Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 19 Sep 2025 09:36:12 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 หุ้นสีเดลต้าพุ่งสูงสุดรอบ 7 เดือน หลังสองผู้ถือหุ้นใหญ่ ‘ตระกูลตั้งคารวคุณ’ ขายหุ้นออก 26.09% ให้กับนักลงทุน 2 ราย https://thestandard.co/dpaint-stock-surge-major-share-sale/ Fri, 19 Sep 2025 09:36:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1120783 ราคาหุ้น DPAINT พุ่งแตะจุดสูงสุดรอบ 7 เดือน หลังตระกูลตั้งคารวคุณขายหุ้นใหญ่ 26.09% ให้กับนักลงทุนรายใหม่

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของ บมจ.สีเดลต้า หรือ DPAINT พุ่ง […]

The post หุ้นสีเดลต้าพุ่งสูงสุดรอบ 7 เดือน หลังสองผู้ถือหุ้นใหญ่ ‘ตระกูลตั้งคารวคุณ’ ขายหุ้นออก 26.09% ให้กับนักลงทุน 2 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ราคาหุ้น DPAINT พุ่งแตะจุดสูงสุดรอบ 7 เดือน หลังตระกูลตั้งคารวคุณขายหุ้นใหญ่ 26.09% ให้กับนักลงทุนรายใหม่

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของ บมจ.สีเดลต้า หรือ DPAINT พุ่งแตะ 1.09 บาท หรือ 26.7% จากวันก่อนหน้า ทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 7 เดือน หลังจากสองผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูลตั้งคารวคุณขายรวม 26.09% ให้กับนักลงทุน 2 ราย

 

DPAINT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้รับแจ้งจาก อรรถพล ตั้งคารวคุณ และวาณุภัณฒ์ ตั้งคารวคุณ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่งและอันดับสอง ได้ทำการขายหุ้นของบริษัทผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบนกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot Board) ในวันที่ 18 กันยายน 2568 จำนวน 29 ล้านหุ้น คิดเป็น 12.61% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท และจำนวน 31 ล้านหุ้น คิดเป็น 13.48% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ตามลำดับ

 

การขายหุ้นดังกล่าวเป็นการขายให้กับนักลงทุนสองราย ได้แก่ เพ็ญพร วงศ์นพรัตน์เลิศ เข้ามาซื้อหุ้นจำนวน 31 ล้านหุ้น คิดเป็น 13.48% และสิดาพัณณ์ สมบัติธีระ เข้ามาซื้อหุ้นจำนวน 29 ล้านหุ้น คิดเป็น 12.61%

 

ภายหลังการทำธุรกรรมดังกล่าว อรรถพลยังคงถือหุ้น 22.5 ล้านหุ้น หรือ 9.78% ลดลงจากเดิมที่ถือหุ้น 51.5 ล้านหุ้น หรือ 22.39% ส่วนวาณุภัณฒ์ไม่มีหุ้นเหลืออยู่หลังการขายครั้งนี้ 

 

นอกจากนี้ สิดาพัณณ์และเพ็ญพรที่เข้ามาซื้อหุ้นจะเสนอชื่อตนเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทต่อไป อย่างไรก็ดี การซื้อขายดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) แต่อย่างใด

 

การเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DPAINT เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งของ DPAINT คือ บริษัท เดลต้า กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด ที่ถือหุ้นอยู่ 26.09% ก่อนที่จะกระจายหุ้นดังกล่าวออกมาให้กับผู้ถือหุ้นอีก 3 ราย ได้แก่ อรรถพล ตั้งคารวคุณ, รณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ และวาณุภัณฒ์ ตั้งคารวคุณ

 

สำหรับผลประกอบการของ DPAINT ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รายได้รวมและกำไรสุทธิอ่อนแอลงต่อเนื่อง จากปี 2566 ที่มีรายได้ 1,021.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 13.7 ล้านบาท ในปี 2567 รายได้ลดลงมาเหลือ 717.9 ล้านบาท และพลิกมาเป็นขาดทุนสุทธิ 165 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีแรกของปี 2568 มีรายได้ 328.6 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 28.5 ล้านบาท

The post หุ้นสีเดลต้าพุ่งสูงสุดรอบ 7 เดือน หลังสองผู้ถือหุ้นใหญ่ ‘ตระกูลตั้งคารวคุณ’ ขายหุ้นออก 26.09% ให้กับนักลงทุน 2 ราย appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีนเล็งผ่อนปรนเกณฑ์นำเข้าทองคำ หวังลดการแข็งค่าของเงินหยวน ด้านเวียดนามเตรียมเก็บภาษีกำไรจากทองคำ หวังลดแรงเก็งกำไร https://thestandard.co/china-gold-import-vietnam-tax-speculation/ Thu, 18 Sep 2025 10:59:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1120400 จีน นำเข้าทองคำ

จีนวางแผนผ่อนคลายกฎเกณฑ์ควบคุมการนำเข้าทองคำเพื่อเร่งแก […]

The post จีนเล็งผ่อนปรนเกณฑ์นำเข้าทองคำ หวังลดการแข็งค่าของเงินหยวน ด้านเวียดนามเตรียมเก็บภาษีกำไรจากทองคำ หวังลดแรงเก็งกำไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน นำเข้าทองคำ

จีนวางแผนผ่อนคลายกฎเกณฑ์ควบคุมการนำเข้าทองคำเพื่อเร่งแก้ปัญหาเงินหยวนแข็งค่า ขณะที่เวียดนามเตรียมคุมเข้มการซื้อขายทองคำ ผ่านการเก็บภาษีกำไรจากธุรกรรมซื้อขายทองคำ หวังเพิ่มความโปร่งใสและลดการเก็งกำไร

 

จีนผ่อนคลายเงื่อนไขนำเข้าทองคำ 

 

เพื่อสร้างสมดุลในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางจีน (PBOC) เตรียมเสนอผ่อนคลายเงื่อนไขการนำเข้าและส่งออกทองคำ ผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence

 

โดยการผ่อนคลายดังกล่าวจะครอบคลุมตั้งแต่ การขยายจำนวนเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่มีหน้าที่พิจารณาใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence เพิ่มเป็น 15 ราย จากเดิม 10 ราย ลดขั้นตอนและเอกสารเพื่อปรับปรุงระบบการอนุมัติ ใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence ให้เร็วขึ้น

 

ขยายอายุการใช้งานใบอนุญาตแบบ Non-one-batch-one-licence จาก 6 เดือน เป็น 9 เดือน รวมทั้งยกเลิกการจำกัดจำนวนครั้งของการใช้ใบอนุญาต ให้สามารถใช้งานโดยไม่จำกัด

 

ภายใต้เงินหยวนที่แข็งค่า ถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ซื้อทองคำชาวจีน เพราะจะสามารถซื้อทองคำแท่งได้ในราคาที่ถูกลงเมื่อซื้อด้วยสกุลเงินดอลลาร์ 

 

การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้ผู้คนต้องการเงินดอลลาร์มากขึ้นเพื่อนำมาซื้อทองคำ ซึ่งจะช่วยบรรเทาการแข็งค่าของสกุลเงินหยวนได้ในที่สุด

 

ทั้งนี้ กฎระเบียบดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในตลาดทองคำ แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเปิดตลาดเสรีอย่างเต็มที่ 

 

นอกจากนี้ การส่งออกทองคำจะมีความเข้มงวดมากขึ้นในทางปฏิบัติ เนื่องจากมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ (Capital Control) ขยายความครอบคลุมมากขึ้น ตลอดจน PBOC ที่ต้องการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าว ยังอยู่ในขั้นตอนรับฟังความคิดเห็น (Hearing) ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ เช่นเดียวกับเวียดนามที่กำลังอยู่ในขั้นตอนเสนอแผนการแทรกแซงตลาดทองคำ

 

เวียดนามเตรียมเก็บภาษีกำไรซื้อขายทองคำ

 

รัฐบาลเวียดนามกำลังจัดระเบียบตลาดทองคำในประเทศ ด้วยการเตรียมแก้ไขกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีจากกำไรที่ได้จากการซื้อขายทองคำเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางภาวะตลาดที่ร้อนแรงและผันผวนอย่างหนัก

 

การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใส, ควบคุมการเก็งกำไรที่เกินควร และสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกับสินทรัพย์ประเภทอื่น หลังจากที่ราคาทองคำในประเทศพุ่งสูงขึ้นจนทิ้งห่างราคาในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

 

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดทองคำเวียดนามเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง โดยราคาทองคำแท่งของ Saigon Jewelry Company (SJC) ซึ่งเป็นที่นิยมในประเทศ เคยพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 135 ล้านดองต่อตำลึง (Tael – หน่วยน้ำหนัก 37.5 กรัม) ซึ่งสูงกว่าราคาในตลาดโลกถึงประมาณ 17% ก่อนจะย่อตัวลงมา

 

ภาวะดังกล่าวสะท้อนถึงการเก็งกำไรที่สูงมากในตลาด โดยราคาทองคำในเวียดนามได้ ปรับตัวสูงขึ้นถึง 56% แล้วในปีนี้ หลังจากที่เพิ่มขึ้น 14% ในปีที่แล้ว 

 

ก่อนหน้านี้ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ได้สั่งการให้มีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อต่อต้านการปั่นตลาดและการกักตุน และนับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา คณะทำงานเฉพาะกิจซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานสำคัญ 5 แห่ง ได้แก่ คณะผู้ตรวจการของรัฐบาล, กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า, กระทรวงการคลัง, กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ และธนาคารแห่งชาติ ได้เริ่ม ปฏิบัติการปูพรมเข้าตรวจสอบ สถาบันสินเชื่อและผู้ประกอบธุรกิจทองคำทั่วประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านการซื้อขาย, การป้องกันการฟอกเงิน และการออกใบกำกับภาษี

 

การเคลื่อนไหวของทั้งจีนและเวียดนามเกิดขึ้นพร้อมๆ กับกระแสข่าวที่ว่าไทยกำลังพิจารณาเกี่ยวกับการเก็บภาษีทองคำ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวาง

 

ประเด็นดังกล่าวถูกเสนอโดย วรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ว่าที่ รมช.คลัง ซึ่งโพสต์แสดงความคิดเห็นลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แนะนำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสนอแนวทางให้กระทรวงการคลังพิจารณาใช้กลไกภาษีธุรกิจเฉพาะ หากซื้อขายทองคำด้วยเงินบาท 

 

อย่างไรก็ตาม ธปท. ระบุว่า การเก็บภาษีทองคำแท่งอยู่ในขั้นหารือเท่านั้น ท้ายที่สุดผลการหารือจะเป็นเช่นไร จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบด้าน เพราะจะมีผู้ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

 

อ้างอิง: 

 

The post จีนเล็งผ่อนปรนเกณฑ์นำเข้าทองคำ หวังลดการแข็งค่าของเงินหยวน ด้านเวียดนามเตรียมเก็บภาษีกำไรจากทองคำ หวังลดแรงเก็งกำไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามชิปดุเดือด จีนสั่งระงับซื้อ ‘ชิป AI’ รุ่นพิเศษที่ Nvidia ผลิตเพื่อเลี่ยงมาตรการสหรัฐฯ https://thestandard.co/china-rtx-pro-6000d-nvidia-ai-chips/ Thu, 18 Sep 2025 03:00:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1120117

หน่วยงานกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีนได้สั่งให้บริษัทต่างๆ […]

The post สงครามชิปดุเดือด จีนสั่งระงับซื้อ ‘ชิป AI’ รุ่นพิเศษที่ Nvidia ผลิตเพื่อเลี่ยงมาตรการสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

หน่วยงานกำกับดูแลไซเบอร์สเปซของจีนได้สั่งให้บริษัทต่างๆ รวมถึง Alibaba Group Holding Ltd. ระงับการสั่งซื้อ RTX Pro 6000D ของ Nvidia Corp. ซึ่งเป็นเซมิคอนดักเตอร์สำหรับเวิร์กสเตชันที่สามารถนำมาใช้ซ้ำสำหรับการใช้งานด้านปัญญาประดิษฐ์ได้ การตัดสินใจครั้งนี้ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่าหลายบริษัทเดิมมีแผนจะซื้อชิปจำนวนนับหมื่นตัว โดย Nvidia พัฒนารุ่นนี้ขึ้นมาเพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่ห้ามขายชิป AI ระดับสูงให้จีน

 

ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้น Nvidia ร่วงลง 2.7% ในการซื้อขายที่สหรัฐฯ ขณะที่หุ้นคู่แข่งอย่าง AMD ก็ลดลงเกือบ 1% การเคลื่อนไหวของปักกิ่งครั้งนี้สะท้อนความพยายามลดการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ต่างชาติ และเร่งส่งเสริมชิปภายในประเทศ ขณะเดียวกัน จีนยังคงประท้วงมาตรการคุมเข้มของสหรัฐฯ ที่ปิดกั้นไม่ให้บริษัทจีนเข้าถึงชิปขั้นสูงและอุปกรณ์การผลิต ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญในการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจล่าสุดของจีน โดยการประชุมทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ถูกคาดว่าจะหารือหลายประเด็น รวมถึงดีล TikTok ในสหรัฐฯ เช่นกัน ซีอีโอของ Nvidia อย่าง เจนเซ่น หวง แสดงความผิดหวังต่อข้อสั่งห้ามดังกล่าว โดยกล่าวว่า “เราสามารถให้บริการตลาดได้ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นยอมรับเรา”

 

ปัจจุบัน Nvidia ครองตลาดชิปที่จำเป็นต่อการพัฒนาและให้บริการ AI ซึ่งบริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI และ Meta ใช้งานอยู่ แม้บริษัทจีนจะพยายามพัฒนาทางเลือกภายในประเทศ แต่ก็ยังคงต้องการฮาร์ดแวร์ของ Nvidia อย่างมาก บริษัทจึงกดดันรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ผ่อนคลายข้อจำกัดที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2022 โดยมีเป้าหมายสกัดไม่ให้จีนได้เทคโนโลยี AI ที่อาจเพิ่มศักยภาพทางทหาร

 

ทั้งนี้ ชิป RTX Pro 6000D เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Nvidia พัฒนาสำหรับตลาดจีน โดยไม่ใช่รุ่นหลัก จุดประสงค์หลักคือใช้กับงานกราฟิกและการออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้ในศูนย์ข้อมูล AI ได้ แม้จะด้อยประสิทธิภาพกว่าชิประดับสูง นอกจากนี้ยังมีรุ่นสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะกับห้องข้อมูลขนาดเล็ก ไม่ใช่ศูนย์ขนาดใหญ่เหมือนที่ใช้ชิปตระกูล Blackwell การสั่งห้ามของปักกิ่งจึงทำให้ตัวเลือกของบริษัทจีนแคบลงอีก

 

Nvidia ยังพัฒนา H20 ชิปสำหรับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งแม้จะด้อยกว่ารุ่นท็อปแต่เหมาะกับการทำ inference (การตีความและสรุปผลของโมเดล AI) สหรัฐฯ เคยจำกัดการขาย H20 ให้จีน แต่ต่อมาก็อนุมัติการส่งออกในบางกรณี โดยแลกกับส่วนแบ่งรายได้ 15% อย่างไรก็ตาม จีนกลับแสดงท่าทีไม่สนับสนุนการใช้งาน H20 ทำให้ Nvidia แม้ได้รับอนุญาตแล้วก็ยังไม่สามารถส่งออกจริง CFO ของ Nvidia ยอมรับว่าบริษัทต้องรอให้รัฐบาลจีนแสดงท่าทีเชิงบวกก่อน

 

แรงกดดันต่อบริษัทสหรัฐฯ ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ จีนเพิ่งตัดสินว่า Nvidia มีความผิดด้านการผูกขาดจากการเข้าซื้อ Mellanox Technologies มูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 และยังเปิดการสอบสวนการทุ่มตลาดต่อชิปบางชนิดที่ผลิตโดยบริษัทสหรัฐฯ เช่น Texas Instruments

 

ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อมั่นต่อชิปในประเทศของจีนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานระบุว่าทางการเริ่มเห็นว่าชิปภายในมีความก้าวหน้าพอ Huawei เป็นผู้นำในการพัฒนา AI ชิปสำหรับตลาดในประเทศ ขณะที่บริษัทใหม่อย่าง Cambricon ก็มีความก้าวหน้าไม่น้อย Alibaba และ Baidu ต่างก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง Alibaba ถึงขั้นได้ลูกค้ารายใหญ่คือผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออันดับ 2 ของประเทศที่เลือกใช้ชิป “T-Head” ของตน แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

 

การสั่งห้ามซื้อชิป Nvidia รุ่น RTX Pro 6000D ของรัฐบาลจีนถือเป็นหมากสำคัญในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่เพียงกระทบต่อยอดขายของ Nvidia และตลาดหุ้น แต่ยังตอกย้ำทิศทางที่ปักกิ่งต้องการผลักดันประเทศให้พึ่งพาเทคโนโลยีภายใน ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเพื่อจำกัดความก้าวหน้าของจีนในด้าน AI ความเคลื่อนไหวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของธุรกิจชิป แต่ยังเป็นเวทีเชิงยุทธศาสตร์ในความสัมพันธ์สองชาติมหาอำนาจ

 

ภาพ: Cylonphoto/Getty Images

 

อ้างอิง:

The post สงครามชิปดุเดือด จีนสั่งระงับซื้อ ‘ชิป AI’ รุ่นพิเศษที่ Nvidia ผลิตเพื่อเลี่ยงมาตรการสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึกอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ปี 2025-2026 สถานการณ์ Oversupply กับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการที่ต้องอยู่รอดในตลาดที่ท้าทาย https://thestandard.co/market-focus-commercial-real-estate-2025-2026/ Thu, 18 Sep 2025 02:44:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1120104

แนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในช่วงคร […]

The post เจาะลึกอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ปี 2025-2026 สถานการณ์ Oversupply กับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการที่ต้องอยู่รอดในตลาดที่ท้าทาย appeared first on THE STANDARD.

]]>

แนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และปี 2026

 

ตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่ายังคงเผชิญสถานการณ์ Oversupply และความต้องการพื้นที่ฟื้นตัวช้า

 

ปัจจัยกดดันความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าที่สำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจไทยในปี 2025-2026 ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่ำและแผลเป็นทางเศรษฐกิจทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ที่ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนยังอยู่ในระดับต่ำ อัตราการเปิดบริษัทใหม่ลดลง และการจ้างงานที่หดตัว ประกอบกับผลกระทบของสงครามการค้า จากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังมีความต้องการพื้นที่ใหม่จากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ สะท้อนจากตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่อยู่ในระดับสูงในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2025 ทำให้ความต้องการพื้นที่สำนักงานให้เช่าในระยะต่อไปยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เล็กน้อย แต่ปัจจัยกดดันทำให้อัตราการฟื้นตัวในระยะต่อไปยังคงจำกัด

 

ทั้งนี้ คาดว่า อุปสงค์พื้นที่สำนักงานให้เช่าในปี 2025 จะขยายตัวเล็กน้อยราว +1%YOY ในปี 2025 ใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวในปี 2024 และมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงหรือทรงตัวในปี 2026 นอกจากนี้ การทำงานรูปแบบ Hybrid workplace และ Office-based hybrid workplace ที่บริษัทส่วนใหญ่ยังคงใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วง COVID-19 ยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันความต้องการพื้นที่สำนักงานในระยะต่อไป

 

อุปทานพื้นที่สำนักงานให้เช่าใหม่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับที่มากกว่าอุปสงค์อย่างต่อเนื่อง แม้ผู้ประกอบการบางส่วนจะชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไป แต่คาดว่าอุปทานใหม่ในปี 2025-2026 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องราว +2.5% ถึง +4.5%YOY ต่อปี จากโครงการที่ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว และจะทยอยเสร็จในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งสถานการณ์ Oversupply และอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างจำกัดยังคงกดดันให้อัตราการเช่า (Occupancy rate) ในภาพรวมในระยะต่อไปมีแนวโน้มลดลงจากระดับ 81% ในปี 2024 โดยเฉพาะในกลุ่มเกรด A และ A+ ที่อุปทานใหม่เพิ่มขึ้นมาก เช่นเดียวกับอัตราค่าเช่าพื้นที่สำนักงานในระยะต่อไปที่ยังไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เท่าที่ควร จากอุปสงค์ที่ยังมีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะในกลุ่มเกรด B

 

สำหรับตลาดพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า มีแนวโน้มขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

 

เศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาระค่าใช้จ่าย ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศยังเปราะบาง ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยที่มีแนวโน้มหดตัวในปี 2025 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ Traffic ของโครงการพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในภาพรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่คาดว่า Traffic ในโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่กระจายตัวอยู่ทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีศักยภาพ และความสามารถในการดึงดูด Traffic สูง จากทั้งความหลากหลายของประเภทผู้เช่าและรูปแบบพื้นที่ ประกอบกับการ Renovate พื้นที่อย่างสม่ำเสมอ

 

รวมถึงการกระจายตัวด้านทำเลที่ครอบคลุม ทำให้ความต้องการเช่าพื้นที่ค้าปลีกในปี 2025-2026 ยังมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยราว +1% ถึง +2%YOY ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวของพื้นที่ให้เช่าได้ในช่วงปี 2022-2024 โดยความต้องการพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ในโครงการของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่เป็นหลัก

 

อุปทานพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าใหม่ในปี 2025-2026 ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว +3% ถึง +4%YOY ต่อปี ซึ่งยังเป็นระดับที่สูงกว่าอุปสงค์ ยังกดดันให้อัตราการเช่า (Occupancy rate) ในภาพรวมในระยะต่อไปลดลงจากระดับ 95% ในปี 2024 แต่คาดว่ายังคงสูงกว่า 90% นอกจากนั้น การแข่งขันที่เข้มข้นของผู้ประกอบการรายใหญ่ และอุปสงค์ที่ยังฟื้นตัวช้า ทำให้อัตราค่าเช่าในระยะต่อไปมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างจำกัดราว +1% ถึง +2%YOY ต่อปี

 

4 แนวทางในการปรับกลยุทธ์

 

การแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ยังมีแนวโน้มเป็นไปอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ซึ่งมีจำนวนน้อยราย ที่มีความได้เปรียบด้านเงินลงทุนและแบรนด์ ขณะที่ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กก็ต้องปรับตัวหรือสร้างความแตกต่างเพื่อรักษาการดำรงอยู่ของกิจการ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ ได้แก่

 

1. พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง

2. สร้างความแตกต่าง และยกระดับคุณภาพของพื้นที่ หรือโครงการ เช่น เพิ่มความหลากหลายของประเภทผู้เช่า หรือรูปแบบของพื้นที่เช่าในโครงการ ปรับปรุงพื้นที่ และการให้บริการ

3. บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งต้นทุนการพัฒนาโครงการ และการดำเนินงาน

4. ให้ความสำคัญกับเทรนด์ ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

 

อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/COMMERCIAL-RE-170925?utm_source=Influencer&utm_medium=Link&utm_campaign=BUSINESSINTELLIGENCE_COMMERCIALREALESTATE_SEP_2025

The post เจาะลึกอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ปี 2025-2026 สถานการณ์ Oversupply กับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการที่ต้องอยู่รอดในตลาดที่ท้าทาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศูนย์วิจัยทองคำเผยผู้ค้าทองรายใหญ่ ‘กว่าครึ่ง’ คาดราคาพุ่งขึ้นต่อ แต่ 40% ของนักลงทุนอาจหยุดซื้อทองคำ https://thestandard.co/gold-price-outlook-september-2025/ Wed, 17 Sep 2025 07:36:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1119964 ทองคำ

ราคาทองคำทั้งในไทยและทองคำโลกยังคงพุ่งขึ้นทำสถิติใหม่อย […]

The post ศูนย์วิจัยทองคำเผยผู้ค้าทองรายใหญ่ ‘กว่าครึ่ง’ คาดราคาพุ่งขึ้นต่อ แต่ 40% ของนักลงทุนอาจหยุดซื้อทองคำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทองคำ

ราคาทองคำทั้งในไทยและทองคำโลกยังคงพุ่งขึ้นทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง สำหรับราคาขายออกทองคำแท่งของไทย 1 บาททองคำ พุ่งทำสถิติใหม่ที่ 55,400 บาท เมื่อวานนี้ (16 กันยายน) ขณะที่ราคาทองคำโลกก็พุ่งทำสถิติใหม่ที่ 3,703 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

 

ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือนกันยายน 2568 ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า จากระดับ 75.03 จุด มาอยู่ที่ระดับ 76.56 จุด โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แรงซื้อเก็งกำไร นโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ การอ่อนค่าของดอลล่าร์สหรัฐฯ และความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย

 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ จำนวน 7 ราย จากทั้งหมด 12 ราย หรือคิดเป็น 58% คาดว่าราคาทองคำในเดือนกันยายนนี้จะเพิ่มขึ้น ส่วนอีก 3 ราย คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับเดือนสิงหาคม และอีก 2 ราย คาดว่าราคาจะลดลง 

 

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความต้องการซื้อทองคำในช่วงเดือนกันยายน 2568 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 328 ราย ในจำนวนนี้มี 131 ราย หรือคิดเป็น 40% คาดว่าจะไม่ซื้อทองคำ ใกล้เคียงกับผู้ตอบการสำรวจอีก 125 ราย หรือคิดเป็น 38% ยังคาดว่าจะซื้อทองคำ ส่วนอีก 72 ราย ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำในเดือนนี้หรือไม่

 

​สำหรับการคาดการณ์กรอบราคาทองคำในเดือนกันยายน 2568 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่คาดว่า ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) จะอยู่ในกรอบเฉลี่ย 3,403 – 3,690 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 52,700 – 55,100 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ในกรอบเฉลี่ย 31.30 – 32.74 บาท ต่อดอลลาร์

 

The post ศูนย์วิจัยทองคำเผยผู้ค้าทองรายใหญ่ ‘กว่าครึ่ง’ คาดราคาพุ่งขึ้นต่อ แต่ 40% ของนักลงทุนอาจหยุดซื้อทองคำ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินบาทแข็งรับสัญญาณ Fed ลดดอกเบี้ย – ดอลลาร์อ่อน คาดแตะ 31 บาท/ดอลลาร์ปลายปีนี้ https://thestandard.co/thai-baht-stronger-fed-signal/ Tue, 16 Sep 2025 00:39:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1119583

The post เงินบาทแข็งรับสัญญาณ Fed ลดดอกเบี้ย – ดอลลาร์อ่อน คาดแตะ 31 บาท/ดอลลาร์ปลายปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

The post เงินบาทแข็งรับสัญญาณ Fed ลดดอกเบี้ย – ดอลลาร์อ่อน คาดแตะ 31 บาท/ดอลลาร์ปลายปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น ‘ดุสิตธานี’ พุ่งชน Ceiling หลัง ‘ชนินทธ์’ มั่นใจปมขัดแย้งภายในครอบครัวจบลงด้วยดี พร้อมคาดปี 69 ผลงานพลิกมีกำไร-ล้างขาดทุนสะสมหมด https://thestandard.co/dusit-thani-stock-ceiling-chanin-confident/ Mon, 15 Sep 2025 08:51:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1119458 ดุสิตธานี

ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีกระแสข่าวศึกสายเลือดของ 3 พ […]

The post หุ้น ‘ดุสิตธานี’ พุ่งชน Ceiling หลัง ‘ชนินทธ์’ มั่นใจปมขัดแย้งภายในครอบครัวจบลงด้วยดี พร้อมคาดปี 69 ผลงานพลิกมีกำไร-ล้างขาดทุนสะสมหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดุสิตธานี

ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีกระแสข่าวศึกสายเลือดของ 3 พี่น้อง คือ ชนินทธ์ โทณวณิก กับฝั่งของสินี เธียรประสิทธิ์ กับสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ที่อยู่ฝั่งเดียวในครอบครัวผู้ถือหุ้นใหญ่ประเด็นปัญหา บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT

 

สถานการณ์ความขัดแย้งทวีความร้อนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากวันที่ 27 สิงหาคม บมจ. ดุสิตธานี หรือ DUSIT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วันที่ 26 สิงหาคม 2568 มีมติอนุมัติให้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 26 กันยายน 2568 โดยการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำร้องขอของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่หนึ่งวาระสำคัญที่ต้องจับตาคือ วาระการพิจารณาอนุมัติถอดถอน ชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท ซึ่งถือเป็น ‘วาระร้อน’ ที่สะท้อนถึงความขัดแย้งภายในครอบครัวที่เพิ่มขึ้น

 

พร้อมทั้งเสนอพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ โดยกำหนดอำนาจกรรมการที่จะกระทำการแทนบริษัทใหม่จากเดิม ซึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท คือ ชนินทธ์ โทณวณิก, สินี เธียรประสิทธิ์, ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT โดยกรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ สามารถลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท เปลี่ยนเป็น สินี เธียรประสิทธิ์, ดร. กฤษดา กวีญาณ, ศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3 คนนี้ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท

 

สองวันถัดมาในวันที่ 29 สิงหาคม สินี เธียรประสิทธิ์ กับ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด และในฐานะส่วนตัว ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันทีตามคำแถลงของ ชนินทธ์ ที่ออกมาต่างๆ ทั้งหมดใน 2 ประเด็น คือ

 

 

สินี เธียรประสิทธิ์

 

  1. การบริหารจัดการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด และบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เป็นคนละเรื่องกับการจัดการทรัพย์มรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย

 

  1. การจัดการทรัพย์มรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์ฯ เป็นเรื่องระหว่างทายาท

 

 

สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค 

 

ขณะที่ล่าสุดวันที่ 12 กันยายน กลุ่มดุสิตธานี ได้มีการแถลงข่าว ‘ทิศทางการบริหารงานของกลุ่มดุสิตธานีจากความสำเร็จในปัจจุบัน สู่การสร้างสรรค์บทใหม่’ กับสื่อมวลชน นำโดย ชนินทธ์ โทณวณิก ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ DUSIT และ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการ DUSIT โดยในวันเดียวกัน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประกาศลาออกโดยให้มีผลทันทีเพื่อเตรียมตัวไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ส่งไม้ต่อให้กับ ชนินทธ์ โทณวณิก กลับมารับตำแหน่งซีอีโอเป็นครั้งที่สอง

 

 

ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DUSIT

 

‘ชนินทธ์’ มั่นใจปมขัดแย้งภายในครอบครัวจบลงด้วยดี

 

ในการแถลงข่าวครั้งนี้ ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และซีอีโอของ DUSIT ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงความคืบหน้าเรื่องความขัดแย้งของธุรกิจภายในครอบครัวโทณวณิก

 

โดยชนินทธ์ ระบุว่า คิดว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครอบครัวก่อนหน้าจะจบลงได้ด้วยดี และมีความมั่นใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัทฯ ได้ ซึ่งที่ผ่านมาความพยายามเจรจาอย่างต่อเนื่องในครอบครัวเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ขอเปิดเผยให้ข้อมูลหรือให้ความเห็นในขณะนี้ โดยขอให้รอผลสรุปความชัดเจนในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้

 

คาดผลงาน ‘ดุสิตธานี’ ปี 69 มีโอกาสพลิกมีกำไร

 

พร้อมย้ำว่าในปีหน้าผลประกอบการของกลุ่มดุสิตธานีมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น และมีโอกาสจะพลิกกลับมามีกำไรได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานทางธุรกิจตามปกติ และการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

 

โดยชนินทธ์ ชี้แจงสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท และไม่จ่ายปันผลมา 5 ปี โดยระบุว่าทั้งหมดเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นทุกคน โครงการนี้มีความจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนโรงแรมดุสิตธานีเดิมที่มีอายุ 56 ปี ให้กลายเป็นตำนานบทใหม่

 

การก่อสร้างต้องเผชิญกับอุปสรรคจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้โครงการล่าช้าไป 2 ปี อย่างไรก็ตาม ดุสิตธานียังคงรักษาความเชื่อมั่นจากลูกค้าได้ดี โดยเฉพาะการขายโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีอย่าง Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นโครงการเดียวที่สามารถขายได้ในช่วงโควิด-19 และปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 90%

 

โดยรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 17,000 ล้านบาท จะเริ่มรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปีหน้าประมาณ 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยพลิกฟื้นสถานะทางการเงินของบริษัท ทำให้หนี้สินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานปี 2569 กลับมามีกำไร และสามารถล้างผลสะสมที่มีได้ทั้งหมด

 

เมื่อกลับมาดูผลตอบรับของราคาหุ้น DUSIT วันนี้ (15 กันยายน) พุ่งขึ้นไปชน Ceiling โดยราคาหุ้นขยับขึ้นมาทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ หรือนับจากวันที่ 27 สิงหาคม ที่ ชนินทธ์ ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวล ราคาหุ้นพุ่งขึ้นมาถึงระดับ 74.74%

 

อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครอบครัวครั้งนี้ยังไม่ได้มีข้อสรุปที่ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งยังจะต้องรอข้อผลสรุปความชัดเจนในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้ต่อไปตามที่ชนินทธ์ ให้ข้อมูลไว้

The post หุ้น ‘ดุสิตธานี’ พุ่งชน Ceiling หลัง ‘ชนินทธ์’ มั่นใจปมขัดแย้งภายในครอบครัวจบลงด้วยดี พร้อมคาดปี 69 ผลงานพลิกมีกำไร-ล้างขาดทุนสะสมหมด appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภาทองคำโลกคาดทองคำขาขึ้นรอบนี้อาจยาวกว่าในอดีต ตั้งแต่ต้นปีเงินทุนไหลเข้ากองทุนทองคำกว่า 1.6 ล้านล้านบาท https://thestandard.co/wgc-sees-longer-gold-rally/ Thu, 11 Sep 2025 10:10:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1118257 สภาทองคำโลก

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ที่เน้นล […]

The post สภาทองคำโลกคาดทองคำขาขึ้นรอบนี้อาจยาวกว่าในอดีต ตั้งแต่ต้นปีเงินทุนไหลเข้ากองทุนทองคำกว่า 1.6 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
สภาทองคำโลก

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ที่เน้นลงทุนในทองคำสุทธิกว่า 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.6 ล้านล้านบาท ขณะที่สภาทองคำโลก (World Gold Council) คาดขาขึ้นของราคาทองคำรอบนี้อาจยาวกว่าที่ผ่านมา

 

เม็ดเงินที่ไหลเข้าสุทธิในกองทุน ETF ทองคำกว่า 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์ มาจากอเมริกาเหนือ 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ยุโรป 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เอเชีย 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และภูมิภาคอื่นๆ อีก 501 ล้านดอลลาร์

 

เซาไก ฟาน หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า ขาขึ้นของราคาทองคำครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะมันไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในมุมมองของผู้คนที่มีต่อสถาบันดั้งเดิม เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ รัฐบาลสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 

 

“ผมคิดว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวมากกว่าการตอบสนองระยะสั้นต่อสถานการณ์อย่างโควิดในปี 2020 หรือวิกฤตการเงินในปี 2008 ปัญหาต่างๆ ในปัจจุบันเป็นปัจจัยระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง นั่นคือเหตุผลที่ผมคิดว่าขาขึ้นของทองคำรอบนี้มีความเป็นไปได้ที่อาจยาวกว่าครั้งก่อนๆ” เซาไกกล่าว

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปมองในอดีตที่ผ่านมา จะเห็นว่าขาขึ้นรอบใหญ่ของทองคำมีอยู่ 2 ช่วงสำคัญ คือ ช่วงทศวรรษที่ 1970s ที่ราคาทองคำเริ่มขยับจาก 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขึ้นไปสูงสุดที่เกือบ 900 ดอลลาร์ ในช่วงต้นปี 1980 ก่อนที่ทองคำจะร่วงลงมาอยู่ในกรอบ 200 – 500 ดอลลาร์ ยาวนานถึง 25 ปี 

 

ถัดมาคือช่วงปี 2006 ที่ราคาทองคำทะลุ 600 ดอลลาร์ ได้อีกครั้ง ก่อนจะวิ่งขึ้นไปเกือบ 2,000 ดอลลาร์ ในปี 2011 หลังจากนั้นก็ใช้เวลาถึง 9 ปี จนมาถึงช่วงวิกฤตโควิด-19 กว่าที่ราคาทองคำจะกลับมาทะลุ 2,000 ดอลลาร์ ได้ในที่สุด

 

ส่วนขาขึ้นรอบนี้เริ่มจากช่วงต้นปี 2024 มาถึงปัจจุบัน ราคาทองคำวิ่งจาก 2,000 ดอลลาร์ มาสู่ระดับ 3,600 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นราว 80% ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี

 

เซาไกกล่าวต่อว่า ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำต่อเนื่อง แม้จะซื้อเพิ่มในอัตราที่ชะลอลง โดยไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางถือครองทองคำรวมกันเพิ่มขึ้น 166 ตัน 

 

“3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำรวมกันปีละกว่า 1,000 ตันต่อปี เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก” 

 

ความต้องการทองคำในไทยสูงอันดับ 7 ของโลก

 

เมื่อปี 2024 ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำในไทยอยู่ที่ราว 40 ตัน เพิ่มขึ้น 17% จากปี 2023 สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก ขณะที่ความต้องการทองคำโดยรวมของผู้บริโภคในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ โดยปริมาณความต้องการทองคำรวมเพิ่มขึ้นถึง 12 ตัน หรือเติบโต 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

 

ในขณะที่ความต้องการเครื่องประดับทองคำในไทยสอดคล้องกับทิศทางตลาดโลก โดยปริมาณลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อโดยรวม แนวโน้มตลาดในภูมิภาคอาเซียนแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค โดยหันมานิยมเครื่องประดับที่มีความบริสุทธิ์ต่ำลง 

 

จากการศึกษาพบว่าคนไทยมองทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวและเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน โดยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของแพลตฟอร์มการออมทองคำแท่งในรูปแบบดิจิทัล อาทิ แอปพลิเคชันเป๋าตังได้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความต้องการซื้อทองคำในตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

ภาพ: Oliver Helbig / GettyImages

อ้างอิง:

The post สภาทองคำโลกคาดทองคำขาขึ้นรอบนี้อาจยาวกว่าในอดีต ตั้งแต่ต้นปีเงินทุนไหลเข้ากองทุนทองคำกว่า 1.6 ล้านล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก 3 แคนดิเดตเข้าชิงเก้าอี้ผู้อำนวยการใหญ่ AOT คนใหม่ เตรียมสอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ก.ย. นี้ https://thestandard.co/aot-president-3-candidates/ Thu, 11 Sep 2025 07:59:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1118175 ผู้อำนวยการใหญ่ AOT คนใหม่

AOT ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์ เพื่อคัด […]

The post รู้จัก 3 แคนดิเดตเข้าชิงเก้าอี้ผู้อำนวยการใหญ่ AOT คนใหม่ เตรียมสอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้อำนวยการใหญ่ AOT คนใหม่

AOT ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ AOT โดยมี 3 รายชื่อที่ผ่านคุณสมบัติมีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งต่อ

 

ตามที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้ประกาศรับสมัครบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการใหญ่ AOT ระหว่างวันที่ 4 – 26 สิงหาคม 2568 นั้น บัดนี้ คณะกรรมการสรรหาผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ AOT ซึ่งมี พลเรือเอก สุวิน แจ้งยอดสุข เป็นประธาน

 

ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครในขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว จึงขอประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ AOT จำนวน 3 ราย ดังนี้

 

  1. เอนก ธีระวิวัฒน์ชัย เอนก ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานยุทธศาสตร์) ของ AOT

 

 

 

  1. ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ และยังดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่(สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง)

 

 

  1. พีรกันต์ แก้ววงศ์วัฒนา อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.)

 

 

โดยผู้สมัครที่มีรายชื่อดังกล่าว จะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์และนำเสนอวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหาฯ ในวันที่ 15 กันยายน 2568 เวลา 9.30 น. เป็นต้นไป

 

ณ ห้องประชุมคณะกรรมการ AOT ชั้น 7 อาคารสำนักงานใหญ่ AOT และผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องได้รับคะแนนเฉลี่ยจากคณะกรรมการสรรหาฯ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์การพิจารณา ทั้งนี้ ผลการคัดเลือกจะเสนอต่อคณะกรรมการ AOT เพื่อพิจารณาต่อไป

The post รู้จัก 3 แคนดิเดตเข้าชิงเก้าอี้ผู้อำนวยการใหญ่ AOT คนใหม่ เตรียมสอบสัมภาษณ์ วันที่ 15 ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทองคำไทย ‘ขาขึ้นถึงปีหน้า’ แม้ล่าสุดราคาทะลุ 54,000 บาทไปแล้ว อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจโลกเปราะบาง ส่งผลคนแห่ตุนทอง เฉพาะครึ่งปีแรกดีมานด์พุ่ง 21% ดันไทยติด Top 10 โลก จ่อแตะ 56,000 บาทสิ้นปี https://thestandard.co/gold-price-surge-factors/ Thu, 11 Sep 2025 00:29:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1118028

หัวข้อในเนื้อหานี้   เปิด 4 ปัจจัยดันราคาทองคำขาขึ […]

The post ทองคำไทย ‘ขาขึ้นถึงปีหน้า’ แม้ล่าสุดราคาทะลุ 54,000 บาทไปแล้ว อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจโลกเปราะบาง ส่งผลคนแห่ตุนทอง เฉพาะครึ่งปีแรกดีมานด์พุ่ง 21% ดันไทยติด Top 10 โลก จ่อแตะ 56,000 บาทสิ้นปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

ตลาดทองคำไทยยังคงรักษาโมเมนตัมความร้อนแรง ทั้งจากแรงหนุนของเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง และแรงซื้อในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง ล่าสุดราคาทองคำทะลุระดับ 54,000 บาทต่อบาททองคำ และมีโอกาสพุ่งถึง 56,000 บาทในสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกันดีมานด์ทองคำครึ่งปีแรกของไทยพุ่งขึ้น 21% จากปีก่อน ส่งผลให้ไทยติดอันดับ Top 10 ตลาดทองคำโลก และเป็นประเทศเดียวที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอด 4 ปีหลังโควิด ยืนยันบทบาทผู้นำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีศักยภาพก้าวสู่ศูนย์กลางทองคำระดับโลก

 

ราคาทองคำในประเทศไทยยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดทะลุระดับ 54,000 บาทต่อบาททองคำมาแล้ว ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน 

 

เปิด 4 ปัจจัยดันราคาทองคำขาขึ้นยาวถึงปีหน้า

 

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่า ปัจจัยสำคัญ 4 ประการที่หนุนราคาทองคำ ได้แก่ 

 

  1. สงครามการค้าและนโยบายภาษีสหรัฐฯ: ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกดดันและความไม่แน่นอนในระบบการค้าโลก นักลงทุนจึงหันเข้าหาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

 

  1. ทิศทางดอกเบี้ยขาลง: ตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มเร่งปรับลดดอกเบี้ยมากกว่าที่คาด จากเดิมที่ประเมินว่าจะลดเพียง 0.5% ปีนี้ เริ่มมีการคาดการณ์อาจลดถึง 0.75% ซึ่งเป็นแรงบวกต่อทองคำ เนื่องจากราคาทองมักเคลื่อนไหวสวนทางกับดอกเบี้ย

 

  1. ความเชื่อมั่นในดอลลาร์สหรัฐลดลง: การเมืองภายในประเทศสหรัฐฯ และการแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานอิสระ เช่น Fed ทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของดอลลาร์สหรัฐถดถอย เกิดกระแสการค้าขายระหว่างประเทศโดยใช้สกุลเงินอื่นแทนดอลลาร์ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

 

  1. แรงซื้อจาก ETF และธนาคารกลาง: ปีนี้กองทุน ETF ทองคำและธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองยิ่งแข็งแรงขึ้น

 

บรรยาย: ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง

 

ธนรัชต์​ กล่าวเพิ่มอีกว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยคนรุ่นใหม่หันมาซื้อทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โครงการออมทอง และการถือครองทองคำชิ้นเล็กหรือแบบเศษส่วน (fractional gold) มากขึ้น สอดรับกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อกับระบบธนาคารพาณิชย์ ขยายการเข้าถึงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

 

ดีมานด์ทองคำไทยโตเร็วที่สุดในโลก

 

พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ทิศทางความต้องการทองคำในประเทศไทยปี 2568 ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีความต้องการทองคำของไทยเพื่อการบริโภค (ไม่รวมอุปสงค์จากธนาคารกลาง) สูงถึง 49 ตัน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตราการเติบโต 13% นี้ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในโลกในปี 2567 ส่งผลให้ช่วงดังกล่าวความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคของไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก และอันดับที่ 4 ของเอเชีย 

 

ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่ความต้องการทองคำเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในปี พ.ศ. 2564 – 2567

 

พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG)

พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG)

 

ขณะเดียวกันปี 2568 ภาพรวมครึ่งปีแรกความต้องการทองคำเพื่อบริโภคของไทยอยู่ที่ 20.7 ตัน เติบโต 21 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงคาดการณ์ว่าทิศทางการเติบโตของไทยปีนี้ทั้งปีจะไม่ต่ำกว่าปี 2567 แน่นอน โดยเฉพาะความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน เนื่องจากทิศทางทองคำปีนี้ยังมีแนวโน้มขาขึ้นชัดเจน แม้ว่าล่าสุดจะทำจุดสูงสุดใหม่ทะลุ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ไปแล้ว แต่ยังมีโอกาสขึ้นไปหาเป้าหมายระดับบนที่ 3,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ 

 

ขณะที่ทองคำแท่งในประเทศมองว่าภายในสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะระดับ 56,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งถือว่าไม่หวือหวามากเนื่องจากค่าเงินบาทในระยะนี้กลับมาแข็งค่า

 

อย่างไรก็ดี จากการสำรวจล่าสุดพบว่านักลงทุนไทย 100% มีจำนวน 97% ที่ลงทุนในทองคำ ในกลุ่มนี้มี 20% ที่เข้ามาลงทุนทองคำโดยที่ไม่เคยซื้อทองคำมาก่อน และมี 77% ที่ลงทุนทองคำโดยที่เคยซื้อทองคำมาแล้ว ขณะเดียวกันมีเพียง 3% ที่ไม่คิดลงทุนและซื้อทองคำ โดยให้เหตุผลว่าความรู้และความสามารถในการซื้อมีจำกัด รวมถึงไม่ทราบถึงทางเลือกการลงทุนทองคำที่จับต้องได้และราคาไม่แพง รวมถึงนักลงทุนทองคำเกือบครึ่งหนึ่งกังวลเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ทองคำ เช่น สินค้าปลอม และ กังวลเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ที่ไม่มีการรับประกันความปลอดภัย รวมถึงกังวลด้านการเก็บรักษาทองคำให้ปลอดภัย

 

สร้างมาตรฐาน-ยกระดับตลาด

 

ท่ามกลางความร้อนแรง สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทยได้เดินหน้าจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulatory Organization: SRO) เพื่อสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรม ป้องกันปัญหาทองปลอม ความไม่โปร่งใสของราคา และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย รวมถึงผลักดัน ‘Asia Gold Fixing’ เพื่อสร้างมาตรฐานอ้างอิงของตลาดทองคำอาเซียน

 

โดย World Gold Council ประเมินว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย กำลังกลายเป็น ‘เสาหลักที่สาม’ ของตลาดทองคำโลก เคียงข้างจีนและอินเดีย ด้วยความต้องการภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่เชื่อถือได้ และการพัฒนาสู่ดิจิทัลและมาตรฐานสากล

The post ทองคำไทย ‘ขาขึ้นถึงปีหน้า’ แม้ล่าสุดราคาทะลุ 54,000 บาทไปแล้ว อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจโลกเปราะบาง ส่งผลคนแห่ตุนทอง เฉพาะครึ่งปีแรกดีมานด์พุ่ง 21% ดันไทยติด Top 10 โลก จ่อแตะ 56,000 บาทสิ้นปี appeared first on THE STANDARD.

]]>