Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 29 Apr 2025 08:48:26 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 นับถอยหลัง 2 วันสุดท้าย! ผู้ถือหุ้น TIDLOR รีบแลกหุ้นเป็น Tidlor Holdings ก่อนหมดเขตวันที่ 30 เม.ย. 68 เวลา 16.00 น. https://thestandard.co/tidlor-shareholders-final-call-exchange-deadline-april-30/ Tue, 29 Apr 2025 08:50:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1069405 Tidlor Holdings

เหลือเวลาอีก 2 วันเท่านั้น! ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาแลกหุ้น […]

The post นับถอยหลัง 2 วันสุดท้าย! ผู้ถือหุ้น TIDLOR รีบแลกหุ้นเป็น Tidlor Holdings ก่อนหมดเขตวันที่ 30 เม.ย. 68 เวลา 16.00 น. appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tidlor Holdings

เหลือเวลาอีก 2 วันเท่านั้น! ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาแลกหุ้น TIDLOR เป็น Tidlor Holdings ในวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 16.00 น. 

 

สำหรับผู้ถือหุ้น บมจ.เงินติดล้อ ที่ยังลังเล แนะนำให้รีบตัดสินใจโดยด่วน เพราะถ้าพลาดการแลกหุ้นครั้งนี้ไปจะมีผลกระทบหลายอย่าง โดยเฉพาะจะไม่สามารถซื้อขายหุ้น บมจ.เงินติดล้อ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ หลังถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งไม่มีโอกาสได้รับเงินปันผลจากธุรกิจของ ‘Tidlor Holdings’ ที่จะลงทุนในอนาคต

 

และแน่นอนว่า ผู้ถือหุ้นที่ ‘แลกหุ้น’ จะได้สิทธิ์เป็นผู้ถือหุ้นของ ‘Tidlor Holdings’ ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลจาก ‘Tidlor Holdings’ จากทั้งธุรกิจปัจจุบันและธุรกิจอื่นๆ ที่จะเข้าไปลงทุนในอนาคต

 

สำคัญ! การแลกหุ้น ‘ไม่ได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ’ ผู้ถือหุ้นต้องทำการตอบรับ ‘ด้วยตัวเอง’ เท่านั้น เนื่องจากเป็นสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในการตัดสินใจ บริษัทฯ จึงไม่สามารถดำเนินการแทนได้ ซึ่งแนะนำให้รีบดำเนินการภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 ก่อนเวลา 16.00 น.

 

ขั้นตอนการแลกหุ้นจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบของผู้ถือหุ้นดังนี้

 

กรณีที่ 1: ฝากหุ้นไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ (Scripless)

 

ผู้ถือหุ้นสามารถติดต่อได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้โดยตรง หรือทำตามขั้นตอนการแลกหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ได้ 2 วิธีดังนี้

 

วิธีที่ 1: ผ่านช่องทางออนไลน์

 

  1. ทำ E-Tender ผ่านเว็บไซต์ https://eservices.kkpfg.com/ETender/ ของ บล.เกียรตินาคินภัทร

 

  1. ติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ที่ท่านมีบัญชีซื้อขาย และทำตามขั้นตอนเพื่อโอนหลักทรัพย์มายัง บล.เกียรตินาคินภัทร

    ทั้งนี้ สำหรับผู้ถือหุ้นที่มีบัญชีหลักทรัพย์กับ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) สามารถตอบรับการแลกหุ้นผ่านระบบ eService ผ่านแอป Streaming กด more และเลือก InnovestX eService ได้อีกช่องทาง ดูขั้นตอนได้ที่นี่: tidlor.info/innovestx

 

วิธีที่ 2: ผ่านการยื่นเอกสาร

 

  1. กรอกแบบฟอร์มตอบรับคำเสนอซื้อฯ (ดาวน์โหลดที่นี่: tidlor.info/426hYWH)

 

  1. ติดต่อบริษัทหลักทรัพย์เพื่อแจ้งความประสงค์ในการตอบรับคำเสนอซื้อฯ และขอให้โอนหลักทรัพย์

    (สามารถดูขั้นตอนอย่างละเอียดในการแลกหุ้นได้ที่: tidlor.info/43I4faZ)

 

ทั้งนี้ อาจมีค่าธรรมเนียมโอนหุ้นในบางบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นนโยบายของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ที่ผู้ถือหุ้นสามารถสอบถามรายละเอียดกับบริษัทหลักทรัพย์ได้โดยตรง

 

หลังดำเนินการเรียบร้อยแล้ว แต่ละบริษัทหลักทรัพย์จะมีวิธีแจ้งผลที่แตกต่างกัน บางแห่งอาจส่งอีเมลหรือเอกสารยืนยันให้โดยตรง อย่างไรก็ตาม สามารถตรวจสอบได้จากพอร์ตการลงทุน หากหุ้น TIDLOR ไม่แสดงในพอร์ต แสดงว่าการแลกหุ้นเสร็จสมบูรณ์ 

 

กรณีที่ 2: ฝากหุ้นไว้กับที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น มีใบหุ้น, ฝากหุ้นไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ในบัญชีของผู้ออกหลักทรัพย์ (Issuer Account) สมาชิกเลขที่ 600 และ NVDR

 

แนะนำให้รีบดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยเตรียมเอกสารใบตอบรับคำเสนอซื้อฯ, สำเนาบัตรประชาชน, ใบหุ้น (กรณีมีหุ้นรูปแบบใบหุ้น) และเอกสารประกอบอื่นๆ โดยกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง และยื่นเอกสารโดยตรงที่ 

 

  • บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
    ชั้น 12A อาคารเคเคพี ทาวเวอร์: ตึก A 209 ถนนสุขุมวิท 21 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 โทร. 0 2165 5555 กด 4
  • บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด
    ไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า: เลขที่ 19 อาคาร 3 ชั้น 2 ถนนรัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 0 2949 1999

 

ทั้งนี้ ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เสร็จสิ้น และมีผู้ถือหุ้นของ บมจ.เงินติดล้อ ตอบรับคำเสนอซื้อรวมกันแล้วมากกว่าหรือเท่ากับ 95% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ บมจ.เงินติดล้อ จะดำเนินการให้มีการเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์ (Ticker) จาก TIDLOR เป็น NTL (เป็นการชั่วคราว)

 

โดยภายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2568 หุ้น Tidlor Holdings จะกลับเข้ามาแสดงในพอร์ตให้แก่ผู้ถือหุ้นที่ตอบรับการแลกหุ้น และ Tidlor Holdings จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนหุ้นของ บมจ.เงินติดล้อ ที่จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันเดียวกัน โดยใช้ชื่อย่อฯ TIDLOR ตามเดิม หลังจากนั้นนักลงทุนที่แลกหุ้นก็จะมีโอกาสลงทุนสร้างผลตอบแทนจากโครงสร้างบริษัทใหม่ Tidlor Holdings ต่อไปได้

 

ผู้ถือหุ้นที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของทุกธุรกิจภายใต้ TIDLOR Holdings รวมถึงโอกาสในการลงทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

การตัดสินใจในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการแลกหุ้น แต่เป็นการเลือกที่จะก้าวไปพร้อมกับการเติบโตของ TIDLOR ในรูปแบบใหม่ที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผู้ถือหุ้นจึงควรพิจารณาดำเนินการให้ทันเวลาที่กำหนด เพื่อไม่พลาดโอกาสสำคัญครั้งนี้

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่: www.tidlorinvestor.com/tidlorholdings

 

The post นับถอยหลัง 2 วันสุดท้าย! ผู้ถือหุ้น TIDLOR รีบแลกหุ้นเป็น Tidlor Holdings ก่อนหมดเขตวันที่ 30 เม.ย. 68 เวลา 16.00 น. appeared first on THE STANDARD.

]]>
DIF – ก้าวข้ามความผันผวน https://thestandard.co/dif-navigating-volatility/ Tue, 29 Apr 2025 07:55:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1069455

เกิดอะไรขึ้น:   InnovestX Research ประเมินผลประกอบ […]

The post DIF – ก้าวข้ามความผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>

เกิดอะไรขึ้น:

 

InnovestX Research ประเมินผลประกอบการของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) ว่ามีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความไม่แน่นอนที่สูง ตลาดยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงจากผลกระทบของภาษีทรัมป์ ทำให้ DIF เป็นตัวเลือกลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากมีกระแสรายได้ที่มั่นคง 

 

สำหรับใน 1Q68 คาดว่า DIF จะรายงานกำไรปกติที่ 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7%YoY และ 0.8%QoQ รายได้ค่าเช่าคาดว่าจะอยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% ทั้ง YoY และ QoQ โดยคาดว่ารายการต้นทุนหลักๆ จะอยู่ในระดับทรงตัว YoY และ QoQ ยกเว้นดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งคาดว่าจะลดลง 4.2%YoY และ 1.6%QoQ มาอยู่ที่ 520 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ลดลง เนื่องจากเงินกู้ของกองทุนมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว 

 

กำไร 1Q68 ที่ประเมินได้คิดเป็น 25% ของประมาณการกำไรเต็มปี ซึ่งคาดว่า DIF จะประกาศจ่าย DPU งวด 1Q68 ที่ 0.22 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนจะประกาศผลประกอบการในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 

 

การรีไฟแนนซ์หนี้จะส่งผลกระทบต่อ DPU เพียงเล็กน้อย DIF ต้องรีไฟแนนซ์หนี้จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2568 จากหนี้คงค้างรวม 2.48 หมื่นล้านบาท InnovestX Research คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าการรีไฟแนนซ์หนี้ดังกล่าวจะทำให้ DPU ปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.81 บาทต่อหน่วย ในปี 2568 

 

ข้อมูลล่าสุดที่ได้มาจากทาง DIF พบว่าการรีไฟแนนซ์หนี้ครั้งนี้รวมการชำระคืนเงินต้นจำนวน 1.3 พันล้านบาท ในปี 2568 ด้วย หรือสูงกว่าปี 2567 อยู่ 100 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันคาดว่า DPU ในปี 2568 จะอยู่ที่ 0.88 บาทต่อหน่วย ซึ่งแม้ว่าจะต่ำกว่า DPU ปี 2567 ที่ 0.89 บาทต่อหน่วย อยู่เล็กน้อย แต่ InnovestX Research ยังมองว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี 

 

นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในการประชุม กนง. วันที่ 30 เมษายน INVX คาดว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25bps ซึ่งจะส่งผลดีต่อ DIF ในสองทาง 

 

ทางแรกคือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ DIF ดูน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล ทางที่สอง คือ เนื่องจากหนี้ของ DIF มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวและเชื่อมโยงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทุกๆ 25 bps จะหนุนให้กำไรสุทธิของ DIF ปรับเพิ่มขึ้นได้ปีละ 70 ล้านบาท ทั้งนี้ INVX คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 25 bps) ในปีนี้ คือ ในการประชุมเดือนมิถุนายน และครึ่งหลังของปี 2568

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา ราคาหน่วยลงทุน DIF ปรับขึ้น 2.50% สู่ 8.10 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 2.2% สู่ 1,159.00 จุด 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

 

InnovestX Research คงคำแนะนำ Outperform สำหรับ DIF โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 10.5 บาทต่อหน่วย (WACC 7.1% และไม่มี Terminal Value) โดยที่ใช้สมมติฐานว่า TRUE จะต่อสัญญาเช่า FOC ถึงปี 2586 เนื่องจากเข้าเงื่อนไขในการที่ TRUE จะต้องต่ออายุสัญญาเช่าแล้ว

 

ราคาหน่วยลงทุน DIF ปรับตัว Outperform SET อยู่ 11.4% ตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงปัจจุบัน และคาดว่าจะ Outperform ต่อเนื่อง DIF ให้ผลตอบแทน 2.7% สำหรับระยะเวลาถือครอง 1 เดือน นอกจากนี้ยังเล็งเห็นปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 30 เมษายน 2568 ด้วย ความเสี่ยง downside ต่อกำไรของ DIF ยังคงมีจำกัดเมื่อพิจารณาจากกระแสรายได้ที่มั่นคง

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นจะทำให้เงินปันผลดูน่าสนใจน้อยลง และจะทำให้ราคาหน่วยลงทุนมี Upside จำกัด เนื่องจาก DIF จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นปันผล

 

DIF – ก้าวข้ามความผันผวน: https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/high-conviction/highconviction-dif-20250428 

The post DIF – ก้าวข้ามความผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Thai ESGX คาดช่วยดัชนีหุ้นไทย พ.ค.-มิ.ย. ปีนี้ลงจำกัด เริ่มซื้อขาย 2 พ.ค. โยกจาก LTF ได้ 13 พ.ค. นี้ https://thestandard.co/thai-esgx-thai-stocks-may-june/ Tue, 29 Apr 2025 00:33:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1069227

เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2568 กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกร […]

The post Thai ESGX คาดช่วยดัชนีหุ้นไทย พ.ค.-มิ.ย. ปีนี้ลงจำกัด เริ่มซื้อขาย 2 พ.ค. โยกจาก LTF ได้ 13 พ.ค. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2568 กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) ที่จะเปิดให้ลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 สำหรับคนที่จะซื้อกองทุน Thai ESGX หน่วยลงทุนใหม่ และจะเปิดให้คนที่มี LTF อยู่แล้วและต้องการสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF มาเป็นกองทุน Thai ESGX จะเปิดให้ทำการสับเปลี่ยนได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568

 

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดบริการใหม่ให้ผู้ลงทุนตรวจสอบข้อมูลการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทุกกองทุน จากทุกกองทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แบบรวมศูนย์ผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามมาตรการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุน

 

ทั้งนี้ ภาครัฐมีมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุน Thai ESGX และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ไป Thai ESGX ในช่วงเวลา2 เดือน คือ พฤษภาคม-มิถุนายน 2568 ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกหลักเกณฑ์รองรับจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX ซึ่งขณะนี้มี Thai ESGX ให้เลือกลงทุนรวม 37 กองทุน จาก บลจ. 19 แห่ง ที่อยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งจาก ก.ล.ต.

 

วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภายหลังการทยอยขายหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย จึงมีการเสนอมาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพ ยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางสำหรับเงินลงทุนใหม่และเงินลงทุนเดิม คือ

 

  1. การลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX
  2. การลดหย่อนภาษีสำหรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX

 

ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน เพิ่มจำนวนนักลงทุนที่ตระหนักถึงความยั่งยืน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน ตลอดจนผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

 

คาดสูญรายได้จากภาษีมากสุด 5 หมื่นล้านบาท

 

“ทางกระทรวงการคลังเราประเมินว่า โครงการ Thai ESGX ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ส่วนโครงการ Thai ESG น่าจะทำให้สูญเสียรายได้ภาษีอยู่ที่ราว 10,000-20,000 ล้านบาท” วโรทัยกล่าว

 

ทั้งนี้หากพิจารณาใน 2 โครงการ Thai ESG และ Thai ESGX คาดรัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากการเข้าพยุงตลาดหุ้นไทยและส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มยั่งยืนรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท

 

พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนัก ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า Thai ESGX จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนลงทุนระยะยาวผ่านตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ บลจ. สามารถยื่นขอจัดตั้งและอนุมัติได้ตามช่วงเวลาที่วางไว้ พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุนและ บลจ. รวมทั้งกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ถือหน่วยลงทุน LTF สามารถตรวจสอบหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ตนเองถือครองอยู่ได้ เนื่องจากตามเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ. ที่เป็นอีกทางเลือกให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนเพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี

 

หวังเงินไหลเข้าหุ้นไทยเดือนละ 1 หมื่นล้านบาท

 

ในเบื้องต้น คาดว่าเม็ดเงินใหม่และเก่าจาก LTF จะไหลเข้ามาลงทุนในกองทุน Thai ESGX ที่มีเงื่อนไขกำหนดให้เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทย ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ตามหลักเกณฑ์เดียวกับกองทุน Thai ESG โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV แต่มีกรอบการลงทุนเพิ่มเติม คือ ต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ซึ่งคาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณเดือนละประมาณเดือน 10,000 ล้านบาท หากพิจารณาจากปริมาณเงินที่ไหลเข้า Thai ESG ก่อนหน้านี้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อเดือน รวม 2 เดือนน่าจะมีประมาณ 20,000 ล้านบาท

 

ธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุน เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทย และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทยให้มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero มีการใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่กองทุน Thai ESG เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 นั้น ได้เห็นพัฒนาการที่ดียิ่งทั้งในมิติการมีส่วนร่วมลงทุนของคนไทยที่ 252,403 ราย ณ สิ้นปี 2567 ส่วนในมิติของการเติบโตของขนาดกองทุน หรือ AUM อยู่ที่ 33,066 ล้านบาท ณ 31 มีนาคม 2568 ขณะที่ มิติความครอบคลุมของบริษัทจดทะเบียนไทยซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 440 บริษัท เติบโตจาก 200 กว่าบริษัทในตอนเริ่มจัดตั้งกองทุน

 

 

2 พ.ค. นี้ Thai ESGX ‘37 กองทุน’ พร้อมเปิดขาย

 

สำหรับ Thai ESGX นั้น บลจ. 19 แห่ง ได้เตรียมพร้อมนำเสนอ 37 กองทุน ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หรือแจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทั้งหมด ทุกกองทุน ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถลงทุนและสับเปลี่ยนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 เท่านั้น ทั้ง บลจ.และผู้สนับสนุนการขายที่ได้รับการแต่งตั้งพร้อมแล้วที่จะร่วมมือกันเพื่อสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำผู้ลงทุน

 

โดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้ตั้งเป้าหมายในการระดมเงินลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จากผู้ลงทุนประมาณ 400,000 ราย ที่คาดจะมีการลงทุนเฉลี่ยรายละ 300,000-400,000 บาทต่อราย ซึ่งคาดว่าคนส่วนใหญ่ 80% ที่ถือลงทุน LTF ต่ำกว่า 500,000 บาท จะโยกมาลงทุน Thai ESGX เนื่องจากเงื่อนไขจูงใจ และถือลงทุนเพียง 5 ปี นับวันชนวัน (จากวันที่ซื้อลงทุน) บวกกับผลตอบแทนที่น่าจะจูงใจ

 

จากปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาทำให้ค่าเฉลี่ย P/E ต่ำกว่า -2SD ทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend Yield) มาอยู่ที่ประมาณ 4.5% จากปกติหุ้นไทยจะมี Dividend Yield อยู่ที่ 3% และเมื่อมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาทำให้  P/E จะกลับไประดับเดิมก่อนลงมา จึงเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ในระดับ 2 หลัก (Double Digit) และยิ่งลงทุนนาน 3-5 ปี ผลตอบแทนจะยิ่งสูงและยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย หลังตลาดตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว

 

 

ด้านอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมในการให้บริการข้อมูล LTF แก่ผู้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะสามารถดูภาพรวมการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดของตนเองจากทุก บลจ. ได้ในที่เดียว ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ขยายบริการเรียกดูข้อมูลให้ครอบคลุมกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ

 

อาทิ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF), กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (Super Saving Funds: SSF) และ Thai ESG เพื่อความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตรวจสอบและบริหารจัดการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดหวังว่าเม็ดเงินในกองทุน LTF ที่ค้างอยู่ในปัจจุบันประมาณ 150,000-160,000 ล้านบาท จะโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยผ่าน Thai ESGX ซึ่งปัจจุบันพบว่าแรงขาย LTF ชะลอลงแล้ว หลัง ครม. มีมติออกมาตรการในโครงการ Thai ESGX

 

“ความคาดหวังที่จะมีการโยกหรือเม็ดเงินใหม่เข้ามาจาก 2-3 ปัจจัย โดย LTF มา Thai ESGX ก็คือควรจะช่วยลดแรงขาย LTF จากช่วงที่ผ่านมา ถ้าสังเกต 2-3 เดือนที่ผ่านมาหลังที่ ครม. อนุมัติมาตรการที่ผ่านมา แรงขายน้อยลงจริงๆ จึงคาดจะมีการโยกมาที่ Thai ESGX ค่อนข้างเยอะ ซึ่งพื้นฐานตลาดทุนไทยเราดัชนีเรานิ่งขึ้น แม้จะมีสงครามการค้าในช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ตลาดไทยตกน้อยลงตลาดภูมิภาค ส่วนหุ้นไทยรับความเสี่ยงจากปัจจัยลบไปมากแล้วการลงน่าจะจำกัด และมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ตลาดก็รับข่าวไปพอสมควรแล้ว ส่วนความไม่แน่นอนจะทำให้ตลาดยืนเหนือ 1,000 จุดได้ไหม หากดูจากการซื้อขายที่ผ่านมาเห็นแรงขายชะลอลงมากแล้ว และมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง จากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ถ้าปัจจัยทางภาษีจากภายนอกก็ส่วนตัวก็มองว่าหุ้นไทยน่าจะลดได้จำกัดแล้ว” อัสสเดชกล่าว

 

ทบทวนอีกครั้ง Thai ESGX คืออะไร?

 

สำหรับ Thai ESGX คือกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือความยั่งยืน ที่ผู้ออกเป็นภาครัฐไทยหรือกิจการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ โดยที่ Thai ESGX จะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิด้วย

 

สำหรับวงเงินสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้มาตรการ Thai ESGX แบ่งออกเป็น 2 วงเงิน ประกอบด้วย

 

  1. วงเงินที่ 1 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนใน Thai ESGX สามารถเริ่มซื้อได้ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน)

 

  1. วงเงินที่ 2 สำหรับผู้ที่ถือหน่วยลงทุน LTF ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่แจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม ทั้งหมดใน LTF ทุกกองทุนในทุก บลจ. (ไม่รวม class หน่วยภาษีอื่นภายใต้กองทุนเดียวกัน เช่น class SSF) มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESGX ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท ตั้งแต่ปีภาษี 2568-2572 โดยในปี 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท และปี 2569-2572 ให้ได้รับลดหย่อนเป็นจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละปีภาษี

The post Thai ESGX คาดช่วยดัชนีหุ้นไทย พ.ค.-มิ.ย. ปีนี้ลงจำกัด เริ่มซื้อขาย 2 พ.ค. โยกจาก LTF ได้ 13 พ.ค. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘บอนด์ไทย’ หนึ่งในหลุมหลบภัยของต่างชาติ เงินทุนไหลเข้า 6.4 หมื่นล้านบาทในเดือนเดียว https://thestandard.co/foreign-funds-flow-into-thai-bonds/ Tue, 29 Apr 2025 00:26:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1069223

ตลาดพันธบัตรไทยกำลังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติ ส […]

The post ‘บอนด์ไทย’ หนึ่งในหลุมหลบภัยของต่างชาติ เงินทุนไหลเข้า 6.4 หมื่นล้านบาทในเดือนเดียว appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลาดพันธบัตรไทยกำลังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในเดือนเมษายน และมีแนวโน้มทำสถิติไหลเข้าสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยปัจจัยหนุนสำคัญคือความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเงินดอลลาร์และสินทรัพย์ในสกุลดอลลาร์อย่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

 

ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนจนถึงปัจจุบัน (28 เมษายน) มีกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้าสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยแล้วประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 สวนทางกับตลาดพันธบัตรในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดียและอินโดนีเซียที่ประสบกับภาวะเงินทุนไหลออกในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า 3 เหตุผลใหญ่ที่เงินไหลเข้าพันธบัตรไทยมากสุดในเดือนนี้ เนื่องจาก

 

1. ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์ที่ถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการประกาศภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา

 

“แม้จะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 90 วัน แต่ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์ถูกกระทบอย่างสำคัญ ไม่ว่าจะตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ อันนี้เป็นความเชื่อมั่นต่อการถือครองดอลลาร์ ซึ่งพันธบัตรเป็นสินทรัพย์ใหญ่มาก ทำให้เงินทุนไหลออก สะท้อนจากยีลด์ของพันธบัตรสหรัฐฯ ยังค้างอยู่สูง และเงินที่ไหลออกเหล่านี้ต้องหาแหล่งที่ไป”

 

ข้อมูลจาก ThaiBMA ระบุว่า ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาวประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และไหลเข้าตราสารหนี้ระยะสั้นประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท

 

2. ปัจจัยถัดมาคือการไหลของเงินทุนจากตลาดหุ้นมาสู่ตลาดพันธบัตร เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ อุปสงค์ในประเทศขาดตัวช่วยหลังหมดมาตรการกระตุ้นในไตรมาสแรก จึงไม่น่าประหลาดใจที่องค์กรการเงินระหว่างประเทศ​ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยเหลือ 1.8% และคาดว่าจะเห็นหน่วยงานอื่นๆ ของไทยปรับลดคาดการณ์ลงด้วยเช่นกัน

 

3. ปัจจัยที่สามคือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยที่น่าจะลดลง โดยนักลงทุนในตลาดพันธบัตร 80% คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมวันพุธนี้ (30 เมษายน) ทำให้นักลงทุนโหมเงินเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้เพื่อล็อกอัตราดอกเบี้ย

 

“หลายคนอาจมีคำถามว่าทำไมเงินทุนยังไหลเข้าแม้พันธบัตรไทยให้ผลตอบแทนต่ำ พันธบัตรอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทนไม่ถึง 2% เป็นเพราะในมิติของ Real Bond Yield คืออัตราผลตอบแทนหักลบด้วยเงินเฟ้อไทยที่ต่ำมาก ทำให้ผลตอบแทนยังน่าดึงดูด และเป็นเหมือนหลุมหลบภัยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้” ณัฐชาตกล่าว

 

ด้านสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ราคาทองคำในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยังช่วยหนุนสินทรัพย์สกุลเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย

 

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถือครองทองคำสูงในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และมูลค่าการส่งออกทองคำเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นถึง 270% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างดัชนีค่าเงินบาทและราคาทองคำได้เพิ่มขึ้นจาก 0.15 ณ กลางเดือนกุมภาพันธ์ มาอยู่ที่ 0.44 ซึ่งบ่งชี้ว่าทั้งสองมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันมากขึ้น

 

โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 2% นับตั้งแต่มีการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนเมษายน ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นราว 7% ในช่วงเวลาเดียวกัน จากการที่นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย

 

แรงซื้อที่เข้ามาอย่างหนาแน่นได้กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 ในเดือนนี้

 

ขณะที่ วชิรวัฒน์ บรรจุภิญโญ นักกลยุทธ์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า “เม็ดเงินจำนวนมากที่ไหลเข้ามาในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผลจากการเก็งกำไรว่า ธปท. น่าจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจ” โดยสังเกตว่ากระแสเงินทุนส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่พันธบัตรระยะสั้น ซึ่งสะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่เชื่อว่า “เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้อีก”

 

นักลงทุนต้องการผลตอบแทนสูงขึ้นจากกระแส Sell America

 

กระแสเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ หรือ ‘Sell America’ ที่ครอบงำตลาดการเงินในเดือนเมษายน กำลังทิ้งร่องรอยความกังวลที่อาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อความต้องการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุยาว (Long Bond) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดหาเงินทุนเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณของประเทศ

 

ผู้จัดการกองทุนจากสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง BlackRock Inc., Brandywine Global Investment Management และ Vanguard Group Inc. ต่างมองว่า ปัญหาหลักเกิดจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นรอบด้านภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังจะดำรงตำแหน่งครบ 100 วัน ทำให้ผู้เล่นในตลาดต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงที่ซับซ้อนและหลากหลายมากกว่าเพียงแค่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย

 

ผลลัพธ์จากความไม่แน่นอนเหล่านี้คือ การรับรู้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น (Heightened Notion of Risk) ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงสถานะ ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ (Haven Status) ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และ เรียกร้องผลตอบแทนส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยความเสี่ยง (Yield Premium) สำหรับการถือครองพันธบัตรอายุยาวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ส่วนชดเชยความเสี่ยงตามอายุคงเหลือ’ (Term Premium) ซึ่งล่าสุดได้พุ่งขึ้นสู่ระดับใกล้เคียงจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014

 

แจ็ค แมคอินไทร์ ผู้ร่วมบริหารเงินทุน 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐที่ Brandywine กล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในระเบียบโลกใหม่ (New World Order)” และเสริมว่า “แม้ว่าทรัมป์จะยอมถอยในเรื่องกำแพงภาษี ผมคิดว่าระดับความไม่แน่นอนจะยังคงสูงอยู่ นั่นหมายความว่า Term Premium ก็จะยังคงอยู่ในระดับสูงด้วย”

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นที่นักลงทุนจะเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทั้งหมด โดย JPMorgan Asset Management ยังคงมองว่าพันธบัตรสหรัฐฯ น่าสนใจกว่าพันธบัตรยุโรป ขณะที่การประมูลพันธบัตรอายุ 30 ปีเมื่อต้นเดือนเมษายน ก็แสดงให้เห็นว่ายังคงมีอุปสงค์รอซื้ออยู่หากราคาเหมาะสม ซึ่งช่วยคลายความกังวลเรื่องการ ‘หยุดซื้อประท้วง’ (Buyers’ Strike) ของนักลงทุน และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวลงมาจากจุดสูงสุดได้บ้าง

 

สัญญาณความกังวลอื่นๆ ยังสะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีที่แท้จริง (Real Yields – หลังหักเงินเฟ้อ) ซึ่งในเดือนเมษายนได้พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2008 แม้จะปรับลดลงมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงสูงกว่าระดับก่อนที่ทรัมป์จะประกาศแผนขึ้นภาษีครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 2 เมษายน

 

ภาพ: IronHeart / Getty Images

อ้างอิง:

The post ‘บอนด์ไทย’ หนึ่งในหลุมหลบภัยของต่างชาติ เงินทุนไหลเข้า 6.4 หมื่นล้านบาทในเดือนเดียว appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. สั่งปรับ NEX และซีอีโอร่วม ฐานปกปิดข้อมูล รวม 1.07 ล้านบาท https://thestandard.co/sec-fines-nex-ceo/ Mon, 28 Apr 2025 11:39:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1069141 sec-fines-nex-ceo

ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้ […]

The post ก.ล.ต. สั่งปรับ NEX และซีอีโอร่วม ฐานปกปิดข้อมูล รวม 1.07 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
sec-fines-nex-ceo

ก.ล.ต. เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 2 ราย ได้แก่ (1) บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) (NEX) และ (2) คณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ของ NEX กรณีเปิดเผยสารสนเทศเกี่ยวกับรายการที่เกี่ยวโยงกัน โดยปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญเกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้น NEX ของคณิสสร์ โดยให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งรวม 1,070,722 บาท  

 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 7 และ 11 มิถุนายน 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการ NEX ได้มีมติให้มีการออกและเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement: PP) จำนวน 75,000,000 หุ้น โดยจะมีการจัดสรรหุ้นให้คณิสสร์ ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ อันเป็นการทำรายการระหว่างบริษัทกับกรรมการ/ผู้บริหาร โดยมีมูลค่าที่ถือว่าเป็นรายการขนาดใหญ่และเข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน NEX จึงมีหน้าที่เปิดเผยสารสนเทศเกี่ยวกับการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 

 

ทั้งนี้ NEX ได้เปิดเผยสารสนเทศดังกล่าวผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน 2567 โดยใช้ข้อมูลในอดีตที่แสดงสัดส่วนการถือหุ้นของคณิสสร์ที่ไม่เป็นปัจจุบัน จึงเป็นการที่ NEX เปิดเผยสารสนเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญเกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้น NEX ของคณิสสร์ 

 

การกระทำของ NEX เป็นความผิดและมีระวางโทษตามมาตรา 281/10 (2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน โดยคณิสสร์ ในฐานะเป็นบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล กระทำการเป็นเหตุให้ NEX กระทำความผิดในกรณีข้างต้นจึงต้องรับโทษเดียวกันตามมาตรา 300 ประกอบมาตรา 281/10 (2) แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ

 

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย โดยให้ผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย ชำระค่าปรับทางแพ่งและชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รวมเป็นเงินรายละ 535,361 บาท 

 

มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลเมื่อผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้ศาลกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด

 

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

The post ก.ล.ต. สั่งปรับ NEX และซีอีโอร่วม ฐานปกปิดข้อมูล รวม 1.07 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตา IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกลงอีกครั้ง หลังผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รุนแรงกว่าที่คาด https://thestandard.co/imf-global-economic-forecast-us-tariff-impact/ Mon, 28 Apr 2025 07:54:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1069032

The post จับตา IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกลงอีกครั้ง หลังผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รุนแรงกว่าที่คาด appeared first on THE STANDARD.

]]>

The post จับตา IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกลงอีกครั้ง หลังผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ รุนแรงกว่าที่คาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ทองคำ’ ไปต่อไม่รอแล้วนะ ราคาพุ่ง 10% ในเดือนเดียว แบงก์ชาติ-นักลงทุนรุมซื้อ แต่ใครพลาดขบวนทองคำรอบนี้ ‘เงิน-หุ้นเหมือง’ คือคำตอบ https://thestandard.co/investors-rush-to-buy-gold/ Sun, 27 Apr 2025 06:33:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1068629 ลงทุนทองคำ

หากคุณไม่ได้มีทองคำแท่งเก็บไว้เต็มห้องใต้ดิน อาจรู้สึกเ […]

The post ‘ทองคำ’ ไปต่อไม่รอแล้วนะ ราคาพุ่ง 10% ในเดือนเดียว แบงก์ชาติ-นักลงทุนรุมซื้อ แต่ใครพลาดขบวนทองคำรอบนี้ ‘เงิน-หุ้นเหมือง’ คือคำตอบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลงทุนทองคำ

หากคุณไม่ได้มีทองคำแท่งเก็บไว้เต็มห้องใต้ดิน อาจรู้สึกเหมือนตกรถไฟขบวนใหญ่ไปแล้ว เพราะราคาทองคำทะยานขึ้นถึง 43% ในปีที่ผ่านมา เฉพาะปีนี้ก็พุ่งไปแล้ว 26% และเฉพาะเดือนล่าสุดก็เพิ่มอีก 10% ซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก แต่ก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่งในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่มองว่าทองคำคือ ‘สินทรัพย์ป้องกันภัย’ ที่ดีที่สุดในพอร์ตลงทุน ซึ่งควรมีไว้ 

 

กระนั้นก็ไม่ควรหวังให้ราคาสูงเกินไป เพราะนั่นมักเป็นสัญญาณว่ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ภัยพิบัติทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่มั่นคงของค่าเงิน ปัญหาหนี้สาธารณะ หรือสงครามการค้า ทองคำเปรียบเสมือน ‘สินทรัพย์แห่งความกลัว’ อย่างแท้จริง

 

สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนภาพนั้นชัดเจน ราคาทองคำกำลังไต่ระดับขึ้นเพราะปัจจัยลบต่างๆ ดูเหมือนจะถาโถมเข้ามาพร้อมกัน การรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบของรัสเซียในปี 2022 และท่าทีของรัฐบาล Biden ในช่วงเวลานั้นที่ตอบโต้ด้วยการอายัดทรัพย์สินรัสเซียมูลค่าราว 2.8 แสนล้านดอลลาร์ ยิ่งเร่งให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องการลดการถือครองเงินดอลลาร์ 

 

เพราะหากสหรัฐฯ และยุโรปสามารถยึดสินทรัพย์ดอลลาร์ได้ง่ายๆ การถือครองสินทรัพย์สกุลนี้ก็ดูจะเสี่ยงเกินไป และการหันไปหาสินทรัพย์ที่ไม่มีประเทศใดควบคุมได้อย่างทองคำจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

 

จีนดูจะเป็นหนึ่งในประเทศที่คิดเช่นนั้น เมื่อสามปีก่อน จีนมีสัดส่วนทองคำในทุนสำรองเพียง 3.5% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 7.1% แล้ว 

 

อย่างไรก็ตาม ความต้องการทองคำไม่ได้มาจากความกังวลของธนาคารกลางเท่านั้น แต่ทุกคนในปัจจุบันต่างมีเรื่องให้ต้องกังวล ทั้งสงครามร้อน สงครามเย็น สงครามอวกาศ สงครามการค้า นโยบายที่คาดเดาไม่ได้ในสหรัฐฯ กระแส Deglobalization ที่ดำเนินต่อไป 

 

และที่สำคัญคือความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่ารัฐสวัสดิการตะวันตกทั้งหลายกำลังมีหนี้สินท่วมท้น จน John Gumpel จาก Aubrey Capital Management ถึงกับกล่าวว่า “มีความมั่นคงทางการเงินที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก”

 

หากประเทศส่วนใหญ่พยายาม ‘ใช้เงินเฟ้อลดภาระหนี้’ (ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด) ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่เงินเฟ้อระยะยาวจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าในตัวเอง ไม่ขึ้นกับการกำหนดของรัฐ ดูจะเป็น ‘หลุมหลบภัย’ ที่ปลอดภัยที่สุด คำถามคือทำไมถึงจะไม่ถือครองทองคำ?

 

เหตุผลเดียวที่อาจทำให้ลังเลในตอนนี้คือความเร็วในการปรับขึ้นของราคา จนกระทั่งไม่นานมานี้ ตลาดกระทิงของทองคำยังค่อนข้างเงียบ นักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันส่วนใหญ่ดูจะไม่สนใจนัก แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ราคาทองคำได้ขึ้นพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของ Financial Times เมื่อสัปดาห์ก่อน 

 

และผลสำรวจชี้ว่าทองคำกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ผู้จัดการกองทุนชื่นชอบ นักลงทุนยุโรปและสหรัฐฯ ได้เข้าซื้อทองคำไปแล้วอย่างน้อย 240 ตันในปี 2025 นี้ หลังจากเมินเฉยมา 3 ปีเต็ม ขณะที่นักลงทุนรายย่อยในจีนก็กำลังซื้ออย่างคึกคัก

 

แต่หากเทียบกับตลาดกระทิงของทองคำในอดีตภายใต้สถานการณ์คล้ายกัน ครั้งนี้ถือว่าเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ระหว่างสิงหาคม 1970 ถึงมกราคม 1980 ราคาทองคำพุ่งขึ้นถึง 20 เท่า และในตลาดกระทิงช่วงปี 2000-2011 ก็เพิ่มขึ้น 7 เท่า 

 

การพุ่งขึ้น 40% ในปีนี้จึงดูเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับการทะยานกว่า 120% ในปี 1979 และยากที่จะจินตนาการว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า สงครามเย็น ปัญหาหนี้สาธารณะ หรือเงินเฟ้อ จะหายไปในเร็ววัน

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่กังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการพักฐานหรือปรับฐานในระยะสั้น ยังมีข่าวดีคือ ‘ตัวแทนทองคำ’ อื่นๆ ยังคงมีราคาถูกอย่างมาก

 

สินทรัพย์แรกคือ โลหะเงิน (Silver) ซึ่ง John Stepek ชื่นชอบเป็นพิเศษ James Fergusson จาก Macro Strategy ชี้ว่า มีเพียงครั้งเดียวในรอบ 45 ปีที่ผ่านมา ที่โลหะเงินมีราคา ‘ถูกเมื่อเทียบกับทอง’ ขนาดนี้ และนั่นก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ ราวสองเดือนในปี 2020 เท่านั้น 

 

นอกจากนี้ ราคาโลหะเงินเคยพุ่งไปแตะระดับสูงสุดที่กว่า 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในตลาดกระทิงทองคำสองครั้งล่าสุด แต่ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 33 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

 

ถัดมาคือ บริษัทเหมืองทองคำ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่เพิ่มทั้งโอกาสกำไรและความ

เสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ราคาหุ้นกลุ่มนี้มักไม่ได้เคลื่อนไหวตามทองคำทันที แต่ขึ้นอยู่กับว่าราคาทองคำจะยืนอยู่ในระดับสูงได้นานแค่ไหน 

 

Ferguson กล่าวว่า ปัจจุบัน หุ้นเหมืองทองคำยังปรับตัวขึ้นช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้มาก หากต้องการดูแนวโน้ม ลองย้อนไปดูเดือนตุลาคม 2000 ซึ่งตอนนั้นหุ้นเหมืองทองคำไม่เป็นที่นิยมและมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 เหมือนในตอนนี้ แต่พอถึงเดือนตุลาคม 2010 หุ้นกลุ่มนี้กลับให้ผลตอบแทนสูงกว่าถึง 10 เท่า

 

Ferguson แนะนำว่า “ดังนั้น หากคุณพลาดรอบการขึ้นขบวนรถไฟของทองคำรอบนี้ และต้องการประกันพอร์ตลงทุน หรือแค่ชอบทองคำ คุณควรเปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำ” และคุณไม่ได้คิดเช่นนี้คนเดียว Ben Whitmore นักลงทุนเน้นคุณค่าระดับโลก ก็ถือหุ้นเหมืองทองคำไว้ในพอร์ตของเขาเช่นกัน

 

ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD 

อ้างอิง:

The post ‘ทองคำ’ ไปต่อไม่รอแล้วนะ ราคาพุ่ง 10% ในเดือนเดียว แบงก์ชาติ-นักลงทุนรุมซื้อ แต่ใครพลาดขบวนทองคำรอบนี้ ‘เงิน-หุ้นเหมือง’ คือคำตอบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
BTG – พรีวิว 1Q68: เติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร https://thestandard.co/market-focus-btg-2/ Sun, 27 Apr 2025 05:55:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1068617 เบทาโกร BTG

เกิดอะไรขึ้น: InnovestX Research ประเมินแนวโน้มผลประกอบ […]

The post BTG – พรีวิว 1Q68: เติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบทาโกร BTG

เกิดอะไรขึ้น:

InnovestX Research ประเมินแนวโน้มผลประกอบการ 1Q68 ของ บมจ.เบทาโกร (BTG) โดยคาดว่ากำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร ในบรรดาผู้ประกอบการในกลุ่มอาหารภายใต้การวิเคราะห์ BTG จะเป็นผู้นำกลุ่มใน 1Q68 โดยประเมินกำไรปกติได้ที่ 1.65 พันล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนปกติ 126 ล้านบาท ใน 1Q67 และเพิ่มขึ้น 73%QoQ ปัจจัยสนับสนุนคือ: 

 

  1. ยอดขายที่เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY โดยได้แรงหนุนจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิต ราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาสุกรในประเทศที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 72 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้น 19%YoY, เพิ่มขึ้น 9%QoQ) จากอุปทานที่ตึงตัวขึ้น และรายได้เพิ่มเติมจากการเข้าซื้อกิจการไข่ไก่ในสิงคโปร์เสร็จสิ้นในเดือนมกราคม (หนุนให้อัตราการเติบโตของยอดขายรวมปรับขึ้นได้อีก 2% YoY)

 

  1. มาร์จิ้นที่กว้างขึ้นเป็น 17.5% (vs 10.8% ใน 1Q67 และ 14.9% ใน 4Q67) จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ที่แท้จริงที่ลดลง เนื่องจากโดยปกติแล้ว BTG จะเก็บสต็อกอาหารสัตว์ไว้ราว 3-4 เดือน: ต้นทุน Spot ข้าวโพดในประเทศ และกากถั่วเหลืองนำเข้าใน 4Q67 ลดลงมาอยู่ที่ 10 บาทต่อกิโลกรัม (ลดลง 4%YoY และลดลง 17%QoQ) และ 18.5 บาทต่อกิโลกรัม (ลดลง 16%YoY และ ลดลง 8%QoQ)

 

  1. การควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายไว้ที่ระดับต่ำกว่า 10% (เทียบกับ 10.3% ใน 1Q67)

 

สำหรับ 2Q68 คาดว่ากำไรปกติของ BTG จะอยู่ในระดับทรงตัว/เพิ่มขึ้น QoQ และเพิ่มขึ้น YoY โดยอิงกับราคาสุกรในประเทศที่สูงขึ้นท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ระดับต่ำใน 2Q68TD โดยใน 2Q68TD ราคาสุกรในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 85 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้น 23%YoY, เพิ่มขึ้น 8%QoQ) สูงกว่าจุดคุ้มทุนที่ระดับกำไรขั้นต้นที่ 60-65 บาทต่อกิโลกรัม จากการบริหารจัดการอุปทานที่ดีขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากมาตรการล่าสุดของรัฐบาล และอุปทานที่ตึงตัวจากสภาพอากาศร้อน

 

ทั้งนี้ ใน 1Q68 ราคา Spot กากถั่วเหลืองนำเข้าลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ 16.8 บาทต่อกิโลกรัม (ลดลง 24%YoY, ลดลง 9%QoQ) แซงหน้าราคา Spot ข้าวโพดที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 10.9 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้น 5%YoY, เพิ่มขึ้น 9%QoQ) ซึ่งบ่งชี้ว่าต้นทุนอาหารสัตว์ที่แท้จริงจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องใน 2Q68

 

อย่างไรก็ดี ได้ปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่กว้างกว่าคาดจากราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ระดับต่ำ โดยปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ของ BTG เพิ่มขึ้น 40% มาอยู่ที่ 6 พันล้านบาท และนักวิเคราะห์ในตลาดมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มประมาณกำไรตามมา ปัจจุบันหุ้น BTG ซื้อขายในระดับที่น่าสนใจมากขึ้นที่ PE ปี 2568 ระดับ 6.5 เท่า ขณะที่คาดว่ากำไรปกติจะเติบโต 156% ในปี 2568

 

ประเด็นรัฐบาลไทยเสนอให้นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไทยลดลงหากได้รับอนุมัติ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่ารัฐบาลได้วางกรอบแนวทางในการเจรจากับสหรัฐฯ ไว้แล้ว ซึ่งรวมถึงการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองราคาถูกจากสหรัฐฯ เพื่อทดแทนผลผลิตที่ไทยขาดแคลน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนอาหารสัตว์ในประเทศไทยปรับตัวลดลง 

 

สำหรับความกังวลจากเกษตรกรที่คัดค้านการนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐฯ นั้น พิชัยกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรของไทย ปัจจุบันไม่มีปัญหาขาดแคลนเนื้อสุกรในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายการนำเข้าจากสหรัฐฯ

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา ราคาหุ้น BTG ปรับขึ้น 2.5% สู่ 20.40 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 3.6% สู่ 1,144.05 จุด 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

InnovestX Research คงคำแนะนำ Outperform โดยปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 วิธี SOTP ใหม่เป็น 27.50 บาทต่อหุ้น (จาก 25 บาท) อิงกับ PE 6-10 เท่า สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และอาหาร

 

ราคาหุ้น BTG (Outperform SET อยู่ 7% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา) มีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องในระยะสั้น จาก: 

 

  1. กำไรปกติ 1Q68 ที่คาดจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหารที่ 1.65 พันล้านบาท (เทียบกับขาดทุน 126 ล้านบาท ใน 1Q67 และเพิ่มขึ้น 73%QoQ) และแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 2Q68 (ทรงตัว/เพิ่มขึ้น QoQ และเพิ่มขึ้น YoY) จากราคาสุกรในประเทศที่สูงขึ้นท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ระดับต่ำใน 2Q68TD

 

  1. การปรับประมาณการกำไรปี 2568 เพิ่มขึ้น 40% เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่ดีกว่าคาด และตลาดมีแนวโน้มที่จะปรับกำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

  1. รัฐบาลไทยเสนอให้นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไทยลดลงหากได้รับอนุมัติ 

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ อุปสงค์และราคาที่ลดลงจากเศรษฐกิจที่เปราะบางและอุปทานที่มากขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการขยะและน้ำ (E) สวัสดิภาพของลูกค้า การบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัย (S)

 

BTG – พรีวิว 1Q68: เติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร

https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/high-conviction/btg-hc-20250423 

The post BTG – พรีวิว 1Q68: เติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: รู้ก่อน รวยก่อน! 5 สูตรจัดการเงิน ที่จะช่วยให้คุณใช้เงินอย่างฉลาดขึ้น! | NEW GEN INVESTOR EP.52 https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-52/ Sat, 26 Apr 2025 03:01:24 +0000 https://thestandard.co/?p=1067969

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มทำงานหรืออยากเปลี่ยนนิสัยการเงินให […]

The post ชมคลิป: รู้ก่อน รวยก่อน! 5 สูตรจัดการเงิน ที่จะช่วยให้คุณใช้เงินอย่างฉลาดขึ้น! | NEW GEN INVESTOR EP.52 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มทำงานหรืออยากเปลี่ยนนิสัยการเงินให้ดีขึ้น หากคุณรู้ 5 สูตรการเงินเหล่านี้ จะช่วยให้คุณจัดการเงินได้อย่างฉลาดขึ้นแน่นอน

 

NEW GEN INVESTOR เอพิโสดนี้ เฟิร์น-ศิรัถยา อิศรภักดี จะพาคุณไปสำรวจความรู้ที่คุณควรมีในการบริหารจัดการเงิน และ Mindset ที่ควรมีหากอยากเป็นนักลงทุนคุณภาพ รวมมาให้คุณแล้วในคลิปนี้!

The post ชมคลิป: รู้ก่อน รวยก่อน! 5 สูตรจัดการเงิน ที่จะช่วยให้คุณใช้เงินอย่างฉลาดขึ้น! | NEW GEN INVESTOR EP.52 appeared first on THE STANDARD.

]]>
เช็กลิสต์การลงทุน 2025 รับมือนโยบายภาษีทรัมป์ 2.0 [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/trump-tax-investment-guide/ Fri, 25 Apr 2025 02:00:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1066973

เช็กลิสต์การลงทุน 2025 รับมือนโยบายภาษีทรัมป์ 2.0  […]

The post เช็กลิสต์การลงทุน 2025 รับมือนโยบายภาษีทรัมป์ 2.0 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

เช็กลิสต์การลงทุน 2025 รับมือนโยบายภาษีทรัมป์ 2.0 

 

แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเลื่อนกำหนดการขึ้นภาษีออกไปให้ทั่วโลกหายใจหายคอได้ แต่สำหรับ ‘นักลงทุน’ แล้ว วินัย ความไม่ประมาท และกลยุทธ์ในการคว้าโอกาสท่ามกลางวิกฤตคือสิ่งสำคัญ 

 

ก่อนจะเดินเกมลงทุนในปี 2025 THE STANDARD WEALTH ชวนนักลงทุนมาเช็กลิสต์ตัวเองก่อนลงทุนเพื่อคว้าโอกาสในตลาดอย่างมั่นคง 

 

 

✅ เดินเกมลงทุนแบบ Defensive 

✅ เลี่ยงความผันผวนจากหุ้นสหรัฐฯ

✅ กระจายพอร์ตไปตลาดอื่นๆ

✅ เสริมความมั่นคงด้วย Multi-Asset 

✅ เลือกหุ้นปันผลรายได้สม่ำเสมอ

✅ มองหาหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าไม่มาก

 

สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมกับ UOB หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking  

 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

The post เช็กลิสต์การลงทุน 2025 รับมือนโยบายภาษีทรัมป์ 2.0 [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>