโครงการจัดการกองทุนโดย บลจ.ไทยพาณิชย์
  • ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • กองทุนนี้ไม่เหมาะสมกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอหรือต้องการรักษาเงินต้น ผู้ลงทุนโปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  • ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน โดยศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนที่ร่วมรายการเพิ่มเติมได้จาก website ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม www.scbam.com
  • สอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 2777 7777 

 

[PR NEWS]

The post SCB WEALTH จัดสัมมนา Solution Amidst Uncertainty ให้กลุ่มลูกค้า FIRST เจาะลึกเศรษฐกิจไทยพร้อมกลยุทธ์การสร้างผลตอบแทนในยุคความไม่แน่นอนสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งยกเลิกมาตรการชั่วคราว กลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ เริ่ม 25 มิ.ย. นี้ https://thestandard.co/set-ceiling-floor-normal/ Tue, 24 Jun 2025 07:45:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1088489 set-ceiling-floor-normal

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกแถลงการณ์ ประกาศย […]

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งยกเลิกมาตรการชั่วคราว กลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ เริ่ม 25 มิ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
set-ceiling-floor-normal

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกแถลงการณ์ ประกาศยกเลิกมาตรการชั่วคราว และกลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ ในวันที่ 25 มิถุนายน 2568

 

ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศใช้มาตรการชั่วคราวเกี่ยวกับ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 โดยจากการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เห็นว่าปัจจุบันผู้ลงทุนมีโอกาสในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว 

 

ดังนั้นเพื่อให้การดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปอย่างเหมาะสม ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) (TFEX) จึงเห็นควรให้ยกเลิกมาตรการชั่วคราวดังกล่าว โดยจะกลับไปใช้เกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

  1. โดยกลับมาใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor ปกติสำหรับทั้ง SET, mai และ TFEX ซึ่งเดิมกำหนดให้ระดับราคาเสนอซื้อและเสนอขายของหลักทรัพย์ในแต่ละวัน สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นสูงสุด (Ceiling) หรือลดลงต่ำสุด (Floor) ได้ไม่เกิน 30% ของราคาปิดในวันทำการก่อนหน้า ส่วนในกรณี Foreign Share กลับมาใช้เกณฑ์เดิมที่กำหนด Ceiling & Floor ได้ไม่เกิน 60% 

 

SET

 

  1. กรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เป็นรายหลักทรัพย์ ที่ ±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น

 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งยกเลิกมาตรการชั่วคราว กลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ เริ่ม 25 มิ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
LABUBU ยังฮิต แต่เจอฤทธิ์สื่อจีนวิจารณ์ ‘กล่องสุ่ม’ ทำหุ้น POP MART ร่วง 8.8% มูลค่าหาย 1.28 แสนล้านบาท! https://thestandard.co/popmart-stock-falls/ Tue, 24 Jun 2025 07:35:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1088481 popmart-stock-falls

Pop Mart International Group ผู้ผลิตของเล่นที่มีมูลค่าม […]

The post LABUBU ยังฮิต แต่เจอฤทธิ์สื่อจีนวิจารณ์ ‘กล่องสุ่ม’ ทำหุ้น POP MART ร่วง 8.8% มูลค่าหาย 1.28 แสนล้านบาท! appeared first on THE STANDARD.

]]>
popmart-stock-falls

Pop Mart International Group ผู้ผลิตของเล่นที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก กำลังสูญเสียเสน่ห์บางส่วนลงอย่างรวดเร็ว หลังจากสื่อที่เป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกมาวิพากษ์วิจารณ์โมเดลธุรกิจของบริษัท และเตือนถึงการเสพติดของสะสมยอดนิยมที่กำลังแพร่หลาย 

 

โดยหุ้นของ POP MART ร่วงลง 3.6% สู่ระดับ 239.60 ดอลลาร์ฮ่องกงในวันศุกร์ (20 มิ.ย.) ที่ฮ่องกง และลดลงรวม 8.8% ภายใน 2 วัน ทำให้ ‘มูลค่าตลาด’ หายไปถึง 3.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.28 แสนล้านบาท)

 

หัวใจสำคัญของโมเดลธุรกิจ POP MART คือการจำหน่าย ‘กล่องสุ่ม’ (Blind Boxes) และ ‘การ์ดสุ่ม’ (Blind Cards) ซึ่งซ่อนเนื้อหาไว้ภายในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดผนึกอย่างมิดชิด 

 

กลยุทธ์นี้กระตุ้นให้นักสะสมเกิดการซื้อซ้ำบ่อยครั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งของเล่นหรือการ์ดที่หายากและเป็นที่ต้องการมากที่สุด ซึ่งโอกาสในการค้นพบของหายากเหล่านี้ถูกคำนวณไว้ที่น้อยกว่า 2% 

 

หนังสือพิมพ์ People’s Daily ของจีนกล่าวว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้คือ ‘กับดักทางธุรกิจ’ ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ความไม่แน่นอนของรางวัลที่จะได้รับ เป็นเครื่องมือกระตุ้นจิตใจให้ผู้บริโภคเสพติดการซื้อและกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง 

 

โดยเตือนว่าผู้เยาว์มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ เนื่องจากความสามารถในการควบคุมตนเองและวุฒิภาวะทางจิตวิทยายังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา พร้อมเรียกร้องให้มี ‘กฎระเบียบ’ ที่เข้มงวดขึ้นเพื่อปกป้องพวกเขาจากกลยุทธ์เหล่านี้

 

แม้ People’s Daily จะไม่ได้ระบุชื่อ POP MART โดยตรง แต่บริษัทนี้ก็ถูกมองว่าเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกระแส ‘กล่องสุ่ม’ ที่ร้อนแรง โดยความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทคือตุ๊กตา LABUBU ซึ่งกุมหัวใจและกระเป๋าเงินของนักสะสมจากจีนไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่นๆ 

 

ความสำเร็จในระดับสากลนี้ทำให้ POP MART เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในตลาดหุ้นฮ่องกงในปีนี้ และนักลงทุนก็คาดหวังว่าโมเมนตัมการเติบโตจะยังคงดำเนินต่อไป

 

ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว UBS คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอาจเติบโตด้วยอัตราเฉลี่ยทบต้นต่อปี 35% ในอีก 2 ปีข้างหน้า และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 216 ดอลลาร์ฮ่องกง เป็น 329 ดอลลาร์ฮ่องกง 

 

เหตุผลสำคัญได้แก่ ความนิยมของตุ๊กตา LABUBU ที่ยังคงแรง การมีตัวละครใหม่ๆ พร้อมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และความต้องการพวงกุญแจตุ๊กตาแฟชั่นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเปิดตลาดใหม่ให้กับบริษัท

 

ทางด้าน JPMorganChase เริ่มติดตามและวิเคราะห์บริษัทในเดือนพฤษภาคม โดยให้คะแนนการลงทุนเป็น Overweight (เพิ่มน้ำหนักการลงทุน) และมองว่าความนิยมที่ยาวนานของ LABUBU มีความคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ Hello Kitty ของ Sanrio อย่างมาก

 

หุ้นของ POP MART พุ่งขึ้นเกือบ 160% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยรายได้ในประเทศและต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น 100% และ 480% ตามลำดับ เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสแรก แม้จะมีการร่วงลงของหุ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา 

 

แต่ ‘มูลค่าตลาด’ ของบริษัทยังคงอยู่ที่ 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่ามูลค่ารวมของ Sanrio, Hasbro ผู้ผลิต Transformers และ Mattel ผู้ผลิต Barbie เสียอีก 

 

อย่างไรก็ตาม กระแสความคลั่งไคล้บางส่วนอาจกำลังจางหายไป เมื่อราคาขายต่อของ LABUBU 3.0 ร่วงลงอย่างรวดเร็ว จากที่เคยทำราคาได้เกือบ 3,000 หยวน บนแพลตฟอร์มมือสอง ตุ๊กตาเอลฟ์ฟันซี่ตัวนี้ก็สูญเสียเสน่ห์ของความหายากไป หลังจากที่บริษัทนำกลับมาสต็อกใหม่และวางจำหน่ายทางออนไลน์

 

การวิพากษ์วิจารณ์ของ People’s Daily ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงและสะท้อนแนวคิดของผู้วางนโยบายจีน กำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังอุตสาหกรรม ‘กล่องสุ่ม’ โดยรวม ว่าอาจเผชิญกับ ‘กฎระเบียบ’ ที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับ POP MART และโมเดลธุรกิจของบริษัทในอนาคต


ภาพ: Katerina Elagina / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post LABUBU ยังฮิต แต่เจอฤทธิ์สื่อจีนวิจารณ์ ‘กล่องสุ่ม’ ทำหุ้น POP MART ร่วง 8.8% มูลค่าหาย 1.28 แสนล้านบาท! appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่วนใหญ่คาด กนง. คงดอกเบี้ยนโยบาย 25 มิถุนายนนี้ แต่มีโอกาสหั่นลงอีกในช่วงที่เหลือของปี ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า https://thestandard.co/bot-meeting-interest-rate-june2025/ Tue, 24 Jun 2025 06:01:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1088410 ภาพบรรยากาศการประชุม กนง. เดือนมิถุนายน 2568 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า กนง.จะค […]

The post ส่วนใหญ่คาด กนง. คงดอกเบี้ยนโยบาย 25 มิถุนายนนี้ แต่มีโอกาสหั่นลงอีกในช่วงที่เหลือของปี ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพบรรยากาศการประชุม กนง. เดือนมิถุนายน 2568 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ต่อปี ในการประชุมวันที่ 25 มิถุนายนนี้ แต่มีโอกาสหั่นลงอีกในช่วงที่เหลือของปี ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า

 

EIC มองไทยยังอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ชี้ดอกเบี้ยแท้จริงยังอยู่ระดับสูง

 

ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) เปิดเผยในรายการ Morning Wealth ของ THE STANDARD WEALTH เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 โดยประเมินว่า ในการประชุมวันที่ 25 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสที่จะยัง ‘คง’ ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ต่อไป เพื่อรอดูสถานการณ์ หลังจากการลดดอกเบี้ยติดต่อกันมาหลายต่อหลายครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทั้งปีนี้ SCB EIC มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะเป็นขาลง โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง. น่าจะยังปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) จากระดับ 1.75% ไปสู่ระดับ 1.25% ต่อปี ณ สิ้นปีนี้

 

ดร.ปุณยวัจน์ อธิบายต่อว่า หนึ่งในสาเหตุที่มองว่า กนง. ยังมีพื้นที่ว่างให้ลดดอกเบี้ยต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้มาจาก อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real Interest Rate) หรือดอกเบี้ยนโยบายหักด้วยเงินเฟ้อของไทยปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก

 

“ในการประเมินดอกเบี้ยนโยบาย อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องประเมินคือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real Interest Rate) หรือดอกเบี้ยนโยบายหักด้วยเงินเฟ้อ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา 10-20 ปี มีค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ -0.1% ครับ แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง อยู่ที่ 1% ต้องบอกว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้น จึงมีช่องว่าง (Room) ให้ลงมาได้อีก”

 

นอกจากนี้ SCB EIC ยังมองว่า “ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า และคุณภาพสินเชื่อที่ยังด้อยอยู่เนี่ย SCB EIC เชื่อว่า กนง. น่าจะนะครับ ลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้งในปีนี้”

 

กรุงไทยคาด กนง. คงดอกเบี้ยนัดนี้ แต่เตรียมส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น

 

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และความวุ่นวายของการเมืองไทยให้แน่ชัดก่อน

 

ทว่า กนง. อาจยังคงส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ควบคู่ไปกับเครื่องมือหรือนโยบายที่มีความจำเพาะเจาะจงในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน และภาวะการเงินของไทยที่ยังคงตึงตัวอยู่ ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงมุมมองเดิมว่า กนง. มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 1.25% ได้ ภายใน 12 เดือน ข้างหน้า

 

CIMB แนะลดดอกเบี้ย ‘กันก่อนแก้’​ ห่วงเศรษฐกิจแย่​หนัก สิ้นปีที่​ 1.25% ก็เอาไม่อยู่​

 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) กล่าวผ่าน Facebook โดยแนะว่า กนง. น่าจะลดดอกเบี้ยรอบ​วันที่​ 25 ​มิถุนายนนี้เหลือ​ 1.50% ไม่ต้องรอเก็บ​ Policy Space ท่ามกลางปัจจัยต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ​ไทยมีความเสี่ยงขยายตัวต่ำกว่าคาด​ ปัจจัยการเมืองมาแทรกยิ่งน่าห่วงแรงส่งการคลังมีปัญหา​ เงินเฟ้อต่ำลากยาว​ และสินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง เป็นต้น

 

“บ้างบอกว่าลดดอกเบี้ยไปก็ไม่ช่วย​ สู้เก็บกระสุนไว้ดีกว่า​ อันนี้ผมเห็นต่าง​ ลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระคนมีหนี้เดิม​ และสร้างแรงจูงใจคนกู้ใหม่ๆ

 

หลายสำนักมองว่า กนง. รอได้​ รอลดเดือนสิงหาคม​ก็ไม่สาย​ wait and see ไปก่อน​ รอทั้งการเมืองให้คลี่คลาย​ รอการเจรจาภาษีกับทรัมป์ต้นกรกฎาคม​ รอ Fed ส่งสัญญาณ​ลดดอกเบี้ยชัดกว่านี้ และเก็บ​ policy space หรือกระสุนดอกเบี้ยที่เหลือเพียง​ 1.75% เอาไว้ใช้ตอนจำเป็นดีกว่า​ 

 

ผมว่าใช้เลย​ ยิ่งเก็บนาน​ ตอนจะต้องลด​ อาจลดหนักกว่าที่จำเป็น​ น่ามีมาตรการ​ preemptive หรือกันก่อนแก้​ อย่าลืมว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจ​ขาลงมากขึ้น​ ยิ่งมองต่อไปหากมีความเสี่ยงทางการคลังจะยิ่งต้องใช้มาตรการทางการเงินมากกว่านี้

 

สรุป​ ฟันธงลดดอกเบี้ย​เหลือ​ 1.50% เดือนมิถุนา​ยน​นี้​ และอีกครั้งเดือนสิงหาคม​เหลือ​ 1.25% (เห็นต่างคนอื่นแค่เวลา​ แต่ปลายทางที่​ 1.25% คล้ายกัน) แต่หากมีปัญหาเศรษฐกิจ​หนักกว่านี้​ ผมว่า​ 1.25% ก็เอาไม่อยู่​ น่าลุ้น​ว่าต้องลดดอกเบี้ย​ยาว​ ลงลึกกว่านี้”

 

KResearch คาด กนง. ลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง จับตาผู้ว่าการฯ ธปท. คนใหม่

 

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568  ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch Center) ประเมินว่า ในการประชุม กนง. วันที่ 25 มิถุนายน 2568 นี้ กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% หลังปรับลดมาแล้ว 0.50% ในปีนี้ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

 

  • กนง. คงรอประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของไทย 
  • ติดตามสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและทิศทางเงินเฟ้อของไทย เนื่องจากเงินเฟ้อของไทยมีความเชื่อมโยงค่อนข้างสูงกับราคาพลังงาน 
  • ภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ชะลอลงจากการประชุมในครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ กนง. มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายการเงิน (monetary policy space) สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เหมาะสมและก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในระยะข้างหน้า
  • นอกจากนี้ ธปท. มีการใช้นโยบายทางการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะ ‘มาตรการคุณสู้เราช่วย’ ซึ่งธปท. มองว่าอาจช่วยบรรเทาปัญหาหนี้ได้อย่างตรงจุด

 

ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้

 

  • นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนหลังสิ้นสุดการชะลอปรับขึ้นภาษี 90 วัน แต่คาดว่าจะเห็นส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวลึกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากมีการเร่งส่งออกอย่างมากในช่วงก่อนหน้า 
  • จำนวนนักท่องเที่ยวมีโมเมนตัมอ่อนแรงลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และยังคงไม่เห็นภาพการฟื้นตัว ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวในปีนี้เผชิญความเสี่ยงที่จะเห็นการหดตัวของนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี 
  • แรงกดดันเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง แม้สถานการณ์ตะวันออกกลางผลักดันราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นชั่วคราว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลงประกอบกับมีการไหลบ่าเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูก 
  • ปัญหาด้านเสถียรภาพของรัฐบาลอาจส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณและแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่งผลให้โอกาสที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า  1 ครั้งนั้นมีมากขึ้น อย่างไรก็ดี จังหวะในการปรับลดดอกเบี้ยคงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ

 

ทั้งนี้ การคัดเลือกผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ที่จะเริ่มเข้าดำรงตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2568 เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในไตรมาส 4/2568 ของปีนี้เป็นต้นไป

The post ส่วนใหญ่คาด กนง. คงดอกเบี้ยนโยบาย 25 มิถุนายนนี้ แต่มีโอกาสหั่นลงอีกในช่วงที่เหลือของปี ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาด กนง. หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.5% สัปดาห์นี้ สกัดเศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อต่ำ https://thestandard.co/thai-defensive-stock-ideas/ Tue, 24 Jun 2025 05:50:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1088402 thai-defensive-stock-ideas

The post คาด กนง. หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.5% สัปดาห์นี้ สกัดเศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-defensive-stock-ideas

The post คาด กนง. หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.5% สัปดาห์นี้ สกัดเศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พันธมิตรแกร่ง! SCB เชื่อมั่น SC สนับสนุนวงเงินกว่า 17,600 ล้านบาท พัฒนา 17 โครงการบ้าน-คอนโดหรู ตอกย้ำผู้นำอสังหาพรีเมียม ไตรมาส 3 ลุยเปิด ‘SONLE RESIDENCES’ บ้านหรู เริ่มต้น 260 ล้าน Flagship แห่งปี https://thestandard.co/scb-scasset-luxury-home/ Tue, 24 Jun 2025 05:18:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1088379 scb-scasset-luxury-home

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ตอกย้ำบทบาทพันธมิตรทางการเงินเชิ […]

The post พันธมิตรแกร่ง! SCB เชื่อมั่น SC สนับสนุนวงเงินกว่า 17,600 ล้านบาท พัฒนา 17 โครงการบ้าน-คอนโดหรู ตอกย้ำผู้นำอสังหาพรีเมียม ไตรมาส 3 ลุยเปิด ‘SONLE RESIDENCES’ บ้านหรู เริ่มต้น 260 ล้าน Flagship แห่งปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
scb-scasset-luxury-home

ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ตอกย้ำบทบาทพันธมิตรทางการเงินเชิงกลยุทธ์ของ SC Asset ด้วยการสนับสนุนวงเงินรวมกว่า 17,600 ล้านบาท ครอบคลุม 17 โครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียมของกลุ่มบริษัทในเครือ SC Asset โดยแบ่งเป็น 9 โครงการที่เปิดขายและโอนในปัจจุบัน 3 โครงการใหม่ในปี 2568 และอีก 5 โครงการในแผนอนาคตปี 2569 เป็นต้นไป ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวของ SC Asset พร้อมสร้างคุณค่าให้กับตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวม อีกทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยพาณิชย์ในฐานะผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่พร้อมเคียงข้างลูกค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน

 

กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความท้าทายและส่งผลต่อภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย แต่ธนาคารก็ยังเห็นโอกาสของลูกค้าในเซกเมนต์ที่ยังมีศักยภาพ ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่ง ซึ่งยังคงมองหาสินทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ SC Asset และกลุ่มบริษัทในเครือ รวมมูลค่า 17,600 ล้านบาท โดยเป็นการสนับสนุนอย่างรอบด้าน รูปแบบ Pre-finance ในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 17 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการที่อยู่อาศัยพร้อมขายและโอนกรรมสิทธิ์ในปัจจุบัน จำนวน 9 โครงการ 2. โครงการบ้านเดี่ยวที่เปิดตัวใหม่ในปี 2568 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขสวัสดิ์–พระราม 3, บางกอก บูเลอวาร์ด บรมฯ–สาย 4 และซันเล เรสซิเดนเซส (SONLE RESIDENCES) และ 3. โครงการที่อยู่อาศัยที่มีแผนจะเปิดตัวในอนาคตตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป จำนวน 5 โครงการ ซึ่งการสนับสนุนทางการเงินดังกล่าวยังเป็นการตอกย้ำการเป็นพันธมิตรที่ยาวนานและความมุ่งมั่นในการร่วมกันสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้แก่ธุรกิจที่อยู่อาศัย

 

“การสนับสนุนทางการเงินแก่ SC Asset ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ทั้งด้านการจ้างงาน การกระจายรายได้ และการพัฒนาเมือง โดย SC Asset ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีแนวทางการดำเนินงานสอดคล้องกับธนาคาร คือการมุ่งเน้นพัฒนาอย่างยั่งยืน และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วยนวัตกรรมและคุณภาพที่เชื่อถือได้ ความร่วมมือในครั้งนี้ ยังสะท้อนความเชื่อมั่นที่ธนาคารไทยพาณิชย์มีต่อ SC Asset มาอย่างต่อเนื่อง จากทั้งวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ ความสามารถในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ความใส่ใจในการตอบโจทย์ลูกค้าทุกมิติ ความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง โครงการที่ได้รับการสนับสนุนในครั้งนี้ ล้วนเป็นโครงการที่มีความน่าสนใจ ทั้งในแง่ของทำเล กลุ่มเป้าหมาย และแนวคิดการพัฒนา โดยเฉพาะ SONLE RESIDENCES ที่มีความพิเศษในฐานะโครงการเรือธงระดับ One-of-a-kind ของ SC Asset สะท้อนถึงความกล้าคิด กล้าทำ และยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยและวงการอสังหาฯ อย่างแท้จริง” กฤษณ์กล่าว

 

ด้าน ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวว่า SC Asset ขอขอบคุณธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุน SC Asset อย่างต่อเนื่องมากว่า 22 ปี ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นนี้ครอบคลุมทั้งการให้สินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพรวมกว่า 50 โครงการ ซึ่งกระจายอยู่ในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ สะท้อนถึงความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ที่มั่นคง และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของ SC Asset

 

นอกจากนี้ SCB ยังมีบทบาทในการสนับสนุนลูกค้า SC Asset อย่างต่อเนื่อง ด้วยสิทธิประโยชน์และแคมเปญทางการเงินที่ช่วยให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยคุณภาพได้สะดวก คุ้มค่า และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเป็นเจ้าของบ้าน

 

SC Asset เชื่อมั่นในพลังของพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ชัดเจน และศักยภาพในการปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ SCB จะยังคงเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้บริษัทก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

 

ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นจากธนาคารไทยพาณิชย์ยังสะท้อนผ่านการสนับสนุนโครงการไฮไลต์ SONLE RESIDENCES บ้านเดี่ยวระดับอัลตราลักชัวรี มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งเตรียมเปิดตัวไตรมาส 3 นี้ โดยบริษัทมั่นใจว่า SONLE RESIDENCES จะเป็น “flagship” แห่งปี สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดบ้านหรู และตอกย้ำจุดแข็งในฐานะแบรนด์ที่เข้าใจลูกค้าระดับบนอย่างแท้จริงด้วยราคาต่อยูนิต 260-400 ล้านบาท

 

ในปี 2568 SC Asset เดินหน้ารุกตลาดเต็มกำลัง เปิดตัว 15 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 29,000 ล้านบาท ชูจุดแข็งด้านทำเล นวัตกรรม และคุณภาพ เดินเกมรุกสู่ตลาดบนอย่างมั่นใจ เสริมภาพลักษณ์แบรนด์ผู้นำบ้านเดี่ยวพรีเมียมอันดับหนึ่ง

 

[PR NEWS]

The post พันธมิตรแกร่ง! SCB เชื่อมั่น SC สนับสนุนวงเงินกว่า 17,600 ล้านบาท พัฒนา 17 โครงการบ้าน-คอนโดหรู ตอกย้ำผู้นำอสังหาพรีเมียม ไตรมาส 3 ลุยเปิด ‘SONLE RESIDENCES’ บ้านหรู เริ่มต้น 260 ล้าน Flagship แห่งปี appeared first on THE STANDARD.

]]>