LIFE | ACTIVE LEISURE – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 24 Dec 2024 11:16:00 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เดินเทรลประเทศญี่ปุ่นบนเส้นทาง 1,000 กิโลเมตร ‘Michinoku Coastal Trail’ เทรลริมชายฝั่งที่เคยเกิดสึนามิ https://thestandard.co/life/michinoku-coastal-trail-japan-1000km Fri, 13 Dec 2024 13:08:16 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1019375

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเรามีโอกาสไปร่วมทริปเดินเขาที่ […]

The post เดินเทรลประเทศญี่ปุ่นบนเส้นทาง 1,000 กิโลเมตร ‘Michinoku Coastal Trail’ เทรลริมชายฝั่งที่เคยเกิดสึนามิ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเรามีโอกาสไปร่วมทริปเดินเขาที่ประเทศญี่ปุ่นกับ Walk Japan นักจัดทริปเดินท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเส้นทางให้เลือกหลายระดับ ทั้งความยาก-ง่าย แล้วแต่ระดับความพร้อมของร่างกาย และความใกล้ชิดธรรมชาติที่แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน

 

เส้นทางที่เราเลือกไปมีชื่อว่า Michinoku Coastal Trail เป็นเทรลที่หากเก็บครบทุกเส้นทางจะมีระยะทาง 1,000 กิโลเมตร โดยเทรลนี้อยู่เลียบชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น หรือภูมิภาคโทโฮคุ ที่เคยเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2011

 

Michinoku Coastal Trail

Michinoku Coastal Trail

Michinoku Coastal Trail

Michinoku Coastal Trail

 

ทำไมถึงเลือก Michinoku Coastal Trail?

 

Michinoku Coastal Trail เป็นเทรลเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2023 ซึ่งเทรลมีระยะทาง 1,000 กิโลเมตรก็จริง แต่เราไม่ต้องเดินเท้าตลอดระยะทางทั้งหมด เนื่องจากเทรลเส้นทางนี้อยู่ในหลายจังหวัดของภูมิภาคโทโฮคุเริ่มตั้งแต่อาโอโมริเรื่อยลงมาจนถึงมิยางิ หลายคนจึงเดินทางมาเริ่มต้นที่ Trailhead (จุดเริ่มต้น) ก่อนนั่งรถไฟหรือรถบัสไปเมืองอื่นๆ เพื่อเที่ยวและเดินเขาลูกต่อไป

 

ซึ่งจะบอกว่าเป็นความตั้งใจของชาวโทโฮคุก็คงไม่ผิดนัก เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2011 เมืองในแถบนี้ก็เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อทำให้นักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจกลับมาคึกคัก คนในภูมิภาคโทโฮคุจึงร่วมมือกันสร้างเทรลเส้นทางใหม่ที่ชื่อว่า Michinoku ซึ่งแปลว่า ‘สุดปลายถนน’ เพื่อชักชวนคนชอบเดินเขาชมธรรมชาติให้มาเที่ยวที่เมืองต่างๆ ตลอดเส้นทางนี้

 

ทำไมถึงเลือก Michinoku Coastal Trail?

ทำไมถึงเลือก Michinoku Coastal Trail?

ทำไมถึงเลือก Michinoku Coastal Trail?

ทำไมถึงเลือก Michinoku Coastal Trail?

 

แต่ถ้าหากใครแข็งแกร่งและมีเวลามากพอก็สามารถเดินเท้าตลอดเส้นทางได้ เพราะเทรลทั้งหมดเชื่อมกันตั้งแต่ต้นจนจบ โดยระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 1,025 กิโลเมตร

 

ส่วนเรามาเดินเทรลนี้กับ Walk Japan ที่วางโปรแกรมเส้นทางและที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมด 9 วัน 8 คืน ในการเดินเทรล 7 เส้นทาง ซึ่งอยู่ใน 8 เมืองของ 3 จังหวัด คือ อาโอโมริ อิวาเตะ และมิยางิ รวมระยะทางทั้งหมดที่เราเดินก็ประมาณ 70 กิโลเมตร

 

Walk Japan

Walk Japan

Walk Japan

Walk Japan

Walk Japan

 

อยากเดินเทรลเส้นทางนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

 

ถ้าเป็นเรื่องสภาพร่างกาย Michinoku Coastal Trail มีระดับความเหนื่อย (Activity Level) 4 เต็ม 6 และระดับความยาก (Technical Level) 5 เต็ม 6 ทุกคนต้องเดินขึ้นเขาติดต่อกันทุกวัน วันละประมาณ 10 กิโลเมตร ระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,200-2,000 ฟุต ใช้เวลาเดินประมาณวันละ 4-6 ชั่วโมง และด้วยความที่เป็นเส้นทางริมชายฝั่ง เทรลนี้จึงต้องเดินขึ้น-ลงทั้งบนชายหาด ภูเขา โขดหิน และบันได

 

คนที่อยากเดินเทรลเส้นทางนี้จึงต้องมีระดับความฟิตสูงพอสมควร เราแนะนำให้ฝึกปอดและกล้ามเนื้อเพื่อที่จะไม่เหนื่อยง่ายและหายเหนื่อยไว สามารถเดินต่อได้นานๆ เนื่องจากเป็นทริปที่เดินเป็นกลุ่ม จึงอาจหยุดเดินเป็นพักๆ เท่านั้น

 

ทว่าแต่ละวันจะค่อยๆ ไต่ระดับความยากขึ้นไป จึงไม่รู้สึกทรมานร่างกายเท่าไร เนื่องจาก Walk Japan จัดโปรแกรมเส้นทางและความยากโดยเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก

 

เราแอบถามไกด์มาด้วยว่าถ้าหากใครเดินไม่ไหวกลางทางจะทำอย่างไร ไกด์บอกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และเคยเกิดขึ้นแล้ว Walk Japan จึงมีเอกสารให้ลูกค้าเซ็นยินยอมว่าขอถอนตัว หรือบางคนอาจเดินทางไปด้วยจนจบทริป แต่ขอเดินเฉพาะวันที่ไหวก็มี

 

อยากเดินเทรลเส้นทางนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

อยากเดินเทรลเส้นทางนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

อยากเดินเทรลเส้นทางนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

อยากเดินเทรลเส้นทางนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

 

ตลอด 9 วัน 8 คืน ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตแบบไหน?

 

ทริปนี้เราต้องเปลี่ยนที่นอนไปตามเมืองต่างๆ ที่ต้องแวะเดิน โดยวันแรกทุกคนต้องเดินทางมาที่จุดนัดพบเองเพื่อเจอไกด์และเพื่อนร่วมทริปคนอื่นๆ หลังจากนั้นตลอดทริปจะมีรถคอยขนส่งสัมภาระไปยังที่พักใหม่ให้ตลอด เช่นเดียวกับการเดินเขาที่จะมีรถไปส่งถึงจุดเริ่มต้น หรือบางครั้งอาจได้นั่งรถไฟ รถบัส หรือรถสาธารณะ เพื่อไปยังเมืองต่อๆ ไปด้วย

 

กิจวัตรของเราในทริปนี้คล้ายกันทุกวันคือ เริ่มต้นวันด้วยการกินอาหารเช้า ณ ที่พัก มื้อกลางวันกินอาหารจากมินิมาร์ท ซึ่งทุกคนจะแวะซื้อพร้อมกันเพื่อนำไปกินระหว่างเดินเขา ส่วนมื้อเย็นไปกินอาหารที่ร้านโลคัลซึ่งไกด์จองไว้ให้แล้ว แต่ละมื้อแทบไม่ซ้ำสไตล์ โดยส่วนใหญ่เป็นแบบไคเซกิ หรืออาหารโฮมเมด

 

เรามีอีกทริกหนึ่งที่อยากบอก เนื่องจากเทรลนี้ทุกคนจะได้เปลี่ยนที่นอนทุกวัน ตั้งแต่นอนในบ้านสไตล์ญี่ปุ่น เรียวกัง และออนเซน จะเป็นเรื่องดีมากถ้านำกระเป๋าเดินทางขนาดกลางๆ ไป เพราะที่พักบางแห่งไม่มีลิฟต์ หรือต้องนอนบ้านสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ปูพื้นด้วยเสื่อ ซึ่งไม่ควรลากกระเป๋ามีล้อ เพราะอาจทำให้พื้นเสียหายได้

 

ตลอด 9 วัน 8 คืน ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตแบบไหน?

ตลอด 9 วัน 8 คืน ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตแบบไหน?

ตลอด 9 วัน 8 คืน ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตแบบไหน?

ตลอด 9 วัน 8 คืน ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตแบบไหน?

 

ค่าใช้จ่ายในการร่วมทริป Walk Japan

 

เทรลแต่ละเส้นทางของ Walk Japan มีช่วงเวลาและราคาที่ต่างกันไป สำหรับ Michinoku Coastal Trail ซึ่งเป็นเทรลริมชายฝั่ง จึงจัดทริปเฉพาะช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนและเดือนกันยายน-พฤศจิกายนเท่านั้น โดยรับนักเดินสูงสุดแค่ 12 คนต่อทริป โดย Michinoku Coastal Trail มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 4.8-5 แสนเยน (ประมาณ 1.2 แสนบาท) ราคานี้รวมค่าที่พัก ค่าอาหาร นักนำทาง ค่ารถขนส่งสัมภาระ และค่าเข้าสถานที่ต่างๆ รวมถึงค่าเดินทางตลอดทริปตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนจุดสุดท้าย

 

และเนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่รวมอยู่ในค่าสมัครเข้าร่วมทริปแล้ว ระหว่างทริปทุกคนจึงไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลย ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำเปล่า รวมถึงของฝากส่วนตัว

 

ค่าใช้จ่ายในการร่วมทริป Walk Japan

ค่าใช้จ่ายในการร่วมทริป Walk Japan

ค่าใช้จ่ายในการร่วมทริป Walk Japan

 

แม้จะกลับจากทริปนี้มาสักพักแล้ว แต่เรายังจำความรู้สึกตอนเดินเทรลนี้ได้ชัดเจน ทั้งประสบการณ์ที่ได้พบ เรื่องราวที่ได้ฟัง และเพื่อนใหม่ที่ได้เจอ รวมถึงธรรมชาติสวยๆ ริมมหาสมุทรแปซิฟิกที่ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมา เราว่าการเดินทางครั้งนี้ให้อะไรเรากลับมาหลายอย่าง และเชื่อว่าหากใครได้ลองไปเดินบนเส้นทางนี้ก็จะรู้สึกหลงรักภูมิภาคโทโฮคุขึ้นมาเช่นกัน

 

ทุกคนสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับเทรล Walk Japan และเส้นทางอื่นๆ ได้ที่เว็บไซต์ https://walkjapan.com

 

ภาพทั้งหมดถ่ายโดย Canon PowerShot G7 X Mark III

ภาพ: เกณิกา รวยธนพานิช, Walk Japan

 

 

The post เดินเทรลประเทศญี่ปุ่นบนเส้นทาง 1,000 กิโลเมตร ‘Michinoku Coastal Trail’ เทรลริมชายฝั่งที่เคยเกิดสึนามิ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัปเลเวลความฟิต เพิ่มความพลิ้วด้วย Aerial Hoop ที่ HOYHON Park Silom https://thestandard.co/life/aerial-hoop-fitness-hoyhon-park-silom Thu, 12 Dec 2024 04:03:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1018734 HOYHON (ห้อยโหน) Park Silom

ใครที่เป็นขาออกกำลังกายเป็นประจำและอยากลองชาเลนจ์ความแข […]

The post อัปเลเวลความฟิต เพิ่มความพลิ้วด้วย Aerial Hoop ที่ HOYHON Park Silom appeared first on THE STANDARD.

]]>
HOYHON (ห้อยโหน) Park Silom

ใครที่เป็นขาออกกำลังกายเป็นประจำและอยากลองชาเลนจ์ความแข็งแรงของตัวเอง เราอยากชวนให้มาลอง Aerial Hoop คลาสห้อยโหนบนห่วงทรงกลมที่ HOYHON (ห้อยโหน) Park Silom สตูดิโอออกกำลังกายสาขาใหม่ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อทั่วร่าง โดยเฉพาะช่วง Upper Body พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นให้ร่างกายแบบเต็มพิกัด

 

Aerial Hoop ที่ HOYHON Park Silom

Aerial Hoop ที่ HOYHON Park Silom

 

What is it?

‘ห้อยโหน’ เป็นสตูดิโอออกกำลังกายที่โดดเด่นในด้านศิลปะการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้พละกำลังและความยืดหยุ่นของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น Aerial Arts เช่น Aerial Silk, Aerial Straps รวมไปถึง Aerial Hoop ที่ทีม THE STANDARD LIFE จะได้พิสูจน์เป็นครั้งแรก

 

HOYHON (ห้อยโหน) Park Silom

HOYHON (ห้อยโหน) Park Silom

 

Try

คลาส Aerial Hoop จะใช้เวลาประมาณ 90 นาที ประเดิมด้วยการวอร์มอัพร่างกาย 30 นาที ใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิดหรอก เราใช้เวลา 30 นาทีเต็มไปกับการวอร์มร่างกายให้ครบทุกส่วนเพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ และยังเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับท่าที่มีความชาเลนจ์เป็นพิเศษ

 

คลาส Aerial Hoop

คลาส Aerial Hoop

 

หลังจากได้เหงื่อพอประมาณก็มาวอร์มอัพร่างสร้างความคุ้นชินกับห่วงกันต่อก่อนจะเข้าคลาสฝึกจริง ด้วยความที่สมาชิกในคลาสล้วนเป็นมือใหม่ทั้งสิ้น ครูฝึกจึงปรับลดระดับห่วงลงมาให้ต่ำเพื่อให้ง่ายต่อการฝึกยิ่งขึ้น

 

คลาส Aerial Hoop

คลาส Aerial Hoop

 

เริ่มแรกครูจะให้ฝึกจับห่วงแล้วลองยกขาคู่ ซึ่งดูผิวเผินแล้วเหมือนจะง่าย แต่พอลองทำเราจะรู้ได้ทันทีว่ากล้ามเนื้อท่อนบนเราอ่อนแรงมากแค่ไหน สำหรับใครที่น้ำหนักตัวเยอะหน่อยก็จะรู้สึกท้าทายขึ้นมาอีกระดับ

 

คลาส Aerial Hoop

 

ตามมาด้วยเทคนิคการส่งตัวขึ้นไปนั่งบนห่วง พร้อมวิธีจัดระเบียบร่างกายให้อยู่ในท่วงท่าที่สวยงาม

 

เทคนิคการส่งตัว

เทคนิคการส่งตัว

เทคนิคการส่งตัว

 

จากนั้นจึงเข้าสู่การฝึกจริง 40 นาที โดยจะมีการทวนท่าแต่แรกพร้อมค่อยๆ เพิ่มรายละเอียดของท่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปลายเท้าสองข้างเหยียดห่วง การฝึกนั่งบนห่วง การวาดลวดลายแขนให้พลิ้วสลวย เมื่อใครท่าเริ่มได้สตูดิโอก็จะเปิดเพลงบิลด์มู้ดให้เราสวมจริตเจ้าหญิงยิ่งขึ้น

 

จากนั้นจึงเข้าสู่การฝึกจริง 40 นาที

จากนั้นจึงเข้าสู่การฝึกจริง 40 นาที

จากนั้นจึงเข้าสู่การฝึกจริง 40 นาที

 

จากนั้นค่อยๆ ฝึกปล่อยแขนทิ้งตัวลง ตลอดจนท่าสุดชาเลนจ์อย่างการหมุนห่วง ซึ่งความยากไม่ได้อยู่ที่การทำให้ห่วงหมุน แต่เป็นการโฟกัสโดยที่เราจะไม่เวียนหัวต่างหาก

 

ฝึกปล่อยแขนทิ้งตัวล

ฝึกปล่อยแขนทิ้งตัวล

ฝึกปล่อยแขนทิ้งตัวล

 

Result

สิ่งที่รู้สึกได้ชัดเจนคือการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและแกนกลางลำตัว โดยเฉพาะขณะที่ต้องทรงตัวบนห่วงก็ยิ่งต้องเกร็งกล้ามเนื้อไปทุกส่วน จุดที่ยากที่สุดคือการมีสติโฟกัสกับจุดศูนย์กลางของห่วงขณะหมุน ซึ่งถ้าสติหลุดเมื่อไรเตรียมยาดมได้เลย

 

Result

Result

 

Good for

แม้จะเป็นมือใหม่หรือมีน้ำหนักตัวเยอะก็เข้าคลาสนี้ได้หายห่วง เพราะสตูดิโอจะคอยประกบนักเรียนอย่างใกล้ชิดและคอยสาธิตท่าที่ปลอดภัย แนะนำให้เลี่ยงการกินอาหารมาก่อนเริ่มคลาสสัก 2 ชั่วโมง และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อป้องกันการวิงเวียนศีรษะ

 

ก่อนเริ่มคลาสสัก 2 ชั่วโมง

ก่อนเริ่มคลาสสัก 2 ชั่วโมง

 

เราเชื่อว่า Aerial Hoop จะเป็นอีกประสบการณ์การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ในด้านการบิลด์ความแข็งแรงกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นได้อย่างดีเลย

 

HOYHON Park Silom

 

HOYHON Park Silom

Open: วันจันทร์-อังคาร, วันพฤหัสบดี-อาทิตย์ เวลา 07.00-22.00 น. และวันพุธ เวลา 07.00-20.00 น.

Address: ชั้น 3 อาคาร Park Silom

Budget:

  • Group Class: First Trial 590 บาท, Drop-in 990 บาท, 3,950 บาทต่อ 5 คลาส
  • Personal Class: First Trial 2,300 บาท, Drop-in 3,000 บาท, 13,500 บาทต่อ 5 คลาส

Tel: 08 0082 6222

Website: www.hoyhon.com

Facebook: https://www.facebook.com/profile.php?id=61560942192144

Instagram: https://www.instagram.com/hoyhonparksilom/

Map: https://maps.app.goo.gl/DRhKLiLhrczdJo7e9

The post อัปเลเวลความฟิต เพิ่มความพลิ้วด้วย Aerial Hoop ที่ HOYHON Park Silom appeared first on THE STANDARD.

]]>
Chiangmai Skyview ร่อนพารามอเตอร์ พาคุณไปหลงรักเชียงใหม่ในมุมสูง https://thestandard.co/life/chiangmai-skyview Wed, 11 Dec 2024 10:50:11 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1018433 Chiangmai Skyview

ช่วงนี้เชียงใหม่อากาศเย็นกำลังดี ไม่หนาวไปไม่ร้อนไป เรา […]

The post Chiangmai Skyview ร่อนพารามอเตอร์ พาคุณไปหลงรักเชียงใหม่ในมุมสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Chiangmai Skyview

ช่วงนี้เชียงใหม่อากาศเย็นกำลังดี ไม่หนาวไปไม่ร้อนไป เราเลยอยากชวนคุณไปลองอีกหนึ่งกิจกรรมใหม่ ‘ร่อนพารามอเตอร์’ ที่เปิดประสบการณ์การเที่ยวเชียงใหม่ในมุมที่ต่างกันหมด หนีห่างจากคาเฟ่ และอิ่มเอมกับธรรมชาติได้ชั่วขณะ

 

พารามอเตอร์กำลังร่อนในมุมสูง

 

ที่นี่เป็นโรงเรียนฝึกบินพารามอเตอร์

นอกจากจะเที่ยวแล้วยังสามารถลงคอร์สเรียนได้ด้วย

 

Why here?

 

Chiangmai Skyview เป็นโรงเรียนฝึกบินพารามอเตอร์ เครื่องร่อนติดมอเตอร์ มีลักษณะกึ่งบอลลูนกึ่งเครื่องบินในหนึ่งเดียว หากใครที่รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ทีมงานที่นี่มืออาชีพกันทุกคน และมีการตรวจเช็กร่างกายและอุปกรณ์ป้องกันอย่างแน่นหนาก่อนบินทุกครั้ง คุณครูนักบินก็เป็นถึงแชมป์บินพารามอเตอร์ระดับประเทศ แถมอัธยาศัยดีอีกด้วย คอยแนะนำเราทุกอย่างว่าถ่ายรูปมุมไหนสวย กล้อง GoPro ก็มีบริการให้เราได้บันทึกความทรงจำดีๆ ไปอวดได้อีก

 

มือสมัครเล่นก็ร่อนได้ และวิวด้านบนสวยมาก

 

มี GoPro ให้ยืมเก็บภาพด้วยนะ รับรองได้ภาพสวยทุกคน

 

เส้นทางการบินจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

ครูจะเป็นคนเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด

 

Worth it

 

เส้นทางที่เราจะบินชื่นชมความงามมีอยู่หลายเส้นทาง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ โดยคุณครูจะเป็นคนเลือกให้ตามความเหมาะสม การบินมีสองช่วงเวลาคือเช้าและเย็น เลือกได้เลยว่าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก สวยมากทั้งสองแบบเลย ช่วงเช้าจะเต็มด้วยสายหมอก อากาศเย็นๆ และความสงบ ส่วนช่วงเย็นจะได้บรรยากาศพระอาทิตย์ยอแสง ส่วนทริปนี้เราบินผ่านอ่างเก็บน้ำห้วยลานและวิวทุ่งนาที่สวย อิสระเหมือนได้บินแบบนกบนท้องฟ้าเลยจริงๆ

 

นอกจากบินแล้วยังมีกิจกรรมจาก Dutch Farm ให้เที่ยวด้วย

 

Good for

 

การร่อนพารามอเตอร์กับ Chiangmai Skyview เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากในช่วงที่ผ่านมา ด้วยเป็นกิจกรรมใหม่ ถ่ายรูปสวย ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ซึ่งเราสามารถมาบินพารามอเตอร์ได้ที่ Dutch Farm เดินทางไม่ไกลจากตัวเมืองเพียง 30 นาทีเท่านั้น นอกจากได้บินพารามอเตอร์แล้ว ยังสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น ขี่ม้า ให้อาหารแกะ รวมไปถึงมีร้านอาหารอร่อยๆ ให้บริการด้วย เรียกว่าอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน

 

ใครที่กำลังมีแพลนไปเที่ยวเชียงใหม่เร็วๆ นี้ และอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ รับรองว่าคุณต้องชอบเหมือนที่เราชอบ

 

 

ChiangMai Skyview Paramotor Academy

Location: ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่

Open: รอบเช้า เปิดบริการทุกวัน เวลา 07.00-09.30 น. รอบเย็น เปิดบริการเฉพาะวันจันทร์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันศุกร์ เวลา 16.30-18.00 น. หรือจนพระอาทิตย์ตกดิน

Cost: 3,500 บาทต่อท่าน

Telephone: 08 4291 5362

Fanpage: www.facebook.com/cmskyview

Instagram: chiangmaiskyview

Map: https://goo.gl/maps/MiwFAWX74cWsr61Y8

 

 

เรื่องและภาพ: Chiabwut Sutthamaythee

The post Chiangmai Skyview ร่อนพารามอเตอร์ พาคุณไปหลงรักเชียงใหม่ในมุมสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sabai Run Club คอมมูนิตี้ที่เริ่มจาก 3 คนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน https://thestandard.co/life/sabai-run-club Mon, 25 Nov 2024 14:30:05 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1012657 Sabai Run Club

ถ้าใครบอกว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ชอบตื่นเช้า Steve Lim คงต้องข […]

The post Sabai Run Club คอมมูนิตี้ที่เริ่มจาก 3 คนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sabai Run Club

ถ้าใครบอกว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ชอบตื่นเช้า Steve Lim คงต้องขอค้าน เพราะทุกวันศุกร์และอาทิตย์ เขาและเพื่อนๆ กว่า 500 คนจะมารวมตัวกันที่หน้าร้าน % Arabica สาขาศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เพื่อวิ่งออกกำลังกายและแชร์พลังงานบวกให้กัน Steve เล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มว่า เมื่อต้นปี 2024 เขาและเพื่อนสนิทอีก 2 คนแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการวิ่งเลย แต่อยากลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น จึงชวนกันก่อตั้ง Sabai Run Club ขึ้นมา โดยไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นคอมมูนิตี้ที่ใหญ่ขึ้นทุกสัปดาห์ขนาดนี้

 

Sabai Run Club

Steve Lim 

 

จากจุดเริ่มต้นเพียง 3 คนที่อยากวิ่งออกกำลังกายตอนเช้า Sabai Run Club กลับเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นคลับวิ่งขนาดใหญ่หลายร้อยคน ด้วยสมาชิกทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มาร่วมวิ่งกันทุกสัปดาห์

 

สิ่งที่ทำให้คลับนี้โดดเด่นคือบรรยากาศสบายๆ สไตล์ไทยๆ ที่สะท้อนผ่านโลโก้พริกน้อยถือแก้วกาแฟ หรือที่พวกเขาเรียกว่า ‘Chill Chili’ นั่นเอง ต้องบอกว่าแม้จะวิ่งแค่ 3 กิโลเมตร แต่มิตรภาพและรอยยิ้มที่ได้แลกเปลี่ยนกันระหว่างทางยาวนานกว่านั้นมาก

 

 

ช่วยแนะนำตัวหน่อย

 

Steve Lim: ผมชื่อ Steve Lim เกิดและเติบโตที่นิวซีแลนด์ พ่อกับแม่เป็นคนกัมพูชาเชื้อสายจีน ผมย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ 2 ปีแล้ว แรกเริ่มทำงานในวงการการเงิน แต่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ นายแบบ และนักแสดงเต็มตัว

 

ผมชอบนำเสนอแง่มุมการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ที่แตกต่างจากที่ชาวตะวันตกเข้าใจ เพราะเมื่อพูดถึงกรุงเทพฯ หรือประเทศไทย คนมักจะนึกถึงแต่ปาร์ตี้และความบันเทิง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมทำเลย ผมเป็นคนใส่ใจสุขภาพ ชอบชกมวยตอนเช้า มีเพื่อนดีๆ ออกไปกินอาหารดีๆ นี่คือสิ่งที่ผมอยากให้ผู้คนได้เห็นกรุงเทพฯ

 

เมื่อผมเริ่มแชร์การใช้ชีวิตส่วนตัวบนโลกออนไลน์ก็มีคนชอบ มันเลยทำให้คลับเติบโตขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรก ผมแค่อยากแสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ของผมเป็นอย่างไรมากกว่า 

 

 

นั่นเลยเป็นที่มาของ Sabai Run Club?

 

Steve Lim: ใช่ จะบอกว่าผมเพิ่งเริ่มวิ่งแค่ 2 สัปดาห์ก่อนก่อตั้งชมรม ช่วงต้นปี 2567 ผมและเพื่อนอีก 2 คนอยากทำอะไรใหม่ๆ อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้นและกระฉับกระเฉงมากขึ้น ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการวิ่ง ไม่รู้เรื่องเพซ การแบ่งกลุ่มความเร็ว หรือการฝึกซ้อม เราแค่อยากออกไปสนุกและวิ่งในตอนเช้า

 

เราเลยเริ่มชวนเพื่อนๆ ที่มีความคิดเหมือนกัน ไม่เคยวิ่ง แต่คิดว่าถ้ามาด้วยกันหลายคนก็จะสนุกดี จึงกลายเป็นคอมมูนิตี้วิ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่นักวิ่ง เราเลยตั้งชื่อว่า Sabai Run Club เริ่มจาก 3 คน และเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเราพบว่ามีคนในกรุงเทพฯ อีกนับแสนที่อยากทำแบบนี้เหมือนกัน

 

เราก่อตั้งคอมมูนิตี้สำหรับตัวเองและเพื่อนๆ แต่ก็เติบโตขึ้นอย่างน่าตกใจ ตอนแรกเราคิดว่าใน 4 เดือนคงมีคนมาร่วม 30-40 คน แต่ตอนนี้แต่ละสัปดาห์มีคนมาวิ่งกับเรา 500-600 คนเลยทีเดียว

 

 

ทำไมถึงเลือกวิ่งวันศุกร์และอาทิตย์

 

Steve Lim: เพราะวันศุกร์เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ดี เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย เป็นวันสุดท้ายของการทำงาน การทำอะไรดีๆ ในตอนเช้ามันทำให้เรารู้สึกดีมาก ส่วนวันอาทิตย์เป็นการปิดท้ายสัปดาห์ที่ดี ผู้คนมาดื่มกาแฟ พูดคุยกับเพื่อน หรือได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ หลังจากนั้นก็ไปกินบรันช์หรือมื้อกลางวันด้วยกัน

 

คิดว่าอะไรที่ทำให้ Sabai Run Club แตกต่างจากคลับวิ่งอื่นๆ ในกรุงเทพฯ

 

Steve Lim: ในกรุงเทพฯ มีคลับวิ่งหลายกลุ่ม ผมคิดว่าใหญ่ที่สุดคือ Sabai Run Club อันดับหนึ่ง ตามด้วย Cruise Control Run Club และ Meep Meep Run Club สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือเราเปิดกว้างสำหรับทุกคน คลับอื่นๆ แม้จะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร แต่เวลาจัดกิจกรรมจริงๆ ส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทย

 

สำหรับชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยหรือนักท่องเที่ยว การเข้าสังคมค่อนข้างยาก แต่ที่ Sabai Run Club เราต้อนรับทุกคน ทั้งชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย นักท่องเที่ยว คนไทย นักวิ่งมือใหม่และนักวิ่งที่เก่าแล้ว ที่นี่ผู้คนมาเพื่อเข้าสังคมและพบปะผู้คนใหม่ๆ ในขณะที่ชมรมอื่นๆ จะค่อนข้างจริงจังกับการวิ่ง เราเน้นการวิ่งระยะสั้นและการพบปะสังคม

 

ที่สุดแล้วใครๆ ก็วิ่งได้ ใครๆ ก็ตั้งชมรมวิ่งได้ แต่สิ่งที่ทำให้คลับมีความหมายคือผู้คน เราสามารถรวบรวมคนดีๆ มากมายที่กลับมาวิ่งกับเราซ้ำทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

 

Sabai Run Club

 

แล้วเราจัดการคอมมูนิตี้อย่างไร จากทีมงาน 3 คนแต่ต้องดูแลนักวิ่งเป็นร้อย

 

Steve Lim: ตอนเริ่มต้นเรามีกันแค่ 3 คน เราต้องการคนถ่ายคอนเทนต์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มเท่านั้น พวกเราต้องวิ่งขึ้นลงเพื่อถ่ายคอนเทนต์และต้องดูแลนักวิ่งด้วย ผมจำได้ว่าวันหนึ่งมีคนมาแค่ 5 คน แต่วันอาทิตย์ถัดมามีคนมา 64 คน เราคิดว่า “ตายแล้ว เราจะจัดการอย่างไร” หลังจากนั้นเราก็เริ่มประกาศทาง Instagram เพื่อหาอาสาสมัคร ถามว่าใครอยากช่วย Sabai Run Club บ้าง

 

ตอนเริ่มต้นไม่มีใครในคลับเป็นนักวิ่งเลย เราเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน จากกลุ่มอาสาสมัคร 3 คน ตอนนี้เรามี 41 คน ตอนช่วงเริ่มต้นเราแบ่งกลุ่มวิ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม 1, กลุ่ม 2 และกลุ่มเดิน แต่ตอนนี้เรามี 9-12 กลุ่มเพื่อรองรับทุกเพซและทุกคนที่อยากเข้าร่วม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะอาสาสมัครของเรา

 

นักวิ่งในคลับมีสัดส่วนคนไทยและชาวต่างชาติอย่างไรบ้าง  

 

Steve Lim: ผมคิดว่าประมาณ 60% เป็นคนไทย 30% เป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทย และ 20% เป็นนักท่องเที่ยว ทุกสัปดาห์เรามีคนจากสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมวิ่งกับเราด้วย

 

 

รูปแบบการวิ่งแต่ละครั้งเป็นอย่างไร 

 

Steve Lim: เรานัดพบกัน 15 นาทีก่อนเวลาวิ่ง วันศุกร์เจอกันตอนเวลา 07.15 น. วันอาทิตย์เวลา 07.45 น. จากนั้นจะมีการบรีฟและแบ่งกลุ่มความเร็ว บางครั้งมีกลุ่มความเร็วเพซ 5 สำหรับคนที่อยากวิ่งเร็วจริงๆ และมีกลุ่มเพซ 9 นาที หลังวอร์มอัพเสร็จเราจะแยกกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีอาสาสมัคร 1-3 คนคอยช่วยเหลือ หลังวิ่งเสร็จเรากลับมาที่ร้าน % Arabica นั่งดื่มกาแฟและพูดคุยกัน

 

ทำไมถึงวิ่งแค่ 3 กิโลเมตร ไม่สั้นไปเหรอ

 

Steve Lim: สำหรับเรามันอาจจะสั้น แต่สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งมันถือว่าไกลพอสมควร หลายคนในกลุ่มที่วิ่งเร็วๆ มักจะวิ่งมาก่อนตารางซ้อมหรือวิ่งต่อหลังซ้อมวิ่งเสร็จ เพื่อทำแทนวอร์มอัพหรือคูลดาวน์ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน 3 กิโลเมตรก็ถือว่ามากพอแล้วครับ

 

แล้วคุณมาร่วมกับร้าน % Arabica ได้อย่างไร

 

Steve Lim: เหตุผลที่เรารวมตัวกันที่นั่น เพราะที่ร้านมีพื้นที่รองรับคนจำนวนมากและเป็นพื้นที่ดีๆ สำหรับการพบปะสังสรรค์ เราไม่ได้มีพาร์ตเนอร์ชิปกับ % Arabica หรือสปอนเซอร์ใดๆ แต่ทางร้านยินดีให้เราใช้พื้นที่ส่วนนี้เท่านั้น  

 

 

เราชอบโลโก้ของคุณนะ เล่าเกี่ยวกับโลโก้ของ Sabai Run Club ให้ฟังหน่อยสิ 

 

Steve Lim: โลโก้ของเราเป็นพริก เราเรียกตัวละครนี้ว่า Chill Chili เราต้องการสื่อถึงความเป็นไทย ธรรมชาติที่สบายๆ ของคนไทย เราเลยคิดว่าอะไรที่เป็นตัวแทนความเป็นไทย ก็เลยนึกถึงพริก เพราะในส้มตำหรืออาหารไทยก็มีพริกทั้งนั้น นี่จึงเป็นพริกที่ถือแก้วกาแฟ

 

เรามี Chill Chili และเพื่อนอีกสองตัว หนึ่งในนั้นคือผม อีกตัวมีหนวดเป็นเพื่อนผมที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และอีกตัวเป็นพริกผมยาวใส่ผ้าคาดผมนั่นคือ Emiko อีกผู้ร่วมก่อตั้งที่ดูแลด้านการออกแบบทั้งหมด

 

เมื่อคิดถึงการตลาด เราอยากได้อะไรที่เชื่อมโยงกับคนไทย แต่ก็ต้องน่ารักและเป็นกันเอง เพื่อให้ผู้คนรู้สึกผูกพัน เพราะถ้าดูชมรมวิ่งในโลกตะวันตก อย่างเช่น ในนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส หรือฮาวาย พวกเขาดูจริงจังมาก พวกเขาบอกว่าสบายๆ เป็นกันเอง แต่แบรนดิ้งสำคัญ เราจึงอยากได้อะไรที่ผู้คนจะรู้สึกเชื่อมโยงได้

 

Sabai Run Club

 

คุณรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้คลับของคุณใหญ่ที่สุดในเอเชีย 

 

Steve Lim: อย่างไม่เป็นทางการนะครับ ผมคิดว่าการอยู่ในวงการชมรมวิ่ง คุณต้องเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นรอบโลกด้วย ต้องดูเทรนด์ในอเมริกาหรือออสเตรเลีย และต้องดูว่ามีชมรมวิ่งอะไรบ้างในไทย ในกรุงเทพฯ และในเอเชีย

 

ผมใช้เวลาออนไลน์มากในการค้นคว้าเกี่ยวกับชมรมวิ่งอื่นๆ ในเอเชียและทั่วโลก ภายใน 1 เดือนเราก็กลายเป็นชมรมวิ่งที่ใหญ่ที่สุดในไทย ใน 3 เดือนเรามีคนมาวิ่งแต่ละสัปดาห์ 500-600 คน ผมไม่เห็นชุมชนอื่นในเอเชียที่เป็นแบบนี้ ตามความรู้ของผม เราเป็นชมรมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และน่าจะเป็น 1 ใน 10 หรืออาจจะ 5 อันดับแรกของโลก

 

ที่แน่ๆ คือเราชอบที่คุณใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับคนอื่นๆ 

 

Steve Lim: เราใช้แค่ Instagram เท่านั้น ตอนแรกเป็นแค่เพื่อนและเพื่อนของเพื่อน มีคนชวนเพื่อนๆ มา การเติบโตเป็นไปอย่างออร์แกนิก เราไม่เชื่อในการโปรโมตหรือสปอนเซอร์แบบคลับวิ่งอื่นๆ ในกรุงเทพฯ เราเชื่อว่าทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างธรรมชาติ เพราะเราให้คุณค่ากับการรวมคนที่จริงใจ ไม่ใช่การโพสต์สปอนเซอร์ ผู้คนจึงสัมผัสได้ถึงความจริงใจในสิ่งที่เราทำ

 

ตอนนี้เราโตเร็วมากจนต้องหยุดโพสต์วิดีโอใน Instagram Reels ไป 3 เดือนแล้ว เพราะมันไวรัลมากเกินไป เราต้องการเติบโตในอัตราที่เหมาะสม เพราะถ้าโตเร็วเกินไป คุณภาพของการวิ่งและผู้คนอาจควบคุมได้ยาก ส่วนใหญ่คนที่มาวิ่งจะโพสต์ในโซเชียลมีเดียของพวกเขา เราแค่แชร์เท่านั้น

 

Sabai Run Club

 

อยากรู้แผนการในอนาคตของ Sabai Run Club 

 

Steve Lim: สำหรับเรา การให้ความสำคัญกับคอมมูนิตี้มาเป็นอันดับแรกเสมอ คนทำให้ Sabai เป็น Sabai Run เราฟังเสียงของคอมมูนิตี้ เมื่อคนอยากเห็นอะไรที่แตกต่าง เราก็ปรับตัวเพื่อพวกเขา เช่น ตอนเริ่มต้นเรามีกลุ่มเดินและกลุ่มวิ่งช้า แต่เมื่อชุมชนต้องการวิ่งเร็วขึ้น เราก็เพิ่มกลุ่มความเร็วให้ใหญ่ขึ้น

 

สิ่งที่เราอยากเห็นคือผู้คนได้เข้าสังคม พบปะกัน และเริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เราวางแผนจะขยับไปสู่กิจกรรมสุขภาพด้านอื่นๆ มากขึ้น อาจจะทำสมาธิ แช่น้ำแข็ง อะไรทำนองนี้ แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะเติบโตเร็วเกินไป ผมคิดว่าถ้าสัปดาห์หน้ามีคน 12 คน เราคงทำอะไรแบบนั้นได้ แต่กลายเป็นว่าสัปดาห์ถัดมามีคน 50, 60, 80 คน เราจึงต้องโฟกัสที่การวิ่งอย่างเดียว

 

ในอนาคตเราอยากจัดกิจกรรมเพิ่มเติมและยังคงรับฟังชุมชนว่าอยากทำอะไร นอกจากนี้เรายังมีความร่วมมือกับ Peaches Active ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ชุดออกกำลังกายที่ใหญ่ที่สุดของไทย พวกเขาเห็นวิสัยทัศน์ของเราและอยากช่วยพัฒนาคลับนี้ในประเทศไทย เราเลยจะมีไลน์เสื้อผ้าสำหรับใส่ออกกำลังกายกับเขาด้วย

 

 

มีอะไรอยากฝากถึงคนที่อยากมาวิ่งแต่ยังไม่กล้าไหม  

Steve Lim: อยากให้ลองมาสักครั้ง ครั้งแรกที่มาจะรู้สึกดีมาก อบอุ่น เรามีคอมมูนิตี้สำหรับทุกคน และหลายคนมาคนเดียว บางคนมาแล้วได้เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งแต่สมัยประถม มัธยม หรือเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่อังกฤษ มีคนกลับมาทุกสัปดาห์ แสดงว่าเรากำลังทำอะไรบางอย่างถูกต้อง ลองมาดูสักครั้ง รับรองว่าคุณจะไม่เสียใจ

 

The post Sabai Run Club คอมมูนิตี้ที่เริ่มจาก 3 คนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 เคล็ดลับสำหรับนักเทนนิสมือใหม่จาก แทมมี่ อดีตนักเทนนิสทีมชาติไทย https://thestandard.co/life/tennis-tips-beginners-tammy-thai-star Wed, 20 Nov 2024 13:15:19 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1010927

สำหรับคนที่ชอบออกกำลังกายและกีฬาเทนนิส น้อยคนที่จะไม่รู […]

The post 3 เคล็ดลับสำหรับนักเทนนิสมือใหม่จาก แทมมี่ อดีตนักเทนนิสทีมชาติไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

สำหรับคนที่ชอบออกกำลังกายและกีฬาเทนนิส น้อยคนที่จะไม่รู้จัก แทมมี่-แทมมารีน ธนสุกาญจน์ อดีตนักเทนนิสหญิงมือ 1 ของไทย ที่ตอนนี้ผันตัวไปเป็นโค้ชสอนเทนนิส พร้อมเปิดสถาบันสอนเทนนิสในชื่อ Tamarine Tennis Academy 

 

ดังนั้นเมื่อเรามีโอกาสได้ร่วมคลาสวิธีเล่นเทนนิสสำหรับมือใหม่ ‘Functional Tennis for Ladies with Coach Tammy’ ที่ Garmin Thailand จัดขึ้น พร้อมให้ทดลองใช้สมาร์ทวอทช์สำหรับออกกำลังกายรุ่นใหม่อย่าง Garmin Lily 2 Active เราเลยได้พบกับโค้ชแทมมี่ที่วันนี้มาในฐานะโค้ชพิเศษของงาน เลยขอใช้โอกาสนี้ถามโค้ชแทมมี่ถึงเคล็ดลับ 3 ประการ สำหรับคนที่อยากตีเทนนิสให้เก่งขึ้นมาฝากกัน

 

  1. ใช้ใจนำ

“อย่างแรกเลย ต้องมีใจรักจริงๆ เพราะเทนนิสเป็นกีฬาที่ท้าทายมาก ต้องใช้ทั้งมือ เท้า และสายตาประสานกัน ถ้าไม่มีใจรักอาจท้อได้ง่ายๆ แต่ถ้าลองเล่นจริงๆ รับรองว่าจะติดใจความสนุกแน่นอน”

 

  1. วินัยต้องมา

“ข้อที่สองคือต้องมีวินัยในการฝึกซ้อม เพราะเทนนิสเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการประสานงานของร่างกายหลายส่วน หรือที่เราเรียกว่า Coordination ยิ่งซ้อมบ่อยเท่าไรก็จะยิ่งพัฒนาฝีมือได้เร็วขึ้นเท่านั้น”

 

 

  1. เล่นให้สนุก 

“และสุดท้าย ต้องสนุกกับการเล่น นี่เป็นเสน่ห์ของเทนนิสเลยค่ะ เพราะเป็นกีฬาที่ต้องเล่นกับผู้อื่น จะ 2 คนหรือ 4 คนก็ได้ นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้เจอเพื่อนใหม่ๆ สร้างความสนุกและมิตรภาพไปพร้อมกัน”

 

ระหว่างการสัมภาษณ์ เราสังเกตเห็น Lily 2 Active บนข้อมือของอดีตนักกีฬาหญิงทีมชาติไทยพอดี เลยถามว่าชอบฟีเจอร์ไหนของสมาร์ทวอชท์รุ่นนี้มากที่สุด ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า

 

“หนึ่งในฟีเจอร์ที่ชอบมากคือ Health Snapshot มันเป็นระบบที่วัดสุขภาพแบบองค์รวม ทำให้เราเห็นภาพรวมว่าร่างกายแข็งแรงแค่ไหน แถมยังวัดระดับความเครียดได้ด้วย ซึ่งสำคัญมากสำหรับนักกีฬา”

 

 

“อีกอย่างที่ประทับใจคือระบบ Body Battery” เธอกล่าวต่อ “มันเหมือนมีที่ปรึกษาส่วนตัวบนข้อมือเลยค่ะ บอกได้ว่าร่างกายเรามีพลังงานเหลือเท่าไร เช่น ถ้าดูแล้วมีพลังงาน 80% ก็แปลว่าวันนี้เรายังซ้อมได้อีก แต่ถ้าต่ำกว่านั้น อาจต้องพักให้มากขึ้น ช่วยให้วางแผนการซ้อมได้แม่นยำขึ้นมาก” แทมมี่เล่าให้ฟัง 

 

สำหรับผู้ที่สนใจเริ่มต้นเล่นเทนนิส หวังว่าคำแนะนำดีๆ จากโค้ชแทมมี่จะเป็นแรงบันดาลใจดีๆ ให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ และอย่าลืมว่าความสำเร็จในกีฬาชนิดนี้ เริ่มต้นจากใจรัก วินัยในการฝึกซ้อม และความสนุกที่ได้แบ่งปันกับผู้อื่น

 

ภาพ: Garmin Thailand

 

The post 3 เคล็ดลับสำหรับนักเทนนิสมือใหม่จาก แทมมี่ อดีตนักเทนนิสทีมชาติไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อ Swoosh ไม่ได้ครองใจนักวิ่งสายเท่อีกต่อไป ส่อง New Wave แบรนด์วิ่งที่กำลังมาแรงในปีนี้ https://thestandard.co/life/new-running-brands-trend Tue, 19 Nov 2024 10:22:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1010480 นักวิ่ง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วงการกีฬาโดยเฉพาะซีนนักวิ่งเกิดก […]

The post เมื่อ Swoosh ไม่ได้ครองใจนักวิ่งสายเท่อีกต่อไป ส่อง New Wave แบรนด์วิ่งที่กำลังมาแรงในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิ่ง

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วงการกีฬาโดยเฉพาะซีนนักวิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากที่เคยมีเพียงไม่กี่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ครองตลาด วันนี้เราเห็นการผุดขึ้นของแบรนด์สปอร์ตน้องใหม่ ที่แบรนด์เหล่านี้มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยและแนวคิดที่สดใหม่ ไม่ค่อยง้อกระแสหลัก จะเรียกว่า Niche หรืออินดี้ก็คงไม่ผิดนัก

 

บวกกับหลายคนเริ่มหันมาให้ความสนใจแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สะท้อนไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์การใช้งานได้ดีกว่า ซึ่งเรามองว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่กระแสชั่วครู่ เห็นได้ชัดจากหลายแบรนด์ที่ก่อนหน้านี้เคยดังในกลุ่มแบบเงียบๆ อย่าง Satisfy Running ที่ล่าสุดรองเท้าที่พวกเขาทำร่วมกับ HOKA แทบทุกดรอป Sold Out ในเวลาอันรวดเร็วแม้แต่ในเมืองไทย หรือแบรนด์เล็กๆ ที่ไม่มีหน้าร้านอย่าง Minted New York ล่าสุดทำรองเท้าไลฟ์สไตล์และรองเท้าวิ่งร่วมกับ Saucony ก็ขายหมดทั่วโลกในเวลาอันสั้นเช่นกัน นี่ยังไม่รวมการที่หลายๆ แบรนด์ใหญ่หันมาทำคอลลาบอเรชันกับคอมมูนิตี้นักวิ่งระดับท้องถิ่น หรือแบรนด์วิ่งอินดี้ที่หลังๆ สินค้าเหล่านี้จะสร้างเสียงฮือฮาได้มากกว่ารองเท้ารุ่นใหม่ของตัวเองที่ปล่อยออกมาด้วยซ้ำ 

 

เหล่านี้ทำให้เราพอจับเทรนด์และมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มนักวิ่งยุคใหม่ว่า พวกเขาต้องการบางอย่างที่มากกว่าสิ่งที่แบรนด์ดังมอบให้ พวกเขาต้องการแบรนด์ที่เข้าใจ ใส่ใจในทุกรายละเอียด และที่สำคัญคือต้องถูกจริตกับตัวเองมากที่สุด รวมถึงอีกหนึ่งสิ่งที่สัมผัสได้คือ การใส่เสื้อผ้าแบรนด์ที่ไม่แมสทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นคอมมูนิตี้กลายๆ เวลาเจอนักวิ่งที่ใช้ยี่ห้อเดียวกันมันให้ความรู้สึกเหมือนเราเจอ Tribe เดียวกัน

 

แน่นอนว่าแบรนด์เหล่านี้ไม่สามารถมาแทนที่แบรนด์ดังที่มีความพร้อมมากกว่าทั้งเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย ที่อย่างไรก็ต้องเป็นเจ้าตลาด แต่อย่างน้อยแบรนด์เหล่านี้ก็เข้ามาสร้างสีสันให้กับนักวิ่งได้ดี ยิ่งเรามีตัวเลือกมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งดีต่อผู้บริโภคมากขึ้นเท่านั้น เพราะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นหมายถึงนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่จะถูกพัฒนาต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นการส่งเสริมให้แต่ละแบรนด์ต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีความต้องการหลากหลายมากขึ้น

 

และนี่คือแบรนด์วิ่งหน้าใหม่ที่เราอยากแนะนำให้ทำความรู้จักกัน 

 

Satisfy Running

 

 

แบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสที่ปฏิวัติวงการเสื้อผ้าวิ่งด้วยแนวคิด ‘Peace Through Running’ ที่มองการวิ่งเป็นมากกว่าแค่การแข่งขัน และโดดเด่นด้วยการนำวัสดุไฮเทคมาผสานกับดีไซน์แนวอินดี้พังก์ เช่น เนื้อผ้าที่ใช้เทคโนโลยี Justice™ ที่มีน้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี หรือ MothTech™ การวางแพตเทิร์น ‘รู’ บนตัวเสื้อ เพื่อระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้แบรนด์ยังเด่นเรื่องกราฟิกและสโลแกนที่สื่อถึงวัฒนธรรมใต้ดินและดนตรีพังก์ร็อก มีทั้งเสื้อวิ่งที่ทำจากผ้าคอตตอน เสื้อวิ่งตัดแขนเซอร์ๆ ผ้าพันคอ Bandana ฯลฯ เหล่านี้สร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแบรนด์วิ่งทั่วไป ล่าสุดร่วมงานทั้งกับ HOKA และ Oakley 

 

Tracksmith

 

 

แบรนด์วิ่งจากบอสตันที่นำเสนอความคลาสสิกแบบอเมริกันผสมผสานกับคุณภาพระดับพรีเมียม Tracksmith โดดเด่นด้วยการนำเอาประวัติศาสตร์การวิ่งของนิวอิงแลนด์มาถ่ายทอดผ่านเสื้อผ้าที่ทั้งสวยงามและฟังก์ชันครบครัน ด้วยการใช้วัสดุระดับพรีเมียมและการตัดเย็บที่ประณีต ดีไซน์สวย ไอเท็มที่เห็นบ่อยๆ คือเสื้อวิ่งพาดแถบสีสไตล์วินเทจและโลโก้กระต่าย ครั้งหนึ่งเคยร่วมงานกับ PUMA ทำคอลเล็กชันพิเศษที่ขายหมดอย่างรวดเร็ว 

 

Minted New York

 

นักวิ่ง

 

แบรนด์ที่เกิดจากประสบการณ์ตรงของสองพี่น้องนักวิ่งในมหานครนิวยอร์ก Minted New York เข้าใจความท้าทายของการวิ่งในเมืองใหญ่ จึงออกแบบเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันการใช้งานและความสวยงาม เช่น กางเกงวิ่งที่มีกระเป๋าซิปกันน้ำสำหรับมือถือและกุญแจ เสื้อที่มีแถบสะท้อนแสงแบบมินิมัล หมวกกันแดด ฯลฯ เน้นสไตล์มากกว่านวัตกรรม สินค้าผลิตมาในจำนวนจำกัด และเก่งเรื่องการทำคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ เรียกได้ว่าของเข้าเมื่อไรหมดเร็วเมื่อนั้น  

 

SOAR Running

 

 

แบรนด์จากลอนดอนที่ปฏิวัติวงการเสื้อผ้าวิ่งด้วยการวิจัยและพัฒนาเนื้อผ้านาโนเทคโนโลยีระดับสูง SOAR Running ใช้เวลากว่า 2 ปีพัฒนาเสื้อผ้าแต่ละชิ้น โดยร่วมมือกับนักวิ่งระดับอีลีตและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอ ผลลัพธ์คือคอลเล็กชันที่รวมทั้งชุดซ้อมและชุดแข่งที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม และมีดีเทลที่ตอบโจทย์นักวิ่งอย่างจริงจัง เช่น ตำแหน่งการวางซิปที่ไม่รบกวนการเคลื่อนไหว หรือระบบจัดการเหงื่อที่ทันสมัยที่สุดในวงการ

 

SAYSKY

 

 

แบรนด์จากโคเปนเฮเกนที่นำเสนอเสื้อผ้าวิ่งที่ผสมความเรียบง่ายแบบสแกนดิเนเวีย เช่น ชุดวิ่งสีที่เรียบๆ ทั้งเสื้อและกางเกง แต่นานๆ ทีก็จะมีลายกราฟิกที่แปลกตากว่าแบรนด์วิ่งอื่นๆ โผล่มาบ้าง ถือเป็นแบรนด์วิ่งที่พรีเมียม คัตติ้งดี ใส่แล้วสวย 

 

District Vision

 

นักวิ่ง

 

เริ่มต้นจากความต้องการสร้างแว่นตากีฬาที่ผสานความสวยงามเข้ากับฟังก์ชันการใช้งานระดับสูง District Vision พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่นำเสนอแนวคิด Mindful Athletics ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นแว่นตาที่ใช้เลนส์ Japanese Engineering-Grade ที่ทนทานเป็นพิเศษ หรือเสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติผสมนวัตกรรม นอกจากนี้ยังจัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมที่ผสานการฝึกสมาธิเข้ากับการวิ่ง สร้างชุมชนของนักกีฬาที่ใส่ใจทั้งสุขภาพกายและจิตใจ

 

ภาพ: Courtesy of Brands

The post เมื่อ Swoosh ไม่ได้ครองใจนักวิ่งสายเท่อีกต่อไป ส่อง New Wave แบรนด์วิ่งที่กำลังมาแรงในปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
L’Oréal จับมือพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จัดแสดงนิทรรศการความงามข้ามกาลเวลา https://thestandard.co/life/loreal-de-toutes-beautes Tue, 12 Nov 2024 04:54:30 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1007639

L’Oréal แบรนด์ความงามชั้นนำระดับโลก ร่วมกับพิพิธภัณฑ์ลู […]

The post L’Oréal จับมือพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จัดแสดงนิทรรศการความงามข้ามกาลเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>

L’Oréal แบรนด์ความงามชั้นนำระดับโลก ร่วมกับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เตรียมเปิดให้ชมผลงานศิลปะพิเศษ De Toutes Beautés! ซึ่งรวบรวมผลงานศิลปะ 108 ชิ้น โดย 44 ชิ้นเป็นผลงานชิ้นเอก เพื่อโชว์ถึงวิวัฒนาการความงามย้อนหลังยาวนาน 10,000 ปี ทั้งจากวัฒนธรรมกรีซ อิรัก และอิตาเลียน

 

นิทรรศการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Blanca Juti และ Nicolas Hieronimus จาก L’Oréal กับ Laurence des Cars จากพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ โดยมี Delphine Urbach ร่วมคัดเลือกผลงาน Juti กล่าวว่า “ความงามนั้นสำคัญต่อมนุษยชาติตั้งแต่ยุคโฮโมอีเรกตัสถึงเมตาเวิร์ส โดยเฉพาะในช่วงเวลายากลำบาก ความงามยิ่งมีความสำคัญต่อความมั่นใจ ความงามเป็นสิ่งจำเป็น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง”

 

ผลงานที่เป็นไฮไลต์ประกอบด้วย

 

  • ช้อนรูปนักว่ายน้ำถือเป็ด ทำจากงาช้างและไม้ อายุราวปี 1390-1352 ก่อนคริสตกาล (ใช้ตักเครื่องสำอาง)
  • ประติมากรรมกษัตริย์ซาร์กอนที่ 2 จากอิรัก แสดงให้เห็นทรงผมและเครื่องประดับอันวิจิตร
  • ภาพเจ้าหญิงตระกูลเอสเต จากศตวรรษที่ 15 สะท้อนแฟชั่นการโกนผมบางส่วนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์
  • ภาพ Woman with a Mirror โดย Titian วาดราวปี 1515 แสดงภาพผู้หญิงส่องกระจก คล้ายการถ่ายเซลฟีในยุคโบราณ

 

นิทรรศการจะจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน – มีนาคม 2027 และมีแอปพลิเคชันนำชมนิทรรศการและ QR code ให้เข้าถึงข้อมูลด้วย โดยการชมผลงานทั้งหมดอาจใช้เวลาถึง 2 วัน นอกจากคุณค่าทางศิลปะ นิทรรศการยังสะท้อนความสำคัญของอุตสาหกรรมความงามที่เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 2 ของฝรั่งเศส รองจากอุตสาหกรรมการบินด้วย

 

อ้างอิง:

The post L’Oréal จับมือพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์จัดแสดงนิทรรศการความงามข้ามกาลเวลา appeared first on THE STANDARD.

]]>
รีวิว New Balance Fresh Foam X 1080v14 รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ 2024 นุ่มสบาย วิ่ง 10 กิโลเมตรเอาอยู่ https://thestandard.co/life/new-balance-fresh-foam-x-1080v14 Sun, 10 Nov 2024 12:30:16 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1006841 New Balance Fresh Foam X 1080v14

ถ้าคุณกำลังมองหารองเท้าวิ่งคู่ใหม่ที่ใส่สบาย วิ่งได้ทุก […]

The post รีวิว New Balance Fresh Foam X 1080v14 รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ 2024 นุ่มสบาย วิ่ง 10 กิโลเมตรเอาอยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
New Balance Fresh Foam X 1080v14

ถ้าคุณกำลังมองหารองเท้าวิ่งคู่ใหม่ที่ใส่สบาย วิ่งได้ทุกวัน และเป็นรองเท้าที่เหมาะกับนักวิ่งทุกระดับ เราขอแนะนำ New Balance Fresh Foam X 1080v14 รองเท้าวิ่งรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับการอัปเกรดในทุกด้าน รุ่นนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรองเท้าวิ่งที่ใส่ได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ นักวิ่งเริ่มต้น หรือแม้แต่การใส่เที่ยวเล่นก็ยังเอาอยู่

 

จุดเด่นที่ทำให้คุณต้องลอง

Fresh Foam X 1080v14 โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Fresh Foam X ที่ได้รับการพัฒนาให้นุ่มขึ้นและเด้งดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน แต่ยังคงความทนทานเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม พื้นรองเท้าถูกออกแบบใหม่ให้มีความโค้งมนที่ลงตัว ช่วยให้การก้าวเท้าแต่ละครั้งราบรื่นและเป็นธรรมชาติ ในขณะที่อัปเปอร์ใช้วัสดุ Hypoknit ที่ระบายอากาศได้ดี ยืดหยุ่น และกระชับเท้าได้พอดี ทำให้ใส่สบาย นุ่มเท้า อีกสิ่งที่ชอบคือหน้าตา เราว่ารองเท้าวิ่งคู่นี้สามารถเป็นรองเท้าใส่เดินเที่ยวได้ด้วย โดยเฉพาะสีดำ-ขาว ที่เข้ากับชุดลำลองได้เป็นอย่างดี

 

 

เทียบกับคู่แข่งเป็นอย่างไรบ้าง?

 

New Balance Fresh Foam X 1080v14

 

เมื่อเทียบกับรองเท้าวิ่งในระดับราคาและประเภทเดียวกันอย่าง Nike Invincible 3 และ ASICS GEL-NIMBUS 25 เราพบว่า Fresh Foam X 1080v14 มีจุดเด่นที่น่าสนใจ Nike Invincible 3 อาจให้ความรู้สึกเด้งดีดที่มากกว่า แต่ก็มีน้ำหนักมากกว่าและราคาที่สูงกว่า ส่วน ASICS GEL-NIMBUS 25 แม้จะนุ่มสบายไม่แพ้กัน แต่ดีไซน์จะไม่อเนกประสงค์เท่า 1080v14 เราว่า 1080v14 จึงเหมือนเป็นจุดกึ่งกลางที่ลงตัว ให้ทั้งความนุ่มสบายและความคล่องตัวในการวิ่ง

 

ทดลองใส่วิ่งจริงแล้วเป็นอย่างไร?

 

 

หลังจากที่เราได้ทดลองใส่วิ่งจริงในหลากหลายสถานการณ์ ทั้งวิ่งระยะสั้น 5 กิโลเมตร และลองวิ่งระยะกลางที่ 10-15 กิโลเมตร พบว่า Fresh Foam X 1080v14 ทำหน้าที่ได้ดีเรื่องความนุ่ม คล่องตัว และตอบสนองดี ไม่รู้สึกเมื่อยล้าที่เท้ามากนัก ใส่วิ่งนุ่มๆ เด้งเล็กน้อยกำลังดีในวันที่ไม่ได้อยากรีบเร่งมาก ซึ่งถ้าเป็นนักวิ่งหน้าใหม่หรือวิ่งแนวแคชวลรันจะเหมาะมากกับคู่นี้ แต่สำหรับนักวิ่งที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการแข่งขัน อาจจะต้องมองหารองเท้าที่เบาและมอบแรงส่งมากกว่านี้

 

 

New Balance Fresh Foam X 1080v14 ราคา 5,900 บาท วางขายที่ New Balance และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

 

ภาพ: ภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล, New Balance

The post รีวิว New Balance Fresh Foam X 1080v14 รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ 2024 นุ่มสบาย วิ่ง 10 กิโลเมตรเอาอยู่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุ่งก็แก่อย่างมีคุณภาพได้! วิจัยชี้ออกกำลังกายน้อยลดความเสี่ยงสมองเสื่อมได้พอๆ กับออกกำลังกายเป็นประจำ https://thestandard.co/life/light-exercise-reduces-dementia-risk-study Mon, 04 Nov 2024 00:32:43 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1003840 ออกกำลังกาย

ยุคที่เราต่างทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลัง ไหนจะต้องแบกแล็ปท็ […]

The post ยุ่งก็แก่อย่างมีคุณภาพได้! วิจัยชี้ออกกำลังกายน้อยลดความเสี่ยงสมองเสื่อมได้พอๆ กับออกกำลังกายเป็นประจำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออกกำลังกาย

ยุคที่เราต่างทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลัง ไหนจะต้องแบกแล็ปท็อปกลับไปทำงานต่อที่บ้าน ไหนจะเจอชั่วโมงรถติด แค่คิดก็ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไหนไปออกกำลังกาย

 

ล่าสุดจะเรียกว่าเป็นข่าวดีที่มนุษย์หัวฟูฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาก็ได้ เพราะผลวิจัยจาก British Journal of Sports Medicine เผยว่าคนที่ออกกำลังกายแค่ช่วงวันหยุดก็สามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะ สมองเสื่อม ได้พอๆ กับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

 

ผลวิจัยนี้เกิดจากการศึกษากลุ่มคนเมืองเม็กซิโกทั้งหมด 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย (1-2 วันต่อสัปดาห์) ซึ่งในการวิจัยนี้ได้รับการนิยามว่าเป็นกลุ่มที่ออกกำลังกายช่วงวันหยุด, กลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำ (3 วันขึ้นไปต่อสัปดาห์), กลุ่มที่ออกกำลังกายทั้ง 2 รูปแบบ และกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเลย โดยแบ่งการศึกษาเป็น 2 ครั้ง คือ ช่วงปี 1998-2024 และ 2015-2019

 

ซึ่งการศึกษาในครั้งที่ 2 ใช้ Mini Mental State Examination (MMSE) หรือแบบประเมินภาวะ สมองเสื่อม มาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือ โดยมีจุดตัดคะแนนอยู่ที่ 22 จาก 30 คะแนน

 

ผลสำรวจจาก 10,033 คนที่มีอายุเฉลี่ย 51 ปี นั้นพบว่ามีผู้ไม่ออกกำลังกาย 7,945 คน, ผู้ที่ออกกำลังกายช่วงวันหยุด 726 คน, ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ 1,362 คน และผู้ที่ออกกำลังกายทั้ง 2 รูปแบบ 2,088 คน

 

ตลอดระยะเวลา 16 ปีในการติดตามผล นักวิจัยพบว่า 2,400 เคสมีภาวะความรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย หรือ Mild Cognitive Impairment (MCI) โดยแบ่งเป็น 26% จากกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกาย, 14% จากกลุ่มที่ออกกำลังกายเฉพาะวันหยุด และ 18.5% จากกลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

 

เมื่อนำปัจจัยเรื่องอายุ, การสูบบุหรี่, การนอน, การกินดื่ม มาคำนวณด้วยพบว่าเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ออกกำลังกายแล้ว กลุ่มที่ออกกำลังกายเฉพาะวันหยุดมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะ MCI น้อยกว่า 25% ส่วนกลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีความเสี่ยงน้อยกว่า 11% ในขณะกลุ่มที่ออกกำลังกายทั้ง 2 รูปแบบมีความเสี่ยงน้อยกว่า 16%

 

หลังการประเมินด้วย MMSE พบว่า 2,856 เคสมีภาวะ MCI ซึ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายแล้ว กลุ่มที่ออกกำลังกายเฉพาะวันหยุดมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ MCI น้อยกว่า 13% ในขณะที่กลุ่มที่ออกกำลังกายเป็นประจำและกลุ่มที่ออกกำลังกายทั้ง 2 รูปแบบอยู่ที่ 12%

 

จากการศึกษาทั้งหมดนี้นักวิจัยสรุปได้ว่าเราสามารถลดเคสที่มีภาวะ MCI ได้ถึง 10% หากกลุ่มคนวัยกลางคนหันมาออกกำลังกายอย่างน้อย 1-2 ครั้งหรือมากกว่านั้นต่อสัปดาห์ อีกทั้งเป็นการชี้ให้เห็นว่าการออกกำลังกายน้อยก็ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะ MCI ได้

 

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงอีกกรณีศึกษาเท่านั้น ยังไม่ได้มีเครื่องการันตีว่าการออกกำลังกายจะสามารถรักษาอาการสมองเสื่อมได้ทั้งหมด แต่เชื่อเถอะว่าการขยับตัววันละนิดก็ยังดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย จริงไหม?

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง:

The post ยุ่งก็แก่อย่างมีคุณภาพได้! วิจัยชี้ออกกำลังกายน้อยลดความเสี่ยงสมองเสื่อมได้พอๆ กับออกกำลังกายเป็นประจำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชี้เป้าเลือก ASICS คู่ไหนดี? SUPERBLAST 2 vs. METASPEED EDGE PARIS https://thestandard.co/life/asics-superblast-2-vs-metaspeed-edge-paris Fri, 11 Oct 2024 14:45:06 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=995091 SUPERBLAST 2 vs. METASPEED EDGE PARIS

ไม่ว่าจะคุณจะเป็นแฟนขาประจำของ ASICS อยู่แล้ว หรือกำลัง […]

The post ชี้เป้าเลือก ASICS คู่ไหนดี? SUPERBLAST 2 vs. METASPEED EDGE PARIS appeared first on THE STANDARD.

]]>
SUPERBLAST 2 vs. METASPEED EDGE PARIS

ไม่ว่าจะคุณจะเป็นแฟนขาประจำของ ASICS อยู่แล้ว หรือกำลังคิดๆ ว่าอยากจะหารองเท้าวิ่งแบรนด์นี้มาลองสักคู่ ขอบอกว่าตอนนี้คุณมาถูกทางแล้ว เพราะวันนี้เราจะมาเจาะ 2 รุ่นเด็ดของรองเท้าวิ่งค่าย ASICS ที่เหล่านักวิ่งตัวจริงต้องมีติดตู้ นั่นก็คือ SUPERBLAST 2 รุ่นใหม่ล่าสุด และ METASPEED EDGE PARIS ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งสองรุ่นนี้เปิดตัวในปีเดียวกันและได้รับเสียงชื่นชมทั้งคู่ แต่ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าจะเลือกรุ่นไหนดี และเราจำเป็นต้องมีสองคู่เลยไหม งั้นเราไปดูกันเลยดีว่าแต่ละรุ่นมีอะไรที่น่าสนใจและเหมาะกับการใส่ตอนไหนบ้าง

 

ASICS SUPERBLAST 2: คู่หูของนักวิ่งที่ต้องการความสบายสูง

 

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบวิ่งมาราธอนหรือต้องซ้อมวิ่งระยะไกลเป็นประจำ และอยากได้รองเท้าวิ่งที่ใส่สบาย SUPERBLAST 2 คือรองเท้าที่เหมาะกับคุณมากที่สุด รองเท้ารุ่นนี้มาพร้อมกับ โฟม FF BLAST TURBO+ ที่ช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ดีและมอบแรงเด้งที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการวิ่ง และโฟม FF BLAST+ ที่อยู่ชั้นล่างเพื่อเพิ่มความดีด มั่นคง และทนทาน พื้นรองเท้าค่อนข้างสูงให้ความนุ่ม ซัพพอร์ตสูงและตอบสนองได้ดีเยี่ยม ใส่แล้วเด้งดีดลื่นไหล แม้ว่าจะไม่มีแผ่นคาร์บอนก็ตาม ทำให้คุณรู้สึกสบายตลอดการวิ่ง จึงเหมาะสำหรับการวิ่งไกลๆ ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมมาราธอน วิ่ง Easy Run ใส่วิ่งชิลๆ เพื่อสุขภาพ คู่นี้ก็ทำได้ดี หรือจะใส่วิ่งวันแข่งจริงก็ได้ ถือเป็นรองเท้าวิ่งที่มีความอเนกประสงค์สูง

 

 

ASICS METASPEED EDGE PARIS: อาวุธลับของนักวิ่งที่เน้นความเร็ว

 

 

สำหรับนักวิ่งที่ชอบความเร็วและการแข่งขัน METASPEED EDGE PARIS คือรองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับคุณ รุ่นนี้เหมาะกับนักวิ่งที่ใช้เทคนิคการเพิ่มความถี่ของก้าว (Cadence) โดยเน้นการเพิ่มจำนวนก้าวเพื่อทำความเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต่างจากคู่ด้านบนคือคู่นี้มีแผ่นคาร์บอน (Carbon Plate) ที่ซ่อนอยู่ในพื้นรองเท้าใต้แผ่นโฟม ช่วยส่งแรงให้เราซอยเท้าได้ไวขึ้น เพิ่มแรงดีดให้คุณวิ่งได้เร็วขึ้น มีโฟม FF BLAST TURBO+ เหมือนกับ SUPERBLAST 2 ซึ่งเบา ตอบสนองเร็ว ใส่แล้วสบายเท้าเมื่อเทียบกับรองเท้าเรซซิงค่ายอื่นๆ มีดีไซน์คล่องตัวไม่เทอะทะ เหมาะกับการวิ่งที่ต้องใช้ความเร็วสูง เช่น ซ้อมวิ่ง Interval หรือ Tempo ใส่ซ้อมหรือแข่งระยะ 5K หรือ 10K รุ่นนี้จะทำหน้าที่ได้ดี เพราะใส่วิ่งสนุก รวมถึงการใส่ลงมาราธอน เน้นการทำเวลาให้ได้ New PB ก็ตอบโจทย์เช่นกัน

 

 

สรุปแล้วจะเลือกคู่ไหนดี?

 

หลังจากใส่วิ่งจริง เราสรุปได้ว่าทั้ง SUPERBLAST 2 และ METASPEED EDGE PARIS ต่างก็เป็นรองเท้าวิ่งที่ดีจาก ASICS แต่เหมาะกับสไตล์การวิ่งและจุดประสงค์ที่ต่างกัน ง่ายๆ คือ SUPERBLAST 2 เหมาะกับนักวิ่งตั้งแต่ระดับเริ่มต้นที่ต้องการความนุ่มสบายในการวิ่งไกลๆ ใส่วิ่งสบายๆ ถือเป็นรองเท้าที่ใส่ซ้อมได้ดีมาก ส่วน METASPEED EDGE PARIS จะให้ความรู้สึกที่พร้อมพุ่งทะยาน รีดเค้นความเร็วของเราออกมา ใส่แล้วเหนื่อยแฮกแน่ๆ แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่สนุกเท้า อยากจะซอยเท้าวิ่งให้เร็วขึ้นๆ เหมาะกับนักวิ่งที่ฝึกซ้อมมาแล้วประมาณหนึ่ง 

แต่ไม่ว่าคุณจะถูกใจคู่ไหน เราแนะนำให้ลองสวมใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะแต่ละคนมีสรีระและความรู้สึกที่ชอบต่างกัน การเลือกซื้อรองเท้าจึงขึ้นอยู่กับความต้องการและสไตล์การวิ่งของแต่ละคน

 

แต่ถ้าใครจะซื้อสองคู่สำหรับการเป็นรองเท้าใส่ซ้อมด้วย SUPERBLAST 2 และใส่แข่งจริงด้วย METASPEED EDGE PARIS ก็จะถือว่าลงตัวเลย แต่ราคานั้นถือว่าแรงด้วยกันทั้งคู่เพราะ SUPERBLAST 2 อยู่ที่ 7,700 บาท ส่วน METASPEED EDGE PARIS ราคา 8,500 บาท วางขายแล้วที่ร้านค้าของ ASICS

The post ชี้เป้าเลือก ASICS คู่ไหนดี? SUPERBLAST 2 vs. METASPEED EDGE PARIS appeared first on THE STANDARD.

]]>