LIFE – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 25 May 2025 07:30:54 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 MUJI เปิดตัวสกินแคร์ 2 ซีรีส์ใหม่ในไทย เน้นพลังธรรมชาติ 100% ตอบโจทย์ทุกสภาพผิว https://thestandard.co/life/muji-new-skincare-thailand-launch Sun, 25 May 2025 07:30:54 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1078225 MUJI สกินแคร์

แบรนด์มูจิ (MUJI) เดินหน้าลุยเทรนด์ความงามธรรมชาติ ด้วย […]

The post MUJI เปิดตัวสกินแคร์ 2 ซีรีส์ใหม่ในไทย เน้นพลังธรรมชาติ 100% ตอบโจทย์ทุกสภาพผิว appeared first on THE STANDARD.

]]>
MUJI สกินแคร์

แบรนด์มูจิ (MUJI) เดินหน้าลุยเทรนด์ความงามธรรมชาติ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์ 2 ซีรีส์พิเศษในตลาดไทยเป็นครั้งแรก ภายใต้คอนเซปต์ ‘Power of Nature’ ที่มุ่งเน้นการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ 100% เพื่อมอบผิวสุขภาพดีและความชุ่มชื้นที่ยาวนาน

 

โดยซีรีส์แรก ‘Sensitive Skin Series’ ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับผิวแพ้ง่าย ผสานส่วนผสมอ่อนโยนจากสารสกัดพืช น้ำมันหอมระเหย เซราไมด์ และกรดอะมิโน 5 ชนิด ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและลดปัญหาการระคายเคือง ผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ของซีรีส์นี้คือ Toning Water ที่สร้างปรากฏการณ์ขายดีในญี่ปุ่นกว่า 300,000 ขวดในเพียงหนึ่งสัปดาห์ พร้อมด้วย Moisturising Milk ที่มีสูตรหลากหลายเพื่อตอบสนองสภาพผิวที่แตกต่าง รวมถึง Moisturising Cream และ All-in-One Gel สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสะดวกรวดเร็ว

 

ซีรีส์ที่ 2 ‘Booster Series’ โดดเด่นด้วยการบำรุงล้ำลึกผ่านสารสกัดจากรำข้าวหมักเข้มข้นสูงกว่า 65% ที่ช่วยเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงอย่างเต็มประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ดาวเด่นคือ Booster Serum (เซรั่มรำข้าวหมัก) ที่คว้าตำแหน่งสินค้าขายดีอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ด้วยยอดขายสูงถึง 500,000 ขวดในหนึ่งสัปดาห์ อุดมไปด้วยวิตามิน 7 ชนิดและแร่ธาตุ 8 ชนิด นอกจากนี้ยังมี Booster Essence Lotion (โลชั่นรำข้าวหมัก) ที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกเสมือนสปาที่บ้าน

งานเปิดตัวครั้งนี้ยังมีนางแบบและนักแสดงสาว พีพี-ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์ มาร่วมแชร์ประสบการณ์การใช้งาน โดยเฉพาะ Booster Serum ที่ช่วยมอบผิวอิ่มน้ำและความสดใสที่เป็นธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ทั้ง 2 ซีรีส์ของมูจิ พร้อมให้ทุกคนสัมผัสแล้ววันนี้ที่ร้านมูจิทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการดูแลผิวด้วยพลังแห่งธรรมชาติแบบญี่ปุ่น

 

The post MUJI เปิดตัวสกินแคร์ 2 ซีรีส์ใหม่ในไทย เน้นพลังธรรมชาติ 100% ตอบโจทย์ทุกสภาพผิว appeared first on THE STANDARD.

]]>
BYD HYROX Bangkok! งานฟิตเนสระดับโลกที่ต้อนรับคนทุกระดับความฟิต https://thestandard.co/life/byd-hyrox-bangkok Sun, 25 May 2025 06:38:28 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1078193 BYD HYROX Bangkok

ขอปรบมือให้กับคนที่จบ BYD HYROX Bangkok ได้สำเร็จ! &nbs […]

The post BYD HYROX Bangkok! งานฟิตเนสระดับโลกที่ต้อนรับคนทุกระดับความฟิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
BYD HYROX Bangkok

ขอปรบมือให้กับคนที่จบ BYD HYROX Bangkok ได้สำเร็จ!

 

ต้องยกนิ้วให้กับทุกคนที่ลงมาแข่ง BYD HYROX Bangkok ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 24-25 พฤษภาคม ที่ BITEC บางนา เพราะไม่ว่าคุณจะใช้เวลาเท่าไร ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ทุกคนที่ก้าวข้ามเส้นชัยล้วนเป็นนักสู้ตัวจริง

 

 

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า HYROX คืออะไร ต้องบอกว่ากิจกรรมนี้เป็นรูปแบบการแข่งขันที่เราต้องวิ่ง 1 กิโลเมตร สลับกับการออกกำลังกายอย่าง SkiErg, Sled Push, Sled Pull, Burpee, Rowing, Farmers carry, Sandbag lunges และ Wall balls เท่ากับว่าเราต้องวิ่ง 8 กิโลเมตร และออกกำลังกาย 8 ท่า จึงจะวิ่งเข้าเส้นชัยได้ โดยแบ่งประเภทการแข่งขันเป็นหญิง ชาย เดี่ยว คู่ ทีมผลัด และ Adaptive สำหรับผู้พิการ ที่เราสามารถลงสมัครได้ตามความถนัด  

 

งานนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะ HYROX ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในเยอรมนีปี 2017 ซึ่งมีคนเข้าร่วมเพียง 650 คน มาจนถึงวันนี้ที่เอเชียแปซิฟิกมีผู้เข้าร่วมเกือบ 75,000 คนในปี 2024 และล่าสุดที่บริสเบน ประเทศออสเตรเลียมีคนมาแข่งมากกว่า 10,000 คน ในขณะที่ในเมืองไทยมีตัวเลขคนมาแข่งสูงถึง 9,000 คน ซึ่งสำหรับปีแรกแล้ว ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว 

 

 

แน่นอนว่าปีหน้า HYROX Bangkok มาอีกแน่ๆ ใครที่เล็งอยู่ เตรียมฟิตซ้อมร่างกายกันให้ดี 

 

 

ภาพ: ชนากานต์ เหล่าสารคาม

The post BYD HYROX Bangkok! งานฟิตเนสระดับโลกที่ต้อนรับคนทุกระดับความฟิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Test & Try โซนที่ขนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านสุขภาพและความงามมาให้ทุกคนได้ทดลองก่อนใคร https://thestandard.co/life/test-try-life-wellness-day Sun, 25 May 2025 03:26:55 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1078145 LIFE Wellness Day

Test & Try โซนที่ขนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านสุขภาพและความง […]

The post Test & Try โซนที่ขนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านสุขภาพและความงามมาให้ทุกคนได้ทดลองก่อนใคร appeared first on THE STANDARD.

]]>
LIFE Wellness Day

Test & Try โซนที่ขนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านสุขภาพและความงามมาให้ทุกคนได้ทดลองก่อนใคร

 

สิ้นสุดลงไปแล้วสำหรับ LIFE Wellness Day งานที่ชวนคุณมา พักใจ พักกาย

 

และเติมเต็มพลังชีวิต ไปกับ 1 Day Retreat ที่รวบรวมประสบการณ์แห่งการดูแลตัวเอง อย่างครบวงจร ในธีม ‘Move Your Body, Heal Your Mind, Balance Your Soul’ สัมผัสความสุขแบบ Wellness ที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ 

 

ภายในงานมีกิจกรรมมากมายให้คุณได้มาสัมผัสตลอดหนึ่งวัน แต่หนึ่งในไฮไลต์ของงานที่หลายคนสนใจมากๆ นั่นคือโซน Test & Try โซนที่ขนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านสุขภาพและความงามมาให้ทุกคนได้ทดลองก่อนใคร โดยมีนวัตกรรมจาก 6 แบรนด์ชั้นนำได้แก่ EVRYDAY Self-Care, Bright Vision Clinic, Proove, PYONG Rehabilitation Clinic, Mediwelle และ Longevity Hub by Clinique La Prairie วันนี้เราเลยอยากจะพาทุกคนมาดูว่า ในแต่ละแบรนด์เขาขนสินค้าอะไรมาให้เราทดลองกันบ้าง!

 

 

EVRYDAY Self-Care

แบรนด์ที่เชื่อในพลังแห่งการรักตัวเอง ซึ่งภายในงานนี้ทางแบรนด์ได้เตรียมวิตามินดูแลสุขภาพองค์รวมมาส่งมอบให้ทุกคน ฟรี! ทางแบรนด์ EVRYDAY มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้การดูแลตัวเองเป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มพลังงาน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม หรือเพียงแค่ดูแลสุขภาพโดยรวม EVRYDAY ก็มีทางเลือกที่เหมาะสำหรับทุกคน เพื่อให้คุณรู้สึกดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจในทุกๆ วัน 

 

 

ภายในงานนี้คุณจะได้พบกับสินค้าทั้ง Daily self-care vitamin pack ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของคุณอย่างรอบด้าน ตอบโจทย์การดูแลตัวเองในแต่ละวัน, Night Routine ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูการนอนหลับให้คุณได้นอนอย่างมีประสิทธิภาพ และตื่นขึ้นอย่างสดชื่น พร้อมรับวันใหม่ด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม

 

 

Bright Vision Clinic

คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมจักษุ ภายในงานนี้ทางคลินิกมีบริการเทสต์อาการตาแห้งและเทสต์กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ฟรี! โดยนักทัศนมาตรและจักษุแพทย์เฉพาะทาง อนุสาขาศัลยกรรมตกแต่งตา หมอบิ๊ก-นพ.ยงยศ ทั่วจบ หลังจากที่เทสต์ตาแล้วเรายังสามารถปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับตาได้อีกด้วย

 

 

เนื่องจากกรุงเทพฯ ของเราประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นจำนวนมาก และ ผู้ที่สัมผัสกับฝุ่น PM2.5 เป็นเวลานานๆ จะเสี่ยงเยื่อบุตาขาวอักเสบ ภูมิแพ้ขึ้นตา ภาวะตาแห้ง ส่วนระยะยาว อาจทำให้เยื่อผิวกระจกตาบกพร่อง จอประสาทตาเสื่อม ต้อหิน ต้อกระจก ทางคลินิกจึงอยากชวนทุกคนมาใส่ใจสุขภาพตา พร้อมกับใครที่อยากได้รับบริการเกี่ยวกับตา สามารถซื้อ Voucher ในงานนี้ได้เลย

 

 

Proove

สำหรับใครที่กำลังมองหา Plant-based Protein แวะมาบูธ Proove ตอบโจทย์สุดๆ เพราะภายในงานนี้ ทางแบรนด์ได้ขน Plant-based Protein มาให้ทุกท่านได้ทดลองชิมฟรี! ถึง 16 รส ซึ่งตอบโจทย์คนมองหาโปรตีนรสใหม่ๆ แบบสุดๆ 

 

 

ซึ่งแบรนด์ Proove คือแบรนด์โปรตีนจากพืชที่มีสูตรหลากหลาย ทั้งสูตรที่มีถั่วเหลือง ไม่มีถั่วเหลือง และสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของถั่วเลย! เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโปรตีนจากพืชคุณภาพดีได้ ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่แพ้ถั่วบางชนิดก็ตาม 

 

 

PYONG Rehabilitation 

ภายในงานคุณสามารถเข้ามารับคำปรึกษาอาการเจ็บป่วยโดยเฉพาะเรื่องปวดจากทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดจาก PYONG Rehabilitation Clinic ฟรี แถมทุกท่านยังสามารถมาทดลองรักษา 5-10 นาที โดยนักกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือ 3D Dynamic Focusing Shockwave และ Peripheral Magnetic Stimulation 

 

 

โดยกลุ่มโรคที่เหมาะกับการรักษาด้วย Focused Shockwave ได้แก่ รองช้ำ (Plantar Fasciitis), เส้นเอ็นอักเสบ (Tendinopathies), หินปูนเกาะเส้นเอ็น (Calcific Tendinitis), กระดูกล้าแตก (Stress Fractures), อาการปวดกล้ามเนื้อและพังผืดเรื้อรัง (Myofascial Pain Syndrome) – ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด และโรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis – OA)

 

 

Mediwelle 

คุณกำลังขาดวิตามินอยู่หรือเปล่า? ที่บูธเมดดิเวล ศูนย์เวลเนสแบบองค์รวม มีกิจกรรมมากมายที่ให้คุณได้รีเช็กอาการสุขภาพต่างๆ พร้อมทดลองนวัตกรรมใหม่ เพื่อตรวจหาระดับวิตามินในร่างกายกว่า 10 ชนิด 

 

 

อาการขาดวิตามินทั้ง 10 ชนิดสามารถบ่งบอกได้ถึงสาเหตุของโรคต่างๆ ที่คุณอาจจะเป็นอยู่ เช่น ตาพร่ามัว ผมร่วง ภูมิคุ้มกันตก เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะได้ตรวจเช็กวิตามินแล้ว ยังสามารถให้คำปรึกษาภายในบูธแบบครบจบในที่เดียวอีกด้วย

 

 

Longevity Hub by Clinique La Prairie

นี่คือบูธที่เหมาะกับคนอยากตรวจเช็กผิวหน้าอย่างละเอียด เพราะที่นี่สามารถตรวจวิเคราะห์ผิวหน้าด้วยเครื่อง VISIA ระบบ 3D เป็นเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยในการวิเคราะห์ และตรวจสภาพผิวหน้าแบบละเอียดโดยมีการรายงานผล 

 

 

 

ทำให้เข้าใจถึงสภาพผิวและปัญหาของผิวที่แท้จริง ช่วยให้แพทย์สามารถให้คำแนะนำ และคำปรึกษาที่เฉพาะสำหรับการทำทรีตเมนต์และหัตถการความงามได้ตรงจุด

The post Test & Try โซนที่ขนนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านสุขภาพและความงามมาให้ทุกคนได้ทดลองก่อนใคร appeared first on THE STANDARD.

]]>
คุยกับสุดยอดไกด์ซาฟารีจากแอฟริกา ‘Super Sande’ นักพิทักษ์สัตว์และธรรมชาติแห่งบอตสวานา https://thestandard.co/life/super-sande-safari-guide Sun, 25 May 2025 01:20:55 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1078059 super-sande-safari-guide

จากเด็กหนุ่มชาวแอฟริกาที่วิ่งไล่ตามรถของนักอนุรักษ์ไปไก […]

The post คุยกับสุดยอดไกด์ซาฟารีจากแอฟริกา ‘Super Sande’ นักพิทักษ์สัตว์และธรรมชาติแห่งบอตสวานา appeared first on THE STANDARD.

]]>
super-sande-safari-guide

จากเด็กหนุ่มชาวแอฟริกาที่วิ่งไล่ตามรถของนักอนุรักษ์ไปไกลเกือบ 10 กิโลเมตรด้วยความสงสัย สู่การเป็นนักธรรมชาติวิทยาผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ไกด์ซาฟารีที่ดีที่สุดในแอฟริกา’ นี่คือจุดเริ่มต้นของ Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา ประเทศซึ่งเปรียบเสมือนสวรรค์ของนักส่องสัตว์และผู้ที่หลงใหลธรรมชาติ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่ามีความหลากหลายของพันธุ์สัตว์ป่า และระบบนิเวศสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และหนึ่งในบุคคลที่ขับเคี่ยวจนบอตสวานากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวซาฟารีที่งดงามที่สุดได้อย่างทุกวันนี้ก็คือชายคนนี้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง

 

“ถ้าให้เล่าว่าผมมาเป็นไกด์ได้อย่างไร เรื่องมันจะยาวนะ เพราะต้องย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่ผมได้เจอ Jack Bousfield ผู้ริเริ่มแคมป์ที่ผมทำงานอยู่ตอนนี้ ซึ่งผมทำงานกับพวกเขามานานกว่า 30 ปีแล้ว” Super เริ่มเล่าถึงผู้ที่จุดประกายให้เขาสนใจธรรมชาติและสัตว์ป่าจนกลายมาเป็นนักธรรมชาติวิทยาและไกด์ซาฟารี

 

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

 

“ผมเรียนจบแล้วจะมาทำงานกับคุณ”

 

ตอนนั้นผมกำลังวิ่งเล่นอยู่ในป่า พวกเราก็เห็นชายคนหนึ่งขับรถลุยแม่น้ำ ผมจึงวิ่งไล่ตามไปมากกว่า 7-8 กิโลเมตร และเห็นชายคนนั้นเริ่มกางตาข่ายจับนก พวกเราทักทายเขาและถามว่าเขากำลังทำอะไร มาจับนกทำไม ชายคนนั้นจึงเริ่มเล่าให้ฟังว่านกพวกนี้กินพืชผลและแมลงที่มียาฆ่าแมลงเข้าไป ทำให้ไข่ของพวกมันเริ่มผิดปกติ พวกเขาจึงพยายามช่วยเหลือนกเหล่านั้นด้วยการจับมันไปวางไข่ที่อื่นที่ปลอดภัยกว่า

 

ตอนนั้นผมบอกเขาไปเล่นๆ ว่า พอเรียนจบแล้วผมหวังว่าจะได้กลับมาทำงานกับคุณ และถามว่าที่ทำงานของเขาอยู่ตรงไหน แล้ววันหนึ่งผมก็เดินเลียบแม่น้ำไปตามทางที่จำได้ก่อนกระโดดข้ามรั้วที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะประตูรั้วถูกล็อกเอาไว้ แล้วผมก็เดินเข้าไปถามผู้คนในรั้วเหล่านั้นว่า “ผู้ชายที่ชื่อ Jack อยู่ที่ไหน” แม้พวกเขาจะตกใจว่าทำไมผมไม่เดินเข้ามาดีๆ แต่ผมก็ได้พบชายคนนั้นอีกครั้งและแนะนำตัวกับเขาว่าผมคือเด็กชายคนนั้นเมื่อ 25 ปีก่อนที่วิ่งไล่รถของคุณไปจนถึงแม่น้ำ เขาจำผมได้และให้ผมทำงานกับพวกเขาจนมาถึงทุกวันนี้

 

ชายคนนั้นที่ผมเล่าถึงก็คือ Jack Bousfield ผู้ริเริ่มให้เกิดแคมป์ซาฟารี Jack’s Camp ที่ลูกชายของเขา Ralph Bousfield ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริษัทซาฟารี Uncharted Africa Safaris ก่อตั้งขึ้นเพื่อรำลึกถึงการจากไปของบิดา

 

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

 

“ผมไม่สนการโดนเกลียดจากคนที่ทำผิด”

 

ผมทำงานเข้าขากับ Jack และ Ralph ก็เพราะพวกเรามีแพสชันเดียวกันคือ การอนุรักษ์สัตว์ป่า พวกเราจึงกลายเป็นทีมที่สุดยอด ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้ทำงานในฐานะไกด์ซาฟารี แต่เพราะความรักที่ผมมีต่อสัตว์และธรรมชาติ เนื่องจากเติบโตมากับพวกมัน การได้เห็นใครสักคนทำงานเพื่อสิ่งเหล่านั้นแบบ Jack Bousfield ทำให้ผมรู้ว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องการ

 

ผมจึงกลายเป็นหนึ่งในคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสัตว์ป่า และบางครั้งเมื่อคุณลงมือทำอะไรสักอย่าง คุณอาจถูกเกลียดชังโดยคนในสังคมที่เห็นต่างจากคุณ แต่ผมเป็นพวกไม่สนการโดนเกลียดจากคนที่ทำผิด ผมหนักแน่นและใช้กฎหมายเข้าสู้ ผมให้ความรู้ผู้คนว่าสิ่งไหนผิดไม่ควรทำ จนเวลาผ่านไป ผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจและเชื่อในสิ่งที่พวกเราทำ และตอนนี้ปัญหาเหล่านั้นหายไปแทบหมดสิ้น

 

ตอนที่ผมเริ่มอนุรักษ์สัตว์ป่า แค่คุณมองเห็นม้าลายในระยะ 1 กิโลเมตรมันก็วิ่งแล้ว แต่ตอนนี้ ณ พื้นที่ที่ผมทำงาน คุณสามารถเดินออกไปและเห็นม้าลายนับพันตัวเดินอยู่โดยที่พวกมันไม่วิ่งหนี พวกมันจะแค่มองและกินหญ้าไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงสังคมและผู้คนต้องใช้เวลาเหมือนการปลูกต้นไม้ คุณต้องทำให้พวกเขาเกิดทั้งความเชื่อใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณทำจริงๆ

 

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

 

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยน Super คนนี้ได้”

 

การที่ผมได้รางวัลไกด์ยอดเยี่ยม (จากการประกาศรางวัลโดย Tatler Travel’s Best Guide in Africa 2023) เป็นเพราะแขกทุกคนที่มาร่วมเดินทางที่ซาฟารี ผมกล้าพูดได้เลยว่าในฐานะไกด์นำเที่ยว คุณแค่ต้องเต็มที่กับงานของคุณมากเป็นพิเศษและใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ ผมให้ความสำคัญกับความสุขของแขกเกินร้อย แต่คุณต้องจำไว้เสมอว่าเราต้องไม่รบกวนธรรมชาติเพียงเพื่อรูปสวยๆ การได้รับรางวัลเป็นสิ่งที่น่ายินดี มันช่วยเพิ่มพลังให้เรา เพราะบางครั้งคุณไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นถูกหรือผิด 

 

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยน Super คนนี้ได้ ผมยังเป็นผมคนเดียวกับเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และมันไม่ใช่แค่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้น ยังมีทีมไกด์ซาฟารีทุกคนด้วย ซึ่งผมว่ามันน่าดีใจกว่าเดิมเสียอีกเมื่อเราได้รางวัลในฐานะทีม (Jack’s Camp ได้รับรางวัล Best Safari Guiding Team in Africa จาก The Safari Awards ประจำปี 2024)

 

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

 

“สิ่งที่ผมสอนไกด์รุ่นใหม่เสมอคือคุณต้องมีความสุข”

 

บริษัทของเราเริ่มฝึกนักนำเที่ยวมาตั้งช่วงปี 1990 ผมจึงสอนมาหลายรุ่นจนนับไม่ได้แล้ว สิ่งที่พวกเราเชื่อคือการปลูกฝังไกด์รุ่นใหม่ตั้งแต่เนิ่นๆ ให้พวกเขาเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานเพื่อให้สามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดได้ด้วยตัวเอง ซึ่งแบบนี้พวกเขาจะไปได้ไกล อีกอย่างที่นี่พวกเราดูแลกันและกัน ไม่ใช่แค่คุณจ่ายเงินเพื่อให้เราดูแลและสอนคุณ

 

สิ่งที่ผมสอนไกด์รุ่นใหม่เสมอคือคุณต้องมีความสุข เพราะแขกทุกคนที่เดินทางมาหาเราก็ต้องการความสุขด้วย คุณจึงต้องมีความสุขและคอยมอบความสุขให้แขกอยู่เสมอ นักเดินทางทุกคนที่มาถึงแคมป์คือคนที่ตั้งใจมาจริงๆ ผมจึงเชื่อเสมอว่าแขกทุกคนต้องได้รับช่วงเวลาที่มีคุณภาพกลับไป เพราะพวกเขาคู่ควรกับสิ่งนั้น ในฐานะไกด์ซาฟารี คุณจึงต้องเตรียมพร้อมและขยันอยู่เสมอ

 

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

 

“เมื่อคุณมาหาเรา คุณก็เปรียบเสมือนครอบครัวของเรา”

 

บอตสวานาเป็นหนึ่งในประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก สามารถมาเที่ยวได้ทุกวัย ผมเคยดูแลแขกตั้งกลุ่มเพื่อน สามีภรรยา หรือครอบครัวที่มาพร้อมเด็กๆ ถ้าถามว่าประสบการณ์ไหนผมประทับใจที่สุดคงตอบไม่ได้ เพราะทุกซาฟารีมีเรื่องราวของตัวเอง แต่ที่แน่นอนคือการท่องเที่ยวซาฟารีในแอฟริกาจะทำให้คุณได้เห็นธรรมชาติที่งดงามที่สุดเพราะไม่ถูกรบกวน

 

แคมป์ซาฟารีของเรายอดเยี่ยมจนคุณอาจคาดไม่ถึง ทีมของเราสามารถจัดการทริปให้ได้ตามที่คุณต้องการ แค่คุณบอกพวกเขาเท่านั้น ผมเชื่อเลยว่าถ้าคุณพร้อมทำความเข้าใจการเที่ยวซาฟารีและเชื่อในทีมของพวกเรา คุณจะได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา หรือสัตว์ป่า ทริปนี้จะทำให้คุณมองสิ่งรอบตัวต่างออกไป

 

และชาวบอตสวานาอยู่กันแบบครอบครัว เมื่อคุณมาหาเรา คุณก็เปรียบเสมือนครอบครัวของเราด้วย บอตสวานาไม่ทำการท่องเที่ยวแบบ Mass Tourism นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเราผูกพันกับแขก ผมจำดีเทลได้เกือบทุกทริปที่ได้ดูแล เพราะพวกเราไปรับคุณตั้งแต่สนามบินจนมาถึงแคมป์ซาฟารี คุณจะได้รู้จักพวกเราทุกคน และพวกเราก็ดูแลพวกคุณไปจนจบทริป เพราะฉะนั้นถ้าหากมีโอกาสผมอยากให้ทุกคนมาเที่ยวซาฟารีที่บอตสวานา นี่คือประเทศที่สวยงามและต้องมาสักครั้งในชีวิต

 

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

Super Sande ไกด์ซาฟารีแห่งบอตสวานา

 

ปัจจุบัน Super เป็นหัวหน้าไกด์ที่ Jack’s Camp ซึ่งตั้งอยู่ใน Makgadikgadi Salt Pans ที่ราบเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งอยู่กลางทุ่งหญ้าแห้งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบอตสวานา นอกจากนี้ Super ยังทำงานเป็นไกด์ส่วนตัวสำหรับซาฟารีเคลื่อนที่และฝึกอบรมมัคคุเทศก์ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโอคาวังโกด้วย

 

หากใครสนใจเดินทางไปเที่ยวซาฟารีที่บอตสวานา Super บอกว่าแนะนำให้มาใช้เวลาที่นี่สัก 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้นก็กำลังดี เพราะคุณจะมีเวลาปรับตัว มีโอกาสดูอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะ ‘บิ๊กไฟว์’ ซึ่งหมายถึง สิงโต เสือดาว แรด ช้าง และควายป่าแอฟริกา ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของซาฟารี

สำหรับคนไทยสามารถสอบถามข้อมูลเพื่อเที่ยวซาฟารีที่บอตสวานาได้ผ่าน A2A Safaris ซึ่งก่อตั้งโดยชาวเอเชีย โดยพวกเขาจะคอยดูแลและประสานงานกับแคมป์ต่างๆ ในแอฟริกาเพื่อจัดการทริปให้เรา สามารถทำความรู้จักพวกเขาได้ผ่านเว็บไซต์ www.a2asafaris.com/africa/

The post คุยกับสุดยอดไกด์ซาฟารีจากแอฟริกา ‘Super Sande’ นักพิทักษ์สัตว์และธรรมชาติแห่งบอตสวานา appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) แพทย์ผู้เปลี่ยนปัญหาผิวสู่พลังความมั่นใจและความสำเร็จในชีวิต https://thestandard.co/life/dr-tha-romrawin-clinic-success Sun, 25 May 2025 01:00:14 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1078045 dr-tha-romrawin-clinic-success

ประสบการณ์กว่า 20 ปี Romrawin เติบโตภายใต้ความตั้งใจและ […]

The post หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) แพทย์ผู้เปลี่ยนปัญหาผิวสู่พลังความมั่นใจและความสำเร็จในชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
dr-tha-romrawin-clinic-success

ประสบการณ์กว่า 20 ปี Romrawin เติบโตภายใต้ความตั้งใจและแพสชันของคุณหมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) หนึ่งในผู้ก่อตั้งคลินิก ในการมอบการดูแลผิวพรรณด้วยเทคโนโลยีและทีมแพทย์ 

 

หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656)

 

ด้วยแรงบันดาลใจจากคุณพ่อที่เป็นแพทย์และความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หมอฐาจึงมุ่งมั่นศึกษาด้านแพทยศาสตร์ ในช่วงการเป็นนักศึกษาแพทย์ คุณหมอฐาได้เห็นถึงปัญหาผิวหนังที่ผู้คนประสบอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสิวหรือฝ้า ทำให้เกิดความสนใจและมุ่งมั่นศึกษาต่อเฉพาะทางด้านผิวหนัง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การดูแลผิว และยังถือเป็นข้อได้เปรียบในการดูแลและเข้าใจถึงปัญหาของคนไข้อย่างแท้จริง

 

แม้ในวัยเด็กคุณหมอฐาอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากนัก ทว่าความหลงใหลในศิลปะได้จุดประกายให้คุณหมอนำเอาศาสตร์แห่งความงามมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ทำให้คุณหมอฐามีมุมมองที่เน้นย้ำถึงความงามเฉพาะตัวและความเป็นธรรมชาติของแต่ละคน ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของแนวคิด ‘For the Better You’ ที่ Romrawin มุ่งมั่นที่จะดูแลให้คุณดูดีขึ้นในแบบที่เป็นตัวคุณอย่างแท้จริง

 

ติดตามเรื่องราวชีวิตและทัศนะด้านความงามของผู้หญิงจากคุณหมอฐาได้ใน Passion Calling x Romrawin with Dr.Tha

 

หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656)

 

แพทย์ด้านความงามกับแพทย์ผิวหนังมีความแตกต่างกันอย่างไร 

 

หมอฐา: เท่าที่หมอมีประสบการณ์หรือหมอเห็นมาตลอดนะคะ หมอก็พบว่าการเป็นแพทย์ผิวหนังทำให้ มีความรู้ความเข้าใจถึงกลไกการทำงานของผิวหนัง โครงสร้างของผิวหนังว่ามันมีกี่ชั้น มันทำงานอย่างไร หรือโรคผิวหนังมันมีอะไรบ้าง 

 

ผื่นที่หน้าไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นสิวเสมอไป ตุ่มที่หน้าไม่ใช่สิวเสมอไป รอยดำที่เป็นปื้นที่หน้า ไม่ได้แปลว่าจะเป็นฝ้าเสมอไป อาจจะเป็นจากการแพ้หรืออาจจะเกิดจากภาวะอื่นๆ ได้ ภาวะในร่างกายอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ผิวหนังออกมาในรูปแบบต่างๆ ได้ 

 

มันเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถดูแลผิวหน้าหรือผิวหนังทั้งหมดของคนไข้ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ แล้วหลังจากนั้นก็นำมาสู่การดูแลทางด้านความงาม ถ้าเราใช้ความรู้จากการที่เป็นหมอผิวหนัง เราก็จะรู้ถึงการทำงานของผิวได้ดี รู้ว่าเครื่องมือตัวนี้กลไกการทำงานมันลงไปอย่างไร มันทำงานอย่างไรกับผิวหนัง ก็จะทำให้เราเลือกใช้เครื่องมือแก้ไข ดูแลรักษา เสริมความงามให้กับผู้ที่มารับบริการได้อย่างแม่นยำแล้วก็ถูกต้องมากขึ้น ตรงจุดมากขึ้น ได้ผลดีมากขึ้นค่ะ

 

ส่วนใหญ่แล้วปัญหาผิวของคนไทยที่หมอฐาพบบ่อยคืออะไร 

 

หมอฐา: ฝ้าและกระเป็นปัญหาหลักของคนในประเทศไทย รวมทั้งประเทศในแถบเอเชียที่มีแสงแดดอยู่เป็นประจำ ถามว่ามีวิธีแก้ไขอย่างไร ทาครีมค่ะ ทาครีมแล้วก็ต้องหลบสาเหตุด้วยก็จะหาย หนึ่งคือครีมให้ความชุ่มชื้น ให้ผิวหน้าเราชุ่มชื้นอยู่เรื่อยๆ สองคือจะต้องเป็นครีมที่มีความสามารถในการลดการทำงานของเม็ดสีได้ เพราะว่าคนเราจะมีเซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ใต้ผิวค่ะ เมื่อได้รับการกระตุ้นจากสาเหตุอะไรก็ตาม ทำให้มันสร้างเม็ดสีมากขึ้นก็จะเกิดกระหรือฝ้าขึ้นมาได้ แล้วเราก็ต้องหลบสาเหตุที่จะกระตุ้นให้มันดำมากขึ้นมาร่วมด้วย มันถึงจะได้ผลดี 

 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกใช้ครีมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าแม้แต่ครีมที่ลดการทำงานของเม็ดสีเองก็มีสารอยู่หลายชนิด สารบางอย่างทำให้มันลดการทำงานของเม็ดสีได้ดี ฝ้าจางเร็ว กระจางเร็ว แต่มีผลเสียระยะยาวได้ บางทีอาจจะเป็นพิษต่อตับต่อไต หรือบางทีจะเกิดจุดด่างขาวที่ผิวหน้าหรือกลายเป็นหน้าแดงๆ เห่อๆ อยู่ตลอดเวลา หรือบางทีก็จะทำให้หน้าบางถ้ามันลอกมากเกินไป เพราะฉะนั้นการใช้ครีมก็ต้องเลือกให้ถูกต้องตามสภาพผิว แล้วก็ปกป้องด้วยการใช้ครีมกันแดด 

 

ครีมกันแดดปัจจุบันมีวิวัฒนาการเยอะแยะมากมายจริงๆ ในอดีตเราจะได้ยินคนแนะนำหรือคุณหมอแนะนำให้เลือกครีมกันแดดที่กันรังสี UVA และ UVB ที่ทำให้เกิดปัญหาฝ้ากระ แต่ปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้นเนื่องจากว่าแสงมันมีหลายความยาวคลื่น มันจะมีครีมกันแดดที่มีจะกันรังสีได้กว้างขึ้น เช่น รังสีที่เรามองเห็นจากการใช้คลื่นเครื่องมือโซเชียล หรือจากการใช้แสงจากความร้อนพวกนี้อีกค่ะ มันจะมีครีมกันแดดที่มีความสามารถในการป้องกันได้มากขึ้น 

 

การที่เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เองมันเป็นสิ่งที่ดีระดับหนึ่ง แต่ถ้าเรามีความรู้มากขึ้นโดยการมาปรึกษาผู้รู้หรือคุณหมอก็จะได้รับผลดีมากยิ่งขึ้นค่ะ ช่วยกันหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไรเพราะอาจจะไม่ใช่แค่การโดนแดด โดนความร้อน อาจจะเป็นที่ฮอร์โมนในร่างกายของเรา ถ้าพบกับคุณหมอก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นค่ะ

 

หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656)

 

เวลาคนไข้ก้าวเข้ามาในคลินิก คุณหมอมีเทคนิครักษาคนไข้อย่างไร 

 

หมอฐา: อย่างที่กล่าวไปข้างต้นคือเริ่มจากครีม เราก็จะเลือกชนิดที่ถูกต้องให้ว่าเขาควรจะต้องใช้ครีมตัวไหน ต่อด้วยการใช้ครีมกันแดดแบบไหน

อย่างที่สามคือการทำทรีตเมนต์บางอย่างเพื่อให้ผิวของเขาแข็งแรงมากขึ้น เป็นรอยดำน้อยลง รวมทั้งบางคนอาจจะต้องใช้เลเซอร์ 

 

เลเซอร์อาจจะไม่ใช่เรื่องแรกในการมารักษา รอยดำบนผิวหน้าเนี่ยบางคนจะคิดว่าเป็นฝ้าเป็นกระเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ รอยดำเนี่ยมีหลายชนิด เป็นกระแบบวัยรุ่นเล็กๆ เป็นกระแดดแบบผู้ใหญ่มากขึ้น หรือแม้แต่เป็นกระเนื้อคือมีความหนาขึ้น การรักษาเนี่ยมันแตกต่างกัน แล้วก็ถ้าอย่างที่นูนๆ มากขึ้น การจี้ทำลายออกไปก็ได้ผลดี อันที่เป็นดวงๆ มันก็ต้องมีเลเซอร์ที่มีความเฉพาะเจาะจงต่อเม็ดสีไปทำลาย โดยที่ไม่ทำลายผิวรอบๆ เพราะฉะนั้นเกิดปฏิกิริยารอยดำตามมาก็น้อยลง แล้วก็ยังมีกระลึกอีกนะ กระลึกก็หมายความว่าดูดำๆ เทาๆ แล้วเม็ดสีอยู่ลึกๆ การทายาอย่างเดียวไม่ได้ผลจะต้องใช้เลเซอร์กลุ่มที่สามารถลงไปทำลายเม็ดสีลึกๆ โดยที่ไม่ได้ทำลายผิวชั้นบนเลย เพราะฉะนั้นมันมีความซับซ้อนในการที่จะเลือกเลเซอร์ 

 

ก่อนหน้านี้คนอาจจะได้ยินตัวที่มีความนิยมในปัจจุบันนี้คือ Pico Laser ใช่ไหมคะ เริ่มต้นในอดีตเนี่ยการรักษาฝ้าโดยมือเนี่ย อันนี้ไม่พูดถึงการทายาซึ่งต้องทำอยู่แล้วนะคะ ก็มาพูดถึงเรื่องเลเซอร์ซึ่งการใช้เลเซอร์ในอดีต เราก็จะเป็นเลเซอร์ที่ลงไปกระแทกเม็ดสีให้มันถูกทำลายแล้วก็ร่างกายขจัดออกไป แต่ก็พบว่าบางคนอาจจะต้องหลบแดดเป็นพิเศษ ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะดำมากขึ้นหรือมีรอยดำตามมานาน การใช้ Pico Laser เริ่มมีบทบาทเข้ามาในช่วงใกล้ๆ นี้ในแง่ที่ว่ามันสามารถทำลายเม็ดสีโดยที่ไม่ทำให้เกิดความร้อนหรือกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาของผิวมากมายแล้วก็ทำลายเม็ดสีย่อยๆ ได้ละเอียดแล้วก็ให้ร่างกายขจัดออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่า Pico Laser อย่างเดียวจะรักษาฝ้าได้หมด มันก็จะต้องมีเทคนิคในการทำ 

 

Pico Laser ยังมีความยาวคลื่นแตกต่างอีกนะคะ ความยาวคลื่นหนึ่งอาจแค่ทำให้รอยดำจางลงโดยทั่วๆ ไป อีกความยาวคลื่นหนึ่งอาจจะแก้กระ ทำให้มันเป็นสะเก็ดบางๆ หลุดไปเลย 

 

ในอดีตคนอาจจะกลัว ไม่กล้ามาทำเลเซอร์เพราะมันอาจจะต้องรักษาหน้านาน หลบแดดนาน แต่เดี๋ยวนี้ปฏิกิริยาผลข้างเคียงมันน้อยค่ะ ถ้าเป็นเลเซอร์ที่ไม่ได้ลอกผิวหรือทำให้ผิวชั้นบนออกไป ไม่ได้ทำให้ผิวบางขึ้นค่ะ ในระยะยาวผิวที่ถูกกระตุ้นกลับจะหนาแน่นเพิ่มขึ้นมาด้วยซ้ำไป 

 

การดูแลรักษาฝ้ามันเป็นงานศิลปะชนิดหนึ่ง ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความชำนาญ จากการที่มีประสบการณ์มาเยอะๆ จะทำให้เราดูแลเคสเหล่านี้ได้ดีมากขึ้น รวมทั้งจากการที่มีวิวัฒนาการของเครื่องมือมากขึ้นค่ะ

 

หมอฐามองว่าคุณสมบัติอะไรที่ต้องมีถ้าอยากให้ตัวเองดูสวยแบบธรรมชาติ

 

หมอฐา: ถ้าจะดูสวยแบบธรรมชาติ คุณสมบัติขั้นต้นเลยก็คือคุณภาพผิวค่ะ คุณภาพผิวต้องดีก่อน ยกตัวอย่างเช่น สิว มีบ้างนิดๆ หน่อยๆ ได้ แต่อย่ามีเยอะจนดูว่าเราเป็นคนสกปรกหรือดูน่ารังเกียจ ฝ้ามีได้ แต่อย่าให้ถึงกับดำมากเกินไป แล้วที่สำคัญคือผิวแพ้ง่ายที่เห่อๆ เป็นผื่นอยู่เรื่อยๆ อันนี้ก็แก้ไขให้มันหมดไป ให้มันดูเรียบเนียน แล้วก็สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือความชุ่มชื้นของผิวค่ะ จะต้องดูชุ่มชื้น ทำให้ผิวหน้าดูฉ่ำวาว พื้นฐานของผิวเนี่ยสำคัญที่จะนำไปสู่ความงามขั้นต่อไปค่ะ

 

พูดถึงความงาม นิยามความในแบบฉบับของหมอฐาเป็นอย่างไร

 

หมอฐา: ความงามในแบบฉบับของหมอฐาเนี่ยก็จะต้องเป็นความงามที่ดูดีเป็นธรรมชาติ ไม่มีใครรู้ว่าเราไปตกแต่งเสริมอะไรขึ้นมาค่ะ ดูสดชื่น ทำให้เกิดความมั่นใจ แล้วทุกอย่างก็จะดูเป็นความงามที่ดีมากขึ้น 

 

ในฐานะที่เป็นแพทย์ผิวหนัง โดยส่วนตัว หมอฐาคิดว่าหัตถการใดที่คุณหมอเชี่ยวชาญที่สุด

 

หมอฐา: สำหรับตัวเอง จริงๆ เราก็คิดว่าเราทำได้ดีในหลายๆ เรื่องนะคะ แต่เรื่องที่เราทำได้ดีในแง่ที่ว่าทำให้คนไข้ประทับใจแล้วก็กลับไปใช้ชีวิตที่ดีมากขึ้นได้ก็จะเป็นเรื่องของผื่นแพ้ง่ายแล้วก็เรื่องสิว ก็คือปัญหาพื้นฐานของผิว สภาพผิวจะต้องดีค่ะ ยกตัวอย่างเรื่องการรักษาสิวก่อน หลายๆ คนอาจจะทายา อาจจะกินยาบ้างค่ะแล้วก็ดีขึ้น แต่บางครั้งเราจะพบว่ามันหายไม่หมดสักที มันก็จะเหลือขึ้นๆ ยุบๆ หรือบางทีก็เหลือรอยดำๆ ให้เห็นอยู่นั่นแหละ แต่จากการที่ว่าเราเป็นหมอผิวหนังเราจะรู้ว่าข้างใต้ผิวเนี่ย มันจะต้องมีการอุดตันซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดสิวแล้วมันยังไม่หมด มันถึงได้สร้างขึ้นมาใหม่ เกิดการอักเสบขึ้นมาใหม่ แล้วรอยดำก็ไม่มีทางหายถ้าข้างล่างยังหายไม่หมด เราก็จะต้องมารักษาถึงต้นเหตุให้มันหาย 

 

การอุดตันข้างล่าง นอกจากการกดสิวให้มันออกแล้วก็ยังมีวิธีอื่นๆ รวมทั้งมีเครื่องมืออื่นๆ ที่นำมาใช้ได้อีกเยอะ ที่นี้ถ้าเราแก้ปัญหาสิวเกลี้ยงหมดเขาก็จะไม่ค่อยมีแผลเป็นตามมา ในอดีตเราจะพบว่าคนเป็นแผลเป็น เป็นรอยหลุมจากสิวเยอะมาก แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีแล้วถ้าเรารักษาตั้งแต่ต้นหรือมีเครื่องมือเครื่องไม้ในการรักษาสิวได้ดีเขาก็จะมีชีวิตที่มีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้น เหมือนกับนิยาม ‘For the Better You’ ทุกคนสามารถที่จะดูดีขึ้นได้ ดีขึ้นในแบบฉบับของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ค่ะ การที่เราดูดีขึ้นจะทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมาแล้วก็สิ่งดีๆ ก็จะตามเข้ามา

 

มีเคสคนไข้ที่ประทับใจไม่ลืมเลยบ้างไหม 

 

หมอฐา: มีเรื่องประทับใจอยู่เรื่อยๆ ค่ะ ก็จะมีน้องคนหนึ่งที่มีสิวเต็มหน้าเลยนะ ความจริงสวยนะคะ เป็นคนที่สวยแต่ว่ามีสิวเต็มหน้าเลยแดงๆ เต็มไปหมด สิวเม็ดใหญ่ๆ มันไม่ใช่แค่ไม่สวยอย่างเดียว มันจะเจ็บด้วย ความมั่นใจเขาก็น้อยลงแล้วยิ่งเขาเป็นคนสวยอยู่แล้วด้วยแล้วมามีปัญหาอย่างนี้ก็ไม่อยากไปไหน คุณแม่ก็พามารักษา พอเรารักษาดูแลเขา ภาวะพวกนี้หายไปหมด ในที่สุดเขาก็ไปใช้ชีวิตปกติได้ ไปเรียนหนังสือต่อ ประสบความสำเร็จในชีวิต จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งซึ่งเขาจัดงานแต่งงาน เราก็ลืมเขาไปแล้วแหละ ตัวเขาและคุณแม่เขาก็มาเชิญ เหมือนกับว่าเราทำให้เขามีวันนี้ ก็ปลื้ม (คุณหมอน้ำตาคลอ)

 

หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656)

 

จากจุดเริ่มต้นจนถึงวันนี้ เคยมีช่วงที่คุณหมอเบิร์นเอาต์บ้างไหม

 

หมอฐา: จากการทำงานที่ผ่านมา ช่วงแรกๆ ก็จะต้องทำงานหนักหน่อยเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มีคนมารักษาแล้วเขาดีขึ้นได้ หรือว่าคลินิกอยู่รอดได้ คุณหมอที่อยู่ด้วยกันสามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้ดีแล้วก็คลินิกมีชื่อเสียงมากขึ้น ทุกอย่างก็ต้องใช้ความสามารถแล้วก็ทำงานเยอะหน่อยค่ะ 

 

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราคิดว่าเรามีทั้งความรู้ เรามีทั้งเครื่องมือที่ดีเต็มที่ มีคุณหมอที่มีประสบการณ์มาช่วยเราแล้วเนี่ย เราก็เริ่มจะทำน้อยลงได้ แต่ว่าความรู้สึกที่ว่าไม่ได้อยากทำแล้ว เหนื่อยแล้ว คงไม่ใช่ เราทำน้อยลงได้แต่ต้องในขณะที่เราดูแลควบคุมในคุณภาพที่ดีได้ด้วย 

 

เราจะต้องรู้ความต้องการของคนไข้ รู้ว่าเขาชอบอะไร เขาไม่ชอบอะไร แล้วอะไรที่ทำให้เขาดีขึ้นได้อันนี้เราจะต้องรู้เอง บางครั้งเราฟังจากคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหมอก็ยังคงจะต้องทำงานอยู่ เพียงแต่ว่าจะต้องทำในขนาดที่พอเหมาะค่ะ แล้วก็ไม่ใช่แค่เรื่องการทำงาน ก็จะต้องมีทางด้านชีวิตครอบครัวรวมทั้งประสบการณ์ในชีวิตที่เราเกิดมาแล้ว เราควรจะต้องมีบ้างเพื่อความสุขในชีวิตของเราด้วยค่ะ

 

สุดท้ายแล้วเราต้องบาลานซ์

 

หมอฐา: ความชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน บางคนชีวิตเขาอาจจะชอบทำงาน อาจจะชอบไปเที่ยว มันก็แล้วแต่คน แต่สำหรับหมอ หมอรู้สึกว่าโอเค หมอทำงาน หมอมีคนไข้ มีคนรู้จัก มีเพื่อน แต่หมอก็ยังชอบที่จะไปเดินทางท่องเที่ยวหรือการไปมองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้มันนำมาปรับใช้กับตัวเองและนำมาปรับใช้กับการทำงานได้ด้วยค่ะ

 

หมอฐาได้เรียนรู้อะไรจากการเป็นแพทย์ผิวหนังและแพทย์ด้านความงามในวันนี้บ้าง 

 

หมอฐา: การที่เราทำงานเป็นหมอผิวหนัง เป็นหมอความงามมันเป็นการช่วยคนได้ดีทีเดียวค่ะ หลายคนอาจจะมองว่ามันดูผิวเผินเกินไป มันไม่ใช่การรักษาโรคที่ร้ายแรง แต่จริงๆ แล้วเนี่ยมันช่วยทำให้คนหลายๆ คนมีความสุขมากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น แล้วเขาก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้นค่ะ อันนี้คือสิ่งที่หมอมีความภาคภูมิใจค่ะ

 

หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656)

 

การที่เราดูดีขึ้นทำให้เราประสบความสำเร็จได้

 

หมอฐา: อันนี้เป็นเรื่องจริง การที่เราดูดีขึ้นมันจะนำมาสู่ความมั่นใจ แล้วก็ทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตในหลายๆ ด้านนะคะ บางคนพูดว่ามันเหมือนการลงทุน เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแล้วก็ได้ผลประโยชน์เยอะค่ะ

 

อยากฝากอะไรถึงคนที่ไม่มั่นใจในความสวยของตัวเอง

 

หมอฐา: หลายคนไม่มีความมั่นใจกับความสวยของตัวเอง แม้กระทั่งหมอเองที่ผ่านมาก็ไม่ได้เป็นคนสวย แต่ที่ทำงานมาจนถึงปัจจุบันนี้พบว่า ทุกๆ คนมีความสวยซ่อนอยู่ในตัวเองค่ะ ไม่จุดใดก็จุดหนึ่ง เราควรที่จะมองหาให้เจอแล้วก็นำสิ่งนั้นขึ้นมา อาจจะเติมเสริมแต่งนิดหนึ่ง อาจจะดูแลแก้ไขให้มันสวยงามแบบธรรมชาติ แล้วมันก็จะทำให้เขาสวยขึ้น ดูดีมากขึ้น หรือประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้น

 

อยากบอกอะไรกับ Romrawin ในวันนี้

 

หมอฐา: ขอให้เราคงคุณภาพของการบริการของการดูแลคนไข้ ดูแลคนที่มารับบริการให้มีประสิทธิภาพแล้วก็ดีมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อความสุขทั้งตัวเราเองและคนที่เข้ามาใน Romrawin ค่ะ

 

หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656)

 

Romrawin Clinic

Open: ตรวจเวลาทำการได้ทางเว็บไซต์ Romrawin Clinic

Address: ตรวจสอบสาขาได้ทางเว็บไซต์ Romrawin Clinic

Tel: 08 0153 9000, 08 0154 9000

Website: https://www.romrawin.com

Instagram: https://www.instagram.com/romrawinclinic

Facebook: https://www.facebook.com/RomrawinClinic

The post หมอฐา-ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล (ว.10656) แพทย์ผู้เปลี่ยนปัญหาผิวสู่พลังความมั่นใจและความสำเร็จในชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Soft Life Movement ใช้ชีวิตแบบ ‘ใจดีกับตัวเองก่อน’ https://thestandard.co/life/soft-life-movement Sat, 24 May 2025 05:30:54 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1077792

เคยไหม อยู่เฉยๆ แล้วรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนตัวเองต้องทำอ […]

The post Soft Life Movement ใช้ชีวิตแบบ ‘ใจดีกับตัวเองก่อน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เคยไหม อยู่เฉยๆ แล้วรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างตลอดเวลา เพราะถ้าไม่รีบก้าวจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ถ้ามันไม่ใช่แค่คุณล่ะ ถ้ามันคือทั้งรุ่นที่เริ่มอิ่มตัวกับการแข่งขัน และอยากเปลี่ยนคำว่า ‘ต้องสำเร็จ’ เป็น ‘ขออยู่ให้สบายใจก่อน’ นี่แหละคือ Soft Life Movement ชีวิตที่ไม่ต้องแข็ง ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องรีบ แต่ ‘ต้องใจดีกับตัวเองให้ได้ก่อน’

 

ชีวิตแบบ Soft ไม่ใช่ชีวิตแบบไม่เอาอะไรเลย

หลายคนเข้าใจผิดว่าการใช้ชีวิตแบบ Soft Life คือการหยุดวิ่งหรือปฏิเสธความทะเยอทะยาน แต่จริงๆ แล้วมันคือการกลับไปฟังจังหวะภายในตัวเองอีกครั้ง แล้วเลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับความรู้สึก ไม่ใช่ความกดดันจากภายนอก เราอาจยังมีเป้าหมาย มีแพสชัน มีงานที่ต้องรับผิดชอบเหมือนเดิม แต่เราเริ่มตั้งคำถามใหม่ว่า เราจะไปถึงตรงนั้นด้วยวิธีที่ ‘ปลอดภัยกับใจเรา’ ได้ไหม

 

เหนื่อยจนชา ไม่ใช่เครื่องหมายของความเก่งอีกต่อไป

หลังจากผ่านยุคของ Hustle Culture ที่ทำให้เราชินกับคำว่า ‘พักไว้ก่อน เดี๋ยวสำเร็จแล้วค่อยหายใจ’ คนจำนวนมากเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า ความสำเร็จที่แลกมากับการหมดไฟ ความเครียดเรื้อรัง หรือร่างกายพัง มันคุ้มค่าจริงๆ หรือเปล่า Soft Life ไม่ใช่ข้ออ้างของคนขี้เกียจ แต่มันคือทางเลือกของคนที่ตระหนักว่า ความสุขไม่ควรถูกผูกไว้กับ Productivity อย่างเดียว

 

Rest ไม่ได้แปลว่าหยุด แต่คือการตั้งค่าใหม่ให้ใจได้หายใจ

หนึ่งในหัวใจของ Soft Life คือการให้ ‘การพัก’ มีสถานะเท่ากับ ‘การทำ’ เพราะเมื่อเราพักแบบรู้ตัว เราไม่ได้แค่ชาร์จพลัง แต่เรากำลังส่งสัญญาณให้ระบบประสาทรู้ว่าเราปลอดภัย ไม่ต้องระแวง ไม่ต้องวิ่งหนีอะไร Soft Life จึงไม่ใช่แค่คำสวยๆ แต่คือกระบวนการ Healing ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ถ้าเราให้พื้นที่กับความสงบ

 

Boundaries คือของจำเป็น ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย

การใช้ชีวิตแบบอ่อนโยนต้องมาพร้อมการรู้ว่า ‘ขอบเขต’ ของเราคืออะไร การปฏิเสธงานที่เกินแรง การไม่ตอบข้อความดึกดื่น การเลือกคนที่ทำให้เราไม่ต้องระวังตัวมากเกินไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความเย็นชา แต่คือความอ่อนโยนที่จริงใจที่สุดที่เรามอบให้ตัวเอง เมื่อเราไม่ใช้พลังงานไปกับการอดทนเกินจำเป็น เราจะมีพลังงานเหลือพอให้กับสิ่งที่เรารักอย่างแท้จริง

Soft Life ไม่ได้แปลว่าใช้ชีวิตช้า แต่คือเลือกเดินตามจังหวะที่ใจไหว

บางคนอาจตื่นเช้า บางคนอาจทำงานกลางคืน บางคนอาจชอบงานที่ท้าทาย บางคนอาจหลงรักงานที่เรียบง่าย ไม่มีสูตรเดียวสำหรับชีวิตที่ดี แต่สิ่งที่ Soft Life พยายามจะบอกเราคือ ทุกคนมีจังหวะของตัวเอง และมันโอเคถ้าเราจะเดินช้ากว่าคนอื่น ตราบใดที่ใจเรายังเดินอยู่กับเรา

 

The post Soft Life Movement ใช้ชีวิตแบบ ‘ใจดีกับตัวเองก่อน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
การสร้างพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ใช้สอย https://thestandard.co/life/urban-green-space-design Sat, 24 May 2025 03:00:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1076116 urban-green-space-design

ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันอยู่หน้าจอ […]

The post การสร้างพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ใช้สอย appeared first on THE STANDARD.

]]>
urban-green-space-design

ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันอยู่หน้าจอ ไม่ว่าจะเพื่อทำงาน เรียน หรือพักผ่อน สิ่งที่ขาดหายไปจากวิถีชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆ คือ ‘ธรรมชาติ’ และความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว การสร้าง ‘พื้นที่สีเขียว’ ภายในบ้านเดี่ยวจึงกลายเป็นมากกว่าการจัดสวนสวยเพื่อความรื่นรมย์ แต่เป็นการออกแบบวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ช่วยฟื้นฟูพลังใจ พลังกาย เชื่อมโยงคนในบ้านเข้าด้วยกันอย่างลึกซึ้ง

 

พื้นที่สีเขียว พื้นที่สีเขียว

 

พื้นที่สีเขียวกับพื้นที่ใช้สอย การบรรจบกันของความลงตัว

 

แนวคิดใหม่ในการออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเน้นไปที่การผสาน ‘พื้นที่สีเขียว’ เข้ากับ ‘พื้นที่ใช้สอย’ แทนที่จะจัดสวนไว้เพียงมุมหนึ่งของบ้านเดี่ยวอย่างโดดเดี่ยว นักออกแบบหลายคนเลือกที่จะให้ธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นครัวที่เปิดรับวิวสวน ห้องนั่งเล่นที่ปลูกต้นไม้ในบ้านได้ หรือแม้แต่ห้องน้ำที่มีแสงธรรมชาติและมุมต้นไม้เล็กๆ เพื่อความผ่อนคลาย

 

การลบเส้นแบ่งระหว่าง ‘ภายนอก’ กับ ‘ภายใน’ กลายเป็นหัวใจของงานออกแบบในแนวทางนี้ เช่น การเลือกใช้ผนังกระจกบานเลื่อนที่สามารถเปิดโล่ง เชื่อมต่อห้องนั่งเล่นกับระเบียง หรือการวางผังบ้านให้มีคอร์ตยาร์ดตรงกลางที่ปลูกต้นไม้ใหญ่ ช่วยให้แสง ลม และสีเขียวจากธรรมชาติเข้ามาอยู่ในสายตาทุกช่วงเวลา โดยไม่จำเป็นต้องออกจากบ้าน

 

ธรรมชาติที่มีชีวิตในกิจกรรมประจำวัน

 

เมื่อพื้นที่สีเขียวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สิ่งที่ตามมาคือ ‘คุณภาพชีวิต’ ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การมองเห็นสีเขียวจากต้นไม้ในบ้านเดี่ยวสามารถช่วยลดความเครียดและเพิ่มสมาธิได้ การนั่งจิบกาแฟยามเช้าท่ามกลางเสียงนกและแสงแดดอ่อนๆ ช่วยให้จิตใจสงบ และสร้างช่วงเวลาที่มีคุณค่าระหว่างสมาชิกในครอบครัว

 

ธรรมชาติยังเป็นครูที่เงียบงันซึ่งส่งเสริมการเรียนรู้และการเติบโตของเด็กๆ ในบ้าน การมีแปลงผักเล็กๆ ที่เด็กๆ ได้ลงมือปลูกและดูแลด้วยตนเอง หรือการเฝ้าดูแมลง ผีเสื้อ ที่แวะเวียนมาในสวน เป็นกิจกรรมที่เติมเต็มจินตนาการและความเชื่อมโยงกับโลกภายนอก

 

พื้นที่สีเขียว พื้นที่สีเขียว

 

การออกแบบเพื่อความยั่งยืนและสมดุล

 

แนวคิด Biophilic Design คือคำตอบของการออกแบบพื้นที่ให้เชื่อมโยงกับธรรมชาติในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน หรือผ้าฝ้าย การออกแบบให้แสงธรรมชาติเข้าถึงภายในบ้านในช่วงเวลาที่เหมาะสม ช่วยประหยัดพลังงานและสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น

 

การวางผังบ้านที่รองรับการถ่ายเทอากาศตามธรรมชาติ หรือแม้แต่การใช้หลังคาเขียว (Green Roof) และผนังต้นไม้ (Vertical Garden) ก็เป็นอีกตัวอย่างของการออกแบบเพื่อความยั่งยืน ไม่เพียงแต่ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านเดี่ยว แต่ยังเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อมในระดับครัวเรือน

 

ในมุมของจิตใจ การออกแบบพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คนในบ้านได้พบปะ พูดคุย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งร่วมกัน คือการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง ลดช่องว่างของแต่ละวัย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของครอบครัวที่สมดุล

 

พื้นที่สีเขียว พื้นที่สีเขียว

 

พื้นที่แห่งการฟื้นฟูในโลกยุคดิจิทัล

 

แม้เทคโนโลยีจะเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต แต่ความสมดุลคือหัวใจของการมีชีวิตอย่างมีคุณภาพ พื้นที่สีเขียวที่ถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจจึงกลายเป็น ‘ที่พักของใจ’ ซึ่งสามารถหลบจากเสียงแจ้งเตือนและจอสีฟ้าได้ชั่วขณะ เพื่อเชื่อมโยงกับตัวเองและคนรอบข้างในโลกจริง

 

เพราะสุดท้ายแล้ว ‘บ้านเดี่ยว’ ที่ดีไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่ควรเป็นพื้นที่ที่ช่วยบำรุงทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ พื้นที่สีเขียวที่กลมกลืนกับการใช้ชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่คือการลงทุนระยะยาวเพื่อสุขภาพ ครอบครัว และโลกที่เราอยากส่งต่อให้คนรุ่นถัดไป

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://apth.ly/a9h5

 

[Content in Partnership with AP]

 

The post การสร้างพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ใช้สอย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภารกิจพิชิตทะเลทราย 33 กม. กลางทะเลทรายเทงเกอร์ ประเทศจีน ที่เหนื่อยที่สุดแต่คุ้มที่สุดในชีวิต https://thestandard.co/tengger-desert-challenge-33km-adventure/ Fri, 23 May 2025 16:39:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1077813 ทะเลทรายเทงเกอร์

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับภารกิจสุดท้าทายในงาน 14th Red Bull D […]

The post ภารกิจพิชิตทะเลทราย 33 กม. กลางทะเลทรายเทงเกอร์ ประเทศจีน ที่เหนื่อยที่สุดแต่คุ้มที่สุดในชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทะเลทรายเทงเกอร์

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับภารกิจสุดท้าทายในงาน 14th Red Bull Desert Adventure 2025 ที่จัดขึ้นกลางทะเลทรายเทงเกอร์ (Tengger Desert) ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 2-4 พฤษภาคม 2568 งานนี้มีนักวิ่ง 4,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาระดับ MBA และ EMBA จากมหาวิทยาลัยร่วม 110 แห่ง โดยมีเรดบูล ภายใต้กลุ่มธุรกิจ TCP มาเป็นสปอนเซอร์หลักครั้งแรก ความท้าทายครั้งนี้ไม่ใช่แค่งานวิ่งธรรมดา แต่คือการพิชิตทะเลทรายแบบเอาตัวรอด 3 วัน 2 คืน ที่เราต้องแบกทุกอย่างไปเอง ตั้งแต่เต็นท์ อาหาร อุปกรณ์ทำครัว ถุงนอน และของใช้ส่วนตัวทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับ DNA ของแบรนด์เรดบูลที่พร้อมปลุกพลังให้ทุกคนทลายขีดจำกัดทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ 

 

ตัวแทนทีม Red Bull จากประเทศไทย

 

ก่อนอื่นต้องบอกว่าก่อนมาร่วมงานนี้ เราไม่เคยคิดว่าตัวเองจะออกจาก comfort zone ได้ไกลขนาดนี้ แต่ด้วยความท้าทายและการได้ร่วมงานที่เป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมไทย ที่ทุกคนมาพร้อมเป้าหมายเดียวกัน คือ อยากวิ่งให้สนุก ปลอดภัย และกลับบ้านพร้อมประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม

 

 

ชุดวันแข่ง 

 

การเดินทางสู่ทะเลทรายเทงเกอร์

 

 

 

ช่วงเวลาที่เราเดินทางไปคือต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศในทะเลทรายมีความแปรปรวนสูง แนะนำว่าใครจะไปควรเตรียมเสื้อผ้าที่รับมือได้ทั้งอากาศร้อนจัดและเย็นจัด เพราะกลางวันแดดแรงแต่กลางคืนหนาวเย็นมาก

 

 

 

เราเริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบิน Yinchuan ใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่คุณหมิง จากนั้นนั่งต่ออีก 2 ชั่วโมง เพื่อมายังเมืองหลวงของเขตหนิงเซี่ย ซึ่งรวมแล้วใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ กว่าจะถึงที่พักในเมือง Alxa ในเขตปกครอง Alxa มณฑลมองโกเลียใน ประตูสู่ทะเลทรายเทงเกอร์

 

 

ภาพบรรยากาศในงาน Expo

 

วันรุ่งขึ้นก็ไปยังสถานที่จัดงาน Expo รับ BIB และอุปกรณ์ต่างๆ ที่นี่เป็นที่ที่เราได้พบกับผู้เข้าแข่งขันจากทั่วเมืองจีน ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจีนที่รวมตัวกันมาเป็นทีม แต่ก็มีนักวิ่งจากหลายประเทศ รวมถึงไทย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ตื่นเต้น และความกังวลผสมกัน จากนั้นก็กลับโรงแรมเพื่อแพ็คกระเป๋ารอบสุดท้าย ก่อนออกเดินทางสู่ทะเลทราย

 

เส้นทางวิ่งที่ไม่เหมือนใคร

 

 

 

งานนี้เราจะวิ่งฝ่าทะเลทรายเทงเกอร์ แบ่งการวิ่งออกเป็น 3 ระยะทาง คือ 33 กิโลเมตร (Team C), 70 กิโลเมตร (Team B) และ 99 กิโลเมตร (Team A) แต่จะไม่ได้วิ่งรวดเดียวจบ ทุกระยะใช้เวลา 3 วัน 2 คืน แบ่งเป็นวิ่งวันละประมาณ 10-30 กิโลเมตร โดยแต่ละวันจะมีเวลา cut-off ที่แตกต่างกัน

 

 

 

สำหรับ 33 กิโลเมตรที่เราเลือก การเดินทางแบ่งเป็นวันแรก 11 กิโลเมตร วันที่ 2 ระยะ 15 กิโลเมตร และวันสุดท้าย 5 กิโลเมตร ฟังดูเหมือนไม่มาก แต่พอเอาเข้าจริงระยะก็เกินไปมากเพราะทะเลทรายไม่ได้มีการตีเส้นหรือทางเดินที่ชัดเจนเหมือนพื้นถนน ทำให้รวมๆ แล้วระยะทางของพวกเราเกิน 33 กิโลเมตรแน่นอน ส่วนเวลาที่ใช้ในแต่ละวันนั้น ‘มากกว่า’ การวิ่งถนน 2 เท่า อย่างวันแรกที่ระยะ 11 กิโลเมตร เราใช้เวลาเดินทางร่วม 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว

 

 

 

ประสบการณ์ที่สุดท้าทาย แต่คุ้มค่าที่สุด

 

 

 

รอบนี้เราลงแข่งระยะ 33 กิโลเมตร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ ‘เบาที่สุด’ ในสามระยะ แต่ในทะเลทราย ไม่มีคำว่าเบา เพราะทุกย่างก้าวล้วนหนักด้วยแรงต้านของผืนทราย และแรงแดดที่ไม่มีอะไรบดบัง รวมถึงเส้นทางที่เป็นเนินขึ้นลงตลอด บางวันเราแทบไม่เจอทางราบเลย

 

 

 

 

แต่แม้จะหนัก แต่สิ่งที่ชอบและประทับใจที่สุดคือ วิวตลอดเส้นทางที่สวย แปลกตา เหมือนหลุดมาจากหนังไซไฟ ทุกอย่างเวิ้งว้างมีแต่ทะเลทรายที่มองไปจะเห็นโอเอซิสอยู่ไกลๆ และแม้แดดจะแรงจ้า แต่อากาศไม่ร้อนอบอ้าว บางช่วงเวลาเราเจอลมเย็นพัดสบายตัว หรือบางวันเจอทั้งแดด ลมพายุ และฝน (ใช่ ฝนตกกลางทะเลทราย!) ในเรซเดียวกันก็มี เรียกได้ว่าอากาศนั้นคาดเดาไม่ได้จริงๆ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ร้อนอบอ้าวและเหนียวตัวเหมือนเวลาไปทะเล

 

 

 

ชีวิตในแคมป์กลางทะเลทราย

 

 

ทุกคนต้องพักค้างแรมในแคมป์กลางทะเลทรายที่เดิมทุกวัน (นึกถึงการวิ่งแบบดาวกระจาย) โดยที่เราต้องตั้งเต็นท์และเตรียมทุกอย่างไปเอง ตั้งแต่ถุงนอน หมอน อาหารสำเร็จรูป ไฟฉาย แบตฯสำรอง และแม้แต่ช้อนส้อม ทิชชู

 

 

 

ช่วงกลางคืนที่แคมป์คืออีกประสบการณ์ที่น่าจดจำ เพราะอุณหภูมิลดลงเร็วมาก สามารถลงไปถึงเลขตัวเดียวได้เลย เรียกได้ว่าถ้าใครนอนเต็นท์แล้วไม่มีถุงนอนหนาๆ ใส่เสื้อดาวน์ ไม่รอดแน่ๆ เพราะหนาวเย็นมากจริงๆ โดยเฉพาะในช่วงตี 2 เป็นต้นไป

 

 

 

แต่การพักที่แคมป์ก็มีมนต์เสน่ห์ไม่น้อย เพราะเราตั้งแคมป์กลางทะเลทราย ติดกับโอเอซิส ที่มองไปเห็นวิวสวยๆ ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ตกดึกมีดาวเต็มท้องฟ้า ลมเย็นปะทะหน้า และในแคมป์มีโซนพักผ่อนที่ทาง Red Bull จัดเตรียมไว้ให้อย่างดี ไม่ว่าจะโซนนวดจับเส้น นวดด้วยเครื่อง หรือนวดด้วยตัวเอง ที่นั่งพักชิลล์ชมพระอาทิตย์ตกดิน มีการแสดงคอนเสิร์ตจากนักศึกษาที่มาร่วมวิ่ง และการแสดงพลุที่จุดอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา

 

 

เวลาการแสดงกลางทะเลทราย 

 

 

อาหาร น้ำ และการเติมพลัง

 

โชคดีที่เส้นทางวิ่งมีจุด Food Supply ระยะต่างๆ ที่มีน้ำดื่ม ของว่างเติมพลัง เช่น ขนมปัง แตงโม แตงกวา ฯลฯ และที่ขาดไม่ได้คือเครื่องดื่มเติมพลัง ดับกระหาย อย่าง Red Bull ให้หยิบไม่อั้น ทำให้เราพออุ่นใจได้บ้างว่าไม่ต้องตุนเสบียงไปวิ่งกับเรามากนัก

 

 

อย่างไรก็ตาม อาหารหลักเราต้องเตรียมไปเอง ส่วนใหญ่เราเลือกอาหารสำเร็จรูปแบบไม่ต้องให้ความร้อน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารปรุงสุกพร้อมกิน หรือขนมปังต่างๆ เพื่อความสะดวก ที่แคมป์มีโรงอาหารที่สามารถซื้ออาหารเพิ่มเติมได้เช่นกัน หลายคนก็ฝากท้องกันแถวนั้น  

 

เตรียมตัวอย่างไรให้รอดกลางทะเลทราย

 

 

การเตรียมตัวคือกุญแจสำคัญที่สุด รองเท้าที่ใช้ต้องเป็นรองเท้าเทรลและต้องมี Gaiter หรือผ้าคลุมข้อเท้ากันทราย เพราะทรายที่เข้าไปเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้เท้าพองและเดินต่อไม่ได้ เสื้อผ้าต้องปกปิดแต่ระบายอากาศได้ดี หมวกปีกกว้างและแว่นกันแดดเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงครีมกันแดด SPF สูงๆ ที่ต้องทาบ่อยๆ

 

 

นอกจากนี้ยังต้องมีเสื้อกั๊กวิ่งเทรลที่สามารถใส่ข้าวของต่างๆ ติดตัวไปด้วย ไม้โพลที่จำเป็นมากๆ สำหรับการช่วยพยุงและทุ่นแรง ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าเราอยากพกอะไรติดตัวไปด้วย เช่น ถุงมือ หน้ากากบังแดด เสื้อกันฝน เป็นต้น

 

 

 

ส่วนการฟิตซ้อมร่างกาย ย้ำว่าทั้งความอึดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเป็นสิ่งสำคัญ ควรซ้อมวิ่งให้ร่างกายคุ้นชินกับความเหนื่อยล้า และเวททั้ง lower และ upper body เพราะได้ใช้ทั้งหมดนี้แน่ๆ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือใจ เพราะแรงใจนี่แหละคือเชื้อเพลิงชั้นดี ในวันที่คุณมองขบวนนักวิ่งเบื้องหน้า แล้วไม่เห็นหัวแถวสักที

 

 

 

สรุป: ทะเลทรายเทงเกอร์สอนอะไรให้เรา

 

 

 

การเข้าร่วมงาน 14th Red Bull Desert Adventure ครั้งนี้ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่มีค่ามากกว่าการวิ่งแข่งทั่วไป เราได้รู้จักขีดความสามารถของตัวเองมากขึ้น เห็นว่าร่างกายและจิตใจทำได้มากกว่าที่คิด ระยะทาง 33 กิโลเมตรบนทะเลทรายสอนให้รู้ว่าการทำอะไรที่ยากๆ นั้นต้องอาศัยความอดทน เพราะแค่เดินก็ยังเป็นสิ่งที่ยากกว่าปกติ

 

 

 

การได้ออกจาก Comfort Zone ทำให้เห็นว่าเราสามารถรับมือและจัดการกับความยากลำบากได้ดีกว่าที่คิด และประสบการณ์นี้ช่วยให้เราเห็นมุมมองใหม่ เมื่อต้องเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละวัน และไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งมือใหม่หรือมีประสบการณ์โชกโชน  ประสบการณ์ในทะเลทรายเทงเกอร์คืออะไรที่ไม่ควรพลาด เพราะไม่ว่าคุณจะวิ่งจบที่เวลาเท่าไร สำหรับเราแล้ว การได้เอาชนะตัวเองคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

 

ภาพ: Red Bull

The post ภารกิจพิชิตทะเลทราย 33 กม. กลางทะเลทรายเทงเกอร์ ประเทศจีน ที่เหนื่อยที่สุดแต่คุ้มที่สุดในชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟื้นฟูกายกับคลาสพิเศษจาก Chiva-Som ใน LIFE Wellness Day 2025 https://thestandard.co/life/chiva-som-life-wellness-day-2025 Fri, 23 May 2025 16:01:46 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1077803 Chiva-Som

จบกันไปแล้วกับ ‘LIFE Wellness Day 2025’ อีเวนต์เวลเนสแร […]

The post ฟื้นฟูกายกับคลาสพิเศษจาก Chiva-Som ใน LIFE Wellness Day 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Chiva-Som

จบกันไปแล้วกับ ‘LIFE Wellness Day 2025’ อีเวนต์เวลเนสแรกโดย THE STANDARD LIFE ที่จะพาทุกคนมา 1-Day Retreat ฟื้นฟูกาย ใจ และจิตวิญญาณ ให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง จัดขึ้น ณ Gaysorn Urban Resort ชั้น 19, Gaysorn Village เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ภายใต้ธีม ‘Move Your Body, Heal Your Mind, Balance Your Soul’ และหนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ ‘Body Rejuvenation Movement by Chiva-Som Hua Hin’ คลาสพิเศษซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์การฟื้นฟูสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญของ Chiva-Som Hua Hin ครีเอตมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

 

 

โดยคลาสนี้เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายง่ายๆ บนเก้าอี้ โดยเน้นการยืดเหยียด ปรับสมดุลร่างกาย และปลุกพลังชีวิตให้ตื่นตัวผ่านการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนแต่ได้ผลจริง เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย และสามารถนำกลับไปปรับใช้ได้จริงที่บ้าน ก่อนเข้าสู่ช่วงเบรก ผ่อนคลายด้วยเครื่องดื่มสูตรพิเศษจากชีวาศรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยบำรุงระบบประสาท ลดความเครียด และส่งเสริมการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ทั้งยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นและสมดุลจากภายใน

 

และเพื่อให้ครบศาสตร์แห่งการดูแลตัวแล ชีวาศรมยังได้ชวน ‘เพเชียน แซงวา’ (Patience Sangwa) นักธรรมชาติบำบัด มาให้ความรู้เรื่องโภชนาการ โดยแนะนำวิธีการเลือกอาหารให้สอดคล้องกับความต้องการของร่างกาย ไลฟ์สไตล์ และเป้าหมายสุขภาพเฉพาะบุคคล พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมกิจกรรมสอบถามข้อสงสัยอย่างใกล้ชิด

 

นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น LIFE Conversation เวทีเสวนาว่าด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สมดุล และไม่แก่ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน, LIFE Workshop คลาสบำบัดด้วยเสียงจากชามทิเบตและคริสตัล ร่วมกับไพ่ Oracle จากทีม alo x Balance & Co รวมถึงโซน TEST & TRY ที่ให้ผู้ร่วมงานได้ทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านสุขภาพและความงามก่อนใคร

 

 

LIFE Wellness Day 2025 ไม่เพียงเป็นกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเท่านั้น แต่ยังตั้งใจสร้างคอมมูนิตี้ของคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แรงบันดาลใจ และมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างสมดุล หากใครไม่อยากพลาดกิจกรรมดีๆ เช่นนี้อีก สามารถติดตามข่าวสารจาก THE STANDARD LIFE ได้ทุกช่องทางออนไลน์

 

Facebook: www.facebook.com/thestandardlifeth 

Instagram: www.instagram.com/thestandard.life 

TikTok: www.tiktok.com/@thestandardlife 

 

ภาพ: THE STANDARD TEAM

The post ฟื้นฟูกายกับคลาสพิเศษจาก Chiva-Som ใน LIFE Wellness Day 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สำรวจวิธีสร้างที่อยู่อาศัย ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ของ Proud Real Estate แบรนด์อสังหาลักชัวรีที่อยากยกระดับชีวิตดีให้ดีอย่างยั่งยืนในทุกๆ วัน จนคว้ามาตรฐานระดับโลก Fitwel Certification [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/life/all-is-well-proud-real-estate-sustainable-living Fri, 23 May 2025 10:10:17 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1073771 ALL IS WELL

‘ชีวิตที่ดี’ เป็นเป้าหมายที่ใครก็ใฝ่หา แต่การกินดี ออกก […]

The post สำรวจวิธีสร้างที่อยู่อาศัย ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ของ Proud Real Estate แบรนด์อสังหาลักชัวรีที่อยากยกระดับชีวิตดีให้ดีอย่างยั่งยืนในทุกๆ วัน จนคว้ามาตรฐานระดับโลก Fitwel Certification [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ALL IS WELL

‘ชีวิตที่ดี’ เป็นเป้าหมายที่ใครก็ใฝ่หา แต่การกินดี ออกกำลังกายสุดโต่ง มีสุขภาพการเงินมั่นคงกลับไม่ใช่มาตรฐานของการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแบบ ‘Well-being’ ที่คนยุคนี้ต้องการ

 

ยิ่งถ้าเป้าหมายคือ ‘ชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ดีในมิติใดมิติหนึ่งไม่เพียงพอ ต้องสร้างสมดุลให้ครอบคลุมไปถึงการปรับสมดุลจิตใจ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต มีสุขภาวะทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพ

 

ไม่ยาก…หากเราจะลุกขึ้นมาออกแบบตารางการกิน นอน ออกกำลังกาย เพื่อสร้างร่างกายที่แข็งแรง แต่อาจจะท้าทายอยู่สักหน่อยถ้าคิดจะสร้างสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัยซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและสุขภาวะที่ดี

 

ข้อมูลจาก Global Wellness Institute พบว่าธุรกิจด้านสุขภาพทั่วโลกเติบโตถึง 7.3% ต่อปี โดยกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุดในปี 2023-2028 ขณะที่ตลาดอสังหาเพื่อสุขภาพในไทยก็เติบโต 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

 

ความท้าทายนี้ถูกส่งต่อไปยังบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องนำเอา Well-being มาเป็นโจทย์หลักในการออกแบบที่อยู่อาศัยในอนาคต

  

สำหรับ Proud Real Estate แบรนด์อสังหาที่ให้ความสำคัญกับ ‘ความสุขที่ยั่งยืน’ การสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยผ่านการพัฒนาโครงการจึงเป็นเป้าหมายสำคัญเพราะเชื่อว่า สุขภาวะที่ดี เริ่มต้นจากในบ้าน’ ทุกการออกแบบจึงต้องคำนึงถึงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อให้การใช้ชีวิตในทุกวันเต็มไปด้วยคุณภาพที่แท้จริงและยั่งยืน นั่นเป็นเพราะ DNA ตั้งต้นของแบรนด์ คือการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีที่ตอบโจทย์ด้านความเป็นอยู่ที่ดี มากไปกว่าทำเลระดับ Rare Location การออกแบบที่สวยงาม แบรนด์ยังให้ความสำคัญกับองค์ประกอบที่จะช่วยยกระดับสุขภาพและสุขภาวะที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในทุก ๆ วัน นี่คือจุดแข็งที่ Proud ทำได้ดีมาโดยตลอด 

 

ในวันที่คนเริ่มมองหาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแบบ ‘Well-being’ แบรนด์จึงถือโอกาสต่อยอดจุดแข็งและสานต่อแนวทางการสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากกว่าที่อยู่อาศัย ด้วยแนวคิด ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’  

 

 

‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ เป็นแนวคิดที่ถูกออกแบบมาโดยมุ่งสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ชีวิตดีในทุกมิติ ตั้งแต่ทำเลที่ตั้ง ดีไซน์ ฟังก์ชัน คุณค่าการบริการ ไปจนถึงนวัตกรรมต้องสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์เพื่อ ‘ความสุขที่ยั่งยืน’ และสอดคล้องกับเทรนด์ตลาดโลกที่เน้นสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ผ่าน 5 องค์ประกอบเพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน ได้แก่ 

 

  • WELL-CRAFTED DESIGN: การออกแบบเพื่อทุกชีวิต คำนึงถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย
  • WELL-LIVING AMENITIES: พื้นที่ส่วนกลางที่เป็นศูนย์รวมด้านการดูแลสุขภาพทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ เพื่อการพักผ่อนขั้นสูง
  • WELL-CURATED SERVICES: คัดสรรการบริการและสิทธิประโยชน์สำหรับผู้อยู่อาศัย พร้อม Health Butler ประจำโครงการ
  • WELL COMMUNITY: สานต่อการดูแลระยะยาว สร้างความผูกพันภายในครอบครัว เพื่อนบ้าน และชุมชน ผ่านการบริหารโครงการตามมาตรฐานระดับโลก 
  • WELL SUSTAINABILITY: การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน ส่งเสริมให้ทุกคนมีกิจกรรมและไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน

 

ในฐานะ World-class Luxury Well-being Developer แบรนด์ยังมองไกลไปถึงการยกระดับมาตรฐานอาคารไทยสู่ระดับโลก ที่ผ่านมา Proud จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืน โดยร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เช่น เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ, คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึง Spacely AI สตาร์ทอัพสัญชาติไทย เพื่อพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์มาตรฐานระดับโลก รวมไปถึงการนำมาตรฐานอาคาร Fitwel มารับรองและพัฒนาโครงการแนวสูงของ Proud ทุกโครงการ เพื่อส่งมอบการดูแลในระยะยาว  

 

ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน

 

What is Fitwel? 

 

Fitwel เป็นมาตรฐานระดับสากลที่ใช้ประเมินและรับรองอาคารที่ออกแบบเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี พัฒนาขึ้นโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) ร่วมกับ General Services Administration (GSA) โดยมี Center for Active Design (CfAD) ซึ่งเป็นองค์กรตรวจประเมินและจัดอันดับอาคารเพื่อคุณภาพชีวิตผู้ใช้งานเป็นผู้ดำเนินงาน 

 

 

จุดประสงค์ก็เพื่อส่งเสริมให้ทุกอาคาร ทุกพื้นที่ สามารถสร้างเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีได้ โดยอาคารที่ได้รับการรับรองจะต้องผ่านมาตรฐาน 7 หมวดหมู่หลักในการส่งเสริมสุขภาวะที่ดี ได้แก่ ​

 

  1. Impacts Surrounding Community Health เสริมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนโดยรอบให้ได้รับประโยชน์จากพื้นที่ เช่น การสร้างพื้นที่สีเขียวให้คนทั่วไปเข้ามาใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  2. Reduces Morbidity and Absenteeism ลดอัตราการป่วยและขาดงานจากปัญหาสุขภาพ เช่น สร้างอาคารที่มีระบบถ่ายเทอากาศที่ดี จัดพื้นที่สำหรับออกกำลังกายหรือกิจกรรมเพื่อสุขภาพ มีจุดบริการน้ำดื่มที่มีคุณภาพ หรือเพิ่มพื้นที่สีเขียว
  3. Supports Social Equity for Vulnerable Populations เป็นมิตรต่อการใช้งานของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เช่น ออกแบบพื้นที่ให้คนทุกกลุ่มเข้าใช้งานได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพในพื้นที่สำหรับทุกคน 

 

ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน

 

  1. Instills Feelings of Well-Being สร้างสุขภาวะที่ดีในพื้นที่ใช้งาน สร้างสภาพแวดล้อมให้ผู้ใช้ความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงพื้นที่ธรรมชาติ และทำกิจกรรมทางสังคมร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม
  2. Enhances Access to Healthy Foods มีทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพและออกแบบพื้นที่ที่ส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคที่ดี เช่น เข้าถึงอาหารสุขภาพได้สะดวก และหลากหลาย สร้างแรงจูงใจให้บริโภคอาหารสุขภาพ ด้วยอาหารสุขภาพราคาพิเศษ
  3. Promotes Occupant Safety ส่งเสริมความปลอดภัยในพื้นที่ด้วยการออกแบบพื้นที่ที่ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ อาชญากรรม และการติดเชื้อ เช่น เพิ่มแสงสว่างในจุดสุ่มเสี่ยง ออกแบบบันไดให้ปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน มีอุปกรณ์กระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) ​ 
  4. Increases Physical Activity ส่งเสริมกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย อาทิ ออกแบบพื้นที่เพื่อสนับสนุนการใช้บันได เพิ่มการเข้าถึงอุปกรณ์ออกกำลังกายทั้งในร่มและกลางแจ้ง หรือ สนับสนุนการใช้รถโดยสารสาธารณะ          

 

 

Proud ตอกย้ำผู้นำ Well-being Developer ด้วยการรับรองมาตรฐาน Fitwel ครบทุกโครงการ​แนวสูง 

 

ที่ผ่านมา Proud นำแนวทาง Fitwel มาปรับใช้ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยทุกโครงการเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับประโยชน์ครบทุกมิติ และยังตั้งเป้าที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอสังหาในประเทศไทยในด้านสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยภายในโครงการในอนาคต

 

จนถึงตอนนี้ อาคารที่ได้มาตรฐาน Fitwel ในประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 30 อาคาร ซึ่ง 3 ใน 4 อาคารของกลุ่ม Multifamily Residential ที่ได้รับรางวัลเป็นโครงการของ Proud ได้แก่ 

 

 

ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน

 

InterContinental Residences Hua Hin ถือเป็นคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่แห่งแรกของไทยและเป็นโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ InterContinental แห่งแรกของโลกที่ได้รับมาตรฐาน Fitwel Built Certification มาพร้อมบริการระดับ World Class Services จาก InterContinental Hotel Group (IHG) แห่งแรกในประเทศไทย ครบครันด้วย Facilities ขนาดใหญ่ และสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการรวมกว่า 7,000 ตารางเมตร  

 

 

VEHHA Hua Hin คอนโดวิวทะเลที่ออกแบบ ภายใต้แนวคิด My Everyday Vibe เชื่อมต่อธรรมชาติ ไลฟ์สไตล์ และบริการระดับโรงแรม เพื่อชีวิตที่ครบครันในทุกๆ วัน ไฮไลต์สำคัญตามมาตรฐาน Fitwel ได้แก่ การจัดพื้นที่สีเขียว พื้นที่ออกกำลังกาย การเข้าถึงแสงธรรมชาติ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างสมดุล การออกแบบพื้นที่ที่ลดมลพิษอากาศ เช่น ระบบระบายอากาศที่มีคุณภาพสูงและวัสดุที่ช่วยลดความร้อนในอาคาร การออกแบบโครงการให้ส่งเสริมการเดิน การใช้จักรยาน และการเข้าถึงพื้นที่ออกกำลังกายโดยง่าย พร้อมบริการแบบ A La Carte Hotel Services จัดเต็มด้วยส่วนกลางกว่า 25 กิจกรรมบนพื้นที่ 2,700 ตารางเมตร ครบครันตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ 

 

ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน

 

ROMM Convent โครงการที่อยู่อาศัยใจกลางเมือง ที่นำหลัก Holistic Wellness มาปรับใช้กับการใช้ชีวิตประจำวัน​ โดดเด่นด้วยการบริการด้านสุขภาพและการอยู่อาศัยครบวงจร โดยมี Wellness Partner เป็นโรงพยาบาลชั้นนำอย่างโรงพยาบาล BNH มอบบริการด้านสุขภาพแบบองค์รวมและสิทธิพิเศษเข้าถึงการรักษาสำหรับผู้อยู่อาศัยในโครงการ รวมไปถึง กิจกรรม Health and Wellness Workshops เพื่อส่งเสริมสุขภาพ และ Concierge: Health Butler Services ที่พร้อมตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพส่วนบุคคล 

 

 

 

มากไปกว่าการสร้างชีวิตที่ยั่งยืนแต่คือการ ‘ดูแลกันตลอดไป’

 

นอกจากการยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอสังหาไทยผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อความยั่งยืนในทุกๆ วัน Proud Real Estate ยังเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกๆ ที่นำมาตรฐาน Fitwel Certification ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกด้านสุขภาวะของผู้อยู่อาศัย มาใช้รับรองในโครงการคอนโดมิเนียมทุกโครงการของบริษัท โดยไม่หยุดเพียงแค่ขั้นตอนการพัฒนา แต่ยังให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพชีวิตของลูกบ้านในระยะยาว ด้วยบริการหลังการขายที่ออกแบบให้สอดคล้องกับแนวคิด ‘All is Well เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ทั้งในด้านการบริหารจัดการพื้นที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดูแลของทีมงานมืออาชีพที่มี Fitwel Ambassador ทำหน้าที่ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบโครงการไปจนถึงการบริหารจัดการหลังการอยู่อาศัย เพื่อให้มาตรฐานด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีนั้นส่งต่อได้อย่างยั่งยืนจริงในทุกวัน 

 

ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน

 

การดูแลกันตลอดไปของแบรนด์ยังกินความครอบคลุมไปถึงการดูแลชุมชนโดยรอบ โดยให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

 

เป้าหมายคือ การลดคาร์บอนจนเป็นกลาง (Carbon Neutrality) ภายในปี 2040 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 พร้อมวางแผนการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน (ALL IS WELL) สำหรับทุกชีวิตอย่างแท้จริง

 

อ้างอิง:

The post สำรวจวิธีสร้างที่อยู่อาศัย ‘ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน’ ของ Proud Real Estate แบรนด์อสังหาลักชัวรีที่อยากยกระดับชีวิตดีให้ดีอย่างยั่งยืนในทุกๆ วัน จนคว้ามาตรฐานระดับโลก Fitwel Certification [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>