THE STANDARD WEALTH - สำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเงิน และการลงทุน

×
THE STANDARD HOME ECONOMIC MARKET BUSINESS CRYPTOCURRENCY OPINION WEALTH MANAGEMENT WORK & LEADERSHIP LIFESTYLE & PASSION
Hassett ตัวเต็งประธาน Fed
EXCLUSIVE CONTENT BY SCB WEALTH

จับตา Hassett ตัวเต็งประธาน Fed คนใหม่ ตลาดคาดหากได้ตำแหน่ง ดอกเบี้ยดิ่ง 2.5-3% ปี69 แต่เสี่ยง QE หวั่นทำ Dedollarization รุนแรง

... • 3 ธ.ค. 2025

HIGHLIGHTS

  • ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวได้ หลังตลาดกลับมาให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มเป็นมากกว่า 80% อีกครั้ง
  • ซึ่งข่าวการเตรียมเสนอชื่อ Kevin Hassett ผู้อำนวยการคณะกรรมการเศรษฐกิจเป็นตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธาน Fed ซึ่งมีจุดยืนสอดคล้องกับ ปธน.ทรัมป์ เป็นปัจจัยหลักในการปรับขึ้นของหุ้นทั่วโลก
  • บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่าหาก Hassett ได้รับตำแหน่ง ตลาดคาดว่าดอกเบี้ยจะลงเร็วสู่ 2.5-3% ภายในปลาย 2026 ส่งผลดีต่อหุ้น Crypto และทองคำ แต่ดอลลาร์จะอ่อนค่าและ Bond Yields อาจขึ้นจากความกังวลเรื่องความเป็นอิสระของ Fed

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวได้ หลังตลาดกลับมาให้น้ำหนักการลดดอกเบี้ยของ Fed เพิ่มเป็นมากกว่า 80% อีกครั้ง ภายหลังจาก John Williams ประธาน Fed สาขา New York ซึ่งถูกมองว่ามีความใกล้ชิดกับประธาน Powell ออกมาส่งสัญญาณว่ายังมีโอกาสสำหรับการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในระยะอันใกล้ เนื่องจากความเสี่ยงด้านลบต่อการจ้างงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงด้านบนของเงินเฟ้อลดลง 

 

นอกจากนั้น ข่าวการเตรียมเสนอชื่อ Kevin Hassett ผู้อำนวยการคณะกรรมการเศรษฐกิจเป็นตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธาน Fed ซึ่งมีจุดยืนสอดคล้องกับ ปธน.ทรัมป์ ในด้านการลดดอกเบี้ย ยังเป็นอีกปัจจัยหนุนมุมมองดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังควรระมัดระวัง เนื่องจากตลาดขาดประเด็นใหม่ ใช้เพียงการปรับความคาดหวังทิศทางดอกเบี้ยเป็นตัวกำหนดทิศทางเท่านั้น 

 

ด้านรายงานเศรษฐกิจยังบ่งชี้กิจกรรมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทรงตัว แต่การใช้จ่ายผู้บริโภคอ่อนลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำ - กลาง ขณะที่กลุ่มรายได้สูงยังใช้จ่ายได้ดี การจ้างงานลดลงเล็กน้อยหลายเขต ด้านราคาปรับขึ้นปานกลางโดยต้นทุนวัตถุดิบและสินค้านำเข้าเพิ่มสูงจาก Tariffs ยอดค้าปลีก สหรัฐฯ เดือน ก.ย. ขยายตัว 0.2% ต่ำกว่าตลาดคาดและชะลอลงจากเดือนก่อน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือน พ.ย. ต่ำกว่าตลาดคาดและชะลอลงจากเดือนก่อน 

 

ตลาดหุ้น EM ฟื้นเช่นกัน แม้ประเด็นขัดแย้งของจีนและญี่ปุ่นในกรณีไต้หวันยังคงยืดเยื้อ โดยปธน. ทรัมป์มีการพูดคุยกับผู้นำทั้ง 2 ประเทศ และมีท่าทีรักษาความสมดุลระหว่างการรักษาพันธมิตรกับญี่ปุ่นและข้อตกลงการค้ากับจีน ตลาดหุ้นไทยอ่อนตัวลงสวนทางภูมิภาคสะท้อนสถานการณ์น้ำท่วม 10 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ -0.1% ในปีนี้ ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากความคาดหวังเชิงบวกต่อการเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน

 

‘Hassett เขย่า Fed’ หวั่นลดดอกเบี้ยเร็ว-เงินเฟ้อพุ่ง

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า Hassett เป็นตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธาน Fed เพราะทรัมป์ไว้ใจ และมีจุดยืนพร้อมลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วตามที่ทรัมป์ต้องการ และมีมุมมองบวกเกี่ยวกับ Crypto ซึ่งหาก Hassett ได้รับตำแหน่ง ตลาดคาดว่าดอกเบี้ยจะลงเร็วสู่ 2.5-3% ภายในปลาย 2026 ส่งผลดีต่อหุ้น Crypto และทองคำ แต่ดอลลาร์จะอ่อนค่าและ Bond Yields อาจขึ้นจากความกังวลเรื่องความเป็นอิสระของ Fed 

 

ทั้งนี้ เรามองว่าหาก Hasset ได้รับตำแหน่ง อาจทำนโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไปท่ามกลางเงินเฟ้อที่จะพุ่งสูงขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับสูงขึ้น ซึ่งหากทรัมป์สั่งให้ Hasset ทำ QE เพื่อให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง อาจเป็นความเสี่ยงทำให้ผู้คนไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และทำให้กระแส dedollarization รุนแรงขึ้นจนกระทบตลาดเงินตลาดทุนได้

 

ยอดค้าปลีกสหรัฐเดือน ก.ย. ที่ต่ำกว่าคาดสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคชะลอการซื้อ โดยยอดขายรถยนต์และสินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิด (control-group) ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และ 5 เดือน ตามลำดับ สะท้อนภาพ K-shaped recovery ที่ชัดเจน โดยผู้บริโภครายได้สูงยังใช้จ่ายได้ดีจากตลาดหุ้นที่แข็งแกร่ง ขณะที่ผู้บริโภครายได้ต่ำกำลังประสบปัญหาจากราคาสินค้าที่สูงขึ้นและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 

 

ทั้งนี้ จากยอดค้าปลีก, Beige Book ที่เผยให้เห็นการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องและการจ้างงานที่อ่อนแอ และเจ้าหน้าที่ Fed สองท่านส่งสัญญาณสนับสนุนการลดดอกเบี้ย ทำให้ความน่าจะเป็นของการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอยู่ที่ประมาณ 80% 

 

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย

  1. หุ้น Defensive ซึ่งผลการดำเนินงานสามารถต้านทานความผันผวนภายนอก โดยเราคาด 4Q68 กำไรยังเติบโตดี YoY และแนะนำ Outperform จากแนวโน้มธุรกิจดี แนะนำ ADVANC BDMS GULF BEM BGRIM PTT
  2. หุ้นปันผลคุณภาพดีระยะยาวซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5% และเราแนะนำ Outperform ได้แก่ AP DIF KTB PTT TISCO และหุ้นปันผลสำหรับลงทุนระยะสั้น 6 เดือน ซึ่งให้ Div. Yield เกิน 5%) แนะนำ BAM KBANK SAT THANI TLI 
  3. หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง อาทิ หุ้นที่จะมีต้นทุนการเงินลดลง เพราะมีภาระหนี้สินซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูง แนะนำ CENTEL GPSC TRUE และมีต้นทุนการดำเนินการลดลง แนะนำ AP MTC รวมทั้งหุ้นกลุ่ม REITs แนะนำ DIF FTREIT LHHOTEL
  4. Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไร แนะนำ 
  • หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการฟื้นฟูซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหลังพ้นจากสถานการณ์น้ำท่วม แนะนำ HMPRO GLOBAL 
  • หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกหลัง ครม. เศรษฐกิจเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเร่งด่วน (BOI Fast Pass) เพื่อปลดล็อกเม็ดเงินลงทุนในไทยแล้ว แนะนำ กลุ่มนิคม (WHA AMATA) 
  • หุ้นที่คาดนำเข้าคำนวณดัชนี SET50 ในรอบ 1H69 ซึ่งจะมีการประกาศในช่วงกลางเดือน ธ.ค. นี้ แนะนำ SAWAD ITC

 

“ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,240 - 1,290 จุด ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ พ.ย. ซึ่งเราคาดจะหดตัว 0.5%YoY จากที่หดตัว 0.8%YoY ในเดือน ต.ค., ครม. เตรียมพิจารณามาตรการเยียวยาน้ำท่วมใต้และช่วยเหลือสภาพคล่องผู้ประกอบการ SMEs ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ อาทิ ดัชนี PCE ก.ย., ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ พ.ย.” บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุไว้ในส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์

 

สัปดาห์นี้ต้องติดตาม

  1. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ การจ้างงานภาคเอกชน (ADP) และ Core PCE ของสหรัฐ รวมทั้งเงินเฟ้อ (CPI) ของไทย 
  2. ครม. พิจารณามาตรการเยียวยาน้ำท่วมใต้ และมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องผู้ประกอบการ SMEs 
  3. การตัดสินใจทิศทางการเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC+ ในการประชุม JMMC ระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิก (30 พ.ย.)

 

หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: FTREIT - กำไรมั่นคง...มีปันผลสูงจูงใจ

 

แนะนำ บมจ. เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ หรือ FTREIT เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้

  • เป็นผู้เข้าลงทุนในโรงงานและคลังสินค้า พื้นที่รวมกว่า 2.3 ล้านตร.ม. ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมหลักๆ ของไทย อาทิ อยุธยา ปทุมธานี สมุทรปราการ และ EEC โดยซื้อทรัพย์สินพร้อมกับทำสัญญาเช่ากับบริษัทระดับโลกในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ขั้นสูง โลจิสติกส์ และอิเล็กทรอนิกส์
  • มองเป็นหนึ่งในผู้ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากทรัพย์สินทั้งหมดของกองทรัสต์ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมหลักๆ ของไทย และส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินประเภทถือกรรมสิทธิ์
  • 1QFY26 (ต.ค.-ธ.ค. 2025) คาดกำไรปกติจะเติบโต YoY จากความต้องการเช่าโรงงานและคลังสินค้าที่แข็งแกร่ง และเติบโต QoQ จากค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากฐานที่สูงในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนปี FY2026 คาดกำไรปกติเติบโต 1%YoY สู่ระดับ 2.8 พันลบ. ซึ่งยังไม่รวม Upside จากมีแผนลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม
  • เราประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่หน่วยละ 12.60 บาท อิงวิธี DDM และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี FY2026 ที่หน่วยละ 0.79 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 7.3%

 

ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก

 

38 บริษัทใน Hang Seng Index (คิดเป็น 72% ของดัชนี) เผยงบ 3Q25 โดยรวมกำไรดีกว่าคาด ในขณะที่รายได้ต่ำกว่าคาดการณ์ โดยรายได้โต 7%YoY และกำไรโต 16%YoY จากภาพรวมผลประกอบการไตรมาสนี้ เราประเมินว่ากลุ่มที่โดดเด่นและยังแนะลงทุนคือ IT (Xiaomi, SMIC และ Hua Hong ), Communication Services (Tencent และ Kuaishou) , Financial (AIA, Ping An และ HKEX) รวมถึง Consumer Discretionary (BABA, TCOM)

 

  • กลุ่ม Outperform Sector คือ 1) IT มีแรงหนุนจากความต้องการด้านฮาร์ดแวร์อย่าง Chip, Sever ที่เกี่ยวข้องกับ AI 2) Communication Service ที่มีกำไรโตเด่นจากธุรกิจเกม (Tencent, NetEase) และ Social Media Ecosystem ที่นำ AI มาผสานเริ่มทำกำไรได้จริงมากขึ้น 3) Financials นำโดยกลุ่มธนาคารใหญ่, กลุ่มประกันและตลาดทุนที่โตดี เช่น HKEX
  • กลุ่ม Underperform Sector นำโดย 1) Consumer Discretionary โดย Automotive และ E-commerce ที่มาร์จิ้นมีแรงกดดันจากการแข่งขันและค่าใช้จ่ายที่เพิ่ม 2) Materials หลังอุปสงค์การผลิตทองแดงโตต่ำและต้นทุนขุดแร่ที่เพิ่มกดดันมาร์จิ้น 3) Energy โดยกำไรสุทธิปรับตัวลงสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบที่ลดลง
  • ในระยะถัดไป เรามองว่ากลุ่มที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นจะยังคงเป็นผู้นำการเติบโตหลักต่อเนื่อง ของตลาดหุ้นฮ่องกง โดยประเมินว่า 
  1. กลุ่ม IT จะยังได้แรงหนุนจากวัฏจักรการลงทุนด้าน AI Infrastructure อย่างต่อเนื่อง ทั้งในฝั่ง Chip, Server และ Edge Device ซึ่งทำให้หุ้นอย่าง Xiaomi, SMIC และ Hua Hong ยังมี Earnings Momentum ต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อที่เกี่ยวข้องกับ AI และ Localization ของจีน 
  2. กลุ่ม Communication Services จะได้ประโยชน์จากการที่ AI เริ่มสร้างรายได้จริง โดยแนะ Tencent และ Kuaishou ที่เห็นการผสาน AI เข้ากับโฆษณา เกม และคอนเทนต์อย่างเป็นรูปธรรม 
  3. กลุ่ม Financials จะยังได้แรงหนุนจากทิศทางตลาดทุนที่ฟื้นตัว มูลค่าการซื้อขายที่สูงขึ้น และผลตอบแทนจากเงินลงทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเราชอบ AIA, Ping An และ HKEX 
  4. นอกจากนี้ แม้กลุ่ม Consumer Discretionary โดยรวมยังเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคา แต่เราแนะหุ้นที่โดดเด่นเชิงโครงสร้าง อย่าง Alibaba จากการเปลี่ยนผ่านสู่ AI + Cloud Platform และ Trip.com ที่มีแรงหนุนจากการเติบโตจากท่องเที่ยว Outbound ของจีน

 

มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO

 

เงินสด / สภาพคล่อง

 

ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้แรงหนุนจากความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีอยู่ โดยล่าสุด กระทรวงกลาโหมจีนเตือนญี่ปุ่นว่า หากเดินหน้าล้ำเส้นเรื่องไต้หวัน จะต้องชดใช้อย่างสาสม อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง อาจทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงไปด้วย

 

ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว

 

UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัญหาขาดดุลการคลัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนประเด็นภาษี IEEPA ด้าน Bond Yield ไทย เริ่มปรับตัวลดลง หลัง GDP ใน 3Q2568 ออกมาต่ำกว่าคาดที่ 1.2%YoY เพิ่มโอกาสที่กนง. จะลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. และอีก 25 bps ในปีหน้า

 

U.S. Treasury & IG

 

แนะนำ UST และหุ้นกู้ US IG ระยะสั้น จากความหวังที่ว่า Hassett ตัวเก็งประธาน Fed คนใหม่ มีแนวโน้มผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ตามความต้องการของประธานาธิบดี Trump อย่างไรก็ตาม ให้หลีกเลี่ยงตราสารระยะยาว จาก US term premium ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามความกังวลหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูง

 

High Yield Bond

 

ความเสี่ยงที่ HY default rate และ credit spread จะเพิ่มขึ้น ยังมีอยู่ ตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ชะลอลง เช่น ยอดค้าปลีก และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคซึ่งออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด แม้ UST yield โดยเฉพาะตัวสั้นถึงกลาง มีแนวโน้มเป็นขาลง ตามการผ่อนคลายการเงินของ Fed ก็ตาม

 

สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs

 

กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก  อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง

 

Asia REITs

 

Bond Yield ในเอเชีย อาจจะมีความผันผวนระยะสั้น แต่เราคาดว่า ทิศทางดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มเป็นขาลง โดยผลประกอบการ 3Q2568 ของ REITs ไทยและสิงคโปร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง เพิ่มโอกาสในการจ่ายปันผลในระยะยาว ทั้งนี้ เราแนะนำลงทุนใน Singapore REITs และ REITs ไทย ที่มีอัตราการจ่ายปันผลในระดับสูง

 

Global Infrastructure

 

การลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ต เนื่องจาก มีกระแสรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาระยะยาว รวมถึงมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้ง ยังมีแนวโน้มได้แรงหนุน หาก Bond Yield ลดลง ตามการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค.

 

Private Credit *สำหรับนักลงทุน Ultra High Net Worth เท่านั้น

 

Private Asset เป็นทางเลือกในการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด Public โดยเรามีมุมมองบวกต่อ Private Equity จากการที่ตลาดมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น โดยบริษัทเริ่มระดมเงินทุนรอบใหม่ภายใต้เงื่อนไขที่น่าสนใจมากขึ้น รวมถึงได้รับปัจจัยบวกจาก ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายภาษีนิติบุคคลที่ลดลง

 

หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว

 

หุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงส์จาก EPS และ ROE ที่โดดเด่น ท่ามกลางพัฒนาการด้านเทคโนโลยี AI / หุ้นยุโรปได้แรงหนุนจาก Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสหรัฐฯ และการเร่งใช้จ่ายการคลังของยุโรปในปีหน้า/ หุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และการอ่อนค่าของค่าเงินเยนต่อเนื่อง

 

หุ้นสหรัฐฯ

 

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจาก 1) Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายการเงิน 2) แรงกระตุ้นการคลัง ภายใต้ OBBBA 3) ข้อพิพาทการค้าที่ลดลง และ 4) EPS ที่เติบโตยังโดดเด่น โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI โดยล่าสุด Dell ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI เปิดเผย ตัวเลขคาดการณ์รายได้ใน 4Q2025 ที่สูงเกินคาด

 

หุ้นยุโรป

 

ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากความคืบหน้าของกรอบสันติภาพรัสเซีย–ยูเครน หนุนต้นทุนพลังงานลดลง และส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศ แต่กดดันหุ้นกลุ่มกลาโหม ทั้งนี้ กำไรมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในปี 2569 โดยตลาดคาด EPS ของดัชนี STOXX600 จะเพิ่มขึ้น 11%YoY และยังมี Valuation ต่ำกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ

 

หุ้นญี่ปุ่น

 

ดัชนีหุ้นญี่ปุ่นอาจผันผวนระยะสั้น จากความตึงเครียดกับจีน แต่โดยรวมตลาดฯ ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ได้แรงหนุนจาก 1) รัฐบาลใช้มาตรการทางการคลังขยายตัว 2) การปฏิรูปบรรษัทภิบาลที่ช่วยหนุน ROE และ P/BV 3) ความหวังกระแส AI ในญี่ปุ่น 4) การอ่อนค่าของค่าเงินเยน และ 5) การปรับประมาณการการเติบโตกำไรของบจ.

 

หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่

 

ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้ปัจจัยบวกจาก เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่ม EM เอเชียที่ยังเติบโตได้ดี ควบคู่กับทิศทางดอกเบี้ยที่ผ่อนคลาย โดยอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัว เปิดโอกาสในการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ ค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และ กำไรของบจ.ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี

 

หุ้นอินเดีย

 

ตลาดหุ้นอินเดีย มีแรงหนุนจากการปฏิรูป GST และความคาดหวังการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของ RBI ในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางผลกระทบทางลบจากข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีอยู่ โดยล่าสุด IMF ปรับลดคาดการณ์ GDP อินเดีย ใน FY ถัดไป (เริ่มเม.ย.2569) อยู่ที่ 6.2% จากเดิมที่คาด 6.4%

 

หุ้นไทย

 

ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามผลประกอบการโดยรวมในช่วง 2H2568 ที่มีแนวโน้มเติบโต จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อาทิ คนละครึ่งพลัส และ เที่ยวดีมีคืน จะช่วยพยุงเศรษฐกิจในระยะสั้น ด้าน กนง.ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีก 25 bps.ในเดือน ธ.ค.นี้

 

หุ้นจีน All-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากนโยบาย anti-involution ที่มีแนวโน้มหนุนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่เกี่ยวข้อง และจากพัฒนาการด้าน AI จีน ที่ยังดำเนินต่อ แม้ล่าสุด การที่สหรัฐฯ ได้ข้อสรุปว่า ควรเพิ่ม Alibaba, Baidu และ BYD เข้าบัญชีดำ จะเพิ่มความผันผวนระยะสั้น ก็ตาม

 

หุ้นเกาหลีใต้

 

ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก หนุนจากความคาดหวังที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ระยะยาวดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจากความต้องการ HBM ที่แข็งแกร่งตามวัฏจักรขาขึ้นของ AI สะท้อนจากยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Valuation ดัชนี MSCI Korea ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ P/E 10 เท่า

 

สินค้าโภคภัณฑ์

 

ราคาทองคำถูกกดดันระยะสั้นจาก ตลาดฯ คาด Fed อาจคงดอกเบี้ย ในเดือน ธ.ค. และเงินดอลลาร์ สรอ.แข็งค่า อย่างไรก็ดี ความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และโลกที่เพิ่มขึ้น จะยังหนุนความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ ในระยะกลาง-ยาว ธนาคารกลางหลักของโลกยังเพิ่มอุปสงค์ทองคำในฐานะเงินทุนสำรอง

 

หุ้นจีน A-Share

 

ดัชนีหุ้นจีน A-Share ได้รับแรงหนุนจาก 1) ข้อตกลงพักรบทางการค้าของสหรัฐฯ-จีน 2) EPS ที่เติบโตดี จากธีม AI และ นโยบาย anti-involution และ 3) ความหวังการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ในการประชุม CEWC เดือน ธ.ค. ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ในภาคอสังหาฯ ของจีน 

 

ดัชนีหุ้น Nasdaq 100

 

แม้ Valuation หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปัจจุบัน เทรดในระดับสูง แต่ยังต่ำกว่าช่วงฟองสบู่ Dot-com อยู่มาก ขณะที่ EPS ยังมีแนวโน้มเติบโตในระดับสูง สอดรับกับธีม AI ที่โดดเด่น โดยล่าสุด Meta หารือถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้ชิปประมวลผล TPU ของ Google ใน Data center ของ Meta ตั้งแต่ปี 2570

 

ดัชนีหุ้น S&P 500

 

ความกังวลต่อความเสี่ยงฟองสบู่ AI ที่ลดลง และความเชื่อมั่นที่มากขึ้นของตลาดต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค. ช่วยหนุน sentiment ต่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ระยะสั้น ขณะที่ ดัชนีฯ ยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากโมเมนตัมของ EPS ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และช่วยประคอง Fwd P/E ให้อยู่ในระดับสูง

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้แรงหนุนจาก การคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้ ขณะที่ ความกังวลบนมูลค่าที่ตึงตัวเริ่มผ่อนคลายลง ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจชิป AI ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก ยังได้แรงหนุนจากกระแส AI ที่ยังคงเติบโต สะท้อนจากการลงทุนด้าน AI ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

 

หุ้นกลุ่ม Health Care

 

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในระยะสั้นได้แรงหนุนจากผลประกอบการ 3Q2568 ของกลุ่มที่ดีกว่าคาด และความคืบหน้าเชิงบวกของงานวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในวัฏจักรขาลง หนุนการเพิ่มขึ้นของ M&A ภาคอุตสาหกรรม โดยบริษัทส่วนใหญ่มีงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานยั่งยืน มีแนวโน้มได้แรงหนุนระยะยาวจาก ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ยังคงเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของ Data Center และ การลงทุนด้าน AI รวมทั้ง ยังได้รับแรงหนุนระยะสั้น จากการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้า ในช่วง 4Q2568 และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ธ.ค.นี้

ภาพ: Anna Moneymaker/Getty Images

กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความ EXCLUSIVE CONTENT ฟรี!

... • 3 ธ.ค. 2025




Latest Stories