ทุกวันนี้เราต่างมองหาวิถีชีวิตที่จะส่งผลให้ชีวิตของเราย […]
The post รู้จักปรัชญา Hara Hachi Bu มีสุขภาพดีและอายุยืนแบบชาวโอกินาวา ‘กินอิ่มแค่ 80% พอ’ appeared first on THE STANDARD.
]]>ทุกวันนี้เราต่างมองหาวิถีชีวิตที่จะส่งผลให้ชีวิตของเรายืนยาวอย่างมีคุณภาพดีมากขึ้น ‘กฎ 80%’ หรือ ‘Hara Hachi Bu’ (ฮารา ฮาจิ บุ) ซึ่งเป็นปรัชญาการกินของชาวโอกินาวา จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งใน Blue Zone หรือพื้นที่ที่ประชากรมีอายุยืนยาวที่สุดในโลก จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ปรัชญานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดปริมาณอาหาร แต่เป็นแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการรับฟังร่างกายและการสร้างสมดุลในการกินเพื่ออยู่อย่างแท้จริง
THE STANDARD LIFE จึงขอพาผู้อ่านทุกคนไปรู้จักกับปรัชญา Hara Hachi Bu ว่ามันคืออะไร และทำอย่างไร? ว่าแต่คุณล่ะ พร้อมที่จะลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณแล้วหรือยัง?
Hara Hachi Bu เป็นคำกล่าวของชาวโอกินาวาที่มีความหมายว่า กินให้อิ่มแค่ 80% ของความจุของท้อง หรือหยุดกินเมื่อรู้สึกอิ่มประมาณ 80% ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่ชาวโอกินาวายึดถือมาอย่างยาวนานและส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาเชื่อว่าการกินไม่ให้อิ่มจนเกินไป จะช่วยรักษาสุขภาพที่ดี และส่งผลให้มีชีวิตที่ยืนยาวได้นั่นเอง
แนวคิดเบื้องหลังกฎ 80% นี้ไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆ นะ แต่มันตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำงานของระบบย่อยอาหารและสัญญาณความอิ่มของร่างกายอย่างมีเหตุผลรองรับ
The post รู้จักปรัชญา Hara Hachi Bu มีสุขภาพดีและอายุยืนแบบชาวโอกินาวา ‘กินอิ่มแค่ 80% พอ’ appeared first on THE STANDARD.
]]>เชื่อว่าใครที่ไถ TikTok เป็นประจำคงจะต้องเคยผ่านตากับคอ […]
The post อยากเทสต์ระบบเหมือนคนอื่น แต่ทำไมไม่มีระบบให้เทสต์สักที?! appeared first on THE STANDARD.
]]>เชื่อว่าใครที่ไถ TikTok เป็นประจำคงจะต้องเคยผ่านตากับคอนเทนต์ เทสต์ระบบกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการ #เทสต์ระบบจีน #เทสต์ระบบเกาหลี หรือประเทศอื่นๆ การเทสต์ระบบที่ว่าไม่ใช่ระบบไฟฟ้าหรือเครื่องกลแต่อย่างใด แต่เป็นการสื่อถึง ‘การเดตกับผู้ชาย’ ชนชาตินั้นๆ ต่างหาก
หากลองจิ้มไปตามแฮชแท็กก็จะเจอกับชาว TikTok มากมายที่ออกมาแชร์คลิปเปรียบเทียบชีวิตตัวเองก่อน-หลัง เดตกับผู้ชายชนชาตินั้นๆ โดยใช้ซิงเกิลยอดฮิตอย่าง ‘Jumping Machine’ โดย LBI เป็นเพลงประกอบจนกลายเป็นเทรนด์ไปเรียบร้อย
แน่นอนว่าภาพชีวิตที่ถูกปรนนิบัติราวเจ้าหญิงของกลุ่มคนที่สมหวังกับความรักได้จุดประกายให้เหล่าบรรดาสาวโสดตบเท้าเข้าวงการเทสต์ระบบกันไปติดๆ ไม่ว่าจะเป็นการปัดจากแอปหาคู่หรือบินไปหาถึงถิ่น ซึ่งความเป็นจริงที่คนส่วนใหญ่เจอคือ…‘มันไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น!’
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่จ่ายเงินค่าเน็ตมาเพื่อดูคนอื่นรักกัน เราอยากชวนมาเปิดมุมมองในฐานะคนโสดที่จะเป็นคน ‘ดึงดูดระบบ’ ไม่ต้องออกไปหาเทสต์เองให้เหนื่อยอีกต่อไป!
การโสดคือช่วงเวลาที่คุณจะได้เดตกับตัวเอง ได้รู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง ได้หาว่าความสุขของตัวเองว่าคืออะไร แถมยังมีอิสระใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ
ทรีตมันเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตทุกมิติ ทั้งเรื่องงาน การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาด้านจิตใจที่ทำให้คุณได้เติมเต็มตัวเองอย่างเต็มที่
เคยสังเกตไหมว่าเวลาที่เรามีแพสชันกับอะไรบางอย่าง แววตาของเราจะเปล่งประกาย ใบหน้าของเราจะเต็มไปด้วยความสุข ความกระตือรือร้น นั่นเป็นเสน่ห์ที่ดาเมจไม่เบาเลยนะ
เมื่อค้นเจอแล้วลองดูว่าคุณสามารถต่อยอดกับแพสชันนั้นอย่างไรได้บ้าง บางทีมันอาจจะดึงดูดโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จริงอยู่ที่ภาพการเทสต์ระบบสุดหวานแหววอาจทำให้คุณตัดพ้อกับตัวเองว่าทำไมถึงไม่เจอความรักดีๆ แบบนั้นบ้าง ความเหงาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และเป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้ แต่การอยู่คนเดียวไม่ได้แปลว่าคุณไม่ดีพอ คุณค่าของคุณมาจาก ‘ข้างใน’ ต่างหาก
อีกอย่าง คอนเทนต์เทสต์ระบบที่เราเห็นกันเป็นแค่ไฮไลต์ของความสัมพันธ์ที่ถูกคัดมาแล้วอย่างดี ทุกความสัมพันธ์ล้วนมีปัญหาและอุปสรรคเสมอ เพียงแต่มันอาจไม่ถูกนำเสนอออกมาเท่านั้นเอง
นี่ไม่ใช่การเลือกเยอะหรือเรื่องมาก แต่เป็นการฉลาดเลือกที่จะรอคนที่ใช่ คนที่เห็นคุณค่าในตัวคุณอย่างแท้จริง และพร้อมจะเติบโตไปกับคุณ
การรีบร้อนคว้าใครสักคนเข้ามาในชีวิตจนยอมละเลยสัญญาณ Red Flag มีแต่จะเสียเวลาไปกับความสัมพันธ์ที่ท็อกซิกไปเปล่าๆ
ความรักไม่ใช่การแข่งขัน ไม่ต้องเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับใคร เพราะทุกคนต่างมีช่วงเวลาและจังหวะของตัวเอง ต่อให้ทุ่มจ่ายค่า Subscription ไปทุกแอป แต่ถ้ามันไม่ใช่เวลา มันก็ไม่เจออยู่ดี แต่ถ้ามันใช่เมื่อไร มันอาจจะง่ายขนาดเดินเจอกันในมินิมาร์ทที่แวะประจำก็ได้
เมื่อคุณรักตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ มีความสุขกับตัวเอง มีความมั่นใจในคุณค่าของตัวเอง คุณจะพร้อมที่จะมอบความรักและรับความรักจากผู้อื่น และพลังบวกเหล่านี้แหละที่จะ ‘ดึงดูด’ คนดีๆ เข้ามาในชีวิตคุณเอง
The post อยากเทสต์ระบบเหมือนคนอื่น แต่ทำไมไม่มีระบบให้เทสต์สักที?! appeared first on THE STANDARD.
]]>เมื่อเราพูดถึง ‘Universal Design’ หรือ ‘การออกแบบเพื่อท […]
The post Universal Design ศาสตร์แห่งการออกแบบที่ช่วยให้ทุกเจเนอเรชันอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น appeared first on THE STANDARD.
]]>เมื่อเราพูดถึง ‘Universal Design’ หรือ ‘การออกแบบเพื่อทุกคน’ ภาพแรกที่หลายคนนึกถึงมักเป็นอาคารสาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟ หรือโรงพยาบาล ที่มักออกแบบให้เหมาะกับผู้คนหลากหลายวัย หลากหลายสภาพร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทางลาดสำหรับผู้ใช้วีลแชร์ ปุ่มกดลิฟต์อ่านง่าย หรือป้ายสัญลักษณ์ชัดเจน แต่ความจริงแล้ว แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่สาธารณะเท่านั้น เพราะ ‘บ้าน’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิต ก็สามารถนำหลักการนี้มาปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
Universal Design เป็นแนวคิดในการออกแบบที่เน้นการใช้งานได้จริง สำหรับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยทำงาน ผู้สูงอายุ หรือผู้มีข้อจำกัดทางร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหรือออกแบบแยกเป็นพิเศษ แนวคิดนี้จึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความสะดวก และการเข้าถึงง่าย เช่น พื้นที่ที่ไม่มีระดับ (No-step Entry) มือจับประตูที่เปิดได้ง่าย การเลือกใช้วัสดุป้องกันลื่น หรือแสงสว่างที่เพียงพอในจุดต่างๆ ของบ้าน
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์’ และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราจะมีประชากรสูงวัยในสัดส่วนที่มากขึ้น การออกแบบบ้านจึงต้องมองไกลกว่าความสวยงามหรือดีไซน์ทันสมัย แต่ควรมองถึงความยั่งยืนและการใช้ชีวิตที่สะดวก ปลอดภัย และมีคุณภาพในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ฉะนั้น บ้านที่ออกแบบด้วยแนวคิด Universal Design จะไม่ใช่แค่ ‘สวยงาม’ เท่านั้น แต่ยังเป็นบ้านที่สามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้อยู่อาศัย เช่น บ้านที่ไม่มีธรณีประตูสูงให้สะดุดล้ม พื้นที่ทางเดินกว้างให้สามารถรองรับรถเข็นได้ หรือห้องน้ำที่มีราวจับและพื้นกันลื่น สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นรายละเอียดเล็กน้อย แต่กลับเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้คนในบ้านทุกวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและปลอดภัย
นอกจากนี้ Universal Design ยังช่วยลดความจำเป็นในการปรับปรุงบ้านซ้ำในอนาคต เมื่อผู้อยู่อาศัยมีอายุมากขึ้น หรือเมื่อมีสมาชิกใหม่ในครอบครัว บ้านที่มีการออกแบบเผื่อไว้ตั้งแต่ต้นจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ทั้งในแง่ของการประหยัดค่าใช้จ่าย และการเพิ่มคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง
BAAN KLANG KRUNG และ THE PALAZZO เป็น 2 โครงการ ที่อยู่ใน Majestic Collection เด่นเรื่องการนำแนวคิด Universal Design มาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ เพื่อสร้างบ้านที่รองรับการอยู่อาศัยในระยะยาว และตอบโจทย์ครอบครัวหลากหลายรุ่น ตัวอย่างบ้านที่ออกแบบโดยยึดหลัก Universal Design ว่าแนวคิดนี้สะท้อนอยู่ในรายละเอียดของบ้าน Majestic Collection เป็นอย่างไร
แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองการใช้ชีวิตในปัจจุบัน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในอนาคตของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม
บ้านที่ดีไม่ใช่แค่สวยงามตามแบบสถาปัตยกรรม แต่คือพื้นที่ที่ ‘ใส่ใจ’ และ ‘เข้าใจ’ การใช้ชีวิตในทุกช่วงวัย การนำแนวคิด Universal Design เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบบ้าน จึงเปรียบเสมือนการวางรากฐานให้ชีวิตดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นวันที่เราก้าวเดินอย่างคล่องแคล่ว หรือวันที่ต้องการความช่วยเหลือเล็กน้อยในการเคลื่อนไหว
เมื่อบ้านออกแบบมาเพื่อทุกคน บ้านจึงกลายเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่คือสถานที่ที่พร้อมจะเติบโตไปกับเรา รองรับทั้งความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและการเดินทางของเวลา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น หรือครอบครัวใหญ่ที่มีหลายเจเนอเรชันอยู่ร่วมกัน บ้านที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดเล็กน้อย คือบ้านที่สร้างความสุขได้ในทุกๆ วัน และในทุกๆ วัยอย่างแท้จริง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://apth.ly/j8ww
The post Universal Design ศาสตร์แห่งการออกแบบที่ช่วยให้ทุกเจเนอเรชันอยู่ร่วมกันอย่างราบรื่น appeared first on THE STANDARD.
]]>วันที่ 14 มิถุนายนนี้ คือ ‘Global Wellness Day’ หรือวัน […]
The post 7 อย่างง่ายๆ ที่คุณทำได้ใน 1 วัน เพื่อเปลี่ยนชีวิตให้ดียิ่งขึ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>วันที่ 14 มิถุนายนนี้ คือ ‘Global Wellness Day’ หรือวัน ‘วันสุขภาพโลก’ เราไม่ได้อยากชวนให้คุณลุกขึ้นเปลี่ยนชีวิตทั้งระบบในวันเดียว แต่ชวนให้คุณลอง ‘หยุดพัก’ และใส่ใจตัวเองสักวัน แค่ลองทำสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ ต่อไปนี้ ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่สมดุลขึ้น
ให้สมองตื่นแบบสงบ ไม่ถูกดึงดูดไปกับโลกภายนอกทันที แค่หายใจลึกๆ ลืมตาขึ้นมาดูแสงแดด ก็เปลี่ยนพลังของวันนั้นได้แล้ว
ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญ เติมความสดชื่นให้ร่างกายที่ขาดน้ำหลังหลับยาว
ไม่ต้องเป็นฟิตเนสก็ได้ จะเดินเล่น เต้นเบาๆ หรือยืดเส้นตอนเช้าก็ได้ทั้งนั้น เพียง 20-30 นาที ก็ช่วยให้ร่างกายปลดปล่อยความเครียดได้ดีขึ้น
เลือกอาหารที่มีผักเยอะขึ้น ลดของทอดลงหน่อย อาหารที่ดีไม่ได้แค่ให้พลัง แต่ยังช่วยให้เรารู้สึกเบาสบายหลังมื้ออีกด้วย
ลองงีบ 15-20 นาที หรือนั่งหลับตาในช่วงบ่าย เป็นการรีเซ็ตตัวเองให้พร้อมลุยต่อโดยไม่ต้องฝืน
ให้สมองได้พักจากแสงสีฟ้า และลดข้อมูลที่อัดแน่นมาตลอดวัน ช่วงเวลานี้อาจใช้กับการอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือเขียน Journal สั้นๆ ก็ได้
ขอบคุณร่างกายที่ยังเคลื่อนไหวได้ ขอบคุณใจที่ยังพยายาม และขอบคุณตัวเองที่เลือกดูแลตัวเองในวันนี้
One day can change your whole life บางทีสิ่งดีๆ ไม่ได้เริ่มจากการเปลี่ยนโลกทั้งใบ แต่เริ่มจากการเปลี่ยนใจเราในวันนี้เอง
สุขสันต์วัน Global Wellness Day
ภาพ: Shutterstock
The post 7 อย่างง่ายๆ ที่คุณทำได้ใน 1 วัน เพื่อเปลี่ยนชีวิตให้ดียิ่งขึ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>ใครเป็นสายคาเฟ่ฮอปปิ้งที่ไม่เคยพลาดสักร้านดังในกรุงโซล […]
The post คาเฟ่ทรัฟเฟิลจากกรุงโซล The TRUFFLE BAKERY มาเปิดป๊อปอัพที่กรุงเทพฯ แล้ว ที่ C.P.S. COFFEE Flagship appeared first on THE STANDARD.
]]>ใครเป็นสายคาเฟ่ฮอปปิ้งที่ไม่เคยพลาดสักร้านดังในกรุงโซล เราเชื่อว่าต้องเคยได้ยินชื่อ ‘The TRUFFLE BAKERY’ เพราะนี่คือคาเฟ่ที่กำลังมาแรงสุดๆ ในย่านฮันนัม เนื่องจากร้านนี้ใช้ทรัฟเฟิลจริงๆ เป็นส่วนผสมทั้งในเมนูขนมอบและเครื่องดื่ม (ไม่ได้มาเพียงรสหรือกลิ่น) แถมขนมแต่ละเมนูยังหน้าตาน่ากินตามสไตล์คาเฟ่สุดฮอตของชาวเกาหลีใต้ เอาเป็นว่านี่คืออีกร้านที่คนรักคาเฟ่ชอบแวะไปเมื่อเหยียบกรุงโซล
ทว่าตอนนี้ The TRUFFLE BAKERY บินมาเปิดป๊อปอัพถึงกรุงเทพฯ แล้ว ด้วยการคอลแลบกับร้านกาแฟ C.P.S. COFFEE พร้อมนำเมนูดังๆ แบบเดียวกับที่เกาหลีมาเสิร์ฟให้ชิม แต่จะมีเฉพาะที่ C.P.S. COFFEE สาขาแฟลกชิปเท่านั้นนะ
เมนูที่อยากแนะนำให้ทุกคนลองก็คือ ‘Plain Tissue Bread’ ขนมปังร้อยเลเยอร์ที่แต่ละชั้นบางราวกับทิชชู กัดไปแล้วเนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน
ขนมปังเกลือที่กำลังฮิตไปทั่วเอเชียก็มีเช่นกัน แน่นอนว่าของคาเฟ่นี้ต้องไม่ธรรมดา เพราะเขามีทั้ง ‘Salted Bread’ ขนมปังเกลือสูตรธรรมดา และ ‘Truffle Salted Bread’ ขนมปังเกลือผสมทรัฟเฟิลหอมๆ
อีกเมนูขึ้นชื่อที่ร้านหยิบมาเสิร์ฟที่กรุงเทพฯ ด้วยก็คือ London Bun ขนมอบสไตล์อังกฤษที่มีไส้ตรงกลาง เมนูแนะนำคือ ‘Raspberry London Bun’ กัดไปแล้วทั้งนุ่มทั้งหอม มีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ กำลังดี
ส่วนเครื่องดื่มเมนูพิเศษที่ทั้งสองร้านคอลแลบกันก็คือ ‘Truffle Latte’ ลาเต้ผสมทรัฟเฟิลหอมๆ ซึ่งเป็นอีกเมนูซิกเนเจอร์ของ The TRUFFLE BAKERY โดยเมนูนี้ใช้เมล็ดกาแฟของ C.P.S แถมเรายังเลือกระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟเองได้ด้วย
C.P.S. COFFEE x The TRUFFLE BAKERY เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป (โดยราคาจะประกาศให้ทราบกันพรุ่งนี้ อดใจรอกันสักนิด)
สอบถามหรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CPS Coffee
The post คาเฟ่ทรัฟเฟิลจากกรุงโซล The TRUFFLE BAKERY มาเปิดป๊อปอัพที่กรุงเทพฯ แล้ว ที่ C.P.S. COFFEE Flagship appeared first on THE STANDARD.
]]>แบรนด์น้ำหอมสุดเท่ Le Labo เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ล่าสุด G […]
The post Le Labo เปิดตัว Grooming Collection ที่ออกแบบมาสำหรับทุกเพศ appeared first on THE STANDARD.
]]>แบรนด์น้ำหอมสุดเท่ Le Labo เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ล่าสุด Grooming Collection ที่จะมาปฏิวัติประสบการณ์การดูแลตัวเอง ด้วยการผสมผสานความคลาสสิกของบาร์เบอร์สไตล์อเมริกันแบบดั้งเดิมเข้ากับความร่วมสมัยอย่างลงตัว จุดเด่นสำคัญอยู่ที่กลิ่นหอมที่ไม่ยึดติดกับเพศใดเพศหนึ่ง ผสมผสานความสดชื่นของเบอร์กาม็อตและลาเวนเดอร์ พร้อมกับสัมผัสปลายที่อ่อนโยนของไวโอเลตและถั่วตองกา ทุกผลิตภัณฑ์ผลิตอย่างพิถีพิถันในสหรัฐอเมริกา เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าการดูแลธรรมดา ไปดูกันเลยว่าในคอลเล็กชันนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
Grooming Collection พร้อมให้คุณได้สัมผัสแล้วที่ Le Labo ทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็น สาขา Siam Paragon, EMSPHERE, ICONSIAM และ Ari หรือสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ lelabofragrances.com
ภาพ: Courtesy of Le Labo
The post Le Labo เปิดตัว Grooming Collection ที่ออกแบบมาสำหรับทุกเพศ appeared first on THE STANDARD.
]]>PAÑPURI เปิดตัวแคมเปญพิเศษ A Love Letter, Finally Read […]
The post PAÑPURI ร่วมฉลองสมรสเท่าเทียมผ่านแคมเปญ A Love Letter, Finally Read appeared first on THE STANDARD.
]]>PAÑPURI เปิดตัวแคมเปญพิเศษ A Love Letter, Finally Read เพื่อร่วมเฉลิมฉลองสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย ภายใต้เดือนแห่งความเท่าเทียม (Pride Month) ส่งเสริมความรักที่ไร้ขอบเขตและความเคารพต่อความหลากหลายทางเพศ ซึ่งแคมเปญนี้นำเสนอผลงานศิลปะที่รวบรวมข้อความจากจดหมายรักในรูปแบบที่เปิดกว้าง พร้อมกิจกรรมดนตรีและการแสดงมุมมองจากกลุ่มคนที่แสดงออกถึงความรักอย่างเสรี
ธัญญ์ ภัคพงษ์พันธุ์ชัย และ ณัชณิช ศิริสันธนะ แชร์มุมมองเรื่องความรักที่เท่าเทียมว่า “เราไม่ได้มองว่าเป็นเพศอะไร เรามองว่าคนนี้คือคนที่เรารักและอยากอยู่ด้วย” และเชื่อว่าสมรสเท่าเทียมทำให้มั่นใจได้ว่าคู่รักจะเป็นคนที่คิดแทนกันได้เหมือนคนเดียวกัน ทุกคนสามารถติดตามกิจกรรมได้ตลอดเดือนมิถุนายนที่ PAÑPURI ทุกสาขา PANPURI.com
@panpuriofficial
ภาพ: Courtesy of PAÑPURI
The post PAÑPURI ร่วมฉลองสมรสเท่าเทียมผ่านแคมเปญ A Love Letter, Finally Read appeared first on THE STANDARD.
]]>ถึงจะแรง แต่ขับขี่ง่าย ถ้าถามว่ารถไฟฟ้าคันไหนสาม […]
The post Maserati Grecale Folgore รถไฟฟ้าที่หรู แรง และใครๆ ก็ขับได้โดยไม่ต้องปรับตัว appeared first on THE STANDARD.
]]>ถึงจะแรง แต่ขับขี่ง่าย
ถ้าถามว่ารถไฟฟ้าคันไหนสามารถเป็นรถไฟฟ้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างความแรงและความสบายได้ดีที่สุด Maserati Grecale Folgore น่าจะติดอยู่ในลิสต์แน่ๆ เพราะนี่คือรถไฟฟ้าที่ถ่ายทอด DNA ความแรงและหรูหราจาก Maserati รุ่นก่อนๆ ออกมาได้อย่างเต็มที่ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 220 กม./ชม. ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ทำให้การขับขี่เร้าใจ แถมมาในลุครถ SUV ที่มอบความสะดวกสบายให้กับทุกที่นั่ง แถมระยะทางในการวิ่งต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้งของรถคันนี้อยู่ที่ประมาณ 426 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ทำให้เหมาะกับการขับขี่ในหลายๆ โอกาส ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เดินทางไกลก็ได้ แต่ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่ทำให้รถคันนี้คือจุดบาลานซ์ระหว่างความแรงกับหรูหรา ซึ่งเราอยากจะมาเล่าให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง
ถึงภายนอกจะดูเป็น SUV แต่นี่คือ SUV ของ Maserati ซึ่งรถคันนี้ได้มีการดีไซน์ภายนอกที่สื่อให้เห็นว่านี่คือรถแรงด้วยการดีไซน์ที่ทำให้หน้ารถยื่นออกมา และไฟหน้าที่คล้ายรถสปอร์ตตัวแรงของทางแบรนด์อย่าง MC 20 แถมมิติของรถคันนี้ก็ไม่ได้ดูใหญ่จนเกินไป ทำให้การขับขี่ยังเต็มไปด้วยความคล่องตัว
ถึงแม้จะเป็นรถสัญชาติอิตาลี แต่ถ้าเรามาดูดีๆ สรีระของคนอิตาลีไม่ได้ต่างจากคนไทยมาก การดีไซน์ภายในรถจึงทำให้เมื่อคนไทยเข้าไปนั่งรู้สึกพอดี
เมื่อเกิดมาเป็นรถ SUV อีกหนึ่งสิ่งที่เราต้องพูดถึงคือการนั่งเบาะหลัง โดยรถคันนี้ได้ดีไซน์เบาะหลังให้กว้างขวาง นั่งสบาย แถมเขาวางตำแหน่งเบาะหลังให้สูงกว่าเบาะหน้าเพื่อให้ไม่รู้สึกอึดอัดเวลานั่ง
การตกแต่งภายในคันนี้ยังคงสื่อถึงความหรูหราในสไตล์รถ Maserati แต่พิเศษ โดยเฉพาะรุ่น Grecale Folgore ที่เป็นรถพลังทางแบรนด์ได้เลือกใช้วัสดุรักษ์โลกที่ชื่อว่า Econyl® เป็นเส้นใยไนลอนรีไซเคิลคุณภาพสูง ผลิตจากขยะทะเล เช่น แหจับปลาและพรมเก่า โดยนำมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลขั้นสูง เพื่อให้ได้วัสดุที่ทั้งหรูหราและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
หลังจากที่เราได้ลองขับรถคันนี้ ต้องบอกว่าความรู้สึกค่อนข้างต่างจากการขับรถไฟฟ้าทั่วไป เพราะเขาเซ็ตให้รถไม่กระชากเวลาเราเริ่มเหยียบคันเร่ง คล้ายๆ กับการขับรถเครื่องยนต์ทั่วไป และนี่ก็ส่งผลให้ผู้โดยสารคนอื่นๆ ในรถไม่รู้สึกเวียนหัวด้วย
อีกหนึ่งสิ่งที่สัมผัสได้เมื่อเราใช้งานรถคันนี้คือลำโพงเป็นของแบรนด์เครื่องเสียงคุณภาพดีอย่าง Sonus Faber ให้เสียงชัด เหมาะกับการฟังเพลงที่เน้นเสียงร้อง ช่วยให้เพลิดเพลินไปกับการขับขี่ แม้รถติดก็ไม่เบื่อ
The post Maserati Grecale Folgore รถไฟฟ้าที่หรู แรง และใครๆ ก็ขับได้โดยไม่ต้องปรับตัว appeared first on THE STANDARD.
]]>สิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วขนปุยที่ดูเหมือนจะใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วย […]
The post แมว: สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เก่งไม่แพ้นักจิตบำบัด appeared first on THE STANDARD.
]]>สิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วขนปุยที่ดูเหมือนจะใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการกิน นอน และวิ่งเล่น อาจดูไม่ซับซ้อนนักในสายตาเรา แต่รู้ไหมว่า แมวมีอิทธิพลต่อจิตใจของมนุษย์มากกว่าที่คิด พวกมันไม่เพียงแค่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขเท่านั้นนะ แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ใครจะไปคิดว่าแมวในความรู้สึกของใครหลายคน ก็ไม่ต่างจาก “นักจิตบำบัดตัวเล็กๆ” ที่อยู่ในบ้านเรา พวกมันมีพลังบำบัดที่ไม่ธรรมดา และสามารถรักษาจิตใจที่บอบช้ำ ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ด้วยวิธีที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง
เพียงแค่ได้ลูบไล้ขนนุ่มๆ หรือฟังเสียง “เพอร์” (purring) จากเจ้าเหมียว ก็สามารถช่วยลดระดับ คอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียดได้เมื่อระดับคอร์ติซอลลดลง ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย ทำให้เรารับมือกับความวิตกกังวลได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
งานวิจัยจาก Frontiers in Psychology ระบุว่าการสัมผัสสัตว์เลี้ยงเพียงไม่กี่นาทีสามารถลดความเครียดทางสรีรวิทยาได้จริง
การเล่นกับแมว การให้อาหาร หรือแม้แต่แค่ได้นั่งมองอย่างอ่อนโยน สามารถกระตุ้นการหลั่งของ ออกซิโทซิน หรือ “ฮอร์โมนแห่งความรัก”
ฮอร์โมนนี้มีบทบาทในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ ความไว้ใจ และความรู้สึกอบอุ่นในใจ รายงานในวารสาร Hormones and Behavior ชี้ว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีระดับออกซิโทซินสูงขึ้นหลังปฏิสัมพันธ์กับสัตว์
แม้แมวจะดูเหมือนไม่แคร์โลก แต่ในความเป็นจริง พวกเขากลับทำให้เรารู้สึกไม่โดดเดี่ยว การมีหน้าที่ดูแลอีกหนึ่งชีวิต ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีเป้าหมาย และเมื่อเราเห็นพฤติกรรมตลกๆ น่ารักๆ ของพวกมันก็ช่วยเติมรอยยิ้มให้วันธรรมดาๆ กลายเป็นวันที่ดีขึ้นได้
แมวอาจไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเรา แต่พวกมัน “สื่อสาร” ได้อย่างทรงพลังบางครั้ง…แค่มองเจ้าเหมียวนอนหลับอย่างสงบ หรือเดินมานั่งตักเฉยๆ ก็ชวนให้ใจละลาย และช่วยสร้างความสุขได้อย่างง่ายดาย
แมวไม่ได้แค่ “น่ารัก” แต่ยังเป็นเหมือน “ผู้บำบัด” ที่ไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจ พวกเขาทำให้ใจเราอ่อนโยนลงในวันที่แข็งกระด้าง เติมความอบอุ่นในวันที่เหนื่อยล้า และช่วยให้เรา หยุดวิ่ง และกลับมารู้สึกกับปัจจุบันอีกครั้ง ในวันที่ใจล้า…ลองนั่งข้างเจ้าเหมียวดูนะ ไม่ว่าจะเป็นการลูบขนเบาๆ การนั่งมองพวกมันหลับ หรือแค่ปล่อยให้แมวมาเดินอ้อนบนตัก คุณจะสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่เรียบง่าย แต่ ลึกซึ้ง อย่างน่าแปลกใจ
สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้อาจไม่พูดคำปลอบใจออกมา แต่พวกเขาทำให้เรารู้สึกว่า “ไม่เป็นไรนะ” ได้…โดยที่ไม่ต้องพูดเลยสักคำ
ภาพ: Shutterstock
The post แมว: สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เก่งไม่แพ้นักจิตบำบัด appeared first on THE STANDARD.
]]>ใครที่อยู่ในแวดวงสายฟิตมานานคงจะรู้ดีว่า #วงการเบเบ้ นั […]
The post ปลดล็อกแนวคิด Body Positivity สู่การรักตัวเองในทุกเวอร์ชัน โดย เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคา appeared first on THE STANDARD.
]]>ใครที่อยู่ในแวดวงสายฟิตมานานคงจะรู้ดีว่า #วงการเบเบ้ นั้น เข้าแล้วจะมีอยู่สองอย่าง อยู่ยาวหรือไม่ก็ออกเลย ใช่แล้วเรากำลังพูดถึง เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคา
ฟิตเนสอินฟลูเอนเซอร์สาวสวยผู้มีไลฟ์สไตล์ไม่เคยหยุดนิ่ง เราจะเห็นเธอไปวิ่ง ไปเวต ต่อยหมวย เล่นพิลาทิส แต่ที่เห็นบ่อยในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นบทบาทใหม่กับการสอนอย่างเต็มตัวที่ Formalab สตูดิโอออกกำลังกายสวยหรูใจกลางเมือง ณ One Bangkok ที่เธอร่วมก่อตั้งกับเพื่อนคนสนิท ไอเดียร์-สุชาดา แทนทรัพย์
View this post on Instagram
ภาพรวมของเบเบ้ในปัจจุบันทำให้เห็นว่านอกจากที่บทบาทในชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปแล้ว มุมมองที่เธอมีต่อการออกกำลังกายและรูปร่างก็ได้เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความรักที่เธอมีต่อตัวเอง ไม่ว่าในวันนี้เธอจะเป็น ‘เบเบ้’ เวอร์ชันใดก็ตาม…
เราเชื่อว่าแนวคิดที่เบเบ้ส่งต่อในวันนี้ จะสร้างพลังบวกและเป็นแรงบันดาลใจอันทรงคุณค่า ที่จะนำพาคุณทุกคนให้ก้าวไปสู่การเป็น ‘Your Best Self’ ได้อย่างแน่นอน
เบเบ้: เปลี่ยนไปเยอะ คือรู้สึกว่า การออกกำลังกายของเบมันเบาลงเรื่อยๆ เหมือนพยายามหาบาลานซ์เพื่อตัวเองมากขึ้น แต่ก่อนจะรู้สึกว่าทุกอย่างมันจะต้องเป็นการ Break the limit ของตัวเองตลอด ต้องทำได้อีก ไปขั้นกว่าเรื่อยๆ แต่พอเริ่มออกไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มหาบาลานซ์ที่เรารู้สึกว่าพอดีมากที่สุด ให้มันยังพอมีเวลาที่เราจะใช้ชีวิตส่วนตัว ไปสังสรรค์ ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง
จนตอนนี้พอเรามาเปิดสตูดิโอแล้วก็สอนด้วย มันทำให้เรามีเวลาออกกำลังกายน้อยลงตามชีวิตที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงจะต้องออกกำลังกายอยู่ อย่างแต่ก่อนที่ต้องตื่นมาคาร์ดิโอทุกวัน ตอนนี้รูทีนนั้นก็หายไปเพราะหมดแรงแล้ว (หัวเราะ)
เบเบ้: ทุกวัน คาร์ดิโอยืนพื้นเลย เพราะเป็นคนที่คิดอะไรออกจากการคาร์ดิโอ คือต้องมีการขยับร่างกายเราถึงจะคิดงาน คิดอะไรออก ซึ่งคาร์ดิโอมันก็ไม่ได้หนักไปทุกวันนะคะ บางทีก็จะเป็นการเดินชัน ต่อยมวย กระโดดเชือก หรือสลับกิจกรรมไปเรื่อยๆ แต่ว่าพักนี้คือรูทีนนั้นตัดออกไป ส่วนเวตก็จะประมาณ 3-5 วันต่อสัปดาห์
View this post on Instagram
เบเบ้: ถ้าคาร์ดิโอเนี่ย 3 วัน เพราะว่าเป็นการสอน แล้วอย่างตัว Xformer ก็จะพยายามเล่นทุกครั้งที่เราได้เข้าสตูดิโอ แต่เป็นการฝึกของเราเอง ก็จะอยู่ที่ประมาณ 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วนเวตแบบที่เข้ายิมเลยก็เหลือวันเดียว
เบเบ้: จริงๆ แล้วชอบทุกเวอร์ชันของตัวเองนะ ไม่ว่าคนรอบตัวจะว่าอย่างไร คือมันก็ต้องมีเสียงวิจารณ์อยู่แล้วว่า “เออ ช่วงนี้ดูบึ้กไปนะ กล้ามเยอะไป” หรือ “ช่วงนี้ผอมไป แห้งไป” คือมันจะมีคำวิจารณ์แบบนี้ตลอด แต่ก็อยากจะให้เชื่อว่า เราชอบตัวเองในทุกๆ เวอร์ชัน เพราะมันมีความรู้สึกว่า ไม่มีเวอร์ชันไหนที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ทุกเวอร์ชันเป็นการที่เราทำเต็มที่แล้วมันก็ให้ผลลัพธ์ออกมาในลักษณะแบบนั้น ก็เลยรู้สึกว่ามันก็เป็นการเรียนรู้ไปด้วย ชอบทุกเวอร์ชันที่เราพัฒนามาเรื่อยๆ เวอร์ชันนี้เราอาจจะกล้ามน้อยลง อาจจะซิกซ์แพ็กไม่ชัด แต่รู้สึกว่าเป็นเวอร์ชันที่แฮปปี้
เบเบ้: เบเป็นคนที่มีภูมิต้านทานด้านการวิจารณ์ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างมาก เพราะว่าเราเป็นนักแสดง เป็นคนในวงการมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งมีคนด่าเรา วิจารณ์เราตลอด เลยรู้สึกว่าเราค่อนข้างแข็งแรงกับการวิจารณ์เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเรามากๆ
เบเบ้: เบคิดว่า รูปร่างของเรา เราก็พอใจในตัวของเราเอง ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เราทำมันเกิดจากความตั้งใจของเราจริงๆ เกิดจาก การใช้ชีวิตของเรา คุณไม่ต้องไปสนใจเรื่องเสียงวิจารณ์ อีกอย่างหนึ่งคือ คนเราไม่จำเป็นที่จะต้องเพอร์เฟกต์หรือรูปร่างดีตลอดเวลา บางคนแบบเขามีรูปร่างดีมากๆ เวลาที่เราเห็นในไอจี ในโซเชียลต่างๆ ไม่ต้องคนอื่นเลย อย่างเบนะ แต่ก่อนที่เห็นว่าโพสต์รูป (คนคอมเมนต์) ‘เบหุ่นดีจังเลย’ ก็เพราะว่าเบถ่ายรูปวันที่เบลีน วันที่เบเป็นเมนส์ก็ไม่ถ่าย (หัวเราะ)
View this post on Instagram
เบเบ้: ใช่ เราก็อยากจะโชว์ในสิ่งที่เราดูดี ซึ่งอันนั้นก็เป็นข้อเสียของเราเหมือน ว่าเพราะบางทีเราเจอคนแบบแรนด้อมข้างนอก เขาก็อาจจะแบบมีความคาดหวังแบบ ขอจับท้องหน่อย ขอจับกล้ามหน่อย แล้ววันนั้นอาจจะเป็นวันที่เราบวม เขาก็อาจจะเอ๊ะ! ก็ไม่เหมือนในรูปนี่ คือมันก็เป็น Expectation ของคน
ตอนเด็กๆ เบเคยจะใส่ใจมากเรื่องแบบว่า เออ ทำไมแบบหน้าตาเป็นอย่างนี้ ทำไมจมูกเป็นอย่างนี้ ทำไมมีแก้มเยอะ เราเคยเครียดมาก คนพูดเขาไม่ได้มาใส่ใจ เขาพูดเฉยๆ เขาวิจารณ์เฉยๆ แล้วก็ผ่านไป แต่ว่าเราฟัง เก็บมาคิด แล้วก็เก็บมาเครียด ก็เลยรู้สึกว่าควรปล่อยวางบ้าง
อย่างทุกวันนี้เวลาที่ไปออกกำลังกายก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่ารูปร่างต้องเป็นอย่างไร จะต้องเอวเล็ก จะต้องขามีกล้ามเนื้อ มีก้นเด้ง อะไรแบบนี้ คือพาร์ตนั้นน่ะ เราค่อนข้างใส่ใจน้อยลง เพราะว่าเราเคย Achieve ในส่วนนั้นมาก่อน เราเลยรู้สึกว่าโอเค ถึงเวลาที่เราต้องปรับชีวิตให้มันบาลานซ์แล้ว เราไม่ได้อยากอยู่ในยิมทุกวันเพราะว่าเรามีหน้าที่ส่วนอื่นที่ต้องรับผิดชอบ
เบเบ้: ใช่ แต่เราก็ไม่ได้ปล่อยตัวเยอะขนาดว่าแบบ ทำงานไม่ได้เลย หรือว่ากินจนมีโรค เราก็ยังดูแลตัวเองในระดับที่ดีมาก แต่แค่ผลลัพธ์มันอาจจะแบบไม่ได้เพอร์เฟกต์เหมือนต้นแบบสมัยก่อน
เบเบ้: การกินก็คือ เป็นการกินที่มีความสุขมากขึ้น พื้นฐานเบคือเป็นคนที่กินในปริมาณที่เยอะอยู่แล้ว แต่แค่โภชนาการดีมากๆ โปรตีนถึง คาร์บถึง แฟตน้อยเท่าที่จำเป็น แต่ว่ามันก็จะเป็นอาหารที่ไม่ได้อร่อยมาก
แต่พอมาทุกวันนี้มีความรู้สึกว่า เรา Craving อาหารที่มีความอร่อยมากขึ้น เจอคนเยอะๆ ทำงานที่เครียดๆ บางทีเราก็อยากจะรีแล็กซ์บ้าง กินอะไรที่มันเอ็นจอยมากขึ้น
ด้วยพื้นฐานเราเป็นคนที่รู้ตัวแล้วก็ออกกำลังกายเป็นประจำ เราก็เลยสามารถที่จะบาลานซ์เป็น
เบเบ้: ล้มลุกคลุกคลานก็คือไม่เป็นไรเลย เบต้องใช้เวลา 8 ปีกว่า กว่าจะมาเข้าใจแต่ละสเตจว่าอะไรคือ ‘บาลานซ์’ อะไรคือความ ‘ไปได้อีก’ เพราะฉะนั้นก็สัมผัสด้วยตัวเองเลย แต่ว่าอยู่กับความปลอดภัย ทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ
น้ำหนักที่มันขึ้นได้ มันก็ลดได้ น้ำหนักที่ลดไปได้แล้วก็กลับมาได้ แต่ว่าเคมีหรือว่าสิ่งอะไรต่างๆ ที่มันทำให้สุขภาพเราเสียจากระบบข้างในจริงๆ มันค่อนข้างที่จะปรับยาก เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เป็นวิถีธรรมชาติก็คือ สามารถที่จะลองได้หมดเลย
สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็น Self-awareness ตระหนักถึงตัวเอง เข้าใจตัวเอง แล้วก็ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่า อะไรที่มันมากเกินไปต้องมีการบาลานซ์ ต้องมีการพักผ่อนบ้าง
คนที่ออกกำลังกายเริ่มแรกๆ 2-3 ปีแรกเลยนะ พลังเยอะ คิดว่าการพักคือผิด เพราะว่าเบเป็นมาก่อน เป็นมาเกือบ 5 ปีได้ คิดว่าการไม่ออกกำลังกายคือสิ่งที่ผิด
การกินวันหนึ่งไม่ทำให้อ้วนได้ การออกกำลังกายวันหนึ่งก็ไม่ทำให้ผอม แล้วการหยุดออกกำลังกายวันหนึ่งก็ไม่ได้ทำให้เราเก่งน้อยลง
เพราะฉะนั้นการพักคือการ Recover ที่ดี แล้ววันต่อไปที่เรากลับมาออกกำลังกายใหม่ สังเกตได้ว่าเราจะมีแรง มีพลังมากขึ้น เพราะฉะนั้น หยุดพัก ไปเที่ยวบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี
The post ปลดล็อกแนวคิด Body Positivity สู่การรักตัวเองในทุกเวอร์ชัน โดย เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคา appeared first on THE STANDARD.
]]>