Market – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 21 Aug 2025 07:38:01 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่น อายุ 20 ปี พุ่งสูงสุดรอบ 26 ปี จากความเสี่ยงฐานะการคลัง https://thestandard.co/japan-20-year-bond-yield-high/ Thu, 21 Aug 2025 07:38:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1109673 บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่น อายุ 20 ปี พุ่งสูงสุดในรอบ 26 ปี

อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) รัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) […]

The post บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่น อายุ 20 ปี พุ่งสูงสุดรอบ 26 ปี จากความเสี่ยงฐานะการคลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่น อายุ 20 ปี พุ่งสูงสุดในรอบ 26 ปี

อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) รัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) อายุ 20 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ในรอบหลายทศวรรษในวันนี้ (21 สิงหาคม) โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางการคลังของรัฐบาล และอุปสงค์ที่ลดน้อยลงจากกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่

 

โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพิเศษ (Super-long Yield) รุ่นอายุ 20 ปี ได้พุ่งขึ้นแตะระดับ 2.655% ในช่วงสั้นๆ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1999 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงสำคัญของตลาด ก็ไต่ขึ้นสู่ระดับ 1.61% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2008 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ก็ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 3.18% เข้าใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 3.2% ที่เคยทำไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

 

การปรับตัวขึ้นของยีลด์ครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่นักลงทุนกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังที่อาจเกิดขึ้น หลังจากที่พรรคร่วมรัฐบาลพ่ายแพ้การเลือกตั้งสภาสูงเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจนำไปสู่การออกพันธบัตรในปริมาณที่เพิ่มขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อพันธบัตรระยะยาวที่ตึงตัวอยู่แล้ว นอกจากนี้ ความกังวลด้านเงินเฟ้อ ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันพันธบัตรระยะยาวพิเศษ และเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต

 

ในขณะเดียวกัน อุปสงค์จากนักลงทุนก็อ่อนแอลงอย่างชัดเจน ข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ญี่ปุ่นระบุว่า ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือมากกว่า 10 ปี ลดลงเหลือเพียง 4.8 แสนล้านเยน หรือราว 1.1 แสนล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งคิดเป็นเพียง 1 ใน 3 ของยอดซื้อในเดือนมิถุนายน 

 

การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการลงทุนของภาคธุรกิจ เนื่องจากยีลด์ดังกล่าวถูกใช้เป็นมาตรวัดต้นทุนการกู้ยืมระยะยาว และมีอิทธิพลต่อทุกอย่างตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยไปจนถึงการตัดสินใจทางการเงินของบริษัทต่างๆ

 

บอนด์ยีลด์จีนพุ่งสูงสุดรอบปี แต่จากสาเหตุเชิงบวก

 

ขณะที่บอนด์ยีลด์พันธบัตรรัฐบาลจีน อายุ 30 ปี ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดของปีนี้ แต่เป็นผลจากมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ปรับตัวดีขึ้น ตรงข้ามกับสาเหตุการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์ญี่ปุ่น 

 

การเพิ่มขึ้นของบอนด์ยีลด์จีนเป็นผลมาจากความคาดหวังเชิงบวกต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และความพยายามของรัฐบาลปักกิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตร เพื่อโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

 

ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของจีน ปรับตัวสูงขึ้น 0.01% แตะระดับ 2.12% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในขณะที่ดัชนี CSI 300 ของตลาดหุ้นจีน ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วเช่นกัน 

 

แคลร์ เกา นักกลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยของ Nomura Holdings Inc. กล่าวว่า “การเทขายพันธบัตรระยะยาวรอบล่าสุดนี้มีสาเหตุหลักมาจากการทะยานขึ้นของตลาดหุ้น ผ่านการโยกย้ายเงินทุนระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร”

 

อย่างไรก็ตาม แม้อัตราผลตอบแทนจะยังคงขยับสูงขึ้น แต่ความคาดหวังว่าจะเกิดการเทขายอย่างรุนแรง (Sharp Selloff) ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ให้การสนับสนุนตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง ผ่านการอัดฉีดสภาพคล่องเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันความผันผวนรุนแรง ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนในตลาดก็เริ่มมองว่าการเทขายครั้งนี้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้พันธบัตรมีความน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง

 

ภาพ: Torsten Asmus / Getty Images 

อ้างอิง:

The post บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่น อายุ 20 ปี พุ่งสูงสุดรอบ 26 ปี จากความเสี่ยงฐานะการคลัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงแรมไทย ปี 2025 สู้ศึกหนัก! ต่างชาติหาย คนไทยช่วยดัน ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด https://thestandard.co/thai-hotel-industry-2025/ Thu, 21 Aug 2025 06:00:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1109623 โรงแรม

ธุรกิจโรงแรมในปี 2025 ได้เผชิญกับหลายเหตุการณ์ที่สร้างแ […]

The post โรงแรมไทย ปี 2025 สู้ศึกหนัก! ต่างชาติหาย คนไทยช่วยดัน ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด appeared first on THE STANDARD.

]]>
โรงแรม

ธุรกิจโรงแรมในปี 2025 ได้เผชิญกับหลายเหตุการณ์ที่สร้างแรงกดดันและส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงแต่ยังได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

 

ในช่วง 7 เดือนแรกของปี ธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากประเด็นด้านความปลอดภัย ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง -6.35%YoY มาอยู่ที่ 19.3 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนลดลงสูงสุดกว่า -35%YoY มาอยู่ที่ 2.69 ล้านคนแต่ยังเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุดตามด้วยนักท่องเที่ยวมาเลเซีย, อินเดีย, รัสเซีย และเกาหลีใต้ 

 

ส่งผลให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนให้กลับคืนมาควบคู่ไปกับการเจาะตลาดศักยภาพที่เติบโตสูงอย่างยุโรปและตะวันออกกลางที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยฟื้นตัว 

 

อย่างไรก็ดี ในภาพรวมคาดว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงราว -7%YoY มาอยู่ที่ 32.9 ล้านคน และยังมีความเสี่ยงหากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชายืดเยื้อ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยยังเติบโตต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของปีจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนไทยที่เพิ่มขึ้น 2.3%YoY มาอยู่ที่ 139.4 ล้านคนและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐอย่าง “โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เยี่ยมเยือนไทยในปีนี้เติบโตที่ 2.5%YoY มาอยู่ที่ 277.1 ล้านคน 

 

ด้วยอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวไทยที่เติบโตจึงส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั่วประเทศของธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2024 ที่ 72% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลงราว -5%YoY มาอยู่ที่ราว 1,790 บาทต่อห้อง จากการใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวไทยให้เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นทดแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หดตัว

 

อย่างไรก็ดี ธุรกิจโรงแรมยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งในด้านราคา ด้านบริการ และการนำเสนอประสบการณ์ รวมถึงการแข่งขันในระดับภูมิภาค 

 

ท่ามกลางภาวะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยลดลง ทำให้โรงแรมที่ปรับใช้กลยุทธ์กระจายความเสี่ยงขยายฐานนักท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายไม่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่สถานการณ์ดังกล่าวได้ผลักดันให้หลายโรงแรมต้องใช้กลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว จึงส่งผลให้การแข่งขันของธุรกิจโรงแรมในปีนี้เข้มข้นยิ่งขึ้นทั้งจาก 

 

  1. การแข่งขันด้านราคา เมื่อนักท่องเที่ยวสามารถเปรียบเทียบราคาที่พักบนแพลตฟอร์ม OTA ได้อย่างสะดวก จึงทำให้ธุรกิจโรงแรมต้องปรับกลยุทธ์ด้านราคาอย่างทันท่วงทีเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการเพิ่มความคุ้มค่าผ่านโปรโมชันพิเศษ เช่น เครดิตร้านอาหาร หรือการอัปเกรดห้องพัก 

 

  1. การแข่งขันด้านบริการและการนำเสนอประสบการณ์เพื่อดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่และบริการที่ใส่ใจรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ยกระดับการบริการ, การจัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์ และการพัฒนาคอนเซปต์โรงแรมในรูปแบบเฉพาะอย่าง Wellness resort หรือ Eco-hotel 

 

  1. การแข่งขันในระดับภูมิภาค โดยที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาคที่เร่งพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน เชนโรงแรมระดับโลกยังขยายการลงทุนในเมืองท่องเที่ยวของอาเซียนอย่างต่อเนื่องทำให้นักท่องเที่ยวมีทางเลือกในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น

 

นอกจากนี้ กระแสด้านความยั่งยืนเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการดำเนินธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน 

 

จากเทรนด์นักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้ง ธุรกิจโรงแรมชั้นนำของโลกต่างออกมาตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ซึ่งโรงแรมหลายแห่งได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า เช่น ระบบอัจฉริยะ รวมถึงการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้ง หน่วยงานภาครัฐของไทยอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมก็ให้ความสำคัญกับกระแสความยั่งยืนในธุรกิจโรงแรมและผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมไทยก้าวสู่ความยั่งยืนตามมาตรฐานสากลด้วยเช่นกัน

The post โรงแรมไทย ปี 2025 สู้ศึกหนัก! ต่างชาติหาย คนไทยช่วยดัน ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pop Mart เผยกำไร 6 เดือนแรกโต 400% แตะ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง https://thestandard.co/popmart-profit-stock-surge/ Wed, 20 Aug 2025 04:42:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1109203 Pop Mart รายงานกำไรพุ่ง 400% หุ้นขึ้น 15 เท่าใน 18 เดือน

Pop Mart International Group ผู้ผลิตอาร์ตทอย (Art Toy) […]

The post Pop Mart เผยกำไร 6 เดือนแรกโต 400% แตะ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Pop Mart รายงานกำไรพุ่ง 400% หุ้นขึ้น 15 เท่าใน 18 เดือน

Pop Mart International Group ผู้ผลิตอาร์ตทอย (Art Toy) เจ้าของคาแร็กเตอร์ ‘Labubu’ ที่สร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ไปทั่วโลก ได้รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2025 เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 396.5% แตะระดับ 4.57 พันล้านหยวน หรือราว 2.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2025 Pop Mart มีรายได้รวม 1.388 หมื่นล้านหยวน หรือราว 7 หมื่นล้านบาท เติบโต 204.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทะยานขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว ส่วนสำคัญมาจากความสำเร็จของคาแรกเตอร์ Labubu ตุ๊กตาฟันแหลม หูใหญ่ ซึ่งกลายเป็นของสะสมยอดฮิตของคนดังระดับโลกอย่าง Rihanna และลิซ่า BLACKPINK จนจุดกระแสความต้องการไปทั่วโลก

 

ความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนชัดในตัวเลขการเติบโตในต่างประเทศ โดยภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมจีน) กลายเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด มีรายได้เติบโต 257.8% ขณะที่ทวีปอเมริกาเติบโตอย่างร้อนแรงกว่า 1,000%

 

ราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลา 1 ปีครึ่ง

 

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ราคาหุ้น Pop Mart ยังอยู่ที่ราว 20 หยวน ก่อนจะพุ่งขึ้นต่อเนื่องราว 15 เท่าตัว มาทำสถิติสูงสุดใหม่ที่กว่า 300 หยวนเป็นครั้งแรก ในวันนี้ (20 สิงหาคม) 

 

อย่างไรก็ตาม เจฟฟ์ จาง นักวิเคราะห์หุ้นจาก Morningstar ได้ให้ความเห็นว่า “ในมุมมองของเรา หุ้นน่าจะยังคงมีราคาสูงเกินไป เนื่องจากนักลงทุนกำลังมองข้ามความเสี่ยงทางธุรกิจที่สูงในระยะยาว” 

 

จางกล่าวต่อว่า “เราคิดว่าความยั่งยืนของความนิยมสำหรับ IP (ทรัพย์สินทางปัญญา) หลักของ Pop Mart ยังคงไม่แน่นอน ไม่มีอะไรรับประกันว่าผู้บริโภคจะยังคงชื่นชอบพวกเขาต่อไปในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เพราะความชอบของพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก”

 

นอกจากความเสี่ยงเรื่องความนิยมที่อาจเป็นเพียงกระแสชั่วคราวแล้ว Pop Mart ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk) ภายในประเทศจีน หลังจากที่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สื่อของรัฐบาลจีนได้ออกมาเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลธุรกิจกล่องสุ่ม (Blind Box) ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจหลักของบริษัท ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการจำหน่ายให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี

 

Pop Mart ยืนยันในแถลงการณ์ว่า ทรัพย์สินทางปัญญาคือหัวใจหลักของธุรกิจ และจะยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปทั่วโลกต่อไป 

 

อ้างอิง:

The post Pop Mart เผยกำไร 6 เดือนแรกโต 400% แตะ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาหุ้นพุ่ง 15 เท่า ในเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
AOT ตั้งคณะกรรมการทำ TOR เตรียมพร้อมเปิดประมูลพื้นที่ Duty Free หาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’ https://thestandard.co/aot-prepares-new-duty-free-auction/ Tue, 19 Aug 2025 11:03:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1108998 AOT

บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เดินหน้าแก้ปัญหากรณีที่บริ […]

The post AOT ตั้งคณะกรรมการทำ TOR เตรียมพร้อมเปิดประมูลพื้นที่ Duty Free หาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
AOT

บมจ. ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เดินหน้าแก้ปัญหากรณีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด หรือกลุ่มคิง เพาเวอร์ ยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญา Duty Free กับ AOT โดย AOT ล่าสุดได้แต่งตั้งที่ปรึกษาอิสระจาก 2 มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกันยายน และพร้อมที่จะเจรจาเพื่อให้จบดีลภายในปีนี้

 

ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า AOT ได้ว่าจ้างแต่งตั้ง มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นที่ปรึกษาเพื่อศึกษาประเด็นการขอยกเลิกสัญญาของคิง เพาเวอร์ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและการเงินกำลังพิจารณาสัญญาอย่างละเอียดว่าสามารถปรับเปลี่ยน แก้ไข หรือต้องยกเลิกสัญญาจริงๆ ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยหลักการจะคำนึงถึงผลกระทบและผลประโยชน์สูงสุดที่ AOT จะได้รับเป็นเงื่อนไขหลัก

 

“คาดว่าการศึกษาการแก้สัญญาจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ จากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมการ AOT เพื่อพิจารณาแนวทางเจรจาภายในปลายเดือนกันยายน หรือต้นเดือนตุลาคม และเรามองว่าการเจรจากับคิง เพาเวอร์ จะต้องจบภายในเดือนตุลาคมนี้” ปวีณากล่าว

 

พร้อมเปิดประมูลหาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’

 

อย่างไรก็ดี หากผลการศึกษาพบว่าควรยกเลิกสัญญา ทาง AOT ก็พร้อมที่จะเดินหน้าตามกระบวนการ โดยไม่ได้คิดว่าต้องทำอย่างไรให้ คิง เพาเวอร์อยู่ได้ แต่จะยึดหลักผลประโยชน์สูงสุดของ AOT เป็นที่ตั้ง และในกรณีที่ต้องมีการยกเลิกสัญญา ขณะนี้ AOT แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำเงื่อนไขประกวดราคา (TOR) เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประมูลใหม่พื้นที่ Duty Free รองรับไว้แล้วเพื่อบริหารความเสี่ยงทุกด้าน หากมีเหตุจำเป็นต้องยกเลิกสัญญาสัมปทานกับคิง เพาเวอร์ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามารับสัญญาสัมปทาน Duty Free คู่ขนานไปกับการเจรจากับ คิง เพาเวอร์ 

 

AOT

ภาพ: ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT

 

“ตอนนี้ข้อเสนอที่ AOT กำลังดูอยู่ของทีมที่ปรึกษาที่ศึกษาสัญญา Duty Free กับ King Power อาจจบที่การยกเลิกสัญญาสัมปทาน หรืออาจจบแบบมีข้อเสนอที่ดีสำหรับ AOT แล้วเรานำไปเจรจาต่อกับคิง เพาเวอร์ แต่หาก คิง เพาเวอร์ ไม่ยอมรับข้อเสนอของ AOT เราก็อาจกลับไปสู่กระบวนการยกเลิกสัญญาสัมปทาน เราไม่ได้คิดว่าจะทำยังไงให้ คิง เพาเวอร์อยู่ได้ ซึ่งการศึกษานี้เป็นฝั่งของ AOT ในบริบทที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน”

 

ขณะที่ AOT มีระเบียบชัดเจนว่าหากไม่มีข้อพิพาททางคดีความ บริษัทนั้น ๆ ยังสามารถกลับมาเข้าประมูลใหม่ได้ ซึ่งปัจจุบัน คิง เพาเวอร์ ยังไม่ได้มีข้อพิพาทคดีความเกิดขึ้นกับ AOT

 

ทั้งนี้แม้รายได้จากคิง เพาเวอร์ จะคิดเป็นสัดส่วนถึง 17% ของรายได้ทั้งหมดของ AOT แต่ยืนยันว่า AOT ยังคงบริหารจัดการตามสัญญาปกติ และไม่มีการลดหย่อนให้เป็นพิเศษ ซึ่งในปัจจุบันคิง เพาเวอร์ มีทั้งส่วนที่ชำระและส่วนที่ค้างชำระ โดย AOT พยายามบริหารจัดการให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล และเติบโตอย่างยั่งยืน

 

AOT คาดปีนี้จะมีผู้โดยสารเพิ่มเป็น 127 ล้านคน

 

ปวีณา ยังอธิบายต่อว่า แม้ภาพรวมในปีนี้จำนวนผู้โดยสารจีนจะลดลงกว่า 40% แต่จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานของ AOT ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมียอดผู้โดยสารในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 9% เนื่องจากผู้โดยสารจากชาติอื่น ๆ เข้ามาทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มองหาตลาดใหม่ ๆ

 

“เปรียบเทียบคือ AOT จะไม่รอแฟนเก่าอย่างผู้โดยสารจีนที่มีแนวโน้มลดลงกลับมา แต่จะมองหาแฟนใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นชาวต่างชาติประเทศอื่น ๆ ที่สามารถมาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงได้” ปวีณากล่าว

 

โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งปีนี้งวดบัญชีงบการเงินบริษัทฯ (เดือนตุลาคม 2567-กันยายน 2568) จะอยู่ที่ประมาณ 127 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 119 ล้านคนในปีที่แล้ว หลังจากผ่านมาในช่วง 10 เดือนแรกของงวดบัญชีงบการเงินบริษัทฯ (เดือนตุลาคม 2567-กรกฎาคม 2568) ล่าสุด AOT มียอดผู้โดยสารรวมอยู่ที่ 107 ล้านคน

 

ปวีณายอมรับว่าผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (เดือนสิงหาคม 2567- มิถุนายน 2568) กำไรของ AOT ลดลงเล็กน้อยประมาณ 50 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าบริษัทฯ ยังคงบริหารจัดการได้ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ผู้โดยสารจีนลดลงอย่างมาก รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงท่าอากาศยานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์และโครงสร้างต่างๆ มีอายุการใช้งานนานแล้ว

 

“KPI ของผู้บริหารคือ การทำกำไร เพราะฉะนั้นเราต้องหาเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย ซึ่งการบริหารงานจะเน้นความมั่นคง ไม่ใช่ความหวือหวา และในอนาคตจะมีการสร้างรายได้ใหม่ๆ เข้ามาเสริมอย่างแน่นอน”

 

นอกจากนี้ AOT ได้ปรับการคาดการณ์ (Forecast) จำนวนผู้โดยสารให้บ่อยขึ้น จากเดิมทุก 1 ปีครึ่งเป็นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

AOT จับมือ ป. ป. ช. ส่งเสริมค่านิยมต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ

 

นอกจากนี้ AOT ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป. ป. ช.) ในการขับเคลื่อนโครงการยกระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index – CPI) ด้านการประชาสัมพันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านการป้องกันและต่อต้านการทุจริต ผ่านการเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ต่อต้านการรับสินบนและการทุจริตทั้งในรูปแบบของอินโฟกราฟิก และคลิปวิดีโอบนจอแสดงผลภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในความดูแลของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ 

 

ซึ่งการดำเนินการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมความโปร่งใสและยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ ผ่านท่าอากาศยานในฐานะ ‘ประตูสู่ประเทศไทย’ เป็นช่องทางสำคัญในการสื่อสารไปยังประชาชน นักท่องเที่ยว และนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ภาพ: TY Lim / Shutterstock

The post AOT ตั้งคณะกรรมการทำ TOR เตรียมพร้อมเปิดประมูลพื้นที่ Duty Free หาผู้ประกอบการรายใหม่ หากต้องยกเลิกสัญญาสัมปทาน ‘คิง เพาเวอร์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ https://thestandard.co/touristdigipay-crypto-to-baht/ Tue, 19 Aug 2025 01:19:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1108664

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDig […]

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ถือเป็นฟีเจอร์ที่มีที่เดียวในโลกเปิดทางนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้คริปโตฯ แลกบาท จ่ายซื้อสินค้า หนุนภาคท่องเที่ยว

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’ เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้า และบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้ปลอดภัย

 

โดยกระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 

สำหรับโครงการนี้ว่า เป็นการนำระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันมาเชื่อมโยงกัน โดยให้ Exchange ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยเป็นผู้แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี เป็นเงินบาท แล้วโอนเข้าบัญชี E-Money ของนักท่องเที่ยวที่เปิดใหม่ โดยจะมีการทำ KYC (Know Your Customer) อย่างเข้มงวด เพื่อตรวจสอบตัวตนและยืนยันว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจริง

 

“เรากำลังสร้างฟีเจอร์ที่จะเป็นรูปแบบเดียวของโลกที่มีไม่เหมือนใคร คือเราไม่ได้ใช้คริปโทฯ เป็นเงินโดยตรง แต่แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อน ซึ่งต่างจากบางประเทศที่ใช้คริปโทฯ เป็นสกุลเงินหลัก นอกจากนี้เรายังไม่ได้ผูกคริปโทฯ เข้ากับบัตรเครดิต เพราะร้านค้าในไทยจำนวนมากไม่ได้รองรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต” พิชัยกล่าว

 

ภาพ: บรรยากาศงานแถลงข่าว การเปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’

 

ยืนยัน ‘TouristDigiPay ไม่ใช่ ‘Means of Payment’

 

พิชัย ได้ย้ำต่อว่าโครงการ ‘TouristDigiPay’ นี้ ไม่ใช่การใช้คริปโทเคอร์เรนซีเป็น Means of Payment หรือสื่อกลางในการชำระเงินโดยตรง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นเงินบาทไทยก่อนการใช้จ่ายจริง

 

โดยการออกแบบนี้มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการและร้านค้ารายย่อยในประเทศอาจเผชิญ หากต้องรับคริปโทฯ โดยตรง ซึ่งมีความผันผวนสูงและจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่ซับซ้อน

 

นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ยังไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงินเข้าถึงร้านค้ารายย่อย

 

พิชัยกล่าวต่อว่า การแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อนใช้จ่าย จะช่วยให้ร้านค้ารายย่อยทั่วไปสามารถรับการชำระเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบใด ๆ เนื่องจากเมื่อนักท่องเที่ยวชำระเงินเข้ามา ร้านค้าก็จะได้รับเป็นเงินบาทปกติ และไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล

 

หวังดันนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเพิ่มอีก 1.75 แสนล้านบาท

 

จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยปีละประมาณ 35 ล้านคน และมีการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 50,000 บาทต่อทริป หากโครงการนี้สามารถจูงใจให้นักท่องเที่ยวเพิ่มการใช้จ่ายได้ 10% จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.75 แสนล้านบาท

 

“เราไม่ได้คาดหวังให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโทฯ 100% แต่หวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมคนละ 50,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 55,000 บาท เนื่องจากความสะดวกในการใช้จ่าย” พิชัยกล่าว

 

มาตรการป้องกันการฟอกเงินและการใช้งาน

 

โครงการ TouristDigiPay ยังอยู่ในระยะของโครงการนำร่อง ‘Sandbox’ โดยมีการกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ที่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน และวงเงินสูงสุดในการใช้จ่ายต่อรายการไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการฟอกเงิน โดยระบบทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และธปท.

 

เฟสต่อไปจ่อเพิ่มวงเงินเปิดทางใช้ซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูงได้

 

ด้านลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากเดิมที่จำกัดพื้นที่ มาเป็นการจำกัดวงเงินแทน โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายเงินดิจิทัลได้ทั่วประเทศ แต่มีเพดานวงเงินแบบ

 

ลวรณ กล่าวต่อว่า ในอนาคตหากการใช้เงินดิจิทัลเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการซื้อขายสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือเรือยอชต์ผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งหลายประเทศก็เริ่มมีการดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว

 

ก.ล.ต. คาด TouristDigiPay เริ่มเปิดใช้ในไตรมาส 4 นี้

 

ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า คาดว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 4/2568 โดยคาดว่าจะมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม 1-2 รายแรกที่สามารถเริ่มให้บริการได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสนใจแล้วกว่า 35 ราย

 

โปรเจกต์ Sandbox นี้มีระยะเวลา 18 เดือน หากการทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ก็เชื่อมั่นว่านวัตกรรมนี้จะสามารถขยายผลในวงกว้างได้ในอนาคต

 

สำหรับโครงสร้างของ TouristDigiPay ใช้ Ecosystem เดิม ที่มีอยู่แล้ว โดยฝั่งหนึ่งคือระบบของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เช่น ศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือระบบการชำระเงินของภาคธุรกิจทั่วไป ซึ่งรวมถึง Tourist Wallet ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ผู้ให้บริการในโครงการนี้จึงเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจากทั้ง ก.ล.ต. และ ธปท. รวมถึงอยู่ภายใต้การดูแลเรื่องกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ดังนี้

 

  • ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้ารายย่อย
  • ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ know your merchant (kym)

 

นอกจากนี้ โครงการนี้ไม่มีการจำกัดพื้นที่ สามารถเข้าถึงได้ทุกร้านค้าในประเทศไทย และคาดหวังว่าจะเริ่มใช้ได้ทันช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 นี้

 

 

ดร. พรอนงค์ ย้ำว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ การใช้คริปโตฯ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการโดยตรง (Means of payment) แต่เป็นการ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ จากคริปโตฯ เป็นเงินบาท แล้วนำเงินบาทที่ได้ไปใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินปกติ เช่น QR Code การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะส่งผลกระทบต่อร้านค้า

 

สำหรับสกุลเงินคริปโตฯ ที่สามารถใช้ได้นั้น ไม่มีการจำกัด โดยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละรายว่าจะลิสต์เหรียญใดไว้บ้าง และเมื่อนักท่องเที่ยวแลกเงินบาทไปแล้ว แต่ใช้ไม่หมด ก็สามารถนำเงินบาทที่เหลือมาแลกกลับเป็นคริปโตฯ สกุลเดิม หรือสกุลอื่นเพื่อโอนกลับไปยัง Wallet ของตนเองได้เช่นกัน

 

 

ปปง. ยืนยันมีความพร้อมในการตรวจสอบการฟอกเงิน

 

เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ถึงมาตรการความพร้อมในการรับมือกับโครงการ TouristDigiPay โดยยืนยันว่า ปปง.มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบและสกัดกั้นการฟอกเงินตั้งแต่ต้นทาง

 

โดย ปปง.ทำงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกระบวนการที่เงินจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล ซึ่งมีมาตรการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง ทั้งในส่วนของ การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) และ การตรวจสอบสถานะลูกค้า (CDD) “เรามั่นใจในกระบวนการทำงานของเรา เพราะเราเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง โดยมีการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น” เลขาธิการ ปปง.กล่าว

 

เมื่อถูกถามถึงกรณีที่อาจมีเงินผิดกฎหมายหลุดรอดไปถึงปลายทาง เลขาธิการ ปปง.กล่าวว่า “หากมีการเปลี่ยนเงินดิจิทัลกลับมาเป็นเงินสด เราก็จะมีการตรวจสอบอีกครั้ง”

 

นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า ปปง. มีความพร้อมอย่างเต็มที่แม้จะมีการขยายเวลาโครงการหรือเพิ่มวงเงินในอนาคต

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะปม ‘เงินบาท’ แข็งค่าต่อ สวนทาง กนง. ลดดอกเบี้ย เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย https://thestandard.co/thai-baht-strengthens-despite-rate-cut/ Tue, 19 Aug 2025 01:11:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1108661

ท่ามกลางการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมต […]

The post เจาะปม ‘เงินบาท’ แข็งค่าต่อ สวนทาง กนง. ลดดอกเบี้ย เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ท่ามกลางการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา แต่กลับไม่เป็นไปตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่คาดไว้ เนื่องจากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างความสับสนและเป็นที่น่าจับตาในวงการเศรษฐกิจ บทวิเคราะห์นี้จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่แท้จริงของปรากฏการณ์นี้

 

วชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า การลดดอกเบี้ยของ กนง. ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของตลาดแต่อย่างใด เนื่องจากนักลงทุนได้ Price In ไว้ล่วงหน้าแล้วว่ามีโอกาสสูงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ย เพื่อรับมือกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีนัก การตัดสินใจดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางของค่าเงินบาทมากนัก

 

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่มีการลดดอกเบี้ยเช่นกันแล้ว ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทในทิศทางเดียวกับภูมิภาค

 

อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาทคือ ทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตัวเลขตลาดแรงงานและเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนปรับมุมมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับลดลงตามไปด้วย สถานการณ์นี้ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงเงินบาทด้วย

 

แนวโน้มค่าเงินบาทครึ่งปีหลัง และปัจจัยที่ต้องจับตา

 

สำหรับแนวโน้มในระยะต่อไป นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโสมองว่า เงินบาทจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านแข็งค่า แต่ในอัตราที่น้อยลงกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยมองกรอบค่าเงินบาทที่ 31.50 – 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งมีปัจจัยหลักที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ดังนี้

 

1. ตัวเลข GDP ของไทย หากตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (ต่ำกว่า 2.5%) อาจเป็นแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงจนหลุดระดับ 32.50 บาทได้

 

2. เงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital Flow) ต้องติดตามว่าเม็ดเงินลงทุนจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทยหรือไม่ เพราะแม้ว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย แต่ยังไม่พบเงินทุนไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญ

 

3. ความตึงเครียดทางการค้า นโยบายภาษีนำเข้า (Tariff) ของสหรัฐฯ ที่อาจจะเพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ์การส่งออก (Transshipment) ที่ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทย

 

4. ราคาทองคำตามสถิติในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ราคาทองคำมักจะปรับลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

 

คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน

 

ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ผู้ประกอบการที่มีรายได้เป็นดอลลาร์ควรพิจารณาเก็บเงินไว้ในบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) ที่ให้ดอกเบี้ยสูง เพื่อเป็นหนึ่งในแนวทางบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่นักลงทุนควร diversify portfolio โดยการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

 

ปรากฏการณ์เงินบาทแข็งค่าสวนทางกับดอกเบี้ยที่ลดลงนี้ แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างแยกไม่ออก การติดตามปัจจัยภายนอกจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ปัจจัยภายใน เพื่อทำความเข้าใจทิศทางของเศรษฐกิจและวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสมในอนาคต

The post เจาะปม ‘เงินบาท’ แข็งค่าต่อ สวนทาง กนง. ลดดอกเบี้ย เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
หนี้เสียพุ่ง! แบงก์หยุดปล่อยกู้ อินเวสทรีชี้ถึงเวลาปัดฝุ่นช่วยชีวิต SMEs ไทย พร้อมโชว์ยอดระดมทุนทะลุ 4.2 พันล้าน https://thestandard.co/sme-survival-strategy/ Mon, 18 Aug 2025 11:03:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1108563 sme-survival-strategy

เศรษฐกิจไทยวันนี้เปรียบเสมือน ‘ต้นไม้ที่รากไม่แข็งแรง’ […]

The post หนี้เสียพุ่ง! แบงก์หยุดปล่อยกู้ อินเวสทรีชี้ถึงเวลาปัดฝุ่นช่วยชีวิต SMEs ไทย พร้อมโชว์ยอดระดมทุนทะลุ 4.2 พันล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
sme-survival-strategy

เศรษฐกิจไทยวันนี้เปรียบเสมือน ‘ต้นไม้ที่รากไม่แข็งแรง’ ขาดน้ำหล่อเลี้ยงและต้องทนแดดเผาจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งสงครามการค้า พิษเศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ทำให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจไทย ต้องเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก

 

ณัทสุดา พุกกะณะสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ฉายภาพว่า SMEs เป็นภาคธุรกิจที่มีสัดส่วนการจ้างงานสูง หาก SMEs ไปต่อไม่ไหว ผลกระทบจะตกถึงผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวม จริงๆ แล้วเริ่มเห็นชัดมาตั้งแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา และสัญญาณวิกฤตเริ่มปรากฏชัดมาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565 สินเชื่อ SMEs ลดลงต่อเนื่อง แบงก์ปล่อยสินเชื่อลดลงเรื่อยๆ ทำให้หนี้เสีย (NPLs) ของภาคธุรกิจพุ่งสูงขึ้น

 

นอกจากปัญหาสภาพคล่องแล้ว รายได้ SMEs ยังไม่ฟื้นตัวเท่ากับช่วงก่อนโควิด แถมยังต้องเจอแรงกดดันใหม่จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันเรียกเก็บในอัตรา 19% แม้จะยังไม่มีรายละเอียดเชิงลึกในแต่ละอุตสาหกรรม แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างความไม่แน่นอนให้กับการลงทุนระยะยาว โดยธุรกิจรายใหญ่หลายแห่งชะลอแผนลงทุน ขณะที่ต้นทุนสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านทยอยขยับสูงขึ้น กดดันการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย

 

เมื่อมองในภาพรวม เศรษฐกิจไทยยังเผชิญโจทย์ใหญ่ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ภาระหนี้สาธารณะที่กดดันฐานะการคลัง และอัตราดอกเบี้ยที่แม้ไม่สูงมาก แต่ก็มีข้อจำกัดว่าควรลดลงได้อีกหรือไม่ ซึ่งล้วนสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

 

แนะภาครัฐปรับโครงสร้าง ต่อลมหายใจให้ SMEs

 

ณัทสุดา กล่าวต่อไปว่า ทางรอดของ SMEs รัฐบาลต้องจำเป็นต้องปัดฝุ่นนโยบาย และมีนโยบายให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ SMEs หรือแม้แต่การยกเว้นภาษีในระยะแรกเพื่อช่วยพยุงธุรกิจ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวเพื่อเพิ่มโอกาสการฟื้นตัว

 

สำหรับตัว SMEs เอง ต้องเริ่มจากการประเมินกำไรที่แท้จริง ไม่ใช่มองแค่เพียงยอดขาย แต่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายแฝง โดยเฉพาะการทำธุรกิจกับโมเดิร์นเทรดที่มักมีต้นทุนแอบแฝงสูง ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายรายที่กู้เงินมาลงทุนจำนวนมาก แต่ยิ่งทำกลับยิ่งขาดทุน เพราะรายได้ไม่ครอบคลุมต้นทุน

 

และแม้จะมีหลายองค์กรพยายามเข้ามาช่วยอบรมและเพิ่มความรู้ให้ผู้ประกอบการ แต่ฝันร้ายยังไม่จบ เพราะสุดท้ายแล้วแบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อและยังระงับวงเงินกู้ใหม่ ในบางรายเพราะมองเห็นปัญหาความเสี่ยงธุรกิจที่เพิ่มขึ้น

 

โชว์ยอดระดมทุนทะลุ 4.2 พันล้าน เดินหน้าพยุง SMEs ไทยต่อเนื่อง

 

ท่ามกลางความยากลำบาก อินเวสทรี (ไทยแลนด์) ในฐานะแพลตฟอร์ม Crowdfunding ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ยังคงเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการมากว่า 4 ปี ตัวเลขยอดระดมทุนสะสมโตทะลุ 4.2 พันล้านบาท หนุนผู้ประกอบการไทยไปกว่า 120 ราย ผ่านดีลระดมทุน 2 พันครั้ง

 

ขณะเดียวกัน ยังยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยการเป็น แพลตฟอร์มคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding Platform) รายแรกในไทยที่ได้รับใบอนุญาตผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จาก ก.ล.ต. บทบาทดังกล่าวทำให้การออกตราสารหนี้เอกชนของ SME มีมาตรฐานการกำกับดูแลและการคุ้มครองสิทธิผู้ลงทุนที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ออกตราสาร ไปจนถึงวันครบกำหนดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย

 

เมื่อมาดูในส่วนของผู้ขอระดมทุน ปัจจุบันมีทุกระดับ ตั้งแต่ขอทุนเพื่อทำโปรเจกต์เล็ก ๆ ไม่กี่หมื่นบาท ไปจนถึงระดมทุนหลักร้อยล้าน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีคนขอเข้ามาจำนวนมาก แต่ออกได้น้อย ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของแต่ละราย เบื้องต้น ในช่วงเวลา 1 เดือน จะออกหุ้นกู้ได้อย่างต่ำ 7 ราย และเมื่อไหร่ที่อินเวสทรีออกต้องยื่นรายงานให้กับ ก.ล.ต.

 

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ภาพรวมพอร์ตมีหุ้นกู้ครบกำหนดและชำระคืนแล้ว 91% ผิดนัดชำระหนี้เพียง 2% และมีประวัติติดตามเรียกคืนหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ได้ 79%

 

วรกร สิริจินดา หนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งอินเวสทรี กล่าวต่อว่า บทบาทของ Crowdfunding นั้นไม่ใช่แค่การระดมเงินทุน แต่คือการสร้างสาธารณูปโภคทางการเงินให้ SMEs สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปได้ และสามารถสร้างความเร็วในการปิดดีลและต้นทุนที่เหมาะสม เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพลตฟอร์มเติบโตได้แม้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

 

โดยอินเวสทรีมีระยะเวลาระดมทุนเฉลี่ยเพียงราว 1 วัน และต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 12% ต่อปี (ผลตอบแทนคิดจากค่าเฉลี่ยของหุ้นกู้ทั้งหมด ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถยืนยันหรือค้ำประกันผลตอบแทนในอนาคตได้)

 

ทั้งนี้ แม้ดีลหุ้นกู้ Crowdfunding จะมีผลตอบแทนน่าสนใจและช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตได้ แต่ทุกการลงทุนมีโอกาสขาดทุน การเลือกลงทุนจึงต้องประเมินทั้งคุณภาพผู้ออกหุ้นกู้ เงื่อนไขสัญญา และสภาพตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

สุดท้ายแล้วเมื่อมาดูข้อมูลสะสมล่าสุด พอร์ตของอินเวสทรีมีคุณภาพการชำระหนี้อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยตลาด ซึ่งสะท้อนถึงวินัยการคัดกรองก่อนออกตราสารหนี้ กระบวนการติดตามหลังการออก และเครื่องมือกำกับดูแลใหม่ที่เข้ามาเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน

The post หนี้เสียพุ่ง! แบงก์หยุดปล่อยกู้ อินเวสทรีชี้ถึงเวลาปัดฝุ่นช่วยชีวิต SMEs ไทย พร้อมโชว์ยอดระดมทุนทะลุ 4.2 พันล้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กัลฟ์ฯ ร่วมทุน เอไอเอส ลุยธุรกิจคลาวด์-บริการดิจิทัลครบวงจร พร้อมเปลี่ยนชื่อบริษัทร่วมทุนจาก AISBB เป็น G-AIS https://thestandard.co/gulf-ais-partner-for-cloud-digital/ Thu, 14 Aug 2025 09:33:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1107383

บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทร่วมทุนก […]

The post กัลฟ์ฯ ร่วมทุน เอไอเอส ลุยธุรกิจคลาวด์-บริการดิจิทัลครบวงจร พร้อมเปลี่ยนชื่อบริษัทร่วมทุนจาก AISBB เป็น G-AIS appeared first on THE STANDARD.

]]>

บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทร่วมทุนกับ ‘เอไอเอส’ จาก AISBB เป็น G-AIS หลังถือหุ้นเท่ากันที่สัดส่วน 50%

 

ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตามที่ บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เรื่องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท เอไอเอส บรอดแบนด์ จำกัด (AISBB) โดยถือหุ้นผ่านบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ เซอร์วิสเซส จำกัด (Gulf Edge Services) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อม 100% ส่งผลให้ในปัจจุบัน Gulf Edge Services และ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC ถือหุ้นใน AISBB ในสัดส่วนเท่ากันที่ 50% นั้น

 

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 AISBB ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นบริษัท จี-เอไอเอส จำกัด (G-AIS) เป็นที่เรียบร้อย เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางกลยุทธ์และพันธกิจของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์และบริการดิจิทัลอย่างครบวงจร

 

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะโอนหุ้นทั้งหมดที่ถือโดย Gulf Edge Services ไปยังบริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด (Gulf Edge) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับโครงสร้างการถือหุ้นให้สอดคล้องกับธุรกิจดิจิทัลของบริษัทฯ

 

ภาพ: Pingingz / Shutterstock

The post กัลฟ์ฯ ร่วมทุน เอไอเอส ลุยธุรกิจคลาวด์-บริการดิจิทัลครบวงจร พร้อมเปลี่ยนชื่อบริษัทร่วมทุนจาก AISBB เป็น G-AIS appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท.ประกาศกำไรครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิลดลง 30.4% เหตุราคาน้ำมันดิ่ง-ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน โดนค่าเงินบาทแข็งค่าฉุด https://thestandard.co/ptt-h1-2025-profit-drop-30-percent/ Thu, 14 Aug 2025 06:00:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1107252 ปตท. กำไร

ปตท.รายงานผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปี 2568 ลดลงตามราคา […]

The post ปตท.ประกาศกำไรครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิลดลง 30.4% เหตุราคาน้ำมันดิ่ง-ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน โดนค่าเงินบาทแข็งค่าฉุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปตท. กำไร

ปตท.รายงานผลการดำเนินงานช่วงครึ่งแรกปี 2568 ลดลงตามราคาน้ำมันอ้างอิงในตลาดโลก แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน

 

ภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. หรือ PTT เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2568 ของ ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท ลดลง 19,589 ล้านบาท หรือ 30.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 64,437 ล้านบาท

 

โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยธุรกิจการกลั่นลดลง เนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนประมาณ 5,800 ล้านบาท ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท รวมทั้งค่าการกลั่น (Market GRM) ที่ลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ปรับลดลง แม้ว่าปริมาณขายเพิ่มขึ้น

 

ปตท. กำไร

ภาพ: สรุปข้อมูลตัวเลขผลการดำเนินงาน บมจ.ปตท.ครึ่งแรกปี 2568 

 

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานลดลงเช่นกัน โดยหลักจากกลุ่มอะโรเมติกส์และกลุ่มโอเลฟินส์ จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่กับวัตถุดิบและปริมาณขายที่ปรับลดลง

 

ด้านกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานลดลง จากราคาขายน้ำมันดิบที่ลดลงตามราคาตลาดโลก ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น

 

นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ มีกำไรขั้นต้นลดลงจากราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ที่ใช้อ้างอิง ประกอบกับ EBITDA ของบริษัทย่อยในกลุ่มธุรกิจก๊าซฯ ปรับลดลง โดยหลักจาก PTTLNG เนื่องจากมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 (LMPT2) เป็น 50% เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการดำเนินงานที่ลดลงตามราคาขายที่ลดลงตามราคาน้ำมันอ้างอิงในตลาดโลก

 

ภาพ: ภัทรลดา สง่าแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.ปตท. หรือ PTT 

 

‘เงินบาทแข็งค่า’ อีกตัวแปรฉุดรายได้ครึ่งแรกปี 68

 

ประกอบกับค่าเงินบาทเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 33.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ที่ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 36.4 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้รายได้ที่อ้างอิงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง

 

อย่างไรก็ดี เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก กลุ่ม ปตท. ได้มีการบริหารจัดการและปรับแผนกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายในและศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว ผ่านการดำเนินงานในโครงการต่างๆ เช่น

 

  • Domestic Production Management (D1) และ P1 เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมขยายตลาดน้ำมันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • Operational Excellence (MissionX) และ Digital Transformation (Axis) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน
  • Asset Monetization (A1) มุ่งเน้นบริหารสินทรัพย์ภายในกลุ่มเพื่อผลการดำเนินงานที่ดีและยั่งยืน
  •  Financial Excellence (F1) เสริมสร้างความมั่นคงและวินัยทางการเงินเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน

The post ปตท.ประกาศกำไรครึ่งแรกปี 68 กำไรสุทธิลดลง 30.4% เหตุราคาน้ำมันดิ่ง-ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน โดนค่าเงินบาทแข็งค่าฉุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาส 4 สู่ระดับ 1.25% https://thestandard.co/scb-eic-mpc-policy-rate-cut-q4-1-25/ Thu, 14 Aug 2025 02:01:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1107131 ดอกเบี้ยนโยบาย

กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มา […]

The post SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาส 4 สู่ระดับ 1.25% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดอกเบี้ยนโยบาย

กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% ตามคาดการณ์ของ SCB EIC

 

โดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้มาจากการประเมินของ กนง. ว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายได้เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายลง โดยเฉพาะ (1) ธุรกิจที่จะถูกกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่มีอยู่ก่อนแล้ว ให้สามารถปรับตัวได้ในระยะข้างหน้า ที่การแข่งขันจากต่างประเทศจะรุนแรงขึ้น และ (2) ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคส่วนเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง มองไปข้างหน้า กนง. เห็นว่านโยบายการเงินจะต้องอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่ควรคำนึงถึงเสถียรภาพในระยะปานกลาง รวมถึง Policy space ที่มีจำกัดและประสิทธิผลในการส่งผ่านนโยบายการเงิน

 

กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 จะชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน

 

กนง. มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไม่ได้แตกต่างจากการประเมินในการประชุมครั้งก่อนมากนัก โดยในการประชุมรอบเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่ง กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.3%YOY และ 1.7%YOY ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 จะขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการส่งออกสินค้าและภาคการผลิตเป็นหลัก ตามการเร่งส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ

 

กนง. มองว่าเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี 2025 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปี ส่วนหนึ่งจากการเร่งผลิตและส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรก นอกจากนี้ กนง. ยังประเมินว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มแผ่วลง และอาจปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลงในการเผยแพร่ประมาณการในรอบการประชุมเดือนตุลาคม 2025 (ประมาณการ ณ รอบการประชุมเดือน มิ.ย. 2025 ประเมินไว้ที่ 35 และ 38 ล้านคนในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ)

 

กนง. เห็นว่าต้องติดตามผลกระทบจากภาษี Transshipment และการแข่งขันของสินค้านำเข้าที่จะรุนแรงขึ้น โดยประเมินว่าแม้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บสินค้าไทยไม่ได้เสียเปรียบคู่แข่ง แต่อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในระดับที่สูงขึ้นมากเช่นนี้ รวมทั้งมาตรการกำแพงภาษีสินค้า Transshipment และภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ที่จะทยอยออกมาในระยะข้างหน้า อาจลดทอนอุปสงค์สินค้าส่งออกโลกโดยรวม นำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และจะส่งผลต่อไปในระยะปานกลาง การปรับตัวของภาคธุรกิจจึงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

 

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยราคาอาหารสดลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และราคาพลังงานลดลงตามราคาน้ำมันดิบโลกเป็นหลัก แต่ยังไม่เห็นราคาสินค้าและบริการอื่นลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังทรงตัวใกล้เคียง 1%

 

กนง. จะติดตามสถานการณ์สินเชื่อหดตัวและเงินบาทแข็งค่า ซึ่งอาจมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

 

สถานการณ์สินเชื่อหดตัวอาจซ้ำเติมภาคส่วนเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง โดยการหดตัวของสินเชื่อมีที่มาจาก สินเชื่อกลุ่มธุรกิจ SMEs และสินเชื่อภาคครัวเรือนที่หดตัวลง ส่วนหนึ่งจากความระมัดระวังของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ชะลอลงตามความต้องการสินเชื่อที่ปรับลดลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง

 

เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเทียบกับค่าเงินภูมิภาค ตามดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า รวมถึงการเคลื่อนไหวของเงินบาทตามราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น

 

กนง. ยังมองว่านโยบายการเงินจำเป็นต้อง ‘ผ่อนคลาย’ แต่ยังต้องคำนึงถึง Policy space และประสิทธิผลของการส่งผ่านนโยบายการเงิน ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาแล้วรวม 1.0% จาก 2.50% ในช่วงต้นปี 2024 อยู่ที่ระดับ 1.50% ในระยะข้างหน้า กนง. จำเป็นต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดของ Policy space ที่เหลือน้อยลง และประสิทธิผลของการส่งผ่านนโยบายการเงินที่จะน้อยลงในภาวะดอกเบี้ยต่ำ

 

SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะยังลดดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในปีนี้ เนื่องจาก

 

1. ภาวะการเงินตึงตัว รวมทั้งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วอาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
สถานการณ์สินเชื่อหดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs และสินเชื่อครัวเรือนจะยังดำเนินต่อไป จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ธุรกิจ SMEs บางส่วนประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาคครัวเรือนยังประสบปัญหาภาระหนี้ที่มีอยู่เดิม
เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย การแข็งค่านี้สะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาทในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2025 ที่ผ่านมา ที่ดัชนีอยู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997

 

 

2. อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับในอดีต

 

โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทย อยู่ที่ประมาณ 0.75% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ใกล้เคียง 0% เท่านั้น สะท้อนว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอาจยังไม่ผ่อนคลายเพียงพอ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำกว่าในอดีตอย่างมีนัย

 


 

3. อัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน แม้จะมีที่มาจากปัจจัยด้านอุปทานและมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพจากภาครัฐโดยเฉพาะด้านพลังงานเป็นหลัก อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญกับภาวะ ‘Debt deflation’ และนำไปสู่ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation) ในที่สุด

 

Debt deflation คือสถานการณ์ที่มูลค่าที่แท้จริงของหนี้ไม่ลดลงตามราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาระหนี้ครัวเรือนยังคงสูงอยู่ โดยที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อต่ำไม่ได้ช่วยในกระบวนการลดหนี้ครัวเรือน (Debt deleveraging) มากนัก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงที่เห็นในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากหนี้ใหม่ที่ชะลอตัว

 

 

หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป อาจทำให้ครัวเรือนเปราะบางยิ่งขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอลง และนำไปสู่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation)

 

สำหรับมุมมองนโยบายการเงิน SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.25% ภายในสิ้นปีนี้

 

โดยเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยจะแผ่วลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคการส่งออกสินค้า และภาคการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือนจะยังส่งผลต่ออุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ภาวะการเงินไทยนับว่ายังตึงตัวสูง ไม่สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพมาก SCB EIC จึงประเมินว่าภายในปีนี้ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 4 เพื่อให้นโยบายการเงินสามารถรองรับความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้

 

อ่านบทความฉบับเต็มต่อที่:
https://www.scbeic.com/th/detail/product/clmv-outlook-july25?utm_source=Influencer&utm_medium=Link&utm_campaign=CLMV_OUTLOOK_JUL_2025

The post SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาส 4 สู่ระดับ 1.25% appeared first on THE STANDARD.

]]>