Cryptocurrency – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 23 Aug 2025 06:22:25 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Ether ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย https://thestandard.co/ether-hits-4-year-high/ Sat, 23 Aug 2025 06:22:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1110393

Ether (ETH) สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ท […]

The post Ether ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย appeared first on THE STANDARD.

]]>

Ether (ETH) สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All-Time High) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 สิงหาคม) หลังจากสุนทรพจน์ของ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ย จุดชนวนให้ตลาดกลับเข้าสู่โหมดเปิดรับความเสี่ยง (Risk-on) และกระตุ้นให้เกิดการล้างพอร์ตสถานะ Short ครั้งใหญ่

 

ราคา Ether พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงถึง 15% ในช่วงค่ำวันศุกร์ แตะระดับสูงสุดที่ 4,885 ดอลลาร์ ทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ 4,866 ดอลลาร์ ขณะที่ Bitcoin (BTC) ก็ปรับตัวสูงขึ้น 4% สู่ระดับ 117,008 ดอลลาร์เช่นกัน

 

จอร์ดี้ อเล็กซานเดอร์ ซีอีโอของ Selini Capital บริษัทให้บริการซื้อขายคริปโต กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเทรดเดอร์จะคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงกับความคิดเห็นในเชิงผ่อนคลายของพาวเวลในวันนี้”

 

ก่อนหน้านี้นักลงทุนจำนวนมากได้วางสถานะไปในทิศทางปิดรับความเสี่ยง (Risk-off) แต่สัญญาณลดดอกเบี้ยที่ชัดเจนขึ้น กำลังทำให้เกิดปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว

 

ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการล้างพอร์ตสถานะชอร์ต (Short Squeeze) อย่างรุนแรง โดยข้อมูลจาก CoinGlass ระบุว่า ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง มีสถานะชอร์ตของ Ether ถูกบังคับปิดไปเป็นมูลค่ากว่า 120 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการที่ผู้ที่เปิดสถานะชอร์​ตถูกบังคับให้ต้องซื้อ Ether คืนจากตลาดเพื่อตัดขาดทุน ยิ่งเป็นการผลักดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปอีก

 

นอกเหนือจากปัจจัยหนุนระยะสั้นจากท่าทีของเฟดแล้ว ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา Ether ได้แสดงบทบาทผู้นำในตลาดคริปโตอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นแรงส่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าของกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ เช่น GENIUS Act ได้กระตุ้นให้ความสนใจจากนักลงทุนสถาบันใน Stablecoins เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งการมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ Stablecoin ปัจจุบัน Stablecoins คิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของค่าธรรมเนียมทั้งหมดบนบล็อกเชน และมากกว่าครึ่งหนึ่งของ Stablecoins เหล่านั้นทำงานอยู่บนบล็อกเชนของ Ethereum

 

การฟื้นตัวของ Ether ได้ส่งผลบวกไปยังหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องซึ่งเคยถูกเทขายอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย Bitmine Immersion และ SharpLink Gaming ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นการสะสม Ether พุ่งขึ้น 12% และ 15% ตามลำดับ ขณะที่ Coinbase และ MicroStrategy ก็ปรับตัวสูงขึ้น 6% เท่ากัน

 

อย่างไรก็ตาม ETHzilla ซึ่งเป็นบริษัทคลัง Ether ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ปีเตอร์ ธีล กลับร่วงลงถึง 31.4% สวนทางตลาด หลังจากที่บริษัทเสนอขายหุ้นล็อตใหญ่ออกมา

 

อ้างอิง:

  • https://www.cnbc.com/2025/08/22/crypto-market-today.htm

The post Ether ทุบสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย appeared first on THE STANDARD.

]]>
คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ https://thestandard.co/touristdigipay-crypto-to-baht/ Tue, 19 Aug 2025 01:19:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1108664

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDig […]

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

กระทรวงการคลังได้ร่วมมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ถือเป็นฟีเจอร์ที่มีที่เดียวในโลกเปิดทางนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้คริปโตฯ แลกบาท จ่ายซื้อสินค้า หนุนภาคท่องเที่ยว

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผย กระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’ เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถือครองอยู่เป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้า และบริการกับร้านค้าต่าง ๆ ในประเทศไทยได้ปลอดภัย

 

โดยกระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 

สำหรับโครงการนี้ว่า เป็นการนำระบบที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันมาเชื่อมโยงกัน โดยให้ Exchange ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทยเป็นผู้แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี เป็นเงินบาท แล้วโอนเข้าบัญชี E-Money ของนักท่องเที่ยวที่เปิดใหม่ โดยจะมีการทำ KYC (Know Your Customer) อย่างเข้มงวด เพื่อตรวจสอบตัวตนและยืนยันว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจริง

 

“เรากำลังสร้างฟีเจอร์ที่จะเป็นรูปแบบเดียวของโลกที่มีไม่เหมือนใคร คือเราไม่ได้ใช้คริปโทฯ เป็นเงินโดยตรง แต่แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อน ซึ่งต่างจากบางประเทศที่ใช้คริปโทฯ เป็นสกุลเงินหลัก นอกจากนี้เรายังไม่ได้ผูกคริปโทฯ เข้ากับบัตรเครดิต เพราะร้านค้าในไทยจำนวนมากไม่ได้รองรับการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต” พิชัยกล่าว

 

ภาพ: บรรยากาศงานแถลงข่าว การเปิดตัว ‘โครงการ TouristDigiPay’

 

ยืนยัน ‘TouristDigiPay ไม่ใช่ ‘Means of Payment’

 

พิชัย ได้ย้ำต่อว่าโครงการ ‘TouristDigiPay’ นี้ ไม่ใช่การใช้คริปโทเคอร์เรนซีเป็น Means of Payment หรือสื่อกลางในการชำระเงินโดยตรง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นเงินบาทไทยก่อนการใช้จ่ายจริง

 

โดยการออกแบบนี้มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่ผู้ประกอบการและร้านค้ารายย่อยในประเทศอาจเผชิญ หากต้องรับคริปโทฯ โดยตรง ซึ่งมีความผันผวนสูงและจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการที่ซับซ้อน

 

นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ยังไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงินเข้าถึงร้านค้ารายย่อย

 

พิชัยกล่าวต่อว่า การแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทก่อนใช้จ่าย จะช่วยให้ร้านค้ารายย่อยทั่วไปสามารถรับการชำระเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบใด ๆ เนื่องจากเมื่อนักท่องเที่ยวชำระเงินเข้ามา ร้านค้าก็จะได้รับเป็นเงินบาทปกติ และไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล

 

หวังดันนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเพิ่มอีก 1.75 แสนล้านบาท

 

จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยปีละประมาณ 35 ล้านคน และมีการใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 50,000 บาทต่อทริป หากโครงการนี้สามารถจูงใจให้นักท่องเที่ยวเพิ่มการใช้จ่ายได้ 10% จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีกถึง 1.75 แสนล้านบาท

 

“เราไม่ได้คาดหวังให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโทฯ 100% แต่หวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น จากเดิมคนละ 50,000 บาท อาจเพิ่มเป็น 55,000 บาท เนื่องจากความสะดวกในการใช้จ่าย” พิชัยกล่าว

 

มาตรการป้องกันการฟอกเงินและการใช้งาน

 

โครงการ TouristDigiPay ยังอยู่ในระยะของโครงการนำร่อง ‘Sandbox’ โดยมีการกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ที่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน และวงเงินสูงสุดในการใช้จ่ายต่อรายการไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการฟอกเงิน โดยระบบทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และธปท.

 

เฟสต่อไปจ่อเพิ่มวงเงินเปิดทางใช้ซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูงได้

 

ด้านลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนแนวคิดจากเดิมที่จำกัดพื้นที่ มาเป็นการจำกัดวงเงินแทน โดยนักท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายเงินดิจิทัลได้ทั่วประเทศ แต่มีเพดานวงเงินแบบ

 

ลวรณ กล่าวต่อว่า ในอนาคตหากการใช้เงินดิจิทัลเป็นที่ยอมรับมากขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการซื้อขายสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือเรือยอชต์ผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งหลายประเทศก็เริ่มมีการดำเนินการในลักษณะนี้แล้ว

 

ก.ล.ต. คาด TouristDigiPay เริ่มเปิดใช้ในไตรมาส 4 นี้

 

ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า คาดว่าโครงการนี้จะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 4/2568 โดยคาดว่าจะมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม 1-2 รายแรกที่สามารถเริ่มให้บริการได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลให้ความสนใจแล้วกว่า 35 ราย

 

โปรเจกต์ Sandbox นี้มีระยะเวลา 18 เดือน หากการทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ก็เชื่อมั่นว่านวัตกรรมนี้จะสามารถขยายผลในวงกว้างได้ในอนาคต

 

สำหรับโครงสร้างของ TouristDigiPay ใช้ Ecosystem เดิม ที่มีอยู่แล้ว โดยฝั่งหนึ่งคือระบบของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เช่น ศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือระบบการชำระเงินของภาคธุรกิจทั่วไป ซึ่งรวมถึง Tourist Wallet ที่พัฒนาโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ผู้ให้บริการในโครงการนี้จึงเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตจากทั้ง ก.ล.ต. และ ธปท. รวมถึงอยู่ภายใต้การดูแลเรื่องกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยกำหนดวงเงินการใช้จ่ายไว้ดังนี้

 

  • ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้ารายย่อย
  • ไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินกับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ know your merchant (kym)

 

นอกจากนี้ โครงการนี้ไม่มีการจำกัดพื้นที่ สามารถเข้าถึงได้ทุกร้านค้าในประเทศไทย และคาดหวังว่าจะเริ่มใช้ได้ทันช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 นี้

 

 

ดร. พรอนงค์ ย้ำว่า TouristDigiPay ไม่ใช่ การใช้คริปโตฯ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการโดยตรง (Means of payment) แต่เป็นการ แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ จากคริปโตฯ เป็นเงินบาท แล้วนำเงินบาทที่ได้ไปใช้จ่ายผ่านระบบชำระเงินปกติ เช่น QR Code การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะส่งผลกระทบต่อร้านค้า

 

สำหรับสกุลเงินคริปโตฯ ที่สามารถใช้ได้นั้น ไม่มีการจำกัด โดยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละรายว่าจะลิสต์เหรียญใดไว้บ้าง และเมื่อนักท่องเที่ยวแลกเงินบาทไปแล้ว แต่ใช้ไม่หมด ก็สามารถนำเงินบาทที่เหลือมาแลกกลับเป็นคริปโตฯ สกุลเดิม หรือสกุลอื่นเพื่อโอนกลับไปยัง Wallet ของตนเองได้เช่นกัน

 

 

ปปง. ยืนยันมีความพร้อมในการตรวจสอบการฟอกเงิน

 

เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ถึงมาตรการความพร้อมในการรับมือกับโครงการ TouristDigiPay โดยยืนยันว่า ปปง.มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการตรวจสอบและสกัดกั้นการฟอกเงินตั้งแต่ต้นทาง

 

โดย ปปง.ทำงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกระบวนการที่เงินจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล ซึ่งมีมาตรการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง ทั้งในส่วนของ การยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) และ การตรวจสอบสถานะลูกค้า (CDD) “เรามั่นใจในกระบวนการทำงานของเรา เพราะเราเน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง โดยมีการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้น” เลขาธิการ ปปง.กล่าว

 

เมื่อถูกถามถึงกรณีที่อาจมีเงินผิดกฎหมายหลุดรอดไปถึงปลายทาง เลขาธิการ ปปง.กล่าวว่า “หากมีการเปลี่ยนเงินดิจิทัลกลับมาเป็นเงินสด เราก็จะมีการตรวจสอบอีกครั้ง”

 

นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า ปปง. มีความพร้อมอย่างเต็มที่แม้จะมีการขยายเวลาโครงการหรือเพิ่มวงเงินในอนาคต

The post คลังจับมือหลายหน่วยงานเปิดตัว ‘TouristDigiPay’ ฟีเจอร์เดียวในโลก เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาตินำคริปโตฯ แลก ‘เงินบาท’ ใช้ซื้อสินค้าได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin ทุบสถิติใหม่ครั้งแรก 1.2 แสนดอลลาร์ครั้งแรก หลังสถานะ Short กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกบังคับปิด กลายเป็นแรงส่งสำคัญพาราคาทะลุแนวต้าน https://thestandard.co/bitcoin-breaks-120k/ Mon, 14 Jul 2025 05:22:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1096126 bitcoin-breaks-120k

Bitcoin ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการพุ่งทะยานทะ […]

The post Bitcoin ทุบสถิติใหม่ครั้งแรก 1.2 แสนดอลลาร์ครั้งแรก หลังสถานะ Short กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกบังคับปิด กลายเป็นแรงส่งสำคัญพาราคาทะลุแนวต้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
bitcoin-breaks-120k

Bitcoin ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการพุ่งทะยานทะลุระดับ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรก ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ราคาเคยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ บริเวณ 100,000 ดอลลาร์มานานหลายเดือน จนทำให้นักวิเคราะห์หลายคนสงสัยว่าโมเมนตัมที่เคยร้อนแรงเป็นประวัติการณ์เมื่อช่วงต้นปีจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่

 

ราคาของ Bitcoin ซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญของตลาดคริปโท ได้พุ่งขึ้นสูงสุดถึง 1.9% แตะระดับ 121,344 ดอลลาร์ (ประมาณ 3.94 ล้านบาท) ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นแล้วประมาณ 30% นับตั้งแต่เดือนธันวาคม และเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 

 

การกลับมาพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเคยชะลอความร้อนแรงลงจากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ขณะนี้เมื่อสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น หุ้น กลับมาทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง Bitcoin ก็ได้กลับมาอยู่ในทิศทางขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

 

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยโหมกระแสในรอบล่าสุดคือการล้างพอร์ตสถานะขาย (Short Position) ของนักเทรดฝั่งที่มองว่าราคาจะลดลง โดยข้อมูลจาก Coinglass ระบุว่าในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสถานะขายของนักลงทุนที่เดิมพันว่าราคา Bitcoin จะร่วง ถูกบังคับให้ปิดสถานะ (Liquidation) คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.24 หมื่นล้านบาท) ซึ่งการบังคับซื้อคืนนี้ได้กลายเป็นแรงส่งที่ผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

George Mandres เทรดเดอร์อาวุโสของ XBTO Trading LLC กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งสัญญาณถึง ‘มุมมองที่เติบโตขึ้น’ ต่อ Bitcoin ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาคและเป็น ‘สินทรัพย์ที่ใช้เก็บความมั่งคั่ง’ ที่มีอยู่อย่างจำกัด” 

 

เขามองว่าแรงซื้อในตลาดหุ้นประกอบกับการไหลเข้าของเงินทุนสถาบันในกองทุน Spot Bitcoin และ Ethereum ETF เป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างมั่นคงและมีความผันผวนน้อยกว่ารอบขาขึ้นในอดีต

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังต่อ ‘สัปดาห์คริปโท’ (Crypto Week) ในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะมีการอภิปรายและอาจลงมติในกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี 

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนยังคงไม่ปักใจเชื่อกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้ “ในมุมมองของผม นี่ไม่ใช่การปรับขึ้นที่ขับเคลื่อนโดยปัจจัยมหภาค แต่เป็น ‘เหตุการณ์เฉพาะจุด’ มากกว่า” Nicolai Sondergaard นักวิเคราะห์วิจัยจาก Nansen กล่าว 

 

แต่เขาก็ยอมรับว่า “พัฒนาการด้านนโยบายล่าสุดของสหรัฐฯ เช่น การขยายตัวทางการคลังและความคาดหวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ได้สร้าง ‘ปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวย’ ต่อ Bitcoin อย่างปฏิเสธไม่ได้”

 

หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.43 บาท ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 


อ้างอิง: 

The post Bitcoin ทุบสถิติใหม่ครั้งแรก 1.2 แสนดอลลาร์ครั้งแรก หลังสถานะ Short กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ถูกบังคับปิด กลายเป็นแรงส่งสำคัญพาราคาทะลุแนวต้าน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘หุ้น’ ไม่ใช่คำตอบ เศรษฐี Gen Y-Z แห่เทเงินสู่ทองคำ คริปโตฯ และศิลปะ หวัง ‘รวยเร็ว’ ไม่สนตลาดหุ้น https://thestandard.co/gen-y-z-shun-stocks-for-gold-crypto/ Fri, 27 Jun 2025 02:16:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1089790

‘ตลาดหุ้น’ เคยเป็นทางเลือกหลักสำหรับการลงทุ […]

The post ‘หุ้น’ ไม่ใช่คำตอบ เศรษฐี Gen Y-Z แห่เทเงินสู่ทองคำ คริปโตฯ และศิลปะ หวัง ‘รวยเร็ว’ ไม่สนตลาดหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘ตลาดหุ้น’ เคยเป็นทางเลือกหลักสำหรับการลงทุน แต่แนวโน้มนี้กำลังเปลี่ยนไป เมื่อ ‘คนรุ่นใหม่’ ที่มีอายุระหว่าง 21-43 ปี และมีสินทรัพย์อย่างน้อย 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 110 ล้านบาท) เข้าสู่สนามการลงทุน

 

ผลสำรวจล่าสุดจาก Bank of America เผยว่า พวกเขามีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเพียง 25% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนักลงทุนที่มีอายุ 43 ปีขึ้นไปที่ลงทุนในหุ้นถึง 55% นอกจากนี้ เศรษฐีรุ่นใหม่ในสหรัฐฯ ถึง 93% ระบุว่ามีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน ‘ลงทุนทางเลือก’ มากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 

เหตุผลหลักที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ คือความต้องการ ‘สร้างผลตอบแทน’ ที่ดีกว่า และความไม่เชื่อมั่นในตลาดหุ้นที่ผันผวน โดย ‘ลงทุนทางเลือก’ ที่กำลังดึงดูดความสนใจของเศรษฐีรุ่นใหม่เหล่านี้มีหลายประเภท

 

หนึ่งในนั้นคือ ทองคำ ผลสำรวจของ Bank of America ชี้ว่า 45% ของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่เป็นเศรษฐีเป็นเจ้าของทองคำและอีก 45% แสดงความสนใจที่จะถือครองทองคำ

 

ในอดีต ทองคำทำหน้าที่เป็นหลักประกันป้องกัน ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ และความผันผวนของตลาดได้เป็นอย่างดี โดยล่าสุด ณ เดือนมิถุนายน 2025 ราคาทองคำได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ราว 3,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์

 

อสังหาริมทรัพย์ ก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง อัตราค่าเช่าและมูลค่าทรัพย์สินมักจะเพิ่มขึ้นตาม ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูงไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็ยังคงเห็นโอกาสในสินทรัพย์นี้ 31% ของคนรุ่นใหม่ในการสำรวจของ Bank of America กล่าวว่าอสังหาริมทรัพย์นำเสนอโอกาสการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

งานศิลปะ ถือเป็นวิธีที่สร้างสรรค์ในการกระจายความเสี่ยง โดยกว่า 72% ของนักลงทุนรุ่นใหม่เชื่อว่าการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยได้อีกต่อไป

 

ตลาดศิลปะมีมูลค่าการทำธุรกรรมต่อปีมากกว่า 6.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีมูลค่ารวมทั่วโลกอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ขนาดใหญ่ และศิลปะร่วมสมัยยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 11.5% ระหว่างปี 1995-2023 ซึ่งสูงกว่า S&P 500 ที่ 9.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

Private Equity หรือการลงทุนในบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น และต้องการการควบคุมการลงทุนมากขึ้น โดยกว่า 25% ของเศรษฐีรุ่นใหม่ระบุว่า Private Equity เป็นหนึ่งในโอกาสการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้จะมีความเสี่ยงสูงและต้องใช้ความมุ่งมั่นในระยะยาว แต่ก็มอบศักยภาพในการเติบโตที่สำคัญ

 

สุดท้าย Cryptocurrency ก็ได้ก้าวเข้าสู่กระแสหลัก แม้ในอดีตจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง แต่ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดทั่วโลกสูงถึง 3.29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นักลงทุนรุ่นใหม่ต่างชื่นชอบสินทรัพย์ประเภทนี้

 

โดย 29% ของคนรุ่นใหม่ในการสำรวจของ Bank of America กล่าวว่า Cryptocurrency นำเสนอโอกาสการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เทียบกับเพียง 7% ของกลุ่มนักลงทุนรุ่นเก๋า และเศรษฐีรุ่นใหม่ยังจัดสรร 15% ของพอร์ตการลงทุนให้กับคริปโตฯ เทียบกับเพียง 2% ของคนรุ่นเก่า

 

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุน ‘คนรุ่นใหม่’ กำลังปรับกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่งอย่างกระตือรือร้น โดยกระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์นอกเหนือจากตลาดดั้งเดิม เพื่อปกป้องและ ‘สร้างผลตอบแทน’ ให้กับความมั่งคั่งของตนในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

 

ภาพ: PeopleImages.com – Yuri A / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ‘หุ้น’ ไม่ใช่คำตอบ เศรษฐี Gen Y-Z แห่เทเงินสู่ทองคำ คริปโตฯ และศิลปะ หวัง ‘รวยเร็ว’ ไม่สนตลาดหุ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปากีสถานตั้ง ‘CZ Binance’ เป็นที่ปรึกษาคริปโต! หวังเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านนักวิเคราะห์เตือน เสี่ยงกระทบ FATF https://thestandard.co/pakistan-cz-binance-crypto-advisor/ Tue, 15 Apr 2025 08:04:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1064746

การแต่งตั้ง Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้ง Binance เป็นที่ปร […]

The post ปากีสถานตั้ง ‘CZ Binance’ เป็นที่ปรึกษาคริปโต! หวังเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านนักวิเคราะห์เตือน เสี่ยงกระทบ FATF appeared first on THE STANDARD.

]]>

การแต่งตั้ง Zhao Changpeng ผู้ก่อตั้ง Binance เป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ให้กับสภาคริปโตของปากีสถานที่ตั้งขึ้นใหม่ สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากเขาเคยถูกจำคุกในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วจากข้อหาฟอกเงิน

 

เศรษฐีพันล้านสัญชาติแคนาดาเชื้อสายจีนและผู้ก่อตั้งตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ให้กับ Pakistan Crypto Council (PCC) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 

 

Zhao ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Binance ในปี 2023 หลังจากบริษัทถูกปรับเป็นเงิน 4.3 พันล้านดอลลาร์เมื่อถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานละเมิดกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินและมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ

 

PCC ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคมเพื่อสร้างกรอบการกำกับดูแลสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต หลังจากได้รับการแต่งตั้ง Zhao หรือที่รู้จักกันในนาม CZ ได้มีการประชุมแยกกับนายกรัฐมนตรี Shahbaz Sharif และรองนายกรัฐมนตรี Ishaq Dar

 

Muhammad Aurangzeb รัฐมนตรีการคลังของปากีสถานและประธาน PCC เรียกการแต่งตั้ง Zhao ว่าเป็น ช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ แถลงการณ์ทางการระบุ “เรากำลังส่งข้อความชัดเจนถึงโลกว่า ปากีสถานเปิดรับนวัตกรรม

 

“ปากีสถานมีนักลงทุนที่ซื้อขายและลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมากกว่าจำนวนนักลงทุนในตลาดหุ้นปากีสถานประมาณ 3-4 เท่า” Shoaib Lalani ผู้ก่อตั้ง FinPocket แพลตฟอร์มการลงทุนในปากีสถาน กล่าวกับสำนักข่าว Nikkei Asia 

 

“หากมีการนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง (PCC) อาจช่วยปรับปรุงธรรมาภิบาลและให้การคุ้มครองนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย” เขากล่าวเสริม

 

การแต่งตั้ง Zhao ได้สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนการเงินและธุรกิจเนื่องจากประวัติที่เป็นที่ถกเถียง เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 4 เดือนในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วหลังจากยอมรับสารภาพว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการฟอกเงิน

 

Ikram ul Haq ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและภาษี เรียกการตัดสินใจของรัฐบาลว่าน่าตกใจ “มันแสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการตรวจสอบประวัติ หรือความพยายามโดยเจตนาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว” เขากล่าว “นี่ยืนยันอีกครั้งว่าเจ้าหน้าที่รัฐและผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งในปากีสถานทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์สาธารณะ”

 

อย่างไรก็ตาม Ahsan Hamid Durrani ผู้อำนวยการบริหารของ Policy Research Center ในอิสลามาบัด กล่าวว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่คำนวณมาแล้ว “แม้ว่าชื่อเสียงระดับโลกของ CZ จะมีข้อถกเถียง แต่บทบาทของเขาในการกำหนดระบบนิเวศคริปโตทั่วโลกนั้นยากที่จะมองข้าม” Durrani กล่าว “มีบุคคลไม่กี่คนที่มีเครือข่าย ความเข้าใจทางเทคนิค และประสบการณ์อย่างที่เขามี”

 

เจ้าหน้าที่รัฐบาลรายหนึ่งบอกกับ Nikkei โดยขอไม่เปิดเผยชื่อว่า บทบาทของ Zhao กับ PCC เป็นเพียงที่ปรึกษาไม่ใช่ผู้กำกับดูแล และเขาจะไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ “การมีส่วนร่วมของ Zhao ควรถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่แสดงว่าปากีสถานต้องการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก โดยไม่ได้หมายความว่าจะลดมาตรฐานหรือความเข้มงวดในการควบคุมดูแลแต่อย่างใด” เจ้าหน้าที่กล่าวเสริม

 

ผู้สังเกตการณ์เกรงว่าการที่ Zhao ถูกตัดสินความผิดในสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของปากีสถานในกรอบการทำงานของ Financial Action Task Force (FATF) ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับโลกที่ต่อต้านการฟอกเงิน

 

ปากีสถานเคยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง (Grey List) ของ FATF สามครั้งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ล่าสุดปากีสถานอยู่ในบัญชี Grey List ตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2022 ซึ่งการอยู่ในบัญชีนี้ทำให้เศรษฐกิจปากีสถานสูญเสียมูลค่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2008 ถึง 2021 ตามรายงานวิจัยโดย Naafey Sardar รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่วิทยาลัย St. Olaf ในสหรัฐฯ

 

แม้จะมีความกังวล แต่ล่าสุดปากีสถานได้เริ่มโครงการริเริ่มหลายอย่างเพื่อควบคุมและรวมนวัตกรรมคริปโตเคอร์เรนซีเข้ากับกรอบการเงินแห่งชาติ นอกจากการก่อตั้ง PCC แล้ว ปากีสถานยังได้แต่งตั้ง Bilal bin Saqib ผู้ประกอบการเทคโนโลยีชาวปากีสถาน-อังกฤษ เป็น ‘ที่ปรึกษาหลัก’ ให้กับรัฐมนตรีการคลัง

 

Saqib กล่าวหลังจากได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนที่แล้วว่า ปากีสถานมีผู้ใช้คริปโตจำนวนมากอยู่แล้ว “ชาวปากีสถานประมาณ 15-20 ล้านคนถือครองคริปโตในปัจจุบัน ประเทศมีธุรกรรมคริปโตมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเราต้องการทำให้สิ่งนี้ถูกกฎหมาย เราต้องการมีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนเพื่อที่เราจะสามารถดึงดูดการลงทุนและปล่อยให้ระบบนิเวศเติบโตในปากีสถาน” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามสำคัญว่าปากีสถานมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับคริปโตเคอร์เรนซีหรือไม่ ด้วยการจัดอันดับที่ 97 ในความเร็วอินเทอร์เน็ตมือถือและ 142 ในความเร็วบรอดแบนด์ทั่วโลก โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่อ่อนแอของปากีสถานยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำคริปโตมาใช้ ขณะที่การขาดแคลนไฟฟ้าโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนยังคงส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค และราคาพลังงานยังคงสูง

 

ความท้าทายที่น่ากังวลอีกประการคือการใช้คริปโตโดยกลุ่มติดอาวุธ Tehreek-e-Taliban Pakistan (TTP) กลุ่มติดอาวุธต้องห้ามที่ทำสงครามกับรัฐตั้งแต่ปี 2007 ได้ประกาศแผนระดมทุนผ่านคริปโตเคอร์เรนซี โดยกระตุ้นให้ผู้สนับสนุนใช้ Binance สำหรับการบริจาค

 

ภาพ: Koshiro K/Shutterstock

อ้างอิง:

The post ปากีสถานตั้ง ‘CZ Binance’ เป็นที่ปรึกษาคริปโต! หวังเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ด้านนักวิเคราะห์เตือน เสี่ยงกระทบ FATF appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ราชาคริปโต’ เสียท่า Bitcoin ร่วงต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหวั่นภาษี Trump https://thestandard.co/bitcoin-falls-below-78000-investors-sell-trump-tariff-fears/ Mon, 07 Apr 2025 05:54:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1061404 กราฟแสดงการร่วงลงของราคา Bitcoin ต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์หลังความกังวลเรื่องภาษีของทรัมป์

กระแสความตื่นตระหนกในตลาดการเงินโลกเริ่มส่งผลกระทบถึงวง […]

The post ‘ราชาคริปโต’ เสียท่า Bitcoin ร่วงต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหวั่นภาษี Trump appeared first on THE STANDARD.

]]>
กราฟแสดงการร่วงลงของราคา Bitcoin ต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์หลังความกังวลเรื่องภาษีของทรัมป์

กระแสความตื่นตระหนกในตลาดการเงินโลกเริ่มส่งผลกระทบถึงวงการสกุลเงินดิจิทัลแล้ว หลังจาก Bitcoin ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงสู่ระดับต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ ท่ามกลางความวิตกกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของ Donald Trump ประธานาธิบดี ที่อาจนำไปสู่สงครามการค้าโลก

 

ล่าสุดราคา Bitcoin ดิ่งลง 6% มาอยู่ที่ 77,730.03 ดอลลาร์ ตามรายงานของ Coin Metrics ซึ่งนับเป็นการทิ้งดิ่งจากจุดสูงสุดตลอดกาลในเดือนมกราคมถึง 28% แม้ว่าก่อนหน้านี้ราคาจะยืนเหนือระดับ 80,000 ดอลลาร์มาเกือบตลอดทั้งปี ยกเว้นในช่วงผันผวนสั้นๆ ไม่กี่ครั้ง

 

ที่น่าสนใจคือในสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ตลาดหุ้นจะดิ่งหนัก แต่ Bitcoin กลับแสดงความแข็งแกร่งโดยรักษาระดับราคาไว้ได้ระหว่าง 82,000-83,000 ดอลลาร์ และยังปิดสัปดาห์ด้วยแนวโน้มบวกในขณะที่ทั้งตลาดหุ้นและทองคำต่างร่วงลง สวนทางกับธรรมชาติที่มักเคลื่อนไหวคล้ายหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และถูกมองว่าเป็น ‘สัญญาณเตือนล่วงหน้า’ ของความรู้สึกตลาด

 

อย่างไรก็ตาม สกุลเงินคริปโตอื่นๆ ไม่ได้โชคดีเท่า โดย Ether และโทเค็นของ Solana ต่างทรุดหนักถึงประมาณ 12% ในช่วงข้ามคืน

 

การร่วงลงของ Bitcoin ครั้งนี้ได้กระตุ้นให้เกิดคลื่นการ ‘ล้างพอร์ต’ ของนักลงทุนที่เดิมพันว่าราคาจะสูงขึ้น โดยพวกเขาถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ของตัวเองเพื่อนำเงินมาชดเชยส่วนที่ขาดทุน 

 

ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีการล้างพอร์ตของนักลงทุน Bitcoin ที่เดิมพันขาขึ้นเป็นมูลค่ากว่า 247 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Ether ก็มีการล้างพอร์ตในลักษณะเดียวกันเป็นมูลค่า 217 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน อ้างอิงจากข้อมูลของ CoinGlass

 

ความกังวลเรื่องนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของ Trump ที่ครอบคลุมทั้งภาษีทั่วไปสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดและภาษีพิเศษสำหรับคู่ค้ารายใหญ่ ได้จุดชนวนความหวาดกลัวเรื่องสงครามการค้าที่อาจลุกลามเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท รวมถึงเหรียญคริปโตที่ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงในช่วงสุดสัปดาห์

 

ผลกระทบจากประกาศมาตรการภาษีรุนแรงถึงขนาดทำให้มูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกหายไปถึง 7.46 ล้านล้านดอลลาร์เพียงแค่สองวันทำการ โดยแบ่งเป็นการสูญเสียในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 5.87 ล้านล้านดอลลาร์ และในตลาดหลักทั่วโลกอื่นๆ อีก 1.59 ล้านล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก S&P Dow Jones Indices

 

ปัจจุบัน Bitcoin ติดลบ 15% ในปี 2025 และหากไม่มีปัจจัยหนุนเฉพาะสำหรับวงการคริปโตเกิดขึ้น คาดว่าราชาแห่งคริปโตนี้จะยังคงเคลื่อนไหวไปพร้อมกับตลาดหุ้น ขณะที่ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกได้บดบังความคาดหวังเชิงบวกจากการผ่อนคลายกฎระเบียบที่วงการคริปโตเคยหวังว่าจะได้รับในปีนี้

 

อ้างอิง: 

The post ‘ราชาคริปโต’ เสียท่า Bitcoin ร่วงต่ำกว่า 78,000 ดอลลาร์ นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงหวั่นภาษี Trump appeared first on THE STANDARD.

]]>
IMF ประกาศให้ ‘Bitcoin’ และ ‘คริปโต’ เป็นหนึ่งใน Asset Class ของโลกอย่างเป็นทางการ https://thestandard.co/imf-bitcoin-crypto-asset-class/ Mon, 24 Mar 2025 11:48:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1056049

เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา International Monetary F […]

The post IMF ประกาศให้ ‘Bitcoin’ และ ‘คริปโต’ เป็นหนึ่งใน Asset Class ของโลกอย่างเป็นทางการ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา International Monetary Fund หรือ IMF ประกาศให้ Bitcoin และ คริปโตเคอร์เรนซี เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ (Asset Class) ของโลกอย่างเป็นทางการใน BPM7 ฉบับล่าสุด หรือคู่มือบัญชีดุลการชำระเงินและสถานการลงทุนระหว่างประเทศฉบับบูรณาการ 

 

โดย IMF ได้พิจารณาให้ Bitcoin และเหรียญคริปโตที่ไม่มีสินทรัพย์ใดๆ หรือแพลตฟอร์มมารองรับ เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ใช่การเงินที่ไม่ได้เกิดจากการผลิต (Non-produced Non-financial Assets) ซึ่งอยู่ในประเภทเดียวกับทรัพย์สินประเภททรัพยากรธรรมชาติที่โอนกรรมสิทธิ์ได้หรือพวกกลุ่มทรัพย์สินทางปัญญา 

 

หากมีการทำธุรกรรมใน Bitcoin และเหรียญคริปโตประเภทนี้ระหว่างประเทศ (Cross boarder Transaction) ก็เทียบเคียงได้กับการทำธุรกรรมของทองคำหรือที่ดิน เป็นต้น

 

ในขณะที่เหรียญคริปโตที่มีแพลตฟอร์มมารองรับ เช่น Ethereum หรือ Solana ทาง BPM7 ก็พิจารณาว่าเป็นสินทรัพย์ประเภทคล้ายทุน (Equity-Like Holding) และจะพิจารณาคล้ายกับการถือครองหุ้นต่างประเทศหากถือครองสินทรัพย์ดังกล่าวบนคนละประเทศกับผู้พัฒนาเหรียญ

 

และท้ายที่สุด BPM7 ได้พิจารณาให้การถือเหรียญ Stablecoin ที่มีระบบการจ่ายดอกเบี้ยแบบ Staking อาทิ USDT ในฐานะเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่ง (Financial Instrument) ที่หากมีการบันทึกสินทรัพย์จะบันทึกตามลักษณะของสินทรัพย์ที่ถูกนำมาค้ำประกัน

 

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากภายในกล่าวกันว่า IMF อาจมีแผนนำ Bitcoin เข้าไปคำนวณใน SDR หรือ Special Drawing Rights Index ซึ่ง SDR เป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศที่ออกโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งมูลค่าของ SDR คำนวณจากตะกร้าสกุลเงินหลัก ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD), ยูโร (EUR), หยวนจีน (CNY), เยนญี่ปุ่น (JPY) และปอนด์อังกฤษ (GBP)

 

ไม่เพียงเท่านั้น IMF ยังมีมุมมองที่เปลี่ยนไปในทิศทางเชิงบวกต่อ Bitcoin มากขึ้นในช่วงหลังมานี้ จากที่เคยเป็นหนึ่งในองค์กรที่เคยมีมุมมองเชิงต่อต้าน Bitcoin ในอดีต

 

อ้างอิง:

The post IMF ประกาศให้ ‘Bitcoin’ และ ‘คริปโต’ เป็นหนึ่งใน Asset Class ของโลกอย่างเป็นทางการ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วัฏจักรของคริปโตรอบนี้จะยาวนานแค่ไหน? ในวันที่ผู้คนกำลังเปิดรับมากขึ้น https://thestandard.co/crypto-cycle-mainstream-adoption/ Fri, 28 Feb 2025 04:10:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1045951

โลกของคริปโตไม่ต่างจากประวัติศาสตร์ที่ทิ้งร่องรอยให้ผู้ […]

The post วัฏจักรของคริปโตรอบนี้จะยาวนานแค่ไหน? ในวันที่ผู้คนกำลังเปิดรับมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

โลกของคริปโตไม่ต่างจากประวัติศาสตร์ที่ทิ้งร่องรอยให้ผู้ลงทุนหน้าใหม่ศึกษาและติดตาม 

 

วัฏจักรของคริปโต โดยเฉพาะเหรียญที่มีมูลค่ามากที่สุดอย่างบิทคอยน์ จะเห็นว่ามีรูปแบบที่เห็นได้ชัดบางอย่างคือ ‘ตลาดกระทิง (Bull Market)’ ที่จะเกิดขึ้นทุกๆ ช่วงเวลาประมาณ 4 ปี ไล่ตั้งแต่ปี 2013, 2017, 2021 จนมาถึง 2024

 

 

และในทุกๆ ตลาดกระทิงเราจะเห็นราคาของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ตลอด คำถามสำคัญคือ แล้วตลาดกระทิงรอบนี้จะจบลงที่ตรงไหน?

 

บทความนี้จะพาทุกคนไปสำรวจสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสที่รออยู่ และความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงและเข้าใจโลกของคริปโตได้ดีมากยิ่งขึ้น

 

ตลาดกระทิงรอบนี้อาจยาวกว่าที่ผ่านมา

 

หลังจากราคาบิทคอยน์พุ่งทำสถิติใหม่ปิดทะลุ 100,000 ดอลลาร์ ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ปี 2024 อิงจากข้อมูลของ CoinMarketCap ทำให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มกลับมาสนใจคริปโตอีกครั้ง ทั้งคนที่ติดตามบิทคอยน์มาอย่างยาวนาน รวมถึงคนที่ไม่เคยสนใจบิทคอยน์ หรือคนที่อาจจะลังเลก็เริ่มให้การยอมรับบิทคอยน์และคริปโตมากขึ้น

 

หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยคือ แล้วขาขึ้นรอบนี้จะนานแค่ไหน? จากงานใหญ่ล่าสุดของวงการคริปโตไทย ‘Street of the Future’ ที่จัดโดย Binance TH by Gulf Binance เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา สรวิศ ศรีนวกุล CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Band Protocol เชื่อว่า “เราจะได้เห็นวัฏจักรขาขึ้นที่ยาวนานมากกว่าที่ผ่านๆ มา”

 

อีก 4 ปีถัดจากนี้ ในยุคสมัยของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างสนับสนุนคริปโตผ่านการผ่อนปรนและปลดล็อกกฎหมายที่เป็นข้อจำกัด ถือเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ รวมทั้งการที่นักลงทุนสถาบันให้การยอมรับมากขึ้น

 

ข้อมูลจาก Bitwise ระบุว่า ตลอดทั้งปี 2024 จะเห็นว่า Bitcoin ETF มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิถึง 3.68 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท

 

 

ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานของคริปโตก็พัฒนามาค่อนข้างไกล อย่างเช่นการพัฒนาของ Blockchain Oracle หรือเรียกสั้นๆ ว่า Oracle ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) กับข้อมูลภายนอกเครือข่าย ก็มีการพัฒนา Layer 2 ขึ้นมาช่วย ทำให้ประมวลผลธุรกรรมต่างๆ ได้เร็วขึ้น และค่าธรรมเนียมต่ำลง ช่วยให้แพลตฟอร์มต่างๆ เชื่อมต่อกันได้มากขึ้น

 

 

Nicholas Larsen จาก International Banker วิเคราะห์ว่า ปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้คริปโตมีแนวโน้มจะวิ่งขึ้นไปต่อได้มาจากนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการจะทำให้สหรัฐฯ เป็น ‘เมืองหลวงคริปโตของโลก’ จนทำให้บริษัทอย่าง Charles Schwab เชื่อว่าบิทคอยน์มีโอกาสจะไปถึง 1 ล้านดอลลาร์ได้ หากได้รับการสนับสนุนด้านกฎระเบียบที่เหมาะสม

 

เช่นเดียวกับความเห็นของ Marion Laboure นักวิเคราะห์ของ Deutsche Bank ที่เชื่อว่าการสนับสนุนของทรัมป์จะช่วยให้ตลาดกระทิงในปัจจุบันดำเนินต่อไป

 

อีกประเด็นที่น่าติดตามคือความเห็นของนักลงทุนสถาบันทั่วโลกว่าจะเพิ่มการถือครองคริปโตมากขึ้นหรือไม่

 

Larry Fink ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BlackRock บอกว่า มีการพูดคุยกันว่าควรจะเพิ่มน้ำหนักบิทคอยน์ในพอร์ตลงทุนหรือไม่ ทั้งตัวเลข 2% หรือ 5% และหากทุกคนลงทุนโดยอิงตามน้ำหนักนี้ ก็มีโอกาสจะทำให้ราคาบิทคอยน์พุ่งไปถึงระดับ 500,000-700,000 ดอลลาร์

 

ความเสี่ยงยังอยู่ แต่หน้าตาอาจเปลี่ยนไป

 

ตลาดคริปโตในปัจจุบันยังคงมีความผันผวนและความเสี่ยงอยู่เช่นเดิม แต่ด้วยพัฒนาการที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้รูปแบบของความเสี่ยงและสภาพแวดล้อมในตลาดเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร

 

Victor Ji ผู้ร่วมก่อตั้ง Manta Network มองว่าตลาดคริปโตในปัจจุบันมีความชัดเจนมากขึ้นในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของกฎเกณฑ์ในการควบคุม ซึ่งเปิดให้นักลงทุนสถาบันเข้ามามีส่วนร่วมได้มากขึ้น รวมทั้งการเข้ามามีส่วนร่วมของบริษัทต่างๆ มากขึ้น

 

 

สำหรับความเสี่ยงที่จะส่งผลต่อทั้งตลาด (Systematic Risk) หากเปรียบเทียบกับวัฏจักรขาขึ้นในรอบก่อน ช่วงปี 2020 จะเห็นว่าความเสี่ยงในลักษณะนี้ลดลงมาก โดยเฉพาะการใช้อัตราทดหรือการปล่อยกู้ที่ค่อนข้างง่ายจนนำไปสู่การล้มละลายของบริษัทอย่าง Genesis แต่ปัจจุบันการปล่อยกู้ในโลกคริปโตถูกควบคุมเข้มงวดขึ้นมาก

 

หรือแม้แต่ความเสี่ยงจากการควบคุมดูแลให้บริษัทต่างๆ จัดการกับทรัพย์สินของลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีกลไกในการตรวจสอบและป้องกันความเสี่ยง รวมทั้งบทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิด

 

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือคริปโตเริ่มเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจริงมากขึ้น และเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้นเช่นกัน หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เกิดชะลอตัวรุนแรงก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตโดยรวมได้

 

คริปโตกำลังได้ ‘การยอมรับ’ มากขึ้น

 

แล้วอนาคตของคริปโตจะเป็นอย่างไรต่อไป และจะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของผู้คนทั่วไปมากขึ้นหรือไม่ ในมุมนี้ U-Chyung ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ Lumia บอกว่า ผู้คนอาจไม่ทันรู้สึกตัวว่าเรากำลังเปิดรับคริปโตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการที่คริปโตถูกนำมาเป็นสื่อกลางในการชำระเงินมากขึ้น หรือการใช้งาน Stablecoin ที่มากขึ้น

 

ที่ผ่านมาผู้คนอาจพูดถึงเรื่องของการทำกำไรจากคริปโตเป็นหลัก แต่ตอนนี้คริปโตเริ่มเข้ามาอยู่ในธุรกิจต่างๆ ทำให้เราเห็นบริษัทอย่าง Stripe เข้าซื้อธุรกิจ Stablecoin อย่าง Bridge (มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการทำธุรกรรม รวมถึงการทำ Tokenization กับสินทรัพย์ในโลกจริง ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ต่างๆ ที่มีราคาสูงเช่นอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น

 

 

นอกจากนี้ เราจะได้เห็นเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในโลกคริปโตมากขึ้น โดยเฉพาะการทำงานในฐานะ AI Agents ด้านการวิเคราะห์ตลาด การซื้อขายอัตโนมัติ และการจัดการพอร์ตการลงทุน รวมถึงการเกิดเหรียญ Crypto AI

 

ไม่เพียงการนำมาใช้งานจริงมากขึ้น แต่ในแง่ของผู้ที่มีอำนาจในการผลักดันคริปโต หรือกำหนดนโยบายและวางกฎเกณฑ์ก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจจากข้อมูลของ Stand With Crypto และ Coinbase ระบุว่า สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน มีผู้ที่สนับสนุนคริปโตมากกว่าผู้ที่ไม่สนับสนุนอย่างชัดเจน

 

 

Franklin Templeton บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลกเชื่อว่าบิทคอยน์จะก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งสะสมมูลค่าดิจิทัลในปีนี้ หลังจากรัฐบาลและสถาบันต่างๆ ให้การรับรองมากขึ้น หลายประเทศจะเพิ่มบิทคอยน์เป็นทุนสำรอง

 

ปี 2025 จะเป็นปีที่เปลี่ยนแปลงจาก ‘การเก็งกำไรไปสู่การใช้งาน’ เนื่องจากเทคโนโลยีพื้นฐานของคริปโตกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินและการดำเนินงานทั่วโลก

 

ตลอดวัฏจักรขาขึ้นและขาลงของคริปโต 10 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าคริปโตกำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น ทั้งในแง่สินทรัพย์สำหรับใช้ลงทุนและเทคโนโลยีเบื้องหลังที่ถูกนำมาใช้งานจริง หลังจากนี้เชื่อว่าจำนวนผู้ใช้งานคริปโตจะค่อยๆ เติบโตขึ้น แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะเข้าสู่โลกคริปโต โดยเฉพาะในตลาดกระทิง สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือวัฏจักรมีทั้งขึ้นและลง เพราะฉะนั้นการคำนึงถึงความเสี่ยงอยู่เสมอจึงเป็นทักษะสำคัญที่ต้องมีเช่นกัน

 

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

The post วัฏจักรของคริปโตรอบนี้จะยาวนานแค่ไหน? ในวันที่ผู้คนกำลังเปิดรับมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
มุก Joke จาก Meme Coins กลายเป็นการลงทุนจริงจังได้ด้วยพลังคอมมูนิตี้ [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/meme-coins-to-serious-investment/ Fri, 14 Feb 2025 07:20:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1041399

ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซีที่มีเหรียญมากมาย ประเภทของเหรี […]

The post มุก Joke จาก Meme Coins กลายเป็นการลงทุนจริงจังได้ด้วยพลังคอมมูนิตี้ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซีที่มีเหรียญมากมาย ประเภทของเหรียญกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความสนใจและถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายก็คือเหรียญมีม (Meme Coins) ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องตลกขบขันบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่กลับกลายเป็นปรากฏการณ์โด่งดังจนสามารถสร้างมูลค่าตลาดได้หลายพันล้านดอลลาร์ในแบบที่บางคนอาจคาดไม่ถึง

 

เหรียญมีมในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 340 เหรียญ และมีมูลค่ารวมกว่า 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568) แต่อะไรทำให้เรื่องตลกขบขันบนโลกอินเทอร์เน็ตที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของเหรียญคริปโตมีมูลค่าได้มากขนาดนี้ และสำหรับใครที่อยากตบเท้าเข้ามา ‘ศึกษาและลงทุน’ เราควรมองเหรียญมีมเป็นเรื่องจริงจังขนาดไหน? 

 

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นพูดคุยบนเวที ‘Meme Coins: The joke that became serious’ ในงาน Street of the Future ที่จัดโดย BINANCE TH อีเวนต์ใหญ่ใจกลางสยาม ที่ทีมงาน THE STANDARD WEALTH มีโอกาสเข้าไปฟังและถอดความคิดมาให้ทุกคนได้ติดตาม เพื่อหาคำตอบว่านักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ควรพิจารณาเหรียญมีมในมุมไหนบ้าง

 

เหรียญมีม: ความตลกที่สร้างมูลค่าได้

 

เหรียญมีมได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องตลกและวัฒนธรรมบนอินเทอร์เน็ต ที่รวมความสนใจของผู้คนที่คล้ายกันและอยากส่งต่อให้กับผู้อื่นผ่าน Meme Coins ซึ่งเหรียญมีมนั้นแตกต่างจาก Bitcoin ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต้องการปฏิวัติระบบการเงิน

 

ถ้าเอ่ยถึงเหรียญมีมที่ยืนยาวและมีมูลค่ามากที่สุดในปัจจุบัน ก็คงจะลืมนึกถึง Dogecoin (DOGE) เหรียญรูปสุนัขสายพันธุ์ชิบะไปไม่ได้ เพราะ DOGE คือเหรียญมีมอันดับ 1 และเป็นเหรียญคริปโตที่ครองมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 8 ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ตามการจัดเรียงของเว็บ CoinMarketCap

 

 

DOGE ถูกสร้างขึ้นในปี 2013 โดย Billy Markus และ Jackson Palmer ด้วยเหตุผลที่เขาต้องการจะเติมสีสันให้กับวงการคริปโตที่ก่อนหน้านี้มีแต่เรื่องซีเรียสและซับซ้อน ซึ่งผลงานของพวกเขาก็เริ่มได้รับความนิยมจากชุมชน โดย DOGE ถูกใช้สำหรับการให้ทิปออนไลน์และกิจกรรมการกุศล ต่อมาในช่วงปี 2021 Elon Musk ก็ผลักดัน DOGE เป็นที่รู้จัก และเปลี่ยนเหรียญที่มีจุดเริ่มต้นจากเรื่องตลกให้กลายเป็นส่วนสำคัญในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี

 

ด้วยลักษณะที่ดูเข้าถึงง่าย เหรียญมีมจึงกลายเป็นหนึ่งทางเลือกของนักลงทุนหลายกลุ่ม ในขณะที่เหรียญใหม่ๆ ก็เข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น ในงาน Street of the Future ของ BINANCE TH เองก็มีโปรเจกต์เหรียญมีมที่มาร่วมงาน ได้แก่ MOODENG SOL (เหรียญหมูเด้งบนบล็อกเชน Solana), MEMELAND, และ PNUT เป็นต้น

 

ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาของ FWX และอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ร่วมเสวนาบนเวทีอธิบายปรากฏการณ์ของเหรียญมีมที่นักลงทุนหลายคนให้ความสำคัญอย่างน่าสนใจว่า “เหรียญมีมเปรียบได้กับศิลปะ ที่บางคนก็แค่ชอบในผลงาน และนั่นคือวิธีที่งานศิลปะนั้นๆ มีคุณค่า เหมือนกับการเดี่ยวไมโครโฟนเล่าเรื่องตลก ที่อาจดูไม่จริงจังแต่มันก็สร้างคุณค่าในสังคมได้ในตัวมันเอง”

 

ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาของ FWX และอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

ความไม่ซีเรียสของเหรียญมีม ที่บางคนกลับเลือกจะ ‘ซีเรียส’ กับมัน

 

แม้ว่ากลุ่มคนบางกลุ่มจะมองเหรียญมีมเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระ แต่กับอีก 2 ผู้ร่วมเสวนาบนเวทีที่เลือกทำงานอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาระบบนิเวศของเหรียญมีมอย่าง Antoine Rousseaux ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Handsome Finance และ Ray Chan ซีอีโอของ Memeland ต่างมองว่าเหรียญมีมนั้นมีคุณสมบัติพิเศษ 2 อย่างที่น่าดึงดูดในแบบที่การลงทุนดั้งเดิมไม่สามารถทำได้ จนทั้งสองคนตัดสินใจที่จะมองเหรียญมีมด้วยความจริงจัง

 

1. ความสามารถในการสร้างผลกำไร: Antoine มองว่าการที่เหรียญมีมถูกใช้เป็นเครื่องมือเก็งกำไรนั้นเป็นประเด็นที่ต้องยอมรับ โดยเหรียญอย่าง Dogecoin คือจุดสร้างกระแสด้วยราคาที่พุ่งขึ้นกว่า 12,000% ในช่วงกลางปี 2021 แต่เขากล่าวเสริมว่า “ในบางกรณีตลาดหุ้นก็คือการเก็งกำไรเช่นกัน หากคุณอยากสร้างรายได้ คุณก็ต้องจริงจังกับมัน ดังนั้นการเก็งกำไรไม่ใช่เรื่องผิด”

 

อย่างไรก็ตาม การเก็งกำไรนั้นมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ โดย Antoine ย้ำว่า อย่าลงทุนด้วยเงินที่เสียไม่ได้ และการศึกษาค้นคว้าข้อมูลก่อนลงทุนนั้นยังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

 

Antoine Rousseaux ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Handsome Finance

 

2. พลังของคอมมูนิตี้: Ray Chan ซีอีโอของ Memeland เล่าว่า การเลือกมองเหรียญมีมแค่มิติของการ ‘เก็งกำไร’ อาจจะไม่ได้สรุปศักยภาพของเหรียญอย่างรอบด้าน เพราะ Ray มีเป้าหมายในบริษัทของเขาที่อยากจะทำให้เหรียญมีมถูกใช้ประโยชน์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ไว้เก็งกำไร แต่เป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมคอมมูนิตี้

 

Ray เชื่อว่าเหรียญมีมเป็นมากกว่าเครื่องมือทางการเงิน สิ่งนี้คือปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่สร้างคอมมูนิตี้นั้นๆ หรือดึงผู้คนที่สนใจสิ่งเดียวกันเข้ามารวมตัวกันเป็นชุมชน แบ่งปันเรื่องราวและความรู้สึก

 

“เมื่อพวกเขาชนะ พวกเขาชนะด้วยกัน และเมื่อแพ้ พวกเขาก็แบ่งปันความรู้สึกนั้นด้วย” Ray กล่าวพร้อมอธิบายว่า นี่คือพลังที่คอมมูนิตี้สร้างขึ้น ซึ่งนำไปสู่กิจกรรมในโลกความจริง เช่น การบริจาคเพื่อการกุศล การระดมทุน และแม้แต่การใช้จ่ายสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับคุณค่าคอมมูนิตี้นั้นๆ

 

Ray Chan ซีอีโอของ Memeland

 

อะไรที่นักลงทุนควรเข้าใจก่อนกระโจนลงทุนในเหรียญมีม?

 

อีกหนึ่งคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาในตลาดนี้ก็คือ แล้วเราจะแยกเหรียญมีมที่มีแนวโน้มประสบความสำเร็จจากที่มีอยู่ทั้งหมดในตลาดได้อย่างไร

 

อุดมศักดิ์เผยว่า มี 3 ปัจจัยสำหรับนักลงทุนที่ควรใช้พิจารณาโปรเจกต์เหรียญมีมดังนี้

 

  1. สภาพคล่อง หรือ Liquidity ซึ่งเป็นปัจจัยที่บ่งชี้ว่าเหรียญมีปริมาณการซื้อขายและการทำธุรกรรมที่เพียงพอหรือไม่ 
  2. เรื่องราว หรือ Story ที่เป็นเหมือนสิ่งยึดเหนี่ยวของชุมชน เหมือนกับที่ Ray กล่าวไว้บนเวทีว่า “หนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์คือความต้องการที่จะมีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างเสมอ” 
  3. การกระจายตัว หรือ Distribution ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าเหรียญสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานและนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน 

 

อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของเหรียญมีมยังคงเป็นความท้าทาย เนื่องจากเหรียญประเภทนี้มักพึ่งพา ‘กระแส’ อาจไม่สามารถคงอยู่เป็นระยะเวลานานได้ สภาพคล่องก็มักจะไหลไปตามเหรียญอื่นที่กำลังเป็นที่นิยม ณ เวลานั้นๆ เช่น MELANIA เหรียญมีมที่เปิดตัวโดยสตรีหมายเลข 1 อย่าง Melania Trump ที่เหรียญของเธอสูญมูลค่าไปแล้วกว่า 81%

 

ความผันผวนของตลาดเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ฉะนั้นการ DYOR: Do Your Own Research และการซื้อขายแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือจะเป็นการคุ้มครองผู้ลงทุนได้ในระดับหนึ่ง

 

แต่ Ray ยังยืนยันจากมุมมองของเขาว่า “แม้เหรียญมีมบางตัวอาจล้มหายไป แต่ประเภทของเหรียญมีมในภาพรวมจะอยู่ตลอดไป”

 

 

บทบาทของเหรียญมีมในโลกการเงินอนาคต

 

ท่ามกลางความไม่แน่นอน เหรียญมีมยังคงเดินหน้าพัฒนาต่อไปด้วยแรงผลักดันจากพลังของคอมมูนิตี้ โดยธุรกิจอย่าง Memeland เริ่มหาวิธีการผนวกเหรียญมีมเข้ากับระบบการชำระเงินอย่าง MemePay ซึ่งถือเป็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงจากเหรียญที่เน้นความตลกไปสู่เหรียญที่จะเกิดการใช้งานจริง 

 

ทั้งนี้ อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เหรียญมีมจะยังเติบโตและมีพัฒนาการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นได้แน่ แต่คำถามคือเติบโตต่อไปแบบไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เหรียญมีมให้พื้นที่และคุณค่าที่สินทรัพย์การลงทุนอื่นทำไม่ได้ นั่นคือการหลอมรวมพลังของการรับรู้ถึงการมีอยู่ของสกุลเงินดิจิทัลในวงกว้าง ผสานความตลก โลกการเงิน และพลังของคอมมูนิตี้เข้าไว้ด้วยกันในแบบโลกเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

 

 

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาข้อมูลและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

The post มุก Joke จาก Meme Coins กลายเป็นการลงทุนจริงจังได้ด้วยพลังคอมมูนิตี้ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
คริปโตกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย https://thestandard.co/crypto-thailand-lifestyle/ Tue, 04 Feb 2025 11:42:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1037798

ถ้าย้อนกลับไป 4-5 ปีก่อน คำว่า ‘คริปโต’ (Crypto) อาจเป็ […]

The post คริปโตกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

ถ้าย้อนกลับไป 4-5 ปีก่อน คำว่า ‘คริปโต’ (Crypto) อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูไกลตัวสำหรับคนไทยจำนวนมาก แต่มาวันนี้หลายคนเริ่มคุ้นชินกับคริปโต หรือแม้แต่เทคโนโลยีเบื้องหลังอย่างบล็อกเชน (Blockchain) มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ถามว่ามากขึ้นแค่ไหน? หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจคือ ไทยเป็น 1 ใน 20 ประเทศที่ผู้คนยอมรับ (Adoption) คริปโตมากที่สุดในโลก รั้งอันดับ 16 จากรายงาน The 2024 Global Crypto Adoption Index ของ Chainalysis

 

และหากคิดเป็นสัดส่วนต่อคนไทยทั้งประเทศ นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ซีอีโอของ BINANCE TH บอกว่า “ตอนนี้การยอมรับคริปโตของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 12% ซึ่งมากกว่าสัดส่วนของทั่วโลกแค่ 1%”

 

Binance TH

 

แม้ตัวเลข 12% อาจยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่กระแสคริปโตก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนหน้าใหม่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นผลมาจากราคาของเหรียญต่างๆ โดยเฉพาะบิทคอยน์ที่พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ที่กว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.5 ล้านบาท ช่วงปลายปีก่อน ทำให้ความสนใจต่อคริปโตกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

และถ้าไปดูสถิติใน Google Trend ก็จะเห็นว่าคนไทยเสิร์ชคำว่าบิทคอยน์หรือคริปโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

Binance TH

\ Binance TH

 

ไม่เพียงแค่ความสนใจบนโลกออนไลน์ แต่งานใหญ่ล่าสุดของวงการคริปโตไทย ‘Street of the Future’ ที่จัดโดย BINANCE TH by Gulf BINANCE สะท้อนความตื่นตัวของผู้สนใจหน้าใหม่ต่อวงการคริปโตเป็นอย่างดี THE STANDARD WEALTH เห็นประเด็นอะไรบ้างที่ทุกคนควรรู้ มาดูกัน!

 

Binance TH

 

การเปลี่ยนภูมิทัศน์โลกการเงินปัจจุบันกับการมาถึงยุค Web 3.0 เป็นอย่างไร?

 

Web 3.0 ได้รับการพูดถึงบ่อยมากในงาน สิ่งนี้คืออะไร?

 

สิ่งนี้คือวิวัฒนาการของโลกอินเทอร์เน็ตที่แอดวานซ์ขึ้นไปอีกขั้น จากความสามารถในการอ่าน โต้ตอบ สร้างคอนเทนต์ บนอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย ผู้ใช้งานทุกคนจะสามารถเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลได้ในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น จุดสำคัญของการทำงานรูปแบบนี้คือ Decentralized หรือการเก็บข้อมูลแบบกระจายออกจากศูนย์กลาง ภายใต้การทำงานบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้ใช้งานทุกคนที่อยู่ในสเตจนี้จะมีสิทธิ์ถือครองแก่ผู้ใช้งาน เช่น การเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนตัวและสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเอง ฉะนั้นสินทรัพย์ดิจิทัลเสมือนเป็นภาพสะท้อนการมาของยุค Web 3.0 อย่างชัดเจน

 

Binance TH

 

คริปโตกำลังเชื่อมโยงกับชีวิตของเรามากแค่ไหน?

 

ถ้าใครตามข่าวอุตสาหกรรมคริปโตในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าไทยเริ่มสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการอนุญาตให้กองทุนรวมสามารถลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ หรือแม้แต่แนวคิดที่จะทดลองให้มีการใช้งานคริปโตในชีวิตประจำวัน

 

สิ่งที่จะตามมาภายหลังการปลดล็อกจากนโยบายภาครัฐ ต่อไปการยอมรับคริปโตของคนไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประเด็นที่ควรทำควบคู่กันคือ ‘การเตรียมความพร้อมของผู้คนสู่วิถีโลกการเงินยุคใหม่’ ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับคริปโตจะเป็นภูมิคุ้มกันสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจในแต่ละไซเคิล เช่นเดียวกับบุคลากรที่จะเข้ามาขับเคลื่อนวงการ การเกิดอีเวนต์จากภาคเอกชนรูปแบบนี้จึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องคริปโตไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นรูปแบบทางการเงินที่มาแน่ๆ และประเทศไทยยังมีช่องให้พัฒนาและเติบโตอีกมาก

 

“ตอนนี้หลายคนเริ่มเข้าใจแล้วว่าคริปโตไม่ใช่แค่การพยายามทำกำไรอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีเรื่องของความเสี่ยง พื้นฐานของเทคโนโลยีที่ต้องเข้าใจ รวมถึงการ Do Your Own Research (DYOR)”

 

Binance TH

 

มีมคอยน์ (Meme Coin) สินทรัพย์ที่อยู่ในบทสนทนาตลอดกาล ด้วยการสร้างมูลค่าจากไวรัล

 

ตลาดเหรียญมีมฮอตตลอดกาล จากการเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่เล่นกับกระแส การสร้างเรื่องราวเรียกคะแนนจากนักลงทุน หนึ่งในกอสซิปตลอดงานทั้ง 2 วัน คือการเก็งสถานการณ์เหรียญทรัมป์ ‘TRUMP’ บนบล็อกเชน Solana ก่อนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งราคาพุ่งสูงพอดิบพอดีระหว่างการจัดงาน Street of the Future ก่อนจะเข้ากระดานเทรด BINANCE TH เป็นที่เรียบร้อยในช่วงเวลาต่อมา

 

เหรียญมีมไม่มีการจำกัดปริมาณการผลิตอย่างบิทคอยน์ มีราคาถูกกว่า และเป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่าการศึกษาเหรียญประเภทอื่น จึงจุดประกายความต้องการลงทุนในเหรียญประเภทนี้ทั้งนักลงทุนหน้าเก่าและหน้าใหม่ในตลาด ในฝั่งผู้ผลิต ผู้พัฒนาก็เติบโตพร้อมกับตลาด ทั้งนี้ โปรเจกต์ระดับโลกที่มาร่วมงาน ได้แก่ Memeland, MOODENG/SOL (เหรียญหมูเด้ง), PNUT (ได้รับแรงบันดาลใจจากกระรอกที่ถูกช่วยเหลือโดยศูนย์สัตว์พึ่งพิง) ฯลฯ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงผู้คน แปรเปลี่ยนเป็นคอมมูนิตี้จากหลากหลายประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนระดับโลกอย่าง BINANCE TH ที่เปิดกว้างทางการลงทุนให้แก่ผู้ใช้งานคนไทย ด้วยการมีสกุลเหรียญดิจิทัลมากที่สุดในตลาดเป็นจำนวนมากกว่า 350 เหรียญ (ณ วันที่ 18 มกราคม 2025) และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

 

Binance TH

 

การเร่งสร้างบุคลากรต้นน้ำเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

 

ปัจจุบันคอร์สสำหรับเรียนรู้เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลมีแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งก็รวมถึง BINANCE TH Academy ที่จับมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในไทย เพื่อให้ความรู้เหล่านี้ เช่น คอร์สระยะสั้นที่จัดขึ้นผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายแห่ง ตลอดปี 2024 มีผู้ผ่านหลักสูตรของอะคาเดมีมากกว่า 50,000 คน ครอบคลุมทั้งนักศึกษา คณาจารย์ และบุคคลทั่วไป

 

โอกาสในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการลงทุนอีกต่อไป แต่ขยายประเด็นไปสู่ ‘โอกาสทางอาชีพ’ ทั้งนักพัฒนา นักวิเคราะห์ข้อมูล นักวิจัย หรือแม้แต่สายงานการตลาด เพราะปัจจุบันมีโปรเจกต์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอด

 

ยิ่งไปกว่านั้นอุตสาหกรรมนี้ยังสร้างบุคลากรเข้าสู่ตลาดได้ไว จะเห็นว่า Gen Z หรือ Gen Alpha หลายคนกลายเป็นเจ้าของผู้ผลิตเหรียญสำคัญเข้าสู่วงการ

 

Vishal Sacheendran, Head of Regional Markets ของ BINANCE มองในทิศทางเดียวกันว่า การยอมรับคริปโตในระดับโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 1% ไปสู่ 10% ได้นั้นต้องอาศัย 2 ปัจจัยที่สำคัญ คือ กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนของแต่ละประเทศ และการให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นในระบบการศึกษา รวมทั้งการให้ความรู้กับผู้ที่มีอำนาจในการกำกับดูแลหรือแม้แต่รัฐบาล

 

Binance TH

 

นอกเหนือจากการให้ความรู้ในห้องเรียน ในมุมของ นที เทพโภชน์ ที่ปรึกษาสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย บอกว่า คอมมูนิตี้ในไทยขยายตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะในหัวเมืองต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ และถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 จะเห็นการเติบโตที่ชัดเจน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการ Educate ตลาดและผลักดันวงการสินทรัพย์ดิจิทัลไทย

 

การปรากฏตัวของอีเวนต์ที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอมมูนิตี้ ให้ความรู้ และเป็นพื้นที่ให้ผู้คนทั้งที่เป็นคริปโตเนทีฟหรือบุคคลทั่วไป พบปะ แลกเปลี่ยน แบ่งปันมุมมองระหว่างกัน เพื่อให้ทุกคนก้าวทันกับโลก Web 3.0 ที่มาถึง และทันเกมโลกการเงินที่กำลังจะเปลี่ยนไป

 

Binance TH

 

การเดินทางของคริปโตมาถึงจุดนี้ไม่ได้เป็นเพียงกระแสหรือปรากฏการณ์ชั่วคราวอีกต่อไป แต่กำลังหลอมรวมเข้ากับ ‘ไลฟ์สไตล์ของคนไทย’ มากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คอมมูนิตี้คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนปรับตัวและเดินหน้าสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง โดยมี ‘ความปลอดภัย’ และ ‘ความโปร่งใส’ เป็นที่ตั้งสำคัญ และคริปโตไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องการลงทุน แต่คือการสร้างสังคมที่พร้อมเปิดรับความเปลี่ยนแปลง และเข้าใจถึงโอกาสที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ

คำถามคือ คุณพร้อมที่จะก้าวไปบนเส้นทางสายนี้แล้วหรือยัง?

 

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาข้อมูลและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

The post คริปโตกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>