Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 15 Oct 2025 10:36:39 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. จ่อขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 655 แสนหุ้น ระดมทุน 5.6 พันล้าน มากสุดในรอบ 3 ปี ตั้งเป้าขยาย 1,500 สาขา เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด คาดเข้าเทรด พ.ย.นี้ https://thestandard.co/mrdiy-ipo-thailand-expansion-logistics/ Wed, 15 Oct 2025 10:36:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1130996 mrdiy-ipo-thailand-expansion-logistics

บมจ. มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ MR. D […]

The post มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. จ่อขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 655 แสนหุ้น ระดมทุน 5.6 พันล้าน มากสุดในรอบ 3 ปี ตั้งเป้าขยาย 1,500 สาขา เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด คาดเข้าเทรด พ.ย.นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
mrdiy-ipo-thailand-expansion-logistics

บมจ. มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ MR. D.I.Y. ผู้นำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป สัญชาติมาเลเซีย ซึ่งดำเนินธุรกิจในไทยยาวนานถึง 10 ปี เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้ชื่อย่อ ‘MRDIYT’

 

โดยมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) รวมไม่เกิน 655 แสนหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 10.9% ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด

 

บริษัท ตั้งเป้าระดมทุน 5,600 ล้านบาท จากการเสนอขายหุ้น IPO กรอบราคาอยู่ที่  8.30 – 8.60 บาทต่อหุ้น โดยจะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาคม 2568 

 

ส่วนราคาขายสุดท้าย ซึ่งจะกำหนดจากกระบวนการ Book-building จะประกาศภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2568 และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขาย ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน

 

หลังการระดมทุน ตั้งเป้าขยายสาขาทั่วประเทศไทยด้วยการเพิ่มสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 500 สาขา ภายในระยะเวลา 3 ปี (2568 – 2570) รวมทั้งหมด 1,500 สาขา และมีแผนลงทุน 4,500 ล้านบาท สร้างคลังสินค้าอัตโนมัติขนาดใหญ่แห่งที่ 3 เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (supply chain) และลดต้นทุนต่อหน่วย

 

ปัจจุบัน MR. D.I.Y. เป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 9% และเป็นผู้ค้าปลีกในรูปแบบ Chain Retailer ที่เติบโตเร็วกว่าตลาดโดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 15.3% จึงเล็งเห็นโอกาสเข้า IPO ในตลาดหุ้นไทย เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5.4% ภายในปี 2572 มูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 237,800 ล้านบาท จากมูลค่าตลาด 182,600 ล้านบาทในปี 2567

 

หลักการขยายสาขา จะพิจารณาจากสัดส่วนร้านค้าต่อประชากร ปัจจุบัน MR. D.I.Y. มีสัดส่วนอยู่ที่ 1 สาขาต่อประชากร 75,000 คน ซึ่งยังมีโอกาสเข้าถึงคนอีกมาก เมื่อเทียบกับสาขาในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ 1 สาขาต่อประชากร 25,000 คน

 

ผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี โตแกร่งเหนือตลาด

 

อรอุมา ไชยรัตนตรัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ผลดำเนินงานย้อนหลังของบริษัทในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง 

  • ปี 2565 รายได้ 9,941 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,051 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 12,832 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,381 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 16,214  ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,780   ล้านบาท

 

โดยรายได้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (CAGR) ที่ 28% ด้านกำไรมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (CAGR) ที่ 30%

 

ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 ทำรายได้ไปแล้ว 9,471 ล้านบาท

เติบโต 25.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 1,176  ล้านบาท

เติบโต 48.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

3 กลยุทธ์ บริหารต้นทุน รักษาการเติบโตกำไร

 

สำหรับกลยุทธ์รักษาอัตราเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง อรอุมา เปิดเผยว่า เป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จากการเติบโตของสาขาที่เพิ่มขึ้น โดยมี key success factor 3 ข้อ

 

  1. การจัดซื้อ  

MR.D.I.Y ประเทศไทยมีจุดแข็งด้าน Economy of scale ในการจัดซื้อสินค้าซึ่งตอบโจทย์ ความต้องการลูกค้า และมีความคุ้มค่าทั้งคุณภาพและราคา เพราะอยู่ในเครือข่ายของ  MR.D.I.Y Global sourcing network ปัจจุบันบริษัทนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ในสัดส่วน 75% และจัดซื้อสินค้าในประเทศไทย สัดส่วน 25% 

 

  1. ระบบบริหารจัดการสินค้า

มีระบบมอนิเตอร์ยอดขายสินค้า ว่าสินค้าไหนขายดี หรือขายไม่ดี แล้วทำการจัดอันดับสินค้า และสับเปลี่ยนสินค้าขายดีวางไว้บนเชลฟ์ที่คนสังเกตเห็นได้ง่าย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแต่ละช่วงเวลา

 

  1. ศูนย์กระจายสินค้า

มีศูนย์กระจายสินค้าของตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนค่าคลังสินค้า (Storage cost) ต้นทุนค่าโลจิสติกส์ (Logistic cost) ได้ดียิ่งขึ้น จากการประสิทธิภาพการเก็บรักษาสินค้า และความแม่นยำในการขนส่ง

 

บริหารธุรกิจค้าปลีกอย่างไรให้โตสวนตลาด แม้กำลังซื้อหด

 

แอนดี้ ชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงการระบาด ของโควิด-19 กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอลง บริษัทจึงเห็นโอกาสขยายฐานกลุ่มลูกค้า เร่งขยายสาขาไปทั่วประเทศมากกว่า 500 สาขา ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์คือ จากเดิมที่ MR.DIY มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอลง

 

การขยายสาขารูปแบบ stand alone สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง โดยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3% เป็น 18% จากเดิมที่มีสัดส่วนเพียง 15% ชี้ให้เห็นว่าการขยายสาขาช่วยสร้างการรับรู้ และดึงดูดกลุ่มลูกค้ารายได้สูง ที่หันมาซื้อสินค้าราคาคุ้มค่า

The post มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. จ่อขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 655 แสนหุ้น ระดมทุน 5.6 พันล้าน มากสุดในรอบ 3 ปี ตั้งเป้าขยาย 1,500 สาขา เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด คาดเข้าเทรด พ.ย.นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน? https://thestandard.co/wealth-in-depth-baht-weak-gold-correlation-fades/ Wed, 15 Oct 2025 02:31:48 +0000 https://thestandard.co/?p=1130616 เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน?

เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เริ่มมีทิศทาง ‘อ่อนค่า’ โดยแตะระ […]

The post เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน?

เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เริ่มมีทิศทาง ‘อ่อนค่า’ โดยแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือนไปแล้ว ด้านนักวิเคราะห์มองเงิน บาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าแตะระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะที่ความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างบาทกับทองคำที่ ‘ลดลง’ อย่างมีนัยสำคัญ

 

เปิดสาเหตุดัน ‘บาทอ่อน’

 

เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เริ่มมีทิศทาง ‘อ่อนค่า’ โดยเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ถึงต้นสัปดาห์นี้เงินบาทเคยเคลื่อนไหวไปแตะระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือนอยู่หลายครั้ง โดยพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย มองว่า สาเหตุที่ทำให้เงินบาทช่วงนี้เริ่มอ่อนค่ามาจากโฟลว์ทองคำในช่วงที่ทองคำมีจังหวะย่อตัวลง ทำให้ผู้เล่นบางส่วนได้เข้าไปซื้อทองคำ ซึ่งเป็นแรงกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง

 

ทั้งนี้ เมื่อราคาทองคำลง คนไทยจะซื้อทอง ทำให้ร้านทองต้องไปซื้อทองคำในตลาดต่างประเทศ และนำเงินบาทไปแลกเป็นสกุลต่างประเทศ ทำให้เงินบาทอ่อนค่า

 

นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็กลับมาแข็งค่า โดยพูนมองว่า ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์ช่วงนี้ ได้แก่ ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ในการเมืองของญี่ปุ่นและฝรั่งเศส นอกจากนี้ ยังมีการปรับสถานะของนักลงทุน ที่ก่อนหน้านี้มองว่า ดอลลาร์จะอ่อน (Short ดอลลาร์) มาเกือบตลอดทั้งปี แต่ปัจจุบัน นักลงทุนเริ่มปรับลดสถานะ Short ดอลลาร์นี้ลง จึงมีส่วนทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

 

พูนกล่าวอีกว่า แม้ปัจจัยหลักที่ทำให้บาทอ่อนจะมีน้ำหนักมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม แรงขายสินทรัพย์ไทยก็มีส่วนทำให้บาทอ่อนบ้าง โดยเฉพาะแรงเทขายหุ้น โดยตั้งแต่เดือนกันยายนนะครับ ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1.7 หมื่นล้านบาทแล้ว ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2568

 

โดยพูนยังมองว่า แรงขายหุ้นไทยยังมีลักษณะที่ค่อนข้างกระจาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไปจนถึงการ Rebalance เพื่อทำกำไรจากตลาดเอเชีย

 

มองบาทยังอ่อนค่าสอดคล้องภูมิภาค

 

กระนั้น พูนยังมองว่า การอ่อนค่าของบาทสอดคล้องกับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม บาทไทยมีความอ่อนไหวกับราคาทองคำมากกว่าประเทศอื่น ตัวอย่างเช่น หยวนอ่อนค่าเพียงเล็กน้อย แม้มีประเด็นเรื่องสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ส่วนเงินริงกิตมาเลเซียก็อ่อนค่า แต่ไม่เท่ากับค่าเงินบาทของไทย

 

เจาะการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างบาทกับทองคำ

 

พูนตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เล่นในตลาดมีมุมมองตลาดต่อค่าเงินบาทเปลี่ยนไป โดยในช่วงก่อนหน้านี้ที่เงินบาทค่อนข้างแข็งเป็นผลมาจากสถานะมองบาทแข็ง (Long เงินบาท) ของนักลงทุน

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเริ่มกลับเทรนด์มาเป็นอ่อนค่า ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าที่ดูไม่ค่อยดี และการกลับมาแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ

 

นอกจากนี้ พูนยังมองว่า ความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างบาทกับทองคำมีการเปลี่ยนแปลง และลดลง ‘อย่างมีนัยสำคัญ’ ตั้งแต่ช่วงประมาณกลางเดือนกันยายน

 

“จริงๆ ตั้งแต่ช่วงเดือนที่ผ่านมา ทองขึ้นไม่หยุด ปกติถ้าความสัมพันธ์เหมือนเดิมบาทจะต้องไม่อ่อนเยอะ” พูนกล่าว

 

โดย ณ วันที่ 10 ตุลาคม ความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างทองคำกับเงินบาทอยู่ที่ 0.5 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 1 ปี ที่อยู่ที่ประมาณ 0.65 ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง บาทกับดอลลาร์อยู่ที่ 0.6 กว่า ซึ่งยังใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย

 

เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน? 1 เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน? 2

 

เปิดสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง Correlation ของเงินบาท-ทองคำ

 

พูนมองว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างทองคำกับเงินบาทลดลง มาจากการดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกมาสอดส่องความสัมพันธ์ระหว่างบาทกับทองคำ ทำให้ผู้เล่นต่างชาติ โดยเฉพาะ Systematic Hedge Fund ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบาทกับทองคำในการซื้อขาย (Correlation Trade) ลดใช้กลยุทธ์ดังกล่าวลง ส่งผลให้โฟลว์ส่วนนี้หายไป

 

โดยความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ “ความสัมพันธ์ในฝั่งทองขึ้นแล้วบาทแข็ง ‘ไม่เกิด’ แต่ในฝั่งความสัมพันธ์ในฝั่งทองลงแล้วบาทอ่อน ‘ยังอยู่’ ซึ่งฝั่งขานี้ไม่หายไป เนื่องจากเป็นฝั่งที่สะท้อนถึงความต้องการ (Demand) การซื้อทองของคนไทยจริงๆ” พูนกล่าว

 

เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน? 3

 

จับตา! บาทผันผวนเพิ่มขึ้น

 

พูนกล่าวอีกว่า ความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วง 1 เดือน ได้เพิ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่ถึงระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี โดยความผันผวนของเงินบาทในรอบ 1 เดือน อยู่ที่ประมาณ 6-7% นับว่ายังต่ำกว่า ค่าเฉลี่ยความผันผวนของปีนี้ (Year-to-Date) อยู่ที่ประมาณ 8% ขณะที่จุดสูงสุดที่เคยเห็นในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 10% ในช่วงที่มีความกังวลเรื่องสงครามการค้า (Trade War)

 

บาทมีโอกาสอ่อนค่าถึงระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์

 

พูนกล่าวอีกว่า บาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าแตะระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยที่จะดันไปถึง 33 บาทต่อดอลลาร์ได้ง่ายที่สุดคือการเกิดการปรับฐานของทองคำ (Correction) โดยเฉพาะในช่วงนี้ ซึ่งทองคำขึ้นเร็วและแรงในช่วงระยะสั้น ดังนั้นเวลาปรับฐาน ราคาทองคำก็อาจลงได้ลึกระดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะญี่ปุ่น

 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยนโยบายดอกเบี้ยของ Fed โดยหาก Fed สร้างความประหลาดใจ (Surprise) โดยการไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมาก เพราะตลาดได้ Price-in การลดดอกเบี้ยไปมากแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ก็ยังมีความเสี่ยงขาลงจากความกังวลเรื่องสงครามการค้า

 

กระนั้น พูนยังมองว่า การยืนอยู่ที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์อย่างมั่นคง (Sustained) หรือทะลุไป ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ และต้องเห็นปัจจัยเพิ่มเติม เนื่องจาก ฝั่งผู้ส่งออก (Exporter) รอทยอยขายดอลลาร์อยู่มากพอสมควร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะมองบาทอ่อน (Short Baht) ก็จะเริ่มทำกำไร (Take Profit) แล้วเช่นกัน

 

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาดู Flow บริษัทข้ามชาติ (MNCs) โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น (MNCs) เนื่องจากค่าเยน/บาท ‘ถูกมาก’ ทำให้เกิด Flow ซื้อเยนจาก MNCs เยอะ ซึ่งเป็นแรงกดดันให้บาทอ่อนค่าด้วย

The post เงินบาทอ่อนค่าหนักสุดรอบ 2 เดือน ความสัมพันธ์ ‘บาทกับทองคำ’ หายไปไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม ในวันที่ไทยหา New S Curve ไม่เจอ ต่างชาติลงทุน Data center ช่วยต่อลมหายใจ https://thestandard.co/thai-stock-market-investment-outlook/ Tue, 14 Oct 2025 10:16:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1130319 ตลาดหุ้นไทย

เมื่อพูดถึงอนาคต ‘ตลาดหุ้นไทย’ หลายคนคงได้แต่ถอนหายใจ เ […]

The post หุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม ในวันที่ไทยหา New S Curve ไม่เจอ ต่างชาติลงทุน Data center ช่วยต่อลมหายใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นไทย

เมื่อพูดถึงอนาคต ‘ตลาดหุ้นไทย’ หลายคนคงได้แต่ถอนหายใจ เพราะเมื่อเทียบฟอร์มย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดหุ้นไทย ยังเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 1000 จุด บวกลบ และไม่เคยพุ่งถึงฝั่งฝันที่ 1,800 จุดได้เลย แม้ในปี 2568 ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ จะพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความผันผวนรอบด้าน แต่ตลาดหุ้นไทยกลับสวนทาง โดยช่วงครึ่งปีแรก ผลตอบแทน SET Index ต่ำสุดในรอบ 25 ปี

 

ผนวกกับปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ถดถอยลงทุกด้าน เมื่อปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ปัจจัยสนับสนุนซบเซา คำถามคือ ตลาดหุ้นไทย ยังมีโอกาสเติบโตไหม ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลง AI หรือรอวันล่มสลาย เพราะปรับตัวไม่ทัน

 

THE STANDARD WEALTH สรุปแนวโน้มตลาดหุ้นไทย จากงาน Money Freedom Forum 2025 ในหัวข้อ หุ้นไทยโอกาสทองลงทุน หรือความหวังอันไกลโพ้น โดย กวี ชูกิจเกษม นักลงทุนเน้นคุณค่า(VI) ที่ฝ่าทุกวิกฤตตลาดหุ้นไทย

 

ย้อนที่มา New S Curve ไทย ส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร?

 

S Curve 1: เกษตรกรรมบูม

ด้วยความที่ไทยเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ พลังงาน และน้ำ ทำให้ในช่วงแรกไทยเน้นส่งออกสินค้าเกษตร ตัดไม้ แร่ดีบุก เพื่อหารายได้เข้าประเทศ

 

S Curve 2: อุตสาหกรรมบูม

ในช่วง 28 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2504-2532) GDP โตเฉลี่ย 7.7% ไทยเจอแหล่งก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2516 ทำให้ทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย จนเกิดโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่มากมาย เช่น โรงงานรถยนต์ โรงงานสิ่งทอ ผลิตเสื้อผ้า ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เปิดทำการซื้อขายขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรก ตลาดหุ้นไทยพุ่งจาก 100 จุด สู่ 1789 จุด

 

S Curve 3: บริการบูม

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2532-2552) GDP ไทย โตเฉลี่ย 4.6% การเปิดสนามบินสุวรรณภูมิใน พ.ศ. 2549 เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การท่องเที่ยวบูม จากการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยว จนเกิดแรงส่ง ต่อยอดเป็นธุรกิจในภาคบริการ มากมาย โดยมีหุ้นกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก และโรงพยาบาล เป็นแม่เหล็กดึงดูด เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign investment) มูลค่าสูงอันดับต้นๆ ในอาเซียน ผลักดันให้มูลค่าตลาดหุ้นไทย ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1850 จุด จาก 380 จุด

 

New S Curve ใหม่: Lost Decade ยังหาไม่เจอ

ระหว่างปี 2554-2566 GDP ไทย โตเฉลี่ย 2.2% จากปัญหาโครงสร้างที่ฉุดรั้ง ศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลก กดดันผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นไทย ทำในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดหุ้นไทย เคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ 1000 จุด บวกลบ หรือพูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ อยู่กับที่ ไม่มีการเติบโต เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ส่วนใหญ่ยังพึ่งพาการผลิตจากอุตสาหกรรมโลกเก่า แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อดูผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน SET50 ในช่วงเวลาดังกล่าว มีเพียง 7 บริษัทเท่านั้นที่ขาดทุน สะท้อนว่า ตลาดหุ้นไทยยังประคองตัวไปได้ในอนาคต

 

New S Curve ไทยจะเกิด ต้องมีนวัตกรรม+คน

 

โดยปกติแล้ว หากประเทศจะเกิดธุรกิจที่เป็น New S Curve จะต้องอาศัย 2 ปัจจัยหลัก คือ การเติบโตของประชากร และนวัตกรรมใหม่ๆ เพียงแค่มีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แล้วประเทศไทย มีโอกาสอะไร ที่จะช่วยจุดประกาย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ เมื่อพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบหลัก

 

  1. จำนวนประชากร

พบว่า ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต คนไทยจะเกิดใหม่ น้อยลงเรื่อยๆ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดของคนไทย ลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายในปี พ.ศ. 2643 คนไทยจะเหลือประมาณ 40 ล้านคน

 

  1. อายุของคนในประเทศ

ปัจจุบัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ โดยในอนาคตคนไทย จะเกิดใหม่น้อยกว่าคนตาย ทำให้เมื่อเทียบกับโลก คนไทยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 41 ปี และมีอายุมากที่สุดในอาเซียน

 

  1. รายได้ต่อหัว

ปัญหาต่อเนื่องที่ซ้ำเดิม ปัญหาจำนวนประชากร คือ คนไทยส่วนใหญ่แก่ก่อนรวย เราจะเห็นภาพชัดมาก เมื่อเทียบรายได้ต่อหัวประชากรในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมี GDP per capita มากกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 7,700 ดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอยู่ที่ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนว่าในอนาคตนอกจากแรงงานน้อยลงแล้ว ยังไม่มีกำลังซื้ออีก

 

  1. หนี้ครัวเรือน

คนไทยติดกับดักหนี้ครัวเรือน นอกจากแก่ก่อนรวยแล้ว ยังแบกหนี้เยอะ ผลสำรวจล่าสุด โดยมหาวิทยาลัยหอการค้า พบว่า ปี 2568 หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยเฉลี่ยแต่ละครัวเรือน มีหนี้ 740,000 บาท สอดคล้องกับสภาพัฒน์ที่มองว่า สาเหตุที่หนี้ครัวเรือนพุ่ง ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของคนไทยที่มีไลฟ์สไตล์ติดแกรม ก่อหนี้เกินตัว

 

หากพิจารณาองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมา หลายคนคงรู้สึกท้อ และคิดว่าประเทศไทย หมดหวังแล้วที่จะมีเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ มาช่วยต่อลมหายใจ เพราะเราไม่มีอะไรเลย ทั้งจำนวนประชากรวัยหนุ่มสาว และนวัตกรรมของตัวเอง แต่ถ้าย้อนดูที่มาของการเกิด S-Curve ในไทย จะพบว่า ไทยนั้นแตกต่างจากประเทศอื่น ตรงที่มีทรัพยากร ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดโลก ผลักดันให้เกิด New S Curve ไม่ใช่เพราะการสร้างนวัตกรรม หรือการเติบโตของประชากร 

 

ไทย ‘ศูนย์กลาง Data Center’ แม้ไม่มีนวัตกรรม

 

เมื่อโลกเข้าสู่ยุค AI ซึ่งเร่งให้เกิด productivity และดิสรัปงานในหลายอุตสาหกรรม หลายคนแสดงความกังวลว่า ไทยจะตกรถขบวนคลื่นเทคโนโลยี ครั้งใหญ่นี้หรือไม่ เพราะไม่มีนวัตกรรมของตัวเองไปต่อยอดในซัพพลายเชน อีกทั้งบุคลากร ที่มีความเชี่ยวชาญ ด้าน AI ก็มีน้อย  สะท้อนผ่านบริษัทจดทะเบียนใน SET ไม่มีบริษัทใดเลยที่ทำธุรกิจอยู่ในกลุ่มหุ้นเจ็ดนางฟ้า หรือ  Magnificent 7 นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม มูลค่าตลาดหุ้นไทยถึงไม่ไปไหนเลย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

 

แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี เพราะตอนนี้ถ้าเทียบกับประเทศอาเซียน ไทยกำลังกลายเป็นศูนย์กลาง Data Center ด้วยข้อได้เปรียบด้านตำแหน่ง ที่ตั้งภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งพร้อมไปด้วยพื้นที่ ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยเฉพาะพลังงานน้ำ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบหลัก ในการรันฐานข้อมูล ที่เปรียบเสมือนอาหารสมองของ AI แม้ไทยจะไม่ได้อยู่ในซัพพลายเชน ปัญญาประดิษฐ์โดยตรง แต่ได้ประโยชน์จากการมีทรัพยากร ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ของในการสร้างอาณาจักรข้อมูล 

 

โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2564-2568 บริษัทต่างชาติทยอยเข้ามาลงทุนสร้าง Data Center ในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยขนาดกำลังให้บริการใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จาก 20 MW สู่ 200 MW ทั้งนี้ในอนาคตคาดว่า Data Center จะต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นโอกาสของประเทศไทย ซึ่งมีระบบไฟฟ้าที่เสถียร และพลังงานสะอาดรองรับ

 

ปัจจุบันไทยมีจำนวน Datar Center ทั้งหมด 39 แห่ง อันดับที่สี่ในอาเซียน โดยสิงคโปร์ ยังเป็นผู้นำในตลาด แต่ในระยะยาวมาเลเซียจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด เพราะนอกจา กมีการลงทุนด้าน Datar Center ยังขายน้ำให้กับสิงคโปร์ เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า เช่นเดียวกับไทยที่ได้รับอานิสงส์จากข้อจำกัด ด้านพื้นที่ของสิงคโปร์ ทำให้สิงคโปร์ ต้องกระจายการลงทุนมาไทย ส่วนเวียดนามแม้ทั่วโลกจับตาว่าจะขึ้นมาแทนที่ไทยเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังต้องแก้ปัญหาการผลิตไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งระบบยังไม่เสถียร เมื่อเทียบกับไทย แม้จะค่าไฟถูกกว่า

 

บทสรุป ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม

 

หลังจากฉายภาพความสัมพันธ์ระหว่าง New S Curve กับตลาดหุ้นไทย ในฐานะนักลงทุนคนหนึ่ง กวี มองว่า หุ้นไทยยังไม่ถึงคราวไม่ล่มสลาย แต่ยังประคองตัวได้จากบุญเก่าที่สั่งสมมา ทำให้เศรษฐกิจไทยยังได้รับประโยชน์ จากคลื่นการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี AI 

 

เคล็ดลับลงทุน ให้มีอิสรภาพการเงิน

 

ในฐานะนักลงทุน VI กวี ได้เผยเคล็ดลับการลงทุนเพื่อมีอิสรภาพการเงิน ว่า สินทรัพย์หลักทุกสินทรัพย์ ได้แก่ หุ้นปันผล หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ เมื่อย้อนดูสถิติผลตอบแทนรวม ย้อนหลัง พบว่า ในระยะยาว ช่วง 100 ปีที่ผ่าน ผลตอบแทนสินทรัพย์ทุกตัวปรับตัวเพิ่มขึ้น ชนะการเติบโตของเงินเฟ้อ ดังนั้น ถ้าเรามีคำถามว่าเริ่มต้นลงทุนตอนไหน เหมาะสมที่สุด คำตอบคือ ตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ยิ่งเริ่มเร็ว เราก็จะมีอิสรภาพทางการเงินเร็ว

 

The post หุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม ในวันที่ไทยหา New S Curve ไม่เจอ ต่างชาติลงทุน Data center ช่วยต่อลมหายใจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์การโฆษณาของบริษัทหลักทรัพย์-ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า คุมเข้ม ‘ฟินฟลูเอนเซอร์’ https://thestandard.co/sec-ad-regulation-finfluencer-digital-media/ Tue, 14 Oct 2025 09:09:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1130286 sec-ad-regulation-finfluencer-digital-media

สำนักงาน ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงหลักเกณ […]

The post ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์การโฆษณาของบริษัทหลักทรัพย์-ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า คุมเข้ม ‘ฟินฟลูเอนเซอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
sec-ad-regulation-finfluencer-digital-media

สำนักงาน ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การโฆษณาของบริษัทหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทในปัจจุบัน

 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อให้การกำกับดูแลมีความครอบคลุม เหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

 

ปัจจุบัน สื่อดิจิทัลเป็นหนึ่งในช่องทางหลักในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของประชาชน ขณะเดียวกัน ฟินฟลูเอนเซอร์ (Finfluencer) มีบทบาทมากขึ้นในการเผยแพร่ความรู้และให้มุมมองด้านการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ลงทุนรายย่อย ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีความหลากหลาย ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกและกว้างขวางมากขึ้น แต่มักมาพร้อมกับความเสี่ยง ทั้งด้านความถูกต้อง ความโปร่งใส และการให้คำแนะนำโดยไม่ได้รับอนุญาต 

 

โดย ก.ล.ต. ได้วิเคราะห์ช่องว่างในการกำกับดูแล (Gap Analysis) และพบว่า หลักเกณฑ์ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการกำกับดูแลการโฆษณาที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้ลงทุน  ก.ล.ต. จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโฆษณาของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ผู้ประกอบธุรกิจ) เพื่อให้สอดคล้องกับการโฆษณารูปแบบใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้ลงทุน โดยเพิ่มเติมหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ ดังนี้

 

  1. คัดเลือกผู้จัดทำโฆษณา จัดให้มีหลักเกณฑ์และกระบวนการคัดเลือกผู้จัดทำโฆษณาที่มีความพร้อมและน่าเชื่อถือ

 

  1. จัดให้มีข้อตกลงระหว่างผู้ประกอบธุรกิจและผู้จัดทำโฆษณา และกำหนดรายละเอียดข้อตกลงที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติตามที่หลักเกณฑ์การโฆษณากำหนดได้

 

  1. กำกับดูแลการโฆษณา กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจควบคุมดูแลการจัดทำและการเผยแพร่โฆษณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เช่น การตรวจสอบหรืออนุมัติเนื้อหาการโฆษณาก่อนเผยแพร่ และการดูแลให้ผู้จัดทำโฆษณาปฏิบัติตามที่หลักเกณฑ์การโฆษณากำหนด

 

  1. เปิดเผยข้อมูล กรณีโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (social media) ให้เปิดเผยคำเตือนเพิ่มเติมไว้ในส่วนของคำอธิบาย/รายละเอียดของโพสต์ (description) หรือในคำบรรยายใต้ภาพ/โพสต์ (caption) และกรณีมีการว่าจ้างผู้จัดทำโฆษณา ให้เปิดเผยให้ผู้ลงทุนทราบว่าเป็นโฆษณาที่ถูกว่าจ้างโดยผู้ประกอบธุรกิจในทุกช่องทางและรูปแบบที่มีการเผยแพร่โฆษณา เว้นแต่เป็นรูปแบบที่เห็นได้ชัดแจ้งอยู่แล้วว่าเป็นการโฆษณา เช่น ป้ายโฆษณา หรือสปอตโฆษณา

 

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็น ซึ่งมีรายละเอียดหลักการในเรื่องดังกล่าวบนเว็บไซต์ ก.ล.ต. ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถศึกษาและแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ จนถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568

The post ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์การโฆษณาของบริษัทหลักทรัพย์-ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า คุมเข้ม ‘ฟินฟลูเอนเซอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นเวียดนาม อัปเกรดสู่ Emerging Market จ่อดูดเม็ดเงินมหาศาล ด้านสถานะตลาดหุ้นไทยผ่านมา 10 กว่าปี ‘ไม่ไปไหน’ https://thestandard.co/vietnam-stock-market-emerging-upgrade/ Sun, 12 Oct 2025 05:36:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1129552 ตลาดหุ้นเวียดนาม Emerging Market

FTSE Russell ประกาศอัปเกรดสถานะ ‘เวียดนาม’ จาก Frontier […]

The post ตลาดหุ้นเวียดนาม อัปเกรดสู่ Emerging Market จ่อดูดเม็ดเงินมหาศาล ด้านสถานะตลาดหุ้นไทยผ่านมา 10 กว่าปี ‘ไม่ไปไหน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหุ้นเวียดนาม Emerging Market

FTSE Russell ประกาศอัปเกรดสถานะ ‘เวียดนาม’ จาก Frontier Market สู่ Emerging Market เข้าร่วมกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 กันยายน 2569 โดยการอัปเกรดครั้งนี้คาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ‘หลายพันล้านดอลลาร์’ ด้านรัฐบาลเวียดนามยังคงเดินหน้าเพื่อเป้าหมายถูกจัดเข้าสู่ดัชนีตลาดเกิดใหม่ของ MSCI ต่อไป

 

ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา FTSE Russell ประกาศอัปเกรดตลาดหุ้นเวียดนามจาก Frontier Market สู่ Emerging Market โดยจะมีผลวันที่ 21 กันยายน 2569 หลังเวียดนามสามารถปรับโครงสร้างตลาดทุนให้ได้มาตรฐานสากล โดยหลักเกณฑ์สำคัญที่ FTSE ใช้อัปเกรดสถานะเวียดนามมี ดังนี้

 

  • มีมูลค่าซื้อขายและบริษัทจดทะเบียนมากเพียงพอ: โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดหุ้นเวียดนามได้เกิน 250,000 ล้านดอลลาร์ และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
  • ยกเลิกระบบ Pre-Funding ไม่ต้องวางเงินล่วงหน้าก่อนซื้อหุ้น: โดยเวียดนามได้ยกเลิกระบบดังกล่าวในปี 2024 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ได้อัปเกรดครั้งนี้
  • ระบบชำระราคา (Settlement) ต้องเป็นระบบชำระภายใน 2 วันทำการ (T+2) : โดยเวียดนามได้ใช้ระบบ KRX จากเกาหลีใต้ ที่ทำให้การซื้อขายและชำระเงินเร็วขึ้น
  • ความโปร่งใสและกฎหมายตลาดทุน: โดยเวียดนามปรับกฎหมายหลักทรัพย์และระบบเปิดเผยข้อมูล ที่ได้มาตรฐานสากล

 

คาดการอัปเกรดจ่อดึงเงินทุนไหลเข้าเวียดนาม ‘หลายพันล้านดอลลาร์’

 

โดย VinaCapital บริษัทบริหารจัดการการลงทุนรายใหญ่จากเวียดนามประเมินว่า การยกระดับครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดหุ้นเวียดนาม โดยคาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศราว 5-6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ตลาด ช่วยเพิ่มสภาพคล่องและเปิดโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนต่ำลง

 

ขณะที่ HSBC ประเมินว่า การได้เข้าร่วมในดัชนีระดับสากลครั้งนี้อาจดึงดูดเงินทุนได้ถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์จากกองทุนประเภท Active Fund และอีก 10.4 พันล้านดอลลาร์จากกองทุนประเภท Passive Fund

 

แกรี่ แฮร์รอน หัวหน้าฝ่ายบริการหลักทรัพย์ของ HSBC เวียดนาม กล่าวว่า “สำหรับเวียดนาม การหลุดพ้นจากสถานะ Frontier Markets จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ และช่วยลดการพึ่งพาคู่ค้ารายใดรายหนึ่งลง”

 

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า การได้รับการยอมรับในระดับ ‘Emerging Market’ สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตและความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งกำลังกลายเป็นหนึ่งในตลาดทุนที่น่าจับตาที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย

 

นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ดัชนีตลาดเกิดใหม่ของ MSCI ด้วยเช่นกัน โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่จากกระทรวงและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปพบปะกับผู้จัดทำดัชนีดังกล่าวที่สิงคโปร์และฮ่องกง

 

FTSE Russell ระบุว่า การอัปเกรดสถานะครั้งนี้ยังคงต้องผ่านการทบทวนอีกครั้งในเดือนมีนาคมปีหน้า

 

เปิดการจัดกลุ่มตลาดหุ้นทั่วโลก โดย FTSE Russell

 

FTSE Russell ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดัชนีชั้นนำ จะประเมินและแบ่งกลุ่มตลาดหุ้นแต่ละประเทศออกเป็นประเภทต่างๆ ตามระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและมูลค่าไปถึงคุณภาพของตลาด โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่

 

  1. Developed Markets
  2. Advanced Emerging Markets
  3. Secondary Emerging Markets
  4. Frontier Markets

 

ส่องสถานะ ‘ตลาดหุ้นอาเซียน’ ตามการจัดอันดับของ FTSE Russell

 

🇸🇬 สิงคโปร์: Developed Markets

🇲🇾 มาเลเซีย: Advanced Emerging Markets

🇹🇭 ไทย: Advanced Emerging Markets

🇮🇩 อินโดนีเซีย: Secondary Emerging Markets

🇵🇭 ฟิลิปปินส์: Secondary Emerging Markets

🇻🇳 เวียดนาม: Frontier Markets (ปรับเป็น Secondary Emerging Markets มีผลวันที่ 21 กันยายน 2569)

 

ทั้งนี้ ไทยได้รับการยกระดับสู่ Advanced Emerging Market ตั้งแต่ปี 2555 แล้ว สะท้อนว่าไทยอยู่ในสถานะนี้มา 13 ปีแล้ว

 

โดยเมื่อเทียบผลตอบแทนพบว่า นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทนลดลง 8.09% (YTD) ขณะที่ ดัชนี VN-Index ของตลาดหุ้นเวียดนาม ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นกว่า 37% (YTD)

 

ภาพ: Asia Images / Shutterstock 

อ้างอิง:

 

The post ตลาดหุ้นเวียดนาม อัปเกรดสู่ Emerging Market จ่อดูดเม็ดเงินมหาศาล ด้านสถานะตลาดหุ้นไทยผ่านมา 10 กว่าปี ‘ไม่ไปไหน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ขู่เก็บภาษีจีนอีก 100% ฉุดมูลค่าตลาดหุ้นหายวับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในวันเดียว https://thestandard.co/trump-china-tariff-wipes-out-trillions/ Sun, 12 Oct 2025 03:23:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1129507 ทรัมป์ ภาษีจีน ตลาดหุ้น

Bespoke Investment Group ประเมินว่า หลังจากทรัมป์โพสต์ข […]

The post ทรัมป์ขู่เก็บภาษีจีนอีก 100% ฉุดมูลค่าตลาดหุ้นหายวับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในวันเดียว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ ภาษีจีน ตลาดหุ้น

Bespoke Investment Group ประเมินว่า หลังจากทรัมป์โพสต์ขู่เก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 100% เริ่มต้นพฤศจิกายน ได้ฉุดมูลค่าตลาดหุ้นหายวับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในวันเดียว โดยดึงดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่าง S&P 500, Nasdaq และ Dow Jones ร่วงหนักสุดในรอบหลายเดือน ด้านนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า คำขู่ครั้งนี้อาจเป็นเพียงกลยุทธ์เจรจาต่อรองเหมือนเคย และอาจเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อในช่วงที่ราคาตกต่ำ (Buy the dip)

 

ย้อนกลับไปในช่วงเช้าวันศุกร์ (ตามเวลาสหรัฐฯ) ดัชนี S&P 500 ขยับเข้าใกล้การทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาลอีกครั้ง โดยขาดไปไม่ถึง 2 จุด อย่างไรก็ตาม หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social โดยกล่าวว่า จีนกำลังแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์อย่างยิ่งต่อประเทศอื่นๆ ในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการควบคุมแร่ Rare Earth มูลค่าตลาดกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ก็หายวับไป

 

นอกจากนี้ ในโพสต์ดังกล่าว ทรัมป์ยังกล่าวหาว่าจีนกำลังกุมชะตาโลกไว้เป็นตัวประกันเนื่องจากการผูกขาดทรัพยากรที่สำคัญเหล่านี้ พร้อมทั้งระบุว่า หนึ่งในนโยบายที่สหรัฐฯ กำลังพิจารณาในขณะนี้ คือการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่กับสินค้าจีนที่นำเข้ามายังสหรัฐอเมริกา

 

โดย Bespoke Investment Group บริษัทวิจัยตลาดการเงินในสหรัฐฯ ประเมินว่ามูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ได้หายไปจากโพสต์เดียวโพสต์นั้น โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลง 2.7% เมื่อสิ้นสุดการซื้อขายในวันศุกร์ (ตามเวลาสหรัฐฯ) ซึ่งเป็นการปิดตลาดที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน

 

ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งเป็นที่รวมของบริษัทเทคโนโลยีที่พึ่งพาการค้ากับจีน ดิ่งลง 3.56% ซึ่งเป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนเช่นกัน โดยก่อนหน้าที่ทรัมป์จะโพสต์ ดัชนี Nasdaq ได้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้วในช่วงการซื้อขายวันศุกร์

 

ส่วนดัชนี Dow Jones Industrial Average ร่วงลง 879 จุด หรือ 1.9% ซึ่งเป็นการลดลงที่หนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ส่วนดัชนีหุ้นขนาดเล็ก Russell 2000 ลดลง 3%

 

ทำไมตลาดจึงร่วงลงอย่างรุนแรง?

 

แม้ว่าการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับจีนจะดำเนินไปช้ากว่าประเทศอื่นๆ แต่ความเห็นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นเชื่อว่าในที่สุดทั้งสองประเทศจะสามารถหาข้อตกลงกันได้ และความสัมพันธ์โดยรวมกำลังดีขึ้น โดยทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ยังมีกำหนดจะพบกันในการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ในปลายเดือนนี้

 

นอกจากนี้ ตลาดยังคุ้นชินกับอัตราภาษีประมาณ 40% ที่สหรัฐฯ ใช้กับจีนอยู่แล้ว อีกทั้งการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าที่ผลิตในจีน เช่น iPhone ของ Apple ก็มีขอบเขตกว้างพอที่จะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจได้

 

อย่างไรก็ตาม หากทรัมป์ดำเนินการตามคำขู่ล่าสุด นักลงทุนเกรงว่าภาระครั้งนี้อาจหนักเกินกว่าที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะรับไหว เนื่องจากยังคงต้องพึ่งพาชิ้นส่วนนำเข้าเพื่อผลิตรถยนต์ แผงโซลาร์เซลล์ และอื่นๆ โดยบางทีความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดคือ การตอบโต้จากจีนต่อสินค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบ

 

อะไรคือชนวนเหตุที่ทรัมป์ออกมาขู่?

 

ในช่วงคืนวันพฤหัสบดี จีนได้เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมตลาดแร่ Rare Earth ซึ่งจีนครองส่วนแบ่งอุปทานทั่วโลกอยู่ประมาณ 70% โดยรัฐบาลปักกิ่งระบุว่า หน่วยงานภายนอกจะต้องได้รับใบอนุญาตเพื่อส่งออกสินค้าแทบทุกชนิดที่ใช้แร่หายากของจีน ส่วนบริษัทที่ใช้ Rare Earth ในการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหารจะถูกปฏิเสธ ขณะที่การใช้งานของบริษัทต่างๆ จะได้รับการพิจารณาเป็นรายกรณีโดยจีน

 

ทั้งนี้ Rare Earth ถือเป็นแร่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ยานพาหนะไฟฟ้า และวัสดุสำหรับขีปนาวุธขั้นสูง ทรัมป์จึงพยายามที่จะเสริมสร้างอุปทานแร่โลหะเหล่านี้ในสหรัฐฯ โดยสนับสนุนและแม้กระทั่งการลงทุนในบริษัทเหมืองแร่ในสหรัฐฯ และแคนาดา

 

การเทขายครั้งนี้จะดำเนินต่อไปนานแค่ไหน?

 

มีการประเมินว่า วันจันทร์อาจเป็นอีกวันที่หนักหน่วงสำหรับตลาด เนื่องจากหลังจากตลาดปิด ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความตามมาอีกว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 100% โดยจะเริ่มต้นในเดือนหน้า เพิ่มเติมจากภาษีใดๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

พร้อมเสริมว่าสหรัฐฯ จะใช้มาตรการควบคุมการส่งออก ‘ซอฟต์แวร์ที่สำคัญทั้งหมด’ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้นำด้าน AI อย่าง Nvidia

 

ทั้งนี้ คำขู่การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบนี้ใหม่ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในต้นเดือนหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการประชุมสุดยอดที่ทรัมป์มีกำหนดจะพบกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน

ถึงกระนั้น นักลงทุนบางส่วนเชื่อว่า ควรรอดูไปก่อนว่าทรัมป์จะทำตามคำขู่ทั้งหมดจริงหรือไม่ เนื่องจากภาษีในอัตราที่สูงลิ่วส่วนใหญ่ที่เคยขู่ไว้เมื่อต้นเดือนเมษายน ซึ่งทำให้ตลาดทั่วโลกปั่นป่วน ก็ได้ถูกปรับลดลงอย่างมากในภายหลังผ่านการเจรจา ซึ่งเป็นการวางรากฐานให้ตลาดฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งสู่จุดสูงสุดใหม่

 

โดยในครั้งนั้น การไม่เชื่อคำขู่ของทรัมป์และเข้าซื้อในช่วงที่ราคาตกต่ำ (Buy the dip) ถือเป็นการตัดสินใจที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และนักลงทุนจำนวนมากก็คิดว่าครั้งนี้จะเป็นเช่นนั้นอีก

 

เจย์ วูดส์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของ Freedom Capital Markets กล่าว “ข่าวดีก็คือ นี่อาจเป็นเพียงอีกหนึ่งกลยุทธ์การเจรจาของรัฐบาลที่อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว” พร้อมกล่าวต่อว่า “การเทขายอย่างตื่นตระหนกนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการเข้าซื้อ”

 

นอกจากนี้ การร่วงลงครั้งนี้เป็นเพียงการดึงดัชนี S&P 500 กลับไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือนเท่านั้น โดยดัชนีดังกล่าวยังคงบวกอยู่มากกว่า 11% ในปีนี้ ด้วยกระแสการลงทุนในหุ้น AI ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ ซึ่งบดบังภัยคุกคามจากสงครามภาษี ความขัดแย้งทั่วโลก และการปิดหน่วยงานของรัฐบาลที่ยังดำเนินอยู่

 

ภาพ: Champ008 / Shutterstock 

อ้างอิง: 

 

The post ทรัมป์ขู่เก็บภาษีจีนอีก 100% ฉุดมูลค่าตลาดหุ้นหายวับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในวันเดียว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปูดแผนคลังจ่อ ‘ยึดอำนาจ’ การบินไทย หวั่นหวนคืนสู่ ‘วิกฤตล้มละลาย’ พบมีความพยายามปลด ‘ปิยสวัสดิ์-ชาญศิลป์’ ออกจากบอร์ด เล็งส่งคนใหม่เสียบแทน https://thestandard.co/thai-airways-takeover-board-change-agm/ Fri, 10 Oct 2025 04:19:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1128911 thai-airways-takeover-board-change-agm

หลังออกจากแผนฟื้นฟูฯ บมจ. การบินไทย ไม่นานกลับมามีประเด […]

The post ปูดแผนคลังจ่อ ‘ยึดอำนาจ’ การบินไทย หวั่นหวนคืนสู่ ‘วิกฤตล้มละลาย’ พบมีความพยายามปลด ‘ปิยสวัสดิ์-ชาญศิลป์’ ออกจากบอร์ด เล็งส่งคนใหม่เสียบแทน appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-airways-takeover-board-change-agm

หลังออกจากแผนฟื้นฟูฯ บมจ. การบินไทย ไม่นานกลับมามีประเด็นร้อนแรงอีกครั้ง หลังมีกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ มีความพยายามจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี (Annual General Meeting: AGM) เป็นครั้งที่สองของปีนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงบอร์ดชุดใหญ่ ซึ่งกำลังถูกตั้งคำถามว่าเป็นแผนการเข้า ‘ยึดอำนาจ’ ในการบินไทย หรือไม่

 

 

แหล่งข่าวระดับสูงในภาคตลาดทุน ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัทครั้งใหญ่ โดยมีความพยายามต้องการปลด ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการ และอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ. การบินไทย กับชาญศิลป์ ตรีนุชกร กรรมการ และอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ. การบินไทย ซึ่งทั้ง 2 คนมีส่วนสำคัญในการทำแผนฟื้นฟูกิจการ จนการบินไทยสามารถออกจากแผน

 

โดยระบุว่ามีความกังวลอย่างยิ่งว่าการเข้าแทรกแซงของกระทรวงการคลังอาจทำให้การบินไทยต้องกลับไปสู่รูปแบบการบริหารจัดการแบบรัฐวิสาหกิจเดิม และอาจนำไปสู่วิกฤตอีกครั้ง

 

ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการ และอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ. การบินไทย

ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการ และอดีตประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ. การบินไทย

 

ชาญศิลป์ ตรีนุชกร กรรมการ และอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ. การบินไทย

ชาญศิลป์ ตรีนุชกร กรรมการ และอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ. การบินไทย

 

ทั้งนี้ บมจ.การบินไทย ได้ดำเนินการนำหุ้น THAI กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้งอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม ปีนี้ที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูกิจการ

 

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 โดยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 44,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 43,981 ล้านบาท โดยการบินไทย ได้เพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางที่เป็นที่นิยม เช่น เซี่ยงไฮ้, ฮ่องกง และเดนปาซาร์ เป็นต้น ส่งผลให้มีผู้โดยสารรวมในช่วงไตรมาส 2/2568 เป็นจำนวน 3.97 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.2% และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 77.0% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 73.2% จากการปรับเครือข่ายเส้นทางบินที่เหมาะสมเพื่อรองรับปริมาณความต้องการการเดินทางของผู้โดยสารที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างพันธมิตรผ่านการทำรหัสเที่ยวบินร่วม (Codeshare)

 

พบพิรุธมีความพยายามปลดบอร์ดผ่านประชุม AGM รอบที่ 2

 

แหล่งข่าวยังระบุต่อว่า ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงกรรมการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง โดยกระทรวงการคลังได้เสนอชื่อกรรมการเข้ามาถึง 10 ชื่อ และมีความตั้งใจที่จะเพิ่มจำนวนกรรมการของ บมจ.การบินไทย จากเดิมที่มีจำนวน 11 คน เป็น 15 คน

 

ประเด็นที่น่ากังวลคือ กระทรวงการคลังต้องการปลดกรรมการเดิมออกจากตำแหน่ง โดยพยายามเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี (Annual General Meeting: AGM) เป็นครั้งที่สองภายในปีเดียว คือ ในปีนี้ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมนี้ แม้ว่าช่วงเดือนเมษายนปีนี้ที่ผ่านมา การบินไทย ได้จัดประชุม AGM ไปแล้ว ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีความผิดปกติ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการจัดประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทั่วไป ซึ่งปกติการประชุม AGM จะจัดเพียงปีละครั้ง และขั้นตอนการเปลี่ยนกรรมการที่อยู่มายาวนาน ควรทำผ่านการประชุม AGM เท่านั้น

 

อย่างไรก็ดี หากมีการประชุมผู้ถือหุ้นป็นครั้งที่สองในปีเดียวกัน หากต้องการจัดประชุมผู้ถือหุ้นควรจะต้องจัดในรูปแบบการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (Extraordinary General Meeting: EGM) 

 

ดังนั้น จึงตั้งข้อสังเกตว่าการที่กระทรวงการคลังพยายามจัดประชุม AGM เป็นครั้งสองของปีนี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมการที่อยู่มานานที่สุดในบอร์ด จำนวน 2 คน คือ ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการ กับชาญศิลป์ ตรีนุชกร ปลดออกจากตำแหน่ง เพราะตามเกณฑ์หากการจัดประชุมผู้ถือหุ้น EGM จะไม่สามารถเสนอวาระปลดหรือแต่งตั้งบอร์ดต่อที่ประชุมได้ หากต้องการดำเนินการเปลี่ยนแปลงบอร์ดและแต่งตั้งบอร์ดใหม่มาแทนที่ตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องดำเนินการผ่านการประชุม AGM 

 

ทั้งนี้ การใช้ช่องทาง AGM ครั้งที่สองนี้ อาจมีปัญหาเรื่องการตีความทางกฎหมาย

โดยเฉพาะในประเด็นที่ต้องการเปลี่ยนกรรมการชุดเดิมออกจากตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งอ้างเหตุผลว่าเป็นรายชื่อผู้ที่รับตำแหน่งมานานที่สุดของการบินไทย ปัจจุบัน จำนวน 3 รายชื่อ ได้แก่ พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย, ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร 

 

อย่างไรก็ดี คาดว่าในการประชุม AGM ที่เตรียมจะจัดในช่วงเดือนธันวาคมนี้ กระทรวงการคลัง จะมีการเปลี่ยนแปลง 2 บอร์ดเดิมออกจากตำแหน่ง ได้แก่ ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร ส่วน พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย คาดว่าจะถูกเลือกให้กลับเข้ามารับตำแหน่งบอร์ดอีกครั้ง

 

งบการเงินและข้อมูลทางการเงินที่สำคัญของ บมจ.การบินไทย ในช่วงทำแผนฟื้นฟูฯ และสามารถดำเนินการออกจากแผนฟื้นฟูฯ ได้สำเร็จ

งบการเงินและข้อมูลทางการเงินที่สำคัญของ บมจ.การบินไทย ในช่วงทำแผนฟื้นฟูฯ และสามารถดำเนินการออกจากแผนฟื้นฟูฯ ได้สำเร็จ

 

คลังละเลยผู้ถือหุ้นรายอื่น ชี้ถือหุ้น ‘การบินไทย’ เพียง 38% 

 

แหล่งข่าว ยังชี้ให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมในการใช้อำนาจของกระทรวงการคลัง โดยเน้นย้ำว่า กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่เพียง 38% เท่านั้น ซึ่งยังไม่นับหน่วยงานอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง ที่มีการถือหุ้นในการบินไทย แต่กลับพยายามดำเนินการแต่งตั้งกรรมการโดยไม่สนใจผู้ถือหุ้นรายอื่น

 

“ปัจจุบันการบินไทยไม่ใช่บริษัทเดิมที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่บริษัท เหมือน ปตท หรือรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่คลังถือหุ้น 70-80% หรือ 100%” แหล่งข่าวกล่าว

 

หวั่นบอร์ดเก่ากลับมาทำ ‘การบินไทย’ ล้มละลาย

 

สิ่งที่กังวล คือ รายชื่อกรรมการใหม่บางคนนั้น เป็นบุคคลที่เคยเกี่ยวข้องกับช่วงที่การบินไทยประสบปัญหาล้มละลายมาก่อน

 

แหล่งข่าว ยังแสดงความกังวลอีกว่า กระทรวงการคลังมีความนำบอร์ดที่เคยนำการบินไทย ออกจากแผนฟื้นฟูฯ ได้สำเร็จออกไปจากตำแหน่งบอร์ดปัจจุบัน แต่กลับมีความพยายามแต่งตั้งบอร์ดเก่าบางรายชื่อที่เคยสร้างปัญหาในอดีตจนการบินไทยต้องเจอวิกฤตในการบริหารจัดการจนมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในอดีต

 

พร้อมย้ำเตือนว่า วัตถุประสงค์ของการดำเนินการครั้งนี้ของ กระทรวงการคลัง คือ มีความพยายามต้องการกลับมายึดอำนาจคืน เพื่อให้มีอำนาจในการบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้การบริหารจัดการอาจจะกลับไปเป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจมากขึ้นทุกที และเป็นการคิดบริหารจัดการแบบราชการ

 

“ถือเป็นสัญญาณเตือนว่านี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าการบินไทยกำลังจะถูกพา กลับไปสู่วิกฤตอีกครั้ง หากยังคงทำงานกันแบบนี้” แหล่งข่าวกล่าว

 

นอกจากนี้ วิธีการบริหารจัดการของการบินไทย ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา หลังจากออกจากฟื้นฟูฯ และมีตัวแทนจากกระทรวงการคลังส่งมาทยอยนั่งในบอร์ดการบินไทย ส่งผลกระทบให้การทำงานมีความล่าช้า ไม่มีการตัดสินใจ และกระบวนการต่าง ๆ ไม่คล่องตัว

 

โอกาสของผู้ถือหุ้นรายอื่นในการเสนอชื่อ

 

แม้กระทรวงการคลังจะเสนอชื่อบอร์ดเข้ามา 10 คน แต่บริษัทการบินไทยมีความแตกต่างจากบริษัทอื่นตรงที่มีผู้ถือหุ้นอื่นที่ถือหุ้นเกิน 5% จำนวนหลายราย และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเสนอชื่อกรรมการเข้ามาได้ด้วย

 

ขณที่ บมจ.การบินไทย ได้ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ถือหุ้นอื่นเสนอชื่อบุคคลเข้ามาเป็นกรรมการ ภายในวันที่ 19 ตุลาคมนี้ โดยกำหนดจะเสนอรายต่อที่ประชุมบอร์ด ในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ซึ่งวานนี้ (9 ตุลาคม ) ได้มีการประชุมคณะกรรมการสรรหาของการบินไทย เพื่อรวบรวมรายชื่อบุคคลที่เหมาะสมที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งบอร์ดของการบินไทย เพื่อนำรายชื่อเสนอต่อที่ประชุมบอร์ดการบินไทยชุดปัจจุบันให้มีการพิจารณา จะเป็นการนำรายชื่อมาเปรียบเทียบกันระหว่างคนของกระทรวงการคลังกับรายชื่อของบุคคลของผู้ถือหุ้นอื่น

 

โดยสรุป แหล่งข่าวมองว่า หากการเปลี่ยนแปลงกรรมการเกิดขึ้นตามแผนของกระทรวงการคลัง การบินไทย มีความเสี่ยงอาจจะกลับไปสู่ความล้มเหลวเหมือนเดิมจนต้องเข้าแผนฟื้นกิจการอีกครั้ง

 

ทั้งนี้ ประเด็นที่เกิดขึ้นส่งผลกดดันราคาหุ้นของ THAI โดยวันนี้ (10 ตุลาคม) ณ เวลา 10.30 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ 11.30 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือลดลง 1.74%

 

ภาพ: Golden House Studio / Shutterstock

The post ปูดแผนคลังจ่อ ‘ยึดอำนาจ’ การบินไทย หวั่นหวนคืนสู่ ‘วิกฤตล้มละลาย’ พบมีความพยายามปลด ‘ปิยสวัสดิ์-ชาญศิลป์’ ออกจากบอร์ด เล็งส่งคนใหม่เสียบแทน appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นเหมืองแร่หายากพุ่งแรง หลังจีนเข้มงวดควบคุมการส่งออกทั่วโลก https://thestandard.co/china-rare-earths-export-curbs-us-stocks-surge/ Fri, 10 Oct 2025 03:09:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1128842 china-rare-earths-export-curbs-us-stocks-surge

ราคาหุ้นของบริษัทเหมืองแร่หายากและแร่สำคัญในสหรัฐฯ พุ่ง […]

The post หุ้นเหมืองแร่หายากพุ่งแรง หลังจีนเข้มงวดควบคุมการส่งออกทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
china-rare-earths-export-curbs-us-stocks-surge

ราคาหุ้นของบริษัทเหมืองแร่หายากและแร่สำคัญในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในวันพฤหัสบดี (9 ตุลาคม) ที่ผ่านมา หลังจากจีนประกาศเข้มงวดการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) มากขึ้น ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเร่งเดินหน้าการลงทุนสร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศอย่างจริงจัง

 

หุ้น USA Rare Earth พุ่งขึ้น 15%, NioCorp Developments เพิ่มขึ้นประมาณ 12%, Ramaco Resources พุ่งกว่า 11%, Energy Fuels เพิ่มขึ้นมากกว่า 9%, และ MP Materials ขยับขึ้นกว่า 2%
ขณะเดียวกัน Albemarle เพิ่มขึ้นราว 5%, Trilogy Metals พุ่งเกือบ 4%, และ Lithium Americas เพิ่มขึ้นประมาณ 2%

 

จากประกาศของกระทรวงพาณิชย์จีนกำหนดให้ บริษัทต่างชาติที่ส่งออกสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่หายากตั้งแต่ 0.1% ของมูลค่าสินค้าขึ้นไปต้องขอใบอนุญาตส่งออก รวมถึงบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีการสกัด แยก หรือรีไซเคิลแม่เหล็กจากจีนก็ต้องขออนุญาตเช่นกัน

 

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า “ทำเนียบขาวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังประเมินผลกระทบจากกฎใหม่ของจีนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมาตรการนี้ประกาศโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า และมีเป้าหมายชัดเจนเพื่อควบคุมห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีของทั้งโลก”

 

จีนออกข้อจำกัดนี้ล่วงหน้าก่อนการประชุมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่าง ประธานาธิบดีจีน Xi Jinping และ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ในระหว่างการประชุมสุดยอดเอเปก (APEC) ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ปลายเดือนนี้

 

แร่หายากถือเป็นประเด็นขัดแย้งสำคัญในการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยจีนเป็นผู้ครองห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลกเกือบทั้งหมด ขณะที่สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก

 

ทำเนียบขาวและอุตสาหกรรมแร่สำคัญของสหรัฐฯ กล่าวหาจีนว่าบิดเบือนตลาดเพื่อขับคู่แข่งต่างชาติให้หมดไปจากธุรกิจ แร่หายากเหล่านี้ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมอาวุธของสหรัฐฯ หุ่นยนต์ ยานยนต์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

 

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงประวัติศาสตร์กับบริษัทเหมืองแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของประเทศ MP Materials ซึ่งรวมถึงการถือหุ้นร่วมด้วย ถือเป็นก้าวแรกในความพยายามของรัฐบาล Trump ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเหมืองในประเทศเพื่อต่อกรกับจีน

 

ต่อมาทำเนียบขาวได้เข้าซื้อหุ้นใน Lithium Americas และ Trilogy Metals เพิ่มเติม กระตุ้นให้นักลงทุนคาดว่าจะมีการลงทุนลักษณะเดียวกันอีกหลายดีลในอนาคต

โฆษกของ MP Materials กล่าวถึงมาตรการของจีนว่า “การกระทำครั้งนี้ย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นของนโยบายอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งของสหรัฐฯ  การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นถือเป็นเรื่องของความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ”

 

แม้ USA Rare Earth และ Energy Fuels ยังไม่ได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาล แต่ซีอีโอของทั้ง 2 บริษัทเปิดเผยว่ากำลังติดต่อกับฝ่ายบริหารของ Trump อย่างใกล้ชิด

Neo Wang นักวิเคราะห์จาก Evercore ISI กล่าวว่ามาตรการของจีนครั้งนี้ช่วยให้ Xi Jinping อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นก่อนเจรจากับ Trump ในการประชุมสุดยอดที่เกาหลีใต้

 

หวังยังเสริมว่า “แม้ทั้งปักกิ่งและวอชิงตันจะได้บทเรียนจากการปะทะด้านการควบคุมการส่งออกเมื่อเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่จีนมีความสามารถในการทนต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจได้มากกว่า เนื่องจากโครงสร้างทางการเมืองของตน ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับภัยคุกคามของจีนในเกมชิงอำนาจครั้งนี้”

 

ภาพ: wildpixel / Shutterstock 

 

อ้างอิง:

The post หุ้นเหมืองแร่หายากพุ่งแรง หลังจีนเข้มงวดควบคุมการส่งออกทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะนโยบายเศรษฐกิจ ‘ทาคาอิชิโนมิกส์’ 3 ลูกศรใหม่ของนายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น ความหวังดันหุ้นทะยานต่อ https://thestandard.co/takaichinomics-economic-policy-japan/ Fri, 10 Oct 2025 00:28:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1128800 ทาคาอิชิ

ญี่ปุ่น กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือ ซานาเอะ ทาคา […]

The post เจาะนโยบายเศรษฐกิจ ‘ทาคาอิชิโนมิกส์’ 3 ลูกศรใหม่ของนายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น ความหวังดันหุ้นทะยานต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทาคาอิชิ

ญี่ปุ่น กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือ ซานาเอะ ทาคาอิชิ มีจุดยืนที่ชัดเจนในด้านการเป็นสาย ‘Dovish’ โดยมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพานโยบายการเงินเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัว และไม่ควรเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป

 

นิสารัตน์ ชมพูพงษ์ ผู้อำนวยการ Wealth and Investment Advisory SCB CIO ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth เผยถึงทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนในญี่ปุ่น ภายหลังการเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ โดยระบุว่า การปรากฏตัวของ ซานาเอะ ทาคาอิชิ ในฐานะว่าที่ผู้นำหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ถือเป็นเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ตลาดตอบรับในเชิงบวกอย่างมาก เนื่องจากชัยชนะในการเลือกตั้งภายในนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางเศรษฐกิจที่จะเดินหน้าอย่างชัดเจน

 

SCB CIO วิเคราะห์ว่า นโยบายของ ทาคาอิชิ จะเป็นการสานต่อความสำเร็จของนโยบาย Abenomics แต่มาในแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Ega-nomics ซึ่งมุ่งเน้นการใช้เครื่องมือทั้งนโยบายการเงินและการคลังควบคู่กัน พร้อมทั้งสอดรับกับการจัดการความท้าทายในยุคปัจจุบัน ได้แก่ ปัญหาเงินเฟ้อ เทคโนโลยี และความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Security)

 

โครงสร้าง ‘ทาคาอิชิโนมิกส์ 3 มิติขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

 

โครงสร้างหลักของนโยบายเศรษฐกิจภายใต้การนำของ ทาคาอิชิ แบ่งออกเป็นสามเสาหลัก ดังนี้ 

 

1. นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (Dovish Monetary Policy)

 

ทาคาอิชิ มีจุดยืนที่ชัดเจนในด้านการเป็นสาย “Dovish” โดยมองว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพานโยบายการเงินเพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัว และไม่ควรเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป

 

ทั้งนี้การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลและ BOJ เป็นสิ่งสำคัญ โดยจะต้องมีการสอดประสานนโยบายระหว่างกัน

 

แม้ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2.7% แต่การที่ ทาคาอิชิ ได้รับเลือกเป็นผู้นำ ทำให้ SCB CIO มองว่า แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในรอบการประชุมเดือนตุลาคม (29-30 ต.ค.) น่าจะเลื่อนออกไปก่อน และอาจเกิดขึ้นในปีหน้าแทน

 

ขณะที่ทิศทางการเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) ของดอกเบี้ยยังมีอยู่ แต่จะเป็นไปอย่างระมัดระวังและค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยช้าลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

 

2. นโยบายการคลังที่ยืดหยุ่นพร้อมวินัย (Flexible Fiscal Policy)

 

คาดการณ์ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีการใช้นโยบายการคลังที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งตลาดคาดหวังว่าจะมีการเพิ่มการใช้จ่าย (Spending)

 

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การลดภาษี และนโยบายคล้าย ‘Cash and Out’

 

อย่างไรก็ตาม ทาคาอิชิยังให้ความสำคัญกับวินัยทางการคลัง เนื่องจากญี่ปุ่นมีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูงถึง 260% การดำเนินนโยบายการคลังจึงต้องมีการเสริมวินัยทางการเงินการคลังควบคู่กันไป

 

3. การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Investment)

 

นโยบายจะมุ่งเน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำหรับการเติบโตในระยะยาวของประเทศ

 

กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่จะได้รับการสนับสนุน ได้แก่ ธุรกิจ AI, เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor), และธุรกิจนิวเคลียร์/พลังงาน ซึ่งจะช่วยต่อยอดและทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตได้ในระยะถัดไป

 

 

ค่าเงินเยน อ่อนค่าในระยะสั้น หนุนตลาดส่งออก

 

หลังชัยชนะของ ทาคาอิชิ ค่าเงินเยนได้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 150 เยน ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่ 146 ก่อนการเลือกตั้ง

 

สำหรับสาเหตุเป็นผลมาจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายกว่าที่คาด และระดับดอกเบี้ยของญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0 5%

 

โดยแนวโน้มระยะสั้น ค่าเงินเยนมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในกรอบที่อ่อนค่าต่อไป ส่วนแนวโน้มระยะยาวการกลับมาทบทวนอาจเกิดขึ้นในปีหน้า หาก BOJ ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย

 

มุมมอง SCB CIO ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ‘ขึ้นแล้วขึ้นต่อ’

 

SCB CIO ชื่นชอบตลาดหุ้นญี่ปุ่นและแนะนำให้ลูกค้าให้น้ำหนักการลงทุนมาโดยตลอด และเชื่อว่าภาพรวมของตลาดจะยังคงอยู่ในทิศทาง “ขึ้นแล้วขึ้นต่อ” โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 5 ประการ:

 

  1. การฟื้นตัวเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic) ชัดเจน: โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว เป็นปัจจัยเสริมสำคัญในการเติบโตของ GDP ญี่ปุ่น

 

  1. ค่าเงินเยนอ่อนค่าช่วยเพิ่มกำไร: ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบริษัทจดทะเบียนของญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทส่งออก ทำให้มีกำไรที่ดีขึ้น

 

  1. การปฏิรูปบรรษัทภิบาล (Corporate Reform) เห็นผล: การดำเนินการปฏิรูปตลาดและธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัญหาการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Brand Discount) ปรับตัวดีขึ้น

 

    • ROE ของบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นสูงที่สุดในรอบ 40 ปี 
    • ยอดการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สูงกว่ายอดรวมทั้งปีของปีที่แล้ว

 

  1. รับอานิสงส์ธีม AI และเทคโนโลยี: ญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และจะได้รับประโยชน์จากกระแส AI และ Semiconductor ทั่วโลก รวมถึงนโยบายของ ทาคาอิชิ ที่สนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจขั้นสูง (Advanced Economy)

 

  1. นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเพิ่มขึ้น: สัดส่วนการถือครองหุ้นญี่ปุ่นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 15% ในปี 2000 เป็นประมาณ 32% ใน

 

ปัจจุบัน การประกาศลงทุนของ Warren Buffett (Berkshire Hathaway) ในปี 2019 เป็นจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นความสนใจของนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาในตลาดมากขึ้น

 

แนะเลี่ยงตราสารหนี้ระยะยาว

 

แม้จะมองบวกต่อตราสารทุน (หุ้น) แต่ SCB CIO แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวของญี่ปุ่น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวสูงขึ้นมาก อันเป็นผลมาจากความกังวลต่อนโยบายการคลังและระดับหนี้ของประเทศที่อยู่ในระดับสูง

 

ภาพ: Victor SG/Shutterstock

The post เจาะนโยบายเศรษฐกิจ ‘ทาคาอิชิโนมิกส์’ 3 ลูกศรใหม่ของนายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น ความหวังดันหุ้นทะยานต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
JMART ขายหุ้น PRTR ทั้งหมด 14.99% ให้ Lombard Asia กองทุน Private Equity ราคา 3.34 บาท ต่ำกว่าราคาตลาด https://thestandard.co/jmart-sells-prtr-14-99-percent/ Thu, 09 Oct 2025 10:28:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1128688 JMART ขายหุ้น PRTR ทั้งหมด 14.99% ให้ Lombard Asia กองทุน Private Equity ราคา 3.34 บาท ต่ำกว่าราคาตลาด

JMART รายงานขายหุ้น PRTR ออกไปทั้งหมด 14.99% ให้กับ Lom […]

The post JMART ขายหุ้น PRTR ทั้งหมด 14.99% ให้ Lombard Asia กองทุน Private Equity ราคา 3.34 บาท ต่ำกว่าราคาตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
JMART ขายหุ้น PRTR ทั้งหมด 14.99% ให้ Lombard Asia กองทุน Private Equity ราคา 3.34 บาท ต่ำกว่าราคาตลาด

JMART รายงานขายหุ้น PRTR ออกไปทั้งหมด 14.99% ให้กับ Lombard Asia ในราคา 3.34 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 300 ล้านบาท ราคาขายดังกล่าวต่ำกว่าราคาปิดในตลาดเมื่อวานนี้ (8 ตุลาคม) ที่ 3.48 บาท

 

บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทได้ขายหุ้นของบริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR จำนวน 89,999,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 14.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ PRTR ในราคาหุ้นละ 3.34 บาท รวมมูลค่าประมาณ 300.6 ล้านบาท ให้กับ HOLISTIC IMPACT PTE. ที่มี Lombard Asia V, L.P. (“LAV”) กองทุน Private Equity ถือหุ้น 100%

 

ทั้งนี้ บริษัทได้บันทึกเงินลงทุนในหุ้น PRTR ภายใต้มูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (FVOCI) ส่งผลให้การขายหุ้นครั้งนี้ไม่กระทบต่องบกำไรขาดทุนของบริษัท

 

อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART กล่าวเพิ่มเติมว่า การขายหุ้นดังกล่าวเป็น การปรับพอร์ตการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในโอกาสใหม่ในอนาคต ไม่ได้เกิดจากปัญหาสภาพคล่อง โดย JMART ยังคงมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง พร้อมจ่ายคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ในเดือนตุลาคม 2568 นี้แน่นอน โดยเตรียมพร้อมจากสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลักของบริษัท

 

JMART มุ่งลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตสูง และสามารถสร้าง Synergy กับธุรกิจในเครือ ทั้งในด้านเทคโนโลยี ค้าปลีก และการเงิน ภายใต้กลยุทธ์ Commerce Tech และ FinTech เพื่อขยายระบบนิเวศธุรกิจ (Ecosystem) ให้แข็งแกร่งและเชื่อมโยงกันมากขึ้น พร้อมทั้งการก้าวสู่การเตรียมความพร้อมในการเป็นองค์กรที่นำเอา AI มาใช้ในกลุ่มธุรกิจ

 

“การขายหุ้น PRTR ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความพร้อมในการต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต ขณะเดียวกัน JMART และ PRTR ยังคงเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง การปรับพอร์ตครั้งนี้สะท้อนแนวทางการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ มุ่งสร้างสมดุลระหว่างความแข็งแกร่งทางการเงินและโอกาสเติบโตระยะยาว” อดิศักดิ์กล่าว

 

ด้าน ริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRTR เปิดเผยว่า ภายหลังการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว Holistic Impact จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของ PRTR ในอันดับที่ 3 แทน JMART อย่างเป็นทางการ

 

“การที่ Lombard Asia เข้ามาลงทุนผ่าน Holistic Impact ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ PRTR ที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของ PRTR ทั้งในด้านกลยุทธ์การลงทุน (M&A) การขยายเครือข่ายพันธมิตร และการยกระดับมาตรฐานการดำเนินงานให้ทัดเทียมในระดับสากล เพื่อผลักดันให้ PRTR เติบโตต่อเนื่องจากผู้นำในไทยสู่การเป็นผู้นำระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน”

 

การที่ Lombard Asia ซึ่งมีประสบการณ์การลงทุนในภูมิภาคมายาวนานและมีเครือข่ายระดับโลก เลือกเข้ามาลงทุนใน PRTR ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัท ความแข็งแกร่งของธุรกิจ HR Solutions ในประเทศไทย และความน่าสนใจของตลาดแรงงานไทยในระยะยาว

 

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานหรือการควบคุมกิจการของบริษัทฯ (No Change of Control) และไม่เข้าข่ายเป็นการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) ทีมผู้บริหารชุดเดิมยังคงดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์และกลยุทธ์เดิม โดย PRTR และ JMART ยังคงรักษาความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมมือกันต่อไปในการใช้ศักยภาพของ PRTR ในการจัดหาและบริหารบุคลากรครบวงจร ซึ่งเป็น ความร่วมมือแบบ Win–Win Partnership ของทั้งสององค์กร

 

PRTR ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในด้าน Total HR Solutions อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมตั้งแต่ ธุรกิจจัดจ้างพนักงาน (Outsource) ธุรกิจบริการสรรหาพนักงาน (Recruitment) ธุรกิจเทคโนโลยีด้านทรัพยากรบุคคล (HR Tech) ภายใต้แพลตฟอร์มบริหารบุคลากร PINNO และธุรกิจฝึกอบรมและพัฒนาองค์กร (Integrated Learning Services) ภายใต้แบรนด์ The Blacksmith

 

โครงสร้างผู้ถือหุ้นของ PRTR ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงจะเป็นดังนี้

 

1. นางสาวริศรา เจริญพานิช จำนวน 100,461,600 หุ้น คิดเป็น 16.74%

2. นางสาวอรฤดี เกตุทวี จำนวน 90,267,000 หุ้น คิดเป็น 15.04%

3. Holistic Impact Pte. Ltd. (ถือหุ้น 100% โดย Lombard Asia V, L.P.) จำนวน 89,999,900 หุ้น คิดเป็น 15.00%

4. นายลักษณ์ เด่นดี จำนวน 48,078,000 หุ้น คิดเป็น 8.01%

5. Mr. Paul David Chaundy จำนวน 29,851,588 หุ้น คิดเป็น 4.98%

The post JMART ขายหุ้น PRTR ทั้งหมด 14.99% ให้ Lombard Asia กองทุน Private Equity ราคา 3.34 บาท ต่ำกว่าราคาตลาด appeared first on THE STANDARD.

]]>