Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 05 Nov 2025 06:05:27 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ที่ปรึกษาการเงินมอง ‘MRDIYT’ เป็นหุ้นเติบโต แม้เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 18% ชี้โอกาสรายย่อยซื้อต้นทุนถูก https://thestandard.co/mrdiyit-growth-stock-buy-cheap/ Wed, 05 Nov 2025 06:04:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1139898 ที่ปรึกษาการเงิน มอง ‘MRDIYT’ เป็นหุ้นเติบโต แม้เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 18% ชี้โอกาสรายย่อยซื้อต้นทุนถูก

หุ้น MRDIYT หรือ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ป […]

The post ที่ปรึกษาการเงินมอง ‘MRDIYT’ เป็นหุ้นเติบโต แม้เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 18% ชี้โอกาสรายย่อยซื้อต้นทุนถูก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ที่ปรึกษาการเงิน มอง ‘MRDIYT’ เป็นหุ้นเติบโต แม้เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 18% ชี้โอกาสรายย่อยซื้อต้นทุนถูก

หุ้น MRDIYT หรือ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ที่มีสาขามากที่สุดในไทย

ครอบคลุม 77 จังหวัด เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก (5 พฤศจิกายน)

 

เปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อ -18% จากราคา IPO ที่ 8.60 บาท
ล่าสุดเวลา 12.00 น. ราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 8.45 บาท ลดช่วงของการติดลบมาเหลือ -1.74% จากราคา IPO ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.1 พันล้านบาท

 

ปัจจุบัน MRDIYT ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ภายใต้แบรนด์ “MR. D.I.Y.” ที่มีสาขามากที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย เริ่มดำเนินธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันมีร้านค้า 1,027 สาขา ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้ครบทุกสิ่งในทุกวัน ด้วยราคาถูกคุ้มเสมอตามพันธกิจ “Always Low Prices” ด้วยการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง และสินค้าของบุคคลภายนอก บริษัทมีสินค้าหลากหลายกว่า 16,000 รายการ ครอบคลุม 6 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ เครื่องใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์แต่งบ้าน อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเครื่องมือช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา ของเล่น และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ

 

มั่นใจเป็นหุ้นเติบโต รายใหญ่-VI แห่ซื้อ

 

พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) กล่าวถึงประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นต่อหุ้น MRDIYT โดยมองว่า การนำหุ้น MRDIYT เข้าเทรดในช่วงตลาดผันผวน นักลงทุนต้องศึกษาการเติบโตของธุรกิจ และประเมินความเสี่ยง อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าหุ้น MRDIYT จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นหุ้นเติบโต (Growth Stock) เพราะนำธุรกิจเข้าเทรดในช่วงที่ยังไม่ถึงจุดพีค มีแผนการเติบโตที่ชัดเจน และผลประกอบการที่เติบโตมากกว่า 20% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ราคาหุ้นซื้อขายในตลาดวันแรก ที่ต่ำกว่าราคาเสนอขาย IPO เป็นโอกาสของนักลงทุนรายย่อย ในการซื้อหุ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ทั้งนี้คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนคุณค่า (VI) ทำให้ราคาปรับดีขึ้น

 

จ่อสร้างคลังสินค้า 160 ไร่ รับการขยายสาขา

 

สำหรับแผนการเติบโตหลังขายหุ้น IPO แอนดี้ ชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MRDIYT เปิดเผยว่า วางแผนขยายสาขาระยะสั้น 3 ปี รวม 1,500 สาขา ส่วนในระยะกลางเตรียมซื้อที่ 160 ไร่ เพื่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติ โดยจะดำเนินการสร้างเป็นระยะ เริ่มดำเนินการได้ในปี 2571 และดำเนินการแบบเต็มรูปแบบในปี 2573

 

ปัจจุบันธุรกิจยังไม่มีคู่แข่งทางตรง แม้จะมีหลายเจ้าที่ขายสินค้าราคาใกล้เคียงกัน แต่ในเรื่องของความหลากหลายสินค้า MR.DIY มีมากกว่า 16,000 รายการ ซึ่งยังไม่มีใครทำได้ ทำให้มั่นใจธุรกิจยังมีพื้นที่เติบโตอีกมาก

 

ทั้งนี้ MRDIYT มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 3,008 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวนไม่เกิน 655 ล้านหุ้น โดยเสนอขายให้แก่บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณของบริษัท และพนักงานของบริษัท ผู้ลงทุนในประเทศ และผู้ลงทุนต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 20-29 ตุลาคม 2568 ในราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้นละ 8.60 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 5,633 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 51,747 ล้านบาท

 

ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ ต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 23.09 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2567 ถึงไตรมาส 2 ของปี 2568) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.36 บาท

 

หลัง IPO บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ 1.กลุ่ม Mr. Tan Yu Yeh และ Mr. Tan Yu Wei ถือหุ้น 34.23% 2.บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. จำกัด ถือหุ้น 25.09% และ 3.กลุ่มนายจอมพงษ์และนางสาวฐิตานันท์ ถือหุ้น 18.99%

 

โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงิน รวมหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อประโยชน์ของกิจการและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

The post ที่ปรึกษาการเงินมอง ‘MRDIYT’ เป็นหุ้นเติบโต แม้เปิดเทรดวันแรกต่ำจอง 18% ชี้โอกาสรายย่อยซื้อต้นทุนถูก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แค่พักรบชั่วคราว! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ-จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ https://thestandard.co/us-china-economic-cold-war/ Tue, 04 Nov 2025 12:16:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1139743 แค่พักรบชั่วคราว บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ- จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ

The post แค่พักรบชั่วคราว! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ-จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
แค่พักรบชั่วคราว บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ- จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ

The post แค่พักรบชั่วคราว! บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ชี้ ดีล สหรัฐฯ-จีน 1 ปี ไม่แก้ปม Cold War ทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
MR.DIY เผยรายงานการขายหุ้นไอพีโอ 40 อันดับแรก ‘ประกันสังคม’ ร่วมจองซื้อ 9.9 ล้านหุ้น https://thestandard.co/mrdiy-ipo-first-40-positions/ Tue, 04 Nov 2025 12:04:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1139739 MR.DIY เผยรายงานการขายหุ้นไอพีโอ 40 อันดับแรก ‘ประกันสังคม’ ร่วมจองซื้อ 9.9 ล้านหุ้น

มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. รายงานผลการขายหุ้นไอพีโอ 40 อันดับแ […]

The post MR.DIY เผยรายงานการขายหุ้นไอพีโอ 40 อันดับแรก ‘ประกันสังคม’ ร่วมจองซื้อ 9.9 ล้านหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
MR.DIY เผยรายงานการขายหุ้นไอพีโอ 40 อันดับแรก ‘ประกันสังคม’ ร่วมจองซื้อ 9.9 ล้านหุ้น

มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. รายงานผลการขายหุ้นไอพีโอ 40 อันดับแรก รวม 468.55 ล้านหุ้น คิดเป็น 71.54% ในจำนวนนี้พบสำนักงานประกันสังคมจองซื้อรวม 9.9 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 85.17 ล้านบาท

 

จากแบบรายงานผลการขายหุ้นไอพีโออย่างย่อของ (แบบ 81-1 อย่างย่อ) ของ บมจ.มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) หรือ MRDIYT ซึ่งเปิดเผยรายชื่อผู้ที่ได้รับการจัดสรรหุ้นในจำนวนสูงสุด 40 อันดับแรก (รวมผู้ที่ได้รับการจัดสรรทุกประเภท) ได้รับการจัดสรรหุ้นรวมกันทั้งสิ้น 468,559,000 หุ้น คิดเป็น 71.54% ของหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด 655 ล้านหุ้น

 

โดย 5 อันดับแรกที่ได้รับการจัดสรรได้แก่

 

1.UBS SECURITIES PTE LTD จำนวน 181,790,200 หุ้น

2.CGS INTERNATIONAL SECURITIES SINGAPORE PTE LTD จำนวน 93,861,000 หุ้น

3.J.P. MORGAN SECURITIES PLC จำนวน 74,285,000 หุ้น

4.N.C.B. TRUST LIMITED – NORGES BANK 30 จำนวน 10,549,100 หุ้น

5.สำนักงานประกันสังคม โดย บลจ. ทาลิส จก. จำนวน 8,678,100 หุ้น

 

ในส่วนของสำนักงานประกันสังคม ยังมีการจองซื้อโดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีกจำนวน 1,225,400 หุ้น รวมแล้วสำนักงานประกันสังคมจองซื้อทั้งสิ้น 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท เมื่อคำนวณจากราคาเสนอขายที่ 8.60 บาท

 

ทั้งนี้ หุ้น MRDIYT จะเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหุ้นไทยในวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยระดมทุนรวม 5.6 พันล้านบาท ถือเป็นหุ้นไอพีโอที่มีมูลค่ามากที่สุดในรอบ 3 ปี

The post MR.DIY เผยรายงานการขายหุ้นไอพีโอ 40 อันดับแรก ‘ประกันสังคม’ ร่วมจองซื้อ 9.9 ล้านหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
บีโอไอจับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ หารือ 5 ธุรกิจยุคใหม่ หวังดึงเข้าตลาดหุ้นไทย https://thestandard.co/boi-set-partner-new-firms/ Tue, 04 Nov 2025 11:53:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1139730 บีโอไอจับมือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ หารือ 5 ธุรกิจยุคใหม่ หวังดึงเข้า ตลาดหุ้นไทย

เลขาธิการบีโอไอเชิญ 5 บริษัทซึ่งอยู่ใน 3 อุตสาหกรรมเป้า […]

The post บีโอไอจับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ หารือ 5 ธุรกิจยุคใหม่ หวังดึงเข้าตลาดหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
บีโอไอจับมือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ หารือ 5 ธุรกิจยุคใหม่ หวังดึงเข้า ตลาดหุ้นไทย

เลขาธิการบีโอไอเชิญ 5 บริษัทซึ่งอยู่ใน 3 อุตสาหกรรมเป้าหมาย หารือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังดึงเข้าจดทะเบียน ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ศึกษาปรับเกณฑ์ Market Cap. เพื่อสนับสนุนการระดมทุนของธุรกิจใหม่

 

จากงานสัมมนา “BOI to IPO: ตลาดทุนสร้างการเติบโต” ในวันนี้ (4 พฤศจิกายน)
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยภายในงานว่า บีโอไอได้เชิญผู้ประกอบการ 5 ราย ซึ่งอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เข้ามาหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

 

ทั้งนี้ 3 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องการเร่งส่งเสริมในปัจจุบันประกอบด้วย 1.อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ 2.ยานยนต์ไฟฟ้า และ 3.ดิจิทัล

 

นอกจากนี้ บีโอไอยังอยู่ระหว่างการออกมาตรการสนับสนุนการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ ในเบื้องต้นมีเป้าหมาย 100,000 คน รวมทั้งมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคใหม่ โดยทั้งสองมาตรการนี้จะมีการประชุมเพื่อสรุปรายละเอียดอีกครั้งในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ก่อนจะประกาศรายละเอียดอีกครั้ง

 

ด้าน อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจับมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และบีโอไอจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจโดยรวม

 

“วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ดีที่สุดคือ การสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจจะเติบโตไม่ได้ถ้าไม่มีการลงทุน สำหรับตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นพื้นที่ให้กับธุรกิจมาระดมทุน เพื่อเสริมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ” อัสสเดชกล่าว

 

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการปรับปรุงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนใน SET และ mai สำหรับกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy) ที่มีศักยภาพในการเติบโต แต่อาจจะยังไม่มีกำไร ให้สามารถเข้ามาระดมทุนได้ หากผ่านเกณฑ์มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization)

 

อย่างไรก็ตาม “3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีใครใช้เกณฑ์ Market Cap. เลย ต้องมาย้อนดูว่าเกาถูกจุดหรือไม่ จะแก้ไขอย่างไร ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพื่อสนับสนุนการระดมทุนและริเริ่มธุรกิจใหม่” อัสสเดชกล่าว

The post บีโอไอจับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ หารือ 5 ธุรกิจยุคใหม่ หวังดึงเข้าตลาดหุ้นไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่องแผน MRDIYT หุ้นไอพีโอใหญ่สุดรอบ 3 ปี ธุรกิจเติบโตยังไงต่อ https://thestandard.co/mrdiyt-biggest-ipo-in-3-years/ Tue, 04 Nov 2025 08:27:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1139616

สถานการณ์ IPO ในตลาดหุ้นไทย เรียกว่าเกือบหลับแต่กลับมาไ […]

The post ส่องแผน MRDIYT หุ้นไอพีโอใหญ่สุดรอบ 3 ปี ธุรกิจเติบโตยังไงต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานการณ์ IPO ในตลาดหุ้นไทย เรียกว่าเกือบหลับแต่กลับมาได้ แม้ครึ่งแรกของปี 2568 จะมีหุ้นเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพียง 5 บริษัท รวมมูลค่าระดมทุน 1,150 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ครึ่งปีหลังเรียกว่า ร้อนแรงเกินคาด มีหุ้นต่อคิวเข้าเทรดไปแล้วกว่า 8 ตัว โดยบางตัว ปัจจุบันราคาพุ่งถึง 200% จากราคาเสนอขาย

 

ล่าสุดก็ใกล้ถึงคิวของหุ้น MRDIYT จาก MR.D.I.Y พี่ใหญ่ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไป ขวัญใจคนงบน้อย ที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ครั้งแรก 5 พ.ย.นี้ โดยเตรียมเสนอขาย IPO รวมไม่เกิน 655,000,000 หุ้น ที่ราคาจองซื้อ 8.30-8.60 บาทต่อหุ้น มูลค่าระดมทุน 5,600 ล้านบาท นับเป็นหุ้น IPO ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในรอบ 3 ปี

 

ทั้งนี้ นักลงทุนให้การจับตามองอย่างมาก เพราะบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นธุรกิจสัญชาติ มาเลเซีย ที่ทำธุรกิจในไทยมานานกว่า 9 ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559) ทำให้ปัจจุบัน เป็นผู้นำตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 9% มีร้านค้ามากกว่า 1,000 สาขา ทั้งสาขาในห้างและ Standalone ครอบคลุม 77 จังหวัด โดยยึดมั่นพันธกิจ Always Low Price ตอบโจทย์ความต้องการ ที่หลากหลายของลูกค้าด้วยสินค้าราคาถูกคุ้มเสมอ

 

THE STANDARD WEALTH พาส่องแผนธุรกิจ MRDIYT เติบโตอย่างไรต่อ หลัง IPO แล้ว

 

ส่องแผน MRDIYT หุ้นไอพีโอใหญ่สุดรอบ 3 ปี ธุรกิจเติบโตยังไงต่อ 2

 

ภาพประกอบ: ณัฏฐ์กานต์ ดวงมาตย์พล

The post ส่องแผน MRDIYT หุ้นไอพีโอใหญ่สุดรอบ 3 ปี ธุรกิจเติบโตยังไงต่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
หลังดีล ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ มหาอำนาจลดภาษี-ซื้อถั่วเหลือง แต่ปมขัดแย้งใหญ่ยังค้างคา! ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังหนุนให้ทองคำทรงตัวในระดับสูง https://thestandard.co/trump-xi-deal-gold-price/ Tue, 04 Nov 2025 06:40:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1139571 หลังดีล ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ มหาอำนาจลดภาษี-ซื้อถั่วเหลือง แต่ปมขัดแย้งใหญ่ยังค้างคา ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังหนุนให้ทองคำทรงตัวในระดับสูง

การเจรจาระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิ […]

The post หลังดีล ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ มหาอำนาจลดภาษี-ซื้อถั่วเหลือง แต่ปมขัดแย้งใหญ่ยังค้างคา! ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังหนุนให้ทองคำทรงตัวในระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
หลังดีล ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ มหาอำนาจลดภาษี-ซื้อถั่วเหลือง แต่ปมขัดแย้งใหญ่ยังค้างคา ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังหนุนให้ทองคำทรงตัวในระดับสูง

การเจรจาระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นอกรอบการประชุมเอเปค เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นของเกาหลีใต้) กลายเป็นเวทีที่ทั่วโลกจับตา เพราะนี่คือการพบกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ซึ่งอาจเป็น ‘จุดเริ่มต้นใหม่’ ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ โดยการหารือกินเวลาราว 1 ชั่วโมง 40 นาที ก่อนที่ทรัมป์จะออกมาแถลงต่อสื่อ

 

โดยมีข้อตกลงทางการค้ากับจีน ดังนี้

  • ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลดเหลือ 47% และมีผลทันที

 

ทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราใหม่ จากเดิม 57% เหลือ 47% เพื่อแลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และร่วมมือกันในการปราบปรามการค้าเฟนทานิล (fentanyl) ผิดกฎหมาย รวมถึงรักษาการส่งออก “แร่หายาก” (Rare Earths)

 

  • ภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลลดเหลือ 10% และมีผลทันที

 

ภาษีนำเข้าเฟนทานิลจากจีนถูกปรับลดลงจาก 20% เหลือ 10% โดยทรัมป์เชื่อว่า สี จิ้นผิงจะดำเนินการจริงจังในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเฟนทานิล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นและก่อให้เกิดปัญหายาเสพติดอย่างร้ายแรงในสหรัฐฯ

 

  • จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ‘ทันที’

 

จีนจะซื้อถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ จากสหรัฐฯ ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น หลังจากหยุดนำเข้าตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเกษตรกรอเมริกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้ จีนเคยนำเข้าในปริมาณที่มากถึง 22.5 ล้านตันต่อปี แต่ในช่วงต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน ปริมาณนำเข้ากลับเหลือเพียง 12 ล้านตันเท่านั้น ขณะที่สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ภายใต้ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ จีนให้คำมั่นว่าจะซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ปีละ 25 ล้านตัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี

 

  • ยุติการผูกขาดและการระงับการส่งออก ‘แร่หายาก’

 

ทรัมป์ระบุว่า ประเด็นการค้าเกี่ยวกับแร่หายากได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว แม้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่ยืนยันว่า “ไม่มีอุปสรรคจากจีนอีกต่อไป” ซึ่งมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีของโลก

 

  • ระงับการเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือ

 

สำหรับค่าธรรมเนียมท่าเรือซึ่งเรียกเก็บกับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ คือหนึ่งในประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน และเคยเป็นต้นเหตุให้ค่าระวางเรือทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นนั้น ล่าสุดทั้งสองประเทศตกลงที่จะระงับการเก็บค่าธรรมเนียมตอบโต้ระหว่างกันเป็นการชั่วคราว โดยข้อตกลงดังกล่าวจะพักชำระค่าธรรมเนียมท่าเรือเป็นเวลา 12 เดือน คิดเป็นมูลค่าราว 3,200 ล้านดอลลาร์ต่อปี สำหรับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่ผลิตในจีนและเดินทางเข้าเทียบท่าเรือของสหรัฐฯ

 

  • บรรลุข้อตกลงทางการค้า ‘ระยะเวลา 1 ปี’

 

มหาอำนาจทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งคาดว่าจะต่ออายุได้ในอนาคตและจะมีการลงนามอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ โดยทรัมป์ย้ำว่า การเจรจาครั้งนี้เป็น “การพบปะที่ยอดเยี่ยม” และกล่าวชื่นชมสี จิ้นผิงเป็น “ผู้นำที่ยอดเยี่ยม” ในทางกลับกันด้านสี จิ้นผิง ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการประชุมดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ปมที่รอการคลี่คลาย ประเด็นใหญ่ที่ยังไร้คำตอบ

 

แม้การพบปะครั้งนี้จะช่วยลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศลงบางส่วน แต่ตลาดกลับมองว่าสถานการณ์ในขณะนี้ ‘เหมือนพายุที่สงบลงชั่วคราวเท่านั้น แต่เมฆดำยังไม่จางหาย’ เพราะยังมี 3 ประเด็นหลักที่จีนเรียกร้อง แต่ไม่ได้รับคำตอบชัดเจนจากสหรัฐฯ อันได้แก่

  • การยุติข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังจีน
  • การไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน
  • การยกเลิกข้อจำกัดด้านการลงทุนของจีนในสหรัฐฯ

 

ทั้ง 3 ประเด็นนี้ ยังคงเป็น “ปมปัญหาที่ไม่ได้มีการพูดถึง” สะท้อนว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ แม้จะเริ่ม ‘คลายปม’ แต่ยังห่างไกลจากคำว่า ‘คลี่คลายอย่างแท้จริง’

 

ตลาดทองคำยังได้รับปัจจัยหนุน เมื่อความไม่แน่นอนยังคุกรุ่น

 

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่า ตลาดทองคำยังได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้การเจรจาระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และสี จิ้นผิง จะช่วยคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ลงได้บางส่วน แต่การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นเพียง ‘การพักรบทางเศรษฐกิจชั่วคราว’ มากกว่าการยุติสงครามการค้าอย่างแท้จริง

 

ความไม่แน่นอนยังคงเป็นชนวนสำคัญที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ยังคงใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองหลักกับคู่ค้าทั่วโลก ในมุมมองของนักลงทุน ประเด็นที่ยังไม่ถูกคลายความชัดเจนจากการเจรจาระหว่างสองมหาอำนาจยังสะท้อนถึงความเสี่ยงที่คงอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลก

 

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่นักลงทุนทั่วโลกต่างทยอยเพิ่มการลงทุนในกองทุนทองคำ (ETF) หรือแม้แต่การคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้ หลัง เจอโรม พาวเวล ได้ส่งสัญญาณในแถลงการณ์ครั้งล่าสุด รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

 

จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ล้วนแล้วแต่เป็นแรงขับเคลื่อนและมีส่วนสนับสนุนให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ยังคงมีแนวโน้มเป็นบวกและสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ต่อไป

 

กลยุทธ์การลงทุนในทองคำ ฮั่วเซ่งเฮงแนะนำให้ทยอยสะสมที่ 3,800 – 3,850 ดอลลาร์ ราคาทองคำแท่งที่ 59,000 – 59,500 บาท ขณะที่ระยะสั้นแนวต้าน 4,150 – 4,200 ดอลลาร์ ราคาทองคำแท่งที่ 63,500 – 64,000 บาท ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องจับตาท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในช่วงสุดท้ายของปี

The post หลังดีล ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ มหาอำนาจลดภาษี-ซื้อถั่วเหลือง แต่ปมขัดแย้งใหญ่ยังค้างคา! ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ ‘ความไม่แน่นอน’ ทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังหนุนให้ทองคำทรงตัวในระดับสูง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก https://thestandard.co/nvidia-5-trillion-stock-impact/ Mon, 03 Nov 2025 05:20:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1139023 ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก

Nvidia Corp. ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตลาดการ […]

The post ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก

Nvidia Corp. ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตลาดการเงินโลกอีกครั้ง เมื่อกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตลาดทะลุระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 175 ล้านล้านบาท ได้สำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

การทะยานขึ้นของยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิป AI รายนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างสถิติใหม่ แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงอิทธิพลอันมหาศาลที่บริษัทนี้มีต่อเศรษฐกิจโลกและทิศทางของ Wall Street อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

แมตต์ มิสกิน รองหัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนร่วมของ Manulife John Hancock Investments กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “นี่คือสิ่งที่โดดเด่นอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต เป็นสิ่งที่น่าจับตามองแห่งยุคสมัยจริงๆ”

 

Microsoft Corp., Meta Platforms Inc. และ Amazon.com Inc. ต่างให้คำมั่นว่าจะยังคงใช้จ่ายอย่างหนักในด้าน AI บริษัททั้งสี่คาดว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายรวมกัน 34% เป็นประมาณ 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg

 

การใช้จ่ายเหล่านั้นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมรายได้ของ Nvidia จึงคาดว่าจะสูงถึง 2.85 แสนล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณหน้า เพิ่มขึ้นจากเพียง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2020

 

ทั้งนี้ Bloomberg รายงาน​ 5 ปรากฏการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นว่า Nvidia กำลังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโลกอย่างไร

 

1. น้ำหนักในดัชนี S&P 500 สูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

ในฐานะบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก Nvidia มีน้ำหนักในดัชนี S&P 500 สูงถึง 8.5% ซึ่ง มากกว่ามูลค่าของบริษัทที่อยู่ท้ายตาราง 240 แห่งรวมกัน ตัวเลขนี้ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่สำหรับหุ้นตัวเดียวในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ แซงหน้าสถิติเดิมของ Apple (7.7% ในปี 2566) และ Microsoft (7.4% ในปี 2566) ปัจจุบัน หุ้นกลุ่ม Magnificent Seven มีน้ำหนักรวมกันในดัชนีสูงถึง 36%

 

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ แมตต์ มิสกิน ตั้งข้อสังเกตว่า “มันรู้สึกเหมือนว่าดัชนี S&P 500 กำลังใส่ไข่จำนวนมากไว้ในตะกร้าใบเดียว”

 

2. มีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นของ ‘เกือบทุกประเทศ’ ในโลก

 

มูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของ Nvidia ไม่เพียงแต่ทิ้งห่าง Apple ในอันดับสองไปไกลถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ยังมีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นของ เนเธอร์แลนด์, สเปน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี รวมกัน

 

หากเปรียบเทียบเป็นรายประเทศ ปัจจุบัน Nvidia มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นของทุกประเทศในโลก ยกเว้นเพียง 5 ตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น, ฮ่องกง และอินเดีย

 

3. Wall Street เทใจให้ ‘ซื้อ’ เกือบเป็นเอกฉันท์

 

ความเชื่อมั่นต่อ Nvidia ยังคงท่วมท้นในหมู่นักวิเคราะห์ โดย 91% ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และมีนักวิเคราะห์เพียงรายเดียว คือ เจย์ โกลด์เบิร์ก จาก Seaport Global ที่ให้คำแนะนำ “ขาย” สวนทางตลาดมาตั้งแต่เดือนเมษายน หลังจากราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตั้งแต่นั้นมา

 

ล่าสุด นักวิเคราะห์จาก HSBC ได้ให้ราคาเป้าหมายที่สูงที่สุดในตลาดที่ 230 ดอลลาร์ ซึ่งหากไปถึงจุดนั้น จะทำให้ Nvidia มีมูลค่าตลาดสูงถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์

 

4. การเติบโตของรายได้ที่ ‘ผิดปกติ’ สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่

 

โดยปกติ บริษัทที่มีขนาดใหญ่มากมักจะเติบโตได้ช้าลง แต่ Nvidia กลับเป็นข้อยกเว้น โดยคาดว่ารายได้ในปีงบประมาณปัจจุบันจะ ขยายตัวเกือบ 60% แม้จะชะลอตัวลงจากสองปีก่อน แต่ก็ยังทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง Microsoft ที่คาดโต 15% และ Apple ที่คาดโต 6.2% อย่างขาดลอย

 

แรงขับเคลื่อนหลักมาจากการทุ่มงบลงทุน (Capex) ด้าน AI ของกลุ่ม Big Tech โดย Microsoft, Meta, Amazon และ Google คาดว่าจะใช้จ่ายรวมกันถึง 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะไหลเข้าสู่ Nvidia

 

5. สร้างความมั่งคั่งให้ เจนเซน หวง แตะระดับ Top 10 ของโลก

 

การทะยานขึ้นของหุ้นได้ส่งผลให้ความมั่งคั่งสุทธิของ เจนเซน หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีอของบริษัท พุ่งสูงถึง 1.76 แสนล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้เพียงปีเดียว ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งใน 10 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

 

Jensen Huang Effect!

 

ไม่เพียงแค่ 5 ปรากฏการณ์ข้างต้น ความร้อนแรงของ Nvidia ยังได้แผ่ออกไปยังตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างตลาดหุ้นเกาหลีใต้ โดยดัชนี Kospi เปิดตลาดสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนด้วยการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 2.5% ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

 

การทะยานขึ้นครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเดือนที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษ นับแต่ปี 2001 โดยพุ่งขึ้น 20% ด้วยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกระแสความคลั่งไคล้ใน AI และการที่ Nvidia Corp. เข้ามาทำข้อตกลงกับบริษัทเทคโนโลยีในประเทศ
แรงซื้อในวันนี้ (3 พฤศจิกายน) ยังคงกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำของเกาหลีใต้อย่าง Samsung Electronics Co. และ SK Hynix Inc. ซึ่งทั้งคู่เป็นซัพพลายเออร์คนสำคัญของ Nvidia นอกจากนี้ กระแสเชิงบวกดังกล่าวยังได้แผ่ขยายไปยังหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่าง HD Hyundai Electric Co. รวมถึงบริษัทหุ่นยนต์และเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ที่ถูกมองว่าจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนา AI

 

อัน ฮยองจิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Billionfold Asset Management Inc. เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Jensen Huang Effect” โดยอ้างถึงการมาเยือนกรุงโซลของ CEO แห่ง Nvidia เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อประกาศข้อตกลงต่างๆ อัน ฮยองจิน กล่าวเสริมว่า ผลกระทบจากการเข้าพบผู้นำธุรกิจอย่าง เจย์ วาย. ลี ประธานของ Samsung และผู้บริหารรายอื่นๆ “กำลังถูกขยายผลอย่างมากในตลาด”

 

อ้างอิง:

The post ส่อง 5 ปรากฏการณ์ในตลาดหุ้น หลัง Nvidia ทะยานสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทแรกของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดอกเบี้ยขาลง กำลังหนุนหุ้นปันผลทั่วโลก https://thestandard.co/wealth-expert-falling-rates/ Mon, 03 Nov 2025 01:00:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1134190

เทรนด์ดอกเบี้ยโลกยังคงอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง ธน […]

The post ดอกเบี้ยขาลง กำลังหนุนหุ้นปันผลทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

เทรนด์ดอกเบี้ยโลกยังคงอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกมีการปรับลดดอกเบี้ย เช่น ยุโรป อังกฤษ นิวซีแลนด์ อินเดีย จีน รวมถึงไทย และเทรนด์นี้ก็เห็นภาพชัดมากขึ้นหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ​ (Fed) เริ่มกลับมาปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังจากชะลอการปรับลดดอกเบี้ยมาตั้งแต่ปลายปี 2024 โดยรวมแล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ลดลงจาก 5.5% มาสู่ระดับ 4.25%

 

เทรนด์ดอกเบี้ยขาลงที่มีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อการลงทุน

 

ดอกเบี้ยขาลงยังดำเนินต่อไป

 

การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรกของปีนี้ที่ 0.25% โดย เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ​ให้เหตุผลหลักว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีสัญญาณอ่อนตัวลง และเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อบริหารความเสี่ยง ในมุมมองของ UOB Privilege Banking เชื่อว่า วงจรการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

 

ท่ามกลางการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ทำให้ไม่มีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น GDP, การใช้จ่ายผู้บริโภค และเงินเฟ้อ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนและยากลำบากมากขึ้นในการตัดสินใจลดดอกเบี้ยครั้งถัดไปของ Fed ในช่วงปลายเดือน ต.ค. นี้ แต่ ตลาดแรงงานที่อาจจะอ่อนแอเพิ่มขึ้นอีกจากการ Shutdown ส่งผลให้ตลาดคาดว่า Fed จะดำเนินการลดดอกเบี้ยต่อในการประชุมวันที่ 28 – 29 ต.ค. 2025

 

ข้อมูลที่น่าสนใจคือ แม้การจ้างงานจะช้าลง แต่ข้อมูลการสำรวจการเปิดรับสมัครงาน (JOLTS) ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ชี้ว่าอัตราการเลิกจ้างยังคงอยู่ในระดับต่ำมากที่ 1.1% สะท้อนว่าตลาดแรงงานกำลังเข้าสู่ภาวะสมดุลจากการชะลอการจ้างงานใหม่ ไม่ใช่การเร่งปลดคนงาน ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดย GDP ไตรมาส 2 ยังถูกปรับเพิ่มขึ้น

 

ด้วยภาพตลาดแรงงานที่ชะลอตัวแต่เศรษฐกิจไม่ถดถอย เฟดจึงมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับภารกิจด้านการจ้างงานมากขึ้น และรายงานการประชุม FOMC ฉบับเดือนกันยายน บ่งชี้ว่าคณะกรรมการเฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้

 

เทรนด์ดอกเบี้ยในเอเชีย

 

ในขณะที่เฟดเพิ่งกลับมาลดดอกเบี้ย ธนาคารกลางในเอเชียได้เร่งลดอัตราดอกเบี้ยไปก่อนแล้ว ซึ่งตลอด 8 เดือนแรกของปี 2025 ที่ Fed ยังคง ‘คง’ อัตราดอกเบี้ยไว้ ธนาคารกลางในเอเชียหลายแห่งได้ทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น อินเดียและฟิลิปปินส์ลดดอกเบี้ยรวม 1%, อินโดนีเซียที่ปรับลดดอกเบี้ยไปแล้วถึง 1.25% และไทยปรับลดไปแล้ว 0.75% (ข้อมูลการลดดอกเบี้ยปี 2025 ณ วันที่ 20 ต.ค.)

 

คาดว่าการดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินในเอเชียจะเริ่มชะลอลง เนื่องจากผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนหน้านี้ยังคงเป็นแรงหนุนกับเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยรวมแล้วเศรษฐกิจในเอเชียยังคงแข็งแกร่ง แตกต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาเสถียรภาพทางการคลัง โดยภูมิภาคเอเชียได้แสดงให้เห็นถึงวินัยทางการคลังที่แข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อเทียบกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้หลายประเทศในเอเชีย ยังสามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้มากขึ้น จากการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก

 

แม้ว่าอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในเอเชีย แต่การยกเว้นภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์บางรายการ ช่วยลดแรงกดดันลงได้บ้าง

 

สร้าง Income ให้พอร์ตด้วยตราสารหนี้คุณภาพดี และหุ้นปันผล รับมือดอกเบี้ยขาลง

 

ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีทิศทางลดลง ภูมิทัศน์การลงทุนจึงกำลังเปลี่ยนแปลงไป การลงทุนที่สามารถสร้างรายได้ (income) สม่ำเสมอให้กับพอร์ตการลงทุนจะมีความน่าสนใจมากขึ้น

 

เหตุผลสำคัญคือ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้ผลตอบแทนจากเงินฝากออมทรัพย์และพันธบัตรลดลงตามไปด้วย การเข้าลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ Investment Grade จึงน่าสนใจ เพื่อล๊อคอัตราผลตอบแทน และรับ Income สม่ำเสมอในช่วงดอกเบี้ยขาลง และตราสารหนี้ยังเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ด้วย โดยแนะนำลงทุนในตราสารหนี้อายุเฉลี่ย 4-5 ปี

 

นอกจากตราสารหนี้คุณภาพดีแล้ว การลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดี ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินทรัพย์ที่ช่วยสร้าง income เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อในระยะยาวได้ และ หุ้นคุณภาพมีงบกระแสเงินสดที่มั่นคง งบดุลที่แข็งแกร่ง และมีการจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ มีแนวโน้มทำผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ดอกเบี้ยลดลง

 

หุ้นปันผลในเอเชียก็มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เนื่องจากการปฏิรูปบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) ได้ผลักดันให้บริษัทต่างๆ หันมาคืนมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น ทำให้อัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratios) มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและจีน

 

Wealth Expert: ดอกเบี้ยขาลง กำลังหนุนหุ้นปันผลทั่วโลก 2

 

ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงเช่นนี้ UOB Privilege Banking จึงแนะนำนักลงทุนให้สร้าง Income ล็อกผลผลตอบแทนผ่านตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ Investment Grade , หุ้นปันผลคุณภาพดีทั่วโลก และ หุ้นปันผลในเอเชีย ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยมอบส่วนผสมที่ลงตัวทั้งในด้านความมั่นคงของรายได้ ความทนทานต่อสภาวะตลาด และศักยภาพในการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว

 

ทางเลือกในการสร้าง Income ท่ามกลางดอกเบี้ยขาลง

 

  • ตราสารหนี้คุณภาพดี
    • กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS) ลงทุนในกองทุน PIMCO GIS Income Fund (Class I) มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก เน้นแสวงหา income และปกป้องเงินลงทุนในระยะยาวผ่านการคัดเลือกตราสารคุณภาพดี
    • Offshore Bond ลงทุนหุ้นกู้เอกชน คุณภาพดี บริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Marriott International, Mastercard, NVIDIA, United States Treasury เป็นต้น ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจ ล็อกรับดอกเบี้ยสม่ำเสมอ
  • หุ้นปันผลคุณภาพดีทั่วโลก: กรุงศรีโกลบอลดิวิเดนด์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ (KFGDIV-A / KFGDIV-D) ลงทุนในกองทุน Fidelity Funds – Global Dividend Fund, Class Y-QINCOME(G)-USD (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนทั่วโลก โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลนอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นที่ลงทุน
  • หุ้นปันผลในเอเชีย: Fidelity Funds – Asia Pacific Dividend Fund (offshore fund) กองทุนเน้นคัดเลือกหุ้นแบบ bottom-up เพื่อหาหุ้นคุณภาพดี งบดุลแข็งแกร่ง และให้ปันผลสม่ำเสมอ เพื่อแสวงหาหุ้นที่ให้ทั้งปันผลและการเติบโต

 

นักลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking ได้ที่ โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking

 

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

UOB Privilege Banking

The post ดอกเบี้ยขาลง กำลังหนุนหุ้นปันผลทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก่อสร้างปี 69 ท้าทายรอบด้าน ภาครัฐโตแค่ 1% จาก Mega project แต่ภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางต้นทุนสูง-การแข่งขันด้านราคาจากผู้รับเหมาจีนทะลัก https://thestandard.co/market-focus-construction-69/ Mon, 03 Nov 2025 01:00:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1138879 **ก่อสร้างปี 69 ท้าทายรอบด้าน ภาครัฐโตแค่ 1% จาก Mega project แต่ภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางต้นทุนสูง-การแข่งขันด้านราคา จาก ผู้รับเหมาจีน ทะลัก**

ภาพรวมมูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2569 มีแนวโน้มทรงตัว […]

The post ก่อสร้างปี 69 ท้าทายรอบด้าน ภาครัฐโตแค่ 1% จาก Mega project แต่ภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางต้นทุนสูง-การแข่งขันด้านราคาจากผู้รับเหมาจีนทะลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
**ก่อสร้างปี 69 ท้าทายรอบด้าน ภาครัฐโตแค่ 1% จาก Mega project แต่ภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางต้นทุนสูง-การแข่งขันด้านราคา จาก ผู้รับเหมาจีน ทะลัก**

ภาพรวมมูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2569 มีแนวโน้มทรงตัว อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท ในส่วนของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัว +1%YOY แตะระดับ 860,000 ล้านบาท โดยเผชิญแรงกดดันจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2569 ในส่วนของวงเงินงบลงทุนลดลง 5% จากปีงบประมาณ 2568 ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี Mega project ที่กำลังดำเนินการมีความคืบหน้า รวมถึงในปี 2569 จะมีการเริ่มประมูล Mega project ใหม่ๆ

 

สำหรับมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2569 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ 551,000 ล้านบาท (-1%YOY) โดยการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องไปตามภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่หดตัว ขณะที่การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์
เชิงพาณิชย์มีแนวโน้มทรงตัว ทั้งนี้พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่หดตัวสูงในปี 2024 และมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในปี 2568 ส่งผลให้กิจกรรมการก่อสร้างภาคเอกชนชะลอตัวในระยะข้างหน้า

 

ภาคก่อสร้างยังเผชิญความท้าทายในปี 2569 ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูง แม้ราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับก่อนปี 2565 ประกอบกับจำนวนแรงงานพื้นฐานชาวเมียนมามีแนวโน้มลดลง อาจเป็นแรงกดดันให้ค่าแรงปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในภาคก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้ว่าจ้างโครงการก่อสร้างเข้มงวดกับคุณภาพ และมาตรฐานวัสดุก่อสร้าง รวมถึงขั้นตอนการก่อสร้างมากขึ้น

 

อีกทั้ง บทบาทของผู้รับเหมาสัญชาติจีน ที่ส่งผลให้มีการแข่งขันด้านราคาในการเข้าประมูลงาน รวมถึงกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องใน Supply chain โดยใช้วัสดุก่อสร้างจากจีนมากขึ้น สำหรับความท้าทายในระยะปานกลาง ได้แก่ ภาวะ Oversupply ของภาคอสังหาริมทรัพย์, Productivity ของภาคก่อสร้างอยู่ในระดับต่ำ และแรงกดดันในการลดการปล่อย Emission

 

ทั้งนี้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างมีแนวทางการปรับกลยุทธ์ ดังนี้

 

  • เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้: ร่วมมือกับพันธมิตร รวมถึงระมัดระวังการเข้าประมูลแบบแข่งขันด้านราคา
  • ควบคุมต้นทุนก่อสร้าง: เป็นพันธมิตรกับผู้ค้า และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างอย่างหลากหลาย ทำสัญญาสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า รวมถึงวางแผนการใช้แรงงาน
  • ให้ความสำคัญกับการบริหาร Backlog: ปรับสัดส่วนในการเข้าประมูลงานก่อสร้างภาครัฐ และภาคเอกชนอย่างเหมาะสม รวมถึงดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผน
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: ยกระดับความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต่างชาติที่มีความน่าเชื่อถือ
  • ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม Productivity: ลงทุนนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้ เป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาบุคลากร
  • ลดการปล่อย Emission: กำหนดเป้าหมาย และตัวชี้วัด ไปจนถึงรายงานผลการดำเนินการ เป็นพันธมิตรกับผู้ค้า และผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลงทุนนำเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทั้งในพื้นที่ก่อสร้าง และสำนักงาน

 

อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างปี 2569 ในภาพรวมมีแนวโน้มหดตัวเล็กน้อย จากปัจจัยด้านราคาวัสดุก่อสร้าง ทั้งเหล็ก ปูนซีเมนต์ กระเบื้อง และสีทาอาคารในปี 2569 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ตามต้นทุนราคาวัตถุดิบ และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นสินแร่เหล็ก ถ่านหิน น้ำมัน และค่าไฟฟ้า รวมถึงสถานการณ์การแข่งขันด้านราคาที่ค่อนข้างรุนแรง ยังเป็นปัจจัยกดดันให้ราคากระเบื้องมีแนวโน้มปรับตัวลดลง อย่างไรก็ดี ราคาวัสดุก่อสร้างยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับราคาในอดีต (ก่อนปี 2022)

 

ในส่วนของปริมาณการใช้งานวัสดุก่อสร้างในปี 2569 เผชิญแรงกดดันในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่หดตัว ที่ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานวัสดุก่อสร้างที่พึ่งพาการก่อสร้างภาคเอกชนเป็นหลักหดตัว ทั้งการใช้งานกระเบื้องปูพื้น/บุผนัง และสีทาอาคาร ขณะที่ปริมาณการใช้งานเหล็กทรงยาว และเหล็กทรงแบนในปี 2569 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.5 ล้านตัน (+0.5%YOY) และ 10.4 ล้านตัน (+0.2%YOY) ตามลำดับ รวมถึงปริมาณการใช้งานปูนซีเมนต์ในปี 2569 มีแนวโน้มอยู่ที่ 36.1 ล้านตัน ทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2568 โดยยังเผชิญกับความท้าทาย จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กระทบต่อโครงการก่อสร้างภาครัฐ

 

ประเด็นที่ยังต้องจับตาคือ สินค้าต่างประเทศที่จะถูกระบายเข้ามาไทยมากขึ้น จากผลกระทบของสงครามการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเหล็ก ที่เผชิญการทะลักเข้ามาของเหล็กจีน และถูกซ้ำเติมด้วยเหล็กญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งจะมีแนวโน้มถูกระบายเข้ามามากขึ้น เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ เคยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กของสหรัฐฯ มาก่อนที่จะมีการยกเลิกการยกเว้นและปรับเพิ่มอัตราภาษี นอกจากนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เกิดการระบายกระเบื้องจากทั้งจีน เวียดนาม และอินเดียมายังไทยมากขึ้น

 

ปัจจัยกดดันรอบด้านในปี 2569 ส่งผลให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้างต้องปรับกลยุทธ์ โดยผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างควรแสวงหาโอกาสจากการจับขั้วทางเศรษฐกิจ รับมือกับสินค้าจีน ควบคุมมาตรฐานการผลิตสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงลดการปล่อย Emission
จากกระบวนการผลิต สำหรับผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง ต้องติดตามสถานการณ์ และแนวโน้มของอุตสาหกรรม จัดจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้

 

อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่: https://www.scbeic.com/th/detail/product/Construction-and-Building-Materials-301025

The post ก่อสร้างปี 69 ท้าทายรอบด้าน ภาครัฐโตแค่ 1% จาก Mega project แต่ภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางต้นทุนสูง-การแข่งขันด้านราคาจากผู้รับเหมาจีนทะลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอร์ด AOT เคาะแนวทางเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free ‘คิงเพาเวอร์’ นัดถกสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ https://thestandard.co/wealth-in-depth-aot-duty-free-king-power/ Sun, 02 Nov 2025 10:30:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1138831 บอร์ด AOT เคาะแนวทางเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free **‘คิงเพาเวอร์’** นัดถกสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ

ล่าสุดที่ประชุมบอร์ด บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) ได้มีมติ […]

The post บอร์ด AOT เคาะแนวทางเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free ‘คิงเพาเวอร์’ นัดถกสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอร์ด AOT เคาะแนวทางเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free **‘คิงเพาเวอร์’** นัดถกสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ

ล่าสุดที่ประชุมบอร์ด บมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) ได้มีมติอนุมัติแนวทางให้ฝ่ายบริหารไปดำเนินการเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free กับ ‘คิงเพาเวอร์’ ซึ่งเริ่มการเจรจาในช่วงสัปดาห์หน้า โดยยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของ AOT

 

ปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT กับ THE STANDARD WEALTH ระบุว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ของ AOT เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบเลือกแนวทางให้ฝ่ายบริหารของ AOT เพื่อไปเจรจาเกี่ยวกับสัญญาดิวตี้ฟรีจำนวน 3 สัญญา กับ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด

 

โดยการตัดสินใจครั้งนี้ โดยยืนยันว่าการเลือกเส้นทางเจรจาถือเป็นทิศทางที่เป็นบวก และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อ AOT โดยเฉพาะในแง่ของผลประโยชน์ของบริษัท

 

ที่มาของปัญหาและการตัดสินใจของบอร์ด

 

ปวีณาเปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากการที่คิงเพาเวอร์ ได้ทำหนังสือเสนอขอเจรจา แม้ว่าหัวหนังสือจะระบุว่า ‘ขอเจรจายกเลิกสัญญาสัมปทาน’ แต่ AOT ได้พิจารณาเนื้อหาโดยละเอียด และได้ทำการศึกษาว่า 7 ข้อที่ระบุในจดหมายนั้นมีส่วนใดที่ไม่ยุติธรรมหรือเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการอย่างไร

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้คณะกรรมการ AOT ได้แต่งตั้งให้ที่ปรึกษา 2 ราย คือ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อทำการศึกษาผลกระทบ ซึ่งผลการศึกษานำเสนอแยกแยะว่าระหว่างการยกเลิกสัญญา กับการเจรจาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง รูปแบบใดจะเป็นประโยชน์ต่อ AOT มากกว่ากัน

 

ดังนั้นบอร์ด AOT จึงมีมติเลือกแนวทางให้ไปเจรจา ซึ่งเป็นแนวทางที่จะไม่นำไปสู่การยกเลิกสัญญา

 

อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและแนวทางการเจรจายังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เนื่องจากเป็นความลับและอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ AOT
ปวีณาเน้นย้ำว่า หากการเจรจาประสบความสำเร็จ ข้อสรุปที่ออกมาจะอยู่ในรูปแบบของการไม่ยกเลิกสัญญาและอาจมีการแก้ไขสัญญา แต่หากการเจรจาไม่สำเร็จ ก็จะกลับไปสู่การยกเลิกสัญญา

 

เหตุผลหลีกเลี่ยงการขาดรายได้ หวั่นผลกระทบหุ้น AOT

 

โดยการตัดสินใจของบอร์ดที่ให้เจรจาก่อนการยกเลิกนั้นพิจารณาจากผลประโยชน์ของบริษัทเป็นสำคัญ โดยมีเหตุผลหลักที่ต้องหลีกเลี่ยงการยกเลิกทันทีดังนี้

 

  • หากยกเลิกสัญญา AOT จะขาดรายได้ทันที
  • หากไม่มีผู้ค้า Duty Free พื้นที่ในสนามบินจะขาดกิจกรรมร้านค้าในสนามบิน
  • การหาผู้ประกอบการรายใหม่และการเปิดประมูลไม่ได้เกิดขึ้นภายใน 1 เดือน โดยบอร์ด AOT ได้เปรียบเทียบความเสียหายระหว่างเคสที่ยกเลิกสัญญา ทำให้รายได้ช่วงเปลี่ยนผ่านหายไป กับเคสที่ให้สัญญาสัมปทานดำเนินต่อไป เพื่อดูว่ากรณีใดเป็นประโยชน์ต่อ AOT มากกว่า
  • จากการสำรวจความเห็นนักลงทุนเองก็ไม่ต้องการให้ยกเลิกสัญญา เนื่องจากทราบดีว่าราคาหุ้นอาจลดลงและรายได้จะหายไป AOT มองว่าการเลือกแนวทางการเจรจาถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อตลาด

 

บอร์ด AOT เคาะแนวทางเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free **‘คิงเพาเวอร์’** นัดถกสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ 1

ปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT

 

ประมาณการความเสียหายหากต้องยกเลิกสัญญา

 

AOT ตระหนักถึงความเสี่ยงของการยกเลิกสัญญา เนื่องจากการจัดหาผู้ประกอบการรายใหม่ต้องใช้เวลานานมาก

 

ปวีณายกตัวอย่างว่า หากเป็นสัญญาพื้นที่เล็ก ๆ อย่างร้านกาแฟ 1 บล็อก ในสนามบินดอนเมือง จะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนในการประมูล และเมื่อรวมระยะเวลาการตอบรับ วางเงินประกัน ส่งแบบ และก่อสร้าง ประมาณอีก 90 วัน จะรวมเป็นเวลาประมาณ 11-12 เดือน

 

สำหรับสัญญาสัมปทานขนาดใหญ่ของคิงเพาเวอร์ ฝ่ายบริหารประเมินว่าอาจใช้เวลาถึง 18 เดือนกว่าจะจัดหาผู้ประกอบการใหม่ได้ แต่จากการประเมินแบบเร่งรัดสุดขีดของที่ปรึกษา คาดว่าช่วงเวลาที่ AOT จะเสียรายได้ไปคือประมาณ 14 เดือน

 

โดยจะส่งผลรายได้ที่หายไปนี้จากสัญญาสัมปทาน Duty Free ของคิงเพาเวอร์
มีสัดส่วนประมาณ 7% ของรายได้รวมของ AOT ถือเป็นระยะเวลาเกือบปีครึ่ง และหากระยะเวลาการขาดรายได้ไปตรงกับช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันที่ AOT มีรายได้ส่วนใหญ่ ก็จะยิ่งส่งผลกระทบอย่างหนัก

 

แนวทางการเจรจาที่ยึดผลประโยชน์ AOT เป็นที่ตั้ง

 

AOT ได้เตรียมการสำหรับเงื่อนไขการเจรจาใหม่ภายในเรียบร้อยแล้ว การเจรจาจะเริ่มต้นในสัปดาห์หน้า โดยแนวทางในการเจรจามาจากข้อเสนอของที่ปรึกษาทั้ง 2 รายที่ AOT เลือกข้อเสนอที่ให้ประโยชน์และมีรายได้สูงสุดแก่ AOT แม้ว่าเงื่อนไขที่เตรียมไปนี้จะไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เนื่องจากยังเป็นข้อมูลความลับรายละเอียดที่ต้องนำไปเจรจากับคิงเพาเวอร์

 

ทั้งนี้ AOT จะตั้งคณะกรรมการเจรจาเพื่อประสานงานกับคิงเพาเวอร์ เพื่อกำหนดวันเจรจาในช่วงสัปดาห์หน้า โดยทีมที่เข้าร่วมเจรจาจะเป็นทีมระดับบริหารของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ระดับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO โดยในระหว่างที่รอการเจรจาคิงเพาเวอร์ ยังคงจ่ายค่าตอบแทนตามปกติ

 

ปวีณาย้ำว่าการเจรจาครั้งนี้เป็นการเจรจาแบบมืออาชีพ และดำเนินการด้วยเหตุผล โดยยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของ AOT

The post บอร์ด AOT เคาะแนวทางเจรจาสัญญาสัมปทาน Duty Free ‘คิงเพาเวอร์’ นัดถกสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันยึดมั่นในผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>