อาหาร – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 05 Aug 2025 13:44:14 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Bioconvergence เทรนด์ Deep Tech ที่จะเปลี่ยนวงการแพทย์ อาหาร และวัสดุศาสตร์ https://thestandard.co/bioconvergence-deeptech-health-food/ Tue, 05 Aug 2025 12:44:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1104046

เมื่อชีววิทยาที่เคยซับซ้อนเกินเข้าใจ กำลังถูกถอดรหัสด้ว […]

The post Bioconvergence เทรนด์ Deep Tech ที่จะเปลี่ยนวงการแพทย์ อาหาร และวัสดุศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อชีววิทยาที่เคยซับซ้อนเกินเข้าใจ กำลังถูกถอดรหัสด้วยพลังของ AI และวิศวกรรม เมื่อสิ่งที่เคยเป็นงานวิจัยในห้องแล็บ กลายเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาดจริง

 

นี่ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่มันคือจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของโลกธุรกิจ และเราเรียกมันว่า ‘Bioconvergence’

 

🟡 Bioconvergence คืออะไรและทรงพลังแค่ไหน?

Bioconvergence คือการหลอมรวมเทคโนโลยีสายชีวภาพเข้ากับสายดิจิทัลและวิศวกรรม ลองนึกภาพว่าความก้าวหน้าของ AI ในวันนี้ไม่ได้อยู่แค่บนโลกคอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่มันสามารถเข้าไปช่วยเร่งการค้นพบทางชีววิทยาได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

นี่เป็นเหมือนการเปิดประตูสู่นวัตกรรมชุดใหม่ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ข้อดีหลักๆ คือการสร้างความเป็นไปได้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหลายมิติ ตั้งแต่การแพทย์, อาหาร, ไปจนถึงวัสดุศาสตร์ โดยมีศักยภาพในการสร้างธุรกิจใหม่และแก้ปัญหาสำคัญของโลก

 

ตัวอย่างนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาแล้ว เช่น

 

🔸 AlphaFold แพลตฟอร์ม AI จาก DeepMind ของ Google ที่สามารถทำนายโครงสร้าง 3 มิติของโปรตีนได้เกือบทั้งหมดที่วงการวิทยาศาสตร์รู้จัก ซึ่งช่วยย่อเวลาการวิจัยที่เคยใช้เวลาหลายสิบปีให้เหลือเพียงไม่กี่เดือน การค้นพบนี้จะนำไปสู่การพัฒนายาและวัคซีนใหม่ๆ , การสร้างเกษตรกรรมอัจฉริยะ , อาหารแห่งอนาคตอย่างเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงในห้องแล็บ (Lab-grown Meat) ไปจนถึงวัสดุชีวภาพใหม่ๆ เช่น หนังจากเห็ด หรือแบตเตอรี่ชีวภาพ

 

🟡 Deep Tech Commercialization จากห้องแล็บสู่ธุรกิจเปลี่ยนโลก

ปรากฏการณ์ Bioconvergence นำมาสู่เทรนด์ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ นั่นคือ ‘Deep Tech Commercialization’ หรือการนำเทคโนโลยีเชิงลึกออกจากห้องทดลองมาสร้างเป็นธุรกิจที่จับต้องได้จริง ซึ่งเทรนด์นี้กำลังเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

 

🔸Perceptra: สตาร์ทอัพไทยที่ใช้ AI ช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นได้อย่างแม่นยำ

 

🔸Meticuly: ผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ AI และการพิมพ์สามมิติในการสร้างกระดูกเทียมเฉพาะบุคคลสำหรับผู้ป่วย

 

แสดงให้เห็นว่า Deep Tech ไม่ใช่แค่เรื่องของนักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่รอให้ผู้ประกอบการเข้าไปไขว่คว้า

 

🟡 Playbook สำหรับผู้ประกอบการ: สูตรสำเร็จในสมรภูมิ Deep Tech

การจะสร้างธุรกิจจาก Deep Tech ให้ประสบความสำเร็จ มีแค่เทคโนโลยีล้ำๆ ยังไม่เพียงพอ แต่ต้องมีกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่สูตรนี้

 

🔸 Deep Tech = Deep Technology + Expertise Knowledge (เทคโนโลยีเชิงลึก + ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง)

ความสำเร็จไม่ได้เริ่มต้นจากเทคโนโลยี แต่เริ่มต้นจาก ‘การเข้าใจปัญหา’ อย่างลึกซึ้ง ผู้ประกอบการที่อยากลงเล่นในสนาม ควรทำตามแบบแผนเหล่านี้

 

🔸 เริ่มต้นจาก Pain Point ของผู้ใช้งาน: ความสำเร็จของสตาร์ทอัพ Deep Tech จำนวนมากเกิดจากการเข้าไปพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในวงการนั้นๆ เช่น เข้าไปคุยกับแพทย์เพื่อหาว่าปัญหาที่แท้จริงในการทำงานของพวกเขาคืออะไร แล้วจึงนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา

 

🔸 หา Problem-Solution Fit ให้เจอก่อน: ก่อนที่จะทุ่มงบประมาณสร้างผลิตภัณฑ์ ต้องตอบให้ได้ก่อนว่าปัญหาที่เราจะแก้นั้นใหญ่พอและมีคนยอมจ่ายเงินเพื่อแก้หรือไม่ และวิธีการแก้ปัญหาของเรานั้นตอบโจทย์ได้จริงหรือไม่

 

🔸 ร่วมมือกับนักวิจัยอย่างใกล้ชิด: ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์เอง แต่ต้องสามารถทำงานร่วมกับนักวิจัยเพื่อนำเทคโนโลยีมาต่อยอดเป็นแกนหลักของธุรกิจได้ 

 

Bioconvergence และ Deep Tech ไม่ใช่แค่ buzzword ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของวิธีการสร้างนวัตกรรมและมูลค่าทางเศรษฐกิจ

 

โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้อยู่ที่การเป็นเจ้าของเทคโนโลยี แต่อยู่ที่การเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับปัญหาที่แท้จริงของมนุษย์ ผู้ประกอบการที่สามารถมองเห็นปัญหาและนำเทคโนโลยีมาใช้แก้โจทย์ได้อย่างถูกจุด คือผู้ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและคว้าชัยชนะในทศวรรษข้างหน้านี้

 

เรียนรู้วิธีการใช้ Deep Tech คว้าโอกาสจาก Bioconvergence พัฒนาธุรกิจให้เป็นที่ต้องการของโลกอนาคตอย่างแท้จริง ได้ในงาน The Secret Sauce Summit 2025 เทศกาลธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

 

📍 16-17 September 2025 | UOB LIVE ชั้น 6, EMSPHERE

 


 

The Secret Sauce Summit 2025 ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ https://www.zipeventapp.com/e/The-Secret-Sauce-Summit-2025?ref=Key-Takeaway-Bioconvergence

 

ชมคลิปสรุป 10 เรื่อง CEO ต้องรู้ ปี 2026 ได้ที่ https://youtu.be/LGN1JcFXBOI

The post Bioconvergence เทรนด์ Deep Tech ที่จะเปลี่ยนวงการแพทย์ อาหาร และวัสดุศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หิ้วปิ่นโต-ผูกกล่องข้าว ชวนสั่งอาหารแบบรักษ์โลก แถมมีผู้ช่วยวิ่งรับปิ่นโตคืน https://thestandard.co/life/tiffin-delivery-robinhood-thailand Fri, 01 Aug 2025 06:03:28 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1102568 แคมเปญปิ่นโตเดลิเวอรีจาก Robinhood ส่งอาหารใส่กล่องข้าวพร้อมรับคืน

ใครอยากห่อข้าวไปกินที่ทำงานแต่ไม่เคยทำได้เพราะไม่มีเวลา […]

The post หิ้วปิ่นโต-ผูกกล่องข้าว ชวนสั่งอาหารแบบรักษ์โลก แถมมีผู้ช่วยวิ่งรับปิ่นโตคืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
แคมเปญปิ่นโตเดลิเวอรีจาก Robinhood ส่งอาหารใส่กล่องข้าวพร้อมรับคืน

ใครอยากห่อข้าวไปกินที่ทำงานแต่ไม่เคยทำได้เพราะไม่มีเวลา หรือคิดถึงการหิ้วปิ่นโตมื้อกลางวันไปนั่งกินกับเพื่อน เราอยากชวนสั่งอาหารเดลิเวอรีจากร้านเหล่านี้บนแอปพลิเคชัน Robinhood เพราะอาหารจะส่งถึงทุกคนในปิ่นโตหรือกล่องข้าวพร้อมห่อผ้า หลังจากกินเสร็จก็แค่โทรหา แล้วจะมีไรเดอร์วิ่งไปรับปิ่นโตและกล่องข้าวคืนเอง เท่ากับว่าทุกคนจะไม่ได้รับพลาสติกเลยสักชิ้น!

 

“บางคนอาจถามว่า การวิ่งเก็บปิ่นโตตามบ้านไม่เป็นการเพิ่มก๊าซคาร์บอนมากกว่าเหรอ ถ้าให้ตอบก็คงใช่ แต่มันเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าแน่นอนหากเปรียบเทียบกับขยะพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งที่เกิดจากอาหารเดลิเวอรี ซึ่งพวกมันจะกลายเป็นขยะฝังกลบและสร้างก๊าซมีเทนที่แย่กว่าคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 25 เท่า” เชฟโบ-ดวงพร ทรงวิศวะ เจ้าของร้าน Err (เออ) ผู้นำแคมเปญนี้พูดให้ฟัง

 

จึงเกิดเป็นไอเดียในการทำโปรเจกต์ปิ่นโตเดลิเวอรีที่เชฟจากหลายๆ ร้านอาหารจับมือกับแอปพลิเคชันส่งอาหาร Robinhood เพื่อส่งอาหารผ่านปิ่นโตและกล่องข้าว โดยมีร้านอาหารที่เข้าร่วม ได้แก่

 

  • ร้านอาหารไทย ERR Urban Rustic Thai 
  • ร้านอาหารอิตาลี Appia 
  • ร้านราเมน Chita Yutaka Tei
  • ร้านอาหารสไตล์บิสโทร VIVIN Asok – café grocery bistro 
  • ร้านอาหารโฮมเมด Little Sunshine Café

 

สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็แค่เพียงกดสั่งและรออาหารมาส่ง หลังจากกินเสร็จแล้วก็ล้างให้สะอาดและโทรให้ไรเดอร์วิ่งมารับไปคืนตามวันและเวลาที่สะดวกเท่านั้นเอง โดยสามารถสั่งได้ตั้งแต่วันนี้-15 สิงหาคม 2568 เท่านั้น ผ่านแอป Robinhood: https://go.rbh.app/PagI/rbhn1o68

The post หิ้วปิ่นโต-ผูกกล่องข้าว ชวนสั่งอาหารแบบรักษ์โลก แถมมีผู้ช่วยวิ่งรับปิ่นโตคืน appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักวิทย์จีนพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดกินได้-ล้างออกง่าย ช่วยยืดอายุได้ 2.5 เท่า ด้วย ‘ต้นทุนต่ำ’ หวังลดขยะอาหารทั่วโลก https://thestandard.co/edible-fruit-coating-shelf-life/ Tue, 24 Jun 2025 02:39:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1088276

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนประสบความสำเร็จในการพัฒนา ‘สา […]

The post นักวิทย์จีนพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดกินได้-ล้างออกง่าย ช่วยยืดอายุได้ 2.5 เท่า ด้วย ‘ต้นทุนต่ำ’ หวังลดขยะอาหารทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนประสบความสำเร็จในการพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดใหม่ที่สามารถรับประทานได้และล้างออกได้ง่าย โดยสารเคลือบนี้สามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้ได้ยาวนานขึ้นถึง 2.5 เท่า ด้วยการลดการสูญเสียความชื้นและการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การค้นพบนี้นำเสนอทางออกต่อปัญหาการสูญเสียอาหารทั่วโลก

 

สารเคลือบที่มี ‘ต้นทุนต่ำ’ เพียง 9 เซ็นต์ (ประมาณ 3 บาท) ต่อผลไม้ 1 กิโลกรัมนี้ ได้รับการทดสอบกับผลไม้ทั้งลูกและผลไม้หั่นกว่า 17 ชนิด รวมถึงสตรอว์เบอร์รี, มะเขือเทศ, กีวี และมะม่วง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถชะลอการเน่าเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพเกือบหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น

 

ตามรายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications กลยุทธ์ใหม่นี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับวิธีการถนอมอาหารที่มีอยู่ แต่มีข้อดีเพิ่มเติมคือช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดความเสี่ยงด้านความเป็นพิษ

 

ทีมวิจัยนำโดยนักวิทยาศาสตร์จาก Shaanxi Normal University ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมว่า “เพื่อรับมือกับความท้าทายสำคัญในการถนอมผลไม้ที่เน่าเสียง่าย เรานำเสนอการเคลือบผิวด้วยโปรตีนคล้ายอะมิลอยด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งพัฒนาขึ้นจากการจำลองระดับโมเลกุลด้วยคอมพิวเตอร์”

 

พวกเขายืนยันว่า “ด้วยคุณสมบัติที่รับประทานได้ ล้างออกง่าย และต้นทุนต่ำ สารเคลือบนี้จึงแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ได้ทั่วไปสำหรับผลไม้หลังการเก็บเกี่ยวและผลไม้ตัดแต่ง”

 

โดยเฉลี่ยแล้วประมาณหนึ่งในสามของอาหารที่ผลิตทั่วโลกต้องถูกทิ้งไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เน่าเสียง่ายอย่างผักและผลไม้ แม้ผลไม้ทุกชนิดจะมีเกราะป้องกันตามธรรมชาติบนพื้นผิว แต่การเก็บเกี่ยวทำให้พวกมันเน่าเสียง่ายเนื่องจากการคายน้ำ การเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การออกซิเดชัน และการเน่าเสียตามธรรมชาติ

 

ซึ่งจำกัดอายุการเก็บรักษาลง วิธีการยืดอายุการเก็บรักษาผลไม้ที่เคยมีการสำรวจมา ได้แก่ การดัดแปลงพันธุกรรม การเคลือบด้วยแว็กซ์ การเก็บรักษาแบบเย็น และการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์

 

นักวิจัยเลือกใช้โปรตีนคล้ายอะมิลอยด์ที่เปลี่ยนสถานะได้ ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ในการผลิตกาวกันน้ำและสารเคลือบผ้ากันคราบ โปรตีนคล้ายอะมิลอยด์นี้สามารถละลายน้ำได้และสามารถฉีดพ่นลงบนผิวผลไม้ได้ นักวิจัยนำโปรตีนนี้มารวมกับโมเลกุลของสารต้านจุลชีพเพื่อสร้างสารเคลือบดังกล่าว

 

“ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของสารเคลือบโปรตีนคล้ายอะมิลอยด์ มาจากความสามารถในการกระจายตัว การสร้างฟิล์ม การยึดเกาะที่แข็งแกร่ง และความสม่ำเสมอของสารเคลือบบนผิวผลไม้ ซึ่งส่งผลให้สารเคลือบมีความคงตัวดีขึ้นและยืดอายุการเก็บรักษาได้ยาวนานขึ้น” ทีมงานระบุในรายงาน

 

ทีมวิจัยกล่าวว่า “สารเคลือบของเราช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 90% เมื่อเทียบกับวิธีแช่เย็นมาตรฐาน ในขณะที่ยืดอายุการเก็บรักษาได้ 2.5 เท่า” สารเคลือบนี้สามารถชะลอการเน่าเสียของผลไม้พร้อมทั้งรักษาคุณค่าทางโภชนาการได้ 60-98% ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการถนอมอาหารด้วยสารเคมีโดยไม่มีความเสี่ยงต่อความเป็นพิษ

 

ตัวอย่างเช่น สตรอว์เบอร์รีที่ไม่มีการเคลือบแสดงสัญญาณการเน่าเสียที่ชัดเจนหลังจาก 4 วัน และมีเชื้อราเติบโตอย่างรุนแรงภายในวันที่ 10 แต่สตรอว์เบอร์รีที่เคลือบกลับไม่มีสัญญาณการเน่าเสียเลยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ สารเคลือบยังสามารถเพิ่มอายุการเก็บรักษาของมะเขือเทศเชอร์รีจาก 6 วันเป็น 16 วัน, ส้มจี๊ดจาก 15 วันเป็น 30 วัน, และกล้วยกับมะม่วงจาก 2 วันเป็น 8 วัน

 

ทีมนักวิจัยจาก Tianjin University, Xinjiang Normal University, Changan University และ Second Affiliated Hospital of Xian Jiaotong University ก็มีส่วนร่วมในการศึกษานี้ด้วย เพื่อทดสอบ ‘ความปลอดภัย’ ทางชีวภาพของสารเคลือบนี้ พวกเขาให้อาหารหนูที่เคลือบด้วยสารนี้ และพบว่าหนูไม่มี “การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพที่ชัดเจน”

 

และผลการตรวจเลือด ไต และตับก็เป็นปกติ ทีมงานยืนยันว่า “คุณสมบัติที่เข้ากันได้ทางชีวภาพ กินได้ และล้างออกง่ายของสารเคลือบนี้เป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริงและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับการถนอมอาหาร”

 

ภาพ: Fotokon / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post นักวิทย์จีนพัฒนา ‘สารเคลือบผลไม้’ ชนิดกินได้-ล้างออกง่าย ช่วยยืดอายุได้ 2.5 เท่า ด้วย ‘ต้นทุนต่ำ’ หวังลดขยะอาหารทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPF เผยเทรนด์อาหารโลกเปลี่ยน พร้อมกิน-สุขภาพมาแรง มองตลาดยุโรปมีโอกาสโตมหาศาล https://thestandard.co/cpf-global-food-trends/ Sat, 31 May 2025 05:21:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1080606

ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมอาหารกำลังลำบากมาก จากการที่ผู […]

The post CPF เผยเทรนด์อาหารโลกเปลี่ยน พร้อมกิน-สุขภาพมาแรง มองตลาดยุโรปมีโอกาสโตมหาศาล appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมอาหารกำลังลำบากมาก จากการที่ผู้คนใช้จ่ายระมัดระวังมากขึ้นและเริ่มไม่ออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน แต่ในบางกลุ่มสินค้ายังมีโอกาสอีกมหาศาล ขึ้นอยู่กับว่าใครจะปรับตัวได้เร็วกว่า แน่นอนว่าผู้ประกอบการไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่นั้นจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเทรนด์โลกใหม่ให้ได้

 

เอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด เน็ตเวิร์ก จำกัด ฉายภาพว่า สภาพเศรษฐกิจทำให้เทรนด์อาหารโลกเปลี่ยน ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายเริ่มไม่นิยมออกไปกินอาหารนอกบ้านเหมือนเดิม โดยเฉพาะร้านอาหารเชนขนาดใหญ่ที่เผชิญปัญหายอดขายตกต่ำ เนื่องจากอาหารนอกบ้านมีราคาสูง ผู้บริโภคจึงหันมามองหาทางเลือกที่สามารถรับประทานเองได้ที่บ้านมากขึ้น

 

จากปัจจัยดังกล่าวได้สร้างอานิสงส์ให้กลุ่มสินค้าอาหารพร้อมกินที่อร่อย ถูกปาก หลากหลาย กลายเป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของสินค้าในกลุ่มอาหารของซีพีเอฟ ไม่ว่าจะเป็นอาหารพร้อมกินไทยซีรีส์ หรือสินค้ากลุ่มแพลนต์เบสที่เน้นตอบโจทย์ทั้งรสชาติและสุขภาพ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

เมื่อมาดูที่แนวโน้มอนาคตอีกหนึ่งเทรนด์ที่เห็นชัดเจนคือ ผู้บริโภคเริ่มลดการบริโภคเนื้อสัตว์ หันมาเพิ่มสัดส่วนผักในแต่ละมื้ออาหารมากขึ้น และให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสินค้านวัตกรรมใหม่ เช่น อาหารที่มีโพรไบโอติก จึงจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักที่เราจะพัฒนา

 

คาดว่าสุขภาพยังคงเป็นเมกะเทรนด์ที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 10 ปี ขณะที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ยังต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ท่ามกลางตัวเลือกที่หลากหลายในตลาด นี่คือความท้าทายที่เราต้องเผชิญและต้องก้าวให้ทันพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

เอกปิยะกล่าวต่อไปว่า แม้เศรษฐกิจโลกจะผันผวน แต่อุตสาหกรรมอาหารยังคงเติบโตได้ ปีนี้บริษัทฯ จะเดินหน้านำเสนอสินค้าใหม่ภายใต้ธีมรักษ์โลก พร้อมชูจุดเด่นด้านสุขภาพ และนอกจากเนื้อสัตว์ หมู ไก่ กุ้งสด แล้วยังได้พัฒนาแบรนด์อาหารแปรรูป ไม่ว่าจะเป็น คิทเช่นจอยและมีทซีโร่ ซึ่งพบว่ากระแสตอบรับค่อนข้างดี ตรงความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากขึ้น

 

ไม่เพียงแค่จะทำตลาดในประเทศ แต่ยังมีการขยายการส่งออก โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรป ซึ่งปัจจุบันมีการครองส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสแกนดิเนเวียแล้วกว่า 80% และกำลังรุกสู่ตลาดใหม่อย่างอิตาลี ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีความท้าทายมาก แต่สินค้าเริ่มได้รับการยอมรับให้วางจำหน่ายในห้างค้าปลีกชั้นนำของอิตาลีไปแล้ว และมีการส่งเมนูสินค้าไก่ไทย ออกไปให้นักบินอวกาศด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสหาลูกค้าใหม่ๆ มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการเข้าไปเปิดบูธ CPF ในงานไทยเฟ็กซ์ปี 2568 เพื่อโชว์ศักยภาพและนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดทั้งประเทศแถบสแกนดิเนเวีย อังกฤษ เยอรมัน รวมถึงกลุ่มประเทศซีไอเอส ที่ประกอบด้วย 11 ประเทศ ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะสินค้าที่มีสัญลักษณ์ฮาลาลที่มีดีมานด์มากขึ้นเรื่อยๆ

The post CPF เผยเทรนด์อาหารโลกเปลี่ยน พร้อมกิน-สุขภาพมาแรง มองตลาดยุโรปมีโอกาสโตมหาศาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
คู่มือเอาตัวรอดจากคลื่นความร้อนตลอดเดือนนี้ https://thestandard.co/life/surviving-heat-wave-guide Wed, 23 Apr 2025 06:09:12 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1067264 วิธีรับมือกับ คลื่นความร้อน ในช่วงเดือนเมษายน ด้วย 6 เทคนิคเอาตัวรอดจากอากาศร้อนจัด

ในช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะในเดือนเมษายนข […]

The post คู่มือเอาตัวรอดจากคลื่นความร้อนตลอดเดือนนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิธีรับมือกับ คลื่นความร้อน ในช่วงเดือนเมษายน ด้วย 6 เทคนิคเอาตัวรอดจากอากาศร้อนจัด

ในช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะในเดือนเมษายนของทุกปี การดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากความร้อนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคลื่นความร้อนสามารถส่งผลต่อสุขภาพให้แย่ลงและเป็นอันตรายได้ LIFE จึงรวบรวมวิธีรับมือกับคลื่นความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมคำแนะนำที่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากผู้อ่าน เพื่อให้นำไปปรับใช้ในการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยในเดือนที่คาดว่าจะร้อนที่สุด

 

1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงอากาศร้อน เพราะร่างกายสูญเสียน้ำผ่านเหงื่อมากกว่าปกติ ควรจิบน้ำเป็นประจำตลอดวัน ไม่ควรรอจนกระหายน้ำจึงดื่ม เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายเริ่มขาดน้ำแล้ว

 

2. เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสม

สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน เนื้อผ้าโปร่ง และหลวมสบายที่ช่วยระบายอากาศได้ดี ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าสีเข้มและรัดรูปในช่วงอากาศร้อน

 

3. หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด

ลดการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงที่สุด หากจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ควรสวมหมวก แว่นกันแดด และทาครีมกันแดดให้ทั่วผิวที่จะสัมผัสแสงแดด

 

4. รับประทานอาหารที่เหมาะสม

เลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง เช่น ผักสด ผลไม้ และซุปใส ลดการบริโภคอาหารทอดหรืออาหารไขมันสูง เนื่องจากอาหารเหล่านี้เพิ่มความร้อนให้กับร่างกายในกระบวนการย่อย

 

5. มีอุปกรณ์ช่วยคลายร้อนติดตัว

พกพาอุปกรณ์ช่วยคลายร้อน เช่น สเปรย์น้ำแร่ พัดลมมือถือ หรือผ้าเย็น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิร่างกายเมื่อจำเป็น อุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยบรรเทาความร้อนได้อย่างรวดเร็ว

 

6. สังเกตอาการผิดปกติ

เฝ้าระวังอาการบ่งชี้ของภาวะเจ็บป่วยจากความร้อน เช่น อาการหน้ามืด เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อ่อนเพลียผิดปกติ หากมีอาการเหล่านี้ ควรหยุดพักในที่ร่ม ดื่มน้ำ และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว

 

ภาพ: Shutterstock

The post คู่มือเอาตัวรอดจากคลื่นความร้อนตลอดเดือนนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อความมั่นคงทางอาหารโลก ‘ยังสั่นคลอน’ https://thestandard.co/global-food-security-crisis-climate-change-impact/ Sat, 29 Mar 2025 08:23:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1058037 โลกรวนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก เกษตรกรเผชิญภัยแล้ง น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวน

เรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เป็นสิ่งสำคัญเ […]

The post เมื่อความมั่นคงทางอาหารโลก ‘ยังสั่นคลอน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกรวนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก เกษตรกรเผชิญภัยแล้ง น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวน

เรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นเป้าหมายข้อที่ 2 เรื่องการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger) จากทั้งหมด 17 ข้อของ SDGs ที่ 195 ประเทศได้ทำข้อตกลงกันจะช่วยให้บรรลุในปี 2573 แต่ปัจจุบันมีหลายอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ได้ค่อนข้างเป็นไปตามข้อตกลงได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

 

Climate Change กระทบคลังอาหารโลก

 

UNDP Thailand เปิดเผยข้อมูลที่อ้างอิงจาก Food and Agriculture Organization of the United Nations ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารทั่วโลกมากขึ้น จากฐานปี 2561 พบว่า 820 ล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญการขาดสารอาหาร แต่ภาวะโลกรวนได้มาเป็นปัจจัยซ้ำเติมเรื่องความไม่มั่นคงทางอาหารไปอีก โดยคาดว่าอีก 25 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2593 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ราคาธัญพืชและผลผลิตพืชสำคัญมีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 29% ขณะที่ปริมาณการผลิตก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งทำให้เกิดโรคระบาดในสัตว์และศัตรูพืชแพร่กระจายข้ามพรมแดนเร็วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาการเกิดโรคในพืชส่งผลกระทบจนสร้างมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี 

 

 

 

80% ประชากรโลกเผชิญความไม่แน่นอนทางอาหาร 

 

โดยมี 80% ของประชากรโลกที่ได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมีความเสี่ยงที่พืชผลทางการเกษตรจะเสียหายใน 3 พื้นที่ คือ แอฟริกาใต้ซาฮารา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ เกษตรกรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 100 ล้านคน ต้องเจอความแปรปรวนของอากาศ ตั้งแต่อุณหภูมิสูงขึ้นและฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาล ขณะที่อินเดียและปากีสถานเจอคลื่นความร้อนและน้ำท่วมรุนแรงเมื่อปี 2565-2566 ทำให้ผลผลิตทางเกษตรลดลง จนอินเดียต้องจำกัดการส่งออกข้าว และเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น หรือในเอธิโอเปีย เคนยา โซมาเลีย มีผู้คนกว่า 22.5-23.4 ล้านคน ต้องขาดแคลนอาหารเนื่องจากต้องเจอภาวะแล้งหนัก

 

การประเมินความมั่นคงทางอาหาร

 

Economist Impact ได้มีการวิเคราะห์และประเมินความมั่นคงทางอาหารตาม รายงานดัชนีชี้วัดความมั่นคงทางอาหารของโลกปี 2565 (Global Food Security Index : GFSI) โดยใช้หลักการประเมินครอบคลุมทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ 1. ความสามารถในการซื้ออาหาร (Food Affordability) 2. ความมีอยู่อย่างสมบูรณ์ของอาหาร (Availability) 3. คุณภาพและความปลอดภัย (Quality and Safety) และ 4. ความยั่งยืนและการปรับตัว (Sustainability and Adaptation) 

 

ทั้งนี้ พบว่า ปัญหาหรืออุปสรรคในการสร้างความมั่นคงทางอาหารโลกและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นทั่วโลกมีอยู่ 3 หัวข้อหลักคือ 

 

  • ความอ่อนแอในด้านความมั่นคงทางอาหาร พบว่า ยังคงลดลงจากระดับสูงสุดในปี 2562 สาเหตุหลักเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นและการระบาดของโควิด 
  • การเผชิญหน้ากับแรงกระแทกจากผลกระทบของวิกฤตต่างๆ ที่มีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น เช่น การแพร่ระบาดของโรค เหตุความขัดแย้ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ระบบอาหารโลกอ่อนแอลง 
  • ความจำเป็นในการสร้างการตั้งรับปรับตัว (Resilience) จำเป็นต้องมีการดำเนินการที่หลากหลายและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างการตั้งรับปรับตัวให้เกิดขึ้นในระบบอาหาร

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตด้านอาหาร 2567 

 

แต่รายงานวิกฤตการณ์อาหารโลก ปี 2567 (Global Report on Food Crises : GRFC) ได้ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านอาหารในปี 2567 ได้แก่ 

 

  • ปัญหาความขัดแย้ง ทำให้ 135 ล้านคน ใน 20 ประเทศและเขตแดนเผชิญความไม่มั่นคงทางอาหารเฉียบพลัน โดยเฉพาะประเทศซูดานมากถึง 8.6 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับสูง เมื่อเทียบปี 2566 ที่คนศรีลังกาเจอความหิวโหย
  • เหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว คนกว่า 77 ล้านคน ใน 18 ประเทศและเขตแดนต้องขาดแคลนอาหาร เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จาก 57 ล้านคน ใน 12 ประเทศและเขตแดน ซึ่งปี 2566 เป็นปีที่โลกมีสภาพอากาศที่ร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ และยังเจอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้วทั้งเกิดน้ำท่วมรุนแรง พายุ ความแห้งแล้ง ไฟป่า โรคและการระบาดศัตรูพืช
  • ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ที่กระทบคนกว่า 75 ล้านคน ใน 21 ประเทศต้องขาดอาหาร โดยต้องนำเข้าอาหารและปัจจุบันยังเจอความท้าทายต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ค่าเงินอ่อนค่า สินค้ามีราคาสูง และภาวะหนี้สูง

 

ความมั่นคงทางอาหารของไทย

 

รายงานดัชนีชี้วัดความมั่นคงทางอาหารของโลก ปี 2565 จาก 113 ประเทศ ไทยอยู่อันดับที่ 64 ระดับเดียวกับประเทศโคลอมเบีย และตกลงมาถึง 13 อันดับจากเดิมในปี 2564 ที่อยู่อันดับ 51 ทั้งนี้ แม้ไทยจะมีคะแนนโดดเด่นประเด็นการเข้าถึงอาหารที่ 83.7 คะแนน แต่ประเด็นคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารกลับอ่อนแอสุดที่ 45.3 คะแนน หมายความว่า ทุกครัวเรือนสามารถเข้าถึงอาหารได้ แต่อาหารนั้นยังไม่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีพอ อีกกำลังเจอปัญหาการบริหารจัดการน้ำไม่มีประสิทธิภาพและความไม่พร้อมเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการเกษตรและการผลิตหยุดชะงักลงได้ ถือเป็นความเสี่ยงต่อการผลิตอาหารในระยะยาว 

 

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก&โลกรวนในไทย

 

จากข้อมูลทาง UNDP Thailand ระบุว่า ระยะ 22 ปี ตั้งแต่ปี 2543-2565 ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก จาก 245,899.56 กิกะกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มขึ้นเป็น 372,648.77 กิกะกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.34 % ต่อปี หรือเท่ากับจำนวนก๊าซเรือนกระจกจากรถยนต์ทั้งหมด 81 ล้านคัน โดยภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดคือ ภาคพลังงาน 65.89 % ส่วนภาคเกษตรกรรมนั้นเป็นอันดับสอง 17.86 % จากกิจกรรม เช่น การเผาไร่ การปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์ รองลงมาคือ ภาคอุตสาหกรรม 10.50 % และ ภาคของเสีย 5.75 % 

 

และตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดในหลายมิติ อุณหภูมิเฉลี่ยในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2554-2564 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 0.09 องศาเซลเซียส และ ปริมาณน้ำฝนก็มีความผันผวนรุนแรงมากขึ้น โดยปี 2562 ฝนตกในไทยน้อยที่สุดในรอบ 40 ปี และในปี 2560 ปริมาณน้ำฝนรายปีกลับมีปริมาณสูงสุดนับแต่มีการบันทึกเมื่อปี 2494 

 

นอกจากนี้ สภาพภูมิอากาศในประเทศไทยยังเผชิญความแปรปรวน เช่น จำนวนวันที่ร้อนเกิน 35 องศาเซลเซียส เพิ่มจาก 1.9 วัน ในปี 2493 เป็น 49.43 วัน ในปี 2563 อีกทั้งจำนวนวันที่ฝนตกติดต่อกันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนสะสมสูงสุดใน 5 วันของแต่ละช่วงเวลาก็มีความแปรปรวนมากขึ้นจากอดีต และอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติอย่างต่อเนื่อง

 

โลกรวนทำผลผลิต เกษตร-ปศุสัตว์-ประมง ลด

 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ย่อมส่งผลกระทบรอบด้านทั้งต่อการเพาะปลูก ปศุสัตว์ และการประมง เพราะต่างต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศ 

 

โลกรวนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารทั่วโลก เกษตรกรเผชิญภัยแล้ง น้ำท่วม และสภาพอากาศแปรปรวน

 

ที่ผ่านมา มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อภาคการเกษตรจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแง่งบประมาณรัฐ ตั้งแต่ปี 2551-2564 ภาครัฐช่วยเหลือเฉลี่ย 8,182 ล้านบาทต่อปี โดยปี 2553 และ 2554 คือปีที่ภาครัฐให้เงินช่วยเหลือภัยพิบัติด้านเกษตรสูงสุดที่ 21,685 และ 33,764 ล้านบาท ตามลำดับ อีกทั้งมีการประเมินต้นทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท ซึ่งจะกระทบเชิงเศรษฐกิจจากผลผลิตต่อไร่ที่เปลี่ยนแปลงจะมีมูลค่าความเสียหาย 1,800-3,000 ล้านบาท 

 

พร้อมกับคาดว่า มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจของภาคเกษตรกรไทยตั้งแต่ 2554/2555 ถึง 2584-2593 จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ระหว่าง 18,000 ถึง 84,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการคาดการณ์ทั้งย้อนหลังและล่วงหน้าประมาณ 40 ปี (2553-2593) ได้แก่ 

 

 

 

ตั้งการ์ดลดก๊าซเรือนกระจก & เสริมความมั่นคงทางอาหาร

 

ถึงเวลาต้องเร่งร่วมมือกันทุกส่วนเพื่อช่วยให้โลกนี้น่าอยู่และมีความมั่นคงทางอาหาร เพราะเชื่อแน่ว่า ถ้าเกิดวิกฤตใดๆ ขึ้นมา แหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติหรือแหล่งอาหารย่อมจะเป็นที่ปลอดภัยที่ดีของประชากรทั้งในประเทศและโลก 

 

  1. เร่งการวิจัยและพัฒนา นำนวัตกรรมเข้าไปช่วยในการผลิตมากขึ้น ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและรายย่อย พร้อมมีหน่วยงานสนับสนุนเงินทุนการวิจัย

 

  1. ถ่ายทอดการใช้เทคโนโลยีเข้าไปสู่การผลิตต้นทางแก่เกษตรกรเพื่อช่วยประหยัดทั้งเวลา แรงงาน และต้นทุนการผลิต เช่น การทำสมาร์ท ฟาร์มเมอร์หรือทำระบบควบคุมแบบอัตโนมัติเพิ่มปริมาณออกซิเจนกับการเพาะสัตว์น้ำ

 

  1. สร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนทุกห่วงโซ่การผลิตเพื่อสร้างฐานความมั่นคงทางอาหารตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ 

 

  1. ศึกษาและพัฒนาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทนทานต่อโรคของผลผลิตทางการเกษตร พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงสุดขั้ว

 

  1. อย่าปล่อยให้บทเรียนภัยธรรมชาติที่มีแต่จะขึ้นบ่อยและรุนแรงมากขึ้นผ่านไปโดยไม่เกิดการเรียนรู้ เช่น วางแผนและทบทวนการปฏิบัติเพื่อรองรับกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปี ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ และแผ่นดินไหว

 

  1. สนับสนุนให้เอกชนทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ปรับตัวตลอดห่วงโซ่การทำธุรกิจเพื่อปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง 

 

  1. ภาคชุมชนควรให้เกิดการผลักดันหรือสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างคลังอาหารด้วยตัวเองง่ายๆ ภายในครัวเรือน เช่น การสอนหรือแนะนำวิธีการทำสวนครัวแบบแนวตั้ง การปลูกผักสวนครัวในพื้นที่ขนาดเล็กภายในที่อยู่อาศัย 

 

  1. สร้างแรงจูงใจให้เกิดการทำงานหรือการถ่ายทอดเรื่องราวซึ่งกันและกันของคนรุ่นก่อนและรุ่นปัจจุบัน เพื่อให้เกิดคลังอาหารที่มั่นคงได้ในระยะยาว 

 

  1. เอาจริงกับบทลงโทษของผู้ที่ไม่รู้จักรับผิดชอบทางสังคมและทำลายระบบนิเวศพื้นที่สาธารณะ เช่น บุกรุกพื้นที่ป่าด้วยการเผา การออกเอกสารสิทธิ์ให้เป็นที่ของตัวเอง โรงงานหรือโรงแรมที่ปล่อยน้ำเสียโดยไม่ผ่านการบำบัด

 

  1. เริ่มที่ตัวเราตั้งแต่ปรับ Mindset และเริ่มช่วยโลกจากการสร้างจิตสำนึกด้วยตัวเอง ตั้งแต่กินอาหารแต่พอดี เรียนรู้ที่จะกำจัดเศษอาหารให้เกิดเป็นวงจรที่ดีต่อโลก แยกขยะ ไม่ใช่พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

 

เมื่อเหตุการณ์หลายอย่างบนโลกขณะนี้เหมือนส่งสัญญาณให้เราต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ที่จะเผชิญเหตุมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การถามตัวเองว่า วันนี้เราเริ่มสตาร์ทช่วยโลกแล้วหรือยัง เพราะถ้าโลกเพี้ยนเราก็จะแย่ตามไปด้วยอย่างแน่นอน

 

ภาพ: Anton Petrus / Getty Images

อ้างอิง: 

The post เมื่อความมั่นคงทางอาหารโลก ‘ยังสั่นคลอน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Stress Eating: ทำไมเครียดแล้วกินแหลก (และวิธีหยุดวงจรนี้) https://thestandard.co/life/stress-eating-causes-solutions Wed, 19 Mar 2025 08:14:56 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=1053902 ภาพประกอบแสดงความเชื่อมโยงระหว่างความเครียดและพฤติกรรมการกินอาหารที่ให้พลังงานสูง

เคยสังเกตไหมว่าเมื่อไรที่เครียด มือเราจะคว้าหาของกินโดย […]

The post Stress Eating: ทำไมเครียดแล้วกินแหลก (และวิธีหยุดวงจรนี้) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพประกอบแสดงความเชื่อมโยงระหว่างความเครียดและพฤติกรรมการกินอาหารที่ให้พลังงานสูง

เคยสังเกตไหมว่าเมื่อไรที่เครียด มือเราจะคว้าหาของกินโดยอัตโนมัติ? โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูง นี่ไม่ใช่ความอ่อนแอทางใจ แต่เป็นกลไกการป้องกันตัวของร่างกายต่างหาก นักประสาทวิทยาพบว่า สมองของเราถูกตั้งโปรแกรมให้แสวงหาอาหารที่ให้พลังงานสูงเมื่อรู้สึกเครียด เพราะในอดีตความเครียดมักมาพร้อมกับการต้องใช้พลังงานมหาศาลนั่นเอง

 

เมื่อเรากินตามอารมณ์ สมองจะหลั่งสารโดพามีนและเซโรโทนิน ช่วยบรรเทาความเครียดชั่วคราว แต่เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดตกลงอย่างรวดเร็ว (Sugar Crash) เราจะรู้สึกแย่กว่าเดิม กลายเป็นวงจรที่ทำให้เรากินมากขึ้นและเครียดหนักขึ้นไปอีก แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ได้โดยไม่ต้องทรมานตัวเองเลย

 

เข้าใจกลไก Stress Eating

 

Stress Eating ไม่ใช่แค่เรื่องของความอ่อนแอทางใจหรือขาดวินัย แต่มีรากฐานมาจากชีววิทยาและการอยู่รอดของมนุษย์ คือพอเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นความหิวและทำให้เราอยากกินอาหารที่มีแคลอรีสูง โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉิน นี่คือระบบป้องกันตัวที่ถูกออกแบบมาเพื่อการอยู่รอดในสมัยก่อน

 

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า 80% ของคนเมืองมีพฤติกรรมกินตามอารมณ์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเครียดจากการทำงาน การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าอาหารแปรรูปสูง (Ultra-Processed Food) ไม่เพียงแต่เพิ่มน้ำหนักแต่ยังส่งผลต่อระบบประสาทและฮอร์โมน ทำให้เกิดวงจรเครียด-กิน-เครียดมากขึ้น-กินมากขึ้น ที่ยากจะหลุดออกมา

 

อาหารที่ทำให้ความเครียดหนักขึ้น

 

  1. อาหารที่มีน้ำตาลสูง ขนมหวาน เบเกอรี และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ให้ความสุขชั่วครู่แต่นำไปสู่ Sugar Crash ที่ทำให้อารมณ์แย่ลงและเพิ่มความเครียด

  2. คาเฟอีนมากเกินไป ถึงแม้กาแฟจะช่วยให้ตื่นตัว แต่การดื่มมากเกินไปจะกระตุ้นการหลั่งคอร์ติซอล ทำให้หัวใจเต้นเร็ว วิตกกังวล และนอนไม่หลับ ซึ่งล้วนเพิ่มความเครียด

  3. อาหารแปรรูปสูง ขนมกรุบกรอบ อาหารจานด่วน อาหารแช่แข็งสำเร็จรูป มักมีไขมันทรานส์ สารเคมี และโซเดียมสูง ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

  4. แอลกอฮอล์ ถึงจะรู้สึกผ่อนคลายในตอนแรก แต่แอลกอฮอล์เป็นสารกดประสาทที่รบกวนการหลับ ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ และเพิ่มความเครียดในวันถัดไป

 

เทคนิคแก้ Stress Eating โดยไม่ต้องอด

 

  1. Mindful Eating ฝึกกินอย่างมีสติ สังเกตความรู้สึกหิวและอิ่มที่แท้จริง แยกแยะระหว่างความหิวทางกายและความหิวทางใจ ลองถามตัวเองว่า “ฉันหิวจริงๆ หรือแค่เครียด/เบื่อ/เศร้า?”

  2. เตรียมอาหารทางเลือกไว้บรรเทา แทนที่จะห้ามตัวเองกินโดยสิ้นเชิง ลองเตรียมอาหารที่กินแล้วรู้สึกดีไว้ให้พร้อม เช่น ผลไม้สด ถั่ว โยเกิร์ตธรรมชาติ หรือดาร์กช็อกโกแลต ช่วยตอบสนองความอยากโดยไม่ทำร้ายร่างกาย

  3. สร้างกิจกรรมทดแทนเมื่อเครียด หากิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดแทนการกิน เช่น เดินสั้นๆ 5 นาที ฝึกหายใจลึกๆ เขียนบันทึก หรือคุยกับเพื่อน การเปลี่ยนเส้นทางความเครียดไปสู่กิจกรรมอื่น จะช่วยตัดวงจร Stress Eating ได้

  4. ปรับสภาพแวดล้อม จัดบ้านหรือที่ทำงานให้ห่างไกลจากสิ่งยั่วยุ เก็บขนมหรืออาหารขยะให้พ้นสายตา แต่วางผลไม้หรือถั่วไว้ใกล้มือ การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมโดยอัตโนมัติ

  5. ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ถ้าพบว่า Stress Eating กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ควบคุมไม่ได้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักโภชนาการหรือนักจิตวิทยา อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด บางครั้งความเครียดที่รุนแรงต้องการการดูแลเฉพาะทาง

The post Stress Eating: ทำไมเครียดแล้วกินแหลก (และวิธีหยุดวงจรนี้) appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงกรานต์นี้เงินสะพัด! TikTok เผย นักช้อปพร้อมเปย์ บิวตี้-อาหาร-เที่ยว แบรนด์ต้องสร้างคอนเทนต์โดนใจ ใช้ครีเอเตอร์ให้เป็น https://thestandard.co/tiktok-songkran-spending-2025/ Mon, 17 Mar 2025 13:23:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1053285 TikTok สงกรานต์ การใช้จ่าย: ภาพแสดงกลุ่มคนรุ่นใหม่ใช้สมาร์ทโฟนดูคอนเทนต์บน TikTok เพื่อช้อปปิ้งสินค้าเทศกาลสงกรานต์และซัมเมอร์

สงกรานต์และซัมเมอร์ 2025 กำลังจะมาถึง และข่าวดีสำหรับแบ […]

The post สงกรานต์นี้เงินสะพัด! TikTok เผย นักช้อปพร้อมเปย์ บิวตี้-อาหาร-เที่ยว แบรนด์ต้องสร้างคอนเทนต์โดนใจ ใช้ครีเอเตอร์ให้เป็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
TikTok สงกรานต์ การใช้จ่าย: ภาพแสดงกลุ่มคนรุ่นใหม่ใช้สมาร์ทโฟนดูคอนเทนต์บน TikTok เพื่อช้อปปิ้งสินค้าเทศกาลสงกรานต์และซัมเมอร์

สงกรานต์และซัมเมอร์ 2025 กำลังจะมาถึง และข่าวดีสำหรับแบรนด์คือ ผู้บริโภคพร้อมควักกระเป๋ามากกว่าที่คิด! TikTok ประเทศไทย เพิ่งเปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคล่าสุดพร้อมกลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ไม่ควรพลาด เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผนการตลาดและการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้

 

ข้อมูลจาก Kantar ชี้ว่า 63% ของผู้ใช้ TikTok ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มมากขึ้นในช่วงสงกรานต์ และที่น่าสนใจกว่าคือ 98% วางแผนที่จะใช้จ่ายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม นับเป็นโอกาสทองสำหรับแบรนด์ทุกขนาดที่จะปักธงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังรอคอยการจับจ่ายในช่วงเทศกาล

 

สิรินิธิ์ วิรยศิริ Head of Business Marketing, TikTok Thailand กล่าวว่า “สงกรานต์และซัมเมอร์ที่กำลังจะถึงนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้บริโภคพร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้น จึงเป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ในการสร้างการรับรู้และความชื่นชอบในแบรนด์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และสร้างการมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่งขึ้น”

 

ผู้ใช้งาน TikTok มีพฤติกรรมการดูคอนเทนต์ในช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์อย่างไร? ผลสำรวจพบว่า พวกเขามักใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่ออัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นร่วมสมัยผสมวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ หรือเมนูอาหารและร้านเด็ดไวรัล 

 

รวมถึงหาแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยวผ่านรีวิวจากครีเอเตอร์ แพ็กเกจท่องเที่ยว และโปรโมชันพิเศษที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังนิยมเลือกชมสินค้าคอลเล็กชันใหม่ๆ ตามเทศกาล โดยเฉพาะสกินแคร์และเครื่องดื่มลิมิเต็ดเอดิชัน ตลอดจนค้นหาไอเดียและติดตามเทรนด์ความงามและแฟชั่น เช่น เทคนิคการแต่งหน้าหน้าร้อน หรือสไตล์การแต่งตัวให้เหมาะกับกิจกรรมต่างๆ

 

หลังจากดูคอนเทนต์แล้ว ผู้ใช้ TikTok มักจะดำเนินการต่อโดย 70% มองหาโปรโมชันหรือส่วนลด เพื่อค้นหาข้อเสนอที่ดีที่สุด ขณะที่ 64% ค้นหารีวิวและคำแนะนำผลิตภัณฑ์เพื่อชมประสบการณ์ใช้งานจริง และอีก 52% ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกก่อนตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อสินค้า

 

ที่น่าสนใจคือ 58% ของผู้ใช้ TikTok วางแผนที่จะซื้อสินค้าในช่วงเวลานี้ผ่าน TikTok Shop นั่นหมายความว่าแบรนด์ที่มีเนื้อหาน่าสนใจบนแพลตฟอร์มสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อได้โดยตรง

 

ข้อมูลจาก TikTok ยังเผยให้เห็นว่า สินค้ายอดนิยม 5 อันดับแรกที่ผู้ใช้ TikTok มักซื้อก่อนและระหว่างช่วงสงกรานต์ ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มบรรจุกล่อง ตามมาด้วยบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางและการท่องเที่ยว อันดับที่ 3 คือสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนผสมและเครื่องปรุงต่างๆ 

 

ตามด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับในอันดับที่ 4 และปิดท้ายด้วยเครื่องสำอาง ครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางและกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเทศกาลและฤดูร้อน

 

การสำรวจยังได้เจาะลึกลงไปในสามกลุ่มธุรกิจที่มาแรงในช่วงสงกรานต์และซัมเมอร์บน TikTok เริ่มจากกลุ่มความงามและสกินแคร์ พบว่า 96% ของผู้ใช้ตั้งใจจะใช้จ่ายเท่าเดิมหรือมากขึ้นสำหรับสินค้าความงามในช่วงเทศกาลนี้ 

 

โดยกลุ่ม ‘อายุ 25-34 ปี’ เป็นกลุ่มที่มีการจับจ่ายสูงสุด มากกว่า 50% วางแผนใช้จ่ายเกิน 3,400 บาท และที่น่าสนใจคือผู้ใช้มากกว่า 90% พร้อมทดลองแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นับเป็นโอกาสทองสำหรับแบรนด์ที่ต้องการแนะนำนวัตกรรมใหม่

 

ในส่วนของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ใช้ TikTok วางงบประมาณสำหรับการจับจ่ายในหมวดนี้สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ TikTok ถึง 25% โดยกลุ่มอายุ 25-34 ปี มีแผนการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 4,200 บาทต่อคน และมีความตั้งใจอย่างเห็นได้ชัดในการค้นหาและทดลองแบรนด์ใหม่ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปิดรับประสบการณ์แปลกใหม่มากขึ้น

 

สำหรับกลุ่มการท่องเที่ยวซึ่งเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูในช่วงสงกรานต์ พบว่ามากกว่า 90% ของผู้ใช้ TikTok วางแผนท่องเที่ยวเป็นกลุ่มใหญ่กับครอบครัวหรือเพื่อน โดยกลุ่มอายุ 25-34 ปี ยังคงเป็นผู้นำเทรนด์การท่องเที่ยวและเป็นนักเดินทางที่แอ็กทีฟที่สุด สังเกตได้จาก 37% วางแผนท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ 

 

โดยผู้ใช้ TikTok มีแนวโน้มใช้เวลาประมาณ 3-6 วันในการเดินทางช่วงเทศกาล และส่วนใหญ่เตรียมงบประมาณไว้ใช้จ่ายราว 17,000-34,000 บาท นับเป็นตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ

 

TikTok ไม่เพียงแต่แบ่งปันอินไซต์ผู้บริโภคที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังมีเคล็ดลับสำคัญสำหรับแบรนด์ในการพัฒนาคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์ เพื่อสร้างความรักในแบรนด์และพิชิตใจลูกค้า

 

เรื่องแรกการใช้พลังจากครีเอเตอร์ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม ข้อมูลจาก TikTok พบว่า หลังจากเห็นวิดีโอจากครีเอเตอร์ 55% ของผู้ใช้รู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น 56% ได้รับแรงบันดาลใจให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่

 

และอีก 1 ใน 3 ของผู้ใช้ TikTok ค้นหาแบรนด์อย่างตั้งใจอีกด้วย ตัวเลขเหล่านี้ชี้ว่าครีเอเตอร์ไม่เพียงแต่สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ในสายตาผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือการเพิ่มการไลฟ์เป็นทางเลือก ซึ่งพบว่า 95% ของผู้ใช้ TikTok สนใจดู Livestream หรือ Live Shopping ในช่วงเทศกาลสงกรานต์และซัมเมอร์ โดยมี 3 ปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้ชมตัดสินใจซื้อสินค้าระหว่างรับชมไลฟ์ ได้แก่ โปรโมชันที่น่าดึงดูดและคุ้มค่า คุณภาพของสินค้าหรือบริการที่ดีเยี่ยม และที่ขาดไม่ได้คือ Host ที่มีความน่าเชื่อถือและเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริง 

 

ทั้งนี้ การไลฟ์นอกจากจะช่วยกระตุ้นยอดขายแล้ว ยังเป็นช่องทางที่ช่วยให้แบรนด์สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

 

ภาพ: Lam Yik / Reuters

The post สงกรานต์นี้เงินสะพัด! TikTok เผย นักช้อปพร้อมเปย์ บิวตี้-อาหาร-เที่ยว แบรนด์ต้องสร้างคอนเทนต์โดนใจ ใช้ครีเอเตอร์ให้เป็น appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตาโจทย์ใหญ่และความท้าทายครั้งใหม่ของกลุ่มธุรกิจ TCP เมื่อองค์ความรู้และเทคนิควิศวกรรมขั้นสูงจากการพัฒนาอุปกรณ์ดาราศาสตร์จะถูกนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/tcp-business-challenges-innovation/ Fri, 07 Feb 2025 07:00:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1039046

องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิควิศวกรรมศาสตร์ขั้นสู […]

The post จับตาโจทย์ใหญ่และความท้าทายครั้งใหม่ของกลุ่มธุรกิจ TCP เมื่อองค์ความรู้และเทคนิควิศวกรรมขั้นสูงจากการพัฒนาอุปกรณ์ดาราศาสตร์จะถูกนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิควิศวกรรมศาสตร์ขั้นสูงจากการพัฒนาอุปกรณ์ดาราศาสตร์ จะช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มได้อย่างไร?

 

สำหรับกลุ่มธุรกิจ TCP นี่ไม่ใช่คำถามแต่คือ ‘โจทย์’ ใหญ่และความท้าทายครั้งใหม่ ในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการ ‘ปลุกพลัง เพื่อวันที่ดีกว่า’ จึงมุ่งเน้นด้านการคิดค้นและมองหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาด้านอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย ตอกย้ำความเป็น ‘House of Great Brands’ ตลอด 6 ทศวรรษ

 

 

การผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจ TCP และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีขั้นสูง และนวัตกรรม มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของประเทศ ยกระดับมาตรฐานและกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับสากล

 

สราวุฒิ อยู่วิทยา

 

สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า “นับเป็นก้าวสำคัญและความท้าทายครั้งใหม่ของกลุ่มธุรกิจ TCP ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของประเทศ ผ่านการนำเทคโนโลยีขั้นสูงจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติมาปรับใช้ในโรงงานของกลุ่มธุรกิจ TCP ที่จังหวัดปราจีนบุรี เพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจ TCP พัฒนาขีดความสามารถในด้านเทคโนโลยีการผลิตของบุคลากรภายใน เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ จากต่างประเทศ ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน รวมไปถึงพัฒนาขีดความสามารถในด้านเทคโนโลยีการผลิตของบุคลากรภายใน ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการพัฒนาบุคลากรร่วมกันอีกด้วย”

 

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา

 

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT) เผยว่า “การถ่ายทอดองค์ความรู้ในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิควิศวกรรมศาสตร์ขั้นสูงจากการพัฒนาอุปกรณ์ดาราศาสตร์ เพื่อผลักดันให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทย สอดคล้องไปกับเจตนารมณ์ของ NARIT ที่ต้องการผลักดันนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล”

 

TCP และ NARIT

 

ที่สำคัญ การจับมือปลุกพลังความยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจ TCP และ NARIT ครั้งนี้จะผลักดันภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจของกลุ่มธุรกิจ TCP ที่มุ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนมาโดยตลอดด้วยเช่นกัน

The post จับตาโจทย์ใหญ่และความท้าทายครั้งใหม่ของกลุ่มธุรกิจ TCP เมื่อองค์ความรู้และเทคนิควิศวกรรมขั้นสูงจากการพัฒนาอุปกรณ์ดาราศาสตร์จะถูกนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดใจเจ้าของ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ใช้เวลา 3 ปี กวาดยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท โตเร็วจนนักลงทุนรายใหญ่รุมจีบ https://thestandard.co/lucky-suki-billion-success-story/ Wed, 29 Jan 2025 03:08:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1035607 รสรินทร์ ติยะวราพรรณ เจ้าของลัคกี้สุกี้ เปิดเผยความสำเร็จธุรกิจ

เปิดใจเจ้าของ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ที่ไม่เคยทำธุรกิจอาหารมาก่ […]

The post เปิดใจเจ้าของ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ใช้เวลา 3 ปี กวาดยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท โตเร็วจนนักลงทุนรายใหญ่รุมจีบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รสรินทร์ ติยะวราพรรณ เจ้าของลัคกี้สุกี้ เปิดเผยความสำเร็จธุรกิจ

เปิดใจเจ้าของ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ที่ไม่เคยทำธุรกิจอาหารมาก่อน ใช้เวลา 3 ปีขยายร้านมากกว่า 20 สาขา กวาดยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท จนนักลงทุนรายใหญ่รุมจีบ พร้อมย้ำว่าอนาคตจะต้องมีพาร์ตเนอร์ช่วยนำแบรนด์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

 

รสรินทร์ ติยะวราพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ฉายภาพว่า ก่อนที่จะมาทำแบรนด์ลัคกี้ สุกี้ หุ้นส่วนทุกคนไม่เคยมีประสบการณ์การทำธุรกิจอาหารมาก่อน แต่มีเป้าหมายอยากลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน และทุกคนต่างหลงใหลในการกินอาหาร จึงมองไปในทิศทางเดียวกันว่าตลาดชาบูและสุกี้ยังมีช่องว่างและโอกาสที่จะสร้างการเติบโต เพราะในวันนี้รู้แล้วว่าชาบูและสุกี้ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นอาหารที่ผู้คนกินได้บ่อย ยิ่งในสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใสมากนัก ทำให้คนระมัดระวังการใช้จ่าย และเน้นจ่ายกับสิ่งที่คุ้มค่าให้กับตัวเอง

 

ด้วยแนวคิดดังกล่าว กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดร้านลัคกี้ สุกี้ ที่แปลตรงตัวว่า ‘โชคดี’ สาขาแรกในช่วงเดือนมกราคมที่อ่อนนุช เป็นร้านให้บริการรูปแบบบุฟเฟต์ ราคา 219 บาทต่อคน เปิดถึงตี 2 ของทุกวัน ต้องยอมรับว่าการเปิดร้านช่วงแรกๆ เจอปัญหาหลายอย่าง ทางทีมผู้บริหารพยายามเรียนรู้จากลูกค้าและนำมาปรับ

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ใช้เวลาอยู่ประมาณ 8 เดือน ถึงเริ่มขยายมาเปิดสาขาที่ 2 ช่วงนั้นการหาโลเคชันยากมาก เพราะแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาด ในวันที่เข้าไปติดต่อขอเช่าพื้นที่ 500 ตารางเมตร เจ้าของพื้นที่เช่ายังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ทุกคนปฏิเสธเราหมด จนถึงวันนี้ชื่อแบรนด์เริ่มติดตลาดแล้ว จึงเริ่มขยายสาขาอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันลัคกี้ สุกี้ มีทั้งหมด 15 สาขา ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

 

ในช่วงเวลาเดียวกันก็เปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ ‘ลัคกี้ บาร์บีคิว’ เป็นร้านสไตล์ปิ้งย่างยากินิกุ โดยการบริหารร้านใช้แนวคิดแบบเดียวกับสุกี้ คือคุ้มค่าและเป็นทางเลือกใหม่ มีราคาเริ่มต้น 299 บาท สูงกว่าร้านลัคกี้ ชาบู ประมาณ 50-60 บาท ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 5 สาขา

 

เรียกได้ว่าภาพรวมของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงวันนี้ครบรอบ 3 ปี มีรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้าจะขยายสาขาเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 16-20 สาขา ทั้งลัคกี้ สุกี้ และลัคกี้ บาร์บีคิว โดยสาขาที่เปิดใหม่จะเน้นเปิดในคอมมูนิตี้ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพและต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Real Target ได้อย่างครอบคลุม

 

รสรินทร์ หนึ่งในหุ้นส่วนของแบรนด์กล่าวต่อว่า การขยายสาขาจำนวนมากนั้นไม่ง่าย โดยเฉพาะการควบคุมมาตรฐานอาหารให้ได้เท่ากันหมด แม้ในวันที่ต้นทุนวัตถุดิบจะสูงขึ้นก็ตาม และอีกสิ่งที่ต้องเจอคือตลาดสุกี้ในประเทศไทยที่มีมูลค่าประมาณ 23,000-25,000 ล้านบาท ท้าทายมากขึ้นจากการแข่งขันที่ดุเดือด และคาดว่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นทุกปี

 

ดังนั้นในปี 2025 จึงใช้กลยุทธ์เปิดตัว THEMATIC Campaign ‘รักเธอไม่มีหมด’ มุ่งสร้างประสบการณ์ในร้าน ควบคู่กับนำเสนอเมนูและวัตถุดิบ และใช้ระบบ CRM ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดจะช่วยให้แบรนด์รักษาฐานลูกค้าเก่าและเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ โดยเป้าหมายของบริษัทต้องการเติบโตเป็นเท่าตัว ทั้งในแง่ของสาขาและยอดขาย

 

อีกหนึ่งเป้าหมายใหญ่ในอนาคต คือการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ยังไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหน แต่ก็ต้องบอกว่าเมื่อบริษัททำรายได้ถึง 1,000 ล้าน ทำให้มีนักลงทุนรายใหญ่ๆ สนใจที่จะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์กับเรา ซึ่งพาร์ตเนอร์ที่จะเข้ามาเราจะไม่เลือกมองที่เม็ดเงินอย่างเดียว แต่ต้องมีแพสชันและกลยุทธ์สอดรับกับแผนงานของบริษัท ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์วิ่งไปได้ไกลกว่าเดิม

The post เปิดใจเจ้าของ ‘ลัคกี้ สุกี้’ ใช้เวลา 3 ปี กวาดยอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท โตเร็วจนนักลงทุนรายใหญ่รุมจีบ appeared first on THE STANDARD.

]]>