Doomscrolling คือพฤติกรรมเสพข่าวเชิงลบหรือเหตุการณ์ร้าย […]
The post ระวัง Doomscrolling ผลกระทบทางใจที่เกิดจากการเลื่อนฟีดเสพข่าวร้ายมากเกินไป appeared first on THE STANDARD.
]]>
Doomscrolling คือพฤติกรรมเสพข่าวเชิงลบหรือเหตุการณ์ร้ายๆ บนโซเชียลอย่างต่อเนื่องจนหยุดไม่ได้ คำนี้เกิดขึ้นช่วงปี 2020 ในยุคโควิด-19 เมื่อคนทั่วโลกเลื่อนฟีดเพื่อติดตามวิกฤตแบบไม่รู้จบ และเริ่มสังเกตว่ามันส่งผลต่อสุขภาพใจอย่างรุนแรงพฤติกรรมนี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้ง negativity bias ที่ทำให้สมองมนุษย์จดจำข่าวร้ายได้ดีกว่า FOMO กลัวตกข่าวสำคัญ และอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มที่ดันเนื้อหาดราม่าหรือข่าวร้ายให้เราเห็นตลอดเวลา จนกลายเป็นวงจรเสพติดโดยไม่รู้ตัว
ผลกระทบสำคัญคือภาวะเครียด วิตกกังวล อารมณ์หม่น หรือแม้แต่ภาวะซึมเศร้า บางคนเริ่มนอนไม่หลับ มีความคิดฟุ้งซ่าน ฝันร้าย และเสียสมาธิในการทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบตัวก็อาจถดถอย เพราะใจเราอยู่กับฟีดข่าวมากกว่าคนตรงหน้า
วิธีรับมือที่เวิร์กคือกำหนดช่วงเวลารับข่าวอย่างชัดเจน ปิดแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น และเลือกเสพเฉพาะแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ลองสลับไปทำกิจกรรมฟื้นใจ เช่น เดินออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือพักโซเชียลเป็นช่วงๆ หากจำเป็น ใช้ฟังก์ชัน screen time เพื่อช่วยจับเวลาและกันตัวเองจากวงจรข่าวร้าย
ทำไมถึงเกิด Doomscrolling?
ผลกระทบของ Doomscrolling
วิธีรับมือกับ Doomscrolling
The post ระวัง Doomscrolling ผลกระทบทางใจที่เกิดจากการเลื่อนฟีดเสพข่าวร้ายมากเกินไป appeared first on THE STANDARD.
]]>
Bangkok Boulevard วิภาวดี-พหลฯ 2 บ้านเดี่ยวโปร่งโล่ง พร […]
The post Bangkok Boulevard วิภาวดี-พหลฯ 2 บ้านเดี่ยวโปร่งโล่ง พร้อมมอบความอบอุ่นให้ทุกครอบครัว appeared first on THE STANDARD.
]]>
Bangkok Boulevard วิภาวดี-พหลฯ 2 บ้านเดี่ยวโปร่งโล่ง พร้อมมอบความอบอุ่นให้ทุกครอบครัว
โครงการ Bangkok Boulevard วิภาวดี-พหลฯ 2 เป็นบ้านเดี่ยวพรีเมียมเปิดใหม่จาก SC Asset ที่หยิบคอนเซ็ปต์ความหรูแบบโมเดิร์น โปร่งโล่งด้วย Double Volume สูงประมาณ 7 เมตร มาเป็นจุดขายหลัก ทำให้บรรยากาศในบ้านดูสบายและดูดีแบบบ้านรุ่นใหม่ เหมาะกับครอบครัวที่อยากได้พื้นที่กว้าง ฟังก์ชันครบ มีหลายห้องนอน และยังอยากอยู่ใกล้โซนรังสิต-พหลโยธินที่เดินทางสะดวกมากเพราะใกล้ดอนเมืองโทลล์เวย์และห้างใหญ่ Future Park รังสิต รวมถึงร้านค้า โรงพยาบาลต่าง ๆ โครงการมีแบบบ้านให้เลือกหลายขนาด พื้นที่ใช้สอยราว 236-441 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 13.59 ล้านบาท ซึ่งจะเหมาะมากสำหรับครอบครัวขนาดกลางถึงใหญ่ที่อยากอัปเกรดคุณภาพชีวิตแต่ยังต้องการทำเลที่เชื่อมเข้าเมืองง่าย ๆ
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
The post Bangkok Boulevard วิภาวดี-พหลฯ 2 บ้านเดี่ยวโปร่งโล่ง พร้อมมอบความอบอุ่นให้ทุกครอบครัว appeared first on THE STANDARD.
]]>
“ยูนิฟอร์มไม่ได้เป็นแค่เครื่องแบบ แต่เป็นเครื่องมือสะท้ […]
The post ‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.
]]>![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial]](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff.jpg?x57191)
เราคงจะไม่เข้าใจประโยคข้างต้นได้ชัดเจนนัก ถ้าไม่ได้เห็น ‘ยูนิฟอร์มใหม่’ ของ ‘Proud Real Estate’ แบรนด์อสังหา ที่เป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีมากมาย อย่างเช่น โครงการล่าสุด The Residences at InterContinental Phuket Resort นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนธุรกิจบนแนวคิด ‘ ALL IS WELL’ เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ซึ่งถูกตีความและออกแบบโดย วร-ทัตวร สุกัณศีล เจ้าของและผู้ก่อตั้งแบรนด์ VVON SUGUNNASIL (วีวอน สุกัณศีล) แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติไทยสไตล์ Modern Tailoring
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 1](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-1.jpg?x57191)
ด้วยชั้นเชิงการดีไซน์เสื้อผ้าที่สง่างามและดูคลาสสิกแบบร่วมสมัย ผสาน DNA ของแบรนด์ที่พิถีพิถันในทุกฝีเข็มของการตัดเย็บอันประณีตแบบ Tailor Made ไม่เพียงส่งให้ VVON SUGUNNASIL ขึ้นแท่นแบรนด์แฟชั่นที่น่าจับตามองแห่งยุค แต่ยังติดท็อปลิสต์ที่แบรนด์และองค์กรชั้นนำอยากร่วมงานด้วย
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 2](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-2.jpg?x57191)
หนึ่งในโปรเจกต์ที่น่าสนใจคือ การออกแบบยูนิฟอร์มใหม่ให้กับ ‘Proud Real Estate’ ภายใต้แนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ซึ่งเป็นแนวทางการสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากกว่าที่อยู่อาศัยของแบรนด์ โดยยังต้องสะท้อนความ ‘Luxury’ ในแบบพราว คำนึงถึง ‘Well-being’ ทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้สวมใส่ ไม่ขาดตก ‘Function’ ที่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องผสมผสานตัวตนของ VVON SUGUNNASIL ได้อย่างกลมกลืน
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 3](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-3.jpg?x57191)
วร-ทัตวร เจ้าของแบรนด์ฝีมือฉกาจบอกกับเราว่า “ด้วยความที่แนวคิดหลายอย่างของแบรนด์ตรงกับ DNA ของเรา โดยเฉพาะแนวคิด ‘ALL IS WELL’ ส่วนตัวมองว่าการจะสร้างชีวิตดีที่ยั่งยืนต้องเริ่มต้นจากความใส่ใจในทุกรายละเอียด และไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตดีในทุกๆ ด้าน เครื่องแต่งกายก็ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยสร้างความรู้สึกดี ความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ พอได้เห็น Brand Philosophy เห็นความตั้งใจในการพัฒนาทุกโครงการและความละเอียดในทุกองค์ประกอบเพื่อชีวิตที่ดีของลูกค้าและพนักงานในองค์กรของ Proud เรารู้ได้ทันทีว่าโปรเจกต์นี้ต้องสนุกแน่เพราะได้ทำงานร่วมกับแบรนด์ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เราเองก็เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 4](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-4.jpg?x57191)
“หรืออย่างมุมมองต่อคำว่า Well-being ทาง Proud เชื่อว่าชีวิตดีที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากภายในองค์กร จึงดูแลพนักงานในทุกมิติไม่เว้นแม้แต่การให้ความสำคัญกับยูนิฟอร์มที่พนักงานสวมใส่ นอกจากเรื่องความสบาย ความสวยงาม พนักงานต้องมีความสุขกับการใส่ยูนิฟอร์ม ซึ่งเราเองก็มองว่า Well-being ในงานดีไซน์จะต้องสร้างสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ใส่แล้วเสริมสร้างบุคลิกภาพและต้องรู้สึกดี รู้สึกมั่นใจ และมีความสุขกับเสื้อผ้าที่เราดีไซน์”
ทัตวรบอกว่านอกจากจะต้องถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มใหม่’ ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้งานดีไซน์นี้สะท้อน DNA ของ Proud ได้ครบทุกมิติ
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 5](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-5.jpg?x57191)
“จริงๆ คำว่า Luxury, Well-being และ Function มันแทรกซึมอยู่ในทุกมิติของแบรนด์เราและ Proud อยู่แล้ว แต่โจทย์คือจะทำอย่างไรให้มองยูนิฟอร์มนี้แล้วเห็นความลักซ์ชูรี สัมผัสได้ทันทีว่าผู้ที่สวมใส่รู้สึกดีและมั่นใจในตัวเอง และยังมีฟังก์ชั่นของการเป็นยูนิฟอร์มสำหรับพนักงานขายที่ครบถ้วน โดยที่ทุกอย่างต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดตรงตามความต้องการของทั้งสองแบรนด์ นี่คือความท้าทาย”
“การศึกษาตัวตนของแบรนด์อย่างลึกซึ้งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก” ทัตวรอธิบายขั้นตอนการทำงานออกแบบยูนิฟอร์ม “แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำความเข้าใจพนักงาน ซึ่งเป็นจุดที่เราให้ความสำคัญมากๆ เพราะเขาคือคนที่จะใส่ชุดนี้”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 6](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-6.jpg?x57191)
ทัตวรบอกว่าในฐานะนักออกแบบสิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบยูนิฟอร์มไม่ใช่เรื่องดีไซน์ แต่เป็นการทำให้ผู้สวมใส่บุคลิกภาพดีขึ้น เมื่อเขามั่นใจและรู้สึกดีกับตัวเอง เขาจะนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างมั่นใจ ความรู้สึกภูมิใจที่ได้ใส่ยูนิฟอร์มมันจะสะท้อนไปถึงความภูมิใจที่เขามีต่อแบรนด์ด้วยเช่นกัน
“การออกแบบยูนิฟอร์มจะมองจากมุมของดีไซเนอร์อย่างเดียวไม่ได้ แม้เราจะเป็นแบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบยูนิฟอร์ม แต่การทำงานทุกครั้งต้องเอาความต้องการที่แท้จริงของพนักงานในองค์กรนั้นๆ เป็นหลัก อะไรคือสิ่งที่พนักงานต้องการ อะไรคือ Pain Point ทุกรายละเอียดคือข้อมูลสำคัญก่อนจะกลั่นกรองเป็นดีไซน์”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 8](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-8.jpg?x57191)
เขายกตัวอย่าง การดีไซน์ ‘ฟังก์ชั่น’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘ดีไซน์’ ช่องกระเป๋าที่รองรับการทำงานและการเคลื่อนไหวได้อย่างดี เกิดจากการพูดคุยเก็บข้อมูลจริงจากพนักงานขายที่ต้องพกปากกาและโทรศัพท์มือถือแต่ก็ไม่ต้องการให้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่ในตำแหน่งที่ดึงความสนใจจากลูกค้าและทำให้ Total Look ดูขัดตา
“หน้าที่ของเราคือออกแบบเพื่อให้ยูนิฟอร์มที่มีฟังก์ชั่นครบ แต่เมื่อมองภาพรวมแล้วเขายังดูดี ดูเนี้ยบ”
“การมีโครงการหลายโลเคชั่นก็เป็นโจทย์สำคัญ เราจึงออกแบบยูนิฟอร์มที่สามารถใส่ได้ทั้งในเมือง อย่างโครงการคอนโดสาทรและบ้านเดี่ยวอารีย์ และโครงการที่อยู่อาศัยตากอากาศ อย่างโครงการคอนโดหัวหิน คอนโดภูเก็ต ผสมผสานระหว่างภาพลักษณ์ของความน่าเชื่อขณะเดียวกันก็ต้องดูอบอุ่น เข้าถึงง่าย เริ่มจากเนื้อผ้าต้องมีเท็กซ์เจอร์ที่ช่วยซึมซับเหงื่อได้ดี มีความคงทน ใส่ได้ทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์”
“โทนสี ต้องสะท้อนความสุขุม น่าเชื่อถือ แต่ยังมีความอบอุ่นเพื่อให้ลูกค้าเห็นแล้วรู้สึกสบายใจ ไว้วางใจ และไม่รู้สึกอึดอัดที่จะเข้ามาปรึกษา ทำให้แบรนด์เข้าถึงได้มากขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องเป็นโทนสีที่เหมาะกับทุกโทนสีผิว ทุกรูปร่าง และทุกบุคลิก”
“ต่อมาคือ โครงชุด อย่างเสื้อสูทเราออกแบบให้เชื่อมโยงระหว่างความทันสมัยแบบคนเมืองและดูไม่ขัดตาแม้จะอยู่ในบริบทของเมืองชายทะเล จึงออกแบบโครงสร้างสูทให้เป็นทรงที่ใส่สบาย เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เป็นทรงที่ใครใส่ก็สวย แทรกเส้นสายของงานสถาปัตยกรรมลงไปเป็นกิมมิกบางๆ เพิ่มความสบายตา เป็นมิตร มีความแคชชวลแต่ก็ดูสง่างาม คลาสสิกแบบร่วมสมัย ซึ่งเป็นชิกเนเจอร์ของแบรนด์เรา”
ยูนิฟอร์มในคอลเลกชั่นนี้ ยังสามารถใส่ได้หลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการของพนักงานแต่ละคนว่าสไตล์ไหนใส่แล้วมั่นใจ “เป็นโจทย์ที่เราเสนอไปกับทางผู้บริหารของพราวว่าอยากให้พนักงานเลือกแมทช์เสื้อผ้าตามสไตล์ที่เขาชอบ บางทีเขาอาจจะมั่นใจที่จะใส่แค่เสื้อเชิ้ตกับกระโปรง บางคนอาจจะชอบใส่สูท เราอยากให้พนักงานรู้สึกสนุกและมีความสุขกับการแต่งตัว”
สุดท้ายคือ พนักงานทุกคนต้องมาฟิตติ้งเพื่อตัดยูนิฟอร์มสำหรับเขาโดยเฉพาะ ยูนิฟอร์มที่ดีจะต้องเสริมบุคลิกของผู้สวมใส่ ใส่แล้วต้องมั่นใจ การฟิตติ้งจึงจำเป็นอย่างมาก ซึ่งเราแฮปปี้มากๆ ที่ผู้บริหารของ Proud ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 9](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-9.jpg?x57191)
“มันเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของพนักงาน และยังเปิดกว้างให้กับทุกความเห็น จุดไหนที่จะทำให้พนักงานของเขารู้สึกดีเขาก็เปิดโอกาสให้เราเต็มที่ มันจึงไม่ใช่ว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง แต่มันคือการผนึกกำลังจริงๆ ยิ่งลงดีเทลในงานมากเท่าไร เรายิ่งเห็นถึงความตั้งใจจริงของแบรนด์ที่อยากจะทำให้ทุกอย่างมันออกมาดีขึ้น เก็บทุกรายละเอียดจริงๆ มันเลยกลายเป็นงานดีไซน์ที่เราภูมิใจกับมันมาก”
“เชื่อว่าทุกคนเห็นต้องรู้ว่าเป็นเรา” ทัตวร ตอบเมื่อเราถามว่าเขาแทรกตัวตนของแบรนด์ลงไปในโปรเจกต์นี้หรือไม่? อย่างไร? “อย่างที่บอกไปว่าเราแฮปปี้กับงานนี้มากเพราะทุกอย่างมันลงตัว กลมกล่อม พอมันเริ่มต้นด้วยอุดมการณ์เดียวกัน พอทำงานร่วมกันผลงานที่ออกมาเลยมีความเป็นเราและตอบโจทย์ลูกค้าแบบไม่มากไม่น้อย”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 10](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-10.jpg?x57191)
ทัตวรเล่าต่อว่า แนวทางการออกแบบยูนิฟอร์มในแบบ VVON SUGUNNASIL จะมีแกนหลักที่อยู่ในทุกโปรเจกต์นั่นคือ ‘คัตติ้งดี ดีไซน์เหมาะกับทุกคน ใส่สบาย คงทน และสะท้อนตัวตนของแบรนด์นั้นๆ ได้อย่างชัดเจน’
“ในอนาคตหลายองค์กรน่าจะให้ความสำคัญกับการทำยูนิฟอร์มมากขึ้น เพราะยูนิฟอร์มคือประตูด่านแรกที่ทำให้คนรู้ว่า แบรนด์มีภาพลักษณ์แบบไหน เราในฐานะดีไซเนอร์ก็ต้องทำให้ยูนิฟอร์มกลายเป็นเรื่องสนุก มีความเป็นแฟชั่น ใส่แล้วดูดี และสามารถสะท้อนค่านิยมและตัวตนขององค์กรได้”
สำหรับยูนิฟอร์มที่ออกแบบให้กับ ‘Proud Real Estate’ ทัตวรบอกว่า อยากให้พนักงานทุกคนใส่แล้วมีความสุขและมีความมั่นใจ เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อใจที่พร้อมจะทำงาน “เราว่าพนักงานทุกคนสัมผัสได้ว่าองค์กรเห็นความสำคัญของพวกเขาผ่านยูนิฟอร์มเหล่านี้ พอเขารู้สึกดีมันก็ส่งต่อความรู้สึกดีๆ แบบนี้ไปให้กับคนอื่น ลูกค้าเองเมื่อเห็นยูนิฟอร์มนี้ความสบายตาของโทนสี เนื้อผ้า คัตติ้งที่ดูแปลกตา ทันสมัย น่าเชื่อถือแต่ก็อบอุ่น จะทำให้เขาเกิดความสบายใจและพร้อมที่จะเปิดใจ”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 11](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-11.jpg?x57191)
พราว-พราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองในฐานะเจ้าของแบรนด์ถึงบทบาทของยูนิฟอร์มใหม่ที่ตั้งใจจะให้เป็น ‘สื่อกลาง’ ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าว่า “พนักงานขายคือประสบการณ์แรกที่ลูกค้าจะได้สัมผัส ดังนั้นสิ่งที่ลูกค้าเห็นก่อนที่ ‘ภาพ’ และ ‘ความรู้สึก’ เราจึงอยากให้ยูนิฟอร์มสะท้อนภาพลักษณ์ของความเป็นมืออาชีพ สง่างาม น่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันก็มีความเป็นมิตร อ่อนโยน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆ ระหว่างเรากับลูกค้า”
“ยูนิฟอร์มยังทำหน้าที่เครื่องมือส่งต่อแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ซึ่งเป็น Brand Philosophy ที่เราเพิ่งปรับ เนื่องจากเราต้องการให้ลูกค้ารับรู้ว่า ภายใต้องค์ประกอบในการสร้าง ALL IS WELL ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ WELL-CRAFTED DESIGN, WELL-LIVING AMENITIES, WELL-CURATED SERVICES, WELL COMMUNITY และ WELL SUSTAINABILITY เราได้หยิบเอา WELL-CRAFTED DESIGN มาตีความผ่านการออกแบบในทุก Touchpoint ที่ลูกค้าสัมผัสได้ ซึ่ง ‘ยูนิฟอร์ม’ คือหนึ่งในนั้นเพราะเป็นด่านหน้าในการสื่อสารกับลูกค้า”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 12](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-12.jpg?x57191)
โดยจะต้องออกแบบให้สอดคล้องไปกับ Brand Philosophy ไม่หวือหวาแต่มีความลักซ์ชูรีที่หมายถึง ‘การใส่ใจในรายละเอียดอย่างลึกซึ้ง’ ดูแล้วสบายตา ใช้ได้จริง แต่แฝงไว้ด้วยฟังก์ชั่น เนื้อผ้าต้องใส่สบาย เสริมความมั่นใจ แพทเทิร์นการตัดเย็บที่เอื้อให้พนักงานขยับเคลื่อนไหวและทำงานได้อย่างคล่องตัว ใส่แล้วมีความสุขมากขึ้น ตอบรับวิถีชีวิตแบบ Well-being
“กระบวนการสำคัญก่อนการออกแบบยูนิฟอร์มคือการพูดคุยกับพนักงานเพราะเราอยากเข้าใจว่าในแต่ละวันพนักงานใช้ชีวิตอย่างไร รูปแบบการทำงาน การเคลื่อนไหว สถานที่ทำงาน ไปจนถึงความคาดหวังว่ามีฟังก์ชั่นอะไรที่เขาต้องการบ้าง ยิ่งเราเข้าใจพนักงานมากเท่าไรจะทำให้เราออกแบบยูนิฟอร์มที่สร้างความรู้สึกที่ดีได้อย่างแท้จริง”
![‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] 13](https://thestandard.co/wp-content/uploads/2025/11/vvon-proud-estate-staff-uniform-13.jpg?x57191)
“เราต้องการให้ WELL-CRAFTED DESIGN ในยูนิฟอร์มมีความ ‘น้อยแต่มาก’ ลูกค้าเห็นแล้วรับรู้ได้ทันทีว่า Mood & Tone ของโครงการนี้เป็นแบบไหน ต้องกลมกลืนไปกับสถานที่ขณะเดียวกันต้องดึงความเชื่อมั่นและสร้างความสุขให้กับพนักงานที่สวมใส่ สร้างพลังให้เขาอยากที่จะตื่นขึ้นมาทำงานทุกวัน และภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จขององค์กร ซึ่ง VVON SUGUNNASIL สามารถตีโจทย์ได้อย่างดีและสร้างยูนิฟอร์มที่ถ่ายทอดแนวคิด ‘All is Well’ ของแบรนด์ได้ครบทุกมิติ”
The post ‘VVON SUGUNNASIL’ แบรนด์แฟชั่น ร่วมมือกับ Proud Real Estate ถอดแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิฟอร์มของพนักงาน’ ที่สะท้อนความ luxury and well-crafted design บนจุดร่วมของทั้ง 2 แบรนด์ [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.
]]>
ปิดท้ายปีนี้ด้วยการตุนกาแฟหอมๆ ไว้ชงดื่มยามเช้าในวันหยุ […]
The post พร้อมกันรึเปล่า? งานกาแฟส่งท้ายปี Thailand Coffee Fest 2025 จัด 4-7 ธันวาคมนี้ที่อิมแพ็คฯ appeared first on THE STANDARD.
]]>
ปิดท้ายปีนี้ด้วยการตุนกาแฟหอมๆ ไว้ชงดื่มยามเช้าในวันหยุดช่วงปลายปีกันดีกว่า เพราะงานกาแฟสุดยิ่งใหญ่อย่าง ‘Thailand Coffee Fest 2025’ กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยเป็นรอบสุดท้ายประจำปีนี้ ถ้าใครพลาดงานครั้งที่แล้วไป นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายก่อนต้องรอไปเจอกันใหม่อีกทีปีหน้าเลยนะ
Thailand Coffee Fest ‘Year End’ 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 7 ธันวาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยงานมาในธีม Coffee by Your Side ชวนทุกคนมาอยู่เคียงข้างกันในยุคที่อุตสาหกรรมกาแฟเติบโตและเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงมากมาย งานนี้จึงจัดขึ้นสำหรับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ไม่ว่าคุณจะเป็นคอกาแฟ เจ้าของคาเฟ่ หรือมือใหม่ผู้ชื่นชอบในคาเฟอีนก็ตาม
ภายในงานมีกิจกรรมน่าสนใจ เช่น
นอกจากนี้ยังมี Thailand Rice Fest: Eat Local Food เทศกาลข้าวที่ขยายเป็น ‘เทศกาลอาหาร’ อย่างเต็มรูปแบบให้เดินเล่นภายในงานเดียวกันด้วย เพราะฉะนั้นถ้าใครหิวขึ้นมาไม่ต้องห่วง งานนี้มีอาหารน่ากินให้เดินเลือกทั้งวันแน่นอน
Thailand Coffee Fest ‘Year End’ 2025 และ Thailand Rice Fest 2025 จัดขึ้นวันที่ 4 – 7 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ IMPACT Exhibition Center Hall 11 – 12 งานนี้เข้าร่วมฟรี ติดตามหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Thailand Coffee Fest
The post พร้อมกันรึเปล่า? งานกาแฟส่งท้ายปี Thailand Coffee Fest 2025 จัด 4-7 ธันวาคมนี้ที่อิมแพ็คฯ appeared first on THE STANDARD.
]]>
Crafted for Celebration การคอลแลปที่เสิร์ฟทั้งความอร่อย […]
The post Crafted for Celebration การคอลแลปที่เสิร์ฟทั้งความอร่อยและงานศิลป์บนโต๊ะอาหาร appeared first on THE STANDARD.
]]>
Crafted for Celebration การคอลแลปที่เสิร์ฟทั้งความอร่อยและงานศิลป์บนโต๊ะอาหาร
ในช่วงท้ายปีแบบนี้ Roast BKK จับมือกับ HAY Thailand เนรมิตโปรเจกต์สุดอบอุ่น Crafted for Celebration ที่พาเราเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขผ่านทั้งรสชาติอาหารและงานดีไซน์ไปพร้อมกัน ไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัวคอลเลกชัน La Pittura by Emma Kohlmann เซตเครื่องครัวและงานคราฟต์เพนต์มือที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของลายเส้น free form และสีสันแบบออริจินัล ทุกชิ้นทำโดยช่างฝีมือจากหมู่บ้านในศรีลังกา ทำให้โต๊ะอาหารเหมือนถูกเติมชีวิตด้วยงานศิลปะแบบ one of a kind โดยเฉพาะจาน แก้ว เหยือก ที่ให้ฟีลทั้งอาร์ตและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เหมาะมากกับบรรยากาศปีใหม่ที่อยากเพิ่มความพิเศษเล็ก ๆ ให้ทุกมื้อ

ด้าน Roast เองก็ร่วมเฉลิมฉลองด้วย 3 เมน พิเศษเฉพาะเทศกาล ครีเอตขึ้นจากแรงบันดาลใจของอาหารโฮมคอมฟอร์ต แต่ขยับระดับความประณีตตามสไตล์ “Simple Never Ordinary” ประเดิมด้วย Lobster+Ham Croquette & Cheese Puff (ราคา 580 บาท) ที่กรอบนอกและชุ่มฉ่ำข้างใน ตามด้วย Truffle Chicken Ballotine (ราคา 690 บาท) ไก่ม้วนไส้แน่นกินคู่มันบดและทรัฟเฟิล หอมละมุนแบบจัดเต็ม ปิดท้ายด้วย Christmas Strawberry Mousse (ราคา 320 บาท) ที่จับคู่สตรอว์เบอร์รีกับไอศกรีมมัทฉะอย่างลงตัว ทุกเมนูเสิร์ฟบนจานจากคอลเลกชัน La Pittura ที่ออกแบบมาให้เข้าคู่กันแบบสวยประหนึ่งจัดสไตลิ่งเอง งานนี้ได้ทั้งรสชาติ ได้ทั้งอาร์ต และได้ฟีลเฉลิมฉลองแบบเต็ม ๆ ที่ Roast ทุกสาขาเลย

The post Crafted for Celebration การคอลแลปที่เสิร์ฟทั้งความอร่อยและงานศิลป์บนโต๊ะอาหาร appeared first on THE STANDARD.
]]>
ถ้าถามว่าสำหรับคนที่ใช้ชีวิตแบบไม่หยุดนิ่ง นาฬิกาที่ดีค […]
The post รีวิว Apple Watch Ultra 3 กับการอัปเกรดที่รู้สึกได้ โดยเฉพาะสายแอ็คทีฟ appeared first on THE STANDARD.
]]>
ถ้าถามว่าสำหรับคนที่ใช้ชีวิตแบบไม่หยุดนิ่ง นาฬิกาที่ดีควรเป็นยังไง คำตอบของเราคงหนีไม่พ้นต้องใช้ได้จริงทุกสถานการณ์ ไม่ใช่แค่ดูดีบนข้อมือตอนใส่ทำงาน แต่ต้องทนทานพอที่จะลงสนามเทนนิสกลางแดด ดำน้ำในทะเล หรือวิ่งยาวๆ ในตอนเช้าได้ด้วย
สำหรับคนอย่างเราที่เป็นสายแอ็กทีฟ ออกกำลังกายเป็นประจำแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง เวทเทรนนิ่ง ว่ายน้ำ HIIT เทนนิส หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ การมีสมาร์ทวอทช์ที่ตอบโจทย์ได้ครบจบในตัวเดียวจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก มันต้องเป็นมากกว่าแค่เครื่องมือบอกเวลา แต่ต้องเป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่คอยดูแลสุขภาพ ติดตามผลการออกกำลังกาย การนอน การพักฟื้น และที่สำคัญคือต้องไม่เป็นภาระในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบตที่ต้องชาร์จบ่อย หรือฟังก์ชันที่ซับซ้อนจนใช้ไม่ถนัด

เมื่อ Apple ประกาศเปิดตัว Apple Watch Ultra 3 เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะแตกต่างจากApple Watch Ultra 2 ที่เราเคยใช้มาแค่ไหน เพราะถ้าดูจากภาพแรกๆ หน้าตาก็ยังเป็นเรือนไทเทเนียม 49 มม. ที่คุ้นตาดี แต่หลังจากได้ลองใช้งานจริงมาสักพัก ต้องบอกเลยว่า Apple Watch Ultra 3 คือการอัปเกรดที่ก้าวกระโดดของค่ายนี้
วันนี้เราเลยอยากพาทุกคนมาดูกันว่า Apple Watch Ultra 3 เปลี่ยนแปลงไปยังไง และมันคุ้มค่ากับการอัปเกรดหรือไม่สำหรับคนที่กำลังมองหานาฬิกาสปอร์ตตัวใหม่
สิ่งแรกที่สังเกตได้ทันทีคือจอภาพใหม่แบบ LTPO3 ที่ทำให้ขอบจอบางลงถึง 24% หน้าจอเลยดูใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น และคมชัดขึ้น ทั้งๆ ที่ตัวเรือนยังขนาดเดิม ตอนเข้าคลาสฟิตเนสหรือวิ่ง แค่เหลือบมองข้อมือก็อ่านค่าต่างๆ ได้ง่ายมาก ไม่ต้องเงยข้อมือขึ้นมาดูตรงๆ แบบเดิม
ที่ชอบมากคืออัตรารีเฟรชของจอแบบ Always-On ที่ปรับลงมาอยู่ที่ 1Hz ทำให้เข็มวินาทีขยับแบบเรียลไทม์ ดูแล้วลื่นไหลดี ไม่กระตุกแบบเดิมที่อัปเดตทีละนาที พลังงานก็ประหยัดกว่าด้วย ถ้าเคยใช้รุ่นที่แล้วมาก่อน จะรู้สึกได้ชัดเลยว่าต่างกัน

เรื่องแบตก็ต้องยกนิ้วให้เพราะแน่นอนว่าทุกครั้งที่ออกรุ่นใหม่ มันมักจะอึดขึ้นเรื่อยๆ อย่างรุ่นนี้ เราใช้ได้ประมาณ 42 ชั่วโมงต่อเนื่อง ถ้าเปิดโหมดประหยัดพลังงานไปได้ 72 ชั่วโมงเลย เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบชาร์จบ่อยๆ มักใช้ชีวิตกลางแจ้งหลายวัน หรือแม้แต่ไปพักต่างจังหวัด ก็ไม่ต้องเครียดเรื่องแบตหมด เพราะบางทีก็ไม่ได้พกสายชาร์จไปด้วย
การรองรับ 5G ก็เป็นอีกจุดที่ชอบมากเพราะเราสามารถดาวน์โหลดเพลง พอดแคสต์ หรือใช้แอปต่างๆ ไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญมีระบบปรับสัญญาณอัจฉริยะที่ทำให้แม้อยู่ในที่สัญญาณอ่อนก็ยังใช้งานได้เสถียร เราชอบวิ่งตอนเช้าหรือลงสระว่ายน้ำโดยไม่เอามือถือไปด้วย แต่จะเก็บไว้บนรถหรือล็อกเกอร์ แต่ยังฟังเพลงและรับสายได้ ปกติ รู้สึกอิสระและไม่มีภาระดี


ในเรื่องสุขภาพ ฟีเจอร์คะแนนการนอนหลับบน watchOS 26 ช่วยได้มาก เพราะมันวิเคราะห์จากข้อมูลของสถาบันด้านการนอนหลับระดับสากลและการศึกษากว่า 5 ล้านคืน ทุกเช้าตื่นมาก็จะได้คะแนนที่บอกว่าเรานอนดีแค่ไหน ควรปรับอะไรบ้าง ทำให้รู้สึกว่ามีคนคอยดูแลสุขภาพเราอยู่ เพราะคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ การพักฟื้นถือเป็นเรื่องสำคัญมาก บางทีเราก็ไม่รู้ว่าร่างกายล้าอยู่ขนาดไหน

Workout Buddy ก็เจ๋งมาก เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ Apple Intelligence วิเคราะห์ข้อมูลฟิตเนสของเรา แล้วคอยให้คำแนะนำและเสียงโค้ชแบบเรียลไทม์ ต่างจากรุ่นก่อนหน้าที่แค่บอกตัวเลข ตรงนี้มันรู้สึกเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัวคอยดูแล ไม่ว่าจะวิ่ง เวทเทรนนิ่ง ว่ายน้ำ HIIT มันปรับคำแนะนำให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรม นอกจากนี้ยังรองรับกิจกรรมเฉพาะทางอย่างดำน้ำ เดินป่า และกอล์ฟได้ดีมาก

ถ้าถามว่าใครเหมาะกับ Apple Watch Ultra 3 ที่มีราคาเริ่มต้น 29,990 บาท คำตอบคือถ้าอยากได้ของใหม่รุ่นล่าสุดเลย รุ่นนี้คือที่สุดของสายแอ็กทีฟจริงๆ แต่ต้องทำใจไว้นิดนึงว่าหน้าตาหรือดีไซน์ภายนอกอาจจะไม่เปลี่ยนจาก Apple Watch Ultra 2 เท่าไรนัก แม้จะมาพร้อมสายดีไซน์ใหม่ก็ตาม แต่ความต่างอยู่ที่ประสบการณ์การใช้งาน ฟีเจอร์ใหม่ และประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็อาจต้องเป็นคนที่ใช้งานทุกฟังก์ชันเด่นที่เล่าไปเป็นประจำจริงๆ จึงจะคุ้มค่ากับการอัปเกรด
คลิกอ่านเพิ่มเติมเรื่อง Sleep Score
The post รีวิว Apple Watch Ultra 3 กับการอัปเกรดที่รู้สึกได้ โดยเฉพาะสายแอ็คทีฟ appeared first on THE STANDARD.
]]>
ในยุคที่เทรนด์สุขภาพมาแรง ฟิตเนสหลายที่เลยไม่ใช่แค่พื้น […]
The post รู้จัก Equinox ฟิตเนสระดับลักชูรีที่ค่าสมาชิกทะลุปีละล้าน appeared first on THE STANDARD.
]]>
ในยุคที่เทรนด์สุขภาพมาแรง ฟิตเนสหลายที่เลยไม่ใช่แค่พื้นที่ไว้รีดเหงื่ออีกต่อไป โดยเฉพาะ Equinox (อิควิน็อกซ์) ที่พลิกโฉมพื้นที่ออกกำลังกายแบบเดิมๆ สู่การเป็นไลฟ์สไตล์คลับระดับไฮเอนด์

Equinox เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 ที่นิวยอร์ก พร้อมแนวคิดชัดเจนว่า ‘It’s Not Fitness, It’s Life.’ เป้าหมายของแบรนด์จึงไม่ได้มุ่งสร้างฟิตเนสตามมาตรฐานทั่วไป แต่เป็น พื้นที่ที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตได้

สิ่งที่ทำให้ Equinox กลายเป็นที่ฮือฮาในหมู่คนมีกำลังทรัพย์คือดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปในโรงแรม 5 ดาว ทุกสาขาถูกออกแบบด้วยวัสดุคุณภาพสูง แสงและโทนสีถูกคิดอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดบรรยากาศผ่อนคลายและเป็นส่วนตัว

แน่นอนว่าในฐานะยิม Equinox มีชื่อเสียงเรื่องกรุ๊ปคลาสอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพิลาทิส, โยคะ, HIIT, ปั่นจักรยาน รวมถึงบริการเทรนเนอร์ส่วนตัว (Personal Training) ที่ไม่เป็นรองใครในเรื่องคุณภาพ

นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมจากแบรนด์ระดับพรีเมียม บริการเสริมอย่างสปา คาเฟ่ น้ำผลไม้สกัดเย็น และโซนนั่งทำงานที่สามารถใช้ต่อเนื่องได้หลังออกกำลังกาย บางสาขายังมีสระว่ายน้ำบนดาดฟ้า เสิร์ฟวิวเมืองสวยฉ่ำ

มันไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย…แต่มันคือการลงทุนเพื่อไลฟ์สไตล์ ค่าสมาชิกเฉลี่ยของ Equinox จะอยู่ที่ประมาณ $200 – $300 ต่อเดือน (ราว 7,000 – 10,500 บาท) ขึ้นอยู่กับโลเคชันและระดับสมาชิก แต่ถ้าคุณอยู่ในนิวยอร์ก ราคาเฉลี่ยจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ $250 – $350 ต่อเดือน (ราว 8,750 – 12,250 บาท)
นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Initiation Fee) อีก $100 – $500 (ราว 3,500-17,500 บาท) เพื่อแลกกับการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ Elite Wellness ครบวงจร

หาก Equinox เป็นลักชูรีคลับ E by Equinox ก็คือความเหนือระดับแบบ ‘อัลตร้าลักชูรี’ อย่างแท้จริง
ปัจจุบัน E by Equinox เปิดให้บริการเพียงที่ Hudson Yards ในนิวยอร์ก และ Greenwich ในรัฐคอนเนตทิคัต (สาขานี้ต้องได้รับการแนะนำแบบ Referral เท่านั้นถึงจะเข้าได้) ทำให้ที่นี่กลายเป็นเซฟโซนของกลุ่ม C-suite Executives, มหาเศรษฐี และเซเลบริตี้ที่ต้องการหลบหลีกสายตาสาธารณชน รวมถึงนักกีฬาอาชีพที่ต้องการโปรแกรมแบบ Bespoke ขั้นสูง

ภายในมี Private Suites ส่วนตัวและระบบดูแลสุขภาพแบบ Concierge Health Management โดยค่าสมาชิกเริ่มต้นที่ $500+ ต่อเดือน (ราว 18,200 บาท) และค่าแรกเข้าเริ่มที่ $750+ (ราว 26,250 บาท)

ที่สำคัญคือ…ต่อให้มีเงินก็ยังเดินเข้าไปสมัครเลยไม่ได้ ผู้ที่สนใจจะต้องส่งคำขอเพื่อผ่านการคัดกรองโปรไฟล์เพื่อรักษาบรรยากาศและสังคมเฉพาะกลุ่ม
ล่าสุด Equinox ยังได้เปิดตัวโปรแกรมสุขภาพองค์รวมขั้นสุดที่ชื่อ Optimize by Equinox ซึ่งเป็นโปรแกรมเฉพาะบุคคลเต็มรูปแบบที่ราคาสูงถึง $40,000 (ราว 1.4 ล้านบาท) ต่อปี

ไอเดียหลักของโปรแกรมนี้คือ การตรวจร่างกายที่ละเอียดลึก โดยจะมีการตรวจแล็บเพื่อดูค่า Biomarkers กว่า 100 รายการ เช่น การทำงานของตับ ไต ภูมิคุ้มกัน และสารชี้วัดมะเร็ง ควบคู่ไปกับการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย อย่างการวัดค่า VO2 max และความแข็งแรง
ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาออกแบบแผนส่วนตัว โดยมีทีมโค้ช 4 ด้าน ฟิตเนส, โภชนาการ, การนอน, การนวด ดูแลแบบเข้มข้น
ปัจจุบัน Equinox มีสาขากว่า 100 แห่งในสหรัฐฯ และถ้านับรวมทั่วโลกก็ปาไปกว่า 300 แห่งเลยทีเดียว โดยหลักๆ จะปักหมุดอยู่ในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก, ลอสแอนเจลิส, ไมอามี และชิคาโก ส่วนสาขานอกสหรัฐฯ ก็มีเปิดให้บริการที่โทรอนโต, แวนคูเวอร์ และลอนดอน
แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีสาขาในประเทศไทย แต่เชื่อได้เลยว่าหาก Equinox มาเปิดตัวจริง คงสร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการฟิตเนสบ้านเราไม่น้อย
อ้างอิง:
*หมายเหตุ: ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ช่วงเวลานั้น
The post รู้จัก Equinox ฟิตเนสระดับลักชูรีที่ค่าสมาชิกทะลุปีละล้าน appeared first on THE STANDARD.
]]>
วันนี้ (25 พฤศจิกายน) Pr.Songkhla ประชาสัมพันธ์จังหวัดส […]
The post ศูนย์พักพิง ม.อ. หาดใหญ่ รับผู้ประสบอุทกภัยแล้วนับ 1,000 ชีวิต ขอรับบริจาคเครื่องใช้ที่จำเป็นจำนวนมาก appeared first on THE STANDARD.
]]>
วันนี้ (25 พฤศจิกายน) Pr.Songkhla ประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา โพสต์ข้อความขอรับการสนับสนุนเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อดูแลผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา
“โดยระบุว่า ศูนย์พักพิง ม.อ. รับผู้ประสบอุทกภัยแล้วนับ 1,000 ชีวิต ยังขาดแคลนเครื่องใช้ที่จำเป็นจำนวนมาก
ศูนย์พักพิง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ รับรองผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ และใกล้เคียงแล้วนับ 100 ชีวิต โดยมีเจ้าหน้าที่กำลังดูแลทุกคนอย่างเต็มกำลัง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังน่าเป็นห่วง
และขอเชิญผู้มีจิตเมตตาร่วมสนับสนุน เพื่อให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน แต่ในขณะนี้ยังขาดแคลนเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพอีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ผ้าขนหนู ผ้าห่ม และเสื้อผ้า หรือจะเป็นการบริจาควัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร ทั้งข้าวสาร ไข่ไก่ อาหารแห้งสำหรับจัดทำถุงยังชีพ และอื่นๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าว โดยสามารถบริจาคได้ที่ อาคารกีฬาและนันทนาการ ศูนย์กีฬาและสุขภาพ (ข้างโรงยิมเนเซียม ม.อ. หาดใหญ่)
สามารถบริจาคได้ที่บัญชี : ธนาคารไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี : สงขลานครินทร์เพื่อผู้ประสบภัย
เลขที่บัญชี : 565-471106-1
สอบถามข้อมูล โทร. 087-287-8713 (คุณเยาวลักษณ์) และ 098-6835032 (น้องดะ)
Prince of Songkla University Shelter Now Hosting Over 100 Flood Victims, Still Facing Severe Shortages of Essential Supplies
The shelter at Prince of Songkla University, Hat Yai Campus, is currently accommodating more than 100 flood victims from Hat Yai District and nearby areas. Staff members are working at full capacity to care for everyone amid an ongoing and concerning situation.
The University invites those who wish to help to contribute essential items that are still in critical shortage. Urgently needed supplies include toothbrushes, toothpaste, soap, towels, blankets, clothing, as well as food ingredients such as rice, eggs, and dried goods for emergency relief kits. Donations can be delivered to the Sports and Recreation Building, Sports and Health Center (next to the PSU Gymnasium, Hat Yai).
Monetary donations can be made via:
Bank: Siam Commercial Bank (SCB)
Account Name: Songkhla Nakarin for Disaster Victims
Account Number: 565-471106-1
For more information, please contact:
087-287-8713 (Ms. Yaowalak)
098-683-5032 (Da)”
อ้างอิง : https://www.facebook.com/share/p/17T9WRXGsN/
The post ศูนย์พักพิง ม.อ. หาดใหญ่ รับผู้ประสบอุทกภัยแล้วนับ 1,000 ชีวิต ขอรับบริจาคเครื่องใช้ที่จำเป็นจำนวนมาก appeared first on THE STANDARD.
]]>
เรามักรู้สึกผิดเมื่อหยุดพัก หรือเมื่อปล่อยให้ตัวเองมีคว […]
The post รู้จัก Luxuriate: แนวคิดที่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขแบบไม่ต้องรู้สึกผิด appeared first on THE STANDARD.
]]>
เรามักรู้สึกผิดเมื่อหยุดพัก หรือเมื่อปล่อยให้ตัวเองมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะ “ไม่ก่อประโยชน์” มากนัก ความรู้สึกนี้เรียกว่า productivity guilt คือการรู้สึกว่าทุกเวลาควรถูกใช้เพื่อทำงานหรือต่อยอดตัวเองอยู่เสมอ จนบางครั้งเราลืมไปว่าความสุขเล็กๆ ก็เป็นพลังสำคัญที่ทำให้ชีวิตเดินต่อไปได้อย่างราบรื่น
แนวคิด Luxuriate จึงเกิดขึ้นเพื่อเตือนให้เรากลับมาดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่ดีอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น และไม่ต้องรู้สึกผิดที่เลือกความสุขให้ตัวเองก่อน มันอาจเป็นการจิบกาแฟแบบช้าๆ การทาครีมอย่างรู้สึกถึงผิว การแช่น้ำอุ่น หรือการอยู่กับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า all of these count. เพราะหัวใจของการ luxuriate คือการ “อยู่กับปัจจุบัน” อย่างแท้จริง
เทรนด์นี้กำลังเพิ่มความสำคัญในโลก wellness เพราะตอบโจทย์สภาวะเหนื่อยล้าของคนยุคใหม่ เป็นความหรูหราแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้เงินมาก แต่ต้องใช้ความตั้งใจที่จะช้าลง เพื่อให้ร่างกายและใจได้พักจากความกดดันและข้อมูลที่ล้นเกิน การ luxuriate ยังสอดคล้องกับแนวคิดด้านจิตบำบัด โดยเฉพาะ somatic therapy ที่ใช้ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือพากลับมาหาปัจจุบัน
การเริ่มฝึกไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่เลือกช่วงเวลาเล็กๆ ที่ทำให้ใจนุ่มขึ้น เช่น จิบชาโดยไม่จับมือถือ นั่งเงียบๆ สองนาที หรือแค่หายใจลึกๆ แบบรู้ตัว สิ่งเหล่านี้คือการบอกกับตัวเองว่า “ฉันคู่ควรกับความสุข แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม” และบางครั้ง ความหรูหราที่แท้จริงก็ไม่ใช่สิ่งของราคาแพง แต่เป็นความสามารถในการดื่มด่ำกับชีวิตแบบไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป
ภาพ: Shutterstock
The post รู้จัก Luxuriate: แนวคิดที่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขแบบไม่ต้องรู้สึกผิด appeared first on THE STANDARD.
]]>
Parkour (ปากัวร์) อาจฟังดูเป็นชื่อของกีฬาเอ็กซ์ตรีมไกลต […]
The post ตามรอย Physical: Asia ไปลอง Parkour ที่ The Movement Playground appeared first on THE STANDARD.
]]>
Parkour (ปากัวร์) อาจฟังดูเป็นชื่อของกีฬาเอ็กซ์ตรีมไกลตัวที่มีภาพจำเป็นการกระโดดข้ามตึกสูงท้าความตาย แต่กระแสความสนใจในกีฬานี้ก็ถูกจุดติดขึ้นอีกครั้งจากรายการเรียลลิตี้ชื่อดังอย่าง Physical: Asia โดยเฉพาะซีนไวรัลของ Dom Tomato นักกีฬา Parkour ระดับโลก ที่โชว์ลีลาการข้ามสิ่งกีดขวางได้รวดเร็วและลื่นไหลอย่างน่าทึ่ง
View this post on Instagram
แรงบันดาลใจจากหน้าจอนี้นำพาให้เราต้องบุกไปเปิดประสบการณ์จริงที่ The Movement Playground เพื่อไขคำตอบว่าศาสตร์แห่งการเคลื่อนไหวนี้คืออะไรกันแน่
เซอร์ไพรส์แรกที่ได้รู้เมื่อมาถึงคือ Dom Tomato เองก็เคยบินมาฝึกที่นี่ด้วย ซึ่งช่วยยืนยันมาตรฐานของ The Movement Playground ได้เป็นอย่างดีในฐานะยิมแห่งแรกของไทยที่เปิดสอนทั้ง Parkour และ Obstacle Course Racing (OCR) อย่างเต็มรูปแบบมาตั้งแต่ปี 2017

ภายใต้แนวคิด Body Movement & Body Dynamic ที่นี่นิยาม Parkour ว่าเป็นศิลปะการพาตัวเองเคลื่อนที่จากจุด A ไปยังจุด B ให้รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นการก้าวข้ามทุกอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นกำแพง หรือทางต่างระดับ ด้วยความเรียบง่ายและลื่นไหล

หัวใจสำคัญของ Parkour จึงไม่ใช่ความยืดหยุ่นตัวอ่อนแบบยิมนาสติก แต่คือ Mobility หรือความสามารถในการเคลื่อนไหวข้อต่อได้อย่างอิสระและเป็นธรรมชาติ
การฝึกจึงไม่เน้นสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่โต แต่เน้นสร้างร่างกายที่เพรียวและแกร่งเหมือนลิงเพื่อให้มีความคล่องตัวสูง (Agility) พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

สิ่งที่ต้องเตรียมคือรองเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบพื้นยางเรียบเพื่อการเกาะพื้นผิวที่ดี ควรเลี่ยงรองเท้าพื้นโฟมเพราะอาจทำให้ลื่นได้ ส่วนชุด ขอแค่เป็นชุดออกกำลังกายที่เคลื่อนไหวสะดวกก็พอ
ส่วนโค้ชผู้รับหน้าที่สอนมือใหม่หัดกระโดดอย่างทีม LIFE ในวันนี้คือ Edward Parkour Head Coach ชาวมาเลเซีย

เริ่มแรกโค้ช Edward อธิบายให้เราเข้าใจถึง 5 ทักษะอันเป็นหัวใจสำคัญของ Parkour ได้แก่:

เมื่อเข้าใจในทฤษฎีแล้วก็พร้อมลุยกับภาคปฏิบัติ เริ่มจากการวอร์มอัพร่างกาย ตั้งแต่การหมุนข้อมือ ยืดข้อเท้า แกว่งแขนสวนทางกันเพื่อฝึกแยกประสาทสัมผัสเบาๆ ฝึกเคลื่อนไหวขณะ Plank รวมถึงเล่นมินิเกมกับเพื่อน ซึ่งช่วยบูสต์ Heart Rate ได้เป็นอย่างดี

จากนั้นจึงเข้าสู่แต่ละสเตชัน สเตชันแรกโค้ช Edward ให้จับคู่ยืนบนยาง แล้วลองกระโดดลงมาเพื่อเช็กท่าแลนดิ้งของแต่ละคน ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะใช้การลงเต็มฝ่าเท้า ซึ่งทำให้หลังเราได้รับแรงกระแทกเยอะ

สำหรับ Parkour เทคนิคที่ถูกต้องคือการแลนดิ้งด้วยปลายเท้า (Balls of feet) ให้เบา นุ่มนวล และนิ่งที่สุด ดูผิวเผินก็เหมือนการ Squat ขณะเขย่งเท้าอยู่

เมื่อเริ่มจับจุดการลงพื้นได้ ก็ขยับมาฝึกการส่งตัวด้วยท่า Tic-Tac ซึ่งเป็นการวิ่งไปใช้ปลายเท้าข้างหนึ่งแตะบน Wedge Box เพื่อส่งแรงกระโดด แล้วแลนดิ้งลงบนยางด้านหน้าให้เบาที่สุด

ลุยต่อกับสเตชันฝึกข้ามสิ่งกีดขวางที่สูงขึ้น ซึ่งมีเทคนิคเป็นการใช้เท้าแตะกำแพงแล้วใช้อีกมือส่งแรงดึงตัวขึ้น พร้อมกับวางเท้าลงบนฐานด้านบน ก่อนแลนดิ้งลงนิ่มๆ

สิ่งสำคัญคือจะต้องยกเข่าให้สูง ไม่อย่างนั้นอาจจะได้เข่าช้ำกลับบ้าน (เช่นเรา) ได้ง่ายๆ

เมื่อท่าได้แล้วก็พุ่งตัวต่อไปยังท่อเหล็กที่อยู่ด้านหน้าด้วยการจับแบบ Mixed-grip แล้วส่งตัวข้ามไปอย่างต่อเนื่อง

ต่อด้วยการข้ามสิ่งกีดขวางที่สูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งยังคงใช้เทคนิคเดิม แต่ต้องออกแรงส่งตัวมากขึ้น

มาถึงการ Roll Down หรือการม้วนหน้าเพื่อเซฟแรงกระแทก โค้ช Edward สอนเทคนิคละเอียดตั้งแต่การวางมือเป็นรูปสามเหลี่ยม เก็บคางมองต่ำ แล้ววางศอกหนึ่งข้างลงพื้นก่อนจะใช้แรงถีบส่งตัว

ยอมรับตรงๆ ว่าเราแอบเป็นกังวลกับท่านี้เพราะเคยมีประสบการณ์คอซ้นเป็นเดือนมาก่อน แต่ด้วยเทคนิคของโค้ช ทำให้เราสามารถม้วนหน้าผ่านไปได้โดยไม่บาดเจ็บ

เปลี่ยนมาฝึกบาลานซ์กันด้วยการเดินทรงตัวแบบต่อเท้า (Heel-to-Toe Walk) ซึ่งการเดินบนไม้เป็นอะไรที่ง่าย สบายๆ แต่พอเปลี่ยนมาเดินบนราวเหล็กเส้นบางเท่านั้นแหละ ร่วงกันเป็นแถว! จุดนี้ทำให้รู้ว่าบาลานซ์เป็นสิ่งสำคัญมาก และการเลือกรองเท้าที่พื้นยึดเกาะดีก็ช่วยได้เยอะ

เมื่อเรียนรู้ท่าเบสิกครบแล้ว โค้ช Edward จึงให้เราทุกคนลอง ฝึกทุกสเตชันเชื่อมกันอย่างต่อเนื่องโดยใช้เทคนิคที่เรียนรู้มาทั้งหมด

ปิดท้ายด้วยการฝึก Cat Hang หรือท่าแมวเกาะกำแพง ซึ่งเป็นท่าพื้นฐานสำคัญในการกระโดดไปเกาะขอบกำแพง โดยใช้มือทั้งสองข้างจับขอบด้านบน และใช้เท้าทั้งสองยันผนังไว้ในลักษณะย่อเข่า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปีนขึ้นในลำดับต่อไป

ประสบการณ์สัมผัส Parkour ครั้งแรกคือสนุกเกินคาด! ไม่น่าเชื่อว่าจากคนที่ไม่เคยฝึกมาก่อน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เราสามารถนำทักษะพื้นฐานไปใช้เคลื่อนไหวผ่านจุดที่คิดว่าทำไม่ได้ เหมือนได้ปลดล็อกศักยภาพร่างกายในมุมใหม่ แน่นอนว่าอาจมีรอยฟกช้ำดำเขียวบ้างจากความไม่คุ้นชิน แต่นั่นคือรสชาติของความภูมิใจที่ได้ลองอะไรใหม่ๆ
Parkour ไม่ใช่กีฬาที่น่ากลัวอย่างที่คิด และยังเหมาะกับทุกเพศทุกวัยที่อยากฝึกการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ นักกีฬาที่อยากเสริมความคล่องตัว รวมถึงผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย เพราะที่นี่สอนให้คุณล้มเป็นเพื่อให้ควบคุมร่างกายได้ดั่งใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์

Open: ทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 12.00-20.00 น., เสาร์ เวลา 8.30-18.00 น., อาทิตย์ เวลา 8.30-16.00 น.
Address: 36/4 ซอยสุขุมวิท 69 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
Budget: ราคาสำหรับผู้ใหญ่
Website: https://themovementplayground.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheMovementPlayground
Instagram: https://www.instagram.com/themovementplayground/
Tel: 02 012 1557
Map: https://maps.app.goo.gl/WRg4XejAojLyweJbA
The post ตามรอย Physical: Asia ไปลอง Parkour ที่ The Movement Playground appeared first on THE STANDARD.
]]>