World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 06 Dec 2025 07:00:47 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สหรัฐฯ ปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงใหม่ ทรัมป์มองเรื่องไหนสำคัญบ้าง? https://thestandard.co/us-new-security-strategy-trump/ Sat, 06 Dec 2025 05:54:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1151814 สหรัฐฯ ปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงใหม่ ทรัมป์มองเรื่องไหนสำคัญบ้าง?

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Strateg […]

The post สหรัฐฯ ปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงใหม่ ทรัมป์มองเรื่องไหนสำคัญบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ ปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงใหม่ ทรัมป์มองเรื่องไหนสำคัญบ้าง?

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Strategy: NSS) ฉบับใหม่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวานนี้ (5 ธันวาคม) ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องมี ‘ความเป็นเลิศเหนือกว่า’ (Preeminence) ในซีกโลกตะวันตก ซึ่งสะท้อนถึงแรงผลักดันของทรัมป์ในการครอบงำภูมิภาค ทั้งยังระบุให้มีการสร้างสมดุลทางการค้ากับจีน และยับยั้งจีนจากการเข้ายึดไต้หวัน

 

จุดที่แตกต่างระหว่าง ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่นี้กับยุทธศาสตร์ความมั่นคงฯ ฉบับก่อนหน้าที่เผยแพร่ในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อปี 2022 คือ NSS ฉบับใหม่นี้ไม่ได้เน้นไปที่จีนเป็นหลัก หรือกำหนดให้การแข่งขันกับปักกิ่งเป็นความท้าทายอันดับแรกสำหรับสหรัฐฯ

 

แต่รัฐบาลสหรัฐฯ กลับเน้นย้ำ ‘นโยบายไม่แทรกแซง’ ซึ่งสะท้อนถึงการที่ทรัมป์ไม่สนับสนุนหรือดูแคลนต่อแนวคิดพหุภาคีและองค์กรระหว่างประเทศ พร้อมระบุว่า ‘หน่วยการเมืองพื้นฐานของโลกคือรัฐชาติ (Nation-State) และจะยังคงเป็นรัฐชาติ’
ประเด็นสำคัญใน NSS ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ

 

1. การเป็นมหาอำนาจครอบงำซีกโลก (Hemispheric Dominance)

 

สหรัฐฯ กำลังหาทางฟื้นฟูและรักษาอำนาจที่โดดเด่นเหนือกว่า (Preeminence) ในซีกโลกตะวันตก (Western Hemisphere) ซึ่งรวมถึงทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยการตอกย้ำ ‘หลักการมอนโร’ (Monroe Doctrine) ซึ่งเป็นนโยบายของสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 19 ที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมและการแทรกแซงของยุโรปในทวีปอเมริกา

 

โดยสหรัฐฯ จะปฏิเสธไม่ให้คู่แข่งที่ไม่ได้อยู่ในซีกโลกตะวันตก (Non-Hemispheric Competitors) มีความสามารถในการวางกำลัง หรือเข้าควบคุมทรัพยากรที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคนี้

 

นอกจากนี้ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ จะเน้นการต่อสู้กับการค้ายาเสพติดและการย้ายถิ่นฐานที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจภาคเอกชน และการให้รางวัลแก่รัฐบาลในภูมิภาคที่สอดคล้องกับหลักการของสหรัฐฯ

 

ทรัมป์ได้นำแนวทางนี้ไปปฏิบัติแล้วโดยการสนับสนุนนักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมในลาตินอเมริกาอย่างเปิดเผย เช่น การช่วยเหลือเศรษฐกิจอาร์เจนตินาภายใต้การนำของประธานาธิบดีฝ่ายขวา ฆาเบียร์ มิเลย์ ด้วยเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

NSS ยังเสนอให้มีการโยกย้ายทรัพยากรทางด้านการทหารของสหรัฐฯ ไปยังซีกโลกตะวันตก โดยย้ายออกจากภูมิภาคที่ความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาลดลงในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

 

ยุทธศาสตร์นี้เกิดขึ้นพร้อมกับการที่สหรัฐฯ เพิ่มการโจมตีเรือต้องสงสัยว่าบรรทุกยาเสพติดในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแอตแลนติก โดยทรัมป์ยังได้สั่งเสริมกำลังทางทหารรอบเวเนซุเอลา และขู่จะโจมตีภาคพื้นดินต่อเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมถึงกดดันประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโรของเวเนซุเอลาที่ทรัมป์มองว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยให้ยาเสพติดและอาชญากรไหลทะลักเข้าสู่สหรัฐฯ

 

2. การยับยั้งความขัดแย้ง กรณีไต้หวัน

 

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสองฉบับก่อนหน้านี้ รวมถึงฉบับที่เผยแพร่ในช่วงวาระแรกของทรัมป์ในทำเนียบขาว ได้ระบุว่า การแข่งขันกับจีน เป็น ‘ลำดับความสำคัญสูงสุด’ สำหรับสหรัฐฯ แต่การแข่งขันกับจีน ไม่ได้ถูกนำมาเป็นประเด็นหลักใน NSS ฉบับนี้

 

อย่างไรก็ตาม เอกสารยังคงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการชนะการแข่งขันทางเศรษฐกิจในเอเชียและสร้างสมดุลทางการค้ากับจีน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เอกสารได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกับพันธมิตรในเอเชีย เพื่อสร้างสมดุลต่อจีน โดยเจาะจงไปที่อินเดีย

 

เอกสารยังได้ระบุถึง ‘ความเสี่ยง’ ที่จีนอาจเข้ายึดไต้หวันโดยใช้กำลัง โดยระบุว่าเกาะที่ปกครองตนเองซึ่งจีนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของตนนั้น เป็นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ การยึดไต้หวันจะทำให้จีนสามารถเข้าถึงห่วงโซ่เกาะที่สอง (Second Island Chain) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเสริมตำแหน่งของตนในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการค้าโลก

 

ดังนั้น การยับยั้งความขัดแย้งเหนือไต้หวัน โดยในแนวทางอุดมคติคือ การรักษาอำนาจทางทหารที่เหนือกว่าไว้ จึงเป็นลำดับความสำคัญ ยุทธศาสตร์นี้เรียกร้องให้พันธมิตรของสหรัฐฯ ในพื้นที่แถบนั้นเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร เพื่อยับยั้งความขัดแย้ง โดย NSS ยังระบุว่า กองทัพสหรัฐฯไม่สามารถและไม่ควรทำสิ่งนี้เพียงลำพัง พันธมิตรจะต้องยกระดับให้มากขึ้น สำหรับการป้องกันร่วมกัน

 

3. ประณามยุโรปเรื่องเสรีภาพ

 

แม้ว่าทรัมป์จะต่อต้านกระแสวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลในสหรัฐฯ และสั่งให้กระทรวงยุติธรรมมุ่งเป้าไปที่คู่แข่งทางการเมืองของตน แต่ NSS ฉบับใหม่นี้กลับตำหนิและประณามยุโรปในประเด็นการเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดและการปราบปรามฝ่ายค้านทางการเมือง

 

ยุทธศาสตร์นี้ระบุว่ายุโรปกำลังเผชิญกับ ‘โอกาสของการล่มสลายทางอารยธรรม’ (Prospect of Civilizational Erasure) เนื่องจากนโยบายการย้ายถิ่นฐานและการบังคับใช้กฎระเบียบ ‘ที่ล้มเหลว’

 

นอกจากนี้ ยังตำหนิเจ้าหน้าที่ยุโรปว่ามีความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล ในกรณีสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยสหรัฐฯ มี ‘ผลประโยชน์หลัก’ ในการยุติความขัดแย้งดังกล่าว

 

NSS ยังแนะนำว่า สหรัฐฯ อาจจะถอนร่มเงาความมั่นคงที่เคยปกป้องทวีปยุโรปมาอย่างยาวนานออกไป โดยสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับการให้ยุโรปสามารถ ‘ยืนหยัดด้วยตัวเอง’ และปฏิบัติการในฐานะกลุ่มประเทศอธิปไตยที่สอดคล้องกัน โดยรับผิดชอบใน ‘การป้องกันตัวเอง’ โดยไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจของฝ่ายปฏิปักษ์ใดๆ

 

4. เปลี่ยนจุดเน้นจากตะวันออกกลาง

 

NSS เน้นย้ำว่าตะวันออกกลาง ‘ไม่ได้’ เป็นลำดับความสำคัญทางยุทธศาสตร์สูงสุดของสหรัฐฯ อีกต่อไป เหตุผลในอดีตที่ทำให้ภูมิภาคนี้มีความสำคัญ เช่น การผลิตพลังงานและความขัดแย้งที่แพร่หลาย ‘ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป’ ยุทธศาสตร์ใหม่นี้ระบุว่า เนื่องจากสหรัฐฯ เพิ่มการผลิตพลังงานของตนเอง เหตุผลทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ในการมุ่งเน้นไปที่ตะวันออกกลาง ‘จะลดลง’

 

แม้ว่าตะวันออกกลางจะยังคงมีความขัดแย้ง แต่ NSS คาดการณ์ถึงอนาคตที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยจะกลายเป็น ‘จุดหมายปลายทางของการลงทุนระหว่างประเทศ’ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม NSS ยังคงยอมรับว่าสหรัฐฯ มีผลประโยชน์สำคัญในตะวันออกกลาง รวมถึงการรับรอง ‘ความมั่นคงของอิสราเอล’ และการปกป้องการขนส่งและแหล่งพลังงาน ส่วนช่วงเวลาที่ตะวันออกกลางได้ครอบงำนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ‘ได้สิ้นสุดลงแล้ว’

 

5. ‘สัจนิยมที่ยืดหยุ่น’ (Flexible Realism)

 

สหรัฐฯ จะดำเนินการตามผลประโยชน์ของตนเองในการติดต่อกับประเทศอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ จะไม่ผลักดันให้มีการเผยแพร่ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

 

NSS ระบุว่า สหรัฐฯ แสวงหาความสัมพันธ์ที่ดีและสันติทางการค้ากับนานาประเทศ โดยไม่ ‘กำหนดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือประชาธิปไตย’ ที่แตกต่างอย่างมากจากประเพณีและประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่านั้น

 

เอกสารนี้ระบุว่า สหรัฐฯ จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่มีระบบการปกครองและสังคมที่แตกต่างจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์นี้ยังคงแนะนำว่าสหรัฐฯ จะยังคงกดดันบางประเทศ (โดยเฉพาะพันธมิตรตะวันตก) เกี่ยวกับคุณค่าที่เห็นว่าสำคัญ เช่น การต่อต้านข้อจำกัดต่อเสรีภาพที่เป็นผลมาจากชนชั้นนำ

 

โดยรวมแล้ว NSS ฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญใหม่ โดยให้ความสำคัญ ไปที่ซีกโลกตะวันตก และลดบทบาทในพื้นที่ที่เคยมีความสำคัญสูง เช่น ตะวันออกกลางและยุโรป เพื่อมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของชาติโดยตรง และใช้กรอบการทำงานแบบ ‘ไม่แทรกแซง’ ในการติดต่อกับประเทศต่างๆ

 

ภาพ: Hector Vivas via Getty Images

อ้างอิง:

The post สหรัฐฯ ปรับแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงใหม่ ทรัมป์มองเรื่องไหนสำคัญบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐมนตรีต่างประเทศเปิดหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ เสนอ UN ตั้งคณะตรวจสอบ เน้นย้ำต้องไม่มีเหยื่อคนต่อไป https://thestandard.co/fm-reveals-cambodia-new-landmines/ Sat, 06 Dec 2025 03:46:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1151789 รัฐมนตรีต่างประเทศเปิดหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ เสนอ UN ตั้งคณะตรวจสอบ เน้นย้ำต้องไม่มีเหยื่อคนต่อไป

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเท […]

The post รัฐมนตรีต่างประเทศเปิดหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ เสนอ UN ตั้งคณะตรวจสอบ เน้นย้ำต้องไม่มีเหยื่อคนต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
รัฐมนตรีต่างประเทศเปิดหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ เสนอ UN ตั้งคณะตรวจสอบ เน้นย้ำต้องไม่มีเหยื่อคนต่อไป

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลง ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 (22MSP) ภายใต้ระเบียบวาระการพิจารณาคำขอตามข้อ 8 ของอนุสัญญาฯ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวานนี้ (5 ธันวาคม) พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันว่า กัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยเสนอให้สหประชาชาติ (UN) ตั้งคณะตรวจสอบ และเน้นย้ำว่า ‘ต้องไม่มีเหยื่อคนต่อไป’

 

รัฐมนตรีต่างประเทศระบุว่า 1. เมื่ออนุสัญญาฉบับนี้ได้รับการรับรองในปี 2540 รัฐภาคีต่างได้ให้คำมั่นที่จะ “ยุติความทุกข์ทรมานและการบาดเจ็บที่เกิดจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” — คำมั่นสัญญาที่ตั้งอยู่บนความเห็นพ้องร่วมกันว่า ไม่มีประเทศอารยะใดสามารถอ้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธที่โจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายเช่นนี้ได้

 

2. ประเทศไทยยึดมั่นในหลักการเหล่านี้อย่างแน่วแน่ และด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เราจึงต้องหยิบยก
ประเด็นการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่น่ากังวลอย่างยิ่งนี้ต่อที่ประชุมครั้งนี้

 

3. ประเทศไทยไม่มีความประสงค์ที่จะสร้างความตึงเครียด หรือทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ทหารของเราได้รับความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า และข้าพเจ้ามีหน้าที่ที่จะกล่าวในนามของประชาชนไทยผู้ที่ต้องเผชิญกับการกระทำครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไม่ควรเกิดขึ้นภายใต้อนุสัญญานี้

 

4. ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทหารไทยจำนวนเจ็ดนายได้สูญเสียขาจากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ชุมชนท้องถิ่นต้องอยู่ในสภาวะหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น

 

5. เราได้พบหลักฐานเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องที่ยืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกวางใหม่โดยกัมพูชา

 

6. ผลการประเมินที่เป็นอิสระ ซึ่งรวมถึงจากคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวถูกวางใหม่ เรามีหลักฐานวิดีทัศน์ที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งว่า กองกำลังกัมพูชากำลังฝึกการใช้ทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นชนิดที่กัมพูชามีไว้ครอบครอง

 

7. การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดข้อ 1 ของอนุสัญญาฯ อย่างชัดแจ้ง และเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อหลักการด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของอนุสัญญาฉบับนี้

 

8. ด้วยเหตุนี้ จึงนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้ใช้กลไกตามข้อ 8 วรรค 2 เพื่อขอรับคำชี้แจงจากกัมพูชา เพราะประสงค์จะได้รับการคุ้มครองจากบูรณภาพของอนุสัญญาฯ

 

9. ประเทศไทยได้ใช้กลไกทวิภาคีในทุกช่องทางด้วยความสุจริตใจ เพื่อยุติกรณีดังกล่าวอย่างสร้างสรรค์

 

10. แต่การตอบสนองของกัมพูชากลับขัดกับหลักฐานที่ได้รับการตรวจสอบ อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ข้อมูลอันบิดเบือนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

 

11. รูปแบบการดำเนินการเช่นนี้ยังคงเกิดขึ้น แม้ว่าไทยและกัมพูชาได้ลงนามในถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยกับนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา (Joint Declaration) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ แต่เพียงสองสัปดาห์ต่อมา เหตุการณ์ทุ่นระเบิดครั้งใหม่ได้ ‘เกิดขึ้นอีกครั้ง’ ซึ่งเป็นการทำลายทั้งเจตนารมณ์และเนื้อหาของถ้อยแถลงดังกล่าว

 

12. เรื่องนี้กระทบต่อบูรณภาพของอนุสัญญาฯ โดยตรง

 

13. หากรัฐภาคีสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่ และปฏิเสธได้โดยไม่ต้องรับผลการกระทำใดๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีผู้ได้รับบาดเจ็บรายใหม่?

 

14. ความท้าทายลักษณะนี้ต้องการการตัดสินใจที่หนักแน่น เพราะการนิ่งเฉยจะบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์
ของอนุสัญญาฯ

 

15. โดยที่กัมพูชายังคงปฏิเสธข้อเท็จจริง หลักฐาน และความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงเชื่อว่า หนทางที่สร้างสรรค์ที่สุดคือ การขอให้เลขาธิการสหประชาชาติอำนวยความสะดวก (Good Offices) ในการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Finding Mission) ที่มีความอิสระ อย่างทันท่วงที

 

16. การขอความชัดเจนครั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้กระทำเพื่อแสวงหาความได้เปรียบฝ่ายเดียว หรือดำเนินการเพื่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยง เป้าหมายของเราคือ การทำให้ประเด็นนี้ปราศจากการเมือง โดยอาศัยกลไกของอนุสัญญาฯ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง

 

17. เรามั่นใจว่าการดำเนินการเช่นนี้ เป็นแนวทางที่ยุติธรรม มีประสิทธิผล และโปร่งใสที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายและเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า กลไกของอนุสัญญาฯ สามารถทำงานได้เมื่อมีความจำเป็น

 

18. ประเทศไทยขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อท่าน ต่อคณะกรรมการความร่วมมือด้านการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ เลขาธิการสหประชาชาติ และฝ่ายเลขานุการ ที่ได้อำนวยความสะดวกในคำขอรับคำชี้แจงของเรา

 

19. เราขอเรียกร้องให้กัมพูชากลับมาปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างเคร่งครัด และขอให้รัฐภาคีเร่งรัดให้กัมพูชาให้ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์ และสุจริตใจ

 

20. จุดยืนของเราชัดเจน: ไม่มีทุ่นระเบิดเพิ่ม ไม่มีผู้ประสบภัยเพิ่ม และไม่ทำให้กฎเกณฑ์ที่คุ้มครองเราทุกคนอ่อนแอลง

 

ภาพ: Pool Images

 

อ้างอิง:

The post รัฐมนตรีต่างประเทศเปิดหลักฐานกัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ เสนอ UN ตั้งคณะตรวจสอบ เน้นย้ำต้องไม่มีเหยื่อคนต่อไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
สื่อเยอรมนีอ้าง ยุโรปเตือนเซเลนสกี สหรัฐฯ อาจ ‘ทรยศ’ ยูเครน ชี้ต้องปกป้องเคียฟให้ถึงที่สุด https://thestandard.co/europe-warns-zelensky-us-betrayal/ Fri, 05 Dec 2025 06:41:14 +0000 https://thestandard.co/?p=1151660 สื่อเยอรมนีอ้าง ยุโรปเตือน เซเลนสกี สหรัฐฯ อาจ ‘ทรยศ’ ยูเครน ชี้ต้องปกป้อง เคียฟให้ถึงที่สุด

สื่อเยอรมนีเผย ผู้นำยุโรปออกโรงเตือน โวโลดีเมียร์ เซเลน […]

The post สื่อเยอรมนีอ้าง ยุโรปเตือนเซเลนสกี สหรัฐฯ อาจ ‘ทรยศ’ ยูเครน ชี้ต้องปกป้องเคียฟให้ถึงที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
สื่อเยอรมนีอ้าง ยุโรปเตือน เซเลนสกี สหรัฐฯ อาจ ‘ทรยศ’ ยูเครน ชี้ต้องปกป้อง เคียฟให้ถึงที่สุด

สื่อเยอรมนีเผย ผู้นำยุโรปออกโรงเตือน โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนว่า สหรัฐอเมริกาอาจ ‘ทรยศ’ ยูเครน ในประเด็นแผนสันติภาพ 28 ข้อ เพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ชี้ยุโรปต้องปกป้องยูเครนให้ถึงที่สุด

 

เมื่อวานนี้ (4 ธันวาคม) Der Spiegel สื่อเยอรมนีออกมาตีข่าวบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำยุโรป ได้แก่ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส, ฟรีดริช เมิร์ตซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี, มาร์ก รุตเตอ เลขาธิการ NATO, อเล็กซานเดอร์ สตับบ์ (Alexander Stubb) ประธานาธิบดีฟินแลนด์ และเซเลนสกี โดยวาระการหารือ คือ การเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน ที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำเสนอแผนสันติภาพ 28 ข้อ

 

สื่อเยอรมนีระบุว่า ในเนื้อหาการสนทนาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงบทบาทของสหรัฐฯ โดยมาครงระบุว่า การเจรจาที่กำลังตึงเครียดขณะนี้ เป็น ‘อันตราย’ ต่อยูเครน ขณะที่เมิร์ซระบุว่า ผู้นำยูเครนต้องระวังตัวให้มากๆ

 

“สหรัฐฯ เล่นเกมกับคุณและพวกเรา” Der Spiegel อ้างอิงคำพูดของเมิร์ซ โดยสื่อถึงกรณีที่สหรัฐฯ ส่งผู้แทนอย่าง สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษและนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และ จาเร็ด คุชเนอร์ นักธุรกิจและลูกเขยของทรัมป์ ไปเจรจาแผนสันติภาพที่มอสโกนานถึง 5 ชั่วโมง แต่กลับคว้าน้ำเหลว

 

ขณะที่มาครงระบุกับเซเลนสกีว่า “มีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะทรยศยูเครนในเรื่องดินแดน โดยไม่สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับหลักการรับประกันความมั่นคง” เช่นเดียวกับสตับบ์ที่แสดงความคิดเห็นว่า ยุโรปไม่ควรปล่อยให้ยูเครนและเซเลนสกี ยืนอย่างเดียวดายกับคนเหล่านี้ ซึ่งรุตเตอก็เห็นด้วย พร้อมย้ำว่า ยุโรปควรปกป้องยูเครนให้ถึงที่สุด

 

Der Spiegel ระบุว่า ข้อมูลทั้งหมดเป็นความจริง และได้ติดต่อไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพูดคุยครั้งนี้ 2 คน ซึ่งได้รับการยืนยันว่า บทสนทนาดังกล่าวถูกต้องตามที่เผยแพร่ออกมา โดยสื่อเยอรมนียังทิ้งท้ายว่า ข้อความเหล่านี้คือภาพสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันว่า แม้ยุโรปจะแสดงออกว่า ยกย่องแผนสันติภาพของสหรัฐฯ แต่ลึกๆ แล้ว มีความไม่ไว้วางใจอยู่สูงมาก

 

อนึ่ง โฆษกเซเลนสกีปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นต่อข่าวดังกล่าว เช่นเดียวกับเยอรมนีและ NATO ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่ไม่เปิดเผยตัวตนออกมาโต้แย้งว่า มาครงไม่ได้ใช้คำว่าทรยศ และจุดยืนของผู้นำฝรั่งเศสในการประชุมครั้งนี้ ไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่เขาประกาศในที่สาธารณะ

 

ก่อนหน้านี้ บอริส พิสโตริอุส (Boris Pistorius) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเยอรมนีระบุว่า สันติภาพที่ถูกบังคับให้เกิดขึ้นไม่ใช่แค่หายนะสำหรับยูเครน แต่ยังรวมถึงความมั่นคงของยุโรป พร้อมทั้งเรียกร้องไม่ให้ภูมิภาคทิ้งยูเครนไว้เพียงลำพัง

 

ปัจจุบัน New York Times รายงานว่า มาครงพยายามกดดันให้สีจิ้นผิงช่วยยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งปรากฏว่า ผู้นำจีนระบุหลังการประชุมว่า จีนจะมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการยุติวิกฤตทางการเมือง แต่จะคัดค้านการกระทำใดๆ ที่ไม่รับผิดชอบ เช่น การโยนความผิดหรือใส่ร้าย

 

ภาพ: Ibrahim Ezzat / Reuters

อ้างอิง:

The post สื่อเยอรมนีอ้าง ยุโรปเตือนเซเลนสกี สหรัฐฯ อาจ ‘ทรยศ’ ยูเครน ชี้ต้องปกป้องเคียฟให้ถึงที่สุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปิดฉากคดีลอบสังหารสกริปาล สหราชอาณาจักรชี้ ‘ปูติน’ อยู่เบื้องหลัง บงการวางยาพิษโนวีชอก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ https://thestandard.co/uk-blames-putin-skripal-novichok/ Fri, 05 Dec 2025 05:25:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1151627 ปิดฉากคดีลอบสังหาร สกริปาล สหราชอาณาจักร ชี้ ‘ปูติน’ อยู่เบื้องหลัง บงการวางยาพิษ โนวีชอก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์

คณะไต่สวนสหราชอาณาจักรสรุปคดีพยายามลอบสังหาร เซอร์เกย์ […]

The post ปิดฉากคดีลอบสังหารสกริปาล สหราชอาณาจักรชี้ ‘ปูติน’ อยู่เบื้องหลัง บงการวางยาพิษโนวีชอก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปิดฉากคดีลอบสังหาร สกริปาล สหราชอาณาจักร ชี้ ‘ปูติน’ อยู่เบื้องหลัง บงการวางยาพิษ โนวีชอก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์

คณะไต่สวนสหราชอาณาจักรสรุปคดีพยายามลอบสังหาร เซอร์เกย์ สกริปาล (Sergei Skripal) สายลับสองหน้าชาวรัสเซียในปี 2018 ซึ่งเป็นเหตุให้หญิงผู้บริสุทธิ์รายหนึ่งเสียชีวิตว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย อยู่เบื้องหลัง และเป็นผู้บงการสั่งให้วางยาพิษอย่าง ‘โนวีชอก’ (Novichok)

 

คณะไต่สวนสหราชอาณาจักรออกมาสรุปเบื้องหลังความพยายามลอบสังหาร สกริปาล และยูเลีย สกริปาล (Yulia Skripal) บุตรสาวในปี 2018 ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้ ดอว์น สเตอร์เจส (Dawn Sturgess) หญิงวัย 44 ปี เสียชีวิต หลังฉีดโนวีชอก ยาพิษทำลายประสาทที่บรรจุใน ‘ขวดน้ำหอม’ เข้าที่มือโดยตรง

 

แอนโทนี ฮิวจ์ส (Anthony Hughes) ประธานคณะไต่สวน และอดีตผู้พิพากษาศาลสูงสุดอังกฤษระบุว่า เขามั่นใจว่า เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองรัสเซีย (GRU) เป็นผู้ลอบสังหารสกริปาล ที่ตัดสินใจแปรพักตร์เข้าหาสหราชอาณาจักร โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือ การแลกข้อมูลลับของรัสเซีย ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าวต้องได้รับการอนุมัติจากผู้นำระดับสูง โดยจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากปูติน

 

“ผมสรุปได้ว่า การลอบสังหารสกริปาลต้องได้รับการอนุมัติจากระดับสูงสุด คือ ประธานาธิบดีปูติน” ฮิวจ์สย้ำว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารในครั้งนี้ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางศีลธรรม และการโจมตีของรัสเซีย คือ การแสดงอำนาจอย่างเปิดเผย เพื่อให้เกิดผลทางการเมืองทั้งภายในและต่างประเทศ

 

ด้าน เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรระบุว่า ผลสรุปของคณะไต่สวนดังกล่าวคือเครื่องเตือนใจว่า รัสเซียไม่เห็นค่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ และทางการจะยืนหยัดต่อสู้กับระบอบอันโหดร้ายของปูตินต่อไป

 

นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษยังประกาศมาตรการคว่ำบาตรหน่วยข่าวกรองรัสเซีย และเรียกเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหราชอาณาจักรมาเข้าพบ พร้อมวิจารณ์ว่า มอสโกพยายามก่อปฏิบัติการก่อกวนประเทศอย่างต่อเนื่อง

 

อนึ่ง ครอบครัวของสเตอร์เจสแสดงความคิดเห็นว่า ผลสรุปของทางการให้คำตอบถึงเหตุลอบสังหารบางส่วน แต่ยังเหลือคำถามและข้อสงสัยอีกมาก โดย สแตน สเตอร์เจส (Stan Sturgess) บิดาของสเตอร์เจสกล่าวกับ The Guardian ว่า เขารู้สึกพอใจที่คณะไต่สวนระบุว่า ลูกสาวของเขาไม่ใช่ผู้กระทำผิด แต่ก็แสดงความกังวลว่า สหราชอาณาจักรอาจไม่ได้เรียนรู้อะไร เพื่อป้องกันโศกนาฏกรรมเช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

 

ย้อนกลับไปในปี 2018 สกรีปาลและยูเลียถูกพบว่า หมดสติในม้านั่งสวนสาธารณะที่เมืองซอลส์บรี โดยผู้ก่อเหตุใช้วิธีทาโนวีชอกบนมือจับประตูบ้าน ทำให้ทั้งคู่ได้รับพิษรุนแรง หากแต่รอดชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่สเตอร์เจสเก็บโนวีชอกที่อำพรางด้วยขวดน้ำหอมในถังขยะ และฉีดบนฝ่ามือ จนเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

ภาพ: Vyacheslav Prokofyev / Reuters

อ้างอิง:

The post ปิดฉากคดีลอบสังหารสกริปาล สหราชอาณาจักรชี้ ‘ปูติน’ อยู่เบื้องหลัง บงการวางยาพิษโนวีชอก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
โพลยุโรปชี้ 9 ประเทศหวั่น เสี่ยงเกิด ‘สงคราม’ กับรัสเซียสูง – ทรัมป์ถูกมองเป็น ‘ศัตรู’ ของภูมิภาค https://thestandard.co/europe-fears-war-russia-trump/ Fri, 05 Dec 2025 03:37:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1151593 โพลยุโรปชี้ 9 ประเทศหวั่น เสี่ยงเกิด ‘สงคราม’ กับ รัสเซียสูง - ทรัมป์ ถูกมองเป็น ‘ศัตรู’ ของภูมิภาค

ผลสำรวจใหม่เผย ประชาชน 9 ประเทศในสหภาพยุโรปเชื่อว่า ภูม […]

The post โพลยุโรปชี้ 9 ประเทศหวั่น เสี่ยงเกิด ‘สงคราม’ กับรัสเซียสูง – ทรัมป์ถูกมองเป็น ‘ศัตรู’ ของภูมิภาค appeared first on THE STANDARD.

]]>
โพลยุโรปชี้ 9 ประเทศหวั่น เสี่ยงเกิด ‘สงคราม’ กับ รัสเซียสูง - ทรัมป์ ถูกมองเป็น ‘ศัตรู’ ของภูมิภาค

ผลสำรวจใหม่เผย ประชาชน 9 ประเทศในสหภาพยุโรปเชื่อว่า ภูมิภาคมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิด ‘สงคราม’ ระหว่างรัสเซียในอนาคตอันใกล้ ขณะที่ความเห็นส่วนใหญ่ยังระบุว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เป็น ‘ศัตรู’ มากกว่ามิตรสำหรับยุโรป

 

ล่าสุด Le Grand Continent นิตยสารฝรั่งเศส เผยแพร่ผลสำรวจจาก Cluster 17 ที่ผ่านการสอบถามประชาชนกลุ่มตัวอย่างใน 9 ประเทศยุโรป ได้แก่ เบลเยียม, โครเอเชีย, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส และสเปน รวมทั้งสิ้น 9,553 ราย ตั้งแต่วันที่ 22-28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถึงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ล่าสุดใน EU เช่น ความต้องการให้ประเทศออกจากสหภาพ หรือประเด็นสงครามสันติภาพ

 

ปรากฏว่า ผู้ทำแบบสำรวจ 9 ประเทศในยุโรป 51% เชื่อว่า มีโอกาสสูงที่ภูมิภาคจะได้ทำสงครามกับรัสเซีย โดยชาวฝรั่งเศสมีความกังวลสูงสุดถึง 86% รองลงมาคือโปแลนด์ที่ 77% ซึ่งมีพรมแดนใกล้ชิดกับรัสเซีย ขณะที่เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์อยู่ที่ 59% ตรงกันข้ามกับอิตาลี ซึ่งประเมินความเสี่ยงต่ำที่สุดที่เพียง 34% เช่นเดียวกับโปรตุเกสและโครเอเชีย

 

อีกหนึ่งตัวเลขสำคัญคือ ชาวยุโรป 69% ไม่เชื่อว่า ประเทศของตนพร้อมรับมือการทำสงครามระหว่างรัสเซีย โดยให้เหตุผลว่า ภูมิภาคจำกัดการปฏิบัติการทางทหารอย่างมากนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

 

ขณะเดียวกัน แบบสำรวจยังสอบถามมุมมองของยุโรปต่อทรัมป์ โดยมีเพียง 10% เท่านั้นที่เชื่อว่า ผู้นำสหรัฐฯ เป็นมิตรต่อยุโรป ส่วนอีก 48% มองว่า ทรัมป์เป็นศัตรูของภูมิภาค ขณะที่ 40% มองอย่างเป็นกลาง คือ ไม่ใช่ทั้งศัตรูและไม่ใช่ทั้งเพื่อน

 

โปแลนด์เป็นประเทศที่มีทัศนคติเชิงบวกกับทรัมป์มากที่สุด โดย 24% มองว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นมิตร ส่วน 19% มองว่า เป็นศัตรู และอีก 48% ที่เหลือมองว่า ทรัมป์ไม่ใช่ทั้งศัตรูและเพื่อน

 

ขณะที่เบลเยียมมีมุมมองแง่ลบต่อทรัมป์มากที่สุด โดยมีตัวเลขสูงถึง 62% และมีเพียง 7% เท่านั้นที่มองว่าเป็นมิตร อย่างไรก็ดี ผู้ทำแบบสำรวจเชื่อว่า ยุโรปไม่ควรเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ แต่ต้องประนีประนอมถึง 48%

 

ปัจจุบัน ฝรั่งเศสเป็นชาติยุโรปที่ตื่นตัวต่อการทำสงครามต่อรัสเซียมากที่สุด โดย พลเอก ฟาเบียง ม็องดง (Fabien Mandon) ผู้บัญชาการทหารบกฝรั่งเศส เคยกล่าวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า จุดอ่อนใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส คือ การขาด ‘เจตจำนง’ ที่จะต่อสู้ในโลกแสนอันตรายปัจจุบัน พร้อมย้ำให้ประเทศรับมือกับการสูญเสีย หากต้องสงครามกับรัสเซียในอีก 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งตามมาด้วยเสียงวิจารณ์จากฝ่ายซ้ายว่า เป็นการยั่วยุ

 

นอกจากนี้ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม ยังวางแผนนำ ‘ระบบรับราชการทหาร’ โดยสมัครใจ กลับมาใช้ในปี 2026 ซึ่งเคยยกเลิกไปแล้วตั้งแต่ปี 1996 โดย เอ็มมานูเอล มาครง ประกาศว่า นี่คือแผนการตอบโต้รัสเซีย ซึ่งมักฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของประเทศอื่น

 

ภาพ: Le Grand Continent

อ้างอิง:

The post โพลยุโรปชี้ 9 ประเทศหวั่น เสี่ยงเกิด ‘สงคราม’ กับรัสเซียสูง – ทรัมป์ถูกมองเป็น ‘ศัตรู’ ของภูมิภาค appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชำแหละ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ทำไมกลไกรับมือน้ำท่วม ไม่สามารถรับมือน้ำท่วม https://thestandard.co/analyze-hatyai-flood-system-fail/ Fri, 05 Dec 2025 02:47:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1151576 ชำแหละ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ทำไมกลไกรับมือน้ำท่วม ไม่สามารถรับมือน้ำท่วม

น้ำท่วม ถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเ […]

The post ชำแหละ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ทำไมกลไกรับมือน้ำท่วม ไม่สามารถรับมือน้ำท่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชำแหละ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ทำไมกลไกรับมือน้ำท่วม ไม่สามารถรับมือน้ำท่วม

น้ำท่วม ถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อประเทศไทยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จนเรียกได้ว่าประเทศไทย ‘มีประสบการณ์อย่างมาก’ ในการเผชิญกับน้ำท่วม

 

หลายพื้นที่ของประเทศเผชิญกับน้ำท่วมแทบทุกปี และเหตุการณ์ร้ายแรงชนิด ‘มหาอุทกภัย’ ก็เกิดขึ้นหลายครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมในกรุงเทพฯ และหลายจังหวัด ปี 2554 และกรณีน้ำท่วมภาคเหนือเมื่อปลายปี 2567

 

กรณีล่าสุด คือสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นใน 9 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งปริมาณฝนที่ตกหนักเป็นประวัติการณ์ ทำให้มวลน้ำมหาศาลไหลท่วมเมืองอย่างรวดเร็ว พรากชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมากมายไปในพริบตา

 

ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมในแต่ละปี สูงแตะหลักหลายหมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านมา รัฐบาลหลายยุคหลายสมัย พยายามดำเนินนโยบายเพื่อป้องกันปัญหา เช่น การทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับโครงการบริหารจัดการน้ำ

 

แต่ถึงกระนั้น เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงเช่นที่ อ.หาดใหญ่ก็ยังคงเกิดขึ้น ในขณะที่การเตือนภัยและรับมือกับสถานการณ์ของรัฐบาลก็ยังคงล่าช้า จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง

 

ท่ามกลางวังวนของภัยพิบัติที่ยังไร้ทางออกนี้ ความจริงที่น่ากังวลมากที่สุด คือสถานการณ์เหล่านี้ กำลังกลายเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า “ระบบรับมือภัยพิบัติของประเทศกำลังล้มเหลว” ในช่วงเวลาที่ปัจจัยจากภาวะโลกรวน หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลง กำลังทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติ โดยเฉพาะน้ำท่วม อาจมีความรุนแรงและถี่มากขึ้น

 

การเมืองทำ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ล้มเหลว?

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นตลกร้าย คือก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงใน อ.หาดใหญ่ พื้นที่นี้กำลังมีการพัฒนา ‘หาดใหญ่โมเดล’ หรือโมเดลบริหารจัดการน้ำท่วม โดยศูนย์วิจัยภัยพิบัติทางธรรมชาติภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่ง
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI (Thailand Development Research Institute) ระบุในบทความ Our broken system fuels flood crisis ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ยกให้หาดใหญ่โมเดล เป็นตัวอย่างโมเดลจัดการน้ำท่วมที่เป็น ‘ความสำเร็จระดับท้องถิ่น’

 

ผู้เขียนบทความชี้ว่า โมเดลนี้ “เป็นความสำเร็จจากการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ การทำงานเป็นทีม และการเตรียมพร้อม” โดยมีทั้งการใช้แบบจำลองขั้นสูงเพื่อประเมินความเสี่ยงและคาดการณ์น้ำท่วม ขณะเดียวกันยังมีคณะทำงานรับมือภัยพิบัติของทางศูนย์ฯ ที่ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบการเตือนภัยล่วงหน้า การวางแผนรับมือความเสี่ยง และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนท้องถิ่น

 

ซึ่งคณะทำงานนี้ ‘รายงานตรงต่อผู้ว่าราชการจังหวัด’ และทำหน้าที่เป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงอุทกภัยได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที

 

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่สำคัญของหาดใหญ่โมเดล ยังมีหลายด้าน เช่น หากขาดเงินทุนระยะยาวที่สม่ำเสมอ ศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ ก็จะประสบปัญหาอุปกรณ์ไม่เพียงพอและข้อมูลที่ล้าสมัย โดยการลาออกของพนักงานก็มีบ่อยครั้งเนื่องจากโอกาสทางอาชีพที่จำกัด ซึ่งกระทบต่อความต่อเนื่องของคณะทำงาน เช่นเดียวกับการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาอย่างสม่ำเสมอ

 

ด้าน ณัฐสิฏ รักษ์เกียรติวงศ์ นักวิจัยอาวุโสของ TDRI หนึ่งในผู้เขียนบทความนี้ และเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่เช่นกัน ได้เผยแพร่บทความภายหลังสถานการณ์บรรเทาลง โดย ‘ชำแหละ’ จุดอ่อนและปัญหา ที่ทำให้หาดใหญ่โมเดลล้มเหลว และเกิดวิกฤตน้ำท่วมในรอบนี้

 

ณัฐสิฏ ชี้ว่าที่ผ่านมา หาดใหญ่มีโมเดลที่ดีในการจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ โดยในอดีตช่องทางการสื่อสารระหว่างศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ กับฝ่ายการเมือง และผู้ว่าราชการจังหวัด ค่อนข้างเสถียร เป็นความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายวิชาการ กับฝ่ายการเมือง และมีเรื่องของความเชื่อมั่นระหว่างกันมากพอสมควร

 

แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนตัวผู้บริหารท้องถิ่นจึงเกิดเป็น ‘ช่องว่าง’ ของการสื่อสารขึ้น

 

“ปีที่ผ่านมาหาดใหญ่ก็เจอกับน้ำมากเป็นพิเศษ ซึ่งเราพบว่าช่องทางการสื่อสารนี้ไม่ได้ผลเหมือนเมื่อก่อน เพราะตัวบุคคลถูกเปลี่ยนไป การจัดอันดับความสำคัญของฝ่ายการเมืองแต่ละคนมีความต่างกัน ทำให้ระบบล้มเหลวได้ง่าย”

 

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทางศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ ยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณไม่เพียงพอ เช่น การจำลองการไหลของน้ำ ยังใช้เพียงคอมพิวเตอร์รุ่นธรรมดาในการทำงาน แม้นักวิจัยจะพยายามทำหน้าที่เต็มกำลัง

 

“ปัญหาของหาดใหญ่โมเดลคือ ช่วงเปลี่ยนคน เปลี่ยนฝ่ายการเมือง หากไม่มีการทำเรื่องนี้ให้เป็นโครงสร้างเชิงสถาบัน หรือทำให้เป็นระบบที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการระหว่างฝ่ายวิชาการและภาคการเมือง เมื่อความสัมพันธ์ตัวบุคคลหายไป คำแนะนำจากฝ่ายวิชาการไปไม่ถึงฝ่ายการเมือง”

 

จุดอ่อนวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่

 

เนื้อหาบทความ ชี้ว่าจุดอ่อนที่ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เลวร้าย มาจากภาวะโลกรวน สภาพอากาศที่แปรปรวนจนทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่มากผิดปกติ กอปรกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของหาดใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่น้ำจากทุกที่จะไหลผ่าน จึงกลายเป็นชนวนเร่งให้เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่เมื่อเกิดฝนตกหนัก

 

แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายจนกลายเป็นหายนะ เพราะไม่มีการแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ประชาชนไม่ทันกักตุนอาหาร หรือขนย้ายสิ่งของหรือพาผู้เปราะบางย้ายออกไปศูนย์พักพิงได้ทัน

 

“การไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อรับมือกับสถานการณ์ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น จึงถูกยกระดับกลายเป็นวิกฤตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในสถานการณ์วิกฤต แผนหรือแนวปฏิบัติแบบเดิมที่เคยมีมาไม่สามารถใช้ได้แล้ว” ณัฐสิฏ ระบุ

 

ทั้งนี้ พื้นฐานของการจัดการวิกฤต ต้องมีระบบ ‘3 C’ ได้แก่ Command (การบังคับบัญชา) Control (การควบคุม) และ Capability (ขีดความสามารถ) ซึ่งต้องทำงานได้ และมีการตอบสนองอย่างทันท่วงที โดยทั้ง 3C นี้จะต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่ยามที่สถานการณ์ปกติ แต่เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้สถานการณ์จึงกลายเป็นหายนะในที่สุด”

 

จุดเปลี่ยน 12 ชั่วโมงก่อนน้ำท่วม

 

เขาชี้ว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือช่วงเวลา 12 ชั่วโมงก่อนที่น้ำท่วม โดยกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศแจ้งเตือนตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน ว่าจะมีฝนตกหนัก ขณะเดียวกัน เพจ Facebook หนึ่ง ได้มีการแจ้งเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าอย่างแม่นยำ แต่กลับมีหน่วยงานรัฐออกมาบอกว่าเป็น ‘Fake news’

 

“ในทางกลับกันหากเรื่องฝนตกหนักถูกกระจายออกไปก็จะเป็นเรื่องดีที่จะสร้างการรับรู้ให้ประชาชน เพื่อที่การแจ้งเตือนที่จะตามหลังมา จะยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลสามารถจัดการได้หลายอย่างก่อนที่ฝนก้อนมหึมานั้นจะมา” เขากล่าว

 

จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุด คือ “คำเตือนให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ไม่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที” สาเหตุจาก 2 ปัญหา คือ

 

1.ช่วงก่อนหน้าน้ำท่วม นายกเทศมนตรีใช้ต้นทุนทางการเมืองไปมากกับการยืนยันว่า “น้ำจะไม่ท่วมหาดใหญ่” จึงยากที่จะยอมรับว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงต่อไปจะเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่ตัวเองได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

 

ส่วนข้อถกเถียงเรื่องอำนาจการยกธงแดงนั้น ระบบธงแดง ไม่ใช่ระบบทางการ ไม่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมาย แต่เป็นกลไก และแนวปฏิบัติที่เทศบาลหาดใหญ่ได้ดำเนินการกันมานาน จึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงของเทศบาลหาดใหญ่ในการแจ้งเตือนประชาชน

 

2.ระบบเตือนภัยไม่มีความเข้าใจร่วมกัน เช่น ในวันที่ 23 พฤศจิกายน เวลาตี 4 ชาวหาดใหญ่ได้รับข้อความแจ้งเตือนว่า “น้ำท่วมใหญ่กำลังจะมา” โดยข้อความถูกส่งมาในลักษณะที่ว่า “น้ำจะท่วมสูง 1.5 เมตร ภายใน 6 โมงเย็น ให้คนที่อยู่ในพื้นที่ต่ำอพยพไปอยู่พื้นที่สูง”

 

สำหรับหลายพื้นที่ นี่ไม่ใช่การเตือนล่วงหน้า 12 ชั่วโมง แต่อาจจะเป็นเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะ 8 โมงเช้าของวันนั้น หลังได้รับข้อความแจ้งเตือน 4 ชั่วโมงหลายพื้นที่ใน อ.หาดใหญ่ ก็ถูกตัดขาดเรียบร้อย ประชาชนไม่สามารถอพยพไปไหนได้ ข้อความมาถึงประชาชนสายเกินไป

 

“คำเตือนที่ได้ผลจะต้องชัดเจน มีความเฉพาะเจาะจง มีการอธิบายความหมายกับคนในพื้นที่ให้เข้าใจล่วงหน้าในยามปกติว่าแต่ละคำ หมายถึงอะไร จะตีความข้อความอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันน้ำทะลัก ประชาชนไม่ทราบว่าระดับน้ำ 1.5 เมตรวัดจากไหน ริมตลิ่ง ถนน หรือหน้าบ้าน และตรงไหนคือพื้นที่ต่ำ พื้นที่สูงที่จะอพยพได้ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า Soft Infrastructure เป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาล่วงหน้า เพราะต้องมีการลงพื้นที่ทำความชี้แจงทำความเข้าใจ และรับ feedback กลับมาเป็นรายพื้นที่ไป เมื่อไม่มีความเข้าใจร่วมนี้ คนก็ไม่รู้ว่าจะให้คนตอบสนองอย่างไร” ณัฐสิฏ กล่าว

 

ทั้งนี้ การแจ้งเตือนจะได้ผลดีต่อเมื่อเงื่อนไขต่างๆ ถูกเตรียมพร้อมอย่างถูกต้อง เช่น หากสั่งอพยพก็ต้องมีการกำหนดที่ตั้งของศูนย์อพยพไว้ล่วงหน้า มีการเตรียมความพร้อมของอาหาร เชื้อเพลิง และบุคลากรสำหรับงานบริหาร การดูแลสุขภาพของผู้อพยพ และความปลอดภัย ต้องมีระบบขนส่งรองรับการพาคนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าสู่ศูนย์อพยพ

 

ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรีนา ปี 2005 ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ ของสหรัฐฯ ทางการได้จัดเตรียมรถบัส 2,000 คันเพื่ออพยพประชาชน 2 หมื่นคนไปยังซูเปอร์โดม และถึงขั้นเคาะประตูบ้านเพื่อให้ทุกคนออกจากพื้นที่เพื่อลดการสูญเสียชีวิต

 

“ปัญหาใหญ่ของไทยคือไม่มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เพราะเมื่อเวลาเกิดเหตุแล้วเราทำอะไรได้น้อยมาก หาดใหญ่คน 4 แสนคน อย่างน้อยจะต้องมีรายชื่อกลุ่มเปราะบางในพื้นที่แล้วว่า บุคคลเหล่านี้จะต้องออกจากพื้นที่เสี่ยงให้ได้ นำคนป่วย คนแก่ คนพิการ เด็กออกไปก่อน และให้ข้อมูลกับประชาชนทั่วไปด้วยว่า เส้นทางการอพยพควรใช้เส้นทางไหน แต่นี่แทบทุกคนติดในบ้านหมด”

 

ไร้การเตรียมรับมือวิกฤตในยามปกติ

 

นอกจากนี้ ณัฐสิฏชี้ว่า จุดอ่อนของไทยคือการที่ ‘ไม่มีการเตรียมการในยามปกติ’ โดยมาตรการอย่าง พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ความสำคัญกับช่วงเกิดเหตุการณ์และหลังเกิดเหตุการณ์ นอกจากการทำ Gray Infrastructure เช่น สร้างเขื่อน ขุดคลองแล้ว นอกนั้นไม่มีการเตรียมความพร้อมอะไรทั้งสิ้น

 

“การที่เราไม่มีระบบ Command, Control, and Capability ทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ไม่รู้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองว่าเวลาเกิดเหตุแต่ละคนจะต้องทำอย่างไร ประสานงานกันอย่างไร รวมถึงยุทธวิธี (Game Plan) และระเบียบกระบวนการ (Protocols) ต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการตัดสินใจในภาวะเสี่ยง เช่น หากทีมช่วยเหลือเจอน้ำเชี่ยวกราก ควรทำอย่างไร ลุยต่อ หรือหยุดภารกิจไว้ก่อน ซึ่งหากมีโปรโตคอล ผู้ปฏิบัติงานจะรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร จัดสรรทรัพยากรอย่างไร อาหาร-กำลังคนจะนำเข้ามาอย่างไร”

 

ขณะเดียวกัน เขาชี้ว่าจะต้องมีการฝึกทักษะ และฝึกซ้อมทำ War Game จำลองสถานการณ์ เพื่อให้รู้ว่าแผนการมีจุดอ่อนอย่างไร เพื่อให้เราปรับแผนได้ถูกต้อง ให้คนปฏิบัติการคาดการณ์ได้ว่าหากเขาตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดไป ผู้ร่วมปฏิบัติงานคนอื่น หรือหน่วยอื่น จะตอบสนองอย่างไร ทำให้ประสานงานในภาวะอันตรายได้ผลดีขึ้นมาก รวมทั้งการมอนิเตอร์สถานการณ์อย่างไม่เป็นระบบทำให้การรับรู้สถานการณ์เป็นศูนย์ ไปจนถึงเกิดความล้มเหลวในการจัดการอุปกรณ์ให้ความช่วยเหลือ และบรรเทาทุกข์อย่างเรือ เจ็ทสกี อาหาร กำลังคน

 

“ในขณะนี้มีการพูดถึงข้อเสนอ Single Command กันมาก แต่หากไม่มี Game Plan ที่มีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี และไม่มีขีดความสามารถเชิงองค์กร การมี Single Command ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะให้คำสั่งไปแล้ว คนที่รับคำสั่งมาก็ไม่มีขีดความสามารถที่จะไปปฏิบัติต่อได้อยู่ดี” ณัฐสิฏ กล่าว

 

หลังน้ำลดควรทำอะไร?

 

ณัฐสิฏ ระบุว่า สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการทำรายงานข้อเท็จจริงเชิงลึกที่ไม่กล่าวโทษใคร เพื่อค้นหาความจริง ซึ่งอาจตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ ภายใต้รัฐสภา ให้นักวิชาการลงพื้นที่สัมภาษณ์ทุกคนที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ถึงการตัดสินใจทีละขั้น อะไรเกิดขึ้นจริง อะไรเป็นปัญหา เพื่อที่จะได้นำไปเป็นข้อมูลในการปรับปรุงและวางแผนเตรียมความพร้อมต่อไป

 

ในด้านของการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือนั้น เขาเทียบกับเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรีนา ที่ผ่านมา 20 ปีแล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ กิจการที่ปิดตัวลงหลายแห่ง ทุกวันนี้ยังไม่ได้กลับมาเปิดเพราะว่าขาดเงินทุนในการมาทํากิจการใหม่ เพราะฉะนั้นหากไม่อัดฉีดเงินทุนเข้ามาในระบบ หาดใหญ่คงยากที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้

 

นอกจากนี้ยังต้องเร่งดูแลกลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อยในพื้นที่ ที่หลายคนถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างจริงจัง

 

เสนอตั้งผู้ว่าฯ ซูเปอร์ซีอีโอ-กองกำลังรับมือภัยพิบัติ

 

ณัฐสิฏ กล่าวถึงข้อเสนอในการรับมือภัยพิบัติเช่นน้ำท่วม ท่ามกลางภาวะโลกรวนที่เลวร้ายลง โดยมีทั้งการเร่งผลักดัน พ.ร.บ.ยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย เพื่อให้มีผู้ว่าราชการจังหวัดแบบ ‘ซูเปอร์ซีอีโอ’ ซึ่งอาจจะเริ่มในกลุ่มจังหวัดและลุ่มน้ำที่มีความเสี่ยงสูง และผู้ว่าฯ ซูเปอร์ซีอีโอ จะมีสถานะเป็น “ปลัดบัญชาการ” ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ารัฐมนตรี ที่จะเข้ามาเข้ามาทําเรื่องการจัดการน้ำท่วมโดยเฉพาะ และสามารถสั่งการหน่วยงานต่างๆ ได้

 

ขณะเดียวกัน เขาเสนอว่า ไทยควรมีกลไกใหม่ ๆ อย่างกองกำลังรับมือภัยพิบัติเหมือนในต่างประเทศ ที่มีความคล่องตัวสูง ไม่อยู่ภายใต้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติในประเทศถี่ขึ้น และมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่มีความพร้อมในด้านบุคลากรมากที่สุด คือกองทัพ ที่มีกำลังพลในวัยฉกรรจ์ แข็งแรง ผ่านการฝึกสมรรถะทางร่างกายมาแล้ว หากมีการอบรมทหารที่อยู่ระหว่างประจำการ เป็นหน่วยพิเศษขึ้นมาก็จะทำให้หน่วยนี้มีขีดความสามารถสูงในการอพยพคน การให้ความช่วยเหลืออย่างถูกวิธี การเข้าไปในพื้นที่อันตราย หรือแม้แต่การปฏิบัติการด้านลอจิสติกส์ ในลักษณะเดียวกับ National Guard หรือกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิในสหรัฐฯ

 

“เมื่อทหารประจำการผ่านการฝึกฝนแล้ว หากปลดประจำการออกไป คนเหล่านี้จะมีทักษะหลาย ๆ อย่างด้วย เช่นอาจจะมีทักษะการพยาบาล ก็สามารถนำทักษะไปสมัครงานผู้ช่วยพยาบาล ดูแลคนเจ็บคนป่วยต่อได้ ขณะที่ภาครัฐเองก็ไม่ต้องเสียงบประมาณอะไรมากในการจัดตั้งกองกำลังรับมือภัยพิบัติ ซึ่งถือเป็นเรื่อง Win-Win ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์”

 

สำหรับรูปแบบการบริหารนั้น เขามองว่า กองทัพ ควรเป็นเจ้าของหน่วยปฏิบัติการ โดยทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง ปภ. กระทรวงสาธารณสุข ท้องถิ่น และภาคประชาสังคม แต่ปฏิบัติการภายใต้กรอบอำนาจของผู้ว่าซูปเปอร์ซีอีโอ ที่จะเป็นผู้รับผิดชอบเชิงนโยบาย

 

ทั้งนี้เมื่อเวลาเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ใดขึ้นในประเทศ ก็จะส่งกองกำลังชุดนี้ ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ความช่วยเหลือภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ลงพื้นที่ตอบโต้เหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที

 

ภาพ: REUTERS/Weerapong Narongkul

อ้างอิง:

The post ชำแหละ ‘หาดใหญ่โมเดล’ ทำไมกลไกรับมือน้ำท่วม ไม่สามารถรับมือน้ำท่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เทานอก-เทาใน’ ทุนสีเทาและคอร์รัปชัน สนิมร้ายกัดกร่อนประเทศไทย https://thestandard.co/gray-money-corruption-thailand/ Fri, 05 Dec 2025 02:36:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1151566 เทานอก-เทาใน ทุนสีเทาและคอร์รัปชัน สนิมร้ายกัดกร่อนประเทศไทย

ท่ามกลางความพยายามขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สิ่ […]

The post ‘เทานอก-เทาใน’ ทุนสีเทาและคอร์รัปชัน สนิมร้ายกัดกร่อนประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทานอก-เทาใน ทุนสีเทาและคอร์รัปชัน สนิมร้ายกัดกร่อนประเทศไทย

ท่ามกลางความพยายามขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สิ่งหนึ่งที่เป็น ‘อุปสรรคใหญ่’ สำหรับการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่เรื่องของการขาดแคลนเทคโนโลยีหรือทรัพยากร แต่เป็นปัญหา ‘สีเทา’ ที่ฝังรากลึกในไทยมายาวนาน ทั้งการคอร์รัปชันในระบบราชการ การเมือง และปัจจุบันยังเชื่อมโยงไปถึงอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทุนสีเทาจากนอกประเทศ

 

ภายในงานสัมมนาสาธารณะประจำปีของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Research Institute : TDRI) ปี 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ นักการทูตและนักการเมืองระดับหัวแถวของประเทศ มาร่วมวงเสวนา หาหนทางขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า พบว่าปัญหา ‘สีเทา’ เป็นประเด็นหนึ่งที่แทบทุกคนเห็นตรงกันว่า กำลังขัดขวางการเติบโตของประเทศอย่างรุนแรง

 

โดยในวงเสวนาหัวข้อ “ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่โมเดลใหม่ในการพัฒนา” ที่มีผู้เข้าร่วม คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน, พิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ และดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง พร้อมทั้งให้แง่คิดและแนวทางป้องกันปัญหาที่น่าสนใจ เช่น การตั้งทูตพิเศษปราบสแกมเมอร์ การสังคายนากฎหมาย หรือใช้ AI ลดช่องว่างการทุจริต

 

THE STANDARD ชวนอ่านมุมมองการแก้ไขปัญหาสีเทาๆ ทั้งนอกและในประเทศ ที่กำลังเป็นสนิมร้ายกัดกร่อนประเทศ และเป็นวิกฤตที่รัฐบาลไทยต้องเร่งแก้ไข โดยการแก้ปัญหานี้อาจไม่ใช่ ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ทางรอด’ ที่จำเป็นต้องอาศัยการผ่าตัดใหญ่ทั้งระบบ

 

‘เทาใน’ รัฐพันลึกและต้นทุนแฝงที่เอกชนต้องจ่าย

 

หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวบนเวทีเสวนาของ TDRI โดยฉายภาพปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของการบริหารราชการ โดยใช้คำนิยามว่า “รัฐพันลึก” (Deep State) ซึ่งหมายถึงกลุ่มอำนาจหรือเครือข่ายผลประโยชน์ที่ฝังตัวอยู่ในกลไกรัฐ มีลักษณะของการปิดกั้นการตรวจสอบ ขูดรีดทรัพยากร

 

ขณะที่กลุ่มทุนในประเทศส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้วิธีการ ‘แสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Rent Seeking)’ ผ่านสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ มากกว่าที่จะมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมหรือพัฒนาผลิตภาพ

 

ณัฐพงษ์มองว่า สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้เป้าหมายการสร้าง ‘การเติบโตที่เป็นธรรม’ ที่กระจายดอกผลของการพัฒนาไปสู่คนตัวเล็กตัวน้อยในประเทศ เป็นเพียง ‘ความฝัน’ ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ตราบใดที่ยังไม่สามารถสร้างสถาบันทางการเมืองที่โปร่งใสและเปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงได้

 

โดยสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ‘ราคา’ ที่สังคมไทยต้องจ่ายเพื่อให้ระบบนี้ดำรงอยู่ ซึ่งณัฐพงษ์เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกจากการทำงานการเมืองและการลงพื้นที่ตรวจสอบงบประมาณ พบว่าวงจรการทุจริตไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโครงการระดับหมื่นล้านแสนล้าน หรือในระดับผู้บริหารประเทศเท่านั้น แต่เชื้อร้ายนี้ได้ฝังรากลึกตั้งแต่ระดับปฏิบัติการในท้องถิ่นที่ใกล้ตัวประชาชนที่สุด

 

เขายกตัวอย่างที่สะท้อนปัญหาของระบบได้ชัดเจนที่สุด คือกรณีของการเข้าทำงานเป็นพนักงานเก็บขยะของกรุงเทพมหานคร แม้จะเป็นอาชีพที่ต้องทำงานหนัก ตรากตรำ และมีสวัสดิการที่ไม่ได้สูงส่งอะไร แต่กลับพบว่ายังมีการเรียกรับผลประโยชน์ โดยมีการ “จ่ายเงิน” เพื่อแลกกับโควตาในการเข้าทำงาน

 

“สมัยผมเป็น สส. เขต ในสภาชุดที่แล้ว พบว่าเรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ระดับ ผอ. เขต หรือต่ำกว่านั้นอย่างพนักงานเก็บขยะ ก็ยังต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้โควตาเข้าทำงาน เพราะสวัสดิการพนักงาน กทม. นั้นดี เรื่องนี้ไล่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงอธิบดีและปลัดกระทรวง แต่สุดท้ายเงินจะขึ้นไปถึงรัฐมนตรีหรือไม่ ไม่มีใครรู้” เขากล่าว

 

การมีอยู่ของระบบ ‘เทาใน’ หรือวัฒนธรรมส่วยและสินบนนี้ ไม่เพียงแต่บั่นทอนกำลังใจของข้าราชการน้ำดี แต่ยังสร้าง ‘ต้นทุนแฝง’ มหาศาลให้กับภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทยโดยรวม

 

ณัฐพงษ์ยังได้หยิบยกผลการศึกษาของ TDRI ที่ระบุตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจไว้อย่างชัดเจนว่า ต้นทุนที่เกิดจากกฎระเบียบที่ล้าสมัย ซ้ำซ้อน และเกินความจำเป็น ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในการเรียกรับส่วยและเงินใต้โต๊ะนั้น สร้างความเสียหายให้ภาคธุรกิจคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี

 

เงินจำนวนมหาศาลนี้แทนที่จะถูกนำไปใช้ในการลงทุน วิจัยพัฒนา หรือจ้างงาน กลับต้องละลายหายไปกับการจ่ายเพื่อซื้อความสะดวก หรือเพื่อเลี่ยงกฎระเบียบที่ไม่สมเหตุสมผล

 

ประเด็นนี้สอดคล้องกับมุมมองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้สะท้อนเสียงจากภาคเอกชน ทั้งผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “หากไม่ทำให้บ้านเมืองสุจริต นโยบายดีๆ ก็จะเสียของเมื่อไปอยู่ในมือคนทุจริต”

 

ปัญหาความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างรัฐกับเอกชน และความหวาดระแวงในการทุจริต ทำให้ภาครัฐมักแก้ปัญหาด้วยการออกกฎระเบียบที่หยุมหยิม เข้มงวด และซับซ้อนขึ้นมาเพื่อควบคุมการโกง

 

แต่ในความเป็นจริง กฎระเบียบเหล่านั้นกลับกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาทำร้ายคนสุจริต และกลายเป็นช่องทางใหม่ให้เจ้าหน้าที่ทุจริตใช้ข่มขู่เรียกรับผลประโยชน์ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง และยิ่งโกง

 

‘เทานอก’ อาชญากรรมข้ามชาติ และวิกฤตความเชื่อมั่นตลาดทุน

 

ในขณะที่ ‘เทาใน’ กัดกินระบบราชการ แต่ปัญหา ‘ทุนสีเทา’ จากภายนอกและการฟอกเงินผ่านตลาดทุนไทย กำลังทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติอย่างรุนแรง

 

แน่นอนว่าปัญหาทุนสีเทา เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายพรรคการเมืองให้ความสำคัญและนำมาเป็นแคมเปญสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงต้นปีหน้าหนึ่งในนั้นคือพรรคประชาธิปัตย์ ของอภิสิทธิ์ ที่มีแคมเปญ ‘เปิดฟ้าใหม่ไล่เมฆเทา’ ซึ่งก่อนหน้านี้ ยังได้มีการมีการส่งมอบข้อมูลและหลักฐานเส้นทางธุรกรรมทางการเงินที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติให้แก่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก่อนที่ ปปง.จะมีมติเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ให้ยึดและอายัดทรัพย์เฉิน จื้อ นักธุรกิจกัมพูชาเชื้อสายจีนผู้ก่อตั้ง Prince Group และก๊ก อาน นักธุรกิจและสมาชิกวุฒิสภากัมพูชา รวมทั้งเครือข่ายเบน สมิธ รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท

 

บนเวทีเสวนา อภิสิทธิ์ ยังได้เปิดเผยถึงปฏิบัติการตรวจสอบความผิดปกติในตลาดหุ้นไทย และพบพฤติการณ์ที่ผิดปกติและน่าสงสัยซึ่งอาจเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนสีเทาข้ามชาติ เช่น กรณีบริษัทจดทะเบียนที่มีทุนจดทะเบียนเพียงหลักร้อยบาท หรือประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับมีศักยภาพทางการเงินที่ลึกลับมหาศาล จนสามารถเข้ามาไล่กว้านซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือสามารถเข้าไปซื้อกิจการพลังงานขนาดใหญ่ระดับประเทศได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยของการทำธุรกิจปกติ

 

พฤติการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการฟอกเงินและการใช้ ‘นอมินี’ หรือตัวแทนอำพรางที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายต้องสงสัยตามบัญชีดำและกฎหมายของสหรัฐอเมริกา

 

กลุ่มทุนเหล่านี้ใช้วิธีการอันแยบยลในการเข้ามาปั่นหุ้น สร้างราคาเทียม โดยการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่แพงกว่าราคาตลาดเพื่อดึงดูดแมงเม่า และสร้างโครงสร้างบริษัทที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายชั้น เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางกฎหมายและการกำกับดูแลของทางการไทย

 

อภิสิทธิ์ ชี้ว่าการปล่อยให้ตลาดทุนไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของอาชญากรข้ามชาติเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำลายเสถียรภาพของตลาดหุ้น แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไทยในสายตาโลกอย่างยับเยิน

 

เขายังชี้ว่าผลกระทบจากทุนสีเทาข้ามชาตินั้น หากไร้การจัดการอย่างจริงจังและเด็ดขาด จะส่งผลรุนแรงใน 2 มิติหลักที่เกี่ยวพันกับปากท้องของคนไทย โดยมิติแรก คือ วิกฤตศรัทธาในตลาดทุน เมื่อธรรมาภิบาลถูกทำลาย ความเชื่อมั่นก็มลายหายไป สภาพคล่องในตลาดหดหาย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่มีคุณภาพไม่กล้าเข้ามาลงทุนเพราะหวาดกลัวเรื่องความไม่โปร่งใส ความเสี่ยงจากการถูกโกง และความเสี่ยงที่จะเข้าไปพัวพันกับเส้นทางการเงินที่ผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยซบเซาและไม่สามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทจดทะเบียนได้

 

ส่วนมิติที่สอง คือ ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย อภิสิทธิ์ระบุชัดเจนว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ได้เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจจีนเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนสำคัญมาจาก ความหวาดกลัวเรื่องความปลอดภัยและข่าวลือที่แพร่สะพัดในโลกโซเชียลมีเดียของจีนเกี่ยวกับขบวนการสแกมเมอร์ การลักพาตัว และศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่เรียงรายตามแนวชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นทางผ่านและเป็นพื้นที่สีเทาที่รัฐบาลไม่จัดการอย่างจริงจัง จนทางการจีนต้องเข้ามามีบทบาทในการปราบปรามด้วยตนเองก่อนหน้านี้ ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้สร้างความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

 

ทางด้านหัวหน้าพรรคประชาชนยังเสริมว่า ภาพลักษณ์การเป็นประเทศสีเทา ยิ่งทำให้ไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะนักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นที่จะนำเงินมาลงทุน

 

ไทยตกขบวนปราบสแกมเมอร์

 

ด้านอดีตทูตพิศาล สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของรัฐบาลไทยเรื่องการจัดการปัญหาทุนสีเทาและอาชญากรรมข้ามชาติ โดยชี้ว่าไทยพลาดโอกาสสำคัญในการแสดงบทบาทผู้นำภูมิภาค ในการจัดการกับปัญหาสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน

 

เขายกตัวอย่างประเทศกัมพูชาที่มหาอำนาจและนานาชาติเข้าไปกดดันให้จัดการกวาดล้างสแกมเมอร์ แต่ไทยกลับไม่ฉวยโอกาสนี้ในการเดินเกมรุกเพื่อแสดงความจริงใจ

 

นอกจากนี้เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงความลักลั่นของรัฐบาลไทย ว่า ในขณะที่นานาชาติจับตามองเรื่องนี้ แต่รัฐบาลชุดปัจจุบัน กลับยังมีการแต่งตั้งบุคคลที่เป็นทนายความของเบน สมิธ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในทำเนียบรัฐบาล โดยเขามองว่า การกระทำเช่นนี้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศอย่างรุนแรงในสายตาประชาคมโลก

 

และเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ว่า “ไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้อย่างแท้จริง” ซ้ำยังอาจถูกมองว่าให้การคุ้มครองกลุ่มผลประโยชน์สีเทาเหล่านี้ด้วย ซึ่งบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและเกียรติภูมิของประเทศอย่างรุนแรง

 

ตั้งทูตพิเศษปราบสแกมเมอร์ ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน

 

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาทุนสีเทาหรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาตินั้น อดีตทูตพิศาลเสนอให้ไทยแต่งตั้งผู้แทนพิเศษระดับสูง (Special Envoy) เพื่อเดินสายประสานงานกับหน่วยงานระดับโลก เช่น กระทรวงการคลังสหรัฐฯ, Interpol, และหน่วยงานในจีน สิงคโปร์ เพื่อแสดงเจตจำนงในการปราบปรามเส้นทางการเงินสีเทาร่วมกัน ซึ่งเขาเชื่อว่าการดำเนินการเช่นนี้ จะช่วยกู้คืนความสง่างามของไทยบนเวทีโลก

 

ด้านอภิสิทธิ์มองว่า เครื่องมือทางการเงินคืออาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด และชี้ว่าปปง. ต้องกล้าที่จะอายัดทรัพย์และระงับธุรกรรมที่น่าสงสัยทันที โดยไม่ต้องรอขั้นตอนราชการที่ล่าช้า หากมีหลักฐานความเชื่อมโยงกับบัญชีดำของต่างประเทศ

 

ขณะที่ดร.ศุภวุฒิ และณัฐพงษ์ เห็นตรงกันในหลักการ “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” โดยเสนอให้มีการสังคายนากฎหมาย เพื่อลดกฎระเบียบที่เกินความจำเป็น ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นต้นตอของการเรียกรับสินบน

 

นอกจากนี้ ณัฐพงษ์ยังเสนอให้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยการสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่เรียนรู้กฎระเบียบราชการไทย เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้อง และจับผิดความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างหรือการอนุมัติอนุญาต ซึ่งอาจจะช่วยลดช่องว่างการทุจริตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เป็นร้อยเท่า

 

อย่างไรก็ตามณัฐพงษ์ย้ำว่า ปัญหาคอร์รัปชันแก้ไม่ได้ด้วยเทคโนโลยีหรือกฎหมายเพียงอย่างเดียว หากขาดซึ่ง ‘เจตจำนงทางการเมือง (Political Will)’ ที่แน่วแน่

 

โดยผู้มีอำนาจต้องมีความกล้าหาญที่จะไม่เกรงใจกลุ่มทุนและทำลายโครงสร้างอุปถัมภ์เดิมๆ ในขณะที่อภิสิทธิ์ เรียกร้องให้ภาคการเมืองและประชาชนร่วมกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ ปฏิเสธทุนสีเทาที่พยายามเข้ามาครอบงำพรรคการเมือง เพื่อให้การเมืองไทยเป็นเรื่องของอุดมการณ์และการแข่งขันทางนโยบายอย่างแท้จริง

The post ‘เทานอก-เทาใน’ ทุนสีเทาและคอร์รัปชัน สนิมร้ายกัดกร่อนประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมหลายประเทศในอาเซียนถึงถูกมองว่าเป็น ‘รัฐสแกม’ และปัญหานี้หยั่งรากลึกได้อย่างไร https://thestandard.co/asean-countries-scam-state-roots/ Thu, 04 Dec 2025 11:56:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1151462 ทำไมหลายประเทศใน อาเซียนถึงถูกมองว่าเป็น ‘รัฐสแกม’ และปัญหานี้หยั่งรากลึกได้อย่างไร

ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเครือข่ […]

The post ทำไมหลายประเทศในอาเซียนถึงถูกมองว่าเป็น ‘รัฐสแกม’ และปัญหานี้หยั่งรากลึกได้อย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมหลายประเทศใน อาเซียนถึงถูกมองว่าเป็น ‘รัฐสแกม’ และปัญหานี้หยั่งรากลึกได้อย่างไร

ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเครือข่ายสแกมเมอร์ในอาเซียน โดยทางการไทยพึ่ง​​ยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายสแกมเมอร์ (Scammer) ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา มูลค่ารวมกว่า 10,165 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า พวกเรากำลังเดินทางเข้าสู่ยุคของ ‘รัฐสแกม’ (Scam State) ซึ่งหมายถึง ประเทศที่อุตสาหกรรมผิดกฎหมายได้หยั่งรากลึกในสถาบันที่ถูกกฎหมาย เข้าไปปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ รวมถึงสร้างการทุจริตในรัฐบาล และสร้างการพึ่งพากันระหว่างรัฐกับเครือข่ายผิดกฎหมาย คล้ายคลึงกับคำว่า ‘รัฐยาเสพติด’ (Narco-State) ที่มักจะถูกใช้เมื่อกล่าวถึงหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกา

 

การเติบโตของอุตสาหกรรมสแกมเมอร์

 

ขนาดอุตสาหกรรมของเครือข่ายสแกมเมอร์ระดับโลกเติบโตขึ้นในระดับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี อุตสาหกรรมนี้ได้ยกระดับขึ้นอย่างมาก จากอีเมลที่สะกดผิด ไปสู่ระบบที่ซับซ้อนขนาดใหญ่ จากแก๊งหลอกลวงออนไลน์ขนาดเล็ก ไปสู่เศรษฐกิจการเมืองระดับอุตสาหกรรม ซึ่งทำเงินได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากเหยื่อทั่วโลก

 

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ขนาดของอุตสาหกรรมนี้อาจอยู่ที่ราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับการค้ายาเสพติดผิดกฎหมายทั่วโลก

 

อาเซียน: ศูนย์กลาง ‘รัฐสแกม’?

 

รายงานพบว่า ศูนย์สแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มักดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ มักมีต้นกำเนิดจากประเทศจีน แต่มีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน เป็น ‘ศูนย์กลาง’ (Ground Zero) โดยศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ขัดแย้งหรือตามพื้นที่ชายแดนที่ไม่มีกฎหมาย หรือมีการควบคุมไม่ทั่วถึง

 

มีรายงานว่า มีศูนย์ปฏิบัติการของเครือข่ายสแกมเมอร์ประมาณ 400 แห่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในประเทศ สปป.ลาว และในกัมพูชามีไซต์อาคารที่ต้องสงสัย 253 แห่ง โดยหนึ่งในศูนย์สแกมเมอร์ที่มีชื่อเสียงแถบอาเซียนคือ KK Park ในเมียนมา ซึ่งเคยมีการบังคับใช้แรงงานเพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นหลอกลวงผู้คนทั่วโลกผ่านช่องทางออนไลน์ แม้ว่าศูนย์สแกมเมอร์ที่ KK Park จะถูกทำลาย แต่เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติก็ได้ย้ายฐานปฏิบัติการไปยังที่อื่นแล้ว

 

ในย่านอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง อุตสาหกรรมการหลอกลวงทางไซเบอร์ภายในปลายปี 2024 สร้างเม็ดเงินราว 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งเทียบเท่าประมาณ 40% ของเศรษฐกิจในระบบของประเทศในแถบนี้รวมกัน โดยตัวเลขนี้ถือว่า ‘ค่อนข้างต่ำกว่าความเป็นจริง’ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

เจสัน ทาวเวอร์ จาก Global Initiative against Transnational Organised Crime กล่าวว่า นี่คือพื้นที่ที่มีการเติบโตอย่างมาก และได้กลายเป็นตลาดผิดกฎหมายระดับโลกโดยระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงถึงราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หากย้อนกลับไปในปี 2020 ตลาดหรือขนาดอุตสาหกรรมนี้ยังแทบจะเทียบไม่ได้กับในปัจจุบัน

 

เจค็อบ ซิมส์ นักวิชาการรับเชิญ ประจำศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมไซเบอร์ในภูมิภาคแม่น้ำโขง ระบุว่า ในแง่ของ GDP รวมนั้น อุตสาหกรรมของเครือข่ายสแกมเมอร์คือ ‘กลไกทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น’ สำหรับอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงทั้งหมด และนั่นหมายความว่า อุตสาหกรรมนี้ก็เป็น ‘กลไกขับเคลื่อนทางการเมืองที่โดดเด่น’ เช่นกัน

 

หัวใจหลักของปฏิบัติการคือ ‘การหลอกลวงแบบเชือดหมู’ (Pig-Butchering Scams) ซึ่งผู้หลอกลวงจะสร้างความสัมพันธ์ทางออนไลน์ ก่อนที่จะหลอกลวงให้เหยื่อสูญเสียเงิน โดยมักจะเป็นการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ผู้หลอกลวงได้ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากขึ้นในการหลอกเหยื่อ เช่น การใช้ AI สร้างภาพ (Generative AI) เพื่อแปลภาษาและต่อบทสนทนาให้ลื่นไหลและน่าเชื่อถือ รวมถึงใช้เทคโนโลยี Deepfake เพื่อสนทนาทางวิดีโอ และออกแบบเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบตลาดการลงทุนจริง ผลการสำรวจหนึ่งพบว่า เหยื่อถูกหลอกโดยเฉลี่ยคนละ 155,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.66 ล้านบาท)

 

ทำไมปัญหาสแกมเมอร์ถึง ‘หยั่งรากลึก’ ในอาเซียน

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า แม้รัฐบาลหลายประเทศในอาเซียนจะพยายามเดินหน้าจัดการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์อย่างจริงจังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่เขากลับมองว่า ส่วนใหญ่เป็นเพียงการ ‘สร้างภาพ’ (Performative) หรือมุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้เล่นระดับกลาง’ ซึ่งเป็นเหมือน ‘ละครการเมือง’ (Political Theatre) เท่านั้น แม้จะได้รับแรงกดดันจากนานาชาติ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจริงที่จะกำจัดภาคส่วนที่สร้างเม็ดเงินนี้ เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่สร้างเม็ดเงินมหาศาล

 

เจค็อบ ซิมส์ แสดงความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นวิธีการเล่นเกม ‘Whack-a-Mole’ หรือเกมทุบตัวตุ่น ที่คุณไม่ได้ต้องการที่จะทุบตัวตุ่น (หรือผู้เล่นรายใหญ่) ลงไปจริงๆ

 

นอกจากนี้ เจสัน ทาวเวอร์ ยังมองว่า ศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้ คือโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเปิดเผย และพบเห็นได้อย่างชัดเจนในพื้นที่บริเวณชายแดน ซึ่งคุณสามารถเดินเข้าไปในบางแห่งได้ด้วยซ้ำ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึง ‘ระดับการลอยนวลพ้นผิดอย่างรุนแรง’ (Extreme Level of Impunity) และสะท้อนว่า รัฐไม่เพียงแค่ ‘ทน’ ต่อสิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่ผู้กระทำความผิดทางอาญาเหล่านี้กำลัง ‘ฝังตัวอยู่ในรัฐ’ (State Embedded) ซึ่งถือเป็น ‘สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเหล่านี้ใช้ช่องโหว่ในการหาผลประโยชน์และกัดกร่อนรัฐจากภายใน

 

ผู้เชี่ยวชาญยังได้ยกตัวอย่างความเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายสแกมเมอร์กับภาครัฐ เช่น การทำลายศูนย์ KK Park ในเมียนมา เห็นได้ชัดว่า พวกเครือข่ายสแกมเมอร์ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการปราบปราม จึงรีบย้ายฐานปฏิบัติการไปยังที่อื่น ทำให้การปราบปรามแบบถอนรากถอนโคนยังทำไม่สำเร็จ เนื่องจากรายได้ของศูนย์สแกมเมอร์ได้กลายเป็น ‘แหล่งเงินทุนหลัก’ สำหรับกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา

 

รวมถึงกรณีอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของไทยที่เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา แม้ตัวเขาจะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และกรณีคดีของ อลิซ กัว อดีตนายกเทศมนตรีของฟิลิปปินส์ ที่ถูกศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต พร้อมถูกปรับเป็นเงิน 2 ล้านเปโซ (ราว 1.1 ล้านบาท) ในข้อหาค้ามนุษย์ (Human Trafficking) โดยอัยการฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า อลิซ กัว ซึ่งแสร้งทำเป็นพลเมืองฟิลิปปินส์ ได้รับสมัครชาวต่างชาติ เพื่อดำเนินการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scams)

 

ทาวเวอร์ ยังกล่าวถึงอุปสรรคสำคัญที่มีส่วนทำให้ปัญหาสแกมเมอร์ถึงหยั่งรากลึกในหลายประเทศแถบอาเซียน นั่นคือ ทั่วทั้งอาเซียน กลุ่มผู้บงการเครือข่ายสแกมเมอร์ กำลังปฏิบัติการในระดับที่สูงมาก พวกเขาได้รับเอกสารรับรองทางการทูต บางคนได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ในแง่ของระดับการมีส่วนร่วมและการครอบงำโดยรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือ ‘เป็นเรื่องใหญ่มาก’

 

แฟ้มภาพ: Naphatpixs / Shutterstock

 

อ้างอิง:

The post ทำไมหลายประเทศในอาเซียนถึงถูกมองว่าเป็น ‘รัฐสแกม’ และปัญหานี้หยั่งรากลึกได้อย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
สื่อนอกจับตา ไทยยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ใหญ่ในอาเซียนกว่าหมื่นล้านบาท https://thestandard.co/thai-seizes-scammer-network-asean/ Thu, 04 Dec 2025 05:40:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1151281 สื่อนอกจับตา ไทย ยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ใหญ่ใน อาเซียน กว่าหมื่นล้านบาท

สื่อต่างประเทศหลายสำนักติดตามและรายงานข่าว กรณีไทยยึดแล […]

The post สื่อนอกจับตา ไทยยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ใหญ่ในอาเซียนกว่าหมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
สื่อนอกจับตา ไทย ยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ใหญ่ใน อาเซียน กว่าหมื่นล้านบาท

สื่อต่างประเทศหลายสำนักติดตามและรายงานข่าว กรณีไทยยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวานนี้ (3 ธันวาคม) ที่มีมูลค่ารวมกว่า 10,165 ล้านบาท โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการแถลงผลปฏิบัติการครั้งนี้

 

การยึดและอายัดทรัพย์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการสืบสวนขยายผลและบูรณาการร่วมกันระหว่างสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer) ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการฉ้อโกงประชาชน

 

คณะกรรมการธุรกรรมในการประชุมครั้งที่ 13/2568 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ 4 กลุ่มคดีใหญ่ ซึ่งเชื่อมโยงเส้นทางการเงินและการกระทำความผิดในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างชัดเจน

 

การยึดทรัพย์และการออกหมายจับเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญชาวกัมพูชาและชาวจีน-กัมพูชาหลายคน โดยเริ่มต้นจาก คดีของ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) นักธุรกิจชาวจีน-กัมพูชา ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มบริษัท Prince Holding Group ที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร โดยตรวจพบว่า เขากับพวกมีพฤติการณ์ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลและสับเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ต่างๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม ฉ้อโกงออนไลน์ รวมถึงเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

 

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ทางการในฮ่องกงและสิงคโปร์ได้อายัดหรือยึดทรัพย์สินที่เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท Prince Holding Group ซึ่งมีมูลค่า 354 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 116 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ภายหลังจากที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้คว่ำบาตรเครือข่ายข้ามชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ จากข้อกล่าวหาว่าเครือข่ายดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานศูนย์แก๊งสแกมเมอร์

 

เฉิน จื้อ ยังถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ฟ้องร้องเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ฐานสมคบคิดในการฉ้อโกงทางอิเล็กทรอนิกส์และสมคบคิดในการฟอกเงิน เนื่องจากทางการสหรัฐฯ เชื่อว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำกับการดำเนินการของศูนย์สแกมเมอร์ที่มีการบังคับใช้แรงงานทั่วประเทศกัมพูชา

 

ถัดมาคือ คดีก๊ก อาน (Mr. Kok An) พลเมืองชาวกัมพูชา เจ้าของอาคารหลายแห่งในกัมพูชาที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และนำรายได้ที่ผิดกฎหมายมาซื้อทรัพย์สินในประเทศไทย

 

คดีที่มีมูลค่าความเสียหายและยึดทรัพย์ได้สูงที่สุดคือ คดีแตงไทยฯ กับพวก ซึ่งเชื่อมโยงกับ ยิม เลียก (Mr. Leak Yim) และ เบน สมิธ (Mr. Smith Ben) บุคคลใกล้ชิดทายาทผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา โดยมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงิน อีกทั้งยังมีการโอนเงินหมุนเวียนระหว่างบริษัททั้งในและต่างประเทศ เพื่ออำพรางธุรกรรม คณะกรรมการฯ จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าสูงถึง 9,279 ล้านบาท

 

ปปง. ระบุว่าได้อายัดบัญชีซื้อขายที่เชื่อมโยงกับ ยิม เลียก ซึ่งรวมถึงหุ้นในบริษัทพลังงานรายใหญ่ของไทย ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงราว 6,000 ล้านบาท โดยบริษัทพลังงานชี้แจงว่า การดำเนินการของทางการไทยเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายบุคคล และเป็นเรื่องที่แยกต่างหากจากการดำเนินธุรกิจและการบริหารงานของบริษัท ซึ่งยังคงดำเนินไปตามปกติและมีเสถียรภาพ

 

ส่วนคดีเอื้ออังกูร กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนประชาชนลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max โดยสร้างข้อมูลกำไรเท็จเพื่อจูงใจ ถูกยึดทรัพย์สินประมาณ 46 ล้านบาท

 

ศูนย์สแกมเมอร์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในอาเซียน

 

สำนักข่าวต่างประเทศยังระบุอีกว่า พื้นที่บางส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบริเวณชายแดนระหว่างไทย เมียนมา และกัมพูชา ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการฉ้อโกงออนไลน์ ซึ่งเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ทำรายได้นับพันล้านดอลลาร์จากสถานที่ผิดกฎหมายที่มักจะมีการบังคับเหยื่อจากการค้ามนุษย์ให้ทำงานผิดกฎหมาย

 

แม้จะมีการควบคุมตัวผู้คนหลายร้อยคนในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายยังไม่สามารถจับกุมผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ได้

 

โดย Prince Holding Group และ เฉิน จื้อ ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยระบุว่าทั้งบริษัทและเฉินไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย และปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ว่าไม่มีมูลความจริง ขณะที่ ก๊ก อาน และ ยิม เลียก ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะเกี่ยวกับข้อกล่าวหาและการยึดทรัพย์ในครั้งนี้แต่อย่างใด

 

อ้างอิง:

The post สื่อนอกจับตา ไทยยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ใหญ่ในอาเซียนกว่าหมื่นล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมทรัมป์ถึงขู่โจมตีภาคพื้นดินเวเนซุเอลา พร้อมกดดันประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร https://thestandard.co/trump-venezuela-and-maduro/ Wed, 03 Dec 2025 10:32:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1151094 ทำไมทรัมป์ถึงขู่โจมตี เวเนซุเอลา พร้อมกดดัน ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาขู่เตรียมโจมตีภา […]

The post ทำไมทรัมป์ถึงขู่โจมตีภาคพื้นดินเวเนซุเอลา พร้อมกดดันประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมทรัมป์ถึงขู่โจมตี เวเนซุเอลา พร้อมกดดัน ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาขู่เตรียมโจมตีภาคพื้นดินเวเนซุเอลา โดยมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายด้านยาเสพติด ซึ่งมีแนวโน้มจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้ ทรัมป์ยังระบุว่า การโจมตีทางบกนั้น ‘ง่ายกว่ามาก’ และเชื่อว่าเมื่อกองทัพสหรัฐฯ เริ่มดำเนินการแล้ว จะสามารถช่วยลดจำนวนยาเสพติดลงได้อย่างมาก

 

รัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาทางเลือกในการจัดการกับ นิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ที่พวกเขาเชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดหายาเสพติดผิดกฎหมายที่ทำให้ชาวอเมริกันเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยมาดูโรยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้ายาเสพติดผิดกฎหมายแต่อย่างใด

 

แม้ว่าทรัมป์จะยืนยันว่าได้พูดคุยกับมาดูโรทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของการพูดคุยแต่อย่างใด ขณะที่ Reuters รายงานว่า ทรัมป์ได้ยื่นคำขาดแก่มาดูโรให้เดินทางออกจากเวเนซุเอลา พร้อมกับครอบครัว ภายในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่มาดูโรปฏิเสธข้อเสนอที่สหรัฐฯ จะให้ทางผ่านที่ปลอดภัยแก่เขา

 

นับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน กองกำลังสหรัฐฯ ได้ดำเนินการโจมตีเรือที่ต้องสงสัยว่าเป็นเรือขนยาเสพติดไปแล้วอย่างน้อย 21 ครั้ง ในทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 83 ราย

 

ทรัมป์กับคำขู่ขยายเป้าหมาย

 

ทรัมป์ยังกล่าวว่า ไม่ใช่แค่เวเนซุเอลาเท่านั้นที่ตกเป็นเป้าหมาย แต่รวมถึงประเทศใดก็ตามที่ผลิตยาเสพติดผิดกฎหมาย เช่น เฟนทานิลหรือโคเคน และเขาเชื่อว่า ยาเสพติดเหล่านั้นจะถูกลักลอบนำเข้าสหรัฐฯ ประเทศเหล่านั้นก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีทางทหารด้วยเช่นกัน

 

ทรัมป์อ้างว่า ขณะนี้โคลอมเบียก็กำลังผลิตยาเสพติดอย่างโคเคน และกำลังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ จับตามองอย่างใกล้ชิด โดยมีนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งมองว่า การทำสงครามต่อต้านยาเสพติดของทรัมป์อาจเป็นเพียงข้ออ้าง ในการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองบางอย่าง

 

อำนาจในการทำสงครามกับเสียงคัดค้านของรัฐสภา

 

สมาชิกรัฐสภาทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันบางส่วนกังวลว่าทรัมป์ได้ดำเนินมาตรการทางทหารเป็นเวลา 3 เดือน ‘โดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐสภา’ ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญที่ระบุให้รัฐสภาเป็นผู้อนุมัติความเห็นชอบต่อการปฏิบัติการทางทหารอื่นใด นอกเหนือไปจากการปฏิบัติการทางทหารช่วงสั้นๆ

 

หากรัฐบาลทรัมป์ดำเนินการโจมตีภายในเวเนซุเอลา ส.ส. และ ส.ว. ได้ประกาศว่าจะยื่น ‘มติว่าด้วยอำนาจการทำสงคราม’ (War Powers Resolution) เพื่อบังคับให้มีการอภิปรายและลงคะแนนเสียงในรัฐสภา ซึ่งจะขัดขวางการใช้กำลังของสหรัฐฯ ในการสู้รบภายในเวเนซุเอลา

 

ก่อนหน้านี้ สมาชิกรัฐสภาบางส่วนพยายามผลักดันให้ทรัมป์ต้องขอการอนุมัติก่อน แต่ก็ล้มเหลว โดยพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาได้ขัดขวางมติที่จะป้องกันไม่ให้โจมตีอาณาเขตของเวเนซุเอลาในเดือนพฤศจิกายน และขัดขวางมติที่จะหยุดการโจมตีเรือในเดือนตุลาคม

 

โดยสมาชิกรัฐสภามองว่า การดำเนินการทางทหารที่ไม่ได้รับอนุญาตต่อเวเนซุเอลาจะเป็น ‘ความผิดพลาดครั้งใหญ่และมีค่าใช้จ่ายสูงที่เสี่ยงต่อชีวิตทหารโดยไม่จำเป็น’

 

แฟ้มภาพ: Anna Rose Layden / Reuters

 

อ้างอิง:

The post ทำไมทรัมป์ถึงขู่โจมตีภาคพื้นดินเวเนซุเอลา พร้อมกดดันประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร appeared first on THE STANDARD.

]]>