Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 25 Nov 2025 13:57:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เมื่อใครก็แจ้งเกิดได้บน TikTok ถอดมุมคิด 3 ครีเอเตอร์ ทำยังไงให้ไม่จมหายไปกับกระแส https://thestandard.co/tiktok-insights-from-3-creators/ Tue, 25 Nov 2025 13:57:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1147553 เมื่อใครก็แจ้งเกิดได้บน TikTok ถอดมุมคิด 3 ครีเอเตอร์ ทำยังไงให้ไม่จมหายไปกับกระแส

ใครจะเชื่อว่าจากงานอดิเรกยามว่าง จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคั […]

The post เมื่อใครก็แจ้งเกิดได้บน TikTok ถอดมุมคิด 3 ครีเอเตอร์ ทำยังไงให้ไม่จมหายไปกับกระแส appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อใครก็แจ้งเกิดได้บน TikTok ถอดมุมคิด 3 ครีเอเตอร์ ทำยังไงให้ไม่จมหายไปกับกระแส

ใครจะเชื่อว่าจากงานอดิเรกยามว่าง จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล แม้หลายธุรกิจอาจต้องประคองตัว แต่ ‘Influencer Marketing’ กลับเป็นตลาดที่เติบโตสวนกระแส ท่ามกลางการแข่งขันในสนามนี้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ

 

เมื่อโซเชียลมีเดียทลายกำแพงกั้น เปิดโอกาสให้ทุกคนก้าวขึ้นมาเป็น ‘ครีเอเตอร์’ หรือเจ้าของพื้นที่หน้าจอได้เพียงแค่ปลายนิ้ว ไม่ใช่แค่ดารา แต่คือใครก็ได้ที่มีสมาร์ตโฟนและเรื่องเล่าที่น่าสนใจ ก็พร้อมจะกระโดดเข้ามาแย่งชิงเวลาจากผู้ชม

 

ข้อมูลจาก เทลสกอร์ แพลตฟอร์มด้าน Influencer Marketing ประเมินว่าในปี 2025 อุตสาหกรรมนี้จะเติบโตต่อเนื่องกว่า 15% และยังมีแนวโน้มขยายตัวไม่หยุด สอดคล้องกับข้อมูลจาก MI Group ที่ชี้ให้เห็นว่า แม้จำนวนอินฟลูเอนเซอร์จะดูเหมือนถึงจุดอิ่มตัว แต่แบรนด์ต่างๆ ก็ยังคงทุ่มงบการตลาดมาที่นี่ เพราะความเชื่อมั่นในพลังของการบอกต่อ

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

สิ่งที่น่าจับตาต่อคือตัวเลขผู้ใช้งาน TikTok ในไทยที่ปัจจุบันพุ่งสูงกว่า 50 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งหมายความว่าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศกำลังกระจุกตัวอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ และที่น่าสนใจกว่าปริมาณคือพฤติกรรมการใช้งานที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นเสพความบันเทิงเป็นหลัก เริ่มขยายวงกว้างไปสู่การเรียนรู้ การหาข้อมูล จนถึงกลายเป็นช่องทางทำมาหากินที่ไม่อาจมองข้าม

 

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านความสนใจของผู้คนที่แตกแขนงไปอย่างหลากหลาย เห็นได้จากแฮชแท็กอย่าง #TikTokพากิน ที่มียอดคอนเทนต์สะสมกว่า 2.6 ล้านโพสต์ หรือกลุ่มคนรักกีฬาที่รวมตัวกันผ่าน #SportsonTikTok ซึ่งเปลี่ยนภาพจำของกีฬาให้กลายเป็นเรื่องที่ย่อยง่ายและเข้าถึงคนในวงกว้าง

 

คำถามสำคัญคือ ในสมรภูมิที่มีผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน และใครๆ ก็สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้สร้างคอนเทนต์ได้ คนทำคอนเทนต์จะยืนระยะอย่างไรให้แตกต่างและยั่งยืน?

 

กรณีศึกษาที่น่าสนใจท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด คือโมเดลของผู้ที่เพิ่งคว้ารางวัลใหญ่จากเวที TikTok Awards Thailand 2025 ซึ่งเมื่อเจาะลึกลงไปในวิธีคิดของทั้งตัวแทน 3 ครีเอเตอร์ จะช่วยฉายภาพให้เห็นว่า ภายใต้คลิปสั้นๆ ที่สร้างรอยยิ้ม แท้จริงแล้วมีกลยุทธ์ทางธุรกิจและการเอาตัวรอดซ่อนอยู่อย่างไร

 

แข่งกับอัลกอริทึมไม่พอ ต้องแข่งกับคนกันเองด้วย ‘ความเร็ว’

 

รางวัลใหญ่ที่สุดของงานอย่าง Creator of the Year ตกเป็นของ โบว์ กัญญารัตน์ ปิยะนันทสมดี (bowkanyaratp) เจ้าของช่องที่เปลี่ยนวิกฤตโควิดให้เป็นโอกาส จนค้นพบสูตรสำเร็จว่าคนดูไม่ได้ต้องการแค่คอนเทนต์กิน แต่ต้องการความเป็น ‘คอมมูนิตี้ครอบครัว’ ที่มีความ ‘เรียล’ (Real) จับต้องได้

 

ความน่าสนใจอยู่ที่กลยุทธ์หลังบ้าน โบว์เปิดเผยอินไซต์สำคัญว่า ‘ความเร็ว’ คือปีศาจที่ครีเอเตอร์ต้องวิ่งแข่งด้วยเสมอ ไม่ใช่แค่แข่งกับช่องอื่น แต่ต้องแข่งกันเองภายในครอบครัวด้วย หากมีคอนเทนต์กระแสเกิดขึ้น ใครถ่ายเสร็จและตัดต่อลงช่องได้ก่อน คนนั้นคือผู้ชนะที่กวาดยอดวิวไปครอง

 

เหตุผลคือพฤติกรรมคนดู หากเห็นคอนเทนต์ซ้ำจากช่องพี่น้องหรือช่องอื่นผ่านตามาแล้ว โอกาสที่จะหยุดดูซ้ำจะลดน้อยลงทันที การชิงพื้นที่การมองเห็นเป็นเจ้าแรกจึงเป็นสำคัญ ไม่แพ้ความท้าทายของการทำคลิปสั้นคือต้อง “มัดใจคนดูตั้งแต่วินาทีแรก”

 

ดังนั้นอีกหนึ่งตัวเลขที่โบว์ให้ความสำคัญมากคือ ‘Retention Rate’ หรืออัตราการดูจนจบ โดยใช้หลักการ “Data โกหกไม่ได้” เข้ามาจับ หากคลิปถูกนำส่งแล้วคนดูสนใจเกิน 50% หรือ 80% ระบบจะดันคลิปนั้นต่อว่าเป็นคลิปคุณภาพ แต่ถ้าตัวเลขต่ำกว่าเกณฑ์ การมองเห็นจะถูกลดทอนทันที

 

เมื่อใครก็แจ้งเกิดได้บน TikTok ถอดมุมคิด 3 ครีเอเตอร์ ทำยังไงให้ไม่จมหายไปกับกระแส 1

 

โบว์จึงใช้วิธีวิเคราะห์กราฟคนดูแบบวินาทีต่อวินาที หากช่วงไหนคนกดออก หรือกราฟดิ่งลง ช่วงเวลานั้นจะถูกตัดทิ้ง หรือปรับเปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องใหม่ในคลิปถัดไป และเมื่อไหร่ที่เจอปัญหา Burnout วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือการนอนพัก แล้วตื่นมาวิเคราะห์ใหม่ หากคลิปไหนยอดไม่ดีให้ทิ้งไป แล้วเริ่มใหม่ทันทีโดยไม่เสียเวลานั่งเสียดาย หรือถ้ายังอยากเล่าเรื่องเดิม ก็แค่เปลี่ยนวิธีการนำเสนอใหม่ เพื่อให้คนดูรู้สึกสนุกขึ้นกว่าเดิม

 

เปลี่ยนเรื่องยากให้ง่าย และมองคู่แข่งเป็นเพื่อนร่วมวงการ

 

ขยับมาที่รางวัล Food Creator of the Year อย่าง เคน เจ้าของช่อง paratt_ ผู้จบสายตรงจากสถาบันอาหาร และเคยผ่านงานในร้านระดับมิชลิน แต่กลับเลือกทิ้งกรอบทฤษฎีที่ซับซ้อน แล้วหันมาทำคอนเทนต์ภายใต้แนวคิด Simplify หรือการทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย

 

เคนมองว่าการทำอาหารคือปัจจัย 4 ที่ทุกคนควรสนุกกับมันได้ จึงเลือกนำเสนอเมนูสไตล์ Asian Twist ที่ผสมผสานวัตถุดิบเอเชียเข้ากับเทคนิคตะวันตก แต่ย่อยวิธีทำให้ออกมาดูง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อบอกผู้ชมว่า “การเข้าครัวไม่ใช่เรื่องไกลตัว”

 

สิ่งที่น่าสนใจคือทัศนคติต่อ ‘คู่แข่ง’ เคนไม่ได้มองว่าการที่มีครีเอเตอร์หน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายเป็นภัยคุกคาม แต่กลับมองว่าเป็นเรื่องน่ายินดี ยิ่งคนเข้ามาในวงการเยอะ อุตสาหกรรมก็จะยิ่งขยายตัว เม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น ผู้ว่าจ้างมีสเกลงานที่ใหญ่ขึ้น และรูปแบบธุรกิจก็จะหลากหลายขึ้น สุดท้ายผลพลอยได้จะตกอยู่กับทุกคนในวงการ

 

บทเรียนสำคัญที่เคนฝากไว้คือ “อย่าลืมวันแรกว่าลงคลิปเพราะอะไร” พลังงานและความสุขในวันแรกที่ทำคลิปคือสิ่งที่ดีที่สุด แม้ในวันที่ต้องเจอกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากอย่างการเปลี่ยนอัลกอริทึม หรือยอดวิวที่ลดหายไป การยึดมั่นในตัวตนและไม่หยุดทำ คือหนทางเดียวที่จะทำให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้

 

เมื่อใครก็แจ้งเกิดได้บน TikTok ถอดมุมคิด 3 ครีเอเตอร์ ทำยังไงให้ไม่จมหายไปกับกระแส 2

 

พลิกเรื่องหัวร้อน ให้เป็นคอนเทนต์ ‘Blue Ocean’

 

จากความพ่ายแพ้ของทีมลิเวอร์พูลต่อลีดส์ 2-0 เมื่อ 4 ปีก่อน กลายเป็นจุดกำเนิดของ huafulldooball (หัวฟูดูบอล) เจ้าของรางวัล Sports Creator of the Year คลิปบ่นระบายอารมณ์ที่มีคนดู 40,000 วิว ทำให้รู้ว่ามาถูกทาง แต่ลำพังแค่การวิเคราะห์บอลแบบจริงจัง หรือการบ่นทีมรัก อาจไม่ใช่คำตอบในระยะยาว

 

หัวฟูดูบอลจึงตัดสินไม่อยู่ในกรอบด้วยการหนีจากทะเลแดงที่คนทำข่าวกีฬาเยอะแล้ว ไปสู่การเล่าเรื่องแปลก เรื่องราวในประวัติศาสตร์ หรือมุมมองตลกๆ อย่าง ‘ปลาเตะบอล’ เพื่อสร้างความแตกต่างและขยายฐานคนดูให้กว้างขึ้น

 

กลยุทธ์นี้ทำให้ช่องกลายเป็นพื้นที่ผ่อนคลายสำหรับคอบอล เพราะฟุตบอลเป็นลูกกลมๆ ที่มองได้หลายมุม ไม่จำเป็นต้องเครียดเสมอไป เป้าหมายของช่องจึงไม่ใช่แค่ยอดวิว แต่คือการมอบ ‘กำไร’ ให้กับคนดู หากใครสักคนเครียดจากการเรียนหรือการทำงาน แล้วมาดูคลิป 2 นาทีจนยิ้มได้ นั่นถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

 

สำหรับใครที่อยากเริ่มต้น หัวฟูดูบอลแนะนำให้ลองทำไปก่อนสัก 10 คลิป แล้วนำคลิปที่ยอดวิวดีที่สุดมา ‘แกะ’ ดูอย่างละเอียดว่าพูดคำไหน เปิดคลิปด้วยคำถามอะไร หรือมีจุดไหนที่ดึงคนดูได้ แล้วทำซ้ำในรูปแบบที่เป็นตัวเอง และเมื่อไหร่ที่หมดไฟ วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือการกลับไปดูคลิปเก่าที่เคยทำได้ดี เพื่อเตือนตัวเองว่าเราเดินทางมาไกลแค่ไหน และมีคนรอดูผลงานอยู่อีกมาก

 

บทเรียนจากทั้ง 3 กรณีศึกษา สะท้อนให้เห็นว่าในสนามที่มีผู้เล่นกว่า 16 ล้านคน ความสำเร็จอาจไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่คือส่วนผสมของ Data, ความสม่ำเสมอ และการสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ซึ่งหากรักษาคุณภาพและเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย พื้นที่สำหรับครีเอเตอร์ตัวจริงก็ยังคงเปิดกว้างเสมอ

The post เมื่อใครก็แจ้งเกิดได้บน TikTok ถอดมุมคิด 3 ครีเอเตอร์ ทำยังไงให้ไม่จมหายไปกับกระแส appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% https://thestandard.co/us-unemployment-thai-growth-cut/ Tue, 25 Nov 2025 12:50:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1147531 แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4%

The post แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4%

The post แรงงานสหรัฐสะดุด ว่างงานพุ่งสูงสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์มอง Fed ยังมีโอกาสลดดอกเบี้ย ธ.ค. ขณะเศรษฐกิจไทยปี 2025–26 ถูกหั่นคาดการณ์โตเหลือ 1.8% และ 1.4% appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนัก หุ้นจีน ต่อ หุ้นโลก ทะลุ 10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าหุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี https://thestandard.co/foreign-investors-china-stocks-4yr/ Tue, 25 Nov 2025 10:35:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1147461 อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี

หุ้นจีน กลับมาสู่เรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอย่างชัดเจนอีก […]

The post อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนัก หุ้นจีน ต่อ หุ้นโลก ทะลุ 10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าหุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี

หุ้นจีน กลับมาสู่เรดาร์ของนักลงทุนทั่วโลกอย่างชัดเจนอีกครั้งในปีนี้ ผลตอบแทนของหนึ่งในดัชนีหลักของหุ้นจีนอย่าง SZSE Component อยู่ที่ราว 22% ขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงให้ผลตอบแทนเกือบ 30% ส่วนดัชนี CSI 300 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ราว 17%

 

มากไปกว่านั้นหากพิจารณาจากยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นจีน อิงจากข้อมูลของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงตุลาคมปีนี้ มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนรวม 5.06 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี และเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเพียง 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 3.7 แสนล้านบาท ในปี 2024

 

รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกกระจุกอยู่ในหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แต่หลังจากที่ราคาหุ้นเหล่านี้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเริ่มกระจายความเสี่ยงไปยังทางเลือกอื่น

 

“ปีนี้ตลาดหุ้นโลกยังคงทำนิวไฮ แต่ผู้นำไม่ใช่หุ้นสหรัฐฯ อีกแล้ว ถ้ามองไปข้างหน้าธีม Rest of the world ค่อนข้างน่าสนใจ รวมถึงจีนที่รัฐบาลกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศที่ดีขึ้นมาก” รัฐศรัณย์กล่าว

 

รัฐศรัณย์กล่าวต่อว่า หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจคือ เศรษฐกิจจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น นับแต่ปี 2001 ที่ได้เข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ทำให้สัดส่วน GDP จีนต่อ GDP โลก พุ่งขึ้นจากเพียง 4% สู่ระดับ 17% และในช่วงเวลาเดียวกัน GDP สหรัฐฯ มีสัดส่วนลดลงจากกว่า 30% มาสู่ระดับ 26%

 

อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี 1

ที่มา: บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

 

ในมุมกลับกัน น้ำหนักของหุ้นจีนต่อหุ้นโลกยังคงต่ำ อิงจากดัชนี MSCI ACWI ซึ่งหุ้นจีนมีน้ำหนักเพียง 3.19% ส่วนหุ้นสหรัฐฯ มีน้ำหนักถึง 65% สะท้อนว่านักลงทุนสถาบันยังถือครองหุ้นจีนต่ำมาก

 

“ในอนาคตหุ้นน้ำหนักหุ้นจีนมีโอกาสจะไปได้ถึง double digit (10% ขึ้นไป)”​ รัฐศรัณย์กล่าว

 

ChiNext 50 ทางเลือกลงทุนในยุคเศรษฐกิจใหม่

 

อย่างไรก็ดี การเติบโตของหุ้นจีนอาจแตกต่างไปจากในอดีต ตามการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 5 ปี ของจีน โดยหุ้นที่ได้รับการสนับสนุนจากแผนในฉบับที่ 14 สามารถสร้างผลตอบแทนได้ราว 41% ในขณะที่ดัชนี CSI 300 สร้างผลตอบแทนได้ราว -3% ในช่วงเวลาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนุนมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

 

ทั้งนี้ จีนมีประวัติการบรรลุเป้าหมายตามแผน 5 ปีสูงถึง 90% ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐมีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์จริง โดยจากการประเมินของ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ พบว่า บริษัทในดัชนี ChiNext50 ส่วนใหญ่ราว 90% อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ

 

อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนักหุ้นจีนต่อหุ้นโลกทะลุ10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้า หุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี 2

ที่มา: บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

 

ล่าสุด บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ได้ออกตราสาร DR ชื่อ CHNXT5023 คือ ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt: DR) ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Invesco Great Wall Chinext 50 ETF (159682.SZ) ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น บริหารโดย Invesco ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ระดับโลก โดย Invesco มีกองทุน ETF ภายใต้การจัดการมูลค่ากว่า 9.5 แสนล้านดอลลาร์

 

โดยหุ้น 5 ตัวแรกที่มีน้ำหนักมากสุดของ ETF ดังกล่าว ได้แก่ CATL (24.34%), EASTMONEY (10.87%), INOVANCE (4.80%), ZHONGJI INNOLIGHT (4.73%) และ MINDRAY (4.63%)

 

มูลค่าหุ้นจีนยังต่ำ?

 

โจนาธาน ไพน์ส หัวหน้าฝ่ายหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นของ Federated Hermes กล่าวว่า “จีนยังคงซื้อขายในราคาที่มีส่วนลด (Discount) สูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของโลก ทั้งๆ ที่พวกเขามีบริษัทที่ดีที่สุดในกลุ่มเทคโนโลยี”

 

แม้ข้อมูลการไหลเข้าของเงินทุนจะยังต่ำกว่าสถิติสูงสุดในปี 2564 ที่ 7.36 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ทิศทางที่เป็นบวกนี้ก็สวนทางกับกระแสการถอนการลงทุน (Divestment) ของกองทุนบำเหน็จบำนาญรัฐในสหรัฐฯ หลายแห่ง เช่น เท็กซัส และอินดีแอนา ที่ลดพอร์ตจีนลงจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

 

อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนหลักของตลาดหุ้นจีนในปีนี้ยังคงมาจาก นักลงทุนรายย่อยในประเทศ โดยมีเม็ดเงินจากจีนแผ่นดินใหญ่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นฮ่องกงถึง 1.68 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ และคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของมูลค่าการซื้อขาย

 

ภาพ: Zhang Peng/LightRocket via Getty Images

The post อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดน้ำหนัก หุ้นจีน ต่อ หุ้นโลก ทะลุ 10% ล่าสุดนักลงทุนต่างชาติกลับเข้าหุ้นจีนมากสุดรอบ 4 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการเหรียญ Worldcoin (WLD) แจ้งเตือนลูกค้า หลัง สคส. มีคำสั่งระงับการสแกนม่านตา https://thestandard.co/sec-mandates-worldcoin-operators-alert/ Mon, 24 Nov 2025 13:20:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1146971 ก.ล.ต. กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการเหรียญ Worldcoin (WLD) แจ้งเตือนลูกค้า หลัง สคส. มีคำสั่งระงับการสแกนม่านตา

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล […]

The post ก.ล.ต. กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการเหรียญ Worldcoin (WLD) แจ้งเตือนลูกค้า หลัง สคส. มีคำสั่งระงับการสแกนม่านตา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการเหรียญ Worldcoin (WLD) แจ้งเตือนลูกค้า หลัง สคส. มีคำสั่งระงับการสแกนม่านตา

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการเหรียญ WLD สื่อสารกับลูกค้าให้ชัดเจนผ่านช่องทางต่าง ๆ และเน้นย้ำให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลคำนึงถึงประโยชน์และผลกระทบของลูกค้าเป็นสำคัญ

 

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เผยแพร่ข่าว เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ว่า มีการสั่งการให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลม่านตา ระงับหรืองดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการสแกนม่านตาโดยทันที และลบทำลายข้อมูลม่านตาและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและไม่ให้นำเอาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปใช้โดยไม่ถูกต้อง โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหรียญ WLD มีการซื้อขายทั่วโลกอยู่ก่อนจะมีการสแกนม่านตาในประเทศไทย และการสั่งระงับนี้เป็นเฉพาะส่วนของกิจกรรมการสแกนม่านตา

 

ในส่วนของการให้บริการซื้อขาย แลกเปลี่ยน เหรียญ WLD ของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลยังให้บริการได้ โดย ก.ล.ต. กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการเหรียญ WLD สื่อสารกับลูกค้าให้ชัดเจนผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งขึ้นเครื่องหมายแจ้งเตือนเกี่ยวกับเหรียญ WLD บนแพลตฟอร์ม โดยเน้นย้ำให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลคำนึงถึงประโยชน์และผลกระทบของลูกค้าเป็นสำคัญ

 

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลและติดตามความคืบหน้าจากหน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงระมัดระวังการใช้บริการกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และยังมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง (scam) รวมถึงความเสี่ยงด้านการฟอกเงิน

 

โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th หรือทางแอปพลิเคชัน SEC Check First และสามารถตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ได้ที่ investor alert ลิงก์ https://market.sec.or.th/public/idisc/th/InvestorAlert

 

World ประเทศไทย ประกาศระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริง

 

​World ประเทศไทย แจ้งว่า ตามที่ได้รับจดหมายจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) บริษัทฯ ได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงใน ประเทศไทยชั่วคราว คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ แม้บริษัทฯ จะได้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศไทยอย่างครบถ้วน รวมถึงผ่านกระบวนการตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อบังคับมาโดยตลอด โดยบริษัทฯ ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน

 

การระงับการดำเนินการในครั้งนี้จะส่งผลกระทบในทางลบต่อคนไทยหลาย ล้านคนที่ได้เลือกใช้เทคโนโลยีนีเพื่อช่วยปกป้องตนเองจากการหลอกลวง การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล และภัยคุกคามจากการฉ้อโกงที่ขับเคลื่อนด้วย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน

 

บริษัทฯ ขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งในปัจจุบันและอนาคตสำหรับคนไทย และจะยังคงดำเนิน การหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด รวมถึง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และสำนักงานคณะ กรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทาง ดำเนินงานที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป

The post ก.ล.ต. กำชับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการเหรียญ Worldcoin (WLD) แจ้งเตือนลูกค้า หลัง สคส. มีคำสั่งระงับการสแกนม่านตา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตอกย้ำผู้นำตลาดลงทุนหุ้นนอก กรุงไทยเปิดตัว DR80 ชุดใหม่ 10 หลักทรัพย์ อิงกองทุน ETF ชั้นนำจากอเมริกา และหุ้นเมกะเทรนด์จีน https://thestandard.co/krungthai-launches-dr80-us-china/ Mon, 24 Nov 2025 08:00:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1146670 ตอกย้ำผู้นำตลาดลงทุนหุ้นนอก กรุงไทยเปิดตัว DR80 ชุดใหม่ 10 หลักทรัพย์ อิงกองทุน ETF ชั้นนำจาก อเมริกา และหุ้นเมกะเทรนด์ จีน

แม้จะครองส่วนแบ่งในตลาด DR หรือ Depositary Receipt ในสั […]

The post ตอกย้ำผู้นำตลาดลงทุนหุ้นนอก กรุงไทยเปิดตัว DR80 ชุดใหม่ 10 หลักทรัพย์ อิงกองทุน ETF ชั้นนำจากอเมริกา และหุ้นเมกะเทรนด์จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตอกย้ำผู้นำตลาดลงทุนหุ้นนอก กรุงไทยเปิดตัว DR80 ชุดใหม่ 10 หลักทรัพย์ อิงกองทุน ETF ชั้นนำจาก อเมริกา และหุ้นเมกะเทรนด์ จีน

แม้จะครองส่วนแบ่งในตลาด DR หรือ Depositary Receipt ในสัดส่วน Market Cap มากถึง 50% ภายใต้แบรนด์ ‘Krungthai DR80’ ในฐานะผู้นำนวัตกรรมการลงทุน แต่ธนาคารกรุงไทยก็ยังคงเดินหน้าขยายพอร์ตการลงทุนเพื่อเพิ่มทางเลือกความหลากหลาย และโอกาสในการเข้าถึงการลงทุนได้อย่างอิสระอย่างต่อเนื่อง

 

ล่าสุด กรุงไทยได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ DR ชุดใหม่ รวม 10 หลักทรัพย์ อ้างอิง 7 กองทุนรวม ETF ชั้นนำจาก State Street Investment Management (SPDR) ครอบคลุมอุตสาหกรรมชั้นนำของสหรัฐฯ พร้อม 3 หุ้นเมกะเทรนด์จีนที่มีศักยภาพเติบโตสูง โดยเปิดให้นักลงทุนที่สนใจสามารถเข้าลงทุนได้แล้วบนกระดานหุ้นไทย

 

แม่ทัพด้านธุรกิจตลาดเงินตลาดทุนของธนาคารกรุงไทยอย่าง รวินทร์ บุญญานุสาสน์ (ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย) เปิดเผยถึงจังหวะขยับในครั้งนี้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกรุงไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนให้ครบวงจร เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถเข้าถึงตัวเลือกการลงทุนทั่วโลกได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น

 

เพิ่มตัวเลือก DR80 รวม 10 หลักทรัพย์ อิงกองทุน ETF ชั้นนำ หุ้นเมกะเทรนด์จีน

 

การขยับขยายครั้งนี้ของธนาคารกรุงไทยครอบคลุม DR มากถึง 10 หลักทรัพย์ ประกอบไปด้วย DR อ้างอิงกองทุน ETF ระดับโลก 7 กองทุน ของ State Street Investment Management หนึ่งในผู้จัดการกองทุนรายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้นำด้าน ETF รายแรกในสหรัฐฯ และอีก 3 DR อ้างอิงหุ้นเมกะเทรนด์จีน โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

DR อ้างอิงกองทุน ETF ระดับโลกจาก SPDR

 

1. SP500US80 – ลงทุนในหุ้นใหญ่สหรัฐฯ ทั้ง 500 บริษัท อ้างอิง SPDR® Portfolio S&P 500® ETF (SPYM) เหมาะเป็น core holding สำหรับการลงทุนระยะยาว กระจายความเสี่ยงครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม

 

2. SPBOND80 – พันธบัตรสหรัฐฯ กระจายพอร์ต รับปันผลทุกเดือน
อ้างอิง SPDR® Portfolio Aggregate Bond ETF (SPAB) เข้าถึงตลาดตราสารหนี้ครบวงจร ช่วยลดความผันผวนจากตลาดหุ้น

 

3. SPTECH80 – หุ้นเทคโนโลยีเด่น แรงหนุนจาก AI และดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
อ้างอิง The Technology Select Sector SPDR® Fund (XLK) รวมยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐฯ เช่น Apple, Microsoft, Nvidia

 

4. SPHLTH80 – หุ้นสุขภาพ เติบโตต่อเนื่องตามความต้องการด้านการแพทย์ อ้างอิง The Health Care Select Sector SPDR® Fund (XLV) ครอบคลุมบริษัทเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ และอุปกรณ์การแพทย์ในสหรัฐฯ

 

5. SPFIN80 – กลุ่มการเงินสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
อ้างอิง The Financial Select Sector SPDR® Fund (XLF) รวมธนาคารและสถาบันการเงินรายใหญ่ เช่น JPMorgan, Goldman Sachs

 

6. SPENGY80 – พลังงานโลกยังสำคัญในยุคเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
อ้างอิง The Energy Select Sector SPDR® Fund (XLE) รวมบริษัทน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของสหรัฐฯ พร้อมรับโอกาสจากพลังงานใหม่

 

7. SPCOM80 – หุ้นสื่อสารและแพลตฟอร์มดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่
อ้างอิง The Communication Services Select Sector SPDR® Fund (XLC) รวมผู้นำอย่าง Meta, Alphabet, Netflix

 

DR อ้างอิงหุ้นเมกะเทรนด์ของจีน

 

1. WUXIAT80 – Wuxi AppTec ผู้นำไบโอเทคครบวงจรของจีน
เด่นด้านการวิจัยและผลิตชีววัตถุ ยา และบริการวิเคราะห์ทางชีวภาพ สนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพจีนเติบโต

 

2. ZIJIN80 – Zijin Mining ยักษ์ใหญ่เหมืองทองและโลหะของโลก
ผู้ผลิตทองคำอันดับ 1 ของจีน และติด Top 10 ของโลก ดำเนินธุรกิจเหมืองและลงทุนทั่วโลก

 

3. PETROCN80 – PetroChina ผู้นำพลังงานรายใหญ่ที่สุดของจีน
ครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจ ผลิต และจำหน่ายน้ำมันและก๊าซ เป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

การเปิดตัวหลักทรัพย์ DR (ชุดใหม่) ในครั้งนี้ของกรุงไทยจะส่งผลให้กรุงไทยมี DR รวม 59 หลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวน DR มากที่สุดในประเทศ ทั้งยังเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงเป้าหมายของธนาคารกรุงไทยในการเปิดกว้างโอกาสลงทุนต่างประเทศ กระจายความเสี่ยง และสร้างการเติบโตระยะยาวให้กับนักลงทุนไทย สอดคล้องกับเมกะเทรนด์เศรษฐกิจโลก

 

ทั้งนี้ DR ที่อ้างอิงกองทุน ETF สหรัฐฯ จะสามารถซื้อขายได้ 2 ช่วงเวลา คือ 10.00–16.30 น. และ 19.00–02.45 น. (T+1)

 

ขณะที่ DR ซึ่งอ้างอิงหุ้นจีน จะสามารถซื้อขายได้ในช่วง 10.00–16.30 น. ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

สำหรับนักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อยู่แล้ว สามารถลงทุนได้ทันทีผ่านแอป Streaming ด้วยสกุลเงินบาท โดยไม่ต้องจองซื้อ พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับการลงทุนในต่างประเทศโดยตรง

 

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://krungthai.com/link/thestandard-dr80 หรือสอบถามได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

 

#Krungthai #กรุงไทย #DR80 #หุ้นต่างประเทศ #KrungthaiInvestment #หุ้นจีน #หุ้นสหรัฐฯ

The post ตอกย้ำผู้นำตลาดลงทุนหุ้นนอก กรุงไทยเปิดตัว DR80 ชุดใหม่ 10 หลักทรัพย์ อิงกองทุน ETF ชั้นนำจากอเมริกา และหุ้นเมกะเทรนด์จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
PDPC สั่งระงับเด็ดขาด! ธุรกิจ ‘สแกนม่านตาแลกคริปโต’ ชี้ขัดหลัก PDPA สั่งลบข้อมูลชีวภาพ 1.2 ล้านรายทันที พร้อมส่ง DSI ขยายผลขบวนการสีเทา https://thestandard.co/pdpc-iris-scan-crypto-suspension/ Mon, 24 Nov 2025 07:05:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1146721 PDPC สั่งระงับเด็ดขาด ธุรกิจ ‘สแกนม่านตาแลกคริปโต’ ชี้ขัดหลัก PDPA สั่งลบข้อมูลชีวภาพ 1.2 ล้านรายทันที พร้อมส่ง DSI ขยายผลขบวนการสีเทา

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ P […]

The post PDPC สั่งระงับเด็ดขาด! ธุรกิจ ‘สแกนม่านตาแลกคริปโต’ ชี้ขัดหลัก PDPA สั่งลบข้อมูลชีวภาพ 1.2 ล้านรายทันที พร้อมส่ง DSI ขยายผลขบวนการสีเทา appeared first on THE STANDARD.

]]>
PDPC สั่งระงับเด็ดขาด ธุรกิจ ‘สแกนม่านตาแลกคริปโต’ ชี้ขัดหลัก PDPA สั่งลบข้อมูลชีวภาพ 1.2 ล้านรายทันที พร้อมส่ง DSI ขยายผลขบวนการสีเทา

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ออกคำสั่งทางปกครองขั้นเด็ดขาด สั่งระงับโครงการและให้ทำลายข้อมูลชีวภาพของประชาชนกว่า 1.2 ล้านราย จากกรณีธุรกิจสแกนม่านตาเพื่อแลกรับเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี ชี้ชัดกระบวนการได้มาซึ่งข้อมูล “ไม่โปร่งใส” และ “ผิดหลักการ PDPA” อย่างร้ายแรง พร้อมประสาน DSI และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสอบสวนเชิงลึกถึงขบวนการจ้างวานสแกนและการแลกเปลี่ยนเหรียญผิดกฎหมาย

 

ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของหน่วยงานกำกับดูแลด้านข้อมูลส่วนบุคคลของไทย เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และ PDPC ได้ติดตามตรวจสอบโมเดลธุรกิจ ‘สแกนม่านตาแลกเหรียญ’ ที่สร้างความกังวลในวงกว้าง โดยเฉพาะประเด็นความปลอดภัยของข้อมูลชีวภาพ (Biometric Data) ซึ่งจัดเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวตามกฎหมาย

 

ชี้ขาด ‘ความยินยอมโดยอิสระ’

 

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ของ PDPC ได้พิจารณาพยานหลักฐานและคำชี้แจงของผู้ให้บริการแล้ว พบข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การกระทำผิดกฎหมาย PDPA ใน 2 ประเด็นหลัก:

 

1. การขอความยินยอมที่ไม่เป็นอิสระ กล่าวคือ ผู้ให้บริการใช้เหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้ประชาชนยอมให้เก็บข้อมูลม่านตา ซึ่งถือว่าการให้ความยินยอมนั้น ‘ไม่ได้เป็นไปโดยอิสระ’ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

 

2. การใช้ข้อมูลเกินวัตถุประสงค์ โดยพบว่ามีการแจ้งวัตถุประสงค์เพื่อ ‘ยืนยันความเป็นมนุษย์’ เท่านั้น แต่ในทางเทคนิคพบว่า ผู้ที่เคยสแกนแล้วไม่สามารถสแกนซ้ำได้ แสดงให้เห็นว่ามีการนำข้อมูลไปใช้เพื่อ ‘ยืนยันตัวบุคคล’ (Identification) ด้วย ซึ่งเกินกว่าขอบเขตที่ได้ขอความยินยอมไว้แต่แรก

 

ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ย้ำว่า แม้กระทรวงฯ จะสนับสนุนเทคโนโลยี AI และการยืนยันตัวตนรูปแบบใหม่ แต่การเก็บข้อมูลชีวภาพต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนเจ้าของข้อมูล

 

สั่ง ‘ระงับ-ลบ’ ข้อมูล ป้องกันการรั่วไหลสู่ต่างประเทศ

 

จากฐานความผิดดังกล่าว คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญฯ จึงมีคำสั่งทางปกครองที่ส่งผลกระทบวงกว้างต่อผู้ให้บริการรายนี้ทันที ดังนี้:

 

1. สั่งระงับทันที: ให้ผู้ให้บริการและผู้เกี่ยวข้องระงับการเก็บข้อมูลม่านตาเพื่อแลกเหรียญคริปโตเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลต่อ สคส. ภายใน 7 วัน

 

2. สั่งลบทำลายข้อมูลทั้งหมด: ให้ลบและทำลายข้อมูลม่านตา รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ ของประชาชนจำนวน 1.2 ล้านรายที่ถูกเก็บไปแล้วทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการนำข้อมูลไปใช้หาประโยชน์ทางการค้าโดยมิชอบ หรือการโอนย้ายข้อมูลไปยังต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย

 

การตัดสินใจครั้งนี้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยจากการตรวจสอบพบว่ามีอย่างน้อย 8 ประเทศที่สั่งแบนการดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว โดย 5 ประเทศที่มีคำสั่งระงับชัดเจน ได้แก่ เยอรมนี, สเปน, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย และบราซิล

 

DSI รับไม้ต่อ ขยายผลขบวนการรับจ้างสแกนและเว็บเทรดเถื่อน

 

นอกเหนือจากมิติการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล การสืบสวนร่วมกับ ก.ล.ต. และตำรวจไซเบอร์ ยังพบ ‘ความผิดปกติ’ อื่นๆ ที่น่าสงสัย นำไปสู่การขยายผลทางคดีอาญาต่อ

 

ประเด็นสำคัญคือ การตรวจพบขบวนการรับจ้างคนมาสแกนม่านตาเพื่อนำเหรียญไปให้บุคคลอื่นใช้ต่อ รวมถึงมีการจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายราย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าอาจมีประเด็นความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในส่วนนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จะรับหน้าที่สืบสวนขยายผลต่อไป

 

พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ PDPC กล่าวทิ้งท้าย เพื่อสร้างความชัดเจนถึงจุดยืนของหน่วยงานว่า PDPC ให้ความสำคัญสูงสุดกับการคุ้มครองข้อมูลอ่อนไหวของประชาชน การใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดในครั้งนี้เป็นไปเพื่อ ‘ป้องกันความเสียหาย’ จากการเก็บข้อมูลที่ไม่ถูกกฎหมาย และบูรณาการความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

 

พร้อมยืนยันว่า การดำเนินการนี้ “ไม่ใช่การปิดกั้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการยืนยันความเป็นมนุษย์” แต่อย่างใด เพียงแต่เทคโนโลยีเหล่านั้นต้องดำเนินการอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทย

 

ภาพ: New Africa/Shutterstock

The post PDPC สั่งระงับเด็ดขาด! ธุรกิจ ‘สแกนม่านตาแลกคริปโต’ ชี้ขัดหลัก PDPA สั่งลบข้อมูลชีวภาพ 1.2 ล้านรายทันที พร้อมส่ง DSI ขยายผลขบวนการสีเทา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ว่าแบงก์ชาติส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หากจำเป็น แต่เตือนดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ https://thestandard.co/bot-governor-signals-interest-rate-cut-may-be-needed/ Sun, 23 Nov 2025 05:36:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1146366 ผู้ว่าแบงก์ชาติ ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หากจำเป็น แต่ เตือนดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ

ผู้ว่าแบงก์ชาติ พร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากข […]

The post ผู้ว่าแบงก์ชาติส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หากจำเป็น แต่เตือนดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ว่าแบงก์ชาติ ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หากจำเป็น แต่ เตือนดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ

ผู้ว่าแบงก์ชาติ พร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากปัจจุบัน หากเห็นว่ามีความจำเป็นในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ ชี้ดอกเบี้ยยังมีมุมให้ลดได้

 

วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.พร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากปัจจุบัน หากเห็นว่ามีความจำเป็นในการสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการตัดสินใจดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่กำลังจะทยอยออกมา

 

อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นประเด็นที่ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่เรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง ไปจนถึงปัญหาด้านสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)

 

ผู้ว่าการ ธปท. ระบุต่อว่า การลดอัตราดอกเบี้ยมีผลจำกัดอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้

 

อย่างไรก็ดีแม้ว่าการลดดอกเบี้ยจะไม่สามารถแก้ปัญหารากฐานทางโครงสร้างได้ แต่ก็ยังมีผลดีในด้านการบรรเทาผลกระทบระยะสั้น การลดดอกเบี้ยจะช่วยทำให้อัตราดอกเบี้ยผ่อนคลายในเรื่องสภาพคล่อง ช่วยผ่อนคลายความตึงตัวทางการเงิน และทำให้ประชาชนสามารถจ่ายหนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลง

 

ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลทางเศรษฐกิจเพื่อดูความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ย

 

“ถามว่าลดดอกเบี้ยได้ไหมก็กำลังดูข้อมูลอยู่ ก็คิดว่ายังมีช่องทางหรือมุมให้ดอกเบี้ยจะลดลงต่อได้” วิทัยกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามถึงระดับอัตราดอกเบี้ยสุดท้าย (Terminal rate) ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ในขณะนี้ เนื่องจาก Terminal rate นั้นจะต้องพิจารณาหารือกันอย่างพอสมควร และขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นเป็นสำคัญ

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งที่ 6 ในวันพุธที่ 17 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นประชุมนัดสุดท้ายในปีนี้โดยปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50%

 

ค่าเงินบาทต้องเหมาะสมหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

วิทัยยังระบุว่า ธปท.ต้องการเห็นค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อสะท้อนสภาวะที่เหมาะสมและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัด

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2568 ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าราว 7% จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ด้านค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น 5% โดยนอกจากเป็นผลของเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าแล้ว ยังมีปัจจัยเฉพาะ ได้แก่
1. Current account ที่สูงกว่าคาดตั้งแต่ไตรมาส 1 จากการส่งออกที่เติบโตได้ดี

 

2. เงินลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งการเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตร และการลงทุนโดยตรง (FDI)

 

3. การซื้อขายทองคำของคนไทย ผ่าน online platformโดยเฉพาะในปีนี้ ที่ราคาทองคำปรับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อราคาทองสูงขึ้น ลูกค้ามักจะขายทองในสกุลเงินบาทกับร้านทอง ร้านทองจึงต้องไปขายทองคำกับคู่ค้าในต่างประเทศ พร้อมกับทำธุรกรรม FX เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ซึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้านการแข็งค่าของเงินบาท

 

อย่างไรก็ดีที่ผ่านมา การแข็งค่าของเงินบาทสอดคล้องกับหลายสกุลเงิน EM โดยมีบางประเทศที่ค่าเงินอ่อนค่าจากปัจจัยเฉพาะ เช่น เวียดนาม ที่ผู้ส่งออกบางส่วนไม่ convert รายได้จากดอลลาร์เป็นเงินดอง และมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น

 

ขณะที่ สหรัฐฯ มีการประเมินการดูแลค่าเงินของประเทศคู่ค้าคู่แข่งรวมถึงไทย เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศต่างๆ จะไม่ดูแลค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ดูแลความผันผวนของค่าเงินเป็นหลักอยู่แล้ว ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณาของ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury) ในช่วง 12 เดือน ที่อาจเข้าข่ายเป็น Currency Manipulator ประกอบด้วย 3 ข้อ ได้แก่

 

  • เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์
  • เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% ของ GDP
  • เข้าซื้อ FX มากกว่า 2% ของ GDP ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

 

ดังนั้นปัจจุบันด้วยภายใต้ข้อจำกัดนี้ สิ่งที่ ธปท. ทำได้คือ การลดความผันผวน ของค่าเงินบาทเท่านั้น

 

ปริมาณเงินและการทำ QE กรณีไทยในปัจจุบัน

 

วิทัย ยังกล่าวถึงการทำ QE โดยการเข้าซื้อพันธบัตรอาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม และไม่ได้เป็นเครื่องมือที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยได้มากนัก เนื่องจากภาคธุรกิจไทยระดมทุนผ่านธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก แม้จะมีบางส่วนออกหุ้นกู้ แต่ส่วนใหญ่เป็นระยะไม่เกิน 5 ปี ดังนั้น การซื้อพันธบัตรที่จะทำให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวปรับลดลง จึงไม่ได้ส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจมากนัก

 

ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดคือการให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น ซึ่งในภาวะปัจจุบันต้องอาศัยการลดต้นทุนความเสี่ยง

 

The post ผู้ว่าแบงก์ชาติส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย หากจำเป็น แต่เตือนดอกเบี้ยมีผลจำกัดในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นยาที่ร้อนแรงกว่าหุ้นเทคฯ? Eli Lilly ขึ้นแท่นบริษัทยาแห่งแรกของโลก สู่ ‘คลับล้านล้านดอลลาร์’ จากอานิสงส์ยาลดน้ำหนัก https://thestandard.co/eli-lilly-trillion-dollar-valuation/ Sat, 22 Nov 2025 06:42:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1146146 หุ้นยาที่ร้อนแรงกว่าหุ้นเทคฯ? Eli Lilly ขึ้นแท่นบริษัทยาแห่งแรกของโลก สู่ ‘คลับล้านล้านดอลลาร์’ จากอานิสงส์ยาลดน้ำหนัก

Eli Lilly บริษัทผู้ผลิตยาชื่อดังจากสหรัฐฯ ได้แรงสั่นสะเ […]

The post หุ้นยาที่ร้อนแรงกว่าหุ้นเทคฯ? Eli Lilly ขึ้นแท่นบริษัทยาแห่งแรกของโลก สู่ ‘คลับล้านล้านดอลลาร์’ จากอานิสงส์ยาลดน้ำหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นยาที่ร้อนแรงกว่าหุ้นเทคฯ? Eli Lilly ขึ้นแท่นบริษัทยาแห่งแรกของโลก สู่ ‘คลับล้านล้านดอลลาร์’ จากอานิสงส์ยาลดน้ำหนัก

Eli Lilly บริษัทผู้ผลิตยาชื่อดังจากสหรัฐฯ ได้แรงสั่นสะเทือนให้กับวงการอุตสาหกรรมยา เมื่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ของบริษัทพุ่งแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 32.39 ล้านล้านบาท) ในระหว่างการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ (21 พ.ย.) ที่ผ่านมา

 

ส่งผลให้ Eli Lilly กลายเป็นบริษัทด้านการดูแลสุขภาพแห่งแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่ ‘คลับเอ็กซ์คลูซีฟ’ นี้ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกครอบครองโดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี

 

ราคาหุ้นของ Eli Lilly ที่พุ่งขึ้นกว่า 36% ในปีนี้ มีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากกระแสความต้องการที่มหาศาลในตลาดลดน้ำหนัก โดยเฉพาะความนิยมของยาฉีดลดน้ำหนัก Zepbound และยารักษาโรคเบาหวาน Mounjaro ซึ่งทั้งสองแบรนด์ใช้ตัวยาสำคัญเดียวกันคือ tirzepatide ที่ทำหน้าที่เลียนแบบฮอร์โมนในร่างกายเพื่อช่วยควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญ

 

ความสำเร็จนี้ทำให้ Eli Lilly สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเหนือคู่แข่งสำคัญอย่าง Novo Nordisk ผู้ผลิตยา Ozempic และ Wegovy ในแง่ของยอดขายและการเติบโต โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อประสิทธิภาพของยา และความสามารถในการขยายกำลังการผลิตที่รวดเร็วกว่าคู่แข่ง

 

ในไตรมาสล่าสุด Mounjaro ทำรายได้สูงถึง 6.52 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.11 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 109% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ Zepbound ทำรายได้ 3.59 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.16 แสนล้านบาท) พุ่งขึ้นถึง 184% ซึ่งรายได้จากพอร์ตโฟลิโอยาลดน้ำหนักและเบาหวานรวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท

 

Eli Lilly ก่อตั้งขึ้นในปี 1876 โดยพันเอก Eli Lilly นักเคมีเภสัชกรรมและทหารผ่านศึกสงครามกลางเมือง บริษัทมีประวัติยาวนานในด้านโรคเบาหวาน โดยเป็นผู้ผลิตอินซูลินเชิงพาณิชย์รายแรกของโลกในปี 1923 และยังเป็นเจ้าของยาดังในอดีตอย่าง Prozac ยาต้านอาการซึมเศร้า และวัคซีนโปลิโอรุ่นแรกๆ

 

Evan Seigerman นักวิเคราะห์จาก BMO Capital Markets ให้ความเห็นว่า “มูลค่าปัจจุบันสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อความแข็งแกร่งในระยะยาวของธุรกิจกลุ่ม metabolic health ของบริษัท และยังบ่งชี้ว่านักลงทุนให้ความสนใจ Lilly มากกว่า Novo ใน ‘สงครามยาลดน้ำหนัก’ ครั้งนี้”

 

นอกจากความสำเร็จในปัจจุบันแล้ว นักลงทุนยังจับตามองยาเม็ดลดน้ำหนัก orforglipron ของ Eli Lilly ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นปีหน้า โดยนักวิเคราะห์จาก Citi มองว่ายานี้จะได้รับประโยชน์จากความสำเร็จของยาฉีดรุ่นก่อนหน้า และจะเป็นทางเลือกใหม่ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วย

 

James Shin ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหุ้นไบโอฟาร์มาของ Deutsche Bank เปรียบเทียบว่า Eli Lilly เริ่มกลับมามีสถานะคล้ายกับหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven อีกครั้ง ซึ่งหมายถึงกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนตลาด และอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ท่ามกลางความกังวลต่อหุ้นกลุ่ม AI บางตัวที่เริ่มชะลอตัวลง

 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงรออยู่ข้างหน้า ทั้งจากแรงกดดันด้านราคาของยา Mounjaro และ Zepbound รวมถึงการแข่งขันจากคู่แข่งรายใหม่อย่าง Pfizer และความสามารถของบริษัทในการรักษาระดับการเติบโตนี้ไว้ ท่ามกลางการขยายการเข้าถึงการรักษาที่มากขึ้นจากการเจรจากับรัฐบาล

 

อนาคตของ Eli Lilly ดูสดใสอย่างยิ่งในตลาดยาลดน้ำหนักที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.86 ล้านล้านบาท) ภายในต้นทศวรรษ 2030 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังที่สูงลิ่วของตลาดที่มีต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต

 

หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.39 บาท ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2568

 

ภาพ: Ciara Kimsey / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post หุ้นยาที่ร้อนแรงกว่าหุ้นเทคฯ? Eli Lilly ขึ้นแท่นบริษัทยาแห่งแรกของโลก สู่ ‘คลับล้านล้านดอลลาร์’ จากอานิสงส์ยาลดน้ำหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. สั่งเพิกถอน ‘พาย แอ๊ดไวเซอรี่’ และผู้บริหาร เป็นเวลา 10 ปี เหตุบกพร่องร้ายแรงและมีเจตนาปกปิดข้อมูล IPO https://thestandard.co/sec-bans-pi-advisory-ipo-data/ Sat, 22 Nov 2025 05:25:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1146089 ก.ล.ต. สั่งเพิกถอน ‘พาย แอ๊ดไวเซอรี่’ และผู้บริหาร เป็นเวลา 10 ปี เหตุบกพร่องร้ายแรงและมีเจตนาปกปิดข้อมูล IPO

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล […]

The post ก.ล.ต. สั่งเพิกถอน ‘พาย แอ๊ดไวเซอรี่’ และผู้บริหาร เป็นเวลา 10 ปี เหตุบกพร่องร้ายแรงและมีเจตนาปกปิดข้อมูล IPO appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. สั่งเพิกถอน ‘พาย แอ๊ดไวเซอรี่’ และผู้บริหาร เป็นเวลา 10 ปี เหตุบกพร่องร้ายแรงและมีเจตนาปกปิดข้อมูล IPO

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท พาย แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (บริษัท พาย) และผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ เป็นเวลา 10 ปี (นายสัมฤทธิ์ชัย) เนื่องจากบกพร่องในการปฏิบัติงานในการเป็น ที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่บริษัทมหาชนที่ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (คำขออนุญาต IPO)

 

ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า บริษัท พาย และนายสัมฤทธิ์ชัย บกพร่องอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการร่วมยื่นคำขออนุญาต IPO ของบริษัทมหาชนจำกัด* โดยมีพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาไม่สุจริต ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทที่จะทำ IPO ในการปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อการพิจารณาคำขออนุญาต IPO ของ ก.ล.ต. หรือต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุน

 

รวมทั้งพบว่า มีเจตนาปกปิดข้อมูลเงื่อนไขของการสิ้นสุดสัญญาการเป็นตัวแทนนายหน้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและเป็นรายการที่มีนัยสำคัญของบริษัทที่จะทำ IPO โดยแจ้งข้อมูลเฉพาะส่วนที่เป็นคุณแก่บริษัท ทั้งที่ผู้ควบคุมการปฏิบัติงานทราบถึงเงื่อนไขที่กำหนดเพิ่มเติมระหว่างบริษัทที่จะทำ IPO กับคู่สัญญาที่ระบุให้สัญญาการเป็นตัวแทนนายหน้าดังกล่าวสิ้นสุดทันทีภายหลังจากที่ครบกำหนดของการขยายระยะเวลาของสัญญา แต่กลับปกปิดเงื่อนไขดังกล่าว โดยแจ้งเฉพาะความคืบหน้าในการต่อสัญญาเท่านั้น ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นเงื่อนไขที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทที่จะทำ IPO สูญเสียค่าตอบแทนที่จ่ายไปล่วงหน้าและกระทบต่อฐานะการเงินรวมถึงผลการดำเนินงาน

 

รวมทั้งยังพบข้อบกพร่องจากการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือขาดความระมัดระวังรอบคอบอย่างมากในการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูลที่สำคัญ (due diligence) ของบริษัทที่จะทำ IPO ดังกล่าวในอีกโครงการหนึ่ง โดยผู้ควบคุมการปฏิบัติงานไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลรายการทางการเงินที่น่าสงสัย (red flags) และ ขาดความระมัดระวังในการตรวจสอบธุรกรรมการซื้อขายของบริษัทที่จะทำ IPO ว่าเป็นรายการซื้อขายจริง (true transaction) ทั้งที่เงินมัดจำในโครงการดังกล่าวในขณะที่ยื่นคำขออนุญาต IPO มีมูลค่าเกือบร้อยละ 20 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท จึงเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่บริษัทใช้ในการประกอบธุรกิจ รวมถึงการไม่วิเคราะห์และเปิดเผยความเสี่ยงในการทำสัญญาตัวแทนนายหน้า อันทำให้บริษัทที่จะทำ IPO มีโอกาสจะสูญเสียเงินมัดจำจากการทำสัญญาดังกล่าวในจำนวนที่มีนัยสำคัญทั้งจำนวน

 

นอกจากนี้ ยังพบข้อบกพร่องในเรื่องที่มีนัยสำคัญมาก โดยมีพฤติกรรมแสดงถึงการขาดความระมัดระวังรอบคอบอย่างมากในการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูลที่สำคัญ (due diligence) ของบริษัทที่จะทำ IPO ในประเด็นการทำธุรกรรมของบริษัทย่อยซึ่งมีความเสี่ยงในการสูญเสียเงินมัดจำ การใช้ทรัพยากรของบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้บริหารโดยไม่มีนโยบายรองรับ การไม่ตรวจสอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของธุรกิจส่วนตัวของกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การไม่ตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายของบริษัทจากกิจกรรมทางการตลาดหรือ Business Model ใหม่ และการไม่ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการจ้าง sub contract ซึ่งการไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบหรือสอบทานข้อมูลที่สำคัญข้างต้นของผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน ส่งผลให้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับความเหมาะสมและเพียงพอของระบบควบคุมภายในของบริษัทที่จะทำ IPO ดังกล่าว รวมทั้งความครบถ้วนถูกต้องของการเปิดเผยข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนสำหรับเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนของบริษัทที่จะทำ IPO ด้วย

 

ข้อบกพร่องที่ตรวจพบข้างต้นแสดงถึงการปฏิบัติงานที่บกพร่องของผู้ควบคุมการปฏิบัติงานอย่างร้ายแรง โดยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานและจรรยาบรรณเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพพึงกระทำตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งแสดงถึงความบกพร่องของระบบในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้ควบคุมการปฏิบัติงานในสังกัดบริษัท พาย ซึ่งไม่สามารถควบคุมให้การปฏิบัติงานเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เป็นไปตามมาตรฐานและจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพ

 

ก.ล.ต. จึงสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท พาย และผู้ควบคุมการปฏิบัติงาน นายสัมฤทธิ์ชัย เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยกำหนดระยะเวลาในการรับพิจารณาคำขอความเห็นชอบเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้ควบคุมการปฏิบัติงานในครั้งต่อไป เมื่อพ้นระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568

 

อนึ่ง ที่ปรึกษาทางการเงินมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกและกลั่นกรองคุณภาพของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดูแลให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ทำให้สำคัญผิด และเพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งผลงานของที่ปรึกษาทางการเงินมีความสำคัญอย่างมากกับผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องในวงกว้าง ดังนั้น ที่ปรึกษาทางการเงินจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานในการปฏิบัติงานของผู้ประกอบวิชาชีพและรักษาจรรยาบรรณวิชาชีพ

The post ก.ล.ต. สั่งเพิกถอน ‘พาย แอ๊ดไวเซอรี่’ และผู้บริหาร เป็นเวลา 10 ปี เหตุบกพร่องร้ายแรงและมีเจตนาปกปิดข้อมูล IPO appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหลักทรัพย์เผยเกณฑ์ IPO เหมาะสมแล้ว ชี้ ‘ตลาดซบเซา-Turnover ต่ำ’ คือเหตุหุ้นต่ำจอง พร้อมหนุน TISA กลไกใหม่กู้สภาพคล่องตลาดหุ้นไทย https://thestandard.co/set-cites-low-turnover-backs-tisa/ Sat, 22 Nov 2025 02:58:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1146037 ตลาดหลักทรัพย์เผย เกณฑ์ IPO เหมาะสมแล้ว ชี้ ‘ตลาดซบเซา-Turnover ต่ำ’ คือเหตุหุ้นต่ำจอง พร้อมหนุน TISA กลไกใหม่กู้สภาพคล่องตลาดหุ้นไทย

จากสถานการณ์หุ้น IPO ในปี 2568 ที่ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชั […]

The post ตลาดหลักทรัพย์เผยเกณฑ์ IPO เหมาะสมแล้ว ชี้ ‘ตลาดซบเซา-Turnover ต่ำ’ คือเหตุหุ้นต่ำจอง พร้อมหนุน TISA กลไกใหม่กู้สภาพคล่องตลาดหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหลักทรัพย์เผย เกณฑ์ IPO เหมาะสมแล้ว ชี้ ‘ตลาดซบเซา-Turnover ต่ำ’ คือเหตุหุ้นต่ำจอง พร้อมหนุน TISA กลไกใหม่กู้สภาพคล่องตลาดหุ้นไทย

จากสถานการณ์หุ้น IPO ในปี 2568 ที่ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด โดยหุ้น 13 จาก 17 ตัว มีราคาต่ำจอง จากราคาเสนอขาย หลังเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จนนักลงทุนตั้งคำถามว่า เป็นเพราะภาวะตลาดที่ยังไม่ฟื้น หรือตั้งราคาเสนอขายที่แพงเกินไปกันแน่ ?

 

วันนี้ (21 พ.ย.2568) สรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์หุ้น IPO เริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้จากมูลค่าเสนอขายรวมอยู่ที่หลักหมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากจุดพีคหลักแสนล้านบาท เมื่อปี 2558 ด้วยหุ้น IPO ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่ซบเซาลงค่อนข้างมาก ทำให้หลายบริษัทที่มีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาด ชะลอแผน หรือยกเลิกแผนไป เนื่องจากมองว่าไม่คุ้มค่ากับการเข้ามาระดมทุน

 

สำหรับวิธีกำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หลายคนมองว่าตั้งราคาแพงเกินไปนั้น สรวิศ มองว่า วิธีกำหนดราคาปัจจุบันนั้นเหมาะสม และเป็นหลักสากลที่ทำกันมานานแล้ว โดยมีหลักๆ ด้วยกัน 2 วิธีได้แก่

 

1. Book Building ซึ่งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ (Issuer)จะร่วมกันกำหนดช่วงราคา IPO (IPO Price Range) ที่จะเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบัน ด้วยการประเมินจุดราคาเสนอขายที่เหมาะสม ซึ่งดีมานด์และซัพพลายตัดกันว่าอยู่ที่ราคาเท่าไร ซึ่งจะได้ราคาที่เหมาะสมไม่ว่าราคาตลาดจะขึ้นหรือลงในภายหลังก็ตาม

 

2. เปรียบเทียบค่า P/E Ratio ของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ กับบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจประเภท เดียวกัน โดย FA มีหน้าที่ประเมิน หาค่าเฉลี่ย P/E เมื่อเทียบเคียงกับบริษัทจดทะเบียน ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หลังจากนั้นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จะประเมินต่อว่าราคาเสนอขายควรจะอยู่ที่เท่าไร ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้มีการระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน (Filing)

 

ทั้งนี้ ราคาซื้อขายในตลาดรองขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า ราคาหุ้น IPO ที่ต่ำจอง ไม่ได้เป็นผลมาจากการตั้งราคาเสนอขายแพงเสมอไป การที่หุ้นราคาตก หลังเข้าซื้อขายในตลาด จะต้องพิจารณาปัจจัยประกอบอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การกระจายหุ้นเป็นอย่างไร สัดส่วนผู้ถือหุ้นระหว่างนักลงทุนสถาบัน เมื่อเทียบกับรายย่อยเป็นเท่าไร พฤติกรรมการซื้อขายในวันแรก โดยเฉพาะพฤติกรรมการซื้อขายของรายย่อย ที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวร้าย และการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่านักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะมีการใช้ financial model วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น เป็นสาเหตุว่าทำไมนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จึงเน้นซื้อหุ้น IPO เพื่อหวังเก็งกำไรในช่วงข้ามคืน

 

นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับจังหวะการเข้าซื้อขายในตลาด หากหุ้นเข้าซื้อขายในช่วงที่ sentiment ตลาดดี วอลลุ่มเยอะ โดยมูลค่าเสนอขายวันแรกสูงกว่ามูลค่าเสนอขายทั้งหมด ราคาเปิดวันแรกก็มีโอกาสเหนือจอง เช่น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 หุ้นที่ทยอยเข้าซื้อขาย ได้อานิสงส์จาก sentiment ตลาดที่ปรับดีขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี

 

โดยจะเห็นได้จากในเดือนสิงหาคม หุ้น IPO มีอัตราการหมุนเวียนการซื้อขาย (Turnover) สูงถึง 4-5 เท่า สะท้อนว่าตลาดมีความเชื่อมั่นสูง เมื่อเทียบกับหุ้นที่เข้าซื้อขายในเดือนพฤศจิกายนซึ่งอัตรา Turnover อยู่ที่ 1 เท่า เท่านั้น ทำให้มีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ เนื่องจากนักลงทุนไม่มีกำลังซื้อหรือไม่อยากเข้าซื้อในช่วงนั้น

 

อย่างไรก็ตาม การแสดงจุดยืนของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเชื่อมั่นในเกณฑ์กำหนดราคาเสนอขาย IPO สวนทางกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ที่มองว่า หุ้น IPO ส่วนใหญ่ที่ต่ำจอง เป็นผลมาจากการตั้งราคาที่แพงเกินไป

 

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ FETCO ให้ความเห็นว่า ปัญหาหุ้น IPO ที่หลายตัวเข้ามาซื้อขายแล้วราคาปรับลดลงต่ำกว่าราคาเสนอขาย จริงๆ แล้วหัวใจสำคัญคือเรื่องของการตั้งราคา ซึ่งหากตั้งสูงเกินไปจะทำร้ายนักลงทุนที่จองซื้อ จึงจะมีการทบทวน และหารือในประเด็นดังกล่าวร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์แต่ละแห่ง โดยเฉพาะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)

 

ตลท.ส่งไม้ต่อคลังพิจารณา TISA ฟื้นชีวิตตลาดหุ้น

 

สำหรับความคืบหน้ามาตรการ TISA หรือ Thai Individual Saving Account ซึ่งเป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนหุ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยฟื้นสภาพคล่อง ดึงดูดเม็ดเงินใหม่ๆ ให้กับตลาดหุ้นไทย ‘อำนวย จิรมหาโภคา’ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 1 และดูแลสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า เบื้องต้น ตลท.ทำข้อเสนอไปยังกระทรวงการคลังแล้ว แต่กรอบเวลาอนุมัติมาตรการ ขึ้นกับกระบวนการพิจารณาต่อจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ

 

ทั้งนี้ การเกิดขึ้นของ TISA เป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการเพิ่มเสน่ห์ตลาดทุน ซึ่งในอนาคต จะมีมาตรการอื่นๆ ตามมา

 

TISA มีต้นแบบมาจาก Nippon Individual Savings Account (NISA) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ประชาชนให้ผลตอบรับดีมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างนิสัยการออมและลงทุนให้กับคนญี่ปุ่น กำหนดให้สามารถนำวงเงินซื้อขายหุ้น มาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งกำไรที่เกิดขึ้นจากการลงทุน (Capital gain) จะได้รับการยกเว้นภาษี ตามกรอบเวลาที่กำหนด

 

สำหรับจุดเด่นของ TISA จะเน้นไปที่การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ในรูปแบบของการยกเว้น ภาษีเงินปันผล (Dividend Withholding Tax) จากการลงทุนหุ้นรายตัว

 

“สำหรับรายย่อยบ้านเรา กำไรจากการซื้อขายหุ้น ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว แต่เสียภาษีปันผล จากหุ้น ซึ่งวงเงินลดหย่อนภาษีได้เท่าไร ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ความน่าสนใจของ TISA คือ Incentive เอาหัวใจของนักลงทุนมาจับ เพื่อออกแบบแพคเก็จสิทธิประโยชน์ ให้โดนใจรายย่อย”

 

โดยอำนวย ให้ความเห็นว่า มาตรการ TISA จะสามารถฟื้นสภาพคล่อง ในตลาดหุ้นไทยได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการให้สิทธิวงเงินลดหย่อนของรัฐบาล เช่น ยกเว้นภาษีปันผลจากหุ้น 10% เป็นเวลา 5 ปี ก็ทำให้เงินเย็นที่รายย่อยนำมาลงทุนหุ้นรายตัว ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะดึงดูดเม็ดเงินให้ไหลเข้ามา แต่หากรัฐบาล มีการจำกัดวงเงิน หรือจำกัดผู้ใช้สิทธิ มาตรการดังกล่าวก็จะไม่ดึงดูดในสายตานักลงทุนรายย่อยเท่าไร

The post ตลาดหลักทรัพย์เผยเกณฑ์ IPO เหมาะสมแล้ว ชี้ ‘ตลาดซบเซา-Turnover ต่ำ’ คือเหตุหุ้นต่ำจอง พร้อมหนุน TISA กลไกใหม่กู้สภาพคล่องตลาดหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>