Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 23 Dec 2024 11:23:15 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ทำเนียบ 10 มหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลก ปี 2024 https://thestandard.co/the-worlds-top-10-richest-people-in-2024/ Mon, 23 Dec 2024 11:23:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1022702 มหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลก

ปี 2024 นับว่าเป็นหนึ่งในปีที่มหาเศรษฐี 10 คนแรกของโลกม […]

The post ทำเนียบ 10 มหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลก ปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
มหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลก

ปี 2024 นับว่าเป็นหนึ่งในปีที่มหาเศรษฐี 10 คนแรกของโลกมีการเปลี่ยนแปลงความมั่งคั่งในระหว่างปีมากที่สุดปีหนึ่ง โดยในปีนี้ Elon Musk ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tesla, SpaceX และ X สามารถขึ้นครองตำแหน่งเบอร์ 1 ของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม 4.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 15.6 ล้านล้านบาท คิดเป็นการเปลี่ยนแปลงกว่า 2.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.7 ล้านล้านบาท จากต้นปี (มกราคม 2024) ราว 100%YTD

 

ในขณะที่ Bernard Arnault เจ้าของอาณาจักรสินค้าหรู LVMH ที่ครองบัลลังก์มหาเศรษฐีคนแรกในช่วงต้นปี 2024 ก็ตกอันดับมาอยู่ที่เบอร์ 5 และเป็นเพียงมหาเศรษฐีคนเดียวในอันดับมหาเศรษฐี 10 คนแรกของโลกที่สินทรัพย์ลดลง 14.6% จากต้นปี (YTD) โดยเหล่ามหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีก็ไต่อันดับไล่ขึ้นมาแซง Arnault

 

โดยในทำเนียบ 10 อันดับนี้มาจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีถึง 8 จาก 10 คน และมาจากสหรัฐฯ ถึง 9 จาก 10 คน

 

นอกจากนี้ Bill Gates ยังเป็นมหาเศรษฐีที่กลับเข้ามาติดอันดับในทำเนียบมหาเศรษฐี 10 คนแรกอีกครั้ง หลังจากหลุดโผไปในช่วงต้นของไตรมาส 4

 

บทความนี้ทางทีมงาน THE STANDARD WEALTH จะพาไปดูทำเนียบ 10 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของโลกส่งท้ายปี 2024

 

มหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลก

 

 

 

The post ทำเนียบ 10 มหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลก ปี 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 ข้อควรรู้ก่อนซื้อกองทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีปี 2567 https://thestandard.co/thaiesg-investment-tax-savings-2024/ Mon, 23 Dec 2024 07:00:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1021986 ThaiESG

ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนภา […]

The post 5 ข้อควรรู้ก่อนซื้อกองทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีปี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ThaiESG

ช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 สำหรับใครที่ยังไม่ได้วางแผนภาษี โดยเฉพาะการใช้สิทธิลดหย่อนต่างๆ หนึ่งในนั้นคือการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง ThaiESG ซึ่งปีนี้เงื่อนไขการลงทุนเปลี่ยนไปบางส่วน ขณะเดียวกันก็มีอะไรที่นักลงทุนควรจะรู้อีกบ้าง เพื่อให้การลงทุนครั้งเดียวได้ทั้งลดหย่อนภาษีและผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

 

THE STANDARD WEALTH พาทุกคนไปทำความรู้จักกับกองทุน ThaiESG ให้มากขึ้นผ่าน 5 ข้อควรรู้ก่อนเลือกลงทุน

 

  1. ThaiESG คืออะไร

 

ThaiESG หรือ Thailand ESG Fund เป็นกองทุนรวมไทยที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน ‘ระยะยาว’ ในกิจการที่เน้นความยั่งยืน พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

 

โดยกองทุน ThaiESG จะเน้นลงทุนในประเทศไทยในกิจการหรือโครงการที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อมหรือด้านความยั่งยืน โดยมีนโยบายลงทุนในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างที่ออกโดยผู้ออกที่เป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ทั้งหุ้นไทย พันธบัตร และตราสารหนี้ไทย ที่ใส่ใจความยั่งยืน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีมากกว่า 80% ของ NAV 

 

  1. สิทธิประโยชน์ทางภาษี

 

ข้อมูลอัปเดตปี 2567 กองทุน ThaiESG ปรับเกณฑ์ใหม่! สำหรับบุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้ จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุน สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท (จากเดิม 100,000 บาท) หรือไม่เกิน 30% ของรายได้ และปรับระยะเวลาการถือครองลดลงเหลือเพียง 5 ปีนับจากวันลงทุน (จากเดิม 8 ปีนับจากวันลงทุน) (วันชนวัน)

 

ทั้งนี้ การขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ผู้ลงทุนจะต้องแจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกับ บลจ. ภายในวันทำการสุดท้ายของปี ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถนำค่าซื้อหน่วยลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้ แต่กรณีที่ผู้ลงทุนเคยแจ้งไว้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแจ้งซ้ำอีก เว้นแต่ว่าจะเปลี่ยนไปซื้อกับ บลจ. อื่น

 

โดยผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อถือครองมาแล้วไม่น้อยกว่าระยะเวลาตามที่กรมสรรพากรกำหนด (5 ปีนับจากวันที่ลงทุน – วันชนวัน) กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) และเงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุนที่เป็นไปตามเงื่อนไข จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กรมสรรพากรกำหนด

 

  1. เลือกกองทุน ThaiESG อย่างไร

 

โดยส่วนใหญ่แล้วกองทุน ThaiESG จะมุ่งลงทุนในหุ้นไทยที่มีการจัดอันดับ ESG Ratings โดยปัจจุบันมีหุ้นทั้งหมด 228 บริษัทที่ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การเลือกกองทุนเพื่อลงทุนควรเข้าไปดูรายละเอียดพอร์ตลงทุนของแต่ละกองทุนก่อนด้วย

 

เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่กระจุกตัวมากเกินไป ควรเลือกกองทุนที่ถือครองหุ้น 5 ตัวแรกรวมกันไม่เกิน 40% ขณะเดียวกันก็พิจารณาร่วมกับผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งอาจพิจารณาจากค่า Sharpe Ratio ที่ยิ่งมากจะยิ่งดี รวมทั้งค่าธรรมเนียมของกองทุนที่ไม่ควรจะเกิน 2%

 

ที่สำคัญคือควรเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเอง เช่น กองทุนประเภท Passive ซึ่งนอกจากกองหุ้นไทยแล้ว กองทุน ThaiESG ยังมีกองทุนประเภทตราสารหนี้และกองทุนผสมอีกด้วย เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามสไตล์และความเสี่ยงที่สามารถรับได้ หรือกองทุนที่จ่ายเงินปันผลสำหรับคนที่ต้องการกระแสเงินสดระหว่างทาง 

 

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญก่อนที่จะเริ่มลงทุน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือสินทรัพย์ใด คือการวางเป้าหมายการลงทุนของตัวเองให้ชัดเจน

 

  1. ต้องถือกองทุนเดิมไปจนครบกำหนดหรือไม่

 

หลายคนอาจยังไม่ทราบว่ากองทุนลดหย่อนภาษีที่มีกำหนดระยะเวลาถือครองนี้สามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้เช่นกัน และสามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุนของ บลจ. อื่นได้เช่นกัน (แต่อาจมีค่าธรรมเนียม) เพียงแต่เงื่อนไขคือ จะต้องเป็นกองทุน ThaiESG เหมือนกัน 

 

ซึ่งการสับเปลี่ยนกองทุนนี้ก็เป็นเหมือนการปรับพอร์ตลงทุนระหว่างทาง เพื่อให้เหมาะกับสภาวะตลาดหรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภาพรวม เช่น ในภาวะที่ตลาดหุ้นร้อนแรงมาก และกองทุน ThaiESG ที่เราถือให้ผลตอบแทนสูงในระดับหนึ่ง เราอาจพิจารณาเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน 

 

  1. ทางเลือกลงทุนอื่นเพื่อลดหย่อนภาษี

 

นอกจาก ThaiESG แล้ว นักลงทุนยังมีทางเลือกลงทุนอื่นๆ อีกเช่นกันที่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยวงเงินรวมกันอีกไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ประกอบด้วย

 

  • กองทุน SSF ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุน RMF ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
  • Provident Fund / กองทุนสงเคราะห์ครู / กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
  • PVD / กองทุนสงเคราะห์ครู ไม่เกิน 15% ของค่าจ้าง
  • กบข. ไม่เกิน 30% ของค่าจ้าง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
  • ประกันบำนาญไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ไม่เกิน 30,000 บาท

 

นอกจากข้อควรรู้ทั้ง 5 ข้อนี้แล้ว ยังมีข้อมูลต่างๆ อีกหลายส่วนที่นักลงทุนควรพิจารณาประกอบเพิ่มเติม เช่น ผู้จัดการกองทุน นโยบายที่แตกต่างกันของแต่ละกองทุน หรือการผสมผสานกองทุนหลายๆ กองเข้าด้วยกัน เพราะเราไม่จำเป็นจะต้องซื้อกองทุนจนเต็มวงเงินใช้สิทธิ 

 

โดยสรุปแล้วกองทุน ThaiESG สามารถเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของการลดหย่อนภาษีและการสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน รวมทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้

 

ผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG เพิ่มเติม หรือดูรายชื่อกองทุน สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ https://thailandesg.com 

The post 5 ข้อควรรู้ก่อนซื้อกองทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีปี 2567 appeared first on THE STANDARD.

]]>
GPSC คว้า 4 โครงการโซลาร์ฟาร์ม รวม 193 เมกะวัตต์ รับแผนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังผลิตรวมในปี 2573 https://thestandard.co/gpsc-solar-farm-projects-193mw-renewable-energy-2030/ Mon, 23 Dec 2024 05:57:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1022473 gpsc-solar-farm-projects-193mw-renewable-energy-2030

วรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จั […]

The post GPSC คว้า 4 โครงการโซลาร์ฟาร์ม รวม 193 เมกะวัตต์ รับแผนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังผลิตรวมในปี 2573 appeared first on THE STANDARD.

]]>
gpsc-solar-farm-projects-193mw-renewable-energy-2030

วรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC เปิดเผยว่า GPSC ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประกาศผลการคัดเลือกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-it Tariff (FiT) จำนวน 4 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 193 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเป็นจำนวน 96.52 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตามรายละเอียดดังนี้

 

GPSC ตาราง

 

โดยโครงการดังกล่าวอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) โดยมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2569-2573

 

สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือกจาก กกพ. ประกอบด้วย บริษัท เฮลิออส 1 จำกัด (Helios 1) กำลังการผลิต 48.6 เมกะวัตต์, บริษัท เฮลิออส 2 จำกัด (Helios 2) กำลังการผลิต 61.4 เมกะวัตต์, บริษัท เฮลิออส 4 จำกัด (Helios 4) กำลังการผลิต 74.88 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในสัดส่วน 50% และบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPSC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี คลีนพาวเวอร์ จำกัด (IRPC-CP) โดย GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 51% กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ Helios 1 และ Helios 2 มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในปี 2569 ส่วน Helios 4 และ IRPC-CP มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในปี 2571

 

ทั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จของการเพิ่มโอกาสในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ที่ GPSC ได้เข้าไปมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพการจัดหาและพัฒนาพลังงานของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลที่มีแนวทางการขับเคลื่อนในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Revision 1)

 

สำหรับโครงการที่ GPSC ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน​ 14​ วัน​ นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก​

 

อย่างไรก็ดี จากการได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ GPSC ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังการผลิตในปี 2573 ซึ่ง GPSC เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพลังงานสะอาดที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทมีความพร้อมในการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

The post GPSC คว้า 4 โครงการโซลาร์ฟาร์ม รวม 193 เมกะวัตต์ รับแผนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังผลิตรวมในปี 2573 appeared first on THE STANDARD.

]]>
KTX ชี้เป้า หุ้นคุณค่าในเอเชียและไทยปี 2568 จะกลายเป็นแหล่งพักเงินสำคัญของโลก หลังมีโอกาสที่เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเติบโตสูง https://thestandard.co/ktx-picks-value-stocks-asia-thailand-2025/ Mon, 23 Dec 2024 04:27:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1022416 ktx-picks-value-stocks-asia-thailand-2025

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX เปิ […]

The post KTX ชี้เป้า หุ้นคุณค่าในเอเชียและไทยปี 2568 จะกลายเป็นแหล่งพักเงินสำคัญของโลก หลังมีโอกาสที่เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเติบโตสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ktx-picks-value-stocks-asia-thailand-2025

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX เปิดเผยมุมมองการลงทุนปี 2568 โดยชูหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value) เป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดกระแสเงินทุนต่างชาติ พร้อมย้ำว่าตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะไทยและจีน มีศักยภาพสูงในการรองรับโอกาสการลงทุน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายการคลังและการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง

 

ณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ KTX กล่าวว่า “การบริหารของ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านการขาดดุลการคลัง และลดความต้องการในดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลจากโอกาสกีดกันการค้าที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ในระยะกลาง นักลงทุนจึงมองหาตลาดที่มีสัดส่วนหุ้นคุณค่าสูงทดแทนตลาดที่เติบโตสูงดังเช่นสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ซึ่งตลาดไทยและจีนตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจน”

 

หุ้นเด่นในกลุ่มคุณค่าปี 2568 ที่น่าสนใจ

 

– หุ้นกลุ่มบริการและค้าปลีก: BDMS, CPN และ CPALL ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไป

 

– หุ้นกลุ่มการเงิน: KBANK, SCB, TTB, KKP และ BLA ที่ได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มนี้ตกเป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ

 

ด้วยสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจค้างระดับสูงยาวนาน หุ้นกลุ่มคุณค่าจึงยังมีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่สูงขึ้น (Re-Rating) ได้ดีกว่าหุ้นเติบโตสูงที่มีโอกาสปรับตัวในระดับมูลค่าที่ต่ำลง (De-Rating) โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งตอบสนองต่อกระแสเงินทุนที่เคลื่อนย้ายเข้าสู่ภูมิภาคนี้

 

“ตลาดไทยและจีนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงในระยะยาว ทั้งในแง่ของความน่าสนใจด้านมูลค่าและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” ณัฐวุฒิกล่าว

 

ภาพ: Hiroshi Watanabe / Getty Images 

The post KTX ชี้เป้า หุ้นคุณค่าในเอเชียและไทยปี 2568 จะกลายเป็นแหล่งพักเงินสำคัญของโลก หลังมีโอกาสที่เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเติบโตสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘3 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง’ ในบริษัทจดทะเบียนที่นักลงทุนต้องเข้าใจบทบาท เพื่อยกระดับสู่นักลงทุนที่มีคุณภาพ https://thestandard.co/listed-company-stakeholder-roles-investor-guide/ Mon, 23 Dec 2024 02:00:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1021880 บริษัทจดทะเบียน

ในบริษัทหนึ่งๆ จะมีกลุ่มบุคคลสำคัญ 3 กลุ่มที่มีบทบาทและ […]

The post ‘3 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง’ ในบริษัทจดทะเบียนที่นักลงทุนต้องเข้าใจบทบาท เพื่อยกระดับสู่นักลงทุนที่มีคุณภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บริษัทจดทะเบียน

ในบริษัทหนึ่งๆ จะมีกลุ่มบุคคลสำคัญ 3 กลุ่มที่มีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันแต่มีความเชื่อมโยงกัน นั่นคือ ผู้บริหาร กรรมการบริษัท และผู้ถือหุ้น 

 

โดยผู้บริหาร (Management) จะมีหน้าที่วางแผน กำหนดกลยุทธ์ ปฏิบัติการ และควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

 

ส่วนกรรมการบริษัท (Board of Directors) มีบทบาทเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นในการกำกับดูแลการบริหารงานของบริษัท มีหน้าที่กำหนดนโยบาย กำกับดูแลการดำเนินงาน และตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้บริหารอีกทอดหนึ่ง 

 

และสุดท้าย ผู้ถือหุ้น (Shareholders) มีบทบาทเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของบริษัท เช่น การเลือกตั้งกรรมการหรือการอนุมัติการควบรวมกิจการ โดยจะดำเนินการผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

 

ทั้งนี้ ในกลุ่มผู้ถือหุ้นจะแบ่งออกเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยและผู้ถือหุ้นที่มีส่วนร่วมในการบริหารงาน (Strategic Shareholders) ซึ่งบทบาทก็แตกต่างกัน โดยตามนิยามของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเกินกว่า 5% ของทุนชำระแล้ว (โดยให้นับรวมหุ้นที่ถือโดยผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย) ถือเป็น Strategic Shareholders นั่นหมายความว่า หากถือหุ้นน้อยกว่า 5% จะนับเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย

 

ทั้ง 3 กลุ่มนี้มีความเกี่ยวโยงกันอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือผู้ถือหุ้นเลือกกรรมการบริษัทมาเป็นตัวแทนในการดูแลผลประโยชน์ของตน กรรมการบริษัทกำหนดนโยบายและกำกับดูแลผู้บริหาร และผู้บริหารจะดำเนินงานด้านการประกอบกิจการของบริษัท เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นและผู้เกี่ยวข้องภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี

 

ดังนั้นความสำเร็จของบริษัทหนึ่งๆ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารจัดการ กรรมการต้องมีความเป็นอิสระและมีความรู้ความสามารถ ซึ่งทั้งผู้บริหารและกรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง และซื่อสัตย์สุจริต (Fiduciary Duty) และผู้ถือหุ้นต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญของบริษัท เมื่อทั้ง 3 ฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทก็จะสามารถเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน

 

นอกจากการคานอำนาจระหว่างกันของทั้ง 3 กลุ่มแล้ว ยังมีอีก 2 หน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ในการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.)

 

โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. มีการกำกับดูแลให้ บจ. เปิดเผยข้อมูลสำคัญให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลอย่างเพียงพอ เท่าเทียม และทั่วถึง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน กรณีเปิดเผยไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจนก็จะติดตามให้ บจ. ชี้แจงเพิ่มเติม และหากตรวจพบการกระทำความผิดของผู้บริหารหรือกรรมการ จนทำให้บริษัทเสียหายที่เข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จะพิจารณาความผิดและดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

 

อย่างไรก็ตาม ในอดีตจะพบเห็นกรณีที่ทั้ง 3 กลุ่มนี้ไม่ทำตามบทบาทและหน้าที่ ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ หรือทำผิดกฎหมาย นำมาซึ่งความเสียหายแก่บริษัทและผู้เกี่ยวข้อง 

 

ยกตัวอย่างกรณีการกระทำผิดของทั้ง 3 กลุ่มที่พบเห็นมีดังนี้ 

 

1. Strategic Shareholders 

 

กลุ่มนี้เคยมีกรณีที่อาศัยประโยชน์จากการถือหุ้นจำนวนมาก ตัดสินใจดำเนินการเรื่องหนึ่งๆ ที่มีนัยสำคัญต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทโดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ไม่นำเข้าที่ประชุมบอร์ดหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามกระบวนการที่ถูกต้อง หากผู้ถือหุ้นรายย่อยรู้ไม่เท่าทันถึงสิทธิและหน้าที่ตนเอง ก็อาจมองข้ามอันตรายจากการทำธุรกรรมเช่นนี้ไป และอาจนำไปสู่หายนะด้านการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นๆ ได้ 

 

หรือ Strategic Shareholders ทำรายการขายหุ้นที่ถืออยู่ในคราวเดียว ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในกระดาน กรณีเช่นนี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยก็ควรตระหนักรู้ความเสี่ยงนี้ตั้งแต่เห็นการถือหุ้นในสัดส่วนที่มากอย่างมีนัยสำคัญของ Strategic Shareholders และต้องหมั่นเช็กสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างสม่ำเสมอ 

 

2. กรรมการ/ผู้บริหาร

 

ในอดีตเคยเกิดกรณีที่กรรมการ/ผู้บริหาร ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่น ละเลยการตรวจสอบภายใน ละเลยการตรวจสอบฐานะการเงินของคู่ค้า ละเลยการรายงานของคณะกรรมการบริษัทในวาระสำคัญต่างๆ รวมถึงละเลยการส่งรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และละเลยการเปิดเผยข้อมูล 

 

นอกจากนี้ยังเคยเกิดกรณีที่กรรมการ/ผู้บริหาร บอกกล่าวหรือเผยแพร่ข้อความอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดในสาระสำคัญ ที่อาจทำให้มีผลกระทบต่อราคาหรือการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์นั้นๆ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ

 

รวมถึงการกระทำผิดอื่นๆ เช่น ใช้ข้อมูลภายในบริษัท ซึ่งส่วนมากจะเป็นข้อมูลที่มีผลต่อราคาหุ้น มาหาประโยชน์ส่วนตัว ทั้งการขายหุ้นเพื่อรับกำไรล่วงหน้า หรือขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงการปรับลดลงของราคาหุ้น ซึ่งเป็นการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย

 

อีกทั้งยังเคยเกิดกรณีที่กรรมการ/ผู้บริหารอาศัยตำแหน่งของตน และกล่าวอ้างข้อมูลของบริษัทไปใช้หลอกลวงผู้อื่นให้มาลงทุนกับโครงการ/ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวบริษัท กรณีเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นการจงใจหลอกลวงโดยวางแผนไว้ล่วงหน้า 

 

ทั้งนี้ หากกรรมการ/ผู้บริหารทำความผิดแล้วทำให้บริษัทเสียหาย ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งกรรมการ/ผู้บริหารจะต้องได้รับโทษที่กำหนดไว้ อีกทั้งยังถูกห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารใน บจ. นั้นๆ อีกด้วย 

 

3. ผู้ถือหุ้นรายย่อย

 

แม้ผู้ถือหุ้นรายย่อยจะไม่ค่อยเกิดกรณีกระทำผิด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย และสร้างผลกระทบต่อบริษัท แต่ก็มีสิ่งที่น่าสังเกตคือ ผู้ถือหุ้นรายย่อย (ถือหุ้นต่ำกว่า 5%) ที่เคยเป็นอดีตผู้บริหารหรือกรรมการ บจ. มีการกระทำความผิดหลังจากที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งแล้ว อาทิ หลอกลวงผู้อื่นมาลงทุน โดยกล่าวอ้างข้อมูลของบริษัทด้วยความจงใจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด กรณีเช่นนี้อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งผู้ที่เข้ามาตรวจสอบและพิจารณาลงโทษตามกฎหมายจะเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ฯลฯ

 

บทสรุป 

 

ดังนั้นแล้วจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของทั้ง 3 กลุ่มบุคคลสำคัญ เพื่อให้นักลงทุนสามารถรู้เท่าทันพฤติการณ์และป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที โดยผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลและสืบค้นข่าวสารเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกรรมการ/ผู้บริหาร และ Strategic Shareholders ได้ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

 

อ้างอิง:

The post ‘3 กลุ่มที่เกี่ยวข้อง’ ในบริษัทจดทะเบียนที่นักลงทุนต้องเข้าใจบทบาท เพื่อยกระดับสู่นักลงทุนที่มีคุณภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.สผ. ประกาศแผน 5 ปี ตั้งงบลงทุนและรายจ่ายรวม 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ใช้พัฒนาโครงการหลัก เพิ่มกำลังผลิตปิโตรเลียม เร่งสำรวจโครงการปัจจุบัน https://thestandard.co/pttep-investment-plan-petroleum-production/ Fri, 20 Dec 2024 07:30:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1021868 ปตท.สผ.

ชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงิ […]

The post ปตท.สผ. ประกาศแผน 5 ปี ตั้งงบลงทุนและรายจ่ายรวม 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ใช้พัฒนาโครงการหลัก เพิ่มกำลังผลิตปิโตรเลียม เร่งสำรวจโครงการปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.สผ.

ชนมาศ ศาสนนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (ตลท.) ว่า บริษัทขอแจ้งแผนการดำเนินงานประจำปี 2568 ของ PTTEP ภายใต้แผนกลยุทธ์ Drive-Decarbonize-Diversify เพื่อขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 รวมถึงขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) โดยจัดสรรงบประมาณประจำปี 2568 รวมทั้งสิ้น 7,819 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วย รายจ่ายลงทุน (Capital Expenditure) 5,299 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรายจ่ายดำเนินงาน (Operating Expenditure) 2,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

โดยเป้าหมายการดำเนินงานของบริษัทในปี 2568 ยังคงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในต่างประเทศ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยให้ความสำคัญกับแผนงานหลัก ดังนี้

 

  1. เพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการปัจจุบัน โครงการผลิตหลักที่สำคัญ เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ได้แก่ โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ), โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช), โครงการอาทิตย์, โครงการเอส 1, โครงการคอนแทร็ค 4, โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย, โครงการซอติก้า และโครงการยาดานาในประเทศเมียนมา ที่มีการนำก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เข้ามาใช้ในประเทศไทย

 

อีกทั้งโครงการผลิตหลักในต่างประเทศที่สำคัญ เช่น โครงการในประเทศมาเลเซียและโอมาน โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุน 3,676 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีแผนงานสำหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยครอบคลุม Scope 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง และ Scope 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ (Operational Control) พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายระหว่างทาง (Interim Target) ในการลดปริมาณความเข้มของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission Intensity) จากปีฐาน 2563 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และ 2583 ตามลำดับ โดยตั้งงบประมาณสำหรับกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2568 ทั้งสิ้น 77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

  1. เร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระยะพัฒนา (Development Phase) ได้แก่ โครงการสัมปทานกาชา, โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2, โครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการพัฒนาในประเทศมาเลเซีย เช่น โครงการมาเลเซีย เอสเค405บี, โครงการมาเลเซีย เอสเค417 และโครงการมาเลเซีย เอสเค438 ให้สามารถเริ่มการผลิตได้ตามแผนงาน โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,464 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

  1. เร่งดำเนินการสำรวจในโครงการปัจจุบัน ทั้งโครงการที่อยู่ในระยะสำรวจ โครงการในระยะพัฒนา รวมถึงโครงการที่ดำเนินการผลิตแล้ว เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยจัดสรรรายจ่ายลงทุน 127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

สำหรับการเจาะหลุมสำรวจและประเมินผลของโครงการในประเทศไทย มาเลเซีย และเมียนมา ทั้งงบประมาณ 5 ปี (ปี 2568-2572) ที่ได้จัดสรรไว้เพื่อรองรับการดำเนินงานตามแผนงานข้างต้น มีรายละเอียดดังนี้

 

 

จากแผนงานและการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ปตท.สผ. คาดการณ์ปริมาณขายปิโตรเลียมในปี 2568-2572 จากโครงการปัจจุบัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

 

 

ปตท.สผ. ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเริ่มดำเนินการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จึงสำรองงบประมาณ 5 ปี (ปี 2568-2572) เพิ่มเติมจากงบประมาณข้างต้นอีก 1,747 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่ง, ธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS as a Service), ธุรกิจเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และธุรกิจและเทคโนโลยีผ่านบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำในอนาคต พร้อมกับการดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายต่อไป

The post ปตท.สผ. ประกาศแผน 5 ปี ตั้งงบลงทุนและรายจ่ายรวม 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ ใช้พัฒนาโครงการหลัก เพิ่มกำลังผลิตปิโตรเลียม เร่งสำรวจโครงการปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค – การรับซื้อไฟฟ้ายังเดินต่อ แต่ได้รับผลกระทบ GMT https://thestandard.co/utilities-stocks-gmt-effect/ Fri, 20 Dec 2024 06:09:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1021803 หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค

เกิดอะไรขึ้น: คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกา […]

The post หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค – การรับซื้อไฟฟ้ายังเดินต่อ แต่ได้รับผลกระทบ GMT appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค

เกิดอะไรขึ้น:

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 72 ราย รวมปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขาย 2,145.4 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

 

กลุ่ม 1: พลังงานลม จำนวน 8 ราย รวม 565.40 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2571-2573 และกลุ่ม 2: พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ กำหนด SCOD ตั้งแต่ปี 2569-2573

 

ทั้งนี้ กกพ. สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) คู่สัญญา แจ้งให้ผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าทราบและยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับกลุ่มที่ 1 ภายใน 14 วัน และกลุ่มที่ 2 ภายใน 60 วัน แม้ว่าจะมีคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้ระงับและตรวจสอบข้อเท็จจริงการรับซื้อไฟฟ้า

 

แต่ กกพ. ชี้แจงว่าการตรวจสอบดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการที่ได้รับการคัดเลือก โดยรวมมองในแง่ดีต่อการตัดสินใจของ กกพ. ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการเลื่อนการประมูลทั่วไปรอบที่สอง (1.5 GW) ในช่วงต้นปีหน้าไปมากเหมือนที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

InnovestX Research มีมุมมองเชิงบวกต่อการตัดสินใจของ กกพ. ในการเดินหน้าประมูลพลังงานหมุนเวียนรอบแรก เฟส 2 ซึ่งคาดว่าจะไม่เลื่อนการประมูลทั่วไปของรอบที่สองของเฟสที่ 2 อีก 1.5 GW ไปนานมาก ซึ่งคาดว่าจะเปิดเกณฑ์การประมูลในช่วงต้นปีหน้า

 

สำหรับผู้ที่ได้รับคัดเลือกของรอบแรก เฟส 2 หลักๆ ได้แก่ EGCO และพันธมิตรได้รับคัดเลือกทั้งหมด 448 เมกะวัตต์ (โซลาร์ 11 โครงการ), GUNKUL (319 เมกะวัตต์), RATCH (298 เมกะวัตต์), GPSC และพันธมิตร (192.88 เมกะวัตต์) และ BGRIM (51.1 เมกะวัตต์)

 

โดย GPSC และพันธมิตรได้รับการคัดเลือก 192.88 เมกะวัตต์ ได้แก่โครงการ Helios 1 (48.6 เมกะวัตต์), 2 (61.4 เมกะวัตต์), 4 (8 เมกะวัตต์) และโครงการ IRPC-CP (74.88 เมกะวัตต์) โดย GPSC ถือหุ้นประมาณ 50% ส่งผลให้ GPSC ได้รับการคัดเลือก 90-95 เมกะวัตต์ สำหรับรอบแรกของโครงการพลังงานหมุนเวียน FiT เฟส 2 นี้

 

เบื้องต้นคาดว่าการมีส่วนร่วมของกำไรต่อ GPSC ประมาณ 100-150 ล้านบาทต่อปี และสำหรับ BGRIM อยู่ที่ประมาณ 60-80 ล้านบาทต่อปี หลังจากการดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบในช่วงปี 2569-2573

 

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 คณะรัฐมนตรีอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 2 ฉบับ เกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ได้แก่ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม และ พ.ร.ก.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พระราชกำหนดทั้งสองฉบับนี้สอดคล้องกับกรอบ Pillar 2 ของ OECD ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทที่เข้าตามมาตรการต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax: GMT) ในอัตรา 15%

 

หลังจากการตรวจสอบข้อมูลกับบริษัท GULF กำลังประเมินผลกระทบอยู่ แต่ในกรณีเลวร้ายที่สุด อัตราภาษีที่มีผลอาจเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากเดิม 3-8% ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรลดลง 9-15% ในปี 2568-2569 BGRIM คาดว่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยมีอัตราภาษีที่มีผลอยู่ที่ 8% ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรในปี 2568-2569 ลดลง 7-8%

 

GPSC คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีขั้นต่ำทั่วโลกนี้ เนื่องจากบริษัทอยู่ภายใต้กลุ่ม PTT (ETR>15%) และไม่มีโครงการใดเข้าข่ายต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 15% ในระยะกลางถึงระยะยาว คาดว่าจะมีมาตรการบางอย่างเพื่อบรรเทาผลกระทบจาก BOI

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (SETENERG) ปรับลง 2.53% ขณะที่ SET Index ปรับลง 3.71% สู่ 1,398.95 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

InnovestX Research ปรับลดประมาณการกำไรหลักสำหรับ GULF ลง 15% และ 9% ในปี 2568-2569 และ BGRIM ลดลง 8% และ 7% ในปี 2568-2569 ตามลำดับ เพื่อสะท้อนอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็น 15%

 

โดยคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ GULF ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2568 ใหม่ที่ 67.50 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 70.0 บาท) เนื่องจากยังคงคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 14% ในปี 2568 แม้ว่าจะรวมผลกระทบจาก GMT ไปแล้ว จากการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อย่างต่อเนื่องจากโครงการ GPD และ HKP ใหม่ และโอกาสที่เป็นบวกจากโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบที่ 2 ของเฟส 2 ที่เหลือ (1.5 GW) และ PDP2024 (35 GW) และโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ (2.6 GW) ใน PDP2024

 

ขณะที่คงคำแนะนำ Outperform สำหรับ GPSC เนื่องจากไม่มีผลกระทบจากการดำเนินการตาม GMT และได้รับประโยชน์จากกำลังการผลิตใหม่ของโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบแรกของเฟส 2 รวมทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงในวัฏจักรจะเป็นบวก เนื่องจาก 35% ของหนี้สินมีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำจะช่วยให้การลงทุนเติบโตในระยะกลางถึงระยะยาว

 

สำหรับ BGRIM คงคำแนะนำ ‘ถือ’ ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2568 ใหม่ที่ 22.20 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 24.5 บาท) เนื่องจากผลกระทบจากการดำเนินการตาม GMT ในปี 2568-2569 และไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งใหญ่ในระยะสั้น

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือกฎระเบียบและการแทรกแซงจากรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนก๊าซสูงกว่าคาด และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การบริหารจัดการพลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียง

 

Cafe Invest แหล่งรวมข้อมูลการลงทุนและบทวิเคราะห์คุณภาพ โดย InnovestX 🚀 คลิกเลย 👉หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค – การรับซื้อไฟฟ้ายังเดินต่อ แต่ได้รับผลกระทบ GMT

The post หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค – การรับซื้อไฟฟ้ายังเดินต่อ แต่ได้รับผลกระทบ GMT appeared first on THE STANDARD.

]]>
องค์กรตลาดทุนรวมตัวออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนมุ่งยกระดับ CG บจ.ไทย พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามหน้าที่ https://thestandard.co/thai-capital-market-corporate-governance-statement/ Fri, 20 Dec 2024 04:15:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1021758 ตลาดทุน

องค์กรภาค ตลาดทุน โดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO), สมาคม […]

The post องค์กรตลาดทุนรวมตัวออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนมุ่งยกระดับ CG บจ.ไทย พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามหน้าที่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดทุน

องค์กรภาค ตลาดทุน โดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO), สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแสดงเจตนารมณ์มุ่งยกระดับธรรมาภิบาลบริษัทจดทะเบียนไทย

 

องค์กรภาคตลาดทุนมีเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย และรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานธรรมาภิบาลที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนไทย อันจะนำไปสู่การพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเนื้อหาของแถลงการณ์ร่วมในวันนี้ (20 ธันวาคม) ดังนี้

 

  1. จะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามความเหมาะสมและตามอำนาจหน้าที่
  2. จะร่วมกันยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงการทำรายการที่อาจมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  3. มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงจะดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน

 

กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และอุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า สภาธุรกิจตลาดทุนไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาธรรมาภิบาลในบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุน นำไปสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันในระดับโลกของตลาดทุนไทย

 

กุลเวช เจนวัฒนวิทย์ กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai IOD) กล่าวว่า ความยั่งยืนขององค์กรเริ่มที่ความเชื่อถือและไว้วางใจจากประชาชน (Public Trust) Thai IOD หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคณะกรรมการบริษัททุกท่านจะทำหน้าที่เป็นสติให้กับองค์กร ทำงานร่วมกับผู้บริหารในการปลูกจิตสำนึกการมีธรรมาภิบาลที่ดี ถ่ายทอดสู่พนักงานทุกระดับ เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ และมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย Thai IOD คาดหวังให้ประธานคณะกรรมการเป็นผู้นำขององค์กรในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานของคณะกรรมการ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของกรรมการทุกคนอย่างรอบคอบ เราอยากเห็นกรรมการอิสระทำหน้าที่สะท้อนความคาดหวังและรักษาผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ เพื่อให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายตามความคาดหวังที่แท้จริง

 

ขณะที่ ไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญอย่างมากกับการมองเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เพราะผู้ลงทุนแสวงหาการลงทุนที่ตอบโจทย์ทั้งการเงินและการทำให้สังคมดีขึ้น ESG ส่งผลต่อทั้งความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจ ความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของตลาดทุน หากบริษัทจดทะเบียนมองเห็นคุณค่าของกำไรระยะสั้นโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวก็จะถูกจับตาหรือถูกต่อต้าน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและผลการดำเนินงานในที่สุด

 

ชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และประธานคณะอนุกรรมการ ESG Policy & Collective Action กล่าวว่า ในฐานะผู้ลงทุนสถาบันที่ยึดมั่นในหลักความซื่อสัตย์ สุจริต ระมัดระวัง ปกป้องผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นสำคัญ ย้ำถึงความกังวลของผู้บริหารและผู้จัดการกองทุนของ บลจ. ต่อประเด็นความเสี่ยงด้าน ESG โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ บลจ. ให้ความสำคัญสูงสุดควบคู่ไปกับผลประกอบการที่ดี คือด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีกรณีเกิดขึ้นหลายครั้งในปีนี้ ซึ่ง บลจ. ทุกแห่งได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เพื่อยกระดับการดำเนินการด้าน ESG Policy & Collective Action ให้กระชับและมีประสิทธิภาพ เพื่อตรวจสอบ ติดตามข้อเท็จจริง ตั้งคำถาม ประเมินผลกระทบ และกำหนดแนวทางการลงทุน ในหุ้นที่มีประเด็นปัญหาดังกล่าวในทุกๆ กรณี และคาดหวังว่าจะเป็นพลังที่เข้มแข็งส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยอย่างมีคุณภาพ

 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสื่อสารที่รวดเร็วและทั่วถึงถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ลงทุน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุนในเวลาที่ทันเหตุการณ์ ซึ่งเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลเป็นความจำเป็นพื้นฐานที่บริษัทจดทะเบียนต้องดำเนินการ แต่หากมีข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญต่อบริษัทอาจได้รับผลกระทบ ก็ควรสื่อสารให้ผู้ลงทุนและสาธารณชนได้รับรู้ด้วย ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ลงทุนอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง ทันต่อการนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจลงทุน

The post องค์กรตลาดทุนรวมตัวออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนมุ่งยกระดับ CG บจ.ไทย พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการตามหน้าที่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นทั่วโลกถูกเทขาย หลัง Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดในปีหน้า ส่วนหุ้นไทยร่วง 21 จุด ต่ำสุดรอบ 3 เดือน https://thestandard.co/global-stocks-selloff-thai-market-drops-21-points/ Thu, 19 Dec 2024 10:52:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1021585 global-stocks-selloff-thai-market-drops-21-points

ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยใน […]

The post หุ้นทั่วโลกถูกเทขาย หลัง Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดในปีหน้า ส่วนหุ้นไทยร่วง 21 จุด ต่ำสุดรอบ 3 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
global-stocks-selloff-thai-market-drops-21-points

ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยในปี 2025 น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกเทขาย ไล่ตั้งแต่หุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลง 3-4% เมื่อคืนนี้ ส่วนตลาดหุ้นในเอเชียปรับตัวลงเกือบทุกตลาด รวมทั้งตลาดหุ้นไทยที่ลดลง 1%

 

จากการประชุมของ​ Fed เมื่อคืนนี้ แม้จะมีมติลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.5% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่คณะกรรมการ FOMC ไม่ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ ขณะที่คาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในปี 2025 ถูกปรับขึ้นมาเป็น 3.75-4% สะท้อนว่าการลดดอกเบี้ยในปีหน้าอาจเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้ง จากเดิมที่คาดกันไว้ 4 ครั้ง

 

เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ให้สัมภาษณ์ว่า Fed จะเข้าสู่แนวทางระมัดระวังและรอบคอบต่อการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงถัดไป

 

จากท่าทีของ Fed ที่ออกมาล่าสุด ทำให้นักลงทุนเทขายตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนีสำคัญ ได้แก่ Dow Jones, S&P 500, Nasdaq และ Russell 2000 ปรับตัวลดลง 2.5-4.4% เมื่อคืนนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปซึ่งเปิดทำการในช่วงบ่ายตามเวลาประเทศไทยปรับตัวลดลงราว 1%

 

ด้านตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียต่างปรับตัวลดลงเกือบทั้งหมดในวันนี้ อย่างดัชนี KOSPI เกาหลีใต้ ลดลง 1.95%, ดัชนี IDX Composite อินโดนีเซีย ลดลง 1.8%, ดัชนี BSE Sensex อินเดีย, ดัชนี PSEi Composite และดัชนี VN30 เวียดนาม ลดลงประมาณ 1.1-1.2% ส่วนดัชนี SET ของไทยลดลง 21 จุด หรือ 1.5% มาปิดที่ 1,377.53 จุด ส่งผลให้ดัชนี SET ติดลบ 2.7% จากปีก่อน

 

“ตลาดการเงินอยู่ในสถานการณ์ที่วิ่งขึ้นอย่างไร้การควบคุม ก่อนที่นักลงทุนจะต้องเผชิญความจริงว่าดอกเบี้ยจะไม่ต่ำอย่างที่เคยคาดหวังไว้” เจเรมี ซีเกล ศาสตราจารย์พิเศษด้านการเงินจาก University of Pennsylvania’s Wharton School กล่าวกับ CNBC

 

“ตลาดมีความคาดหวังที่เกินจริง ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจที่ตลาดจะเกิดการขายออกในครั้งนี้” ซีเกลกล่าว พร้อมเสริมว่า Fed อาจลดจำนวนครั้งของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเหลือเพียง 1 หรือ 2 ครั้งเท่านั้น

 

ซีเกลกล่าวต่อว่า คณะกรรมการ FOMC บางคนอาจคำนึงถึงผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากการเก็บภาษีการค้าเพิ่มเติมตามนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ 

 

สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับมุมมองของ Fed ล่าสุดเกี่ยวกับดอกเบี้ยปีหน้าที่เปลี่ยนไปเกือบ 0.3% ภายใน 3 เดือน น่าจะรวมผลกระทบเรื่องนโยบายของทรัมป์เข้าไปแล้ว สิ่งที่ต้องติดตามคือนโยบายหลักๆ เช่น การลดจำนวนผู้อพยพจากปีละ 3 ล้านคน ลงมาเหลือ 7-8 แสนคน และการขึ้นภาษีการค้ากับจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกจะทำได้แค่ไหน

 

ในมุมมองของ บล.กสิกรไทย เชื่อว่าการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ​ จะยังเกิดขึ้น 3 ครั้งในปีหน้า ขณะที่การปรับฐานของหุ้นสหรัฐฯ จะเป็นโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และสินค้าอุปโภคบริโภค

 

“การลงของหุ้นสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Valuation ที่อิ่มตัว ขณะที่การถือครองเงินสดของกองทุนต่างๆ เหลือแค่ 3% เป็นสภาวะ Bullish มาก จากสถิติแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ผลตอบแทนของหุ้นสหรัฐฯ มักจะติดลบ แต่ขาขึ้นยังไม่ได้จบลง”

 

ส่วนหุ้นไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่คือ แรงขาย LTF รอบปี 2019 ที่จะครบกำหนด ทำให้อาจมีแรงขายออกมาในตลาดได้มากถึง 1.8 หมื่นล้านบาท และในสถานการณ์เช่นนี้กองทุนมักจะสำรองเงินสดไปรองรับการไถ่ถอน ทำให้แรงซื้อจะหดหายไป เพราะฉะนั้นการจะเข้าซื้อหุ้นไทยอาจต้องรอให้ผ่านช่วงต้นปีหน้า

ภาพ: iiinuthiii / Shutterstock

The post หุ้นทั่วโลกถูกเทขาย หลัง Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดในปีหน้า ส่วนหุ้นไทยร่วง 21 จุด ต่ำสุดรอบ 3 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. สั่ง CPAXT ชี้แจงข้อมูลร่วมทุนโครงการ The Happitat ภายใน 25 ธ.ค. นี้ เหตุบริษัทฯ อาจยังเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจน https://thestandard.co/cpaxt-clarify-happitat-investment/ Wed, 18 Dec 2024 13:45:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1021144 cpaxt-clarify-happitat-investment

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล […]

The post ก.ล.ต. สั่ง CPAXT ชี้แจงข้อมูลร่วมทุนโครงการ The Happitat ภายใน 25 ธ.ค. นี้ เหตุบริษัทฯ อาจยังเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจน appeared first on THE STANDARD.

]]>
cpaxt-clarify-happitat-investment

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุในแถลงการณ์ สั่งให้บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในโครงการ The Happitat ผ่านการร่วมลงทุนในบริษัทย่อย บริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด หรือ AGP พร้อมให้เปิดเผยข้อมูลผ่านระบบ SETLink ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2567

 

ตามที่ CPAXT เปิดเผยข้อมูลการเข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Happitat ผ่านการร่วมลงทุนในบริษัทย่อย AGP ในสัดส่วนร้อยละ 95 คิดเป็นมูลค่า 7,970 ล้านบาท ซึ่ง AGP จะเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท แฮปปี้แทท แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์ จำกัด หรือ HATF ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use Development) ภายใต้โครงการชื่อ The Happitat แล้วนั้น

 

อย่างไรก็ดี เนื่องจากข้อมูลที่ CPAXT ที่เปิดเผยอาจยังไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งจะอาจมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหลักทรัพย์หรือต่อการตัดสินใจลงทุนของผู้ลงทุน หรือต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ 

 

ก.ล.ต. จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 58 (1) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ให้ CPAXT ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบในการพิจารณาอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ The Happitat มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์, ความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการ, ระยะเวลาที่คาดว่าจะมีรายได้จากโครงการ, เงินลงทุนทั้งหมดที่คาดว่าจะใช้ในโครงการ และรายการดังกล่าวเป็นการให้ความช่วยเหลือบริษัทในกลุ่มหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ พร้อมทั้งเปิดเผยคำชี้แจงดังกล่าวผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ระบบ SETLink) ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2567 

 

ด้าน เอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า “ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่เพียงพอประกอบการตัดสินใจลงทุน รวมถึงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการและผู้บริหารบริษัทที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง และซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงปฏิบัติตามธรรมาภิบาลที่ดี พร้อมทั้งคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ”

 

The post ก.ล.ต. สั่ง CPAXT ชี้แจงข้อมูลร่วมทุนโครงการ The Happitat ภายใน 25 ธ.ค. นี้ เหตุบริษัทฯ อาจยังเปิดเผยข้อมูลไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจน appeared first on THE STANDARD.

]]>