Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 28 Jan 2025 11:57:35 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดสถิติทองคำย้อนหลัง 10 ปี พบราคาทองคำช่วง 1 เดือนหลังเทศกาลตรุษจีน จ่อรับผลตอบแทนเฉลี่ย 1.25% https://thestandard.co/gold-price-statistics-10-years-chinese-new-year/ Tue, 28 Jan 2025 11:57:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1035455 สถิติทองคำ 10 ปี

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเ […]

The post เปิดสถิติทองคำย้อนหลัง 10 ปี พบราคาทองคำช่วง 1 เดือนหลังเทศกาลตรุษจีน จ่อรับผลตอบแทนเฉลี่ย 1.25% appeared first on THE STANDARD.

]]>
สถิติทองคำ 10 ปี

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ก่อนเทศกาลตรุษจีน ตลาดทองคำมักคึกคักจากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้น เพราะทองคำเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและโชคลาภในวัฒนธรรมจีน รวมถึงประเพณีการมอบทองคำ เช่น เครื่องประดับหรือเหรียญนักษัตร ซึ่งถือเป็นการส่งต่อความโชคดีและเสริมสิริมงคลสำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ ด้วยความเชื่อที่ว่า การถือครองทองคำในช่วงตรุษจีนจะช่วยเสริมดวงด้านการเงินและนำพาความร่ำรวยมาสู่ชีวิตตลอดทั้งปี ความเชื่อนี้ทำให้การซื้อทองคำก่อนหรือระหว่างเทศกาลตรุษจีนกลายเป็นกิจกรรมสำคัญในหลายครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความมั่งคั่ง 

 

นอกเหนือจากความเชื่อในเชิงวัฒนธรรมและความต้องการแล้วนั้น ทองคำยังมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งราคาทองคำในช่วงตรุษจีนมักจะปรับตัวสูงขึ้นจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าตรุษจีนเป็นโอกาสที่ดีในการสะสมสินทรัพย์ที่มั่นคง ทั้งมองว่าเป็นการออมทรัพย์และรักษามูลค่าในระยะยาว ขณะเดียวกัน การเก็งกำไรระยะสั้นในช่วงตรุษจีนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนทองคำ ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อทองคำที่เพิ่มมากขึ้น

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

 

สถิติทองคำ 10 ปี

 

จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการซื้อทองคำก่อนตรุษจีนและถือครองจนถึงวันเทศกาลมักให้ผลตอบแทนในเชิงบวก

 

  • การซื้อทองคำล่วงหน้า 1 เดือน จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 6 ครั้ง จากทั้งหมด 10 ครั้ง
  • การซื้อทองคำล่วงหน้า 1 สัปดาห์ จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 6 ครั้ง จากทั้งหมด 10 ครั้ง เช่นกัน 

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าแม้จะมีแรงเทขายภายหลังช่วงเทศกาลตรุษจีนผ่านพ้นไป 1 สัปดาห์ แต่ทองคำยังคงมีแรงซื้อกลับมาหลังจากเทศกาลตรุษจีน 1 เดือน ทั้งนี้ ผลตอบแทนเฉลี่ยของราคาทองคำในรอบ 10 ปี ภายหลัง 1 เดือนจากเทศกาลตรุษจีน ยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกถึง 1.25%

 

ระหว่างเทศกาล แนะหาจังหวะ ‘สะสม’ เมื่อทองย่อตัว 

 

ขณะที่ พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีนี้ มีความคึกคักเช่นเดียวกับตรุษจีนส่วนใหญ่ในปีที่ผ่านมา โดยในช่วงเทศกาลตรุษจีน ตลาดทองคำในเอเชียจะค่อนข้างคึกคัก เนื่องจากทองคำจะถูกใช้มอบเป็นของขวัญ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในช่วง 1 เดือนก่อนเทศกาลตรุษจีน แต่ในช่วงเทศกาลจะมีจังหวะที่สามารถเข้าซื้อได้ โดยช่วงวันหยุดยาวของประเทศจีน (Golden Week) ที่ตลาดทองคำในจีนปิดทำการ จะทำให้ดีมานด์จากจีนหายไป ราคาจึงมักจะย่อตัวลง และถือเป็นโอกาสเข้าซื้ออีกครั้ง

 

จากสถิติ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า ราคาทองคำ 6 ใน 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 1 เดือนก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน โดยในปีนี้มองว่าหากผ่านช่วง Golden Week แล้วราคาปรับตัวลงอย่างจำกัด มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง 

 

ซึ่งจากสถิติพบว่า ราคาทองคำ 7 ใน 10 ปี จะกลับมาปรับตัวขึ้นภายใน 3 วันหลังจากตลาดจีนกลับมาเปิดทำการ โดยราคาทองคำจะมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 2,800-2,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งในปีนี้ยังมีอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้ทองคำไปต่อหลังตรุษจีน คือความเสี่ยงการดำเนินนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะการกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ยลง

 

การ์ดทองขายดีช่วงตรุษจีน 

 

ในช่วงเทศกาลตรุษจีน YLG พบว่าการ์ดทองคำซึ่งเป็นทองคำขนาดเริ่มตั้งแต่ 0.5 กรัม ที่มาพร้อมแพ็กเกจจิ้งลวดลายมงคล เช่น ลายเทพเจ้า ลายอักษรจีนมงคล และลายปีนักษัตรต่างๆ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นของขวัญที่สามารถเพิ่มมูลค่าในอนาคต นำไปขายทำกำไรได้ และมีราคาเริ่มต้นเพียงไม่ถึง 2,000 บาท จึงทำให้จับต้องได้ง่าย นอกจากนี้ YLG ยังมีบริการให้ลูกค้าสั่งทำลวดลายเฉพาะสำหรับแต่ละคนได้ มีน้ำหนักทองตั้งแต่ 0.5 กรัมขึ้นไป ให้เลือกซื้อสำหรับส่งมอบเป็นของขวัญ รวมถึงมีบริการเลเซอร์ลวดลายต่างๆ ภาพคนสำคัญ และข้อความลงบนเหรียญทองและทองคำแท่ง เพื่อมอบเป็นของขวัญชิ้นพิเศษชิ้นเดียวในโลก

 

สำหรับการ์ดทองคำแท่งไม่เพียงตอบโจทย์การมอบเป็นของขวัญตามเทศกาลต่างๆ แต่ยังเหมาะสำหรับสะสมเพื่อลงทุนระยะยาวสำหรับผู้ที่เริ่มลงทุน หรือนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนหน้าใหม่ เช่น วัยเริ่มต้นทำงาน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน YLG พบว่านักลงทุนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาลงทุนทองคำมากขึ้น 

 

โดยการเก็บข้อมูลจากแอปพลิเคชันเป๋าตังที่ YLG เปิดให้บริการ Gold Wallet บริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ พบว่ากลุ่มนักลงทุนอายุต่ำกว่า 30 ปี เริ่มเข้ามาลงทุนมากเป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มอายุ 30-40 ปี และอันดับ 3 คือ กลุ่มอายุ 50-60 ปี ส่วนอายุ 60 ปีขึ้นไป จะลงทุนผ่านแอปพลิเคชันน้อยที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่นิยมลงทุนกับทองคำแท่งที่จับต้องได้มากกว่าการซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้น

 

ภาพ: FOTOGRIN / Shutterstock

 

The post เปิดสถิติทองคำย้อนหลัง 10 ปี พบราคาทองคำช่วง 1 เดือนหลังเทศกาลตรุษจีน จ่อรับผลตอบแทนเฉลี่ย 1.25% appeared first on THE STANDARD.

]]>
DeepSeek เขย่าหุ้นเทคโลก จุดชนวนย้อนรอยฟองสบู่ดอทคอม https://thestandard.co/deepseek-impact-global-tech-stock-market/ Tue, 28 Jan 2025 11:22:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1035441 DeepSeek

กระแสของ DeepSeek โมเดล AI สัญชาติจีน ทำให้บรรดาหุ้นเทค […]

The post DeepSeek เขย่าหุ้นเทคโลก จุดชนวนย้อนรอยฟองสบู่ดอทคอม appeared first on THE STANDARD.

]]>
DeepSeek

กระแสของ DeepSeek โมเดล AI สัญชาติจีน ทำให้บรรดาหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกถูกเทขายจนมูลค่าหายไปรวมกันหลายล้านล้านบาท

 

ดัชนี NASDAQ ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเทคสหรัฐฯ ดิ่งลง -3% คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (27 มกราคม) โดยเฉพาะหุ้นอย่าง NVIDIA ที่ดิ่งลงเกือบ -17% ภายในวันนี้ จากที่เคยมีมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมาเหลือ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ หายไปราว 6 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 21 ล้านล้านบาท ภายในวันเดียว

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 


 

 

หุ้นเทคอื่นๆ ที่ร่วงลงแรง เช่น Broadcom -17.4%, Oracle -13.8%, TSMC -13.3%, Alphabet (Google) -4%, Tesla -2.3% และ Microsoft -2.1% 

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกว่า พัฒนาการของ DeepSeek เป็นเรื่องที่ดีในมุมที่ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีสามารถใช้เงินลงทุนต่ำลงได้ ขณะเดียวกัน กระแสของ DeepSeek เป็นสัญญาณเตือนอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ว่าต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 

 

ฟองสบู่หุ้นเทคกำลังแตก?

 

การเทขายหุ้นเทคอย่างดุเดือดนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาวะ ‘ฟองสบู่แตก’ อีกครั้ง

 

Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates บริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ กล่าวกับสำนักข่าว Financial Times ว่า กระแสและมุมมองเชิงบวกต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของนักลงทุน ทำให้เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นมา ซึ่งคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ก่อนเกิดวิกฤตดอทคอมช่วงปี 1998 และ 1999

 

“มีเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าจะเปลี่ยนโลกและประสบความสำเร็จ แต่บางคนกำลังสับสนระหว่างความสำเร็จของเทคโนโลยีกับความสำเร็จของการลงทุน” Dalio กล่าว

 

คำเตือนของ Dalio เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าการลงทุนใน AI อาจถูกประเมินค่าเกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกระแสของ DeepSeek ปะทุขึ้นมา ซึ่งโมเดล DeepSeek-R1 ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการประมวลผลใกล้เคียงกับคู่แข่งอย่าง ChatGPT แต่ทำงานบนฮาร์ดแวร์รุ่นเก่าและใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก

 

ตั้งแต่ต้นปี 2023 การเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีทำให้ดัชนี NASDAQ พุ่งขึ้นถึง 2 เท่า คล้ายกับการเติบโตที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนวิกฤตดอทคอม 

 

ความหวือหวาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง ‘อินเทอร์เน็ต’ ในเวลานั้น ผลักดันให้หุ้นหลายต่อหลายตัวพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง ก่อนที่จะเกิดการล่มสลายของมูลค่าและการล้มละลายของบริษัทชื่อดังหลายแห่ง เนื่องจากมีเพียงบริษัทส่วนน้อยที่สามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตได้อย่างประสบความสำเร็จและทำกำไรได้ในช่วงแรก

 

ตัดภาพมาที่เทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน จะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ทุ่มเงินลงทุนกับ AI เป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่กลับให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่จำกัด 

 

เงินลงทุนกำลังจะกระจายตัวมากขึ้น

 

สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย บอกว่า หลังการเปิดตัวของ ChatGPT เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 กองทุนทั่วโลกแห่เข้าไปลงทุนในหุ้นเทคสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ จนเม็ดเงินลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

 

ทำให้ผลตอบแทนของดัชนี MSCI Growth ที่เป็นตัวแทนของหุ้นเติบโต ฉีกหนีออกจากผลตอบแทนของ MSCI Value ที่เป็นตัวแทนของหุ้นคุณค่าเกือบ 40% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

แต่หลังจากที่ DeepSeek เป็นที่รู้จักมากขึ้น ล่าสุดนำไปสู่การตั้งคำถามว่า การลงทุนในระดับหมื่นล้านหรือแสนล้านของหลายบริษัทยังจำเป็นขนาดนั้นหรือไม่ 

 

คำตอบของคำถามนี้ ส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นผ่านการประกาศผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคต่างๆ ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะมุมมองของผู้บริหารของแต่ละบริษัทเกี่ยวกับการตั้งงบลงทุนในปี 2025 

 

ส่วนการลงทุนของนักลงทุนในหุ้นเทค น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นผ่าน 3 ส่วน ได้แก่ 

 

  1. การโยกย้ายเงินลงทุนในกลุ่ม Magnificent 7 จากหุ้นเทคต้นน้ำมาสู่กลางน้ำมากขึ้น เช่น จาก NVIDIA ไปสู่ Microsoft, Google และ Amazon

 

  1. การโยกย้ายเงินลงทุนจากหุ้น Growth มาสู่หุ้น Value มากขึ้น หลังจากมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตของกำไรปี 2025 ของบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% ส่วนหุ้นอีก 493 บริษัทที่เหลือใน S&P 500 จะเติบโตเฉลี่ย 12% เป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น 

 

  1. ถ้าสงครามชิปรุนแรงมากขึ้นและกดดันต่อราคา อาจทำให้หุ้นเทคสหรัฐฯ ที่อยู่บน P/E สูงเกิดการปรับฐาน ขณะที่หุ้นกลุ่ม MSCI Asia ที่เป็นตัวแทนหุ้น Value และ MSCI Dividend จะปรับตัวดีขึ้น 

 

มหาเศรษฐีโลกสูญความมั่งคั่ง 1.08 แสนล้านดอลลาร์ในวันเดียว

 

อีกหนึ่งผลกระทบจากกระแสของ DeepSeek คือความมั่งคั่งของบรรดามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 500 คน นำโดย Jensen Huang ผู้ร่วมก่อตั้ง NVIDIA 

 

วันจันทร์ที่ผ่านมา ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีโลกลดลงไป 1.08 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.8 ล้านล้านบาท 

 

มหาเศรษฐีที่ความมั่งคั่งเชื่อมโยงกับ AI เป็นผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ได้แก่

  • Jensen Huang สูญความมั่งคั่ง 2.01 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็น 20% ของมูลค่าทรัพย์สิน
  • Larry Ellison ผู้ร่วมก่อตั้ง Oracle Corp. สูญความมั่งคั่ง 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะมากกว่า Huang ในเชิงมูลค่า แต่คิดเป็น 12% ของทรัพย์สินทั้งหมด
  • Michael Dell ผู้ก่อตั้ง Dell Inc. สูญความมั่งคั่ง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์
  • Changpeng Zhao ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance Holdings Ltd. สูญความมั่งคั่ง 1.21 หมื่นล้านดอลลาร์

 

Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศเมื่อวันที่ 24 มกราคมว่า บริษัทมีแผนลงทุน 6-6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ใน Wall Street คาดการณ์ไว้ รายงานจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า การใช้จ่ายด้านเงินทุนของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ทั้งหมดอาจแตะ 2 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2025

 

แม้ว่ารายได้จากการลงทุนใน AI จะยังมีจำกัด แต่ตลาดกลับประเมินมูลค่าของหุ้นเทคสหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสร้างความมั่งคั่งในระดับประวัติศาสตร์ให้กับเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ เช่น Jensen Huang มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเกือบ 8 เท่าเป็น 1.21 แสนล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี 2023 หรือ Mark Zuckerberg มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 385% เป็น 2.29 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วน Jeff Bezos มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 133% เป็น 2.54 แสนล้านดอลลาร์

 

ภาพ: Dia Dipasupil / Staff / Getty Images, NurPhoto / Contributor / Getty Images, one studio 900 / Shutterstock 

อ้างอิง:

 

The post DeepSeek เขย่าหุ้นเทคโลก จุดชนวนย้อนรอยฟองสบู่ดอทคอม appeared first on THE STANDARD.

]]>
รับมือยุค Trump 2.0 ทำการลงทุนทั่วโลกผันผวนหนัก ต้องกระจายการลงทุน แนะโอกาสลงทุนทางเลือกใน SUMX https://thestandard.co/trump-2-0-global-investment-volatility/ Tue, 28 Jan 2025 10:48:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1035408 Trump 2.0 กระจายการลงทุน

ในยุค Trump 2.0 ภาพการลงทุนของโลกจะมีความผันผวนหนักขึ้น […]

The post รับมือยุค Trump 2.0 ทำการลงทุนทั่วโลกผันผวนหนัก ต้องกระจายการลงทุน แนะโอกาสลงทุนทางเลือกใน SUMX appeared first on THE STANDARD.

]]>
Trump 2.0 กระจายการลงทุน

ในยุค Trump 2.0 ภาพการลงทุนของโลกจะมีความผันผวนหนักขึ้น จากหลายนโยบายของสหรัฐฯ ที่กำลังจะเปิดสงครามการค้าขยายวงกว้างไปทั่วโลก ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาพการลงทุนทั่วโลกที่ผันผวนสูงขึ้น ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนจึงจำเป็น ไปทำความรู้จักโทเคนดิจิทัล SUMX โอกาสลงทุนทางเลือก

 

ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน Wealth Products and Strategy บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ภาพการลงทุนในยุค Trump 2.0 ซึ่งมีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ใช้โจมตีขยายออกไปในวงกว้างหลายประเทศมากกว่าในยุคของ Trump 1.0 ที่มุ่งไปที่จีนเป็นหลัก  

 

ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนจึงมีความสำคัญ ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการลงทุน โดยประเทศไทยมีการสนับสนุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมาแล้วประมาณ 7 ปี หลังจากมีการออก พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ อีกทั้งเปิดโอกาสอนุญาตให้กองทุนไทยลงสามารถลงทุนในคริปโตและ ETF ต่างประเทศ

 

รวมถึงก่อนหน้านี้ทางการยังอนุญาตให้นักลงทุนไทยสามารถลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่มีสินทรัพย์อ้างอิงคือ โครงการอสังหาริมทรัพย์หรือโครงการอินฟราสตรัคเจอร์ได้แบบไม่จำกัดมูลค่า จากเดิมที่กำหนดให้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อราย

 

ทั้งนี้ มองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลถือว่ามีความที่น่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะดิจิทัลโทเคนซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย อีกทั้งมีสินทรัพย์ลงทุนอ้างอิงชัดเจน

 

นอกจากนี้การลงทุนในอดีตหากต้องการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ เช่น อาคารสำนักงาน เพื่อรับผลตอบแทนกลับมาเป็นค่าเช่าเป็นรายได้ประจำจะต้องใช้เงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง แต่ปัจจุบันสามารถลงทุนผ่านดิจิทัลโทเคนที่มีโครงการอสังหาริมทรัพย์อ้างอิง

 

รู้จักโครงการ ‘Summer Point’ อัตราเช่าสูง 96% 

 

ดร.รัฐศรัณย์ กล่าวต่อ ปัจจุบันมีโครงการอาคาร Summer Point ที่ทำเลที่ตั้งติดกับสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เพราะตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทองหล่อกับอ่อนนุช 

 

นอกจากนี้อาคาร Summer Point ยังมีอัตราการเช่าสูงในระดับ 96% ซึ่งปกติหากต้องการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ทางตรงในโครงการนี้อาจต้องใช้เงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งมีข้อจำกัดในด้านสภาพคล่องการซื้อขายเปลี่ยนมือ

 

และล่าสุด บริษัท เดอะ อิชชูเออร์ จำกัด (The ISSUER)​ ซึ่งมีผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์​คือ บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)​ เตรียมที่จะเสนอขาย Summer Point Token (SUMX) โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน Summer Point โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate-backed Investment Token) เสนอขายผ่าน Token X ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

 

การมีนวัตกรรมทางการเงินคือ โทเคนดิจิทัลสามารถเข้ามาช่วยให้นักลงทุนใช้เงินลงทุนที่ไม่สูง สามารถเริ่มต้นใน SUMX ด้วยเงินลงทุน 500 บาท โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิในการได้รับส่วนแบ่งรายได้ค่าเช่าจากอาคารนี้ รวมถึงมีสิทธิในการโหวตออกเสียงที่เกี่ยวข้อง

 

สำหรับโทเคนดิจิทัล SUMX มีราคาจองที่ 0.50 บาทต่อโทเคน ถือว่ามีส่วนลดจากราคาประเมินของอาคาร Summer Point ซึ่งผู้ประเมินประเมินมูลค่าโครงการไว้ที่ 490-520 ล้านบาท โดยคิดเป็นส่วนลดประมาณ 8-15% 

 

อีกทั้งหากเปรียบเทียบกับการลงทุนในโทเคนดิจิทัลกับหุ้นกู้ก็ยังมีการใช้เงินลงทุนที่ต่ำกว่าและมีสภาพคล่องที่สูงกว่า เนื่องจากหุ้นกู้ไม่มีตลาดรองซื้อขายแบบเป็นทางการ ขณะที่ดิจิทัลโทเคนสามารถทำการซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงใน 7 วัน

 

SUMX ดิจิทัลโทเคนให้ผลตอบแทนคาดหวัง 10.2% ต่อปี

 

นอกจากนี้การลงทุนใน SUMX โทเคนดิจิทัล มีข้อดีคือสามารถวิเคราะห์การลงทุนได้จากสินทรัพย์ที่อ้างอิงได้โดยตรงคืออาคาร Summer Point ที่มีอัตราการเช่าที่สูง และถือเป็นโครงการใหม่ที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จมาเพียง 5 ปี

 

ประกอบกับมีผู้เช่าที่หลากหลายและมีโอกาสได้รับค่าเช่าสุทธิซึ่งจะจ่ายเป็นรายไตรมาสตลอดอายุของโครงการ 25 ปี โดยมีผลตอบแทนคาดหวัง (IRR) อยู่ที่ประมาณ 10.2% ต่อปี ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคของ Trump 2.0 ซึ่งจะเห็นภาพความผันผวนของการลงทุนที่สูง

 

อย่างไรก็ดี มองว่าด้วยโครงสร้าง SUMX เหมาะสมที่จะถือลงทุนในระยะยาว เพราะจะได้ผลตอบแทนเป็นส่วนแบ่งรายได้จากค่าเช่าสุทธิเป็นรายไตรมาส อีกทั้งยังทยอยคืนเงินต้นในสัดส่วน 1% ต่อไปไตรมาส ดังนั้นเมื่อถือลงทุนครบ 25 ปีก็จะได้รับเงินต้นคืนครบทั้ง 100% รวมถึงเงินต้นที่ได้รับคืนได้รับสิทธิยกเว้นภาษี 

 

ส่วนรายได้จากค่าเช่าสุทธินั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้จัดเก็บในอัตรา 15% ณ ที่จ่าย โดยไม่ต้องนำไปคำนวณรวมกับรายได้ของบุคคลธรรมดาที่มีอัตราสูงถึง 35% ส่วนกรณีที่ผู้ลงทุนมีการขายและมีกำไรจากการลงทุน (Capital Gain) ที่เกิดขึ้นจะต้องนำไปคำนวณรวมการเพื่อเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา

 

“แนะนำให้เริ่มลงทุนในดิจิทัลโทเคนสัดส่วนราว 5-10% ของพอร์ตลงทุนเพื่อให้พอร์ตสามารถสร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนได้เรื่อยๆ ช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว”

 

สำหรับนักลงทุนที่สนใจจองซื้อ SUMX สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Token X และสามารถเปิดบัญชีเพื่อลงทุนได้ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ InnovestX Customer Service ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2949 1999

The post รับมือยุค Trump 2.0 ทำการลงทุนทั่วโลกผันผวนหนัก ต้องกระจายการลงทุน แนะโอกาสลงทุนทางเลือกใน SUMX appeared first on THE STANDARD.

]]>
DSI เสนออัยการสั่งฟ้อง ‘หมอบุญ’ กับพวก ฉ้อโกงประชาชน 605 ราย เสียหายกว่า 14,200 ล้านบาท https://thestandard.co/dsi-sues-dr-boon-fraud/ Tue, 28 Jan 2025 03:51:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1035250 dsi-sues-dr-boon-fraud

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระบุว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ […]

The post DSI เสนออัยการสั่งฟ้อง ‘หมอบุญ’ กับพวก ฉ้อโกงประชาชน 605 ราย เสียหายกว่า 14,200 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
dsi-sues-dr-boon-fraud

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระบุว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษรับโอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณี นพ.บุญ (สงวนนามสกุล) กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567

 

ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองกิจการอำนวยความยุติธรรม ร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน จากผู้กล่าวหาและผู้เสียหายจำนวนกว่า 605 ราย ปรากฏมูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาท และสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดเข้าสู่สำนวนแล้วจำนวน 13 ราย

 

หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในคดีดังกล่าวประชุมและมีมติเห็นควรเสนอให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 16 ราย ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตาม พ.ร.บ.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และที่แก้ไขเพิ่มเติม และร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา

 

ล่าสุดวานนี้ (27 มกราคม) พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้ ร.ต.อ. วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ, อังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ เลขานุการคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 136/2567 นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าวจำนวน 342 แฟ้ม รวมเอกสารกว่า 130,000 แผ่น พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง นพ.บุญ กับพวก รวม 16 ราย ซึ่งถูกจับกุมแล้วจำนวน 13 ราย (อีก 3 รายหลบหนี อยู่ระหว่างติดตามตัว รวมทั้ง นพ.บุญ ด้วย) ไปส่งมอบให้แก่พนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานคดีพิเศษ เพื่อให้พนักงานอัยการมีความเห็นทางคดีต่อไป

 

ทั้งนี้ การดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษให้มีความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม เป็นนโยบายหลักประการสำคัญของ พ.ต.ต. ยุทธนา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสอบสวนคดีพิเศษ และให้เป็นที่เชื่อถือและศรัทธาของสังคมในการป้องกันปราบปรามและสืบสวนสอบสวนคดีในความรับผิดชอบ เพื่อให้การบริหารองค์กรมีความยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต่อไป

The post DSI เสนออัยการสั่งฟ้อง ‘หมอบุญ’ กับพวก ฉ้อโกงประชาชน 605 ราย เสียหายกว่า 14,200 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
NVIDIA สูญเสียมูลค่าเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์ หลัง DeepSeek ของจีนท้าทายการแข่งขันด้าน AI https://thestandard.co/nvidia-stock-drop-deepseek-ai-competition/ Tue, 28 Jan 2025 02:07:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1035167 กราฟแสดงการร่วงลงของหุ้น NVIDIA หลัง DeepSeek ท้าชิงตลาด AI

หุ้น NVIDIA สูญเสียมูลค่าตลาดไปเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สห […]

The post NVIDIA สูญเสียมูลค่าเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์ หลัง DeepSeek ของจีนท้าทายการแข่งขันด้าน AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟแสดงการร่วงลงของหุ้น NVIDIA หลัง DeepSeek ท้าชิงตลาด AI

หุ้น NVIDIA สูญเสียมูลค่าตลาดไปเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันจันทร์ (27 มกราคม) ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดภายในวันเดียวสำหรับบริษัทในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา หลังจากที่ DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพจีนก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ในภาคส่วนนี้

 

หุ้น NVIDIA ปิดตลาดลดลง 17% ที่ 118.58 ดอลลาร์สหรัฐ โดยทำผลงานได้แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการระบาดของโรคโควิด หลังจากที่ NVIDIA แซง Apple ขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สูงสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ การร่วงลงของ NVIDIA ในวันจันทร์ส่งผลให้ Nasdaq ซึ่งเน้นด้านเทคโนโลยีร่วงลง 3.1%

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

แรงเทขายดังกล่าวเกิดจากความกังวลว่า AI ของจีนอย่าง DeepSeek กำลังสร้างการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นในการต่อสู้ด้าน AI ระดับโลก โดยเมื่อปลายเดือนที่แล้ว DeepSeek เปิดตัวโมเดลภาษา Open-Source ขนาดใหญ่ฟรี ซึ่งบริษัทระบุว่า ใช้เวลาเพียง 2 เดือน และใช้เงินน้อยกว่า 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการสร้าง โดยใช้ชิป Reduced-Capability Chips จาก NVIDIA ที่เรียกว่า H800s

 

หลังจากที่ NVIDIA พุ่งสูงขึ้นถึง 239% ในปี 2023 และปรับตัวขึ้นอีก 171% ในปี 2024 ตลาดก็เริ่มกังวลว่าจะเกิดแรงเทขายหรือไม่ Broadcom ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ อีกรายที่มีมูลค่าเพิ่มมหาศาลจาก AI ร่วงลง 17% ในวันจันทร์ ทำให้มูลค่าตลาดลดลง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

สำหรับ NVIDIA การร่วงลง 5.89 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียมูลค่าตลาดในวันเดียวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แซงหน้าการปรับตัวลงของ Meta ที่ 2.32 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ก่อนหน้านั้นการปรับตัวลงที่มากที่สุดคือ 1.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐของ Apple ในปี 2020 นอกจากนี้ มูลค่าสุทธิของ NVIDIA ลดลงมากกว่ามูลค่าตลาดของ Coca-Cola และ Chevron ถึง 2 เท่า และเกินมูลค่าตลาดของทั้ง Oracle และ Netflix

 

มูลค่าสุทธิของ เจนเซน หวง ซีอีโอ ก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน โดยลดลงประมาณ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายชื่อมหาเศรษฐีแบบเรียลไทม์ของ Forbes การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้หวงตกไปอยู่อันดับที่ 17 ในรายชื่อบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลก

 

ความตื่นเต้นอย่างกะทันหันเกี่ยวกับ DeepSeek ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้แอปพลิเคชันของบริษัทแซงหน้า ChatGPT ของ OpenAI ขึ้นเป็นแอปฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบน App Store ในสหรัฐฯ การพัฒนาโมเดลดังกล่าวเกิดขึ้นแม้จะมีการจำกัดการส่งออกชิปของสหรัฐฯ ไปยังจีนหลายครั้งเมื่อไม่นานนี้

 

NVIDIA เรียกโมเดล R1 ของ DeepSeek ว่าเป็น “ความก้าวหน้าทาง AI ที่ยอดเยี่ยม” แม้ว่าการเกิดขึ้นของบริษัทสตาร์ทอัพจีนแห่งนี้จะทำให้ราคาหุ้นของ NVIDIA ลดลงมากถึง 17% ในวันจันทร์ก็ตาม จากแถลงการณ์ NVIDIA มองว่าความก้าวหน้าของ DeepSeek คือการสร้างงานเพิ่มเติมให้กับหน่วยประมวลผลกราฟิกหรือ GPU ของผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกันรายนี้

 

NVIDIA ยังกล่าวอีกว่า GPU ที่ DeepSeek ใช้ เป็นไปตามข้อกำหนดการส่งออกอย่างสมบูรณ์ ซึ่งขัดแย้งกับความคิดเห็นของ อเล็กซานเดอร์ หวัง ซีอีโอของ Scale AI เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เขาเชื่อว่า DeepSeek ใช้ GPU รุ่นของ NVIDIA ซึ่งถูกแบนในจีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่ DeepSeek กล่าวว่าใช้ GPU รุ่นพิเศษของ NVIDIA ที่ตั้งใจจะวางจำหน่ายในตลาดจีน

 

นักวิเคราะห์กำลังตั้งคำถามว่า การลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐจากบริษัทต่างๆ เช่น Microsoft, Google และ Meta สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใช้ NVIDIA นั้นสูญเปล่าหรือไม่ เมื่อ DeepSeek สามารถบรรลุผลลัพธ์เดียวกันได้ในราคาที่ถูกกว่า

 

เมื่อต้นเดือนนี้ Microsoft กล่าวว่า จะใช้จ่าย 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ในปี 2025 เพียงปีเดียว ขณะที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า บริษัทโซเชียลมีเดียแห่งนี้วางแผนที่จะลงทุนระหว่าง 6-6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในค่าใช้จ่ายด้านทุนในปี 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ AI

 

ภาพ: CFOTO / Contributor / Getty Images

อ้างอิง:

The post NVIDIA สูญเสียมูลค่าเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์ หลัง DeepSeek ของจีนท้าทายการแข่งขันด้าน AI appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาดทรัมป์ดันนโยบาย ‘America First’ แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังต้องจับตา 4 ความเสี่ยงที่ตามมา https://thestandard.co/trump-america-first-policy-analysis/ Tue, 28 Jan 2025 01:39:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1035159 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำเสนอ นโยบาย America First ในการบริหารประเทศ

The post คาดทรัมป์ดันนโยบาย ‘America First’ แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังต้องจับตา 4 ความเสี่ยงที่ตามมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำเสนอ นโยบาย America First ในการบริหารประเทศ

The post คาดทรัมป์ดันนโยบาย ‘America First’ แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังต้องจับตา 4 ความเสี่ยงที่ตามมา appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนออกมาตรการใหม่ กระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน จ่อลดต้นทุนของกองทุนดัชนีและยกเว้นค่าธรรมเนียม Market Maker https://thestandard.co/china-stock-market-stimulus-measures/ Mon, 27 Jan 2025 01:13:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1034699 อาคารตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สะท้อนมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นใหม่

จีนประกาศมาตรการใหม่เพื่อส่งเสริมการลงทุนในดัชนีหุ้น ซึ […]

The post จีนออกมาตรการใหม่ กระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน จ่อลดต้นทุนของกองทุนดัชนีและยกเว้นค่าธรรมเนียม Market Maker appeared first on THE STANDARD.

]]>
อาคารตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สะท้อนมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้นใหม่

จีนประกาศมาตรการใหม่เพื่อส่งเสริมการลงทุนในดัชนีหุ้น ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดในการสนับสนุนตลาดหุ้นจีนที่กำลังประสบปัญหา ขณะที่เศรษฐกิจภายนอกกำลังเผชิญภาวะผันผวน

 

คณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (China Securities Regulatory Commission: CSRC) ระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 มกราคม) ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขนาดและสัดส่วนการลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญผ่านมาตรการดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง

 

หน่วยงานกำกับดูแลตั้งเป้าหมายที่จะเสริมสร้างฟังก์ชันการจัดสรรสินทรัพย์ของกองทุนดัชนี และจัดเตรียมช่องทางที่สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับกองทุนระยะกลางและระยะยาวในการเข้าสู่ตลาด

 

นอกจากนี้ CSRC จะพยายามดึงดูดกองทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น A-Share ที่ใช้สกุลเงินหยวนผ่านกองทุน ETF และส่งเสริมการพัฒนากองทุน ETF หุ้นและพันธบัตรอย่างแข็งขัน นอกจากนี้หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นยังได้ให้คำมั่นว่าจะลดต้นทุนของกองทุนดัชนีและยกเว้นค่าธรรมเนียม Market Maker

 

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หุ้นจีนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันท่ามกลางความกลัวต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ยาวนานและภัยคุกคามจากภาษีที่สูงขึ้นของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ นักลงทุนผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ กับความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปของปักกิ่ง และตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของมาตรการที่นำมาใช้จนถึงขณะนี้

 

อู๋ชิง ประธาน China Securities Regulatory Commission หรือ CSRC กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า รัฐบาลกำลังชี้แนะให้กองทุนรวมและบริษัทประกันภัยในประเทศเพิ่มการซื้อหุ้น เขากล่าวว่า กองทุนรวมควรเพิ่มการถือหุ้นในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 10 ต่อปีในอีก 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่บริษัทประกันภัยของรัฐขนาดใหญ่จะต้องลงทุนร้อยละ 30 ของเบี้ยประกันใหม่ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

 

นอกจากนี้ตามรายงานของ China Banking and Insurance News เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุว่า จีนยังอนุมัติเงินลงทุนระยะยาวของบริษัทประกันภัยเป็นมูลค่า 52,000 ล้านหยวน หรือคิดเป็น 7,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย 

 

เศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวปานกลางในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ซึ่งช่วยผลักดันให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการเติบโตประจำปีที่ประมาณ 5% ไว้ได้ 

 

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ผู้กำหนดนโยบายของจีนได้ออกมาตรการรักษาเสถียรภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์นับตั้งแต่เกิดวิกฤตในปี 2021 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราหนี้สินสูง วิกฤตที่อยู่อาศัยคาดว่าจะทำให้ผู้คนหันมาออมเงินมากกว่าลงทุน แม้ว่านโยบายสนับสนุนของปักกิ่ง ซึ่งรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองและผ่อนปรนข้อจำกัดในการซื้อบ้าน ดูเหมือนจะทำให้ความรู้สึกของผู้ซื้อบ้านดีขึ้นในระดับปานกลาง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งได้

 

แรงผลักดันจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนั้นน่าจะเป็นเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการส่งออกชะลอตัวและตลาดที่อยู่อาศัยยังคงอ่อนแออยู่ แม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศเป้าหมายอย่างเป็นทางการจนกว่าจะถึงเดือนมีนาคม แต่คาดว่าจีนจะรักษาเป้าหมายการเติบโต 5% ไว้ได้สำหรับปี 2025

 

ภาพ: VCG / Contributor

อ้างอิง:

The post จีนออกมาตรการใหม่ กระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน จ่อลดต้นทุนของกองทุนดัชนีและยกเว้นค่าธรรมเนียม Market Maker appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ลุยหุ้นนอกแบบมือใหม่ รวมทริกที่นักลงทุนต้องรู้ | NEW GEN INVESTOR MEDLEY#2 https://thestandard.co/new-gen-investor-medley-2/ Sat, 25 Jan 2025 03:03:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1034066

ในคลิปนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับการลงทุนในตลาดหุ้นต […]

The post ชมคลิป: ลุยหุ้นนอกแบบมือใหม่ รวมทริกที่นักลงทุนต้องรู้ | NEW GEN INVESTOR MEDLEY#2 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในคลิปนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศสำหรับมือใหม่ พร้อมทั้งแชร์ทริกและเทคนิคที่นักลงทุนรุ่นใหม่ต้องรู้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนและลดความเสี่ยงให้มากที่สุด! ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นลงทุนหุ้นนอกจากศูนย์หรือมีประสบการณ์บ้างแล้ว คลิปนี้มีคำแนะนำที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริงในทุกขั้นตอนของการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่าพลาด!

The post ชมคลิป: ลุยหุ้นนอกแบบมือใหม่ รวมทริกที่นักลงทุนต้องรู้ | NEW GEN INVESTOR MEDLEY#2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ความเสี่ยง Provident Fund ที่ยังลงทุนกระจุก! บลจ.กสิกรไทย คาด หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า https://thestandard.co/wealth-in-depth-thai-stocks-5-percent/ Fri, 24 Jan 2025 08:18:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1034025

บลจ.กสิกรไทย คาด ผลตอบแทนหุ้นไทยในอีก 10-15 ปีข้างหน้าจ […]

The post ความเสี่ยง Provident Fund ที่ยังลงทุนกระจุก! บลจ.กสิกรไทย คาด หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

บลจ.กสิกรไทย คาด ผลตอบแทนหุ้นไทยในอีก 10-15 ปีข้างหน้าจะลดลงเหลือเพียง 5% ต่อปี และผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลแทนที่การเติบโต แนะนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันมุ่งลงทุนต่างประเทศ 

 

จากบทวิจัย KAsset Capital Market Assumptions (KCMA) ที่จัดทำโดย บลจ.กสิกรไทย ร่วมกับ J.P. Morgan Asset Management เพื่อนำเสนอมุมมองเชิงลึกที่ครอบคลุมแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ผลตอบแทน และความเสี่ยง ของสินทรัพย์กว่า 100 ประเภทในระยะเวลา 10-15 ปีข้างหน้า 

 

ปณตพล ตัณฑวิเชียร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน กล่าวว่า ผลตอบแทนรวม (Total Return) ของหุ้นไทยในอนาคตจะอยู่ที่ราว 5% ต่อปี โดยผลตอบแทนส่วนใหญ่ราว 3.9% จะมาจากเงินปันผล ขณะที่รายได้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยน่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.7% 

 

หากมองในแง่ดี หุ้นไทยจะกลายเป็นสวรรค์ของเงินปันผล เพราะหุ้นไทยส่วนใหญ่อยู่ในเศรษฐกิจยุคเก่า (Old Economy) และบริษัทขนาดใหญ่หลายรายเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดได้สม่ำเสมอ 

 

“แม้จะขาดปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่โดดเด่น แต่ยังมีข้อดีสำหรับการลงทุนในหุ้นไทยนั่นคือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล โดยบริษัทจดทะเบียนไทยมีแนวโน้มจะเพิ่มอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลจาก 60% เป็น 63% ของกำไรสุทธิ” บทวิจัยระบุว่า

 

ปณตพลกล่าวต่อว่า การให้มูลค่าหุ้นไทยสะท้อนผ่านค่า P/E จะลดลงสู่ระดับ 14.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา โดยหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญคือผลิตภาพ (Productivity) โดยรวมของประเทศที่ค่อนข้างต่ำอยู่ที่ระดับ 0.49 ต่ำกว่าประเทศอย่างมาเลเซีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน 

 

วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า GDP ของไทยจะเติบโตเฉลี่ย 2.4% ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เนื่องจากความท้าทายหลายด้าน เช่น สังคมสูงอายุ ธุรกิจส่วนใหญ่ที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่า รวมทั้งการเข้ามาตีตลาดของสินค้าต่างประเทศ 

 

ความท้าทายเหล่านี้ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังของหุ้นไทยอยู่ที่เพียง 5% ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมาจากเงินปันผลมากกว่าการเติบโตของกำไร เพราะฉะนั้นการลงทุนในหุ้นไทยต้องเน้นหุ้นที่มีคุณภาพสูง แต่ก็ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก ทำให้การลงทุนจะกระจุกตัว

 

“ที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ นักลงทุนไม่ว่าจะสถาบันหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ซึ่งจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคนไทยในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ยังกระจุกอยู่กับสินทรัพย์ไทย น่าจะให้ผลตอบแทนไม่เพียงพอ และทางเลือกในการลงทุนก็ค่อนข้างน้อย”

 

ด้าน ดร.แมน ชุติชูเดช รองเลขาธิการกลุ่มงานกลยุทธ์ลงทุนและบริหารผู้จัดการกองทุน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนลงทุนในหุ้นไทยเพียง 3-4% จากตราสารทุนทั้งหมด 40% เนื่องจากหุ้นไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม Old Economy ทำให้เราต้องกระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศมากขึ้น 

 

ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนของ กบข. อยู่ที่ราว 40% ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้สูงสุด ส่วนอีก 60% ยังอยู่ในตราสารหนี้ แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนโลกเพิ่มขึ้นจากต่ำกว่า 3% มาเป็นกว่า 15% ขณะที่ตราสารหนี้เอกชนและรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 

 

ทั้งนี้ กบข. ได้จัดให้มีแผนการลงทุนสำหรับสมาชิก เพื่อเพิ่มทางเลือกและตอบสนองความต้องการของสมาชิกที่ประสงค์จะลงทุนตามความต้องการของตัวเอง โดยสมาชิกต้องพิจารณาผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงของแต่ละแผนการลงทุนควบคู่กันด้วย ซึ่งมีให้เลือกลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์​ ไม่ว่าจะเป็นตราสารทุนไทยและต่างประเทศ ตราสารหนี้ไทยและต่างประเทศ หรือทองคำ เป็นต้น

 

ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ปัจจุบันการลงทุนต่างประเทศเป็นทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับนักลงทุนไทย รวมทั้งการลงทุนผ่าน Provident Fund 

 

“ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่า Provident Fund กระจายไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นและเติบโตค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนทั้งหมดก็ถือว่ายังต่ำ เพราะไม่ใช่นายจ้างทุกรายจะเปิดทางเลือกนี้” 

 

สำหรับกองทุน Provident Fund ที่ต้องการเพิ่มทางเลือกการลงทุนต่างประเทศให้กับผู้ลงทุน ก็สามารถทำได้หากคณะกรรมการกองทุนมีมติอนุมัติเพิ่มทางเลือก โดยสามารถปรึกษากับ บลจ. ที่ให้บริการอยู่ 

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการให้ความรู้กับผู้ลงทุน เพราะแน่นอนว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงก็จะมาพร้อมกับความผันผวนที่สูงขึ้นด้วย 

 

“การเลือกแผนการลงทุนสำหรับแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยง ถ้าอายุยังไม่มาก เพิ่งเริ่มทำงาน ก็รับความเสี่ยงได้มากกว่า อาจเลือกลงทุนตราสารทุนมากกว่า ทั้งหุ้นไทยและต่างประเทศ โดยกระจายเป็นการลงทุนตามสัดส่วนหุ้นทั่วโลกน่าจะดีกว่า แต่หากเป็นคนที่ใกล้เกษียณก็อาจเลือกลงทุนตราสารหนี้มากขึ้น” 

 

ภาพ: Alexander Spatari / Getty Images

The post ความเสี่ยง Provident Fund ที่ยังลงทุนกระจุก! บลจ.กสิกรไทย คาด หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
11 แบงก์ไทย ทำกำไร 2.52 แสนล้านบาท โต 7% ในปี 67 จากรายได้ 1 ล้านล้านบาท https://thestandard.co/11-thai-banks-profit-2567-info/ Thu, 23 Jan 2025 14:38:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1033773

ในปี 2567 แบงก์พาณิชย์ไทย 11 แห่ง สร้างรายได้จากการดำเน […]

The post 11 แบงก์ไทย ทำกำไร 2.52 แสนล้านบาท โต 7% ในปี 67 จากรายได้ 1 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในปี 2567 แบงก์พาณิชย์ไทย 11 แห่ง สร้างรายได้จากการดำเนินงานรวม 1.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% ก่อนแปรมาเป็นกำไรสุทธิรวม 2.52 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากปีก่อน 

 

โดยธนาคารกสิกรไทยมีกำไรมากที่สุด 4.8 หมื่นล้านบาท โดย 7 จาก 11 แบงก์ มีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่ NPL ของแต่ละแบงก์อยู่ในกรอบ 2-5%

 

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

The post 11 แบงก์ไทย ทำกำไร 2.52 แสนล้านบาท โต 7% ในปี 67 จากรายได้ 1 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>