Cryptocurrency – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 27 Nov 2025 08:15:00 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Binance TH เผย Bitcoin อาจหลุดจากวัฏจักร 4 ปี เหมือนอดีต หลังนักลงทุนสถาบันมีส่วนร่วมเพิ่มต่อเนื่อง https://thestandard.co/binance-bitcoin-cycle-break/ Thu, 27 Nov 2025 08:15:00 +0000 https://thestandard.co/?p=1148504 Binance TH เผย Bitcoin อาจหลุดจากวัฏจักร 4 ปี เหมือนอดีต หลังนักลงทุนสถาบันมีส่วนร่วมเพิ่มต่อเนื่อง

Binance TH เชื่อว่าวัฏจักรของ Bitcoin และคริปโตอื่นๆ เป […]

The post Binance TH เผย Bitcoin อาจหลุดจากวัฏจักร 4 ปี เหมือนอดีต หลังนักลงทุนสถาบันมีส่วนร่วมเพิ่มต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
Binance TH เผย Bitcoin อาจหลุดจากวัฏจักร 4 ปี เหมือนอดีต หลังนักลงทุนสถาบันมีส่วนร่วมเพิ่มต่อเนื่อง

Binance TH เชื่อว่าวัฏจักรของ Bitcoin และคริปโตอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากที่นักลงทุนสถาบันเข้ามามีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เชื่อการปรับฐานอาจไม่รุนแรงเท่าในอดีต และอาจเห็นราคา Bitcoin กลับมาแตะ 120,000 ดอลลาร์ อีกครั้งช่วงไตรมาส 1 ปี 2026

 

ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์และผู้อำนวยการ Binance TH Academy กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนสถาบันให้การยอมรับใน Bitcoin มากขึ้น ส่วนหนึ่งสะท้อนจากกองทุน Bitcoin อย่าง iShare Bitcoin Trust ETF ที่มีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิมากเป็นอันดับ 4 ของโลก คิดเป็นมูลค่า 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์​

 

“หากดูข้อมูลจากฝั่งนักลงทุนสถาบันและสถาบันการเงินต่างๆ จะเห็นการยอมรับและบริการที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และคริปโตมากขึ้น ขณะที่หลายประเทศก็มีกฎเกณฑ์ที่สนับสนุนคริปโตมากขึ้น”​

 

วัฏจักรของ Bitcoin และคริปโตเปลี่ยนไปมากตั้งแต่นักลงทุนสถาบันเข้ามามีส่วนร่วม ในอดีตทิศทางของคริปโตอาจได้รับอิทธิพลจากนักลงทุนรายใหญ่จำนวนหนึ่ง

 

“บางคนเชื่อว่าวัฏจักร 4 ปียังมีอยู่ ซึ่งราคา Bitcoin ก็ลดลงมาจริง แม้จะช้ากว่าเดิมเล็กน้อย ส่วนตัวเชื่อว่าราคา Bitcoin มีโอกาสจะฟื้นตัวไปพีคได้ช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า อาจจะไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ แต่มีโอกาสจะกลับไปสู่ 120,000 ดอลลาร์”

 

ดร.กร กล่าวต่อว่า ปัจจัยหลัก 3 ประการที่จะขับเคลื่อนตลาด ได้แก่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของกรอบกำกับดูแลในประเทศไทย การเข้ามามีส่วนร่วมของภาคสถาบันและผู้เล่นกระแสหลัก และการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Stablecoins, Tokenization และ Real-World Assets (RWA)

 

“ปี 2026 จะเป็นปีที่สินทรัพย์ดิจิทัลจะเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันของผู้คน เราคาดหวังว่าจะมีการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น การประสานงานด้านกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้น และการบูรณาการที่ลึกซึ้งขึ้นกับระบบการเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้จะปรับเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้ชาวไทยมีปฏิสัมพันธ์กับมูลค่าทางดิจิทัล”

 

ด้าน นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Binance TH by Gulf Binance กล่าวว่า หากวัฏจักร 4 ปียังคงอยู่ เชื่อว่าราคา Bitcoin อาจจะลดลงไม่ถึง 30-40% ในปีหน้า เพราะการเปิดรับของนักลงทุนจากฝั่ง Traditional Finance ส่วนความเสี่ยงหลักคือภาวะฟองสบู่ในตลาดทุน โดยเฉพาะหุ้น AI

 

ส่วนภาพรวมธุรกิจของ Binance ในไทยปี 2025 ที่ผ่านมา จำนวนผู้ใช้งานที่ KYC แล้ว ณ เดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 7.1 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น 5.5 เท่า จากต้นปีที่ผ่านมา สำหรับลูกค้าใหม่ของ Binance TH ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มพนักงานประจำ

 

ภาพ: BlackJack3D/Getty Images

The post Binance TH เผย Bitcoin อาจหลุดจากวัฏจักร 4 ปี เหมือนอดีต หลังนักลงทุนสถาบันมีส่วนร่วมเพิ่มต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. ยกระดับมาตรการสกัดฟอกเงิน ผ่านตลาดหุ้น-คริปโต https://thestandard.co/sec-anti-laundering-stock-crypto/ Thu, 20 Nov 2025 07:45:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1145453 ก.ล.ต. ยกระดับมาตรการสกัดฟอกเงิน ผ่านตลาดหุ้น-คริปโต

วันนี้ (20 พ.ย.2568) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แ […]

The post ก.ล.ต. ยกระดับมาตรการสกัดฟอกเงิน ผ่านตลาดหุ้น-คริปโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ก.ล.ต. ยกระดับมาตรการสกัดฟอกเงิน ผ่านตลาดหุ้น-คริปโต

วันนี้ (20 พ.ย.2568) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกแถลงการณ์ ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการเพื่อป้องกัน และยับยั้งการใช้ตลาดทุน-สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นช่องทางในการฟอกเงินและเกี่ยวข้องกับ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีใจความสำคัญดังนี้

 

ภายใต้บริบทปัจจุบันที่การปราบปรามการก่ออาชญากรรมความสำคัญขึ้น และเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ก.ล.ต. ได้มีการดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยมีการประสานงาน ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ รวมทั้งการตรวจสอบ กรณีต้องสงสัยเกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลักทรัพย์ กฎหมายสินทรัพย์ ดิจิทัล พร้อมทั้งยกระดับมาตรการ และการบูรณาการเพื่อให้เกิด การเชื่อมโยงข้อมูล (Connecting the dots) เพื่อประโยชน์ของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ปิดช่องโหว่ ทำให้เห็นภาพในองค์รวม เพื่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด

 

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ยังคงมุ่งเน้นกำกับดูแลให้ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้กำกับดูแลของ ก.ล.ต. ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นอกจากนี้ ก.ล.ต. ทำงานเชิงรุกในการป้องกัน – ป้องปราม – ปิดกั้น ตลอดจนมีเครื่องมือในการช่วยเหลือและแจ้งเตือนผู้ลงทุนภายใต้การบูรณาการการทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน

 

โดยมุ่งเน้นดำเนินการใน 3 เรื่อง ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด การป้องกันเชิงรุกและการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

 

1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

 

ซึ่งรวมถึงการกำกับผู้ประกอบธุรกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ให้ทำความรู้จักตัวตนของลูกค้า (KYC) การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD) การติดตาม และรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (Suspicious Transaction Report) ตามกฎหมายฟอกเงิน หากพบความไม่สอดคล้องในการลงทุนกับฐานะทางการเงินของลูกค้า หรือได้รับคำสั่งจาก ปปง. หรือ ก.ล.ต. ผู้ประกอบธุรกิจ ต้องมีหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล เชิงลึกและรายงานข้อมูล ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย โดย ก.ล.ต. สามารถประสาน กับหน่วยงานอื่น เช่น ปปง. และพนักงานสอบสวน ในการส่งข้อมูลที่พบไปยังหน่วยงาน ดังกล่าวโดยตรงได้อีกทางหนึ่ง

 

นอกจากนี้เมื่อพบว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งรวมถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในเรื่องการ เปิดเผย ข้อมูล เช่น รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) การไม่ทำคำเสนอ ซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) การเปิดเผยข้อมูลผู้ถือหุ้น ของบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น ก.ล.ต. จะดำเนินการตามกฎหมายด้วย

 

สำหรับมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน นอกเหนือจากผู้ประกอบธุรกิจ สินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ต้องมีมาตรการ KYC และ CDD ตามมาตรฐานที่กำหนด ด้วยแล้ว

 

ปัจจุบันภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับมาตรการ ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ทางเทคโนโลยีผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลยังต้องมีกลไก เพื่อยับยั้งและการรายงานข้อมูล ตามมาตรฐานเดียวกับธนาคารพาณิชย์ เช่น การห้ามเปิดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล ให้กับผู้ที่มีรายชื่อ เป็นบัญชีม้าดำและบัญชีม้าเทา การเพิ่มความเข้มข้นของการทำ Enhanced Customer Due Diligence กับลูกค้าต้องสงสัย และการจัดกลุ่มประเภทลูกค้า (customer profiling) ตามความเสี่ยง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกันและยับยั้งธุรกรรมน่าสงสัยในการฟอกเงิน หรือเข้าข่ายผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ปัจจุบัน ก.ล.ต. อยู่ระหว่างประสานงานกับ ปปง. เพื่อนำเกณฑ์ Travel Rule มาใช้กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่อไป

 

ภายใต้การดำเนินการดังกล่าว สามารถยับยั้งบัญชีม้าได้แล้ว 44,382 บัญชี มูลค่ารวมมากกว่า 200 ล้านบาท

 

2. การป้องกันเชิงรุก

 

มุ่งลดความสูญเสียของประชาชนจากภัยหลอกลวงลงทุน เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ประชาชนมีความรู้เท่าทัน รวมทั้งการปิดกั้นช่องทางหลอกลวงลงทุน และยกระดับมาตรการ สกัดกั้นบัญชีม้า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการประสานงานกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ในการปิดกั้น การหลอกลงทุนได้ 100% ภายในระยะเวลา 7 นาที ถึง 48 ชั่วโมง

 

โดยในเดือนตุลาคม มียอดขอคำปรึกษาและแจ้งเบาะแสสูงเพิ่มขึ้น 100% จากเดือนสิงหาคม ซึ่งสะท้อนความต้องการของประชาชนในการขอคำปรึกษาว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถดำเนินการปิดกั้นช่องทางหลอกลวงลงทุนจำนวน 3,134 บัญชี ในช่วง 1 ม.ค. – 31 ต.ค. 2568

 

ก.ล.ต. มีความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ในการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่เข้าข่ายประกอบธุรกิจที่ ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสกัดกั้นการใช้แพลตฟอร์มในต่างประเทศเป็นช่องทางการฟอกเงิน
รวมทั้ง ก.ล.ต. ยังยกระดับการดำเนินการมุ่งไปสู่การป้องกันเชิงรุก “Preventive Anti-Scam for All” เพื่อลดความสูญเสีย เพิ่มการรู้เท่าทัน และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน
ผ่านกลไก 3Cs

 

  • Consultation: ให้คำปรึกษาเชิงรุกเพื่อช่วยประชาชนตัดสินใจก่อนที่จะลงทุนหรือโอนเงิน
  • Communication: จัดทำศูนย์รวม ข้อมูลด้านหลอกลงทุน เผยแพร่ให้ประชาชน เข้าถึงและตรวจสอบได้ด้วยตนเอง โดยมี Preventive Communication Campaign เพื่อสื่อสารให้ประชาชน “เอะใจก่อนโอน”
  • Collaboration: ขยายความ ร่วมมือเชิงรุกกับหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างการป้องกันภัยหลอกลงทุน เช่น การปิดกั้นเพจมิจฉาชีพ ที่แอบอ้างผู้ประกอบธุรกิจฯ และบริษัทจดทะเบียน รวมถึงอยู่ระหว่างการพัฒนาความร่วมมือในการตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนก่อนเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม

 

3. การประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

 

ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก.ล.ต. ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกัน และปราบปราม อาชญากรรม ทางเทคโนโลยี ระหว่าง 15 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และในฐานะ ก.ล.ต. เป็นหนึ่งใน คณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงิน (Connecting the dots) ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อยกระดับในการติดตามและแก้ไขปัญหา ในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ก.ล.ต. พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งประสานความร่วมมือภายใต้ข้อตกลงที่มีกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนในต่างประเทศก.ล.ต. จึงขอให้ทุกฝ่ายได้มั่นใจว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการในทุกรูปแบบเพื่อป้องกัน และยับยั้ง ไม่ให้เกิดการฟอกเงินทั้งในตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความโปร่งใส และความเชื่อมั่นในตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล

 

ภาพ: Zakharchuk/Shutterstock

The post ก.ล.ต. ยกระดับมาตรการสกัดฟอกเงิน ผ่านตลาดหุ้น-คริปโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยผนึกกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทาง ‘คริปโตเทา’ ปปง.ชี้แจงกฎหมายไทยยึดเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’ https://thestandard.co/thai-seizure-gray-crypto-evidence/ Wed, 15 Oct 2025 09:55:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1130976 ไทยผนึกกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทาง คริปโตเทา ปปง.ชี้แจงกฎหมายไทยยึดเงินเทาต้องมี หลักฐานชัด

‘เอกนิติ’ รองนายกฯ – รมว.คลัง เผยยังไม่ได้พูดคุยเ […]

The post ไทยผนึกกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทาง ‘คริปโตเทา’ ปปง.ชี้แจงกฎหมายไทยยึดเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยผนึกกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทาง คริปโตเทา ปปง.ชี้แจงกฎหมายไทยยึดเงินเทาต้องมี หลักฐานชัด

‘เอกนิติ’ รองนายกฯ – รมว.คลัง เผยยังไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับ ‘แนวทางยึดคริปโตเคอร์เรนซี’ แต่ตั้งเป้าสรุปกรอบการทำงานโครงการ Connect The Dots เพื่อเร่งหาต้นตอ ‘เงินไม่รู้ที่มาที่ไป’ ให้แล้วเสร็จภายในธ.ค. ขณะที่ ‘ดร.พรอนงค์’ เลขาธิการ ก.ล.ต รอคลอดกฎหมาย Travel Rule หวังตรวจสอบเส้นทางการเงินของคริปโตฯ ด้านโฆษก ปปง. ตอบปมสหรัฐฯ ยึด Bitcoin แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา โดยชี้แจงว่ากฎหมายฟอกเงินของไทยแตกต่างจากสหรัฐฯ โดยการจับยึดเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’ แค่สงสัยเอาผิดไม่ได้

 

วันนี้ (15 ตุลาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) นัดแรก โดยระบุว่า ยังไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางยึด ‘คริปโตเคอร์เรนซี’

 

อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการการเชื่อมโยงข้อมูล (Connect the Dots) เพื่อติดตามกระแสเงินทุนไหลเข้าและออกประเทศที่ไม่รู้ที่มาที่ไป (Net Errors and Omissions:NEO) ที่อาจมีความเสี่ยงเป็นเงินทุนสีเทา โดยระบุว่า แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้มีการหารือกับ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว

 

สำหรับระยะต่อไป ดร.เอกนิติเตรียมทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพิ่มเติม เพื่อให้เข้ามาร่วมกำหนดกรอบกติกาการทำงานร่วมกัน

 

พร้อมทั้งตั้งเป้าว่า กรอบการทำงานดังกล่าวจะต้องเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคมนี้ และจะถูกนำมารายงานในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจด้วย

 

ทั้งนี้ การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องเพื่อริบทรัพย์สินทางแพ่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการยึด Bitcoin จำนวนประมาณ 127,271 BTC จากเฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักในชื่อ วินเซนต์ (Vincent) วัย 37 ปี สัญชาติอังกฤษและกัมพูชา ผู้ก่อตั้งและประธานของ Prince Holding Group (Prince Group) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มีฐานอยู่ในประเทศกัมพูชา ในข้อหาสมคบคิดกันฉ้อโกงผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และสมคบคิดกันฟอกเงิน จากการบงการเครือข่าย ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ที่ใช้แรงงานที่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวโดยไม่สมัครใจ ในการหลอกลวงการลงทุนคริปโตในรูปแบบ ‘Pig Butchering’ สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์จากเหยื่อในสหรัฐฯ และทั่วโลก

 

โดยการดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยหน่วยงานของสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการประสานงานในระดับนานาชาติ โดยสหราชอาณาจักรก็ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ Prince Group เช่นกัน

 

ปปง. เผยความคืบหน้า คณะทำงาน Connect the Dots จะมีความชัดเจนภายใน 1 เดือน

 

วิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการและโฆษกประจำสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานของคณะทำงาน Connect the Dots ที่มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมีการหารือทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยคณะทำงานนี้ประกอบด้วย ปปง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

วิทยาระบุว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในเชิงลึกได้ เนื่องจากกระบวนการทำงานมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน และจำเป็นต้องสร้างความเห็นพ้องร่วมกัน เพราะข้อมูลที่แต่ละหน่วยงานมีอาจแตกต่างกัน เช่น ข้อมูลที่ ปปง. มีอาจไม่ตรงกับข้อมูลของ ธปท. หรือ ก.ล.ต.

 

ขณะนี้คณะทำงานกำลังอยู่ในช่วงของการแบ่งภารกิจกันทำ และจะนำข้อมูลมาแบ่งปันและพูดคุยกันอีกครั้งในภายหลัง

 

วิทยาได้เล่าถึงกรอบการทำงานในเชิงหลักการ โดยระบุว่า ปปง. ได้ติดตามและตรวจสอบเรื่องที่เป็นข่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่ประเด็นการแข็งค่าของเงินบาท ว่าสาเหตุมาจากเรื่องทองคำหรือเป็นเงินเทาหรือไม่ และการไล่ยอดเงินคงเหลือของเงินเทาโดย ธปท. รวมถึงการตรวจสอบว่าเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล หรือไม่

 

ทั้งนี้ ธปท. และ ก.ล.ต. ได้เคยให้ข้อมูลว่าปัญหาดังกล่าวไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคริปโต แต่ขอเวลาในการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด

 

สำหรับการดำเนินการด้านความมั่นคงและการตรวจสอบในเรื่องเหล่านี้ จะเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ได้แก่ หน่วยงานความมั่นคง เช่น ตำรวจ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ ปปง. ส่วนในเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) จะเป็นส่วนงานของ ก.ล.ต. ที่ต้องเข้ามาร่วมแบ่งปันและพูดคุยกัน

 

วิทยาได้ยืนยันว่า ข้อมูลเรื่องความคืบหน้าจะมีความชัดเจนภายใน 1 เดือนนี้ สอดคล้องกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดกรอบเวลาไว้

 

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตกลงร่วมกันว่าจะไม่แยกกันให้ข่าว โดยอาจจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง หรือบุคคลที่รัฐมนตรีมอบหมายที่จะเป็นผู้ให้ข้อมูลต่อสาธารณะ

 

กฎหมายไทยไม่เหมือนสหรัฐฯ! ปปง. ชี้จับเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’ แค่สงสัยเอาผิดไม่ได้

 

เมื่อมีการสอบถามถึงกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ​ตั้งข้อหา เฉิน พร้อมยึด Bitcoin จำนวนประมาณ 127,271 BTC วิทยาชี้แจงว่า สำหรับกรณีดังกล่าว หากเปรียบเทียบกับในประเทศไทย ถือว่ามีความแตกต่างในเรื่องของกฎหมายในหลายประการ และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จึงยังไม่สามารถพูดรายละเอียดได้

 

วิทยายังระบุว่า เรื่องเหล่านี้หรือประเด็นการฟอกเงินที่ผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่หน่วยงานความมั่นคงของไทยติดตามมานานแล้ว แต่มีข้อจำกัดด้านข้อกฎหมาย โดยสรุปคือ กฎหมายของไทยมีความจำเป็นต้องมี ‘พยานหลักฐานที่ชัดเจน’ ในการดำเนินการ

 

ในทางกลับกัน กฎหมายของสหรัฐฯ มีความรุนแรง และสามารถดำเนินการได้หากใช้เพียงเหตุอันควรสงสัย แต่สำหรับประเทศไทย การใช้เพียงแค่เหตุสงสัยไม่สามารถทำได้

 

เหตุผลที่กฎหมายไทยไม่ได้ใช้ความเข้มงวดสูงเกินไปนั้น ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นความไม่ไว้ใจต่อตัวผู้ใช้กฎหมายเอง หากกฎหมายแรงเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อบุคคลที่สุจริตได้ ดังนั้น ปปง. จึงต้องดูว่าอะไรอยู่ในบริบทที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย โดยคำนึงถึงกระแสสังคมที่กำลังจับตาดูอยู่

 

ก.ล.ต. รอคลอดกฎหมาย Travel Rule หวังใช้ไล่เส้นทางเงินคริปโต

 

ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ยืนยันว่ากระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลัก และได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยที่ผ่านมาได้มีการประชุมร่วมกันแล้ว 1 รอบ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันข้อมูล ระหว่างหน่วยงานไปแล้ว

 

ดร.พรอนงค์ เชื่อว่า แนวทางการจัดตั้งคณะทำงานดังกล่าวมีความชัดเจนแล้ว และแต่ละหน่วยงานมีความชัดเจนในการที่จะเข้าร่วม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถเห็นผลที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เนื่องจากคณะทำงานถูกแต่งตั้งโดยกระทรวงการคลัง เป็นเจ้าภาพ ก.ล.ต. จึงขอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้เผยแพร่ผลของการดำเนินงานดังกล่าว ในส่วนของ ก.ล.ต. นั้น การเข้าร่วมการเชื่อมโยงข้อมูลครั้งนี้เน้นไปที่คริปโทเคอร์เรนซี เป็นหลัก

 

เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวย้ำว่า หากธุรกรรมเกิดขึ้นผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ซึ่งก.ล.ต. มีความมั่นใจในธุรกรรมเหล่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจมีกลไกการกำกับดูแลและการรายงานข้อมูล ซึ่งไม่ได้รายงานเฉพาะต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เท่านั้น แต่บางกรณีต้องรายงานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตามเงื่อนไขและเกณฑ์ที่กำหนดไว้

 

สำหรับการยกระดับการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องในคริปโทเคอร์เรนซี สิ่งที่ ก.ล.ต. ต้องการเดินหน้าต่อไปคือ การนำกฎหมาย Travel Rule ที่อยู่ระหว่างการปรับแก้ไขซึ่งเป็นกฎหมายของ ปปง. นำมาใช้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของคริปโทเคอร์เรนซี ปัจจุบันคณะทำงานมีความเห็นตรงกันว่าจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น

 

โดยการมี Travel Rule จะช่วยให้สำนักงานสามารถติดตามธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่เป็นเอกชนหรือภาคส่วนที่ไม่ถูกกำกับดูแลได้ดีขึ้น

 

ดร.พรอนงค์ ระบุว่า สำนักงาน ก.ล.ต. พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจในการเดินตามกฎเกณฑ์นี้ และจะเร่งรัดให้กฎเกณฑ์ออกมาเร็วขึ้น เนื่องจากหากรอตามแผนเดิม กฎหมายหลายตัวอาจดำเนินการไม่เป็นไปตามกำหนด ดังนั้น อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของกฎกระทรวง หรือข้อตกลงร่วมกันของผู้ประกอบธุรกิจไปก่อนเพื่อยกระดับในการกำกับดูแล

The post ไทยผนึกกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทาง ‘คริปโตเทา’ ปปง.ชี้แจงกฎหมายไทยยึดเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Ether ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย https://thestandard.co/ether-hits-4-year-high/ Sat, 23 Aug 2025 06:22:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1110393

Ether (ETH) สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ท […]

The post Ether ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย appeared first on THE STANDARD.

]]>

Ether (ETH) สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All-Time High) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 สิงหาคม) หลังจากสุนทรพจน์ของ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ย จุดชนวนให้ตลาดกลับเข้าสู่โหมดเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และกระตุ้นให้เกิดการล้างพอร์ตสถานะ Short ครั้งใหญ่

 

ราคา Ether พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงถึง 15% ในช่วงค่ำวันศุกร์ แตะระดับสูงสุดที่ 4,885 ดอลลาร์ ทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ 4,866 ดอลลาร์ ขณะที่ Bitcoin (BTC) ก็ปรับตัวสูงขึ้น 4% สู่ระดับ 117,008 ดอลลาร์เช่นกัน

 

จอร์ดี้ อเล็กซานเดอร์ ซีอีโอของ Selini Capital บริษัทให้บริการซื้อขายคริปโต กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเทรดเดอร์จะคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงกับความคิดเห็นในเชิงผ่อนคลายของพาวเวลในวันนี้”

 

ก่อนหน้านี้นักลงทุนจำนวนมากได้วางสถานะไปในทิศทางปิดรับความเสี่ยง (Risk-off) แต่สัญญาณลดดอกเบี้ยที่ชัดเจนขึ้น กำลังทำให้เกิดปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว

 

ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการล้างพอร์ตสถานะชอร์ต (Short Squeeze) อย่างรุนแรง โดยข้อมูลจาก CoinGlass ระบุว่า ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง มีสถานะชอร์ตของ Ether ถูกบังคับปิดไปเป็นมูลค่ากว่า 120 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการที่ผู้ที่เปิดสถานะชอร์​ตถูกบังคับให้ต้องซื้อ Ether คืนจากตลาดเพื่อตัดขาดทุน ยิ่งเป็นการผลักดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปอีก

 

นอกเหนือจากปัจจัยหนุนระยะสั้นจากท่าทีของเฟดแล้ว ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา Ether ได้แสดงบทบาทผู้นำในตลาดคริปโตอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นแรงส่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าของกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ เช่น GENIUS Act ได้กระตุ้นให้ความสนใจจากนักลงทุนสถาบันใน Stablecoins เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งการมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ Stablecoin ปัจจุบัน Stablecoins คิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของค่าธรรมเนียมทั้งหมดบนบล็อกเชน และมากกว่าครึ่งหนึ่งของ Stablecoins เหล่านั้นทำงานอยู่บนบล็อกเชนของ Ethereum

 

การฟื้นตัวของ Ether ได้ส่งผลบวกไปยังหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องซึ่งเคยถูกเทขายอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Bitmine Immersion และ SharpLink Gaming ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นการสะสม Ether พุ่งขึ้น 12% และ 15% ตามลำดับ ขณะที่ Coinbase และ MicroStrategy ก็ปรับตัวสูงขึ้น 6% เท่ากัน

 

อย่างไรก็ตาม ETHzilla ซึ่งเป็นบริษัทคลัง Ether ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ปีเตอร์ ธีล กลับร่วงลงถึง 31.4% สวนทางตลาด หลังจากที่บริษัทเสนอขายหุ้นล็อตใหญ่ออกมา

 

อ้างอิง:

  • https://www.cnbc.com/2025/08/22/crypto-market-today.htm

The post Ether ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย appeared first on THE STANDARD.

]]>
คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ https://thestandard.co/touristdigipay-crypto-to-baht/ Tue, 19 Aug 2025 01:19:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1108664

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDig […]

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ถือเป็นฟีเจอร์ที่มีที่เดียวในโลกเปิดทางนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้คริปโตฯ แลกบาท จ่ายซื้อสินค้า หนุนภาคท่องเที่ยว

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’ เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้า และบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้ปลอดภัย

 

โดยกระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 

สำหรับโครงการนี้ว่า เป็นการนำระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันมาเชื่อมโยงกัน โดยให้ Exchange ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยเป็นผู้แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี เป็นเงินบาท แล้วโอนเข้าบัญชี E-Money ของนักท่องเที่ยวที่เปิดใหม่ โดยจะมีการทำ KYC (Know Your Customer) อย่างเข้มงวด เพื่อตรวจสอบตัวตนและยืนยันว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจริง

 

“เรากำลังสร้างฟีเจอร์ที่จะเป็นรูปแบบเดียวของโลกที่มีไม่เหมือนใคร คือเราไม่ได้ใช้คริปโทฯ เป็นเงินโดยตรง แต่แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อน ซึ่งต่างจากบางประเทศที่ใช้คริปโทฯ เป็นสกุลเงินหลัก นอกจากนี้เรายังไม่ได้ผูกคริปโทฯ เข้ากับบัตรเครดิต เพราะร้านค้าในไทยจำนวนมากไม่ได้รองรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต” พิชัยกล่าว

 

ภาพ: บรรยากาศงานแถลงข่าว การเปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’

 

ยืนยัน ‘TouristDigiPay ไม่ใช่ ‘Means of Payment’

 

พิชัย ได้ย้ำต่อว่าโครงการ ‘TouristDigiPay’ นี้ ไม่ใช่การใช้คริปโทเคอร์เรนซีเป็น Means of Payment หรือสื่อกลางในการชำระเงินโดยตรง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นเงินบาทไทยก่อนการใช้จ่ายจริง

 

โดยการออกแบบนี้มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการและร้านค้ารายย่อยในประเทศอาจเผชิญ หากต้องรับคริปโทฯ โดยตรง ซึ่งมีความผันผวนสูงและจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่ซับซ้อน

 

นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ยังไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงินเข้าถึงร้านค้ารายย่อย

 

พิชัยกล่าวต่อว่า การแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อนใช้จ่าย จะช่วยให้ร้านค้ารายย่อยทั่วไปสามารถรับการชำระเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบใด ๆ เนื่องจากเมื่อนักท่องเที่ยวชำระเงินเข้ามา ร้านค้าก็จะได้รับเป็นเงินบาทปกติ และไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล

 

หวังดันนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเพิ่มอีก 1.75 แสนล้านบาท

 

จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยปีละประมาณ 35 ล้านคน และมีการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 50,000 บาทต่อทริป หากโครงการนี้สามารถจูงใจให้นักท่องเที่ยวเพิ่มการใช้จ่ายได้ 10% จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.75 แสนล้านบาท

 

“เราไม่ได้คาดหวังให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโทฯ 100% แต่หวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมคนละ 50,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 55,000 บาท เนื่องจากความสะดวกในการใช้จ่าย” พิชัยกล่าว

 

มาตรการป้องกันการฟอกเงินและการใช้งาน

 

โครงการ TouristDigiPay ยังอยู่ในระยะของโครงการนำร่อง ‘Sandbox’ โดยมีการกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ที่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน และวงเงินสูงสุดในการใช้จ่ายต่อรายการไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการฟอกเงิน โดยระบบทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และธปท.

 

เฟสต่อไปจ่อเพิ่มวงเงินเปิดทางใช้ซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูงได้

 

ด้านลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากเดิมที่จำกัดพื้นที่ มาเป็นการจำกัดวงเงินแทน โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายเงินดิจิทัลได้ทั่วประเทศ แต่มีเพดานวงเงินแบบ

 

ลวรณ กล่าวต่อว่า ในอนาคตหากการใช้เงินดิจิทัลเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการซื้อขายสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือเรือยอชต์ผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งหลายประเทศก็เริ่มมีการดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว

 

ก.ล.ต. คาด TouristDigiPay เริ่มเปิดใช้ในไตรมาส 4 นี้

 

ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า คาดว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 4/2568 โดยคาดว่าจะมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม 1-2 รายแรกที่สามารถเริ่มให้บริการได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสนใจแล้วกว่า 35 ราย

 

โปรเจกต์ Sandbox นี้มีระยะเวลา 18 เดือน หากการทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ก็เชื่อมั่นว่านวัตกรรมนี้จะสามารถขยายผลในวงกว้างได้ในอนาคต

 

สำหรับโครงสร้างของ TouristDigiPay ใช้ Ecosystem เดิม ที่มีอยู่แล้ว โดยฝั่งหนึ่งคือระบบของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เช่น ศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือระบบการชำระเงินของภาคธุรกิจทั่วไป ซึ่งรวมถึง Tourist Wallet ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ผู้ให้บริการในโครงการนี้จึงเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจากทั้ง ก.ล.ต. และ ธปท. รวมถึงอยู่ภายใต้การดูแลเรื่องกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ดังนี้

 

  • ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้ารายย่อย
  • ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ know your merchant (kym)

 

นอกจากนี้ โครงการนี้ไม่มีการจำกัดพื้นที่ สามารถเข้าถึงได้ทุกร้านค้าในประเทศไทย และคาดหวังว่าจะเริ่มใช้ได้ทันช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 นี้

 

 

ดร. พรอนงค์ ย้ำว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ การใช้คริปโตฯ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการโดยตรง (Means of payment) แต่เป็นการ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ จากคริปโตฯ เป็นเงินบาท แล้วนำเงินบาทที่ได้ไปใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินปกติ เช่น QR Code การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะส่งผลกระทบต่อร้านค้า

 

สำหรับสกุลเงินคริปโตฯ ที่สามารถใช้ได้นั้น ไม่มีการจำกัด โดยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละรายว่าจะลิสต์เหรียญใดไว้บ้าง และเมื่อนักท่องเที่ยวแลกเงินบาทไปแล้ว แต่ใช้ไม่หมด ก็สามารถนำเงินบาทที่เหลือมาแลกกลับเป็นคริปโตฯ สกุลเดิม หรือสกุลอื่นเพื่อโอนกลับไปยัง Wallet ของตนเองได้เช่นกัน

 

 

ปปง. ยืนยันมีความพร้อมในการตรวจสอบการฟอกเงิน

 

เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ถึงมาตรการความพร้อมในการรับมือกับโครงการ TouristDigiPay โดยยืนยันว่า ปปง.มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบและสกัดกั้นการฟอกเงินตั้งแต่ต้นทาง

 

โดย ปปง.ทำงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกระบวนการที่เงินจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล ซึ่งมีมาตรการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง ทั้งในส่วนของ การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) และ การตรวจสอบสถานะลูกค้า (CDD) “เรามั่นใจในกระบวนการทำงานของเรา เพราะเราเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง โดยมีการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น” เลขาธิการ ปปง.กล่าว

 

เมื่อถูกถามถึงกรณีที่อาจมีเงินผิดกฎหมายหลุดรอดไปถึงปลายทาง เลขาธิการ ปปง.กล่าวว่า “หากมีการเปลี่ยนเงินดิจิทัลกลับมาเป็นเงินสด เราก็จะมีการตรวจสอบอีกครั้ง”

 

นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า ปปง. มีความพร้อมอย่างเต็มที่แม้จะมีการขยายเวลาโครงการหรือเพิ่มวงเงินในอนาคต

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin ทุบสถิติใหม่ครั้งแรก 1.2 แสนดอลลาร์ครั้งแรก หลังสถานะ Short กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกบังคับปิด กลายเป็นแรงส่งสำคัญพาราคาทะลุแนวต้าน https://thestandard.co/bitcoin-breaks-120k/ Mon, 14 Jul 2025 05:22:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1096126 bitcoin-breaks-120k

Bitcoin ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการพุ่งทะยานทะ […]

The post Bitcoin ทุบสถิติใหม่ครั้งแรก 1.2 แสนดอลลาร์ครั้งแรก หลังสถานะ Short กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกบังคับปิด กลายเป็นแรงส่งสำคัญพาราคาทะลุแนวต้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
bitcoin-breaks-120k

Bitcoin ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการพุ่งทะยานทะลุระดับ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ราคาเคยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ บริเวณ 100,000 ดอลลาร์มานานหลายเดือน จนทำให้นักวิเคราะห์หลายคนสงสัยว่าโมเมนตัมที่เคยร้อนแรงเป็นประวัติการณ์เมื่อช่วงต้นปีจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่

 

ราคาของ Bitcoin ซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญของตลาดคริปโท ได้พุ่งขึ้นสูงสุดถึง 1.9% แตะระดับ 121,344 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.94 ล้านบาท) ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นแล้วประมาณ 30% นับตั้งแต่เดือนธันวาคม และเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 

 

การกลับมาพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเคยชะลอความร้อนแรงลงจากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ขณะนี้เมื่อสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น หุ้น กลับมาทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง Bitcoin ก็ได้กลับมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

 

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยโหมกระแสในรอบล่าสุดคือการล้างพอร์ตสถานะขาย (Short Position) ของนักเทรดฝั่งที่มองว่าราคาจะลดลง โดยข้อมูลจาก Coinglass ระบุว่าในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสถานะขายของนักลงทุนที่เดิมพันว่าราคา Bitcoin จะร่วง ถูกบังคับให้ปิดสถานะ (Liquidation) คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.24 หมื่นล้านบาท) ซึ่งการบังคับซื้อคืนนี้ได้กลายเป็นแรงส่งที่ผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

George Mandres เทรดเดอร์อาวุโสของ XBTO Trading LLC กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งสัญญาณถึง ‘มุมมองที่เติบโตขึ้น’ ต่อ Bitcoin ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาคและเป็น ‘สินทรัพย์ที่ใช้เก็บความมั่งคั่ง’ ที่มีอยู่อย่างจำกัด” 

 

เขามองว่าแรงซื้อในตลาดหุ้นประกอบกับการไหลเข้าของเงินทุนสถาบันในกองทุน Spot Bitcoin และ Ethereum ETF เป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างมั่นคงและมีความผันผวนน้อยกว่ารอบขาขึ้นในอดีต

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังต่อ ‘สัปดาห์คริปโท’ (Crypto Week) ในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะมีการอภิปรายและอาจลงมติในกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี 

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนยังคงไม่ปักใจเชื่อกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้ “ในมุมมองของผม นี่ไม่ใช่การปรับขึ้นที่ขับเคลื่อนโดยปัจจัยมหภาค แต่เป็น ‘เหตุการณ์เฉพาะจุด’ มากกว่า” Nicolai Sondergaard นักวิเคราะห์วิจัยจาก Nansen กล่าว 

 

แต่เขาก็ยอมรับว่า “พัฒนาการด้านนโยบายล่าสุดของสหรัฐฯ เช่น การขยายตัวทางการคลังและความคาดหวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ได้สร้าง ‘ปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวย’ ต่อ Bitcoin อย่างปฏิเสธไม่ได้”

 

หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.43 บาท ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 


อ้างอิง: 

The post Bitcoin ทุบสถิติใหม่ครั้งแรก 1.2 แสนดอลลาร์ครั้งแรก หลังสถานะ Short กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกบังคับปิด กลายเป็นแรงส่งสำคัญพาราคาทะลุแนวต้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หุ้น’ ไม่ใช่คำตอบ เศรษฐี Gen Y-Z แห่เทเงินสู่ทองคำ คริปโตฯ และศิลปะ หวัง ‘รวยเร็ว’ ไม่สนตลาดหุ้น https://thestandard.co/gen-y-z-shun-stocks-for-gold-crypto/ Fri, 27 Jun 2025 02:16:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1089790

‘ตลาดหุ้น’ เคยเป็นทางเลือกหลักสำหรับการลงทุ […]

The post ‘หุ้น’ ไม่ใช่คำตอบ เศรษฐี Gen Y-Z แห่เทเงินสู่ทองคำ คริปโตฯ และศิลปะ หวัง ‘รวยเร็ว’ ไม่สนตลาดหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘ตลาดหุ้น’ เคยเป็นทางเลือกหลักสำหรับการลงทุน แต่แนวโน้มนี้กำลังเปลี่ยนไป เมื่อ ‘คนรุ่นใหม่’ ที่มีอายุระหว่าง 21-43 ปี และมีสินทรัพย์อย่างน้อย 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 110 ล้านบาท) เข้าสู่สนามการลงทุน

 

ผลสำรวจล่าสุดจาก Bank of America เผยว่า พวกเขามีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพียง 25% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนักลงทุนที่มีอายุ 43 ปีขึ้นไปที่ลงทุนในหุ้นถึง 55% นอกจากนี้ เศรษฐีรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ ถึง 93% ระบุว่ามีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน ‘ลงทุนทางเลือก’ มากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 

เหตุผลหลักที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ คือความต้องการ ‘สร้างผลตอบแทน’ ที่ดีกว่า และความไม่เชื่อมั่นในตลาดหุ้นที่ผันผวน โดย ‘ลงทุนทางเลือก’ ที่กำลังดึงดูดความสนใจของเศรษฐีรุ่นใหม่เหล่านี้มีหลายประเภท

 

หนึ่งในนั้นคือ ทองคำ ผลสำรวจของ Bank of America ชี้ว่า 45% ของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เป็นเศรษฐีเป็นเจ้าของทองคำและอีก 45% แสดงความสนใจที่จะถือครองทองคำ

 

ในอดีต ทองคำทำหน้าที่เป็นหลักประกันป้องกัน ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ และความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี โดยล่าสุด ณ เดือนมิถุนายน 2025 ราคาทองคำได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ราว 3,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์

 

อสังหาริมทรัพย์ ก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง อัตราค่าเช่าและมูลค่าทรัพย์สินมักจะเพิ่มขึ้นตาม ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูงไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ยังคงเห็นโอกาสในสินทรัพย์นี้ 31% ของคนรุ่นใหม่ในการสำรวจของ Bank of America กล่าวว่าอสังหาริมทรัพย์นำเสนอโอกาสการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

งานศิลปะ ถือเป็นวิธีที่สร้างสรรค์ในการกระจายความเสี่ยง โดยกว่า 72% ของนักลงทุนรุ่นใหม่เชื่อว่าการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยได้อีกต่อไป

 

ตลาดศิลปะมีมูลค่าการทำธุรกรรมต่อปีมากกว่า 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีมูลค่ารวมทั่วโลกอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ขนาดใหญ่ และศิลปะร่วมสมัยยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 11.5% ระหว่างปี 1995-2023 ซึ่งสูงกว่า S&P 500 ที่ 9.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

Private Equity หรือการลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น และต้องการการควบคุมการลงทุนมากขึ้น โดยกว่า 25% ของเศรษฐีรุ่นใหม่ระบุว่า Private Equity เป็นหนึ่งในโอกาสการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้จะมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ความมุ่งมั่นในระยะยาว แต่ก็มอบศักยภาพในการเติบโตที่สำคัญ

 

สุดท้าย Cryptocurrency ก็ได้ก้าวเข้าสู่กระแสหลัก แม้ในอดีตจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง แต่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดทั่วโลกสูงถึง 3.29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นักลงทุนรุ่นใหม่ต่างชื่นชอบสินทรัพย์ประเภทนี้

 

โดย 29% ของคนรุ่นใหม่ในการสำรวจของ Bank of America กล่าวว่า Cryptocurrency นำเสนอโอกาสการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เทียบกับเพียง 7% ของกลุ่มนักลงทุนรุ่นเก๋า และเศรษฐีรุ่นใหม่ยังจัดสรร 15% ของพอร์ตการลงทุนให้กับคริปโตฯ เทียบกับเพียง 2% ของคนรุ่นเก่า

 

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุน ‘คนรุ่นใหม่’ กำลังปรับกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่งอย่างกระตือรือร้น โดยกระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์นอกเหนือจากตลาดดั้งเดิม เพื่อปกป้องและ ‘สร้างผลตอบแทน’ ให้กับความมั่งคั่งของตนในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

 

ภาพ: PeopleImages.com – Yuri A / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ‘หุ้น’ ไม่ใช่คำตอบ เศรษฐี Gen Y-Z แห่เทเงินสู่ทองคำ คริปโตฯ และศิลปะ หวัง ‘รวยเร็ว’ ไม่สนตลาดหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปากีสถานตั้ง ‘CZ Binance’ เป็นที่ปรึกษาคริปโต! หวังเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านนักวิเคราะห์เตือน เสี่ยงกระทบ FATF https://thestandard.co/pakistan-cz-binance-crypto-advisor/ Tue, 15 Apr 2025 08:04:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1064746

การแต่งตั้ง Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้ง Binance เป็นที่ปร […]

The post ปากีสถานตั้ง ‘CZ Binance’ เป็นที่ปรึกษาคริปโต! หวังเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านนักวิเคราะห์เตือน เสี่ยงกระทบ FATF appeared first on THE STANDARD.

]]>

การแต่งตั้ง Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้ง Binance เป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ให้กับสภาคริปโตของปากีสถานที่ตั้งขึ้นใหม่ สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากเขาเคยถูกจำคุกในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วจากข้อหาฟอกเงิน

 

เศรษฐีพันล้านสัญชาติแคนาดาเชื้อสายจีนและผู้ก่อตั้งตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ให้กับ Pakistan Crypto Council (PCC) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 

 

Zhao ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Binance ในปี 2023 หลังจากบริษัทถูกปรับเป็นเงิน 4.3 พันล้านดอลลาร์เมื่อถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานละเมิดกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินและมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

 

PCC ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคมเพื่อสร้างกรอบการกำกับดูแลสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต หลังจากได้รับการแต่งตั้ง Zhao หรือที่รู้จักกันในนาม CZ ได้มีการประชุมแยกกับนายกรัฐมนตรี Shahbaz Sharif และรองนายกรัฐมนตรี Ishaq Dar

 

Muhammad Aurangzeb รัฐมนตรีการคลังของปากีสถานและประธาน PCC เรียกการแต่งตั้ง Zhao ว่าเป็น ช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ แถลงการณ์ทางการระบุ “เรากำลังส่งข้อความชัดเจนถึงโลกว่า ปากีสถานเปิดรับนวัตกรรม

 

“ปากีสถานมีนักลงทุนที่ซื้อขายและลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมากกว่าจำนวนนักลงทุนในตลาดหุ้นปากีสถานประมาณ 3-4 เท่า” Shoaib Lalani ผู้ก่อตั้ง FinPocket แพลตฟอร์มการลงทุนในปากีสถาน กล่าวกับสำนักข่าว Nikkei Asia 

 

“หากมีการนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง (PCC) อาจช่วยปรับปรุงธรรมาภิบาลและให้การคุ้มครองนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย” เขากล่าวเสริม

 

การแต่งตั้ง Zhao ได้สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนการเงินและธุรกิจเนื่องจากประวัติที่เป็นที่ถกเถียง เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 4 เดือนในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วหลังจากยอมรับสารภาพว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการฟอกเงิน

 

Ikram ul Haq ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและภาษี เรียกการตัดสินใจของรัฐบาลว่าน่าตกใจ “มันแสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการตรวจสอบประวัติ หรือความพยายามโดยเจตนาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว” เขากล่าว “นี่ยืนยันอีกครั้งว่าเจ้าหน้าที่รัฐและผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งในปากีสถานทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ”

 

อย่างไรก็ตาม Ahsan Hamid Durrani ผู้อำนวยการบริหารของ Policy Research Center ในอิสลามาบัด กล่าวว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่คำนวณมาแล้ว “แม้ว่าชื่อเสียงระดับโลกของ CZ จะมีข้อถกเถียง แต่บทบาทของเขาในการกำหนดระบบนิเวศคริปโตทั่วโลกนั้นยากที่จะมองข้าม” Durrani กล่าว “มีบุคคลไม่กี่คนที่มีเครือข่าย ความเข้าใจทางเทคนิค และประสบการณ์อย่างที่เขามี”

 

เจ้าหน้าที่รัฐบาลรายหนึ่งบอกกับ Nikkei โดยขอไม่เปิดเผยชื่อว่า บทบาทของ Zhao กับ PCC เป็นเพียงที่ปรึกษาไม่ใช่ผู้กำกับดูแล และเขาจะไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ “การมีส่วนร่วมของ Zhao ควรถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่แสดงว่าปากีสถานต้องการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก โดยไม่ได้หมายความว่าจะลดมาตรฐานหรือความเข้มงวดในการควบคุมดูแลแต่อย่างใด” เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม

 

ผู้สังเกตการณ์เกรงว่าการที่ Zhao ถูกตัดสินความผิดในสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของปากีสถานในกรอบการทำงานของ Financial Action Task Force (FATF) ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับโลกที่ต่อต้านการฟอกเงิน

 

ปากีสถานเคยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง (Grey List) ของ FATF สามครั้งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ล่าสุดปากีสถานอยู่ในบัญชี Grey List ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2022 ซึ่งการอยู่ในบัญชีนี้ทำให้เศรษฐกิจปากีสถานสูญเสียมูลค่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2008 ถึง 2021 ตามรายงานวิจัยโดย Naafey Sardar รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่วิทยาลัย St. Olaf ในสหรัฐฯ

 

แม้จะมีความกังวล แต่ล่าสุดปากีสถานได้เริ่มโครงการริเริ่มหลายอย่างเพื่อควบคุมและรวมนวัตกรรมคริปโตเคอร์เรนซีเข้ากับกรอบการเงินแห่งชาติ นอกจากการก่อตั้ง PCC แล้ว ปากีสถานยังได้แต่งตั้ง Bilal bin Saqib ผู้ประกอบการเทคโนโลยีชาวปากีสถาน-อังกฤษ เป็น ‘ที่ปรึกษาหลัก’ ให้กับรัฐมนตรีการคลัง

 

Saqib กล่าวหลังจากได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนที่แล้วว่า ปากีสถานมีผู้ใช้คริปโตจำนวนมากอยู่แล้ว “ชาวปากีสถานประมาณ 15-20 ล้านคนถือครองคริปโตในปัจจุบัน ประเทศมีธุรกรรมคริปโตมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเราต้องการทำให้สิ่งนี้ถูกกฎหมาย เราต้องการมีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนเพื่อที่เราจะสามารถดึงดูดการลงทุนและปล่อยให้ระบบนิเวศเติบโตในปากีสถาน” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามสำคัญว่าปากีสถานมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับคริปโตเคอร์เรนซีหรือไม่ ด้วยการจัดอันดับที่ 97 ในความเร็วอินเทอร์เน็ตมือถือและ 142 ในความเร็วบรอดแบนด์ทั่วโลก โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่อ่อนแอของปากีสถานยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำคริปโตมาใช้ ขณะที่การขาดแคลนไฟฟ้าโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนยังคงส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค และราคาพลังงานยังคงสูง

 

ความท้าทายที่น่ากังวลอีกประการคือการใช้คริปโตโดยกลุ่มติดอาวุธ Tehreek-e-Taliban Pakistan (TTP) กลุ่มติดอาวุธต้องห้ามที่ทำสงครามกับรัฐตั้งแต่ปี 2007 ได้ประกาศแผนระดมทุนผ่านคริปโตเคอร์เรนซี โดยกระตุ้นให้ผู้สนับสนุนใช้ Binance สำหรับการบริจาค

 

ภาพ: Koshiro K/Shutterstock

อ้างอิง:

The post ปากีสถานตั้ง ‘CZ Binance’ เป็นที่ปรึกษาคริปโต! หวังเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านนักวิเคราะห์เตือน เสี่ยงกระทบ FATF appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ราชาคริปโต’ เสียท่า Bitcoin ร่วงต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหวั่นภาษี Trump https://thestandard.co/bitcoin-falls-below-78000-investors-sell-trump-tariff-fears/ Mon, 07 Apr 2025 05:54:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1061404 กราฟแสดงการร่วงลงของราคา Bitcoin ต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์หลังความกังวลเรื่องภาษีของทรัมป์

กระแสความตื่นตระหนกในตลาดการเงินโลกเริ่มส่งผลกระทบถึงวง […]

The post ‘ราชาคริปโต’ เสียท่า Bitcoin ร่วงต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหวั่นภาษี Trump appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟแสดงการร่วงลงของราคา Bitcoin ต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์หลังความกังวลเรื่องภาษีของทรัมป์

กระแสความตื่นตระหนกในตลาดการเงินโลกเริ่มส่งผลกระทบถึงวงการสกุลเงินดิจิทัลแล้ว หลังจาก Bitcoin ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงสู่ระดับต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางความวิตกกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของ Donald Trump ประธานาธิบดี ที่อาจนำไปสู่สงครามการค้าโลก

 

ล่าสุดราคา Bitcoin ดิ่งลง 6% มาอยู่ที่ 77,730.03 ดอลลาร์ ตามรายงานของ Coin Metrics ซึ่งนับเป็นการทิ้งดิ่งจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนมกราคมถึง 28% แม้ว่าก่อนหน้านี้ราคาจะยืนเหนือระดับ 80,000 ดอลลาร์มาเกือบตลอดทั้งปี ยกเว้นในช่วงผันผวนสั้นๆ ไม่กี่ครั้ง

 

ที่น่าสนใจคือในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ตลาดหุ้นจะดิ่งหนัก แต่ Bitcoin กลับแสดงความแข็งแกร่งโดยรักษาระดับราคาไว้ได้ระหว่าง 82,000-83,000 ดอลลาร์ และยังปิดสัปดาห์ด้วยแนวโน้มบวกในขณะที่ทั้งตลาดหุ้นและทองคำต่างร่วงลง สวนทางกับธรรมชาติที่มักเคลื่อนไหวคล้ายหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และถูกมองว่าเป็น ‘สัญญาณเตือนล่วงหน้า’ ของความรู้สึกตลาด

 

อย่างไรก็ตาม สกุลเงินคริปโตอื่นๆ ไม่ได้โชคดีเท่า โดย Ether และโทเค็นของ Solana ต่างทรุดหนักถึงประมาณ 12% ในช่วงข้ามคืน

 

การร่วงลงของ Bitcoin ครั้งนี้ได้กระตุ้นให้เกิดคลื่นการ ‘ล้างพอร์ต’ ของนักลงทุนที่เดิมพันว่าราคาจะสูงขึ้น โดยพวกเขาถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ของตัวเองเพื่อนำเงินมาชดเชยส่วนที่ขาดทุน 

 

ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการล้างพอร์ตของนักลงทุน Bitcoin ที่เดิมพันขาขึ้นเป็นมูลค่ากว่า 247 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Ether ก็มีการล้างพอร์ตในลักษณะเดียวกันเป็นมูลค่า 217 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน อ้างอิงจากข้อมูลของ CoinGlass

 

ความกังวลเรื่องนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของ Trump ที่ครอบคลุมทั้งภาษีทั่วไปสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดและภาษีพิเศษสำหรับคู่ค้ารายใหญ่ ได้จุดชนวนความหวาดกลัวเรื่องสงครามการค้าที่อาจลุกลามเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท รวมถึงเหรียญคริปโตที่ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงสุดสัปดาห์

 

ผลกระทบจากประกาศมาตรการภาษีรุนแรงถึงขนาดทำให้มูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกหายไปถึง 7.46 ล้านล้านดอลลาร์เพียงแค่สองวันทำการ โดยแบ่งเป็นการสูญเสียในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 5.87 ล้านล้านดอลลาร์ และในตลาดหลักทั่วโลกอื่นๆ อีก 1.59 ล้านล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก S&P Dow Jones Indices

 

ปัจจุบัน Bitcoin ติดลบ 15% ในปี 2025 และหากไม่มีปัจจัยหนุนเฉพาะสำหรับวงการคริปโตเกิดขึ้น คาดว่าราชาแห่งคริปโตนี้จะยังคงเคลื่อนไหวไปพร้อมกับตลาดหุ้น ขณะที่ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกได้บดบังความคาดหวังเชิงบวกจากการผ่อนคลายกฎระเบียบที่วงการคริปโตเคยหวังว่าจะได้รับในปีนี้

 

อ้างอิง: 

The post ‘ราชาคริปโต’ เสียท่า Bitcoin ร่วงต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหวั่นภาษี Trump appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF ประกาศให้ ‘Bitcoin’ และ ‘คริปโต’ เป็นหนึ่งใน Asset Class ของโลกอย่างเป็นทางการ https://thestandard.co/imf-bitcoin-crypto-asset-class/ Mon, 24 Mar 2025 11:48:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1056049

เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา International Monetary F […]

The post IMF ประกาศให้ ‘Bitcoin’ และ ‘คริปโต’ เป็นหนึ่งใน Asset Class ของโลกอย่างเป็นทางการ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา International Monetary Fund หรือ IMF ประกาศให้ Bitcoin และ คริปโตเคอร์เรนซี เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ (Asset Class) ของโลกอย่างเป็นทางการใน BPM7 ฉบับล่าสุด หรือคู่มือบัญชีดุลการชำระเงินและสถานการลงทุนระหว่างประเทศฉบับบูรณาการ 

 

โดย IMF ได้พิจารณาให้ Bitcoin และเหรียญคริปโตที่ไม่มีสินทรัพย์ใดๆ หรือแพลตฟอร์มมารองรับ เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ใช่การเงินที่ไม่ได้เกิดจากการผลิต (Non-produced Non-financial Assets) ซึ่งอยู่ในประเภทเดียวกับทรัพย์สินประเภททรัพยากรธรรมชาติที่โอนกรรมสิทธิ์ได้หรือพวกกลุ่มทรัพย์สินทางปัญญา 

 

หากมีการทำธุรกรรมใน Bitcoin และเหรียญคริปโตประเภทนี้ระหว่างประเทศ (Cross boarder Transaction) ก็เทียบเคียงได้กับการทำธุรกรรมของทองคำหรือที่ดิน เป็นต้น

 

ในขณะที่เหรียญคริปโตที่มีแพลตฟอร์มมารองรับ เช่น Ethereum หรือ Solana ทาง BPM7 ก็พิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์ประเภทคล้ายทุน (Equity-Like Holding) และจะพิจารณาคล้ายกับการถือครองหุ้นต่างประเทศหากถือครองสินทรัพย์ดังกล่าวบนคนละประเทศกับผู้พัฒนาเหรียญ

 

และท้ายที่สุด BPM7 ได้พิจารณาให้การถือเหรียญ Stablecoin ที่มีระบบการจ่ายดอกเบี้ยแบบ Staking อาทิ USDT ในฐานะเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่ง (Financial Instrument) ที่หากมีการบันทึกสินทรัพย์จะบันทึกตามลักษณะของสินทรัพย์ที่ถูกนำมาค้ำประกัน

 

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากภายในกล่าวกันว่า IMF อาจมีแผนนำ Bitcoin เข้าไปคำนวณใน SDR หรือ Special Drawing Rights Index ซึ่ง SDR เป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศที่ออกโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งมูลค่าของ SDR คำนวณจากตะกร้าสกุลเงินหลัก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), หยวนจีน (CNY), เยนญี่ปุ่น (JPY) และปอนด์อังกฤษ (GBP)

 

ไม่เพียงเท่านั้น IMF ยังมีมุมมองที่เปลี่ยนไปในทิศทางเชิงบวกต่อ Bitcoin มากขึ้นในช่วงหลังมานี้ จากที่เคยเป็นหนึ่งในองค์กรที่เคยมีมุมมองเชิงต่อต้าน Bitcoin ในอดีต

 

อ้างอิง:

The post IMF ประกาศให้ ‘Bitcoin’ และ ‘คริปโต’ เป็นหนึ่งใน Asset Class ของโลกอย่างเป็นทางการ appeared first on THE STANDARD.

]]>