Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 03 Mar 2025 06:15:41 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 GRAMMY เผยรายได้ปี 6,165.4 ล้านบาท โต 3.9% ธุรกิจขายลิขสิทธิ์เพลงและคอนเสิร์ตช่วยหนุน https://thestandard.co/rammy-revenue-growth-3-9-percent/ Mon, 03 Mar 2025 06:15:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1047867

GMM Grammy เผยผลประกอบการปี 2567 ทำรายได้ 6,165.4 ล้านบ […]

The post GRAMMY เผยรายได้ปี 6,165.4 ล้านบาท โต 3.9% ธุรกิจขายลิขสิทธิ์เพลงและคอนเสิร์ตช่วยหนุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

GMM Grammy เผยผลประกอบการปี 2567 ทำรายได้ 6,165.4 ล้านบาท โตขึ้น 3.9% ทำกำไร 195.6 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพลงและคอนเสิร์ตช่วยหนุน

 

บุษบา ดาวเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 6,165 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3.9% เทียบกับปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 405.9 ล้านบาท เติบโตขึ้น 100.2% 

 

และมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทรวมอยู่ที่ 195.6 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่บริษัทที่มีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมในสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจากการลงทุนในหุ้น บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

สำหรับผลการดำเนินงานรายธุรกิจในปี 2567 แบ่งเป็นรายได้ธุรกิจเพลงปิดรายได้ที่ 4,063.4 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 133.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.4%YoY ส่วนใหญ่ มาจากธุรกิจ Digital และธุรกิจโชว์บิซซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของการสร้างรายได้

 

รองลงมาคือรายได้ธุรกิจภาพยนตร์ ปิดรายได้ที่ 695.8 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 341.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 96.4%YoY จากภาพยนตร์เรื่อง หลานม่า ที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีทั้งในและต่างประเทศ ตามด้วยรายได้ธุรกิจโฮมช้อปปิ้งปิดรายได้ที่ 1,166.3 ล้านบาท ลดลงราว 203.2 ล้านบาท หรือลดลง 14.8%YoY เนื่องจากยอด ขายทางทั้งช่องทางดาวเทียมและทีวีดิจิทัลที่ลดลง

 

รวมถึงรายได้ธุรกิจจัดจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวีปิดรายได้ที่ 127.5 ล้านบาท ลดลง 24.7 ล้านบาท หรือลดลง 16.2%YoY จากยอดขายกล่องทีวีดาวเทียมที่ลดลง ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และส่วนแบ่งกำไร จาก The ONE Enterprise 140.3 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.5%YoY 

 

นอกเหนือจากการเติบโตในธุรกิจปกติแล้ว ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทยังขยายความร่วมมือทางธุรกิจเพื่อต่อยอดธุรกิจเพลงให้เติบโต โดยบริษัทขายจำหน่ายหุ้นสามัญของ GMM Music ให้แก่นักลงทุนเชิงกลยุทธ์จำนวน 2 ราย 

 

ได้แก่ 1. Black Serenade Investment Limited (Black Serenade ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งร่วมกันระหว่าง Tencent Music Entertainment Group และ Tencent Holdings Limited) และ 2. Warner Music Hong Kong Limited ( WMHK) เป็นบริษัทที่มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ Warner Music Group Corp. (WMGC) ในสัดส่วนร้อยละ 10.0 และร้อยละ 1.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้ว ทั้งหมดของ GMM Music ตามลำดับ

 

ทั้งนี้ จากธุรกรรมดังกล่าวส่งผลให้บริษัทสามารถปิดงบเฉพาะกิจการบริษัทด้วยกำไร 2,660.7 ล้านบาท หลังบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนใน GMM Music มูลค่า 2,815.4 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตอกย้ำธุรกิจเพลงที่ยังคงสามารถเติบโตได้จากการให้มูลค่าของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก 

 

รวมถึงโอกาสในการสร้างความเติบโตในอนาคต โดยในส่วนของเงินที่ได้จากการขายเงินลงทุนดังกล่าวราว 2,000 ล้านบาท บริษัทนำไปชำระคืนหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่มีกับธนาคารทั้งหมด 854.4 ล้านบาท และนำไปลงทุนเพิ่มในหุ้น ONEE มูลค่าราว 899.5 ล้านบาท โดยในส่วนที่เหลือได้นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนบริษัท

 

จะเห็นได้ว่าผลประกอบการของบริษัทโดดเด่นรับกระแสการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลง โดยที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ในขณะที่อุตสาหกรรมเพลงไทยเติบโตสูงกว่าที่เฉลี่ย 26% ต่อปี ซึ่งมีแรงผลักดันสำคัญจากดิจิทัลสตรีมมิ่ง ซึ่งในปัจจุบันตลาดสตรีมมิ่งและ Music Subscription ทั่วโลก และในไทยยังมีศักยภาพเติบโตขึ้นอีกอย่างมหาศาล 

 

อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตนี้มาจากสินทรัพย์ทางดนตรี (Music IP: Music Intellectual Property) คือลิขสิทธิ์ในคอนเทนต์เพลงซึ่ง นับเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างรายได้จากการเผยแพร่ การนำไปใช้ การทำซ้ำ ดัดแปลง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบริษัทมีความแข็งแรงด้านสินทรัพย์ทางดนตรีของไทยที่สั่งสม และมีการพัฒนาต่อยอดมากว่า 40 ปี ทำให้มีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง

The post GRAMMY เผยรายได้ปี 6,165.4 ล้านบาท โต 3.9% ธุรกิจขายลิขสิทธิ์เพลงและคอนเสิร์ตช่วยหนุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์เดินหน้าแผนกองทุนสำรองคริปโต ย้ำเป้าหมาย ‘สหรัฐฯ ศูนย์กลางคริปโตโลก’ https://thestandard.co/trump-crypto-fund-us-global-center/ Mon, 03 Mar 2025 04:28:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1047811

ตลาดคริปโตกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 […]

The post ทรัมป์เดินหน้าแผนกองทุนสำรองคริปโต ย้ำเป้าหมาย ‘สหรัฐฯ ศูนย์กลางคริปโตโลก’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลาดคริปโตกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 มีนาคม) หลังจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจัดตั้งกองทุนสำรองคริปโตเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะรวมการถือครองสองคริปโตที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Bitcoin และ Ether รวมทั้งเหรียญ XRP, โทเคน SOL ของ Solana และเหรียญ ADA ของ Cardano

 

“กองทุนสำรองคริปโตของสหรัฐฯ จะยกระดับอุตสาหกรรมที่สำคัญนี้ขึ้นมา หลังจากเผชิญกับการโจมตีจากรัฐบาลไบเดนมาหลายปี ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมคำสั่งฝ่ายบริหารของผมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลจึงได้สั่งให้คณะทำงานของประธานาธิบดีเดินหน้าจัดตั้งกองทุนสำรองคริปโตที่รวม XRP, SOL และ ADA เข้าไปด้วย” ทรัมป์กล่าวในโพสต์บน Truth Social พร้อมย้ำว่า “ผมจะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางคริปโตของโลก

 

“และแน่นอน BTC และ ETH ซึ่งเป็นคริปโตที่มีมูลค่าสูงจะอยู่ใจกลางของกองทุนสำรองนี้ ผมก็รัก Bitcoin และ Ethereum เช่นกัน” ทรัมป์ระบุ

 

ภายหลังการประกาศดังกล่าว ราคาของ XRP พุ่งขึ้น 33% ขณะที่โทเคนของ Solana กระโดดขึ้น 25% และเหรียญของ Cardano ทะยานขึ้นกว่า 60%

 

Bitcoin พุ่งขึ้น 10% แตะระดับ 94,343.82 ดอลลาร์ หลังจากร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือนต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ (28 กุมภาพันธ์) ส่วน Ether ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาปรับตัวลดลง ล่าสุดก็ปรับตัวขึ้นได้ 13%

 

ทรัมป์เตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดคริปโตของทำเนียบขาวเป็นครั้งแรกในวันศุกร์นี้ (7 มีนาคม) โดยนักลงทุนจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางของแผนกองทุนสำรอง

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ทรัมป์สนับสนุน ‘กองทุนสำรอง’ แทนที่จะเป็น ‘คลังเก็บ’ โดยกองทุนสำรองหมายถึงการซื้อคริปโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ขณะที่คลังเก็บหมายถึงการไม่ขายคริปโตที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถืออยู่ในปัจจุบัน

 

ทรัมป์เคยเสนอแนวคิดเรื่องการสะสม Bitcoin เป็นคลังของรัฐบาลเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วที่งาน Bitcoin 2024 ในแนชวิลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการประชุมใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมคริปโต โดยในงานเดียวกันนี้ ซินเทีย ลัมมิส วุฒิสมาชิกจากรัฐไวโอมิง นำเสนอข้อเสนอของเธอเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนสำรอง Bitcoin แห่งชาติ

 

อย่างไรก็ตาม ชุมชนคริปโตหลายกลุ่มเชื่อว่ากองทุนสำรองคริปโตควรถือเพียง Bitcoin เท่านั้น เนื่องจากเป็นเครือข่ายที่ผ่านการทดสอบและกระจายศูนย์มากที่สุด การรวมเหรียญอื่นๆ เข้าไปอาจทำให้รัฐบาลต้องเข้ามากำหนดว่าเหรียญใดเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ในตลาดคริปโต

 

อีกกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการจัดตั้งกองทุนสำรองคริปโตของสหรัฐฯ เนื่องจากอาจเป็นการบ่อนทำลายสถานะของเงินดอลลาร์ และยังสามารถถูกยกเลิกได้ง่ายโดยรัฐบาลชุดถัดไป

 

“การเลือกตั้งครั้งต่อไปอาจนำรัฐบาลใหม่เข้ามา ซึ่งอาจต้องการเงินเพื่อชำระหนี้ประกันสังคม พวกเขาอาจขายกองทุนสำรองนี้” อดัม บลัมเบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งและรองประธานฝ่ายที่ปรึกษาของ Enclave Group กล่าว

 

“ผมไม่ชอบแนวคิดที่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ หรือรัฐบาลใดๆ จะถือครองสินทรัพย์ที่กระจายศูนย์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” เขากล่าวเสริม “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมา และมันทำให้รัฐบาลกลางมีอำนาจมากเกินไป ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ เองก็อยู่ในวัฏจักรการเลือกตั้งทุกๆ 4 ปี หรือแม้แต่ 2 ปี”

 

อ้างอิง:

The post ทรัมป์เดินหน้าแผนกองทุนสำรองคริปโต ย้ำเป้าหมาย ‘สหรัฐฯ ศูนย์กลางคริปโตโลก’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AP – 4Q67 กำไรสุทธิเป็นไปตามคาด https://thestandard.co/ap-net-profit-4q67/ Sun, 02 Mar 2025 09:21:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1047707 ap-net-profit-4q67

เกิดอะไรขึ้น:   เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 บมจ […]

The post AP – 4Q67 กำไรสุทธิเป็นไปตามคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ap-net-profit-4q67

เกิดอะไรขึ้น:

 

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) รายงานกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ 1.29 พันล้านบาท (ลดลง 3.1% YoY และ 10.8% QoQ) เป็นไปตามคาด รายได้รวมอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.3% YoY แต่ ลดลง 6.4% QoQ) โดย 94% มาจากโครงการแนวราบ อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 33.5% เทียบกับ 33.2% ใน 3Q67 แต่ต่ำกว่า 36.5% ใน 4Q66 จากการปรับเปลี่ยนสัดส่วนผลิตภัณฑ์ ดอกเบี้ยจ่ายยังสูงที่ 204 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 265% YoY แต่ ลดลง 2.7% QoQ) จากดอกเบี้ยสินเชื่อโครงการ 

 

ส่วนแบ่งกำไรจาก JV อยู่ที่ 341 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 61.7% YoY และทรงตัว QoQ) โดยได้รับการสนับสนุนจากการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องที่โครงการ Life-Rama4 Asoke และโครงการอื่นอีก 6 โครงการ สำหรับปี 2567 AP มีรายได้ 3.69 หมื่นล้านบาท (ลดลง 2.8%) ด้วยแรงกดดันจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงและดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 5.02 พันล้านบาท (ลดลง 17.1%)

แผนธุรกิจปี 2568 AP ตั้งเป้า presales สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 18%) โดย 68% จะมาจากโครงการแนวราบ (มูลค่าเพิ่มขึ้น 21%) 

 

และ 32% จะมาจากคอนโด (มูลค่าเพิ่มขึ้น 11%) บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงเป็นอันดับสองที่ 6.5 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 35%) โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ มูลค่า 4.48 หมื่นล้านบาท และคอนโด มูลค่า 2.02 หมื่นล้านบาท โดยจะเปิดตัวโครงการใหม่ราว 70% ในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 โครงการที่เป็นไฮไลต์ในปี 2568 คือ Life สถานีอุดมสุข (มูลค่าโครงการ 4.6 พันล้านบาท) และ Life สาทร-นราธิวาส 22  (มูลค่าโครงการ 1.8 พันล้านบาท) 

 

ทั้งนี้แม้ว่าใน 1Q68 AP จะเปิดตัวโครงการแนวราบ 2 โครงการ มูลค่ารวม 3.2 พันล้านบาท แต่บริษัททำ presales ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 ได้ที่ 7.35 พันล้านบาท คิดเป็น 13% ของเป้าทั้งปี ดังนั้นถ้า presales เดือนมีนาคม ยังแข็งแกร่ง ซึ่งเชื่อว่า presales ใน 1Q68 จะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น AP ปรับขึ้น 8.70% สู่ 8.70 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 9.66% สู่ 1,215.73 จุด 

 

แนวโน้มผลประกอบการปี 2568:

 

ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ AP มี backlog มูลค่า 4.16 หมื่นล้านบาท เมื่อจำแนกตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ พบว่า backlog 42% เป็นโครงการแนวราบ ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปี 2568, 45% เป็นโครงการร่วมทุน และ 13% เป็นคอนโด ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2571 

 

InnovestX Research คงประมาณการรายได้ปี 2568 ไว้ที่ 4.08 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10.5%) โดยมี secured revenue ที่ 46% ซึ่งก็สอดคล้องกับเป้าของ AP ส่วนแบ่งกำไรจาก JV จะยังอยู่ในระดับสูงที่ 934 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนจาก backlog ของ JV ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงคาดการณ์กำไรสุทธิที่ 5.6 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11.6%)

 

กลยุทธ์การลงทุนคงคำแนะนำสำหรับ AP ไว้ที่ OUTPERFORM โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 12.10 บาทต่อหุ้น อ้างอิง PE เฉลี่ยที่ 6.8 เท่า AP ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 0.60 บาท/หุ้น (XD วันที่ 7 พฤษภาคม 2568) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.9%

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การแข่งขันสูงขึ้น และการบริหารจัดการสินค้าคงเหลือเป็นสิ่งสำคัญ AP ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนของ SET ESG Ratings ประจำปี 2567 โดยได้รับผลประเมินที่ระดับ ‘AA’

 

ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ: AP ยื่นขอ EIA ทั้งโครงการแนวราบและคอนโด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (E) ประธานกรรมการเป็นกรรมการอิสระ (G) ณ ปี 2566

 

AP – 4Q67 กำไรสุทธิเป็นไปตามคาด

The post AP – 4Q67 กำไรสุทธิเป็นไปตามคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPALL – ปลดล็อก Overhang จากโอกาสซื้อกิจการ https://thestandard.co/market-focus-cpall-9/ Sun, 02 Mar 2025 05:38:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1047606 CPALL

เกิดอะไรขึ้น: เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 บมจ.ซีพี อ […]

The post CPALL – ปลดล็อก Overhang จากโอกาสซื้อกิจการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
CPALL

เกิดอะไรขึ้น:

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) รายงานกำไรสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% YoY และ เพิ่มขึ้น 28% QoQ สูงกว่าตลาดคาด 9% จากกำไรพิเศษจำนวน 269 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) และค่าใช้จ่าย SG&A และรายได้อื่นที่ดีกว่าคาด 

 

กำไรปกติ 4Q67 อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% YoY และ เพิ่มขึ้น 12% QoQ สูงกว่าตลาดคาด 5% โดยเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นที่ธุรกิจ CVS และส่วนแบ่งกำไรจาก CPAXT ที่ดีขึ้น (เพิ่มขึ้น 22% YoY) และเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล CPALL ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2567 ที่ 1.35 บาทต่อหุ้น (XD วันที่ 6 พฤษภาคม)  

 

รายการที่สำคัญเกี่ยวกับธุรกิจ CVS: ยอดขายสาขา (SSS) เติบโต 4% YoY จำนวนลูกค้าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 970 คนต่อสาขาต่อวัน (เพิ่มขึ้น 1% YoY) และยอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 86 บาท (เพิ่มขึ้น 3% YoY) ทั้งนี้จากยอดขายทั้งหมด 76.3% เกิดจากสินค้ากลุ่มอาหาร (เพิ่มขึ้น 80bps YoY ได้แรงหนุนจากยอดขายอาหารพร้อมทาน (RTE) ที่ดีขึ้น) และ 23.7% เกิดจากสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร

 

ใน 4Q67 CPALL เปิดสาขาเพิ่ม 192 สาขา ในประเทศไทย ส่งผลทำให้จำนวนสาขาสุทธิอยู่ที่ 15,245 สาขา ณ สิ้น 4Q67 เพิ่มขึ้น 5% YoY และ เพิ่มขึ้น 1% QoQ 

 

บริษัทเปิดสาขาในต่างประเทศเพิ่ม 15 สาขา ส่งผลทำให้จำนวนสาขาสุทธิในต่างประเทศอยู่ที่ 122 สาขา (112 สาขาในกัมพูชา และ 10 สาขาในลาว) เพิ่มขึ้น 44% YoY และ เพิ่มขึ้น 14% QoQ อัตรากำไรขั้นต้น จากการผสมผสานของสินค้าภายในร้านเพิ่มขึ้นสู่ 27.7% (เพิ่มขึ้น 80bps YoY, ทรงตัว QoQ) ซึ่งเป็นผลมาจากมาร์จิ้นของสินค้ากลุ่มอาหารที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 60bps YoY จากการมียอดขายอาหารพร้อมทานที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น) และมาร์จิ้นของสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่อาหารที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 110bps YoY จากยอดขายสินค้ากลุ่มของใช้ส่วนตัว ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ และของใช้ในครัวเรือนที่ให้มาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้น)

 

ใน 1Q68TD InnovestX Research ประเมินว่า SSS จากธุรกิจ CVS และ CPAXT จะยังคงเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำ YoY โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่ดีขึ้นจากสินค้ากลุ่ม RTE (ธุรกิจ CVS) และอาหารสด (CPAXT) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ค่อนข้างทรงตัว YoY ด้วย SSS และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น กำไร 1Q68 ของ CPALL จึงมีแนวโน้มที่จะเติบโต YoY และจะอยู่ในระดับทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล 

 

ประมาณการยังไม่รวม upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (ถ้ามี) เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต (เฟส 3) ซึ่งการวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่า SSS ที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1%  ในธุรกิจ CVS และ CPAXT จะช่วยหนุนให้กำไรของ CPALL ปรับเพิ่มขึ้นได้ 1%

 

เมื่อวันที่ 30 มกราคม NHK ได้รายงานในเบื้องต้นว่าครอบครัวผู้ก่อตั้ง Seven & i กำลังขอให้ CP group เข้าร่วมลงทุนซื้อกิจการของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่ชื่อว่า Seven & i Holdings ข่าวนี้ทำให้ตลาดเกิดความกังวลว่า CPALL อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับดีลนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างทางการเงินและผลประกอบการของบริษัทจากการมีหนี้สิน/ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงอันเป็นผลมาจากการจัดหาเงินทุนจำนวนมากมาสนับสนุนดีลขนาดใหญ่ดังกล่าว ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้น CPALL ตลอดช่วงเวลาที่มีข่าวนี้ 

 

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ (หลังตลาดปิด) CPALL ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่าบริษัทไม่มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมองว่าการออกมายืนยันนโยบายของบริษัทอาจช่วยหนุนให้ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับก่อนที่จะมีข่าวดังกล่าวออกมาได้ 

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น CPALL ปรับลง 2.69% สู่ 54.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 8.19% สู่ 1,231.14 จุด 

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

การชี้แจงของ CPALL ว่าบริษัทไม่มีความประสงค์ที่จะเข้าร่วมลงทุนในบริษัทค้าปลีกของประเทศญี่ปุ่น อาจช่วยหนุนให้ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับก่อนที่จะมีข่าวดังกล่าวออกมา (เพิ่มขึ้น 4% จากราคาหุ้นปัจจุบัน) ในด้านปัจจัยพื้นฐาน กำไรปกติ 4Q67 ออกมาแข็งแกร่ง สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5% และมีแนวโน้มที่กำไร 1Q68 จะออกมาแข็งแกร่ง จาก SSS และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น ปัจจุบันหุ้น CPALL ซื้อขายที่ PE ปี 2568 ระดับ 17 เท่า โดยมี EPS growth ที่ 16% (น่าสนใจเมื่อเทียบกับ PE ปี 2568 ที่ 18 เท่า และ EPS growth ที่ 12% ของกลุ่มพาณิชย์) 

 

InnovestX Research คงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ CPALL โดยปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 76 บาทต่อหุ้น (จาก 81 บาท) โดยปรับ WACC เพิ่มขึ้นเป็น 7.3% (จาก 7.1% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงเกี่ยวกับโครงการ Habitat ซึ่งรวมเอาผลกระทบ 1% ต่อกำไรในปี 2568-2570 เข้ามาแล้ว) ท่ามกลางการเติบโตระยะยาวที่ 2.5% 

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การเปลี่ยนแปลงในนโยบายรัฐบาลและกำลังซื้อ ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านแรงงาน  และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (S)

 

CPALL – ปลดล็อก overhang จากโอกาสซื้อกิจการ

https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/high-conviction/cpall-hc-20250227 

The post CPALL – ปลดล็อก Overhang จากโอกาสซื้อกิจการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำกำไรจากความหลงใหลในรถยนต์ กับรถคลาสสิกยอดนิยมราคาแรง https://thestandard.co/classic-car-investment/ Sat, 01 Mar 2025 09:41:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1047521 classic-car-investment

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แวดวงรถคลาสสิกเพิ่งสร้ […]

The post ทำกำไรจากความหลงใหลในรถยนต์ กับรถคลาสสิกยอดนิยมราคาแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
classic-car-investment

เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แวดวงรถคลาสสิกเพิ่งสร้างสถิติใหม่ เมื่อรถ Mercedes-Benz W 196 R Stromlinienwagen จากปี 1954 ได้รับการประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.74 พันล้านบาท คว้าตำแหน่งรถคลาสสิกราคาแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก 

 

ความพิเศษของ Mercedes-Benz W 196 R Stromlinienwagen หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Streamliner คันนี้อยู่ที่เคยเป็นรถแข่งของสองนักแข่งรถในตำนานคือ Juan Manuel Fangio และ Stirling Moss อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในรถยนต์ W 196 R ที่สร้างขึ้นมาเพียง 14 คัน โดยมีเพียง 10 คันเท่านั้นที่รอดจากการแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาลปี 1955 แถมในจำนวนนั้นมีเพียง 4 คันเท่านั้นที่ยังคงรูปแบบ Streamline ไว้ ส่วนประวัติก็ถือว่าดีเยี่ยม เพราะ Juan Manuel Fangio เคยขับเข้าเส้นชัยในการแข่งขันที่บัวโนสไอเรสในปี 1955

 

Streamliner คันนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ Indianapolis Motor Speedway ถูกขายไปในงานประมูลรถยนต์ที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Mercedes-Benz ในเมืองสตุ๊ตการ์ต ประเทศเยอรมนี มีราคาสูงเป็นรองแค่ Mercedes Benz 300 SLR ‘Uhlenhaut-Coupé’ ปี 1955 ที่มีราคา 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 4.76 พันล้านบาท ซึ่งได้รับการประมูลไปในปี 2022 ส่วนอันดับ 3 คือ Ferrari 330 LM / 250 GTO ปี 1962 ขายได้ในราคา 51.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.73 พันล้านบาท ในปี 2023

รถคลาสสิกเป็นของสะสมในฝันของคนรักรถ ด้วยเสน่ห์ของการได้เป็นเจ้าของรถยนต์ประวัติศาสตร์ควบคู่ไปกับศักยภาพในการทำกำไร และอาจจะเป็นก้าวแรกไปสู่การสะสมรถยนต์ประเภทอื่นๆ ที่มีราคาแพงกว่าในอนาคต ราคาที่เพิ่มขึ้นก็ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ ความหายาก ชื่อเสียง มีจำนวนจำกัด และมีฐานแฟนพันธุ์แท้จำนวนมาก ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วจากสถิติโลกครั้งใหม่ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นสะสมต้องพิจารณาให้รอบคอบและทำความเข้าใจรายละเอียดต่างๆ 

 

รถยนต์คลาสสิกมีต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ทั้งการบูรณะ บำรุงรักษา และจัดเก็บ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไร โดยการบูรณะรถยนต์คลาสสิกให้กลับมาสวยเหมือนใหม่อาจใช้ต้นทุนสูง ต้องใช้ทักษะและชิ้นส่วนเฉพาะทาง ขณะที่การบำรุงรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และการจัดเก็บที่ดี ก็เป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่องที่ต้องนำมาพิจารณาในสมการการลงทุนอีกด้วย 

 

ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือ สภาพคล่องค่อนข้างต่ำและเบี้ยประกันสูง รวมถึงต้นทุนการขนส่งเพื่อย้ายรถ นอกจากนี้มูลค่าของรถยนต์คลาสสิกยังขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจผันผวนได้ตามแนวโน้มต่างๆ และสภาพเศรษฐกิจ

 

ตลาดการลงทุนในรถคลาสสิกก็ไม่ต่างจากตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์คือ มีช่วงเวลาที่ราคาพุ่งขึ้นสูง ช่วงสั้นๆ ที่ราคาตก และรถแต่ละประเภทก็มีราคาเคลื่อนไหวไม่เสมอกันทั้งหมด อย่างเช่น รถสะสมระดับกลางราคาตกลงนับตั้งแต่เกิดโควิด ขณะที่ตลาดรถคลาสสิกยอดนิยมราคาอาจจะไม่ตกลงเลย อย่างเช่น Lamborghini Miura ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1966-1973 ซึ่งเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์หลังรุ่นแรกๆ ราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 195 เท่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ก็มีผลต่อนิยามและความนิยมรถคลาสสิกแต่ละรุ่น 

 

นักสะสมรถส่วนใหญ่คือชายวัยกลางคน รถยนต์ที่เคยโด่งดังในช่วงที่พวกเขาเป็นวัยรุ่นจะกลายเป็นรถในฝันเมื่อมีกำลังทรัพย์มากพอ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความนิยมก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างรถรุ่นเก่าๆ เช่น Austin Healey 3000 Mk 3 หรือ Aston Martin รุ่นคลาสสิกอื่นๆ ความต้องการก็ลดลงตามอายุของผู้ซื้อ กลายเป็นว่ารถยนต์ยอดนิยมในช่วงปี 1970-1990 กลับเป็นที่ต้องการของนักสะสม อาทิ Ford Sierra Cosworth

 

สรุปแล้วการลงทุนในรถยนต์คลาสสิกจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจตลาด มีความรักในรถยนต์จริงๆ เพราะต้องยอมรับในข้อเสียและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้กำไรเป็นตัวเงิน แต่ได้ความสุขใจกลับมาแน่นอน

 

Ferrari 250 GTO Mercedes-Benz 300 SL ‘Gullwing’ Porsche 911 (รุ่นดั้งเดิม)
Mercedes Benz 300 SLR ‘Uhlenhaut-Coupé’
Aston Martin DBR1

 

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

 

อ้างอิง:

The post ทำกำไรจากความหลงใหลในรถยนต์ กับรถคลาสสิกยอดนิยมราคาแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้นไทยหลุด 1,200 จุด รอบนี้ต่างอย่างไรกับ 3 รอบก่อนในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา? https://thestandard.co/thai-stocks-below-1200/ Fri, 28 Feb 2025 09:28:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1047091 thai-stocks-below-1200

ครั้งสุดท้ายที่ดัชนี SET ของหุ้นไทยอยู่ต่ำกว่า 1,200 จุ […]

The post หุ้นไทยหลุด 1,200 จุด รอบนี้ต่างอย่างไรกับ 3 รอบก่อนในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา? appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-stocks-below-1200

ครั้งสุดท้ายที่ดัชนี SET ของหุ้นไทยอยู่ต่ำกว่า 1,200 จุด คือเดือนสิงหาคม ปี 2555 ในระหว่างขาขึ้นครั้งใหญ่จาก 400 จุด ไป 1,600 จุด 

 

หลังจากนั้นมีช่วงที่หุ้นไทยเป็นขาลงชัดๆ คือปี 2556 และปี 2558 ที่ SET ร่วงจาก 1,600 จุด มาเหลือต้นๆ 1,200 จุด แต่สุดท้ายก็เด้งกลับไปได้

 

ถ้าไม่นับวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ดัชนี SET ร่วงลงไปแตะ 969 จุด ช่วงปี 2563 เท่ากับว่าดัชนี SET กลับมาต่ำกว่า 1,200 จุด อีกครั้งในรอบกว่า 12 ปี 

 

ล่าสุด ดัชนี SET ร่วงมาแตะระดับ 1,186.36 จุด ลดลงมา 4 เดือนติดต่อกัน แล้วดัชนีที่ระดับ 1,200 จุด รอบนี้ต่างออกไปอย่างไรจาก 3 รอบก่อน?

 

หุ้นไทยไม่ฟื้นจนกว่าเศรษฐกิจจะโตเกิน 3%

 

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนที่มีประสบการณ์กับตลาดหุ้นไทยมายาวนานนับแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 มองว่า “เราดูแค่ดัชนีไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไทยซบเซา เติบโตช้า ภาพของประเทศและตลาดหุ้นเปลี่ยนไป เราไม่ได้เป็นประเทศเติบโตเร็วอีกแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งตลาดหุ้นกำลังสะท้อนภาพของประเทศ” 

 

ในโลกนี้ถ้าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา แต่เศรษฐกิจไม่โตหรือโตช้า นักลงทุนจะไม่สนใจ ทำให้เราเห็นแรงขายหุ้นไทยมาตลอด ตราบใดที่เราเปลี่ยนภาพนี้ไม่ได้ 

 

“ประเทศรอบข้างเราเติบโตเร็วกว่า แต่ถ้าจะมองหาประเทศที่เติบโตไม่มาก ก็ไปประเทศพัฒนาแล้ว เท่ากับว่าเราสู้ประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันไม่ได้ และสู้ประเทศพัฒนาแล้วก็ไม่ได้” 

 

ปัญหาใหญ่คือจะทำยังไงไม่ให้นักลงทุนต่างชาติถอนเงินทุนออกไปต่อเนื่อง ดร.นิเวศน์มองว่า รัฐบาลมีบทบาทค่อนข้างมากในเรื่องนี้ ทั้งมาตรการที่จะช่วยในระยะสั้น และนโยบายที่จะเปลี่ยนภาพระยะยาว 

 

อย่างเรื่องการจะนำกองทุน LTF กลับมา เชื่อว่าจะช่วยสร้างปัจจัยบวกในระยะสั้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีแผนที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้ถึง 4% แต่ถ้าเศรษฐกิจยังเติบโตต่ำกว่า 3% ก็ยากที่นักลงทุนจะกลับมา 

 

“รัฐบาลต้องมีแผนที่ชัดเจน ปัญหาทุกวันนี้เป็นเรื่องของโครงสร้าง แม้แต่เรื่องอัตราการเกิดต่ำ ก็ต้องเร่งแก้ไข เพราะถ้าจำนวนคนหดตัว ประเทศก็โตได้ยาก” 

 

วิธีลงทุนต้องเปลี่ยนเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยน

 

“ทุกสินทรัพย์มีมูลค่าของตัวเอง ถ้าดูหลาย Metrics ในเวลานี้ จะเห็นว่าหุ้นไทยถูกแล้ว แต่วิธีการเล่นต้องเปลี่ยนไป” นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี อีกหนึ่งนักลงทุนที่มีประสบการณ์มายาวนานในตลาดหุ้นไทย ให้ความเห็นเกี่ยวกับหุ้นไทยในตอนนี้

 

ตอนนี้ถ้าประเมินมูลค่าหุ้นไทยผ่าน P/BV ลงมาต่ำกว่า 1.2 เท่า ซึ่งค่อนข้างต่ำ โดยทั่วไปแล้วถ้าเกิดวิกฤตจน GDP ติดลบ P/BV จะลงไปที่ประมาณ 1 เท่า แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าขั้นวิกฤต GDP ยังโตได้ แม้จะโตต่ำ 

 

“แย่สุดหุ้นไทยยังไม่ควรจะลงไปจน P/BV เหลือ 1 เท่า มันไม่สมเหตุสมผล” นพ.พงศ์ศักดิ์กล่าว

 

อีกส่วนที่บ่งบอกว่าหุ้นไทยถูกแล้วคือ Earning Yield Gap ของหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 3.5% เช่นเดียวกับอัตราเงินปันผลตอบแทนของหุ้นไทยที่อยู่สูงกว่า 3% 

 

“ถ้ามองภาพระยะยาวตอนนี้ถือว่าถูก แต่ไม่ได้ถูกเท่ากับภาวะวิกฤต สิ่งที่ไม่มีใครรู้คือจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน เพราะถ้าเกิดวิกฤตขึ้นจริงหุ้นไทยก็อาจจะลงไปได้อีกอย่างน้อย 10%”​

 

“ประเทศไทยตอนนี้ไม่ได้เติบโตสูงเหมือนเดิม แต่ถามว่าหุ้นที่เติบโตช้าลงทุนไม่ได้เลยหรือไม่ ก็ไม่ใช่ แต่วิธีการลงทุนในประเทศที่เติบโตช้าต้อง ต้องเล่นอีกแบบ” 

 

นพ.พงศ์ศักดิ์บอกว่า การลงทุนในหุ้นไทยหลังจากนี้ต้องมองหา ‘ส่วนลด’ ที่มากขึ้น และอัตราเงินปันผลต้องคุ้มค่า แทนที่จะหวังส่วนต่างราคาสูงแบบในอดีต 

 

ฝรั่งลดการถือหุ้นไทยต่อเนื่องตลอด 12 ปีที่ผ่านมา 

 

ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2556 – 2567 ต่างชาติขายหุ้นไทยไปกว่า 1.1 ล้านล้านบาท และยังขายต่อเนื่องอีก 1.3 หมื่นล้านบาท ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ 

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ต่างชาติเคยถือครองหุ้นไทยมากสุดประมาณ 37% ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 30.4% 

 

อย่างไรก็ตาม แรงขายของต่างชาติในช่วง 2 เดือนแรก หากเทียบกับ 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าความรุนแรงลดลง แต่ปัญหาตอนนี้คือสภาพคล่องหรือแรงซื้อในประเทศที่หายไป ทำให้ดัชนีไหลลงค่อนข้างเร็ว 

 

ณัฐชาตกล่าวต่อว่า P/BV ต่ำสุดของ SET ช่วงโควิดอยู่ที่ประมาณ 1.13 เท่า ถ้าอิงจากตัวเลขนี้ SET จะอยู่ที่ 1,177 จุด ซึ่งหุ้นไทยเวลานี้ไม่ควรจะลงไปถึงจุดนั้น เพราะช่วงโควิดกำไรของหุ้นไทยลงไปเหลือเพียง 60-70 บาทต่อหุ้น แต่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 90 บาทต่อหุ้น

 

ด้าน กวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายบริหารพอร์ตการลงทุน บล.พาย มองว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะฟื้นตัวได้ค่อนข้างยาก เพราะคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังขยายได้ไม่ถึงระดับ 3% ตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้ 

 

บล.พาย คาดว่า GDP ของไทยปีนี้จะขยายตัว 2.5% ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 92 บาทต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าความเห็นของนักวิเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่ที่คาดการณ์ไวั 

 

อย่างไรก็ดี ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดหุ้นหนึ่งที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดของโลก และวันนี้ตลาดหุ้นไทยหลุดระดับ 1,200 จุด ประเมินว่ามีความเสี่ยงจะปรับตัวลงต่อในปีนี้ แต่คาดว่าจะไม่หลุดระดับ 1,000 จุด 

 

“ทุกครั้งที่มีวิกฤตใหญ่ เช่น ซับไพรม์ หรือโควิด ตามสถิติตลาดทั่วโลกรวมถึงไทย ดัชนีจะลงประมาณ 50% รอบนี้ตลาดหุ้นลงมาแล้ว 30% จาก 1,700 จุด เชื่อว่าคงไม่ลงไปถึง 50% หรือไปถึง 850 จุด ถ้าดัชนีหุ้นไทยลงไปแตะ 1,000 จุด แนะนำให้ซื้อหุ้นเต็มพอร์ต 100% เพื่อรอการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในปีหน้า ที่คาดว่ามีโอกาสไปถึงระดับ 1,500 จุด” 

 

โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสุขภาพและการท่องเที่ยวที่ยังแข็งแกร่งท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว

The post หุ้นไทยหลุด 1,200 จุด รอบนี้ต่างอย่างไรกับ 3 รอบก่อนในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: จากแพสชันสู่ผลกำไรของนักสะสมรถคลาสสิก บรรณ เกษมทรัพย์ | Passion Investment EP.4 https://thestandard.co/passion-investment-ep-4/ Fri, 28 Feb 2025 08:24:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1047055

บรรณ เกษมทรัพย์ ผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของรถยนต์คลาสสิกมาต […]

The post ชมคลิป: จากแพสชันสู่ผลกำไรของนักสะสมรถคลาสสิก บรรณ เกษมทรัพย์ | Passion Investment EP.4 appeared first on THE STANDARD.

]]>

บรรณ เกษมทรัพย์ ผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์ของรถยนต์คลาสสิกมาตั้งแต่ยังเด็ก ปัจจุบันเขาเป็นเลขาธิการสมาคมรถคลาสสิกประเทศไทย และผู้ก่อตั้ง Bangkok Classic Car ที่จะมาถ่ายทอดมุมมองและประสบการณ์กับการลงทุนในสิ่งที่รัก ซึ่งสามารถสร้างคุณค่าทางจิตใจ และมูลค่าทางการเงินด้วยผลตอบแทนที่ไม่ธรรมดา

 

[ADVERTORIAL]

The post ชมคลิป: จากแพสชันสู่ผลกำไรของนักสะสมรถคลาสสิก บรรณ เกษมทรัพย์ | Passion Investment EP.4 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปริญสิริเปิดขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 5.65-6.10% ต่อปี จองซื้อได้ถึง 11 มีนาคมนี้ https://thestandard.co/prinsiri-debenture-2025-high-interest-rate/ Fri, 28 Feb 2025 04:19:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1046749 ปริญสิริเปิดขายหุ้นกู้ 2568 ให้นักลงทุนทั่วไป ดอกเบี้ย 5.65-6.10% ต่อปี จองขั้นต่ำ 1 แสนบาท ถึง 11 มีนาคม 2568 นี้

ปริญสิริเปิดขายหุ้นกู้ให้กับบุคคลทั่วไป ดอกเบี้ย 5.65-6 […]

The post ปริญสิริเปิดขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 5.65-6.10% ต่อปี จองซื้อได้ถึง 11 มีนาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปริญสิริเปิดขายหุ้นกู้ 2568 ให้นักลงทุนทั่วไป ดอกเบี้ย 5.65-6.10% ต่อปี จองขั้นต่ำ 1 แสนบาท ถึง 11 มีนาคม 2568 นี้

ปริญสิริเปิดขายหุ้นกู้ให้กับบุคคลทั่วไป ดอกเบี้ย 5.65-6.10% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองสิทธิ์ได้แล้ววันนี้ – 11 มีนาคม 2568 โดยการจัดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ระดับ BBB- แนวโน้ม Stable แบ่งเป็น 2 ชุด ได้แก่

 

  • ชุดที่ 1: อายุ 2 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.65-5.85% ต่อปี
  • ชุดที่ 2: อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.90-6.10% ต่อปี

 

บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วกว่า 19 ปี เสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือ ผู้ลงทุนสถาบัน เปิดให้จองซื้อขั้นต่ำ 1 แสนบาท และทวีคูณครั้งละ 1 แสนบาท 

 

ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์กว่า 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 1.47 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.80 เท่า ปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท 

 

อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้ที่ระดับ BBB- แนวโน้ม Stable โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 สำหรับหุ้นกู้ที่จะเสนอขายเป็นหุ้นกู้ระยะยาว ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

 

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th 

The post ปริญสิริเปิดขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 5.65-6.10% ต่อปี จองซื้อได้ถึง 11 มีนาคมนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
BEM ปี 67 กำไรโต 8% ได้อานิสงส์เศรษฐกิจ-ภาคการท่องเที่ยวฟื้น ดันปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่ม https://thestandard.co/bem-profits-2025/ Thu, 27 Feb 2025 09:33:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1046439 bem-profits-2025

BEM แจ้งผลประกอบการ ปี 2567 รายได้ 17,004 ล้านบาท เพิ่ม […]

The post BEM ปี 67 กำไรโต 8% ได้อานิสงส์เศรษฐกิจ-ภาคการท่องเที่ยวฟื้น ดันปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
bem-profits-2025

BEM แจ้งผลประกอบการ ปี 2567 รายได้ 17,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%YoY จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ทำให้ยอดผู้โดยสารรถไฟฟ้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2567 ที่ผ่านมา สามารถในการขยายตัวในทุกมิติ จากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากปีก่อน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้ปริมาณรถบนทางพิเศษในสายทางที่ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวและปริมาณผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการปี 2567 มีรายได้จากธุรกิจหลักโดยรวมเติบโตขึ้นถึง 17,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 629 ล้านบาท หรือ 4% โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 3,768 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 289 ล้านบาท หรือ 8% 

 

“บริษัทมีรายได้จากการให้บริการเป็นรายได้หลัก แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ รายได้จากธุรกิจทางพิเศษ มีจำนวน 8,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จำนวน 22 ล้านบาท โดยรวมยังคงมีปริมาณรถที่ใช้ในทางพิเศษ เฉลี่ยอยู่ในปริมาณใกล้เคียงเดิมที่ 1.12 ล้านเที่ยวต่อวัน รายได้จากธุรกิจระบบราง มีจำนวน 6,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 491 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 ซึ่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินยังคงเป็นโครงการที่ทำรายได้หลัก จากปริมาณผู้โดยสารที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยทุกประเภทวันอยู่ที่ 427,000 เที่ยวต่อวัน เฉพาะวันทำการเฉลี่ยอยู่ที่ 489,000 เที่ยวต่อวัน ส่วนรายได้จากธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์นั้น มีจำนวน 1,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 โดยมาจากการให้เช่าพื้นที่สื่อโฆษณาและให้เช่าพื้นที่จัดกิจกรรมใน Metro Mall” 

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้นำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท โดยการประชุมจะจัดขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. รูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

 

สำหรับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2567 ของ BEM นั้น มีหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงนามสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะเปิดให้บริการส่วนตะวันออก ช่วงสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ -สถานีแยกร่มเกล้า ได้ในช่วงต้นปี 2571 และในปี 2573 คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการส่วนตะวันตกช่วงสถานีบางขุนนนท์-สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ทำให้เกิดการให้บริการครบทั้งสาย นอกจากนี้ยังมีการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติมสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน

The post BEM ปี 67 กำไรโต 8% ได้อานิสงส์เศรษฐกิจ-ภาคการท่องเที่ยวฟื้น ดันปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเพิ่ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
AWC ทุ่มงบกว่า 8.7 พันล้านบาท ซื้อโครงการโรงแรม-อาคารเลอ คองคอร์ด พร้อมตั้ง ‘เจ้าสัวเจริญ’ นั่งประธานกิตติมศักดิ์ https://thestandard.co/awc-invests-8-7-billion-lle-concorde-hotel-project/ Thu, 27 Feb 2025 08:35:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1046378 AWC

บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แ […]

The post AWC ทุ่มงบกว่า 8.7 พันล้านบาท ซื้อโครงการโรงแรม-อาคารเลอ คองคอร์ด พร้อมตั้ง ‘เจ้าสัวเจริญ’ นั่งประธานกิตติมศักดิ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AWC

บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติที่สำคัญดังนี้

 

โดยบอร์ด AWC มีมติอนุมัติการได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดในบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เพื่อให้ได้มาซึ่งโครงการโรงแรมแล อาคารสำนักงานเลอ คองคอร์ด จากนิติบุคคล ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ โดยมีมูลค่ารวมสุทธิประมาณ 4,415 ล้านบาท และเงินลงทุนเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการจำนวนประมาณ 4,289 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) การเข้าทำรายการนี้คิดเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 8,704 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 

 

นอกจากนี้มีมติให้บริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย เข้าลงทุนเพิ่มเติมในบริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มเติมอีกจำนวน 4,900 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 49% ในอัตราหุ้นละ 100 บาท รวมมูลค่า 490,000 บาท จากนิติบุคคล ซึ่งไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ และจัดเงินกู้ผู้ถือหุ้นรวมประมาณ 8,768 ล้านบาท (เงินกู้ผู้ถือหุ้น 64 ล้านบาท และเงินกู้ผู้ถือหุ้นใหม่ 8,704 ล้านบาท) 

 

โดยการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย เป็นเจ้าของหุ้นสามัญทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วน 100% ในบริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัด และจะดำเนินการให้บริษัทดังกล่าวเป็นผู้เข้าลงทุนในบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด 

 

การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้จะมีผลให้บริษัท เอดับบลิวซี ฮอสปิทอลลิตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ 

 

ทั้งนี้ บริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด มีทรัพย์สินครอบคลุมอาคารสำนักงานขนาด 45,792 ตารางเมตร และโรงแรมขนาด 407 ห้อง ที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดได้อย่างทันทีให้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการนี้ภายใต้ชื่อ Jubilee Prestige Tower ให้เป็นอาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ และโรงแรมหรูภายใต้แบรนด์ JW Marriott ที่บริหารงานโดยแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เครือโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ใจกลางถนนรัชดาภิเษก

 

โดยมีแผนพัฒนาให้เป็นโมเดล AWC’s Lifestyle Destination ผสมผสาน Wellness และ ประสบการณ์แบบ Bleisure และ Luxury MICE พร้อมเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใต้แบรนด์ใหม่ภายในปี 2571 

 

ตั้ง ‘เจ้าสัวเจริญ’ นั่งเก้าอี้ประธานกิตติมศักดิ์

 

นอกจากนี้ยังมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน เพื่อพิจารณาอนุมัติการเลือกตั้งกรรมการที่ออกจากตำแหน่งจำนวน 5 ท่าน ตามรายชื่อดังต่อไปนี้

 

  1. เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ 
  2. บุญทักษ์ หวังเจริญ รองประธานกรรมการ 
  3. สิทธิชัย ชัยเกรียงไกร กรรมการ 
  4. พล.ต.อ. รุ่งโรจน์ แสงคร้าม กรรมการอิสระ 
  5. โสมพัฒน์ ไตรโสรัส กรรมการ

 

ทั้งนี้ เนื่องจาก เจริญ สิริวัฒนภักดี แสดงความประสงค์ไม่กลับเข้าดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งไม่รวมกรรมการผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงมีมติให้เสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ พิจารณาเลือกตั้งกรรมการจำนวน 4 ท่านข้างต้นกลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิมอีกวาระหนึ่ง และมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทนเพื่อพิจารณาอนุมัติการแต่งตั้ง กรรมการเข้าใหม่อีกหนึ่งท่านคือ ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทฯ 

 

นอกจากนี้มีมติอนุมัติแต่งตั้ง เจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นประธานกิตติมศักดิ์ เนื่องจากเป็นผู้มีคุณูปการต่อบริษัทฯ ในฐานะผู้นำที่สร้างคุณค่าและมีบทบาทนำพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้นคณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติแต่งตั้ง เจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นประธานกิตติมศักดิ์ โดยให้มีผลในวันที่ 29 เมษายน 2568 เป็นต้นไป 

 

พร้อมทั้งมีมติอนุมัติเลือกตั้ง บุญทักษ์ หวังเจริญ รองประธานกรรมการ ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการแทนท่านที่พ้นจากตำแหน่ง โดยให้มีผลในวันที่ 29 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

The post AWC ทุ่มงบกว่า 8.7 พันล้านบาท ซื้อโครงการโรงแรม-อาคารเลอ คองคอร์ด พร้อมตั้ง ‘เจ้าสัวเจริญ’ นั่งประธานกิตติมศักดิ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>