Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 26 Jun 2025 04:03:13 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 หุ้น NVIDIA พุ่งทำสถิติใหม่ มูลค่าทะลุ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ทวงบัลลังก์บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้า Microsoft https://thestandard.co/nvidia-stock-hits-record-2025-ai-boom/ Thu, 26 Jun 2025 04:03:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1089087 กราฟราคาหุ้น NVIDIA พุ่งสูง ทำสถิติใหม่ มูลค่าตลาดแซง Microsoft

NVIDIA Corp. ผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชั้นนำของโลก […]

The post หุ้น NVIDIA พุ่งทำสถิติใหม่ มูลค่าทะลุ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ทวงบัลลังก์บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้า Microsoft appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟราคาหุ้น NVIDIA พุ่งสูง ทำสถิติใหม่ มูลค่าตลาดแซง Microsoft

NVIDIA Corp. ผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชั้นนำของโลก กลับมาสร้างปรากฏการณ์อีกครั้ง โดยราคาหุ้นได้พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (25 มิถุนายน) ทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All-Time High) ทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ทำไว้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

 

ส่งผลให้ NVIDIA ทวงคืนตำแหน่ง บริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงที่สุดในโลก แซงหน้า Microsoft Corp. 

 

ราคาหุ้นของ NVIDIA ปิดตลาดเมื่อวันพุธด้วยการทะยานขึ้นกว่า 4.3% แตะระดับ 154.31 ดอลลาร์ ทำลายสถิติราคาสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 6 มกราคม การปรับตัวขึ้นครั้งนี้ส่งผลให้มูลค่าตลาดของ NVIDIA พุ่งสูงถึง 3.77 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้า Microsoft ที่มีมูลค่า 3.66 ล้านล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก โดยมี Apple ตามมาเป็นอันดับสามที่ประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์

 

ราคาหุ้น NVIDIA ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 63% จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าตลาดให้กับบริษัทไปแล้วเกือบ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ NVIDIA ได้รับแรงหนุนสำคัญจากผลประกอบการล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้จะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดในการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังประเทศจีนก็ตาม

 

นอกจากนี้ข้อมูลจาก Bloomberg ยังชี้ให้เห็นว่าลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ NVIDIA ซึ่งได้แก่ Microsoft, Meta Platforms, Alphabet (Google) และ Amazon.com ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ของ NVIDIA รวมกันกว่า 40% ยังคงเดินหน้าทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งต่อชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ NVIDIA

 

ไมเคิล สมิธ ผู้ร่วมจัดการพอร์ตของ Allspring Global Investments กล่าวว่า “ความเชื่อมั่นของผมต่อการเติบโตของ NVIDIA ในตอนนี้นั้นสูงกว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนเสียอีก และดูเหมือนว่าสงครามแข่งขันด้าน AI จะดำเนินต่อไปตลอดปี 2025 และอาจจะถึงปี 2026” เขากล่าวเสริมว่า “โมเมนตัมได้กลับมาอย่างชัดเจน และคูเมืองทางธุรกิจ (Moat) ของ NVIDIA ก็มีแต่จะกว้างและลึกขึ้น ซึ่งหมายความว่าตำแหน่งทางการตลาดของพวกเขามีแต่จะแข็งแกร่งขึ้น”

 

วิสัยทัศน์ เจนเซน หวง นี่แค่จุดเริ่มต้นของยุค AI

 

ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพุธเช่นกัน เจนเซน หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ NVIDIA ได้กล่าวย้ำเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่า อุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก “เขาเน้นย้ำมุมมองที่ว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เพิ่งจะอยู่ในจุดเริ่มต้นของการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่สู่ยุค AI เท่านั้น” นอกจากนี้หวงยังชี้ว่า นอกเหนือจาก AI แล้ว “หุ่นยนต์ (Robotics) คือโอกาสในการเติบโตที่ใหญ่ที่สุดลำดับถัดไปของบริษัท”

 

แม้ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง แต่เมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดมูลค่า (Valuation) บางอย่าง หุ้น NVIDIA ยังคงดูน่าดึงดูดเมื่อเทียบกับในอดีต 

 

ปัจจุบัน NVIDIA ซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (Forward P/E) ที่ 31.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีของตัวเอง แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี Nasdaq 100 ที่ 27 เท่า 

 

ข้อมูลจาก Bank of America ระบุว่า แม้หุ้นจะปรับตัวขึ้นมาก แต่ NVIDIA ยังคงเป็นหุ้นที่ถูก ‘ถือครองน้อยเกินไป’ (Under-Owned) โดยกลุ่มกองทุน Long-Only 74% เมื่อเทียบกับหุ้นเทคยักษ์ใหญ่อื่นๆ อาทิ Microsoft 91% ซึ่งเป็นสัญญาณว่ายังมีโอกาสที่เม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันจะไหลเข้าซื้อได้อีกในอนาคต

 

อ้างอิง:

The post หุ้น NVIDIA พุ่งทำสถิติใหม่ มูลค่าทะลุ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ทวงบัลลังก์บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้า Microsoft appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF จับมือ ปตท. ทุ่ม 6 หมื่นล้านบาท เดินหน้าลงทุนโครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 พร้อมสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติ คาดเสร็จใน 1Q72 https://thestandard.co/gulf-ptt-invest-60000m-map-ta-phut-phase3/ Wed, 25 Jun 2025 06:13:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1088915 ยุพาพิน วังวิวัฒน์ CFO GULF ประกาศร่วมลงทุนพัฒนาโครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 ร่วมกับ ปตท.

วานนี้ (24 มิถุนายน) ยุพาพิน วังวิวัฒน์  ประธานเจ้ […]

The post GULF จับมือ ปตท. ทุ่ม 6 หมื่นล้านบาท เดินหน้าลงทุนโครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 พร้อมสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติ คาดเสร็จใน 1Q72 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุพาพิน วังวิวัฒน์ CFO GULF ประกาศร่วมลงทุนพัฒนาโครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 ร่วมกับ ปตท.

วานนี้ (24 มิถุนายน) ยุพาพิน วังวิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้วางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) 

 

โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) ให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยมีโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่(เฟส) 3 (โครงการมาบตาพุด) เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของแผนพัฒนา EEC ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ 

 

ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินัล จำกัด (GMTP) ได้จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการมาบตาพุดดังกล่าว โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง  และบริษัทในเครือ บมจ.ปตท.หรือ PTT คือ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด  ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 70 และ 30 ตามลำดับ โดย GMTP ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการมาบตาพุด 

 

โดยโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วยงานถมทะเลในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ และงานพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) บนพื้นที่ถมทะเลประมาณ 200 ไร่ โดยในส่วนของงานถมทะเลนั้น GMTP ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 และถมทะเลแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา 

 

 

ภาพ: ยุพาพิน วังวิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF

 

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ GMTP ได้มีมติอนุมัติให้โครงการเริ่มดำเนินการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณไม่เกิน 60,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 1/2572 โดยสถานีดังกล่าวถือเป็นสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งที่ 3 ของประเทศไทย ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศ และช่วยรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตไฟฟ้า 

 

นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการมาบตาพุดยังเป็นการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้เชื่อมโยงอย่างครบวงจรระหว่างธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักคือผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (HKH) และบริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด (GLNG) ที่มีแนวโน้มการนำเข้า LNG ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่มบริษัทฯ

 

ทั้งนี้ ธุรกิจสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจที่ได้รับการควบคุมโดยภาครัฐ (Regulated Business) เพื่อให้ ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการ และได้รับรายได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับแผนการพัฒนาของภาครัฐ โดยรายได้ของโครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 

 

1.ค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ (Demand Charge) ซึ่งจะสะท้อนเงินลงทุน ค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปต้นทุน 

 

และ 2.ค่าบริการส่วนของต้นทุนแปรผัน (Commodity Charge) ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นต้นทุนแปรผันในการให้บริการ (Variable Cost) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่แปรผันโดยตรงตามปริมาณการแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นก๊าซ ซึ่งต้นทุนทั้งหมดจะถูกส่งผ่าน (Passed Through) ไปยังลูกค้าที่มาใช้บริการโครงการ ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการดังกล่าว บริษัทฯ จะแจ้งรายละเอียดให้ทราบต่อไป

The post GULF จับมือ ปตท. ทุ่ม 6 หมื่นล้านบาท เดินหน้าลงทุนโครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 พร้อมสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติ คาดเสร็จใน 1Q72 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งยกเลิกมาตรการชั่วคราว กลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ เริ่ม 25 มิ.ย. นี้ https://thestandard.co/set-ceiling-floor-normal/ Tue, 24 Jun 2025 07:45:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1088489 set-ceiling-floor-normal

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกแถลงการณ์ ประกาศย […]

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งยกเลิกมาตรการชั่วคราว กลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ เริ่ม 25 มิ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
set-ceiling-floor-normal

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกแถลงการณ์ ประกาศยกเลิกมาตรการชั่วคราว และกลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ ในวันที่ 25 มิถุนายน 2568

 

ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศใช้มาตรการชั่วคราวเกี่ยวกับ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 โดยจากการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เห็นว่าปัจจุบันผู้ลงทุนมีโอกาสในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว 

 

ดังนั้นเพื่อให้การดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปอย่างเหมาะสม ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ บมจ. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) (TFEX) จึงเห็นควรให้ยกเลิกมาตรการชั่วคราวดังกล่าว โดยจะกลับไปใช้เกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามปกติ ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

  1. โดยกลับมาใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor ปกติสำหรับทั้ง SET, mai และ TFEX ซึ่งเดิมกำหนดให้ระดับราคาเสนอซื้อและเสนอขายของหลักทรัพย์ในแต่ละวัน สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นสูงสุด (Ceiling) หรือลดลงต่ำสุด (Floor) ได้ไม่เกิน 30% ของราคาปิดในวันทำการก่อนหน้า ส่วนในกรณี Foreign Share กลับมาใช้เกณฑ์เดิมที่กำหนด Ceiling & Floor ได้ไม่เกิน 60% 

 

SET

 

  1. กรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เป็นรายหลักทรัพย์ ที่ ±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น

 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์

The post ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งยกเลิกมาตรการชั่วคราว กลับไปใช้เกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ตามปกติ เริ่ม 25 มิ.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คาด กนง. หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.5% สัปดาห์นี้ สกัดเศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อต่ำ https://thestandard.co/thai-defensive-stock-ideas/ Tue, 24 Jun 2025 05:50:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1088402 thai-defensive-stock-ideas

The post คาด กนง. หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.5% สัปดาห์นี้ สกัดเศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-defensive-stock-ideas

The post คาด กนง. หั่นดอกเบี้ยเหลือ 1.5% สัปดาห์นี้ สกัดเศรษฐกิจชะลอ-เงินเฟ้อต่ำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น KTC ดิ่ง 27% ใน 2 วัน นักวิเคราะห์ชี้ สาเหตุผู้ถือหุ้นใหญ่ถูก ‘บังคับขาย’ บนมาร์จิ้นทั้งระบบกว่าหมื่นล้านบาท https://thestandard.co/ktc-stock-drop-forced-sell/ Tue, 24 Jun 2025 05:00:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1088371 กราฟราคาหุ้น KTC ดิ่งลงอย่างรุนแรงจากแรงบังคับขายของผู้ถือหุ้นใหญ่

หุ้น KTC ดิ่ง 27% โดยราคาร่วงลงมาอยู่ที่ Floor หรือราคา […]

The post หุ้น KTC ดิ่ง 27% ใน 2 วัน นักวิเคราะห์ชี้ สาเหตุผู้ถือหุ้นใหญ่ถูก ‘บังคับขาย’ บนมาร์จิ้นทั้งระบบกว่าหมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟราคาหุ้น KTC ดิ่งลงอย่างรุนแรงจากแรงบังคับขายของผู้ถือหุ้นใหญ่

หุ้น KTC ดิ่ง 27% โดยราคาร่วงลงมาอยู่ที่ Floor หรือราคาต่ำสุดที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดไว้ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์ชั่วคราว โดยปรับระดับ Floor จาก -30% มาเป็น -15% 

 

ราคาหุ้น KTC หรือ บมจ.บัตรกรุงไทย เคยพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 90.25 บาท เมื่อต้นปี 2564 ทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งขึ้นไปสูงถึง 2.3 แสนล้านบาท ก่อนจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนล่าสุดมูลค่าลดลงมาเหลือ 6.5 หมื่นล้านบาท ลดลงไปกว่า 70% 

 

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์เปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้น KTC ดิ่งลงติด Floor ต่อเนื่อง น่าจะเป็นไปตามกระแสข่าวที่ว่าหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ KTC ถูกบังคับขาย (Forced Sell) หลังจากที่ราคาหุ้น KTC ปรับตัวลงต่อเนื่อง จนมูลค่าของหุ้นที่ถูกนำไปเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นลดต่ำกว่าระดับที่กำหนด และเจ้าของบัญชีไม่สามารถนำเงินมาเติมได้ในเวลาที่กำหนด

 

หากดูจากข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 หุ้น KTC ถูกนำไปวางเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นของลูกค้ารวมกันถึง 420 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท 

 

“ผลกระทบต่อหุ้น KTC เชื่อว่าอีก 2-3 วันกว่าจะจบ ไม่เพียงแค่ผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่นักลงทุนรายอื่นๆ ที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นก็น่าจะถูก Forced Sell ตามๆ กัน จนกว่าจะแรง Forced Sell จะหมด”

 

อย่างไรก็ดี ผลกระทบต่อธุรกิจในเชิงปัจจัยพื้นฐานอาจจะไม่ได้กระทบมากนัก แม้การเติบโตของ KTC จะชะลอลง แต่โดยภาพรวมบริษัทยังมีรายได้และกำไรที่ค่อนข้างมั่นคง และผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงไทย ก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ 

 

เพราะฉะนั้นผลกระทบต่อหุ้นอาจจะไม่ได้มากเท่ากับหุ้นบางตัวที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ถูก Forced Sell ไปก่อนหน้านี้ 

 

“กำไรที่เติบโตชะลอลงเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อราคา แต่ด้วยพื้นฐานแล้ว โดยเฉพาะอัตราเงินปันผลที่ขึ้นมาเป็นเกือบ 5% น่าจะทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มหาจังหวะซื้อ” 

 

แต่ในระหว่างที่แรง Forced Sell ยังไม่หมด โดยอาจจะดูได้จากปริมาณ Offer ของราคาล่าสุดที่ยังสูงระดับ 100-200 ล้านหุ้น ทำให้ยังไม่มีนักลงทุนกล้าที่จะเข้าซื้อในเวลานี้ และรอให้แรงขายจาก Forced Sell จบลงก่อน 

 

นอกจาก KTC แล้ว จะเห็นว่าหุ้นอย่าง XPG และ BEC ที่มีรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวกันถืออยู่นั้น ราคาก็ปรับตัวลงแรงเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นนักลงทุนที่อาจจะกำลังมองสถานการณ์นี้เป็นโอกาส อาจจะต้องพิจารณาดูหุ้นทั้ง 3 ตัวไปพร้อมๆ กัน เพื่อพิจารณาว่าแรงขายจาก Forced Sell จบลงแล้วหรือยัง

The post หุ้น KTC ดิ่ง 27% ใน 2 วัน นักวิเคราะห์ชี้ สาเหตุผู้ถือหุ้นใหญ่ถูก ‘บังคับขาย’ บนมาร์จิ้นทั้งระบบกว่าหมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลท. พร้อมยกเลิกมาตรการชั่วคราวที่มีการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ก่อนกำหนด หากความผันผวนคลี่คลาย https://thestandard.co/set-middle-east-impact/ Mon, 23 Jun 2025 08:57:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1088063 set-middle-east-impact

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประกาศใช้มาตรการซ […]

The post ตลท. พร้อมยกเลิกมาตรการชั่วคราวที่มีการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ก่อนกำหนด หากความผันผวนคลี่คลาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
set-middle-east-impact

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประกาศใช้มาตรการซื้อขายชั่วคราว พร้อมปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ได้เปิดฉากโจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา

 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ความจำเป็นในการใช้มาตรการดังกล่าว โดยปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความผันผวนในตลาดหุ้นไทย จากผลกระทบของเหตุการณ์ที่คาดเดาสถานการณ์ไม่ได้ ต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลกระทบบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก

 

ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน ให้ปรับมาตรการซื้อขายชั่วคราว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่การซื้อขายในวันนี้ (23 มิถุนายน) เป็นต้นไป โดยมาตรการนี้จะใช้ไม่เกินวันที่ 27 มิถุนายนนี้

 

มาตรการสำคัญที่ ตลท. ประกาศใช้ มีดังนี้:

 

– ปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor ของราคาหลักทรัพย์เหลือบวกหรือลบได้ไม่เกิน 15% จากเดิมที่ 30% จากราคาปิดวันก่อนหน้าเพื่อรองรับความผันผวน

 

– ปรับกรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เป็นรายหลักทรัพย์ จากเดิมที่บวกหรือลบได้ไม่เกิน 10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น เป็นบวกหรือลบได้ไม่เกิน 5% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น

 

ทั้งนี้ มาตรการที่ออกมาดังกล่าวเปรียบเหมือนการปรับเบรกของตลาดหุ้นไทยให้ตื้นขึ้นชั่วคราว ขณะที่มาตรการต่างๆ ที่ใช้ดูแลในการซื้อขายที่มีอยู่แล้วยังคงมีอยู่ปกติเช่นเดิม เช่น เกณฑ์การหยุดทำการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker)

 

ตลท. ย้ำ พร้อมยกเลิกมาตรการชั่วคราวก่อนกำหนด หากสถานการณ์ผ่อนคลาย

 

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการยกเลิกมาตรการชั่วคราวก่อนวันที่ 27 มิถุนายนนี้ หรือไม่นั้น อัสสเดชยืนยันว่าคณะกรรมการ ตลท. ได้มอบอำนาจให้ผู้บริหารพิจารณาถอนมาตรการดังกล่าวได้เร็วกว่ากำหนด หากสถานการณ์มีความเหมาะสม

 

“บอร์ดให้มติมาว่าให้ใช้มาตรการในเรื่องของ Ceiling & Floor แล้วก็ Dynamic Price Band เพื่อที่จะให้ตลาดลดความผันผวน ซึ่งถ้าเกิดดูแล้วตลาดมีข้อมูลเพียงพอประกอบการตัดสินใจลงทุนและไม่ได้มีความผันผวนมาก เราก็พร้อมที่จะยกเลิกมาตรการดังกล่าว”

 

อัสสเดชยังชี้แจงด้วยว่า มาตรการนี้เป็นเพียงการบีบแบนด์ของราคาหลักทรัพย์ให้แคบลง เพื่อลดความผันผวน ไม่ได้ไปกระทบการซื้อขายโดยตรง เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่มีความชัดเจนและมีการพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ประเด็นตลาดหลักทรัพย์ฯ กังวลคือผู้ลงทุนจะได้รับข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพียงพอหรือไม่ ดังนั้นมาตรการนี้จึงมีขึ้นเพื่อช่วยลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และหากตลาดมีข้อมูลเพียงพอและไม่ผันผวนมาก ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พร้อมยกเลิกมาตรการชั่วคราวนี้ได้ก่อนกำหนด

 

ส่วนกรณีที่ตลาดหุ้นอาจมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงและอาจมีการเพิ่มมาตรการอื่นๆ นั้น ตลท. ยังไม่ได้มีการกำหนดทริกเกอร์หรือเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าจะเพิ่มมาตรการเมื่อใด เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก และต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละเหตุการณ์ โดยบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พร้อมที่จะปรึกษาหารือกันอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการพิจารณาห้ามการทำธุรกรรม Short Sell ด้วยหรือไม่นั้น อัสสเดชยืนยันว่า ณ วันนี้ยังไม่มีแผนที่จะห้าม Short Sell โดย ตลท. ต้องการให้กลไกของตลาดดำเนินไปได้ตามปกติ และไม่ปิดโอกาสนักลงทุนทุกภาคส่วน

 

ตลท. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด

 

อัสสเดชยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก และข่าวสารบางครั้งยังไม่แน่ใจว่าเป็นจริงหรือไม่ หน้าที่ของ ตลท. คือการช่วยกรองและสื่อสารข่าวสารที่มีในทั่วโลกให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้มีผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ว่าสหรัฐฯ หรือประเทศอื่นๆ จะตัดสินใจอย่างไรกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้

 

เมื่อถูกถามถึงการประเมินสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario) โดยเฉพาะผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งมีสัดส่วนค่อนข้างมากในตลาดหุ้นไทยนั้น อัสสเดชกล่าวว่า การประเมินสถานการณ์เป็นเรื่องที่ยากมาก โดยถือเหตุผลที่ตัดสินใจลดกรอบความผันผวนลง เพื่อให้นักลงทุนมีโอกาสที่จะได้พิจารณาก่อนการตัดสินใจลงทุน พร้อมแนะนำให้นักลงทุนใจเย็น และมีการกลั่นกรองข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

 

อย่างไรก็ตาม หากดูการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียเช้าวันนี้ก็มีการปรับตัวลดลงบ้าง รวมถึงราคาน้ำมัน WTI Future มีการปรับตัวขึ้นเพียงประมาณ 2% ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย สะท้อนว่านักลงทุนทั่วโลกอาจได้รับรู้ข้อมูลหรือ Price In ข้อมูลดังกล่าวนี้มาในระดับหนึ่งแล้ว

 

สำหรับความกังวลประเด็นซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันว่าจะมีแรงเทขายปรับพอร์ตออกมานั้น ซึ่งจากการสังเกตในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นข่าวอะไรที่เกิดขึ้น นักลงทุนสถาบันมีทั้งการเข้าและออกในตลาดหุ้นไทย ไม่ได้เป็นการขายแต่เพียงอย่างเดียว และสัดส่วนของวอลุ่มซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนอื่นๆ ก็ยังคงมีสัดส่วนที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก อีกทั้งในขณะนี้ยังมีปัจจัยหนุนจาก กองทุน Thai ESGX ที่ยังสามารถซื้อได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ซึ่งอาจมีเม็ดเงินจากส่วนนี้เข้ามาในตลาดได้

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จากกรณีของสถานการณ์ความขัดแย้งในต่างประเทศกับความไม่แน่นอนของเสถียรภาพการเมืองในประเทศ มองว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร เพราะเป็นประเด็นความเสี่ยงที่นักลงทุนค่อนข้างมากจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลงหลุดต่ำกว่าระดับ 1,000 จุดหรือไม่นั้น และจะมาตรการอื่นๆ ออกมาเสริมเพิ่มเติมอีกหรือไม่ในอนาคตเพื่อรับมือความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้น

 

อัสสเดชระบุว่า การคาดการณ์การเคลื่อนไหวตัวเลขดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นคาดเดาได้ยากว่าจะไปในทิศทางใด โดยขึ้นกับการพิจารณาตัดสินใจของผู้ลงทุน

 

แต่ยืนยันว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะคอยมอนิเตอร์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กระทรวงการคลัง และสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาศักยภาพของตลาดทุนไทยในระยะสั้น และพร้อมที่จะปรึกษาหารือกันตลอดเวลาเพื่อตัดสินใจดำเนินมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ

 

“มีข้อดีอันหนึ่งที่ไม่ว่าอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ธุรกิจเดินต่อได้ เพราะฉะนั้นให้คำแนะนำกับนักลงทุนว่าให้วิเคราะห์ว่าข่าวสารมีผลกระทบโดยตรงต่อปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทจดทะเบียนมากน้อยแค่ไหนซึ่งเป็นการตัดสินใจจากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ และควรพึ่งพานักวิเคราะห์ในการให้คำแนะนำ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน้าที่ผลักดันให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ได้เต็มที่” อัสสเดชกล่าว

The post ตลท. พร้อมยกเลิกมาตรการชั่วคราวที่มีการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ก่อนกำหนด หากความผันผวนคลี่คลาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซตอบโต้สหรัฐฯ อาจดันราคาน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล https://thestandard.co/iran-hormuz-closure-oil-price-impact/ Mon, 23 Jun 2025 03:09:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1087838 อิหร่าน

หลังจากที่สหรัฐฯ ปฏิบัติการระเบิดฐานนิวเคลียร์หลักของอิ […]

The post อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซตอบโต้สหรัฐฯ อาจดันราคาน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิหร่าน

หลังจากที่สหรัฐฯ ปฏิบัติการระเบิดฐานนิวเคลียร์หลักของอิหร่านเมื่อคืนวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ล่าสุดมีรายงานข่าวว่ารัฐสภาอิหร่านมีมติเห็นชอบอนุมัติการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อตอบโต้การโจมตีของสหรัฐฯ โดยช่องแคบดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักสำหรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และน้ำมันดิบของโลก 

 

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นล่าสุดส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งขึ้นราว 2%-3% ในวันนี้ ทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน อย่างราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งแตะ 77.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแตะ 75.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

 

เอกรินทร์ วงษ์ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ช่องแคบฮอร์มุซถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งน้ำมันของโลก ตั้งอยู่ระหว่างอิหร่านและโอมาน โดยมีน้ำมันไหลผ่านวันละประมาณ 17 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็นประมาณ 17% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก การปิดช่องแคบอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเสถียรภาพของตลาดน้ำมันโลก และอาจดันราคาน้ำมันให้สูงเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากการปิดช่องแคบยืดเยื้อ

 

สำหรับประเทศไทยซึ่งนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 85,000 ล้านลิตรในปีที่ผ่านมา โดยกว่าครึ่งมาจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ความเสี่ยงจากเหตุการณ์นี้จึงมีความหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากแหล่งเดียวกัน หากช่องทางขนส่งถูกปิดกั้นหรือมีข้อจำกัด ย่อมส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบและความต่อเนื่องในการผลิตทันที

 

ซึ่งเราประเมินหุ้นในกลุ่มพลังงานที่อาจจะได้รับผลกระทบดังนี้

 

  1. กลุ่มต้นน้ำ (Upstream)​ ได้รับผลบวก 

บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีสัดส่วนในการลงทุนในประเทศ UAE เพียง 10% เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นแหล่งก๊าซ ซึ่งขนส่งผ่านทางระบบท่อ ดังนั้นการปิดช่องแคบฮอร์มุซจึงไม่ส่งผลต่อการดำเนินงาน ในทางกลับกันราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าว จะส่งผลเชิงบวกกับ PTTEP ที่ราคาขายจะเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน

 

  1. กลุ่มกลางน้ำ (Midstream) ได้รับผลลบ

กลุ่มโรงกลั่น อย่างหุ้น บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC), บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC), บมจ.บางจาก ศรีราชา (BSRC), บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซมากที่สุด ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอาจจะส่งผลต่อปริมาณน้ำมันที่จัดหาที่อาจจะลดลงในขณะที่ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดย TOP, SPRC และ IRPC จะได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องด้วยมีสัดส่วนในการใช้น้ำมันในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางสูงกว่า 60%

 

  1. กลุ่มปลายน้ำ (Downstream) ได้รับผลลบเล็กน้อย

กลุ่มสถานีบริการน้ำมัน อย่าง บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR), บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากอาจจะกระทบต่อปริมาณจำหน่ายน้ำมัน รวมถึงถ้าราคาน้ำมันมีความผันผวนในทิศทางขึ้นมากๆ อาจจะส่งผลให้การปรับราคาหน้าสถานีบริการเป็นไปได้ช้า และอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดในระยะสั้นได้

 

ด้าน Goldman Sachs Group Inc. สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก ออกรายงานเตือนถึงความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากที่สหรัฐอเมริกาปฏิบัติการโจมตีทางทหารต่อที่ตั้งนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าในกรณีฐาน (Base Case) ธนาคารจะยังคงคาดการณ์ว่าจะไม่มีการหยุดชะงักครั้งใหญ่ต่ออุปทานพลังงานในภูมิภาคก็ตาม

 

สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดพลังงานโลก โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเบรนท์ ซึ่งปัจจุบันซื้อขายอยู่ใกล้ระดับ 79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเปิดตลาดเอเชียเช้านี้ ก่อนจะลดช่วงบวกลงบางส่วน หลังจากนักลงทุนกลับมาประเมินสถานการณ์อีกครั้งและพบว่าการขนส่งน้ำมันที่แท้จริงยังไม่ได้รับผลกระทบ

 

ด้าน สเตรยเวน นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ประเมิน 2 ฉากทัศน์ความเสี่ยง (Hypothetical Scenarios) หากความขัดแย้งลุกลามจนส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งพลังงานที่สำคัญอย่างยิ่ง

 

  1. หากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน และยังคงลดลง 10% ต่อเนื่องไปอีก 11 เดือน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อาจพุ่งขึ้นในระยะสั้นแตะระดับสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

  1. หากอุปทานน้ำมันจาก อิหร่านลดลง 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อาจแตะจุดสูงสุดที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

นอกเหนือจากราคาน้ำมัน ตลาดก๊าซธรรมชาติก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดย Goldman Sachs ประเมินว่า สัญญาล่วงหน้าก๊าซธรรมชาติมาตรฐานยุโรป (TTF) อาจปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับ 74 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง (หรือประมาณ 25 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู) ซึ่งเป็นระดับที่เคยส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุปสงค์ในช่วงวิกฤตพลังงานยุโรปปี 2022

 

ในกรณีที่เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่และยืดเยื้อที่ช่องแคบฮอร์มุซ ราคาก๊าซธรรมชาติอาจพุ่งขึ้นไปถึง 100 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง

 

ภาพ: Anton Petrus / Getty Images 

อ้างอิง:

The post อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซตอบโต้สหรัฐฯ อาจดันราคาน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตลท. สั่งปรับมาตรการซื้อขายชั่วคราว ปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band รับมือความไม่สงบในตะวันออกกลาง https://thestandard.co/set-temporary-measures-middle-east/ Mon, 23 Jun 2025 01:17:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1087809 ภาพแสดงรายละเอียดการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกประกาศมาตรการชั่วคราวเพื่ […]

The post ตลท. สั่งปรับมาตรการซื้อขายชั่วคราว ปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band รับมือความไม่สงบในตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพแสดงรายละเอียดการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกประกาศมาตรการชั่วคราวเพื่อรองรับความผันผวน โดยปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของภูมิภาคและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนจากการที่ยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว จนอาจส่งผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในวันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2568 ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมให้มีมาตรการรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น 

 

และเพื่อให้ผู้ลงทุนมีเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการประชุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 จึงมีมติอนุมัติปรับปรุงเกณฑ์เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ดังต่อไปนี้เป็นการชั่วคราว ซึ่งสรุปได้ดังนี้

 

  1. ปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor สำหรับทั้ง SET, mai และ TFEX ซึ่งเดิมกำหนดให้ระดับราคาเสนอซื้อและเสนอขายของหลักทรัพย์ในแต่ละวัน สามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นสูงสุด (Ceiling) หรือลดลงต่ำสุด (Floor) ได้ไม่เกิน 30% ของราคาปิดในวันทำการก่อนหน้า ปรับมาลงเป็น Ceiling & Floor ได้ไม่เกิน 15% ส่วนในกรณี Foreign share จากเดิมที่กำหนด Ceiling & Floor ได้ไม่เกิน 60% ปรับมาลงเป็น Ceiling & Floor ได้ไม่เกิน 30% 

 

  1. ปรับกรอบราคาซื้อขายแบบ Dynamic Price Band เป็นรายหลักทรัพย์ จากเดิม ±10% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น เป็น ±5% จากราคาซื้อขายล่าสุดของหลักทรัพย์นั้น 

 

 

ภาพ: รายละเอียดข้อมูลการปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

 

สำหรับการปรับปรุงเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band ดังกล่าวข้างต้น จะไม่ใช้บังคับกับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือดัชนีหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น DR, DW และ ETF เป็นต้น

 

ทั้งนี้ การปรับปรุงเกณฑ์ดังกล่าวมีผลเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2568 และไม่เกินวันที่ 27 มิถุนายน 2568 โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามภาวะตลาดต่อเนื่องทุกวัน และพร้อมจะกลับไปใช้เกณฑ์เดิมตามปกติ ก่อนวันสิ้นสุดมาตรการชั่วคราว (วันที่ 27 มิถุนายน 2568) หากเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการชั่วคราวดังกล่าวแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่า มาตรการชั่วคราวดังกล่าวจะมีส่วนช่วยเสริมเสถียรภาพของตลาดและสร้างความมั่นใจในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุน

The post ตลท. สั่งปรับมาตรการซื้อขายชั่วคราว ปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และ Dynamic Price Band รับมือความไม่สงบในตะวันออกกลาง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านทิศทางจักรวาลนาฬิกาหรู เมื่อพายุเศรษฐกิจโลกก่อตัว สินทรัพย์แห่งกาลเวลาจะหมุนไปทางไหน? https://thestandard.co/luxury-watch-market-outlook-amid-global-turmoil/ Sun, 22 Jun 2025 02:43:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1087613 นาฬิกาหรู

ในยามที่เงาของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกทอดตัวยาว จากแ […]

The post อ่านทิศทางจักรวาลนาฬิกาหรู เมื่อพายุเศรษฐกิจโลกก่อตัว สินทรัพย์แห่งกาลเวลาจะหมุนไปทางไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
นาฬิกาหรู

ในยามที่เงาของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกทอดตัวยาว จากแรงสั่นสะเทือนของสงครามการค้าที่ยังไร้ข้อสรุป ไปจนถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นในตะวันออกกลาง แรงกระเพื่อมเหล่านี้ได้ส่งคลื่นกระทบมาถึงทุกอณูของตลาดทุน ไม่เว้นแม้แต่ ‘จักรวาลแห่งเรือนเวลา’ ที่ซึ่งนักสะสมและนักลงทุนต่างจับจ้องอย่างใกล้ชิดว่า เข็มนาฬิกาแห่งมูลค่ากำลังจะชี้ไปในทิศทางใด

 

ปรากฏการณ์ภาษี: เมื่อตัวเลขส่งออกพุ่งทะยานสวนทางความเป็นจริง

 

ภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของแรงกระเพื่อมนี้ ปรากฏในตัวเลขการส่งออกนาฬิกาสวิสเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาที่ทะยานขึ้นถึง 149% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 851.9 ล้านดอลลาร์

 

ทว่าเบื้องหลังตัวเลขที่สวยหรูนี้ กลับไม่ใช่สัญญาณของอุปสงค์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่เป็นภาพสะท้อนของ ‘กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง’ จากนโยบายภาษีนำเข้า 10% ของสหรัฐฯ และคำขู่ที่จะดีดตัวเลขขึ้นไปถึง 31% ดังที่ ฌอง-ฟิลิปป์ แบร์ตชี นักวิเคราะห์จาก Vontobel ชี้ว่า นี่คือการเร่ง ‘ตุนสินค้า’ ของผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีที่กำลังจะก่อตัวขึ้น

 

ในขณะที่ฟากฝั่งอเมริกาดูเหมือนจะคึกคักจากการนำเข้าเชิงกลยุทธ์ ภาพในตลาดเอเชียกลับฉายหนังคนละม้วน การส่งออกไปยังจีน สิงคโปร์ และฮ่องกง หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 30%, 9% และ 23% ตามลำดับ บ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวของกำลังซื้อและความเชื่อมั่นที่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกโดยตรง

 

ตลาดรอง (Secondary Market): เวทีใหม่ที่เฉิดฉายในยามผันผวน

 

แต่ท่ามกลางความผันผวนนี้เอง กลับมีอีกฟากของตลาดที่คึกคักสวนกระแสอย่างน่าจับตา นั่นคือ ‘ตลาดนาฬิกามือสอง’

 

ปรากฏการณ์นี้เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนพฤติกรรมของนักสะสมและนักลงทุนที่ปรับตัวอย่างชาญฉลาด เมื่อกำแพงภาษีทำให้นาฬิกาใหม่จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Rolex หรือ Patek Philippe มีราคาสูงขึ้นจนยากจะเข้าถึง ตลาดรองจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาส Subdial แพลตฟอร์มซื้อขายนาฬิกาชื่อดัง รายงานยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นถึง 160% ในช่วงสิ้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่านักสะสมกำลังมองหา ‘มูลค่า’ ที่สมเหตุสมผลและหลีกเลี่ยงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี

 

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แม้ไม่ได้ส่งผลโดยตรง แต่ได้สร้างผลกระทบทางอ้อมที่ลึกซึ้ง เมื่อความตึงเครียดผลักดันราคาทองคำให้พุ่งทะยานในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) นาฬิกาหรู โดยเฉพาะรุ่นหายากและรุ่นวินเทจ ก็ถูกยกระดับขึ้นเป็น ‘สินทรัพย์ทางเลือก’ (Alternative Asset) ที่สามารถเป็นหลุมหลบภัยทางการลงทุนและรักษามูลค่าได้อย่างมั่นคงในยามที่ตลาดอื่นๆ ผันผวน

 

ตลาดรองจึงไม่ได้เป็นเพียงช่องทางหลีกเลี่ยงภาษี แต่ยังเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้นักลงทุนได้ครอบครองเรือนเวลาที่มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า ซึ่งขับเคลื่อนให้แพลตฟอร์มออนไลน์และร้านค้าที่น่าเชื่อถือกลายเป็นที่สนใจมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

‘คุณค่าที่แท้จริง’ และ ‘ความหายาก’: เข็มทิศนำทางในทุกวิกฤต

 

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะแปรปรวนเพียงใด หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดนาฬิกาหรูก็มิได้เปลี่ยนแปลง นั่นคือ ‘คุณค่าที่แท้จริง’ (Intrinsic Value) และ ‘ความหายาก’ (Rarity)

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ นักสะสมจะยิ่งให้ความสำคัญกับเรือนเวลาที่เป็นไอคอนิก มีเรื่องราว มีประวัติศาสตร์ และผลิตในจำนวนจำกัด นาฬิกาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบอกเวลา แต่เป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงซึ่งสามารถรักษามูลค่า และพร้อมที่จะเพิ่มมูลค่าสวนกระแสความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้เสมอ

 

ดังนั้น แม้พายุเศรษฐกิจจะยังคงก่อตัว แต่สำหรับจักรวาลแห่งเรือนเวลาแล้ว แสงจาก ‘คุณค่า’ และ ‘ความหายาก’ จะยังคงส่องนำทางให้นักสะสมและนักลงทุนผู้มองการณ์ไกลเสมอ

 

ภาพ: FXQuadro / Shutterstock 

อ้างอิง:

 

The post อ่านทิศทางจักรวาลนาฬิกาหรู เมื่อพายุเศรษฐกิจโลกก่อตัว สินทรัพย์แห่งกาลเวลาจะหมุนไปทางไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
EA เลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นกู้เป็น 27 มิ.ย. นี้ หลังเจอปัญหาทางเทคนิค ผู้ถือหุ้นกู้เข้าร่วมสูงมาก ทำให้บางส่วนไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างสมบูรณ์ https://thestandard.co/energy-absolute-postpones-bondholder-meeting-to-june-27/ Sat, 21 Jun 2025 06:44:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1087515 EA

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA หนึ่งในผู […]

The post EA เลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นกู้เป็น 27 มิ.ย. นี้ หลังเจอปัญหาทางเทคนิค ผู้ถือหุ้นกู้เข้าร่วมสูงมาก ทำให้บางส่วนไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างสมบูรณ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
EA

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA หนึ่งในผู้นำธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของไทย ประกาศเลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นกู้จากกำหนดเดิมในวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ออกไปเป็นวันที่ 27 มิถุนายน 2568 เวลา 14.00 น.

การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังจากพบ ‘ปัญหาทางเทคนิค’ ระหว่างการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Meeting) ซึ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมสูงมาก ทำให้ผู้ถือหุ้นกู้บางส่วนไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องความถูกต้องและครบถ้วนขององค์ประชุม

การประชุมครั้งนี้เป็นวาระสำคัญที่รวบรวมผู้ถือหุ้นกู้ทั้ง 14 ชุดเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้มั่นใจถึงความโปร่งใสและยุติธรรมในการสื่อสารกับผู้ถือหุ้นกู้ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นประธานการประชุม จึงร่วมกับ EA ตัดสินใจเลื่อนออกไป

สำหรับรูปแบบการประชุมใหม่ในวันที่ 27 มิถุนายน 2568 จะจัดขึ้นในรูปแบบ Hybrid โดยผู้ถือหุ้นกู้สามารถเลือกเข้าร่วมได้ 2 ช่องทาง คือ:

ด้วยตนเอง: ณ ห้องแกรนด์บอลรูม สำนักงานใหญ่ บริษัท เน็กซ์พอยท์ จำกัด (มหาชน)
ทางอิเล็กทรอนิกส์: ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

EA ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการให้ข้อมูลที่โปร่งใส และจะเร่งส่งหนังสือเชิญประชุมใหม่พร้อมรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่และวิธีการเข้าร่วมบนเว็บไซต์ของบริษัทโดยเร็วที่สุด

ภาพ: shigemi okano / Shutterstock

The post EA เลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นกู้เป็น 27 มิ.ย. นี้ หลังเจอปัญหาทางเทคนิค ผู้ถือหุ้นกู้เข้าร่วมสูงมาก ทำให้บางส่วนไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างสมบูรณ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>