ก.ล.ต. สั่งปรับ บลจ.บัวหลวง พร้อมผู้บริหารอีก 2 ท่าน รว […]
The post ก.ล.ต. สั่งปรับ บลจ.บัวหลวง และผู้บริหาร รวม 2.3 ล้านบาท เหตุระบบไม่รัดกุมเพียงพอ appeared first on THE STANDARD.
]]>ก.ล.ต. สั่งปรับ บลจ.บัวหลวง พร้อมผู้บริหารอีก 2 ท่าน รวม 2.3 ล้านบาท เนื่องจากระบบงานการจัดการลงทุนในเรื่องการวิเคราะห์ทบทวนและติดตามคุณภาพหลักทรัพย์ไม่รัดกุมเพียงพอ
ระหว่างวันที่ 27 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2567 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุน มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด โดยมีคำสั่งเปรียบเทียบที่ 67/2568 โดยปรับเป็นเงิน 2,091,750.00 บาท
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังได้สั่งปรับ พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และสันติ ธนะนิรันดร์ หัวหน้าสายงานจัดการกองทุน และประธานคณะกรรมการลงทุน ซึ่งเป็นบุคคลที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของ บลจ.บัวหลวง มีหน้าที่กำกับดูแลให้ บลจ.บัวหลวง มีระบบงานการจัดการลงทุนในเรื่องการวิเคราะห์ทบทวนและติดตามคุณภาพหลักทรัพย์ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด
โดยเปรียบเทียบปรับรายละ 112,500 บาท เนื่องจากผู้บริหารทั้ง 2 ราย ไม่สั่งการหรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ จึงต้องรับผิดกรณี บลจ.บัวหลวง มีระบบงานการจัดการลงทุนในเรื่องการวิเคราะห์ทบทวนและติดตามคุณภาพหลักทรัพย์ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด
The post ก.ล.ต. สั่งปรับ บลจ.บัวหลวง และผู้บริหาร รวม 2.3 ล้านบาท เหตุระบบไม่รัดกุมเพียงพอ appeared first on THE STANDARD.
]]>ดุสิตธานี (DUSIT) อาณาจักรธุรกิจโรงแรมเก่าแก่ของไทย เผช […]
The post ศึกสายเลือด DUSIT กรณีศึกษา ‘แบ่งมรดกเท่าเทียม’ แต่กลายเป็นจุดตายของธุรกิจในยุคถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.
]]>ดุสิตธานี (DUSIT) อาณาจักรธุรกิจโรงแรมเก่าแก่ของไทย เผชิญความปั่นป่วนจากความขัดแย้งภายในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นทายาทของผู้ก่อตั้งธุรกิจที่ดำเนินการมาเกือบ 80 ปี
จนทำให้ธุรกิจทั้งเครือเสี่ยงจะต้องหยุดชะงัก รวมถึงเมกะโปรเจกต์ของบริษัทมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท ที่ใกล้จะเปิดอย่างเป็นทางการภายในปีนี้
ต้องเท้าความก่อนว่า บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 49.74%
และภายใต้ ชนัตถ์และลูก นี้เอง ก็ถูกแบ่งสันปันส่วนถือหุ้นร่วมกันระหว่าง 3 พี่น้องที่เป็นทายาทของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้ง DUSIT เมื่อปี 2491 ได้แก่
ปมร้าวลึกที่เกิดขึ้นระหว่าง 3 พี่น้อง คือ ชนินทธ์, สินี และ สุนงค์ ซึ่งเป็นทายาทของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย จนนำมาสู่ความขัดแย้งครั้งนี้ อาจยากที่เราจะรู้เท็จจริงของสาเหตุความขัดแย้งทั้งหมด
แต่ก็มีการคาดเดากันบ้างว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลการดำเนินงานของ DUSIT ในช่วงที่ผ่านมาที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก และผู้ที่ถูกมองว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบก็คือ ชนินทธ์ ในฐานะรองประธานกรรมการของ DUSIT
ความขัดแย้งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกรรมการของ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย ชนินทธ์ ถูกโหวตให้ออกจากการเป็นกรรมการ ขณะที่มีการแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่ 2 คน คือ ภัทร สาลีรัฐวิภาค และ ลลิตา เธียรประสิทธิ์
เท่ากับว่าพี่ชายคนโตอย่างชนินทธ์หมดอำนาจในการจัดการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ขณะที่ตระกูลของน้องสาวอีกสองคนขึ้นมามีอำนาจในการตัดสินใจในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DUSIT ผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด แทนที่
จนเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สิ่งที่หลายฝ่ายไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น คือ การที่ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ตัดสินใจโหวตไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ในการประชุมผู้ถือหุ้นของ DUSIT เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ทั้งที่ผ่านการตรวจสอบ และลงนามรับรองโดยผู้สอบบัญชีแล้ว และทำให้บริษัทไม่สามารถส่งงบไตรมาส 1 ปี 2568 ได้ทันตามกำหนด
แหล่งข่าวในวงการบริหารจัดการมรดกและจัดการทรัพย์สินครอบครัว มองว่า หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นภายใต้ความขัดแย้งครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ที่มีความใกล้เคียงกันมากเกินไป
ไม่เพียงแค่ DUSIT เท่านั้น แต่กับอีกหลายๆ ธุรกิจที่มักจะมีปัญหาและกลายเป็นจุดตายของธุรกิจคือการตัดสินใจส่งต่อมรดก โดยเฉพาะการจัดสรรการถือหุ้นในธุรกิจให้กับทายาทในสัดส่วนเท่าๆ กัน หรือเกือบจะเท่ากัน ส่งผลให้อำนาจในการบริหารมักจะถูกสั่นคลอนได้ง่าย เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น
“การแบ่งหุ้นในลักษณะเช่น ลูก 3 คน แบ่งกันไปคนละ 1 ส่วน ฟังดูเหมือนจะยุติธรรม แต่วิธีการนี้มักจะนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้”
การบริหารเรื่องของมรดกให้ดีนั้น จริงๆ ควรจะแบ่งตามความสามารถ และอธิบายเหตุผลให้ชัดเจนตั้งแต่แรก หรือในบางครอบครัวอาจจะใช้วิธีการแบ่งการถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจให้กับคนที่บริหารเก่งที่สุด สามารถเป็นได้ทั้งทายาทคนโต คนกลาง หรือคนเล็ก ขึ้นกับความสามารถ ส่วนคนที่ได้สัดส่วนในธุรกิจน้อยกว่าก็อาจจะได้มรดกอย่างอื่นไปเพิ่มเติม หากต้องการให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด
ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในช่วงที่ถูกเรียกว่า The Great Wealth Transfer หรือช่วงที่เจ้าของความมั่งคั่ง โดยเฉพาะจากรุ่น Baby Boomer ต้องส่งต่อความมั่งคั่งไปสู่ Gen X และ Gen Y หรือกลุ่ม Millennials ทำให้การวางแผนการส่งต่อมรดก ความมั่งคั่ง รวมถึงธุรกิจมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
แม้ปัญหาจะยังไม่ได้ถูกสะสาง 100% และเกิดความกังวลว่าจะกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท แต่ล่าสุดปัญหาส่วนใหญ่ดูเหมือนได้การแก้ไขปลดล็อกเรียบร้อยแล้ว
โดยเฉพาะประเด็นที่สำคัญที่หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติให้อนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีเรียบร้อยแล้ว สามารถส่งงบการเงินงวดไตรมาสแรกของปี 2568 ได้ตามปกติ แม้งบการเงินปี 2567 จะไม่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น DUSIT แต่ไม่ได้มีประเด็นที่ผู้สอบบัญชีการไม่แสดงความเห็น ซึ่งสะท้อนว่า DUSIT ไม่ได้มีปัญหาในประเด็นของงบการเงินแต่อย่างใด
ดังนั้น หุ้นของ DUSIT ยังสามารถทำการซื้อ-ขายได้ตามปกติ และจะไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP หรือห้ามการซื้อ-ขายชั่วคราวตามที่เคยกังวลก่อนหน้านี้
ส่วนกรณีที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่อนุมัติให้กรรมการที่พ้นวาระทั้ง 4 ท่าน กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการของ DUSIT ต่อ ได้แก่
ในประเด็นนี้จะไม่ผลกระทบต่อการดำเนินงานของ DUSIT ในปัจจุบัน เนื่องจาก DUSIT ยังมีจำนวนกรรมการที่เหลือเป็นจำนวนที่มากเพียงพอเป็นไปตามข้อกำหนด ข้อบังคับของบริษัท รวมทั้งกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกำหนดไว้ ส่งผลให้ธุรกิจของ DUSIT ยังดำเนินการต่อไปได้ตามปกติ จึงไม่มีผลกระทบต่อทีมบริหารของ DUSIT ยังสามารถบริหารจัดการได้ปกติ
แน่นอนว่าปมความขัดแย้งระหว่างพี่น้องหรือคนในตระกูลเดียวกัน อย่างที่เกิดขึ้นกับ DUSIT ไม่ใช่กรณีแรก และก็มีให้เห็นมาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง และในอนาคตเราก็อาจจะยังเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นได้อีก แต่เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ลง การพูดคุยกันภายในครอบครัว รวมทั้งการวางแผนการส่งต่อธุรกิจ หรือมรดกต่างๆ จึงเป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญอย่างมากในทุกยุคทุกสมัย
The post ศึกสายเลือด DUSIT กรณีศึกษา ‘แบ่งมรดกเท่าเทียม’ แต่กลายเป็นจุดตายของธุรกิจในยุคถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.
]]>เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่อปั่นป่วน! ความเสี่ยง ‘Government Shut […]
The post ฮั่วเซ่งเฮงแนะจับตา ‘ทองคำ’ เมื่อสหรัฐฯ เผชิญหนี้พุ่ง-วิกฤตงบ เสี่ยง Shutdown ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.
]]>เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่อปั่นป่วน! ความเสี่ยง ‘Government Shutdown’ พุ่ง กดดันพันธบัตร-ดันทองคำพุ่ง
สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจและการคลังอีกครั้ง เมื่อความเสี่ยง Government Shutdown ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ หลังรัฐบาลยังไม่สามารถจัดทำงบประมาณปี 2026 ได้ทันกรอบเวลา ซึ่งถูกกำหนดไว้ในวันที่ 30 กันยายน 2025 โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเผยแพร่ ‘งบประมาณเบื้องต้น’ (Skinny Budget) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 ไปแล้ว แต่รายละเอียดงบประมาณฉบับเต็มยังไม่ถูกส่งให้สภาคองเกรส
ฮั่วเซ่งเฮงประเมินว่า การที่รายละเอียดงบประมาณฉบับเต็มยังไม่ถูกส่งให้สภาคองเกรส อาจทำให้กระบวนการพิจารณางบประมาณล่าช้า และเสี่ยงต่อการเกิด Government Shutdown หากไม่สามารถอนุมัติงบประมาณได้ทันก่อนวันที่ 30 กันยายน 2025
ปัจจุบันหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งแตะ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่การขาดดุลงบประมาณยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ข้อมูล ณ เดือนเมษายน) เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน แม้ว่ารายได้จากภาษีจะเพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายกลับมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงภาวะการคลังที่เริ่มควบคุมไม่ได้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถของกระทรวงการคลังในการระดมทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาล หลังการเปิดขายพันธบัตรอายุ 20 ปี มูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติที่เคยเป็นผู้ถือครองรายใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และจีน
การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมนโยบาย ‘One Big Beautiful Bill Act’ ที่จะขยายเวลาลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สร้างความกังวลว่าอาจทำให้รายได้รัฐหดตัวในระยะยาว ขณะที่ยังไม่มีแผนลดรายจ่ายอย่างจริงจัง ผลคือหนี้อาจพุ่งอีก 3-5 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า
Moody’s และหน่วยงานจัดอันดับเครดิตต่างๆ ได้เริ่มส่งสัญญาณเตือน เช่น การลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ จาก Aaa ลงสู่ Aa1 โดยอ้างถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่รัฐบาลขาดวินัยทางการคลัง และแนวโน้มที่หนี้สาธารณะอาจทะลุ 134% ของ GDP ภายในปี 2035
ในช่วงที่ความไม่แน่นอนพุ่งสูง ทั้งจากการเมือง หนี้สาธารณะ และเสถียรภาพของรัฐบาล ทองคำจึงกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งเหมือนอดีตที่ผ่านมา เช่น ช่วง Shutdown ในปี 2018-2019 ราคาทองคำปรับขึ้นกว่า 7% ภายใน 3 เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง
ล่าสุดราคาทองคำโลกยังเคลื่อนไหวในระดับสูงกว่า 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนัก เช่น Goldman Sachs และ J.P. Morgan มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งยังคงคาดการณ์ราคาทองคำโลกไว้ที่ระดับ 3,675-3,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
โดยสรุป ฮั่วเซ่งเฮงประเมินว่า “ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงต้านจากทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะที่สูงเกินควบคุม พันธบัตรที่เริ่มถูกเมิน และงบประมาณใหม่ที่ยังไม่ลงตัว ความเสี่ยง Government Shutdown อาจเป็นตัวเร่งให้ตลาดโลกเข้าสู่โหมด ‘Risk-Off’ ในครึ่งหลังของปีนี้ ดังนั้นทองคำจึงอาจกลายเป็น ‘สินทรัพย์ดาวเด่น’ อีกครั้งในช่วงที่ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการเมืองสหรัฐฯ เริ่มสั่นคลอนอย่างมีนัยสำคัญ”
The post ฮั่วเซ่งเฮงแนะจับตา ‘ทองคำ’ เมื่อสหรัฐฯ เผชิญหนี้พุ่ง-วิกฤตงบ เสี่ยง Shutdown ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.
]]>ตลาดหลักทรัพย์ฯ หนุนคลังแก้กฎหมาย เปิดทางนักลงทุนในตลาด […]
The post ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ หนุนคลังแก้กฎหมาย เปิดทางนักลงทุนในตลาดหุ้นข้ามไปลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล-คริปโตได้ ลุ้นเห็นความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ appeared first on THE STANDARD.
]]>ตลาดหลักทรัพย์ฯ หนุนคลังแก้กฎหมาย เปิดทางนักลงทุนในตลาดหุ้นข้ามไปลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล-คริปโตได้ ลุ้นเห็นความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้
จากกรณีที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีแนวคิดในการแก้กฎหมายเชื่อมการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ ข้ามไปลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเชื่อมกันได้ (Cross) เพื่อเปิดทางให้นักลงทุนหุ้น สามารถข้ามไปลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วยนั้น
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และประธานกรรมการ กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังในเรื่องดังกล่าว แต่มีมุมมองว่าแนวคิดเชื่อมการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นไทยกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้ด้วย นั้นถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยหลักการควรสามารถทำการซื้อหลักทรัพย์ได้ครบทุกประเภท ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุน
โดยคาดว่าการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้มีโอกาสเห็นความชัดเจนได้ภายในสิ้นปีนี้
“คิดว่าอะไรที่เป็นหลักทรัพย์ที่นักลงทุนซื้อขายลงทุนได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ควรซื้อขายได้ทั้งหมดทั้งบิตคอยน์ หรือคริปโตเคอร์เรนซี และสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วย รวมทั้งการเทรด G-Token ที่รัฐบาลกำลังจะออกด้วยซึ่งขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลด้วย เพราะตอนนี้มีระบบดิจิทัลที่พร้อมรองรับเอื้อให้ทำได้แล้ว“ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์กล่าว
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวถึงความคืบหน้าแนวคิดที่รัฐบาลต้องการดึงกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นนั้น เบื้องต้นควรดำเนินการใน 2 แนวทาง
1. การเผยแพร่ข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีทั้งขนาดเล็ก, กลาง และใหญ่ให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลซึ่งจะช่วยให้ภาพการลงทุนปรับดีขึ้น
2. การสร้าง New Engine หรือ การสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในกลุ่มเทคโนโลยี, เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech), เฮลท์แคร์ สนับสนุนสตาร์ทอัพอีกทั้งดึงดูดกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อกำหนดเงื่อนไขให้สิทธิประโยชน์ที่จูงใจให้กลุ่มธุรกิจเป้าหมายดังกล่าวเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้มากขึ้น เพื่อความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ดี อาจมีประเด็นในด้านกฎหมายที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจในการควบคุมจัดการ ซึ่งอาจต้องมีการเสนอแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ในเรื่อง Dual Transactions ซึ่งต้องไปทำความเข้าใจกับรัฐบาลด้วย
อีกทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาแยกตั้งกระดานซื้อขายหุ้นใหม่ขึ้นมา คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า โดยปัจจุบัน ตลท. อยู่ระหว่างการศึกษาตัวอย่างรูปแบบจากต่างประเทศ เช่น ตลาดหลักทรัพย์ของจีน, มุมไบ, นิวยอร์ก และประเทศอื่นๆ
ซึ่งจะนำธุรกิจ New Economy สตาร์ทอัพมาสร้างเป็นตลาดหลักทรัพย์ฯ แห่งใหม่แยกออกมา โดยพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ เช่น ยกเกณฑ์ที่กำหนดให้ธุรกิจที่ต้องการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีกำไรติดต่อกัน 3 ปี, การนำเข้ามาจดทะเบียนใน LiVE PLATFORM หรือเปิดตลาดหลักทรัพย์ฯ ใหม่สำหรับธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี จะต้องมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในหลายหมายมิติที่เกี่ยวข้องโดยมีความพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ซึ่งหากได้ข้อสรุปว่าจะทำอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ในการดำเนินการ
อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะให้กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ให้เข้ามามีส่วนช่วยในด้านการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน (Matching Fund) เพื่อมาลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจ New Economy ดังกล่าว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนทั่วไปที่อาจไม่รู้จักธุรกิจประเภทใหม่หรือสตาร์ทอัพกลุ่มนี้
นอกจากนี้ ยังได้ให้การสนับสนุนการศึกษาแนวทางการจัดทำนโยบายบัญชีการออมส่วนบุคคล (TISA) เพื่อวางรากฐานเชิงโครงสร้างด้านการออมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว สะท้อนความมุ่งมั่นของ CMDF ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยคณะกรรมการ CMDF เชื่อว่าการสนับสนุนทุนของ CMDF จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนไทยในหลากหลายมิติ เพื่อให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง
ด้าน จักรชัย บุญยะวัตร ผู้จัดการ CMDF กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ปี 2563-2567 CMDF ได้อนุมัติโครงการรวม 153 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,928 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีโครงการดำเนินการแล้วเสร็จ 83 โครงการ ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบนิเวศของตลาดทุนในด้านต่างๆ และสอดคล้องกับพันธกิจของ CMDF นอกจากการศึกษาแนวทางการจัดทำนโยบายบัญชีการออมส่วนบุคคล (TISA) แล้ว ในปี 2567 สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน (CMRI) ภายใต้ CMDF ยังได้สนับสนุนงานวิจัยอื่นที่หลากหลาย อาทิ แนวทางการบริหารเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณอายุ การศึกษาเพื่อป้องกันปัญหาการฉ้อโกงในตลาดทุนและแนวทางการปกป้องนักลงทุน แนวทางการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย เป็นต้น
ในด้านการพัฒนานักวิจัย มีโครงการสนับสนุนนักวิจัยรุ่นใหม่ให้สนใจทำงานด้านตลาดทุนเพิ่มขึ้น (Researcher Pool) โดย CMDF ร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) สนับสนุนทุนวิจัยในรูปแบบ Matching Fund ให้แก่นักวิจัยรุ่นใหม่ด้านตลาดทุนที่เป็นบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาภายใต้สังกัดของกระทรวง อว.
สำหรับผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา CMDF ได้ส่งเสริมการพัฒนาองค์กรกว่า 3,500 องค์กร พัฒนาบุคลากรในตลาดทุนรวมกว่า 15,000 คน ส่งเสริมการศึกษาสำหรับบุคลากรในอุตสาหกรรมทั้งที่เป็น Global และ Local Certificate รวมกว่า 940 ราย เผยแพร่และสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนผ่านสื่อออนไลน์ มียอดเข้าถึงกว่า 80 ล้านครั้ง รวมถึงการเผยแพร่งานวิจัยผ่านเว็บไซต์ CMRI รวมกว่า 50 บทความ ยอดเข้าชมมากกว่า 17,300 ครั้ง เผยแพร่งานวิจัยผ่านหน่วยงานต่างๆ มากกว่า 600 เล่ม ให้แก่ 30 หน่วยงาน
The post ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ หนุนคลังแก้กฎหมาย เปิดทางนักลงทุนในตลาดหุ้นข้ามไปลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล-คริปโตได้ ลุ้นเห็นความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ appeared first on THE STANDARD.
]]>ตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) กำลังส่งสัญญาณอันตรายไป […]
The post บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นพุ่งใกล้ทุบสถิติใหม่ สะท้อนเงินไหลออกจากสหรัฐฯ อาจจุดชนวนวิกฤตการเงินโลก appeared first on THE STANDARD.
]]>ตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) กำลังส่งสัญญาณอันตรายไปทั่วโลก เมื่ออัตราผลตอบแทน (yield) พันธบัตรระยะยาว โดยเฉพาะรุ่นอายุ 40 ปี พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งในวันนี้ (28 พฤษภาคม) หลังผลการประมูลล่าสุดสะท้อนอุปสงค์ที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว
สถานการณ์ดังกล่าวจุดชนวนความกังวลระลอกใหม่เกี่ยวกับการไหลออกของเงินทุนจากตลาดสหรัฐฯ และการล่มสลายของ Yen Carry Trade หรือกลยุทธ์การกู้เงินสกุลเยนที่มีดอกเบี้ยต่ำมาก ไปลงทุนต่อในสินทรัพย์สกุลเงินอื่นที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย และความปั่นป่วนที่อาจลุกลามไปทั่วตลาดการเงินโลก
ล่าสุดในการประมูลพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 40 ปีในวันนี้ (28 พฤษภาคม) ปรากฏว่า อุปสงค์อยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ส่งผลให้ยีลด์พันธบัตรอายุ 40 ปี ดีดตัวขึ้น 0.05% แตะระดับ 3.335% หลังจากพุ่งทำสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 3.689% เมื่อสัปดาห์ก่อน
ตั้งแต่ต้นปี ยีลด์ของพันธบัตรญี่ปุ่นพุ่งขึ้น 0.70% ส่วนยีลด์พันธบัตรอายุ 30 ปี ก็ปรับตัวขึ้นกว่า 0.60% มาอยู่ที่ 2.914%
ความปั่นป่วนในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่ากว่า 7.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มก่อตัวขึ้นนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ประกาศ ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) ด้วยมาตรการกำแพงภาษีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลให้อุปสงค์พันธบัตรญี่ปุ่นอ่อนแอลง ได้แก่
1. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เริ่มทยอยลดขนาดงบดุลและลดปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตรลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดลดการถือครองไปแล้ว 21 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังลดการซื้อลงไตรมาสละ 4 แสนล้านเยน
2. นักลงทุนสถาบันในประเทศชะลอการลงทุน โดยปกติแล้ว พันธบัตรระยะยาวพิเศษ (Super-long bonds) ที่ให้ยีลด์น่าสนใจมักถูกซื้อโดยบริษัทประกันชีวิตและนักลงทุนสถาบันอื่นๆ ของญี่ปุ่น แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ BOJ ทิ้งไว้
3. อุปสงค์จากต่างชาติอาจไม่เพียงพอ แม้ในเดือนเมษายนจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวมากกว่า 10 ปี สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 2.29 ล้านล้านเยน ซึ่งอาจเป็นผลจากกระแส ‘Sell America’ ที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงสถานะสินทรัพย์ปลอดภัยของพันธบัตรสหรัฐฯ แต่ปริมาณการถือครองของนักลงทุนต่างชาติก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้เล่นรายใหญ่ในญี่ปุ่น
การพุ่งขึ้นของยีลด์พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังจุดชนวนความกังวลอย่างหนักถึงผลกระทบที่จะตามมา
นักวิเคราะห์จาก Macquarie เตือนว่า อาจถึงจุดเปลี่ยนที่นักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสองของโลก โดยมีสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 533.05 ล้านล้านเยน หรือ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 จะตัดสินใจดึงเงินทุนจำนวนมหาศาลกลับจากสหรัฐฯ และตลาดอื่นๆ เข้ามาลงทุนในพันธบัตรญี่ปุ่นที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น
ด้าน อัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ นักกลยุทธ์ระดับโลกของ Societe Generale เตือนว่า หากยีลด์ JGB ยังคงไต่ระดับสูงขึ้น อาจจุดชนวนหายนะของตลาดการเงินโลก (Global Financial Market Armageddon) โดยยีลด์ที่สูงขึ้นและเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นกว่า 8% ตั้งแต่ต้นปี จะลดความน่าสนใจในการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีเม็ดเงินจากญี่ปุ่นไหลเข้าไปจำนวนมาก
ไมเคิล เกยด์ ผู้จัดการพอร์ตของ Tidal Financial Group มองว่า “ญี่ปุ่นดูเหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง หากความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ปลอดภัยดั้งเดิมอย่าง JGB พังทลาย ความเชื่อมั่นในตลาดโลกก็อาจพังตามไปด้วย”
เดวิด โรช นักกลยุทธ์ของ Quantum Strategy กล่าวว่า การไหลกลับของเงินทุนสู่ญี่ปุ่นเป็นสัญญาณของ ‘การสิ้นสุดความโดดเด่นของสหรัฐฯ’ และจะส่งผลให้สภาพคล่องทั่วโลกตึงตัวขึ้น ลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเหลือเพียง 1% และขยายเวลาของตลาดหมีในสินทรัพย์ส่วนใหญ่ออกไป
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าผลกระทบอาจไม่รุนแรงเท่าที่กังวล แต่จะเป็นการซึมยาวมากกว่าที่จะพังทลายอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม BOJ มีกำหนดจะทบทวนแผนการเข้าซื้อพันธบัตรในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินระหว่างวันที่ 16-17 มิถุนายนนี้ โดยผู้ว่าการ คาซูโอะ อุเอดะ กล่าวว่าจะติดตามพัฒนาการของตลาดอย่างใกล้ชิด
ภาพ: Connect Images / Getty Images
อ้างอิง:
The post บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นพุ่งใกล้ทุบสถิติใหม่ สะท้อนเงินไหลออกจากสหรัฐฯ อาจจุดชนวนวิกฤตการเงินโลก appeared first on THE STANDARD.
]]>เกิดอะไรขึ้น: บริษัทค้าปลีก (BJC, CPALL, CPAXT, […]
The post BJC – คาดยอดขายและมาร์จิ้นกลุ่ม Non-MSC หนุนกำไร 2Q68 appeared first on THE STANDARD.
]]>
บริษัทค้าปลีก (BJC, CPALL, CPAXT, CRC, GLOBAL และ HMPRO) ต่างประสบกับภาวะที่ยอดขายสาขา (SSS) ใน 2Q68TD ชะลอตัวลงจากกำลังซื้อที่ลดลงและฝนที่ตกมากขึ้น แต่โมเมนตัมกำไร 2Q68 ของ BJC (คาดเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) มีแนวโน้มโดดเด่นกว่าคู่แข่ง
โดย InnovestX Research คาดว่ากำไร 2Q68 ของ BJC จะเติบโต YoY จากยอดขาย (นำโดยการกลับมาของคำสั่งซื้อในกลุ่ม PSC จากลูกค้ากาแฟแบรนด์หนึ่งที่หยุดการสั่งซื้อชั่วคราวใน 1Q68) และมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของกลุ่ม Non-MSC (นำโดยราคาวัตถุดิบที่ลดลงในกลุ่ม PSC และกลุ่ม CSC และการขายกิจการ Thai-Scandic Steel ที่สร้างผลขาดทุนออกไปใน 1Q68) ท่ามกลางกลุ่ม MSC ที่แข็งแกร่ง และเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยตามฤดูกาล
อัตรากำไรขั้นต้น 2Q68 จะกว้างขึ้น YoY นำโดยกลุ่ม Non-MSC, กลุ่ม PSC ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มกว้างขึ้น YoY อย่างต่อเนื่องจากการรับรู้ราคาโซดาแอชต้นทุนต่ำที่ล็อกไว้ซึ่งลดลง 25%YoY (8% ของต้นทุนการผลิต) ตลอดปี 2568 และ ราคา Spot เศษแก้วต้นทุนต่ำซึ่งลดลง 15%YoY (20% ของต้นทุนการผลิต) ท่ามกลางต้นทุนก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้า (มากกว่า 20% ของต้นทุนการผลิต) ที่ต่ำต่อเนื่อง ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระป๋อง บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดที่ดีขึ้นจากคำสั่งซื้อที่กลับคืนมาจากลูกค้ากาแฟแบรนด์หนึ่ง (ที่หยุดการสั่งซื้อชั่วคราวใน 1Q68) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และมีผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องใหม่ๆ มากขึ้นในประเทศเวียดนาม
กลุ่ม H&TSC เมื่อไม่มีธุรกิจ Thai-Scandic Steel ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ (ขายกิจการออกไปใน 1Q68; สร้างผลขาดทุนสุทธิให้กับ BJC ที่ 134 ล้านบาทต่อปี) อัตรากำไรขั้นต้นของ BJC มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น YoY ตั้งแต่ 2Q68 เป็นต้นไป
กลุ่ม CSC อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น YoY จากการมีสัดส่วนการขายที่ดีขึ้นเพราะมียอดขายขนมขบเคี้ยวมาร์จิ้นสูงมากขึ้น ราคาเยื่อกระดาษใยสั้นที่ลดลง (ลดลง YoY แต่ทรงตัว QoQ) และราคาน้ำมันปาล์มที่ลดลง (ทรงตัว YoY แต่ลดลง QoQ) ท่ามกลางมาตรการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
กลุ่ม MSC อัตรากำไรขั้นต้น 2Q68 มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว YoY โดยสัดส่วนการขายที่ดีขึ้นจากยอดขายสินค้าอาหารสดมาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้นและยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภททำความเย็นมาร์จิ้นต่ำที่ลดลง (จากฝนที่ตกมากขึ้น) ถูกหักล้างโดยการจัดโปรโมชั่นราคา ด้วยยอดขายสินค้า private brand มาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้นและการพัฒนาสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร BJC จึงตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นกว้างขึ้น YoY ใน 2H68
ด้านยอดขาย 2Q68 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ นำโดยกลุ่ม PSC, กลุ่ม PSC ยอดขายกลุ่ม PSC ใน 2Q68 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นโดยอย่างน้อยจะเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง QoQ จากคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์กระป๋องที่กลับคืนมาจากลูกค้ากาแฟแบรนด์หนึ่ง (ที่หยุดการสั่งซื้อชั่วคราวใน 1Q68) ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม และมีผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องใหม่ๆ มากขึ้นในประเทศเวียดนาม
กลุ่ม MSC ใน 2Q68TD SSS ลดลง 1% YoY (เทียบกับ เพิ่มขึ้น 2%YoY ใน 1Q68) จากฝนที่ตกมากขึ้น YoY ส่งผลทำให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภททำความเย็นและเครื่องดื่ม (1% และ 10% ของยอดขาย) ลดลง หากตัดยอดขายสินค้าเหล่านี้ออก พบว่า SSS เพิ่มขึ้น 2%YoY จากยอดขายสินค้าอาหารสดที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วยฐานสภาพอากาศที่เป็นปกติในช่วงปลาย 2Q68 BJC คาดว่า SSS ใน 2Q68 จะอยู่ในระดับทรงตัว YoY
ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา ราคาหุ้น BJC ปรับลง 11.5% สู่ 20.70 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 1.5% สู่ 1,176.36 จุด
เป้าหมายปี 2568 BJC คาดว่ายอดขายปี 2568 จะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY เล็กน้อย จากราคาสินค้าที่ลดลงตามราคาวัตถุดิบที่ลดลง YTD ในกลุ่ม PSC และการขายกิจการ Thai Scandic Steel ในกลุ่ม H&TSC ออกไปใน 1Q68 ในขณะเดียวกัน BJC คาดว่ายอดขายในทุกกลุ่มธุรกิจจะเติบโต YoY ในปี 2568: ยอดขายกลุ่ม MSC เติบโตจาก SSS ที่เป็นบวกและการขยายสาขา
ยอดขายกลุ่ม PSC จากการส่งออกมากขึ้นและการขยายเตาหลอมใน 4Q68 ยอดขายกลุ่ม CSC จากผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวและขนมขบเคี้ยวใหม่ๆ และยอดขายกลุ่ม H&TSC จากสินค้าใหม่ๆ และงบประมาณรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น
อัตรากำไรขั้นต้น BJC ยังคงเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 กว้างขึ้น 20-40bps นำโดยอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากกลุ่ม non-MSC ท่ามกลางอัตรากำไรขั้นต้นระดับทรงตัวจากกลุ่ม MSC ต้นทุนทางการเงิน มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 3.3% ต่อปี ณ สิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ 3.1% ต่อปี ณ สิ้นปี 2568 อัตราภาษี คาดว่าจะอยู่ที่ 20-24% ในปี 2568 (เทียบกับ 23% ในปี 2567) จากนั้นจะลดลงมาอยู่ที่ 20% ในปี 2570 จากการวางแผนภาษีของกลุ่ม
InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติปี 2568 จะเติบโต 17%YoY โดยการเติบโต 8% จะมาจากธุรกิจหลักที่ปรับตัวดีขึ้นจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A / ยอดขาย, 2% จากการไม่มีผลขาดทุนจาก Thai Scandic Steel ตั้งแต่ 2Q68 และ 7% จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
กลยุทธ์การลงทุน คงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ BJC โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.2% และการเติบโตระยะยาว 2%) ที่ 28.5 บาทต่อหุ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่ๆ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านแรงงาน/การจ้างงาน (S)
BJC – คาดยอดขายและมาร์จิ้นกลุ่ม non-MSC หนุนกำไร 2Q68
The post BJC – คาดยอดขายและมาร์จิ้นกลุ่ม Non-MSC หนุนกำไร 2Q68 appeared first on THE STANDARD.
]]>เกิดอะไรขึ้น: บมจ.โอสถสภา (OSP) รายงานส่วนแบ่งตล […]
The post OSP – คาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 แข็งแกร่ง appeared first on THE STANDARD.
]]>
บมจ.โอสถสภา (OSP) รายงานส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศในเดือนเมษายน 2568 ที่ 45% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 44.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทเริ่มวางจำหน่าย M-150 ฝาเหลืองราคา 10 บาทเป็นครั้งแรก สำหรับกระแสตอบรับโดยรวมในช่องทางร้านค้าแบบดั้งเดิม OSP พบว่ามีการแย่งยอดขายกับ M-150 ฝาสีทองราคา 12 บาทบ้างเล็กน้อย ขณะที่ในช่องทางร้านค้าสมัยใหม่ ยอดขาย M-150 ฝาสีทองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY และ QoQ
OSP ยังคงเป้าส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศ ณ สิ้นปี 2568 ไว้ที่ 50% InnovestX Research มองว่าการทำส่วนแบ่งการตลาดให้ถึงเป้าที่ OSP วางไว้ที่ 50% เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย โดยมองว่ากรณีดีที่สุด OSP จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ 2ppt หรือมีส่วนแบ่งการตลาดที่ราว 47% ณ สิ้นปี 2568 ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 2 ปี
กำไรสุทธิ 1Q68 ทำจุดสูงสุดใหม่ และเป็นไปตามคาดที่ 1.26 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 52.7%YoY และ เพิ่มขึ้น 123.2%QoQ) โดยได้รับการสนับสนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งและกำไรพิเศษ รายได้อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท (ลดลง 5.9%YoY แต่เพิ่มขึ้น 6.4%QoQ) สอดคล้องกับยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศที่ลดลง 15.8%YoY และ 8.4%QoQ ในขณะที่ยอดขายต่างประเทศเติบโต 22.2%YoY และ 55.9%QoQ โดยเฉพาะในเมียนมา
อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 40.3% โดยได้รับการสนับสนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นระดับสูงจากเมียนมาและประสิทธิภาพด้านต้นทุน รายได้จากเมียนมาที่ได้รับการยกเว้นภาษีส่งผลทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำที่ 8.8% ใน 1Q68 เป็นไปตามคาด OSP บันทึกกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ในเมียนมาจำนวน 295 ล้านบาท เมื่อหักรายการนี้ออก พบว่ากำไรปกติอยู่ที่ 970 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.1%YoY และ เพิ่มขึ้น 57.7%QoQ)
ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา ราคาหุ้น OSP ปรับขึ้น 2.7% สู่ 15.20 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 2.6% สู่ 1,173.37 จุด
InnovestX Research คงประมาณการรายได้ปี 2568 ไว้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท (ทรงตัว) โดยใช้สมมติฐานว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศจะลดลงเล็กน้อย ขณะที่ยอดขายเครื่องดื่มต่างประเทศจะเติบโต 15% และยอดขายผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลจะเติบโต 5-10% อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ 1Q68 จากการควบคุมต้นทุนในกระบวนการผลิตได้ดีขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไป
และ OSP ได้ล็อกราคาวัตถุดิบหลักบางรายการ เช่น น้ำตาล ไว้ล่วงหน้า ซึ่งหนุนให้ปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 37% เป็น 39% ส่งผลทำให้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 เพิ่มขึ้น 13.3% มาอยู่ที่ 3.26 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.6%) โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ (รวมกำไรพิเศษใน 1Q68) ที่ 3.56 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 117%)
สำหรับ 2Q68 คาดว่ายอดขายเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศจะลดลง YoY จากฐานสูง (ไม่มี M-150 ฝาเหลือง) แต่จะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ในขณะที่ยอดขายต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น YoY แต่ทรงตัว QoQ สำหรับคำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับ OSP ให้ไว้ที่ NEUTRAL โดยปรับราคาเป้าหมายปี 2568 ใหม่เป็น 17.50 บาทต่อหุ้น (จาก 16 บาท) โดยอิงกับระดับ -2SD PE ที่ 16.5 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การแย่งยอดขายกันเองระหว่างสินค้าของบริษัท ความเคลื่อนไหวของส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศในปี 2568 ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบหลักๆ การบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอลง และเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงนโยบายของกลุ่มประเทศ CLMV ความเสี่ยงด้าน ESG: การบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ (S) และสวัสดิภาพของลูกค้า (S)
inStock Market by InnovestX x THE STANDARD
OSP – คาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 แข็งแกร่ง
The post OSP – คาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 แข็งแกร่ง appeared first on THE STANDARD.
]]>สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล […]
The post ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ G-Token ถึง 10 มิ.ย. นี้ หวังเพิ่มทางเลือกและโอกาสการออมของประชาชน appeared first on THE STANDARD.
]]>สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) ต่อหลักการและร่างประกาศเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการเพิ่มทางเลือกและโอกาสด้านการออมและการลงทุนของประชาชนอย่างทั่วถึง (Financial Inclusion)
รวมถึงการนำประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการระดมทุนและลงทุนในตลาดทุนไทย (Promoting Digital Financial Innovation) โดยมีการกำกับดูแลที่เหมาะสม เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขัน (Level Playing Field) และมีกลไกในการดูแลผู้ลงทุนอย่างเพียงพอ (Investor Protection)
ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 มีมติอนุมัติการดำเนินการของกระทรวงการคลังในการออกและดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับ G-Token ซึ่งเป็นการกู้เงินด้วยวิธีการอื่นใดตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 (พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ) และอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอเพื่อพัฒนากลไกบริหารหนี้สาธารณะ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเพิ่มการเข้าถึงการออมและการลงทุนอย่างทั่วถึง รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก
โดยการกู้เงินดังกล่าวเป็นไปตามกรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ทั้งนี้ จากการหารือสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลังประสงค์จะกู้เงินด้วยการออกเสนอขาย G-Token ซึ่งกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับคืนเงินต้นและผลตอบแทนตามที่กำหนด โดยประชาชนอาจจองซื้อ G-Token ในตลาดแรกและซื้อขาย G-Token ในตลาดรอง ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ได้ นั้น
คณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีมติเห็นชอบหลักการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ G-Token ทั้งการเสนอขายในตลาดแรกและการให้บริการ G-Token ที่เกี่ยวข้องในตลาดรอง เช่น การกำหนดลักษณะของ G-Token การยกเว้นการขออนุญาตเสนอขาย G-Token และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ G-Token สำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ เป็นต้น เพื่อให้การกำกับดูแลมีความเหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ก.ล.ต. จึงเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการและร่างประกาศที่เกี่ยวข้องดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญดังนี้
(1) ยกเว้นการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (DA Broker) ให้แก่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (DA Exchange) และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (DA Dealer) สำหรับการให้บริการเกี่ยวกับ G-Token
และ (2) ยกเว้นการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ G-Token ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (บล.) ตามประเภทใบอนุญาตที่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ได้รับอนุญาต โดยกำกับดูแล บล. ผ่านหลักเกณฑ์การประกอบกิจการอื่น ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เผยแพร่เอกสารรับฟังความคิดเห็น อสน.17/2568 เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token) และร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง บนเว็บไซต์ ก.ล.ต. https://www.sec.or.th/TH/Pages/PB_Detail.aspx?SECID=1078 และระบบกลางทางกฎหมาย
https://law.go.th/listeningDetail?survey_id=NTM2MkRHQV9MQVdfRlJPTlRFTkQ= ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ หรือทาง e-mail: [email protected], [email protected] หรือ [email protected] จนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2568
The post ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ G-Token ถึง 10 มิ.ย. นี้ หวังเพิ่มทางเลือกและโอกาสการออมของประชาชน appeared first on THE STANDARD.
]]>สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล […]
The post ก.ล.ต. ลงดาบสั่งปรับเงิน ‘พงษ์ศักดิ์’ ผู้ถือหุ้นใหญ่ SVI กว่า 123 ล้านบาท พร้อมสั่งห้ามเป็นบอร์ดและผู้บริหาร ผิดฐานใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับ พงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ผู้กระทำความผิดกรณีซื้อหุ้นบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) (SVI) โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน และให้ชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งรวม 123,337,594 บาท พร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2565 และตรวจสอบเพิ่มเติมพบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า พงษ์ศักดิ์ซึ่งในขณะเกิดเหตุเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เกินกว่าร้อยละ 50 และดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของ SVI ทำหน้าที่กำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจและได้เข้าร่วมประชุมที่สำคัญของ SVI เป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2564 ของ SVI ที่มีกำไรสุทธิ 520.52 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าของปีเดียวกัน และงวดเดียวกันของปี 2563 อันเป็นข้อมูลที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น SVI โดยพงษ์ศักดิ์ซื้อหุ้น SVI ก่อนที่ SVI จะเปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 เวลา 19.09 น. ทำให้พงษ์ศักดิ์ได้รับผลประโยชน์จากมูลค่าหุ้น SVI ที่มีราคาเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่ SVI ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ
การกระทำของพงษ์ศักดิ์เป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามมาตรา 242 (1) ประกอบมาตรา 243 (1) มาตรา 243 (2) และมาตรา 243 (3) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับ* กับพงษ์ศักดิ์ โดยให้พงษ์ศักดิ์ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 123,337,594 บาท และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 29 เดือน
มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง
The post ก.ล.ต. ลงดาบสั่งปรับเงิน ‘พงษ์ศักดิ์’ ผู้ถือหุ้นใหญ่ SVI กว่า 123 ล้านบาท พร้อมสั่งห้ามเป็นบอร์ดและผู้บริหาร ผิดฐานใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น appeared first on THE STANDARD.
]]>เลขาธิการ ก.ล.ต. ยืนยัน G-Token รวมทั้งสินทรัพย์ดิจิทัล […]
The post ก.ล.ต. ยืนยัน G-Token ใช้แทนเงินไม่ได้ พร้อมเปิดรับความเห็น 15 วันก่อนออกแนวกำกับ appeared first on THE STANDARD.
]]>เลขาธิการ ก.ล.ต. ยืนยัน G-Token รวมทั้งสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ไม่สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการชำระสินค้าและบริการ (Means of Payment) ได้ พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชนเพื่อนำข้อมูลมาใช้ประกอบการสร้างแนวทางการกำกับดูแล G-Token ในอนาคต
จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เห็นชอบการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token) หรือ G-Token และอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. …. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงการลงทุนของประชาชนผ่านการพัฒนากลไกบริหารหนี้สาธารณะโดยใช้เทคโนโลยี และเพิ่มการเข้าถึงการออมและการลงทุนอย่างทั่วถึง รวมถึงขยายฐานผู้ลงทุนให้มีความหลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น
หนึ่งในความกังวลที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะจากฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือ G-Token มีความเสี่ยงที่จะถูกใช้เป็นสื่อกลางในการชำระสินค้าและบริการได้ ล่าสุด พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. ยืนยันว่า G-Token จะไม่ถูกใช้เป็น Means of Payment โดยมีกลไกหลักในการป้องกันผ่านเงื่อนไขบน smart contract เช่น การกำหนดให้ G-Token ไม่โอนระหว่างกันได้
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความเห็นจากสาธารณชน (Public Hearing) เริ่มต้นวันนี้ (26 พฤษภาคม) ต่อเนื่องไปอีก 15 วัน เพื่อที่จะนำข้อไปมาใช้ประกอบการพัฒนาแนวทางในการกำกับดูแล G-Token ต่อไป
ในเบื้องต้น การออก G-Token โดยกระทรวงการคลังตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น ระบุให้มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือได้รับคืนเงินต้นและผลตอบแทนตามที่กำหนด และเป็นการออกตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำกับดูแล ก.ล.ต. จึงกำหนดให้ G-Token เป็นโทเคนดิจิทัลภายใต้ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ทำให้ ก.ล.ต. สามารถกำกับดูแล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ แต่จะเป็นโทเคนชนิดใหม่ ซึ่งไม่ใช่ทั้ง Investment Token หรือ Utility Token และไม่จัดเป็นคริปโตเคอร์เรนซี แต่เป็นโทเคนชนิดใหม่ที่เรียกว่า Government Token ซึ่งกระทรวงการคลังบอกว่าเป็นครั้งแรกของโลก
ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับ G-Token ยังต้องรอหนังสือชี้ชวนการลงทุนจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) หลังจากนี้ ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย อายุของโทเคน และรายละเอียดอื่นๆ
เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวต่อว่า การออก G-Token จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงการออมการลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่ผู้ออกคือรัฐบาล และสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือผ่านตลาดรอง ไม่ว่าจะผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และสามารถลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนไม่มาก
“ณ จุดนี้ G-Token และ Digital Asset อื่นภายใต้การกำกับ ไม่สามารถที่จะใช้เป็น Means of Payment ได้ G-Token ไม่น่าจะเป็นเครื่องมือสำหรับการเก็งกำไร แต่เป็นการออม ต่างจากคริปโตที่เป็นเครื่องมือเก็งกำไร”
The post ก.ล.ต. ยืนยัน G-Token ใช้แทนเงินไม่ได้ พร้อมเปิดรับความเห็น 15 วันก่อนออกแนวกำกับ appeared first on THE STANDARD.
]]>