สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับขึ้น โดยตลาดหุ้น EM และ DM ปรับขึ้น 1%WoW และ 0.3%WoW ตามลำดับ ได้รับแรงหนุนจากท่าทีของสหรัฐฯ ที่ผ่อนคลายมาตรการส่งชิปไปยังจีน โดยอนุญาตให้ Nvidia และ AMD กลับมาส่งออกชิป AI บางรุ่นสู่จีนอีกครั้งแลกเปลี่ยนกับแร่หายากของจีน และขานรับผลประกอบการของ บจ. ที่ออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะ TSMC ซึ่งหนุนให้เกิดแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
อีกทั้งข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐและจีนสัปดาห์นี้ ยังออกมาดีเกินตลาดคาด อาทิ GDP 2Q25 ของจีน, ยอดค้าปลีก มิ.ย. และตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ปธน. ทรัมป์เปิดเผยว่า ไม่มีแผนที่จะปลดประธาน Fed และมีแผนส่งจดหมายไปยังอีกมากกว่า 150 ประเทศ เพื่อแจ้งการเก็บภาษีในอัตรา 10-15% อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปิดโอกาสพิจารณารับข้อเสนอจากประเทศคู่ค้าเพื่อประเมินการปรับลดภาษีในอนาคตก่อนถึงเส้นตาย 1 ส.ค. นี้
ด้านตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 7.9%WoW ซึ่งเกิดจากแรงซื้อที่เข้ามาใน DELTA และ AOT เนื่องจากมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังผลการเจรจาการค้ารอบ 2 ของรัฐบาลไทยกับสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงได้ด้วยดี หลังได้เข้าเจรจากับ USTR อีกครั้งในวันที่ 16 ก.ค. ซึ่งทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ และยังมีความคาดหวัง ผู้ว่า ธปท. คนใหม่จะเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น
ด้านราคาน้ำมันปรับขึ้นจากกังวลความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมัน หลังบ่อน้ำมันในอิรักถูกโจมตีต่อเนื่อง และ IEA ประเมินตลาดน้ำมันอาจตึงตัวกว่าที่คาดไว้
ไทยเสี่ยง ‘ถูกโดดเดี่ยวทางการค้า?’
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า เศรษฐกิจจีน (GDP) 2Q25 ขยายตัว 5.2%YoY ดีกว่าตลาดคาดที่ 5.1%YoY แม้การเติบโตจะชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ 5.4%YoY แต่ยังถือว่าจีนสามารถประคองเศรษฐกิจได้ดีกว่าที่ตลาดกังวล อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวลง หลังผลบวกของการเร่งส่งออกสินค้า และการเร่งการผลิตเริ่มหมดลง โดยคาดว่าธนาคารกลางจีนมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก
ทั้งนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในครึ่งปีแรกที่สูงกว่า 5% ทำให้เราคาดว่า จีนยังไม่น่าจะออกมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ในระยะสั้น และคาดว่าจะเลือกใช้มาตรการผ่อนคลายแบบเฉพาะจุด (targeted easing) เช่น ช่วยภาคอสังหา สนับสนุนตลาดแรงงาน และกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชน
เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เร่งตัวขึ้นมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นในทุกหมวดหลัก ทั้งอาหารและการเดินทาง ราคาบ้าน และค่าจ้างและอื่นๆ แม้ราคาน้ำมันจะลดลง 8%YoY โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรอย่างเฟอร์นิเจอร์ ของเล่น เสื้อผ้า และอุปกรณ์เสียงเริ่มปรับราคาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เป็นไปได้สูงที่ผู้บริโภคจะรับภาระ 70% ของต้นทุนภาษีศุลกากร
ขณะที่ ปธน. ทรัมป์ยังคงขู่เพิ่มภาษี 30% กับคู่ค้าสำคัญอย่างเม็กซิโก และยุโรปในเดือน ส.ค. นี้ ทำให้ Fed จะลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น และทำให้ความตึงเครียดระหว่าง ทรัมป์กับประธาน Fed มีมากขึ้น โดยต้องจับตาข้อมูลเดือน ก.ค. - ส.ค. เป็นสำคัญ
ส่วนการบรรลุข้อตกลงการค้าของอินโดนีเซียที่เกิดขึ้นล่าสุด จะกดดันให้ประเทศไทยจำเป็นต้องเจรจาในเงื่อนไขของสหรัฐฯ มากขึ้น โดยบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดว่าไทยจะถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ สูงกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่ระดับ 21 - 28%
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย
- หุ้น Earnings Play โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ 3Q68 คาดกำไรยังเติบโต YoY แนะนำ ADVANC BCH CBG CPALL SCCC
- หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT
- Trading Idea : สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็วหากเชื่อว่าการเจรจาจะทำให้สหรัฐฯ พิจารณาปรับลดภาษีไทยลงมาอยู่ที่ระดับ 20% หรือต่ำกว่าและราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า แนะนำ AMATA GPSC WHA และ 2) หุ้น Undervalue (PER และ PBV < -1SD) และเราแนะนำ Outperform อีกทั้งคาดให้ Div. Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% แนะนำ BBL BCPG BDMS CPALL DIF PTT SIRI TIDLOR ขณะที่แนะนำหาจังหวะขายทำกำไรระยะสั้นในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากคาดดอกเบี้ยปรับลง หลังก่อนหน้าราคาหุ้นปรับขึ้นแรงสะท้อนการแต่งตั้งผู้ว่า ธปท. คนใหม่แล้วระดับหนึ่ง แนะนำ MTC TIDLOR
“มอง SET จะแกว่งตัวผันผวน โดยแม้บรรยากาศลงทุนจะมีโมเมนตัมบวกจาก Fund Flow ที่เริ่มไหลเข้า และคาดหวัง ครม. จะแต่งตั้งผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ซึ่งมีการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังต้องติดตามผลเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รอบ 2 โดยประเมิน SET ที่ระดับ 1,230-1,250 สะท้อนความคาดหวังไทยจะบรรลุดีลข้อตกลงได้และทำให้ภาษีศุลกากรที่จะเรียกเก็บจากไทยลดลงจาก 36% มาอยู่ที่เท่ากับหรือต่ำกว่า 20% ทำให้ SET อาจเริ่มมี Upside จำกัด
ขณะที่ กรณีหากไทยยังโดนภาษีศุลกากรสูงกว่า 20% จะเป็นความเสี่ยงต่อตลาด จากกังวลสูญเสียความสามารถแข่งขัน อย่างไรก็ดี ประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1100 จุด คิดเป็น PER 2025F ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว” ทีมวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุ
สัปดาห์นี้ต้องติดตาม
- ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้ารอบ 2 ระหว่างไทย-สหรัฐฯ และอัตราภาษีศุลกากรสุดท้ายก่อนถึงเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. นี้
- การประชุมนโยบายการเงินของ ECB (วันที่ 24 ก.ค.) ซึ่งตลาดคาดคงดอกเบี้ย โดย Deposit 2.00%, MRO: 2.15%, Marginal lending: 2.40%
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ยอดขายบ้านของสหรัฐฯ, ยอดการนำเข้า-ส่งออกของไทย, ส.อ.ท. แถลงยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ประจำเดือน มิ.ย.
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: MINT - 2Q25 คาดกำไรปกติจะดีกว่ากลุ่ม
แนะนำ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT เนื่องจากเหตุผลหลัก ดังนี้
- เป็นผู้ประกอบธุรกิจพักผ่อนและสันทนาการที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน NH Hotel Group (NHH) ซึ่งเป็นเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในทวีปยุโรป
- 2Q25 คาดกำไรปกติดีขึ้นทั้ง YoY แรงหนุนจากการดำเนินงานโรงแรมแข็งแกร่งขึ้นและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง และ QoQ จากช่วงพีคของฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรป ซึ่งคาดดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดกำไรจะลดลงหรือทรงตัว YoY (จากผลกระทบแผ่นดินไหว) และ QoQ (จากช่วงโลว์ซีซันของประเทศไทย)
- เป็นหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว เนื่องจากมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และ Valuation ยังไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขาย PER 2024F ที่ 21 เท่า คิดเป็น -1SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต
- เราประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่หุ้นละ 31 บาท (อิงวิธี DCF) และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 2025 ที่หุ้นละ 0.46 บาท คิดเป็น Div. Yield ราวปีละ 1.8%
ธีมการลงทุนตลาดหุ้นโลก
ในสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ยังคงปรับตัวได้ดี โดยมีแรงหนุนจาก 1) การประกาศงบของกลุ่มเซมิฯ 2) ทางการสหรัฐฯ อนุญาตให้ส่งออกชิป AI จากสหรัฐฯ ไปจีนได้อีกครั้ง 3) ตัวเลขยอดขายและ IC ของจีนเดือนพ.ค.-มิ.ย. เติบโต ซึ่งภาพนี้ทำให้เราเชื่อได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มเซมิฯ AI ยังคงดี โดยแนะลงทุนในช่วงที่หุ้นย่อตัวลง AMD TSM NVDA SMIC Hua Hong ASML
- งบ 2Q25 ของ ASML และ TSMC: เติบโตดีกว่าคาดทั้งรายได้และกำไร แต่ 1) ASML ให้คาดการณ์ 3Q25 ต่ำกว่าคาดและเตือนว่าอาจไม่สามารถบรรลุเป้าการเติบโตในปี 26 ได้ ทำให้หุ้นตอบสนองเชิงลบ 2) ในทางตรงกันข้าม TSMC ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของรายได้ปี 2025 ขึ้นสู่ 30% ทำให้หุ้นตอบสนองเชิงบวก
- กลุ่มเซมิฯ ในสหรัฐฯ: ล่าสุด Nvidia (NVDA) และ AMD ได้รับอนุมัติจากสหรัฐฯ ให้กลับมาส่งออกชิป AI บางรุ่นสู่จีนอีกครั้ง เช่น NVDA H20 และ AMD MI308 โดยเป็นการแลกเปลี่ยนกับดีลแร่หายากของจีน
- กลุ่มเซมิฯ ในจีน: อุปสงค์ช่วง 5M25-6M25 โตดีโดย 1) การนำเข้าและการผลิต IC โตต่อเนื่องสะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งขึ้นในตลาดจีน 2) Inventory ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังหลายปี 3) รายได้รวมอุตฯ โต 14.1%
ด้วยภาพนี้ทำให้เราเชื่อได้ว่าแนวโน้มกลุ่มเซมิฯ ยังคงเติบโตได้ดีใน FY25 โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวกับ AI โดยเราแนะ
- สหรัฐฯ: AMD TSM NVDA หลังมองการลงทุนใน Data Center ของทางภาครัฐฯ และ Hyperscaler รวมถึงการส่งออกชิป AI จากสหรัฐฯ ไปจีนได้อีกครั้งจะช่วยหนุนการเติบโตได้ อย่างไรก็ดีหากกังวล Valuation เราแนะรอลงทุนในช่วงที่หุ้นย่อตัวลงซึ่งมีโอกาสเกิดได้ในช่วง 2H25 จากความเสี่ยง Tariff ในเซมิฯที่ทรัมป์เล็งเก็บ
- จีน: เรามองการฟื้นตัวของอุปสงค์ด้าน AI ประเมินหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ SMIC, Hua Hong
- ยุโรป: ASML ที่เรามองราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วงนี้ทำให้ Downside จำกัดและเป็นโอกาสในการเข้าเก็งกำไรที่ดีหลังมองปัจจัยลบต่อยอดขาย FY26 สูงเกินไปและอุปสงค์ AI ยังดีซึ่งมีส่วนช่วยหนุนยอดจองได้
มุมมองการลงทุนต่อสินทรัพย์ต่างๆ โดย SCB CIO
เงินสด / สภาพคล่อง
ให้อัตราผลตอบแทนใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังสูง และได้อานิสงส์จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์ตะวันออกกลาง และความไม่แน่นอนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ หลังประธานาธิบดี Trump เตรียมส่งจดหมายแจ้งภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บไปยังมากกว่า 150 ประเทศ
ตราสารหนี้ / เงินฝากระยะยาว
ความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังสูง หลัง Fed สาขา Atlanta ชี้แรงกดดันเงินเฟ้อกำลังก่อตัวสูงขึ้น มีแนวโน้มหนุนให้ UST Yield ตัวยาว เพิ่มขึ้นต่อ ด้านตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังมีแนวโน้มปรับลดลง จาก กนง.อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ และเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัว
U.S. Treasury & IG
US term premium มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความกังวลขาดดุลการคลังสหรัฐฯ และจากความเสี่ยงเงินเฟ้อ ขณะที่ ดัชนี US IG bond ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี แนะนำ UST และ US IG bonds โดยเน้น duration สั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ต ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ
High Yield Bond
ความไม่แน่นอนผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ US HY default rate จะเพิ่มขึ้นจากระดับที่ต่ำ และ HY credit spread จะกว้างขึ้นจากระดับที่แพง ประกอบกับ UST Yield ตัวยาว มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลง อาจจำกัด upside ของ US HY
สินทรัพย์ผสมกึ่งหนี้กึ่งทุนและ REITs
กองทุนสินทรัพย์ผสม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน โดยลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและสถานการณ์ภายนอก อีกทั้ง บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้อย่างยืดหยุ่นตามภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยง
US REITs
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่อยู่ในระดับสูงทำให้ Yield Spread อยู่ในระดับติดลบ ยังเป็นปัจจัยกดดัน US REITs ทั้งนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มากกว่าคาดทั้งยอดขายค้าปลีกและตลาดแรงงาน เป็นปัจจัยหนุนต่อแนวโน้มอุปสงค์การเช่าพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่ม Retail และ Office
หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว
การบังคับใช้แผนการคลัง และแนวโน้มเชิงบวกงบใน 2Q2568 จะหนุน sentiment หุ้นสหรัฐฯ / เศรษฐกิจยุโรปได้แรงหนุนจากนโยบายการคลัง และ EPS ของ บจ.มีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายด้านกลาโหม / หุ้นญี่ปุ่น ได้รับอานิสงส์จากความคืบหน้าการปฏิรูปธรรมาภิบาล และจากเงินเฟ้อที่กลับมา
หุ้นสหรัฐฯ
ความไม่แน่นอนในการเก็บภาษีนำเข้าต่อคู่ค้าต่างๆ ของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนบางส่วนยังระมัดระวังการลงทุน อย่างไรก็ดี เรามอง EPS ใน 2Q2568 ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาด และตัวเลขทั้งปี 2568 และปี 2569 ยังมีแนวโน้มเติบโตดี จากกระแส AI มาตรการกระตุ้นการคลัง และการผ่อนคลายกฎระเบียบเพิ่มเติม
หุ้นยุโรป
ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น จากความไม่แน่นอนในเรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 30% ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. ยังไม่ส่งสัญญาณเร่งตัว คาดว่า ECB จะคงดอกเบี้ยในเดือน ก.ค. นี้ ติดตามผลประกอบการของ บจ. ใน 2Q2568 และปรับประมาณการกำไรในปี 2569 ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนระยะยาว
หุ้นญี่ปุ่น
ความไม่แน่นอนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และประเด็นการเมืองในญี่ปุ่น อาจเพิ่มความผันผวนต่อหุ้น ตราสารหนี้ และค่าเงินญี่ปุ่นในระยะสั้น แต่หุ้นญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากการปฏิรูปบรรษัทภิบาลที่ยังคืบหน้า และค่าจ้างที่ยังเติบโตดี และ BoJ ที่ไม่เร่งรีบกลับมาคุมเข้มทางการเงิน
หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่
หุ้นตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย มีแนวโน้มได้แรงหนุนจาก EPS ที่เติบโตดี สอดรับกับโมเมนตัม GDP ตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ย และการออกแผนกระตุ้นการคลังของที่ต่างๆ เพื่อหนุนอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้ง เงินดอลลาร์ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ส่งผลดีต่อทุนไหลเข้า ขณะที่ P/E ยังต่ำกว่าตลาดพัฒนาแล้ว
หุ้นอินเดีย
ตลาดหุ้นอินเดีย ได้ปัจจัยหนุนจาก RBI ที่แนวโน้มลดดอกเบี้ยต่อ และเสริมสภาพคล่องในระบบ ประกอบกับ EPS ใน 2Q68 ที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ตามฐานที่ต่ำปีก่อน ผลดีจากการลดภาษีเงินได้ และอุปสงค์ในชนบทที่ดีขึ้น ขณะที่ หุ้นและเศรษฐกิจอินเดีย มีแนวโน้มถูกกระทบจำกัดจากนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
สินค้าโภคภัณฑ์
ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะสั้น จากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าคาด อย่างไรก็ดี ในระยะยาว ยังได้แรงหนุน จาก แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในครึ่งปีหลัง และแรงซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจีน
หุ้นจีน H-Share
ดัชนีหุ้นจีน H-Share ได้อานิสงส์จาก ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มดีขึ้น การกีดกันเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ที่ลดลง หลัง Nvidia ได้ไฟเขียวส่งออกชิป H20 ไปจีน และกระแส AI ในจีนที่ยังคืบหน้า นอกจากนี้ เราคาดว่า บริษัทในดัชนีฯ ยังสามารถเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น
ดัชนีหุ้น Nasdaq 100
ดัชนีฯ ได้แรงหนุนจาก ข้อพิพาทด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ดีขึ้น และจากงบหุ้นกลุ่ม Big Tech ใน 2Q2568 ที่มีแนวโน้มออกมาดี ประกอบกับ กระแส AI จะช่วยหนุนแนวโน้ม EPS ขณะที่ บริษัทในดัชนีฯ มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีงบดุลแข็งแกร่ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนนโยบายสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้
ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ ได้แรงหนุนจากแนวโน้มข้อตกลงการค้าในการลดภาษีนำเข้าต่ำกว่า 25% นอกจากนี้ การผ่านร่างแก้ไขกฎหมายพาณิชย์ (Commercial Code Revision) เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัท เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทุน ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ยังมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยมี P/E ที่ 10 เท่า
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ภาพ: AlpamayoPhoto / Getty Images