อาหาร – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 31 Oct 2025 08:11:43 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 FOOD DEFENSE: รู้จักอาหารที่ช่วย ‘ลดผลกระทบ’ จากไมโครพลาสติก https://thestandard.co/life/food-defense-microplastics-reduction/ Fri, 31 Oct 2025 08:11:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1138100 FOOD DEFENSE: รู้จักอาหารที่ช่วย ลดผลกระทบ จาก ไมโครพลาสติก

มีการประมาณการที่อ้างอิงแพร่หลายว่า คนเราอาจรับ ไมโครพล […]

The post FOOD DEFENSE: รู้จักอาหารที่ช่วย ‘ลดผลกระทบ’ จากไมโครพลาสติก appeared first on THE STANDARD.

]]>
FOOD DEFENSE: รู้จักอาหารที่ช่วย ลดผลกระทบ จาก ไมโครพลาสติก

มีการประมาณการที่อ้างอิงแพร่หลายว่า คนเราอาจรับ ไมโครพลาสติก เข้าสู่ร่างกายราว 5 กรัมต่อสัปดาห์ (เท่าน้ำหนักบัตรเครดิต) จากรายงาน WWF ปี 2019 แต่ตัวเลขนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงวิชาการและอาจแตกต่างตามพื้นที่และพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งฟังดูน่ากลัวแต่มันอาจเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งไมโครพลาสติก (Microplastics) คือเศษพลาสติกขนาดเล็กมาก ที่มีขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร ซึ่งเล็กจนมองด้วยตาเปล่าบางครั้งแทบไม่เห็น แต่ผลกระทบของมันต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพนั้นใหญ่ไม่แพ้ใครเลย ปัญหาคือมันอยู่ทุกที่ ทั้งเจือปนในน้ำที่เราดื่ม อาหารที่เรากิน แม้แต่อากาศที่เราหายใจ และมันได้กลายเป็นอันตรายที่มองไม่เห็น

 

LIFE จึงอยากพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจว่า แม้เราจะหลีกเลี่ยง ไมโครพลาสติก ไม่ได้ 100% แต่มีอาหารบางชนิดที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าช่วย ‘ลดผลกระทบ’ จากไมโครพลาสติกได้จริง และที่สำคัญ ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

 

รู้จักความอันตรายของไมโครพลาสติก (Microplastics)

 

เมื่อเศษพลาสติกเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย มันไม่ได้มาเปล่าๆ แต่มาพร้อมกับสารเคมีอันตราย เช่น BPA และ phthalates ที่สามารถรบกวนระบบฮอร์โมน ลดความสามารถในการมีบุตร ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย หรือแม้แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็ง

 

จากการศึกษาในปี 2024 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine พบว่ามีไมโครพลาสติกอยู่ในหลอดเลือดที่อุดตันของผู้ป่วยโรคหัวใจ ซึ่งบ่งบอกว่ามันอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง แต่ก็มีข่าวดีจากโลกวิทยาศาสตร์ที่บอกเอาไว้ว่าแม้เราจะหลีกเลี่ยงไมโครพลาสติกไม่ได้ 100% แต่ร่างกายเรามีกลไกในการขับของเสียออกไปเอง และที่สำคัญ มีอาหารบางชนิดที่ช่วยเสริมกลไกนี้ได้

 

เส้นใยอาหาร ตัวช่วยตัวจริง

 

การศึกษาจาก UCLA ในปี 2024 ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อม พบว่ามีหลักฐานเริ่มชี้ว่าอาหารที่มีเส้นใยสูงอาจช่วย ‘ลดการดูดซึม’ และ ‘พาออก’ ของปนเปื้อนบางชนิดได้ ทำไมเส้นใยถึงช่วยได้? เพราะมันสามารถดักจับและพาออกออกจากร่างกาย เส้นใยที่ไม่ละลายน้ำมีโครงสร้างเป็นรูพรุน เหมือนฟองน้ำตัวจิ๋ว พอไมโครพลาสติกลอยมาชนก็จะติดค้าง แล้วเส้นใยจะพาไปขับออกทางอุจจาระ อีกหนึ่งความเก่งของเส้นใยอาหารคือช่วยเสริมกำแพงลำไส้ของเรา เส้นใยละลายน้ำจะถูกจุลินทรีย์ในลำไส้หมักเป็นกระบวนการที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังลำไส้ ทำให้ไมโครพลาสติกแทรกซึมเข้าเลือดได้ยากขึ้น

 

อาหารที่แนะนำ ได้แก่

 

  • ข้าวโอ๊ต รำข้าวสาลี
  • ถั่วเลนทิล ถั่วทุกชนิด
  • เมล็ดเชีย เมล็ดแฟลกซ์
  • ผักใบเขียว บร็อกโคลี

 

เป้าหมายคือ 25-35 กรัมต่อวัน แต่ค่อยๆ เพิ่มทีละน้อยนะ ถ้าเพิ่มเยอะเกินไปทีเดียวท้องอาจไม่ชิน

 

ผลไม้สีสันสดใส มากกว่าแค่สวยงาม

 

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Pharmaceutical Analysis ในปี 2024 เปิดเผยว่าสารแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ผลไม้มีสีแดง ม่วง น้ำเงินสวยๆ สามารถช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายของไมโครพลาสติกได้ การทดลองในหนูพบว่าเมื่อได้รับไมโครพลาสติก แล้วจึงได้รับสารแอนโธไซยานิน หนูเหล่านั้นมีอสุจิที่มีคุณภาพดีขึ้น ว่องไวขึ้น และมีจำนวนมากขึ้น (หลักฐานส่วนใหญ่ยังอยู่ในสัตว์หรือห้องทดลอง) กลไกการทำงานคือ ต่อต้านความเครียดออกซิเดชัน ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากพลาสติก ปกป้องตัวรับฮอร์โมน ป้องกันไม่ให้สารเคมีในพลาสติกไปรบกวนฮอร์โมนในร่างกาย ลดการอักเสบและบรรเทาอาการอักเสบที่เกิดจากไมโครพลาสติก

 

อาหารที่ควรกินได้แก่

 

  • เบอร์รีทุกชนิด โดยเฉพาะบลูเบอร์รีและแบล็กเบอร์รี
  • เชอร์รี องุ่นดำ
  • กะหล่ำปลีม่วง มะเขือม่วง
  • ถั่วดำ ถั่วแดง
  • มันเทศสีม่วง

 

เคล็ดลับ: กินสดหรือปรุงเบาๆ ดีที่สุด เพราะความร้อนสูงทำลายแอนโธไซยานินได้ และลองผสมกับไขมันดีๆ เช่น ถั่วหรือน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น

 

โปรไบโอติก ทีมจุลินทรีย์ตัวเก่ง

 

ลำไส้ของเราคือแนวป้องกันแนวแรกต่อไมโครพลาสติก งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าจุลินทรีย์ดีในลำไส้มีบทบาทสำคัญในการจัดการกับพลาสติกเหล่านี้ อาหารหมักต่างๆ เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ กิมจิ หรือผักดอง ช่วยเสริมแบคทีเรียดีในลำไส้ ซึ่งนอกจากจะช่วยย่อยอาหารแล้ว ยังอาจช่วยย่อยสลายพลาสติกบางชนิดได้ด้วย

 

ไคโตซานจากเปลือกกุ้ง

 

การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Scientific Reports ในปี 2025 พบว่าไคโตซาน ซึ่งสกัดมาจากเปลือกของสัตว์น้ำ สามารถเพิ่มการขับถ่ายไมโครพลาสติกออกจากลำไส้ได้อย่างมีนัยสำคัญ สามารถหาได้จากอาหารเสริมหรือกินกุ้งพร้อมเปลือกเลยก็ได้ แต่สำหรับคนที่แพ้อาหารทะเลไม่แนะนำ

 

แต่ทั้งนี้ก็ยังมีข้อระวังด้วยนะ เพราะนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ต่างเตือนว่าการกินอาหารเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าจะ ‘กำจัด’ หรือ ‘ดีท็อกซ์’ ไมโครพลาสติกออกจากร่างกายได้ 100%

 

สิ่งที่อาหารเหล่านี้ทำได้จริงๆ คือ ช่วยลดการดูดซึมไมโครพลาสติกเข้าสู่กระแสเลือดเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายให้รับมือกับความเครียดจากสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้นสนับสนุนกลไกการขับของเสียตามธรรมชาติของร่างกาย

 

นอกจากเลือกกินอาหารแล้ว การลดการรับไมโครพลาสติกตั้งแต่แรกก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น

 

  • เลิกใช้ภาชนะพลาสติกในไมโครเวฟ เปลี่ยนเป็นแก้วหรือเซรามิก
  • เก็บอาหารในภาชนะแก้วหรือสแตนเลส
  • หลีกเลี่ยงน้ำดื่มขวด ใช้ขวดที่ล้างได้แทน
  • กรองน้ำประปาก่อนดื่ม
  • เลือกชาใบแทนถุงชา เพราะถุงชาหลายยี่ห้อมีพลาสติกปนอยู่
  • เปิดหน้าต่างระบายอากาศบ่อยๆ เพราะฝุ่นในบ้านก็มีไมโครพลาสติกด้วย
  • ออกกำลังกายให้เหงื่อออก ช่วยขับสารพิษบางชนิดออกทางผิวหนัง
  • ไปอบซาวน่าก็ได้ผลคล้ายๆ กัน

 

การวิจัยเรื่องไมโครพลาสติกยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เรารู้แน่ๆ คือการกินอาหารที่หลากหลาย เน้นพืชผักผลไม้สีสันสดใส เต็มไปด้วยเส้นใยและสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลตัวเองในโลกที่เต็มไปด้วยพลาสติก

 

ภาพ: Shutterstock

The post FOOD DEFENSE: รู้จักอาหารที่ช่วย ‘ลดผลกระทบ’ จากไมโครพลาสติก appeared first on THE STANDARD.

]]>
CALENDAR: กิจกรรมน่าสนใจสัปดาห์นี้ (30 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2568) https://thestandard.co/life/calendar-30-5-november-2568/ Thu, 30 Oct 2025 05:59:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1137382 CALENDAR: กิจกรรมน่าสนใจสัปดาห์นี้ (30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2568)

ทุกคนพร้อมเริ่มต้นเดือนใหม่กันหรือยัง? เราเข้าใจดีว่าช่ […]

The post CALENDAR: กิจกรรมน่าสนใจสัปดาห์นี้ (30 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2568) appeared first on THE STANDARD.

]]>
CALENDAR: กิจกรรมน่าสนใจสัปดาห์นี้ (30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2568)

ทุกคนพร้อมเริ่มต้นเดือนใหม่กันหรือยัง? เราเข้าใจดีว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจเป็นช่วงเวลาหนักหน่วงหัวใจสำหรับหลายๆ คน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าลืมดูแลตัวเอง หาเวลาผ่อนคลายจิตใจ และให้เวลากับตัวเองบ้างนะ

 

ในสัปดาห์นี้เรามีกิจกรรมที่จะชวนทุกคนปล่อยใจสบายๆ มาแนะนำ เผื่อใครอยากหาเวลาว่างออกมาใช้ชีวิต เดินเล่น ถ่ายรูป หรือกินอาหารอร่อยๆ เติมเต็มความสุขเล็กๆ ให้ตัวเองและคนรอบข้าง

 

ถ้าหากใครพร้อมแล้ว ก็ลองมาดูกิจกรรมในสัปดาห์นี้กันเลย

 


 

Chud Thai: Dressing the Nation in Heritage

 

Chud Thai: Dressing the Nation in Heritage

 

นิทรรศการ ‘ชุดไทย: จากราชสำนักสู่ราชนิยม’ เป็นการจัดแสดงฉลองพระองค์ซึ่งเป็นต้นแบบชุดประจำชาติของสตรีไทยในปัจจุบัน โดยมีทั้งหมด 8 แบบ ได้แก่ เรือนต้น, จิตรลดา, อมรินทร์, บรมพิมาน, ดุสิต, จักรี, ศิวาลัย และ จักรพรรดิ ซึ่งล้วนมีความงดงามและเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

โดยพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มุ่งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชุดไทยพระราชนิยม ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่ประยุกต์รูปแบบการแต่งกายของสตรีไทยในราชสำนักโบราณเข้ากับเทคนิคการตัดเย็บสมัยใหม่ สะท้อนความเป็นไทยอย่างงดงามและร่วมสมัย สวมใส่สะดวก เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน และคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นไทยและความสง่างาม

 

มีค่าเข้าชม ดั้งนี้

 

– เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เข้าชมฟรี

– เด็กอายุ 12-18 ปี ราคา 50 บาท)

– นักเรียน นักศึกษา (แสดงบัตรประจำตัว) ราคา 50 บาท

– ผู้ใหญ่ ราคา 150 บาท

– ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ราคา 80 บาท

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.qsmtthailand.org

 

When: วันนี้ – 30 เมษายน 2569 เวลา 09.00-16.30 น. ของทุกวัน

Where: พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

More Info: Queen Sirikit Museum of Textiles

 


 

Visual Biography II: Daily Ordinary

 

Visual Biography II: Daily Ordinary

 

นิทรรศการภาพประกอบที่ถ่ายทอด ‘เรื่องราวความธรรมดาในชีวิตประจำวัน’ ที่แม้จะดูเรียบง่าย แต่แฝงด้วยแรงบันดาลใจและจิตวิญญาณความสร้างสรรค์ ที่ถ่ายทอดผ่านผลงานศิลปะของศิลปินทั้ง 8 คน ได้แก่ Eng Kanokwan, Her., Jung Yansu, Kanya Kim, Kazi Istela, Lychee.Chai, Mali และ PONO ในหลากหลายรูปแบบ ให้มีชีวิตชีวาและน่าจดจำ

 

นิทรรศการนี้จึงเป็นเหมือนไดอารี่ภาพที่บอกเล่าชีวิตของศิลปินแต่ละคน แล้วมาร่วมชมเรื่องราวธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ของศิลปินทั้ง 8 คนนี้ด้วยกัน

 

When: วันนี้ – 9 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00-20.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)

Where: บริเวณผนังโค้ง ชั้น 5 หอศิลปกรุงเทพฯ

More Info: Bacc หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

 


 

In Layers

 

In Layers

 

นิทรรศการ ‘In Layers’ ชวนทุกคนร่วมเดินทางสำรวจความรัก ความกลัว ความฝัน และความหมายของการมีชีวิต ผ่านผลงาน MALEE NAREE ศิลปะที่นำทางผู้ชมกลับสู่ความสงบงามภายในใจ ท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วและซับซ้อนขึ้นทุกวัน โดยใช้สัญลักษณ์ของดอกไม้ในสไตล์ Pop Surrealism ที่อ่อนโยนแต่ทรงพลัง ทำหน้าที่เหมือนทั้ง ‘กระจก’ และ ‘สะพาน’ เชื่อมโยงผู้คนกลับมาหาตัวเอง

 

งานนี้เข้าชมฟรี แล้วมาสัมผัสโลกแห่งดอกไม้และความสงบภายในใจไปพร้อมกัน

 

When: วันที่ 3-30 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00-18.00 น. ของทุกวัน

Where: MATDOT Art Center ถนนหลานหลวง (ใกล้ MRT สามยอด)

More Info: Matdot Art Center

 


 

PET VERSE: From Heart to Myth

 

PET VERSE: From Heart to Myth

 

นิทรรศการสำหรับคนรักน้องหมา ‘PET VERSE’ เชื่อมโยงใจ สายตา และความรู้สึกของทุกคนกับเพื่อนรักที่อยู่เคียงข้างเราในทุกช่วงเวลา ผ่านผลงานศิลปะจากหลากหลายศิลปิน ที่สะท้อนมุมมอง ความปรารถนา ความเปราะบาง และความฝันของมนุษย์

 

เพราะ ’เงา’ และ ‘แสง’ คือตัวแทนของสุนัขที่คอยเคียงข้างเรา และในขณะเดียวกันเราก็เป็นแสงให้กับสุนัข ดังนั้นจึงเป็นความสมบูรณ์ให้แก่กันและกัน

 

ภายในงานนี้จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง และอบอวลไปด้วยบรรยากาศความอบอุ่น ความเป็นกันเอง และเต็มไปด้วยความรัก

 

When: วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568 เวลา 11.00-18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)

Where: Warehouse30 เจริญกรุง

More Info: 333Gallery

 


 

Biblio Reading Corner

 

Biblio Reading Corner

 

คอมมูนิตี้ใหม่ของเหล่าหนอนหนังสือ ‘Biblio Reading Corner’ กับมุมอ่านหนังสือสุดชิลที่รวบรวมหนังสือหลากหลายแนว ตั้งแต่ Mindfulness, Non-fiction ไปจนถึงศิลปะและดีไซน์ รวมถึงหนังสือคัดสรรพิเศษจาก Biblio

 

สำหรับค่าบริการ

– 59 บาท/วัน: นั่งอ่านหนังสือได้ทั้งวัน

– 99 บาท/วัน:เลือกเครื่องดื่มได้ 1 แก้ว และนั่งอ่านหนังสือได้ทั้งวัน

หรือใช้จ่ายที่ร้านค้าร่วมรายการ 300 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์เข้าใช้งานฟรีตลอดวัน

 

สำหรับใครที่มองหาที่นั่งทำงานหรืออ่านหนังสือ ในบรรยากาศสบายๆ ต้องมาที่นี่เลย!

 

When: ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เวลา 10.00-20.00 น. ของทุกวัน

Where: Living Space ชั้น 1, Slowcombo (ใกล้ MRT สามย่าน ทางออก 2)

More Info: Slowcombo

 


 

Anne-Sophie Pic at Le Normandie

 

Anne-Sophie Pic at Le Normandie

 

ดื่มด่ำดินเนอร์มื้อหรู 7 คอร์ส ที่ผสานความเป็นฝรั่งเศสและวัฒนธรรมไทย ในบรรยากาศยามค่ำคืน พร้อมชมแสงเทียนจากเทศกาลลอยกระทง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

 

โดยในแต่ละเมนูจะผสานรสชาติ เทคนิค และแรงบันดาลใจ ของเชฟ Anne-Sophie Pic เข้าด้วยกันอย่างลงตัว อาทิ Hokkaido scallops with sake, Brittany lobster with beurre blanc and rosemary pine รวมถึงเมนูซิกเนเจอร์ อย่าง Les Berlingots และปิดท้ายด้วย Loy Krathong Mille-feuille ที่รังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษ

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ http://www.mandarinoriental.com/bangkok

 

When: วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป

Where: ห้องอาหาร Anne-Sophie Pic at Le Normandie, ชั้น 5 โรงแรม แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ

More Info: Mandarin Oriental, Bangkok

The post CALENDAR: กิจกรรมน่าสนใจสัปดาห์นี้ (30 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2568) appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนไทยไม่ได้กินเจแค่ 10 วัน! ซีพีแรมเผยตลาด เจ-วีแกนไทยปีนี้มูลค่าทะลุ 4.8 หมื่นล้านบาท โตแรงเกินคาด ชี้เทรนด์ Gen Y–Z เริ่มกินเพราะรักษ์โลก https://thestandard.co/cpram-thai-vegan-boom-genyz-trend/ Wed, 29 Oct 2025 10:47:38 +0000 https://thestandard.co/?p=1137059 คนไทยไม่ได้กินเจแค่ 10 วัน **ซีพีแรม** เผยตลาด เจ-วีแกนไทยปีนี้มูลค่าทะลุ 4.8 หมื่นล้านบาท โตแรงเกินคาด ชี้เทรนด์ Gen Y–Z เริ่มกินเพราะรักษ์โลก

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานเทศกาลกินเจ […]

The post คนไทยไม่ได้กินเจแค่ 10 วัน! ซีพีแรมเผยตลาด เจ-วีแกนไทยปีนี้มูลค่าทะลุ 4.8 หมื่นล้านบาท โตแรงเกินคาด ชี้เทรนด์ Gen Y–Z เริ่มกินเพราะรักษ์โลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนไทยไม่ได้กินเจแค่ 10 วัน **ซีพีแรม** เผยตลาด เจ-วีแกนไทยปีนี้มูลค่าทะลุ 4.8 หมื่นล้านบาท โตแรงเกินคาด ชี้เทรนด์ Gen Y–Z เริ่มกินเพราะรักษ์โลก

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานเทศกาลกินเจ จังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2568 ซึ่งปีนี้ ถือเป็นการฉลองครบรอบ 200 ปี ภายใต้แนวคิด ‘2 ศตวรรษแห่งศรัทธา เจี๊ยะฉ่ายภูเก็ต’ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-29 ตุลาคม 2568 ที่ศาลเจ้าในจังหวัดภูเก็ต พร้อมสัมภาษณ์ ‘วิเศษ วิศิษฏ์วิญญู’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด ถึง บรรยากาศภาพรวมตลาดอาหารเจ-วีแกนในปี 2568

 

วิเศษ ฉายภาพว่า ตลาดอาหารเจและวีแกนในประเทศไทยปี 2568 มีมูลค่าสูงถึง 48,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะในช่วง 10 วัน ของเทศกาลกินเจ กลุ่มอาหารเจในเครือซีพีแรมเติบโตสูงถึง 10% เนื่องจากบริษัทได้เปิดตัวสินค้ากลุ่มเจมากกว่า 50 รายการ ซึ่งคาดว่าตลอดทั้งปี กลุ่มอาหารเจของซีพีแรมจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 20%

 

แต่หากมองในเชิงพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมของการกินเจ เปลี่ยนไปจากอดีตอย่างมีนัยสำคัญ เดิมทีคนส่วนใหญ่จะถือศีลกินเจเพียง 10 วันตามปฏิทินจีน แต่ปัจจุบันผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มขยายระยะเวลาการกินเจนานขึ้น และบางกลุ่มยังเลือกกินเจเป็นประจำในบางวันของสัปดาห์ หรือกินตามวันเกิดของตัวเอง ส่งผลให้อาหารเจกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันมากขึ้น และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

และอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัด คือ อายุเฉลี่ยของผู้บริโภคอาหารเจลดลงโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยคนกลุ่มนี้ไม่ได้มองการกินเจเพียงแค่การถือศีลหรือทำบุญ แต่ยังมองไปในมิติของการสร้างความยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะการบริโภคอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์สามารถช่วยลดผลกระทบต่อโลกได้

 

นอกจากนี้ ธุรกิจร้านอาหารเองก็เริ่มปรับตัวรับกระแสอาหารเจและวีแกนมากขึ้น ทั้งร้านอาหารไทยทั่วไปและเชนฟาสต์ฟู้ดชื่อดังหลายราย ได้เพิ่มเมนูอาหารเจและวีแกนเข้ามาเป็นทางเลือกให้ลูกค้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดอาหารกลุ่มนี้กำลังขยายฐานผู้บริโภคได้กว้างขึ้น และกลายเป็นเซกเมนต์สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารของไทยไปแล้ว

 

“แต่แม้ภาพรวมตลาดจะเติบโตดี แต่ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งราคาวัตถุดิบ แรงงาน และค่าไฟที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งอยู่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และผู้บริโภคมีกำลังซื้อจำกัด ทำให้การปรับขึ้นราคาสินค้าทำได้ยาก ซีพีแรมจึงเลือกใช้กลยุทธ์ออกสินค้าใหม่ที่มีราคาสูงขึ้นบางรายการ แทนการปรับขึ้นราคาสินค้าเดิม เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้บริโภค และแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ยอดขายของซีพีแรมยังคงเติบโตได้ดี”

 

โดยปัจจุบันยอดขายรวมเพิ่มขึ้นราว 10% จากปีก่อน คาดว่าตลอดปี 2568 บริษัทจะมียอดขายรวมประมาณ 34,500 ล้านบาท โดยเมนูขายดี ยังคงเป็นอาหารจานเดียว เช่น ข้าวกะเพรา ข้าวผัด รวมถึงกลุ่มอาหารเส้นอย่างผัดซีอิ๊วและราดหน้า ซึ่งในช่วงเทศกาลกินเจ เมนูกะเพราเจ ก็กลายเป็นสินค้าขายดีเช่นกัน

 

ขณะเดียวกัน ธุรกิจในส่วนของการค้าชายแดน ยังคงเผชิญปัญหาการชะลอตัว หลังจากมีปัญหาความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวและการทำธุรกิจระหว่างประเทศลดลง ส่งผลให้ยอดขายในพื้นที่จังหวัดชายแดนหดตัวตามไปด้วย และตั้งแต่ปิดด่าน ก็ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อในกัมพูชาได้ ซึ่งทำให้รายได้จากตลาดกัมพูชาต้องชะลอลงชั่วคราว

 

ส่วนตลาดอาหารพร้อมทานและเบเกอรี่ในจังหวัดอื่นๆยังโตได้ดี แต่ไลน์ผลิตสินค้าทั้งเบเกอรี่และอาหารพร้อมรับประทาน ที่มีอยู่ 7 แห่ง รวมแล้ว 15 โรงงาน ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ขอนแก่น ลำพูน สุราษฎร์ธานี และปทุมธานี ผลิตใกล้เต็มแล้ว ทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุนขยายโรงงานการผลิตเพิ่มอีก 1 แห่ง ในจังหวัดนครราชสีมา โดยจะเปิดทำการผลิตได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากขึ้น และจะสามารถรองรับความต้องการผู้บริโภคและตลาดเบเกอรี่ในไทยที่กำลังเติบโตในอนาคต

 

เมื่อมาดูบรรยากาศงานเทศกาลถือศีลกินผัก ในจังหวัดภูเก็ต มีขบวนแห่ และพิธีกรรมแห่งความศรัทธาจากศาลเจ้าในภูเก็ต 39 แห่งที่หาชมได้เพียงปีละครั้ง และจังหวัดภูเก็ตถือเป็นจังหวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ

 

โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท) ) คาดการณ์ว่า ในปีนี้จะมีทั้งคนไทยและต่างชาติเข้าร่วมประมาณ 198,239 คน เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของที่พักในจังหวัดภูเก็ตคาดว่าจะอยู่ที่ 81% เพิ่มขึ้น 4% สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว 2,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง จะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลกินเจเพิ่มขึ้นทั้งในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง

The post คนไทยไม่ได้กินเจแค่ 10 วัน! ซีพีแรมเผยตลาด เจ-วีแกนไทยปีนี้มูลค่าทะลุ 4.8 หมื่นล้านบาท โตแรงเกินคาด ชี้เทรนด์ Gen Y–Z เริ่มกินเพราะรักษ์โลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPF จับปลาหมอคางดำ ผลิตเป็น ‘น้ำปลาหับเผยแม่กลอง’ ร่วมมือกับ กรมราชทัณฑ์ กรมประมง พร้อมวางขายในตลาดเดือน พ.ย. นี้ https://thestandard.co/cpf-black-tilapia-fish-sauce-maeklong/ Wed, 29 Oct 2025 10:19:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1137053 CPF ปลาหมอคางดำ

CPF จับปลาหมอคางดำ ผลิต ‘น้ำปลาหับเผยแม่กลอง’ ร่วมมือกั […]

The post CPF จับปลาหมอคางดำ ผลิตเป็น ‘น้ำปลาหับเผยแม่กลอง’ ร่วมมือกับ กรมราชทัณฑ์ กรมประมง พร้อมวางขายในตลาดเดือน พ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPF ปลาหมอคางดำ

CPF จับปลาหมอคางดำ ผลิต ‘น้ำปลาหับเผยแม่กลอง’ ร่วมมือกับ กรมราชทัณฑ์ กรมประมง ส่งขึ้นแท่นสินค้าโอทอปสมุทรสงคราม พร้อมวางตลาด พ.ย. นี้

 

จังหวัดสมุทรสงครามยกระดับ ‘น้ำปลาหับเผยแม่กลอง’ ผลิตภัณฑ์จากปลาหมอคางดำ ขึ้นเป็นสินค้าโอทอป (OTOP) อย่างเป็นทางการ โดยเตรียมวางจำหน่ายสู่ตลาดภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

 

โดย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเมืองสมุทรสงคราม ได้ออกหนังสือรับรองขึ้นทะเบียน ‘น้ำปลาหับเผยแม่กลอง’ ขึ้นเป็นสินค้าโอทอปอย่างเป็นทางการ โดยมีเรือนจำกลางสมุทรสงครามเป็นผู้ผลิต ภายใต้การนำของนายโอชา วณิโชภาส พร้อมได้รับรหัสผู้ประกอบการเลขที่ 7501001128

 

ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างเรือนจำกลางสมุทรสงคราม กรมราชทัณฑ์ กรมประมง และบริษัท ซีพีเอฟ จำกัด (มหาชน) ในการนำปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสร้างมูลค่าเพิ่ม

 

มานิต หนูเทศ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรสงคราม กล่าวว่า โครงการนี้เกิดจากการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ปัญหาปลาหมอคางดำในธรรมชาติ โดยนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำปลาแท้ พร้อมใช้เป็นหลักสูตรฝึกอาชีพให้ผู้ต้องขัง เพื่อสร้างโอกาสและอาชีพหลังพ้นโทษ ขณะเดียวกันยังช่วยขยายผลสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง

 

ด้าน วิรัตน สนิทมัจโร ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวต่อว่า การแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นน้ำปลาเป็นหนึ่งในแนวทางบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ลดปริมาณปลาหมอคางดำในธรรมชาติให้อยู่ในระดับควบคุมได้ พร้อมสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและผู้ต้องขัง รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากปลาหมอคางดำในวงกว้างมากขึ้น

 

“เรียกได้ว่า การขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าโอทอป จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค และจูงใจให้มีการนำปลาหมอคางดำไปแปรรูปเชิงพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่น ๆ นำไปต่อยอดและช่วยลดปริมาณปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบ” วิรัตน ย้ำ

 

ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาชุมชนได้ให้คำแนะนำด้านมาตรฐานการผลิตเพื่อให้ได้สินค้าที่ถูกสุขลักษณะ ปลอดภัย และคงเอกลักษณ์ท้องถิ่น โดยใช้วัตถุดิบหลักคือ ปลาหมอคางดำ และ เกลือสมุทร ทำให้น้ำปลาหับเผยแม่กลองมีรสชาติเฉพาะตัว และสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่นของจังหวัด

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน หลายจังหวัด เช่น สมุทรสาคร เพชรบุรี และสมุทรปราการ ได้นำแนวทางนี้ไปใช้ในการแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นน้ำปลาเช่นกัน โดยกรมประมงสนับสนุนให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้ชุมชน พร้อมผลักดันให้เป็นต้นแบบของการแก้ปัญหาทรัพยากรประมงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

The post CPF จับปลาหมอคางดำ ผลิตเป็น ‘น้ำปลาหับเผยแม่กลอง’ ร่วมมือกับ กรมราชทัณฑ์ กรมประมง พร้อมวางขายในตลาดเดือน พ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิด 18 ข้อตกลง ‘การค้าต่างตอบแทน’ สหรัฐฯ-ไทย แลกสินค้าอะไรกันบ้าง? ก่อนปิดดีลสิ้นปี 2568 https://thestandard.co/us-thailand-trade-deal-info/ Tue, 28 Oct 2025 07:33:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1136504 เปิด 18 ข้อตกลง ‘การค้าต่างตอบแทน’ สหรัฐฯ-ไทย แลกสินค้าอะไรกันบ้าง? ก่อนปิดดีลสิ้นปี 2568 1

หลังจากที่ทำเนียบขาวเผยแพร่ ‘JOINT STATEMENT ON A FRAME […]

The post เปิด 18 ข้อตกลง ‘การค้าต่างตอบแทน’ สหรัฐฯ-ไทย แลกสินค้าอะไรกันบ้าง? ก่อนปิดดีลสิ้นปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิด 18 ข้อตกลง ‘การค้าต่างตอบแทน’ สหรัฐฯ-ไทย แลกสินค้าอะไรกันบ้าง? ก่อนปิดดีลสิ้นปี 2568 1

หลังจากที่ทำเนียบขาวเผยแพร่ ‘JOINT STATEMENT ON A FRAMEWORK FOR A UNITED STATES-THAILAND AGREEMENT ON RECIPROCAL TRADE’ ทั้งสองประเทศได้บรรลุ “ข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทน” เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

 

โดยประเด็นที่ต้องจับตาคือ ไทยจะยกเลิกมาตรการกีดกันทางภาษีสินค้า 99% ครอบคลุมอุตสาหกรรม อาหาร การเกษตร พร้อมเตรียมจัดซื้อสินค้าเกษตร พลังงาน และเครื่องบินจากสหรัฐฯ

 

“นับเป็นดีลการค้าครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี”

 

THE STANDARD WEALTH สรุปไฮไลต์สำคัญ 18 ข้อ และรายชื่อสินค้าสหรัฐฯ-ไทย ที่ได้ร่วมวางกรอบเจรจา มีอะไรบ้าง ก่อนสรุป และมีผลบังคับใช้ในสิ้นปี 2568

 

เปิด 18 ข้อตกลง ‘การค้าต่างตอบแทน’ สหรัฐฯ-ไทย แลกสินค้าอะไรกันบ้าง? ก่อนปิดดีลสิ้นปี 2568 2

 

ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ

The post เปิด 18 ข้อตกลง ‘การค้าต่างตอบแทน’ สหรัฐฯ-ไทย แลกสินค้าอะไรกันบ้าง? ก่อนปิดดีลสิ้นปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง! เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน? https://thestandard.co/wealth-in-depth-rare-earth-mou/ Tue, 28 Oct 2025 04:57:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1136407 สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน?

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ทำเนียบขาวได้เปิดเผยแถลงการณ […]

The post สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง! เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน?

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ทำเนียบขาวได้เปิดเผยแถลงการณ์ร่วม ‘กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ และประเทศไทย’ (Joint Statement on Framework for United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) โดยมีใจความสำคัญหลัก ดังนี้

 

ไทยจะยกเลิกกำแพงภาษีหรือเปิดตลาด (Market Access) ให้สินค้าสหรัฐฯ ประมาณ 99% สูงกว่าที่รัฐบาลสื่อสารก่อนหน้าที่ระดับราว 90% โดยครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และเกษตร เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษี (Reciprocal Tariff) ต่อสินค้าไทยไว้ที่ 19% แต่จะกำหนดสินค้าบางรายการให้ได้รับอัตราภาษี 0% (ไม่ถูกเรียกเก็บ Reciprocal Tariff) ไว้ในภาคผนวก III (Annex III)

 

นอกจากนี้ ไทยตกลงที่จะแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่กระทบการส่งออกของสหรัฐฯ ขณะที่ในด้านสินค้าเกษตร ไทยจะต้องเร่งแก้ไขอุปสรรคและเพิ่มการเข้าถึงตลาดให้สินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ เช่น เนื้อสัตว์และสัตว์ปีกที่ได้รับการรับรองโดย FSIS

 

พร้อมทั้งจะเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและระดับชาติ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Resilience) และรับมือกับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศที่สาม

 

โดยไทยยังต้องซื้อสินค้าเกษตร (มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี) พลังงาน (มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี) และการบิน (จัดซื้อเครื่องบินสหรัฐฯ 80 ลำ มูลค่า 18.8 พันล้านดอลลาร์) อีกด้วย

 

อย่างไรก็ดี ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ ได้ชี้แจงว่า การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ในสัดส่วน 99% นี้จะมีเวลาให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น สินค้าเกษตรที่จะไม่เปิดตลาดในทันทีและยังมีระบบโควตาด้วย นอกจากนี้ จะพยายามเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มรายการสินค้าเข้าไปในภาคผนวก (Annex III) เพื่อขอยกเว้นอัตราภาษี (Reciprocal Tariff) ที่ 19% ดังกล่าว เพิ่มเติมด้วย

 


บทความที่เกี่ยวข้อง:


 

CIMB ห่วงเปิดตลาดสหรัฐฯ กระทบผู้ผลิตไทยระยะสั้น มองระยะยาวดีต่อเศรษฐกิจ

 

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า การประเมินผลกระทบจากการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 90% เป็น 99% จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของรายการสินค้าที่ถูกเพิ่มเข้ามาก่อน

 

อย่างไรก็ตาม การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอาจทำให้สินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศอาจไม่สามารถแข่งขันได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ดร.อมรเทพมองว่า การเปิดตลาดในลักษณะนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมแนะให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ควบคู่กัน

 

โดยในระยะสั้น หรือในช่วงแรกของการเปิดตลาดใหม่ ที่ผู้ผลิตในประเทศอาจได้รับผลกระทบ เช่น ยอดขายตก ควรต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อปรับตัว โดยรัฐบาลควรมีจะมาตรการชดเชยรายได้ให้ผู้ผลิตในประเทศที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี รัฐบาลควรชดเชยรายได้ที่หายไปในส่วนเท่าที่ ‘จำเป็น’ เท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องชดเชยเต็มจำนวน เนื่องจากต้องพิจารณาจากงบประมาณที่จำกัด

 

ส่วนในระยะกลางและยาว รัฐบาลควรหนุนให้ผู้ประกอบการ พัฒนาสินค้าให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น มีต้นทุนที่ลดลง และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมถึงการรณรงค์และส่งเสริมให้ผู้บริโภคใช้สินค้าไทยที่ผลิตในประเทศด้วย

 

‘สินค้าสหรัฐฯ’ จ่อทะลักเข้าไทย น่ากลัวแค่ไหนเทียบ ‘สินค้าจีน’?

 

ดร.อมรเทพ กล่าวว่า การเข้ามาตลาดไทยเพิ่มขึ้นของสินค้าสหรัฐฯ จะต้องกระทบสินค้าไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ดร.อมรเทพชี้ว่า ลักษณะของสินค้าจากสหรัฐฯ ต่างจากสินค้าจีน ผลกระทบจึงมีความแตกต่างกัน

 

พร้อมอธิบายต่อว่า สินค้าจีนมีลักษณะเป็นสินค้าราคาต่ำ และสามารถทดแทนสินค้าไทยจำนวนมากได้ ‘จึงมีความน่ากังวลมากกว่า’ และยังกระทบกับ SME เป็นหลัก

 

ขณะที่สินค้าสหรัฐฯ มีลักษณะ 2-3 ประเภท ได้แก่ (1) สินค้าที่สามารถเข้ามาแย่งตลาดไทยได้เช่นเดียวกับสินค้าจีน (2) สินค้าที่จะเข้ามาเป็นวัตถุดิบ เช่น ข้าวโพด เพื่อผลิตอาหารสัตว์ และ (3) สินค้าเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยต้องการ และสามารถเป็นฐานในการต่อยอดการพัฒนาได้เพิ่มเติม

 

ดร.อมรเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผลการเจรจาวันนี้ ไม่ได้บอกว่า เราเจรจากับสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จ แต่สิ่งสำคัญที่อยากได้มากกว่านี้คือ การผ่อนคลายมาตรการลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากวันนี้ สิ่งที่ประเทศไทยต้องการไม่ใช่ต้องการสินค้า แต่เราต้องการการลงทุนในประเทศให้มากขึ้น ทั้งจากจีน จากสหรัฐฯ จากยุโรป จากหลากหลายประเทศ”

 

ถ้ามองดูว่า อุปสรรคสำคัญไม่ใช่เพียงจากกฎระเบียบการค้าที่เข้มงวดขึ้นจากมาตรการภาษี แต่เราต้องการการผ่อนคลายในหลากหลายส่วน เพื่อให้ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้”

 

สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน? 1

 

KKP วิเคราะห์ ‘แถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ’ สะท้อนสหรัฐฯ กำลังกดดันไทยรอบทิศ

 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) มองว่า แม้แถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐฯ และไทย (a Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) จะค่อนข้างสอดคล้อง (In-Line) กับที่สิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วสื่อสารหรือเจรจามา

 

กระนั้น ดร.พิพัฒน์ ยังมองว่า แถลงการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า สหรัฐฯ พยายามกดดันไทยมากขึ้นทุกทาง ไม่ใช่แค่การเพิ่มสัดส่วนการเปิดตลาด (Market Access) จาก 90% เป็น 99% เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นเรื่องแร่ Rare Earth และอื่นๆ ด้วย

 

ทั้งนี้ ‘ไทย-สหรัฐฯ’ เพิ่งลงนามใน ‘MOU แร่ธาตุสำคัญ’ ที่มีชื่อเต็มว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กับ รัฐบาลราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลก และส่งเสริมการลงทุน

 

ห่วงสหรัฐฯ กำหนดเกณฑ์ Chinese Content ในเกมอัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์

 

สำหรับประเด็นเรื่องอัตราภาษีสำหรับสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้กำหนดนั้น ดร.พิพัฒน์ ประเมินว่า สหรัฐฯ น่าจะใช้ ‘สัดส่วนมูลค่าการผลิตภายในภูมิภาค’ (Regional Value Content) หรือ RVC มากกว่าเกณฑ์สัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content)

 

มากกว่านั้น ดร.พิพัฒน์ยังมองว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจจะใช้หลักเกณฑ์ที่ว่า ‘สินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯ ต้องมีสัดส่วนการผลิตจากประเทศใดประเทศหนึ่งเท่าไหร่ ‘(Individual Content Limit) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า สหรัฐอาจจะกำหนดเกณฑ์สัดส่วนการผลิตจาก ‘จีน’ โดยเฉพาะ (Chinese Content)

 

สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน? 2

 

KResearch เตือนส่งออกไทยยังเหนื่อย แม้สหรัฐฯ คงภาษีตอบโต้ 19%

 

เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยมองว่า กรอบความตกลงล่าสุดระหว่าง ‘สหรัฐฯ และไทย’ ในภาพรวมยังคล้ายเดิม เพียงแต่มีการระบุมูลค่า ที่ประเทศไทยต้องรับซื้อ โดยมีโอกาสและความเสี่ยงใหม่ดังนี้

 

สำหรับปัจจัยบวกใหม่ (Upside Risk) เกวลินมองว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุด สะท้อนว่า สหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญกับไทยในฐานะประเทศคู่ค้า เช่นเดียวประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย ที่มีการยกระดับข้อตกลงการค้าพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ เกวลินยังมองว่า การลงนามสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา จะทำให้บรรยากาศการค้าชายแดนดีขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม เกวลิน เตือนว่า แม้จะมีปัจจัยบวกใหม่และไทยยังได้อัตราภาษีตอบโต้เท่าเดิมที่ 19% ใกล้เคียง กับประเทศเพื่อนบ้าน แต่การที่ภาคส่งออกจะปรับดีขึ้นนั้น ยังขึ้นอยู่กับการปรับตัวของธุรกิจต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษามาร์จิ้น การดีลกับผู้นำเข้า การปรับปรุงการผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาดโลก และการจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

 

ห่วงสหรัฐฯ กดดันหนักกระทบแรงงานระดับล่างหลายสิบล้านคน

 

สำหรับปัจจัยเสี่ยงขาลง (Downside Risk) จากกรอบการเจรจาล่าสุด เกวลินมองว่า สหรัฐฯ ยังมีความต้องการ ให้ไทยเปิดตลาดอาหารสัตว์และสินค้าเกษตร รวมถึงการจัดซื้อเครื่องบิน และพลังงานจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น

 

โดยเฉพาะ ตลาดสินค้าเกษตรและอาหารสัตว์ไทย ที่เกวลินระบุว่า อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการหลายล้านครัวเรือน รวมถึงแรงงานระดับล่างหลายสิบล้านคน

 

“แม้ภาคเกษตรจะมีน้ำหนักต่อ GDP น้อย ที่ประมาณ 8-10% ก็ตาม ทั้งนี้ในระยะข้างหน้าต้อง ติดตามการเปิดตลาด ในสินค้าอื่น เช่น เนื้อหมู” เกวลินกล่าว

 

จับตาดีล ‘สหรัฐฯ-จีน’ และเกณฑ์สินค้าสวมสิทธิ์จ่อกระทบทิศทางการค้าอาเซียน

 

นอกจากนี้ เกวลิน ยังคงแนะให้ติดตามสถานการณ์ ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ และการตอบโต้ทางภาษีศุลกากรระหว่าง 2 ประเทศ ที่แม้ล่าสุดจะมีแนวโน้มบวกเพิ่มขึ้น แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการค้า ไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ ย่อมส่งผลต่อทิศทางการค้าของอาเซียน

 

สำหรับประเด็นเรื่อง การสวมสิทธิ์สินค้า (Transshipment) เกวลินระบุว่า ยังต้องติดตามต่อว่าสหรัฐฯ จะมีหลักเกณฑ์การประเมินอย่างไร แต่เบื้องต้นคาดว่า จะมีการพูดคุยทั้งระดับทวิภาคี และออกหลักเกณฑ์ร่วมกันในระดับภูมิภาค (RVC)

 

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลการพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ (Supreme Court) ว่าจะ มีคำตัดสินให้ยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำสั่งยกเลิก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็ คาดว่า มาตรการกีดกันทางการค้าจะยังดำเนินต่อไป โดยรัฐบาลทรัมป์ อาจหาช่องว่างทางกฎหมายอื่นมาเป็นเครื่องมือ เพื่อบรรลุเป้าหมายลด ขาดดุลการค้า และดึงฐานการผลิตกลับมาสหรัฐฯ รวมถึงสกัดการขยายอิทธิพลของจีนต่อไป

 

สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน? 3

 

แนะไทยแก้โจทย์ ‘โครงสร้าง’ ยกระดับ ‘Future Food’ สู้ศึกการค้าโลก

 

สำหรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อรัฐบาล เพื่อรับมือกับผลกระทบจาก มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ (Reciprocal tariff) ที่คาดว่าจะยังดำเนินต่อไปในระยะข้างหน้า เกวลินกล่าวว่า การเจรจาข้อตกลงการค้าแน่นอนว่า ผลสรุปแล้วสหรัฐฯ ต้องได้เปรียบกว่าประเทศคู่ค้า อีกทั้งยังมีปัจจัยภายนอก ที่ควบคุมไม่ได้หลายอย่าง ดังนั้น นอกจากมาตรการ บรรเทาผลกระทบแล้ว สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องโฟกัส คือ กลับมาแก้โจทย์ปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันขีดความสามารถ การแข่งขันของประเทศ

 

พร้อมทั้งยกระดับซัพพลายเชนของภาคการผลิตไทย ทั้งฝั่งดีมานด์ และซัพพลายให้สามารถเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานการค้าโลกได้ เพื่อรับมือระเบียบการค้าใหม่ ที่ทำให้การค้าโลกกระจัดกระจาย เศรษฐกิจชะลอตัวลง และนักลงทุนที่ใช้เวลาในการประเมินความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

 

“ดังนั้นเพื่อให้ภาคการผลิตไทยไม่ตกขบวน รัฐบาลจะต้องเร่งสนับสนุนการพัฒนา ecosystem ซัพพลายเชนทั้งระบบ ต่อยอดจุดแข็งที่มี เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ต้องหาทางเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ผ่านการแปรรูป หรือต่อยอดอาหารไปสู่ Future Food เช่น อาหารจากพืช (Plant-based meat)” เกวลินกล่าวทิ้งท้าย 

The post สหรัฐฯ บีบไทยทุกทาง! เปิดตลาด-ยกภาษี 99% พ่วง MOU แรร์เอิร์ธ กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park https://thestandard.co/life/koubai-rare-wagyu-thailand/ Fri, 24 Oct 2025 10:51:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1135016 KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park

ใครสายเนื้อห้ามพลาด! ชาบูวากิวขนแดงสายพันธุ์ Akaushi สุ […]

The post KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park appeared first on THE STANDARD.

]]>
KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park

ใครสายเนื้อห้ามพลาด! ชาบูวากิวขนแดงสายพันธุ์ Akaushi สุดพรีเมียมจากญี่ปุ่น มาให้ลองเป็นครั้งแรกในไทยที่ Central Park ชั้น 5

 

KOUBAI Ginza Shabu Shabu เกิดขึ้นจากความตั้งใจของเชฟ ที่จะนำเสนอชาบูวากิวคุณภาพสูง พร้อมถ่ายทอดรสชาติแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เริ่มตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ เทคนิคปรุงน้ำซุป ไปจนถึงการเสิร์ฟ ให้ทุกคำมีรสชาติและกลิ่นหอมอย่างสมบูรณ์แบบ โดยทุกจานอาหารอยู่ภายใต้การดูแลของเชฟผู้มีประสบการณ์ยาวนานจากร้านชาบูระดับมิชลินไกด์ในญี่ปุ่น

 

หัวใจสำคัญของร้านนี้คือ เนื้อวากิวขนแดง (Akaushi) วัวสายพันธุ์หายากที่ขึ้นชื่อเรื่องไขมันน้อย แต่ยังคงความนุ่มละมุน แตกต่างจากวากิวทั่วไปที่ไขมันแทรกเยอะ ที่นี่ไม่เพียงเสิร์ฟเมนูชาบู สุกี้ยากี้ แต่ยังมีข้าวหน้าต่างๆ รวมถึงเนื้อสเต๊กที่ใช้เทคนิคการย่างแบบ Shiogama มาใช้ โดยนำเนื้อพันด้วยใบโฮบะ ก่อนห่อด้วยเกลือแล้วนำไปอบหรือย่าง ซึ่งทำให้ยังคงความฉ่ำของเนื้อไว้ภายใน

 

นอกจากเนื้อแล้ว ยังมีไวน์และสาเกสำหรับแพริ่งกับเมนูเนื้อในแต่ละคำ ไม่ว่าจะเป็นไวน์แดงที่ช่วยตัดเลี่ยนให้รสสัมผัสของเนื้อละมุนและสมดุลขึ้น หรือสาเกหวานๆ ซึ่งทำให้รสอูมามิของเนื้อให้โดดเด่นขึ้น

 

สำหรับใครที่อยากลองสัมผัสความนุ่มละมุนของวากิวขนแดงสายพันธุ์หายาก สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่ https://tr.ee/_vjGJy5btB แล้วแวะมาที่ Central Park ชั้น 5 โซน Parkside Eatery, กรุงเทพฯ ได้เลย!

 

KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park 1 KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park 2 KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park 3 KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park 4

 

ภาพ: ภัณฑิลา วงษ์วรรณ, KOUBI

The post KOUBAI ชาบูวากิวขนแดง หากินยากจากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกในไทยที่ Central Park appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทศกาลกินเจนี้ ‘ราคาผักสด’ แพงสุดรอบ 17 เดือน สูงกว่าปกติ 1.6 เท่า https://thestandard.co/vegetable-prices-record-high/ Fri, 24 Oct 2025 06:02:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1134787 เทศกาลกินเจนี้ ราคาผักสด แพงสุด รอบ 17 เดือน สูงกว่าปกติ 1.6 เท่า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เผยราคาผักสดเฉลี่ยของไทย […]

The post เทศกาลกินเจนี้ ‘ราคาผักสด’ แพงสุดรอบ 17 เดือน สูงกว่าปกติ 1.6 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทศกาลกินเจนี้ ราคาผักสด แพงสุด รอบ 17 เดือน สูงกว่าปกติ 1.6 เท่า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เผยราคาผักสดเฉลี่ยของไทยในตุลาคม 2568 ปรับเพิ่มขึ้น 10.5% ไปแตะ 40.6 บาทต่อกิโลกรัม สูงสุดในรอบ 17 เดือน โดยมีราคาผักสดที่พุ่ง 3 รายการแรก คือ กวางตุ้ง แตงกวา และคะน้า

 

โดยสาเหตุของการพุ่งขึ้นของราคามาจากผลของน้ำท่วมได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกราว 22,392 ไร่ และแรงหนุนของความต้องการบริโภคในช่วงเทศกาลกินเจ โดยคาดว่าราคาจะสูงกว่า 1.6 เท่าจากช่วงปกติ

 

เปิดประมาณการ ‘ราคาผัก’ ในระยะถัดไป

 

KResearch กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2568 ราคาผักสดคาดว่าจะปรับลดลงตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้น (ภาวะน้ำท่วมในฤดูฝนสิ้นสุดแล้ว) โดยเฉพาะผักสดเศรษฐกิจฤดูหนาวที่สำคัญ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย เป็นต้น โดยราคาผักสดทั้งปี 2568 คาดว่าจะลดลง 15.3% ไปเฉลี่ยอยู่ที่ 27.6 บาทต่อกิโลกรัม

 

ขณะที่ไตรมาสแรกปี 2569 คาดว่าราคาผักสดน่าจะทรงตัวในระดับต่ำ จากสภาพอากาศที่ยังเอื้อต่อการผลิตของลานีญาที่คงมีอยู่ ขณะที่ในฝั่งความต้องการบริโภคผักจำนวนมากในเทศกาลสำคัญยังมีไม่มากนัก และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เปราะบางจากการใช้จ่ายที่เร่งไปแล้วในช่วงก่อนหน้า

 

ส่วนไตรมาสที่ 2-4 ของปี 2569 คาดว่าราคาผักสดอาจปรับเพิ่มขึ้น ตามสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะพลิกกลับมาเป็นเอลนีโญ ส่งผลต่อฤดูฝนให้มาช้าและอากาศร้อนมากขึ้น กระทบต่อปริมาณผลผลิตผักให้ลดลง

 

ราคาผักสดมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อแค่ไหน?

 

สำหรับผลต่ออัตราเงินเฟ้อ KResearch กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ผักสดคิดเป็น 2.19% ของตระกร้าเงินเฟ้อทั้งหมด ทั้งนี้ แม้ราคาผักจะปรับเพิ่มขึ้นในตุลาคม แต่อาจยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะดันเงินเฟ้อทั่วไปให้เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากมีแรงฉุดในหมวดพลังงานที่มีราคาลดลงเป็นหลัก โดย KResearch คาดว่า เงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ -0.1%

 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อไทยติดลบ 6 เดือนต่อเนื่องแล้ว โดยลดลง 0.72% YoY ในเดือนกันยายน โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 ลงมาอยู่ที่ระดับ 0.0% จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะอยู่ระหว่าง 0.0-1.0% (ค่ากลาง 0.5%)

The post เทศกาลกินเจนี้ ‘ราคาผักสด’ แพงสุดรอบ 17 เดือน สูงกว่าปกติ 1.6 เท่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sizzler เปิดศึกแซนด์วิช! แตกแบรนด์ใหม่ ‘Sandwich Society’ รุกตลาดพรีเมียม เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลพระราม 9 https://thestandard.co/sizzler-launches-sandwich-society/ Thu, 23 Oct 2025 09:23:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1134565 Sizzler เปิดศึกแซนด์วิช แตกแบรนด์ใหม่ ‘Sandwich Society’ รุกตลาดพรีเมียม เปิดสาขาแรกที่ เซ็นทรัลพระราม 9

ไมเนอร์ ฟู้ด ประกาศเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Sandwich Society เ […]

The post Sizzler เปิดศึกแซนด์วิช! แตกแบรนด์ใหม่ ‘Sandwich Society’ รุกตลาดพรีเมียม เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลพระราม 9 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sizzler เปิดศึกแซนด์วิช แตกแบรนด์ใหม่ ‘Sandwich Society’ รุกตลาดพรีเมียม เปิดสาขาแรกที่ เซ็นทรัลพระราม 9

ไมเนอร์ ฟู้ด ประกาศเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Sandwich Society เพื่อรุกเข้าสู่ตลาดแซนด์วิชพรีเมียม โดยวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็นอาหารในรูปแบบ Fast-Casual ที่เน้นความรวดเร็วและคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า

 

การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเจาะช่องว่างทางการตลาดที่ผู้บริโภคในเมืองมักต้องเลือกระหว่าง ‘อาหารเร็วแต่ขาดคุณภาพ’ หรือ ‘อาหารคุณภาพดีแต่ใช้เวลารอ’ ซึ่ง Sandwich Society ถูกวางให้เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว

 

แบรนด์นี้ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จจาก Sizzler ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีจากเมนู Cheese Toast โดย ไมเนอร์ ฟู้ด ได้นำความเชี่ยวชาญในการทำขนมปังและวัตถุดิบคุณภาพมาพัฒนาสินค้าใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มมื้อเช้าและอาหารว่าง ซึ่งเป็นตลาดที่ Sizzler ยังไม่ได้ครอบคลุม

 

กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้พอร์ตโฟลิโอของ ไมเนอร์ ฟู้ด สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเมืองได้ครบทั้งสามมื้อ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ Urban Professionals (อายุ 23-45 ปี) และขยายฐานไปยังกลุ่มนักศึกษาและครอบครัวรุ่นใหม่

 

ในด้านผลิตภัณฑ์ มีการกำหนดราคาที่หลากหลายเพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย ตั้งแต่เมนูเริ่มต้นอย่าง Ham it Up (99 บาท) ไปจนถึงเมนูพรีเมียมอย่าง Brisket Melt ที่ใช้ขนมปังซาวโดว์ (289 บาท) ส่วนร้านได้ใช้โทนสีเหลืองสดใสเพื่อให้ดูเป็นไลฟ์สไตล์ที่มีชีวิตชีวา

 

สำหรับสาขาแรกได้เปิดให้บริการแล้วที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น B ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพใจกลางย่านธุรกิจ โดยมีผู้สัญจรเฉลี่ยกว่า 80,000 คนต่อวัน ซึ่งถูกมองว่า ทำเลนี้จะเป็น ‘ก้าวแรกสู่การเป็นจุดหมายใหม่ของคนเมืองและชาวออฟฟิศ’

The post Sizzler เปิดศึกแซนด์วิช! แตกแบรนด์ใหม่ ‘Sandwich Society’ รุกตลาดพรีเมียม เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลพระราม 9 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์ฟู้ด เห็นสัญญาณตลาดเปลี่ยน ปั้น Hey Gusto แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนพรีเมียมใหม่ จับลูกค้ากลุ่มบนกรุงเทพฯที่กำลังซื้อสูง https://thestandard.co/minor-food-launches-hey-gusto/ Wed, 22 Oct 2025 12:30:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1134232 ไมเนอร์ฟู้ด เห็นสัญญาณตลาดเปลี่ยน ปั้น Hey Gusto แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนพรีเมียมใหม่ จับลูกค้ากลุ่มบน กรุงเทพฯ ที่กำลังซื้อสูง

“ถึงวันนี้ธุรกิจร้านอาหารยังมีการแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะ […]

The post ไมเนอร์ฟู้ด เห็นสัญญาณตลาดเปลี่ยน ปั้น Hey Gusto แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนพรีเมียมใหม่ จับลูกค้ากลุ่มบนกรุงเทพฯที่กำลังซื้อสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไมเนอร์ฟู้ด เห็นสัญญาณตลาดเปลี่ยน ปั้น Hey Gusto แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนพรีเมียมใหม่ จับลูกค้ากลุ่มบน กรุงเทพฯ ที่กำลังซื้อสูง

“ถึงวันนี้ธุรกิจร้านอาหารยังมีการแข่งขันสูงมาก โดยเฉพาะแบรนด์ใหญ่ที่อยู่ในตลาดมานาน สามารถครองพื้นที่ในตลาดแมสได้อย่างครอบคลุม ส่วนตลาดระดับบน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่าง พื้นที่รีเทลแห่งใหม่ในย่านดุสิตที่มีแต่แบรนด์เกิดใหม่เข้ามาเปิดร้านกันอย่างคับคั่ง สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางใหม่ของธุรกิจรีเทล ที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มบนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง” อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังได้เห็นโอกาสและช่องว่างในตลาดร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียม ที่ยังมีแนวโน้มสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ จากข้อมูล พบว่า ประเทศไทยมีร้านอิตาเลียนกว่า 400 ร้าน ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในย่านธุรกิจอย่างสีลม ตามด้วยสุขุมวิท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในตรอกซอยที่เข้าถึงได้ยาก โดยจะมุ่งจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก

 

ที่ผ่านมา ไมเนอร์ฟู้ด ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคไทย พบว่ายังคงชื่นชอบอาหารตะวันตก โดยเฉพาะเมนูพิซซ่า ซึ่งไมเนอร์ฟู้ด เป็นผู้บุกเบิกตลาด ด้วยการเปิดร้าน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในไทยมากว่า 40 ปี ปัจจุบันครองสัดส่วนรายได้กว่า 60% ของกลุ่มธุรกิจอาหารตะวันตกในพอร์ตของไมเนอร์ฟู้ด และมีการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับอาหารสไตล์อิตาเลียนมากขึ้น และเปิดโอกาสให้แบรนด์ใหม่สามารถต่อยอดเข้าสู่ตลาดพรีเมียมได้ง่ายขึ้น

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

อีกเทรนด์หนึ่งที่กำลังมาแรง คือปัจจุบันตลาดรีเทลและศูนย์การค้า ต้องการดึงดูดแบรนด์ร้านอาหารที่มีรูปแบบและเอกลักษณ์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมประสบการณ์ภายในศูนย์ฯ จึงทำให้ไมเนอร์ฟู้ด ตัดสินใจกระโดดเข้าสู่ตลาดนี้ ด้วยการเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ Hey Gusto (เฮย์ กุสโต) เป็นร้านอาหารอิตาเลียนระดับพรีเมียมแห่งแรกของบริษัท ในคอนเซ็ปต์โฮมคุกสไตล์อิตาเลียน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง ประเดิมเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

 

สำหรับแบรนด์ใหม่ ได้รับแรงบันดาลใจจาก Vivo Resto ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียนพรีเมียมในเครือไมเนอร์ฟู้ด ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่ผ่านมาทีมงานจากไทยได้เดินทางไปศึกษาโมเดลการดำเนินงานและนำเมนูขายดี มาปรับรสชาติให้เข้ากับความชอบของผู้บริโภคชาวไทย ทั้งหมดใช้เวลาในการพัฒนากว่า 6 เดือน

 

ถามว่าทำไมถึงเลือกเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะมองว่าเป็นทำเลที่ดึงดูดได้ทั้งลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อย่างชัดเจน และร้านใหม่ได้ถูกปรับมาจากพื้นที่เดิม เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ร้านระดับพรีเมียม

 

อนุพนธ์ ยอมรับว่าการเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นร้านที่มีสาขาเดียว แม้ในทางทฤษฎีการควบคุมคุณภาพจะง่ายขึ้น แต่ด้วยความที่ร้านถูกออกแบบให้เป็นร้านพรีเมียมจึงต้องใช้เวลาฝึกอบรมพนักงานนานกว่า 3 เดือนเพื่อรักษามาตรฐานของร้านเอาไว้ และต้องมีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ เข้ามาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยคาดว่ากว่าที่แบรนด์จะเป็นที่รู้จักในตลาดจะต้องใช้เวลา และบริษัทต้องใช้สื่อหลากหลายรูปแบบเพื่อให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด

 

ทั้งนี้ หลังเปิดให้บริการมาเพียง 1 เดือน ผลตอบรับจากลูกค้าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเทียบกับแบรนด์เดิมที่เปิดในโลเคชันเดียวกัน โดยลูกค้ามีทั้งชาวต่างชาติและคนไทย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ลูกค้าต่างชาติจะมีกำลังซื้อสูง แต่บริษัทมุ่งไปที่การเพิ่มสัดส่วนลูกค้าคนไทยมากกว่า เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ในระยะยาว ซึ่งจะสามารถรองรับกับสถานการณ์ความไม่แน่นอน เหมือนกับในช่วงโควิดที่ผ่านมา

 

ส่วนแผนการขยายสาขา มองว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อประเมินผลรายได้ ก่อนจะตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต แต่การเปิดแบรนด์ใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อเติมเต็มพอร์ตธุรกิจที่ยังไม่มีแบรนด์ระดับพรีเมียม โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าแบรนด์ใหม่มีโอกาสเติบโตได้ดีในตลาดบนและจะช่วยเสริมแวลูให้กับบริษัทในระยะยาว

 

“สุดท้ายแล้วการสร้างแบรนด์ก็เหมือนคน ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เติบโตได้ในตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรนั้น การสร้างแบรนด์พรีเมียมมีความท้าทายน้อยกว่าแบรนด์แมสที่ต้องแข่งขันในตลาดที่กว้างและต้องรักษาลูกค้าหลายกลุ่ม ซึ่งทิศทางในอนาคต บริษัทจะไม่เข้าไปแข่งขันในตลาดอาหารเอเชีย เช่น เกาหลีหรือจีน ที่ปัจจุบันเริ่มอิ่มตัวและเน้นการแข่งขันด้านราคา กระทั่งบางรายที่ไปต่อไม่ไหวก็ต้องปิดตัวไปจากตลาด” อนุพนธ์ ย้ำ

The post ไมเนอร์ฟู้ด เห็นสัญญาณตลาดเปลี่ยน ปั้น Hey Gusto แบรนด์ร้านอาหารอิตาเลียนพรีเมียมใหม่ จับลูกค้ากลุ่มบนกรุงเทพฯที่กำลังซื้อสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>