World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 02 Oct 2025 10:33:40 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สถานทูตออสเตรเลีย และภาคีพันธมิตร รณรงค์บริจาคโลหิต เสริมคลังเลือดสำรองขาดแคลน https://thestandard.co/australian-embassy-blood-donation-drive/ Thu, 02 Oct 2025 10:33:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1125743

สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย พร้อมด้วย วัน […]

The post สถานทูตออสเตรเลีย และภาคีพันธมิตร รณรงค์บริจาคโลหิต เสริมคลังเลือดสำรองขาดแคลน appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย พร้อมด้วย วัน แบงค็อก สภากาชาดไทย สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น และสมาคมฝรั่งเศส ร่วมกันจัดกิจกรรม ‘Together We Give – Blood Donation’ เมื่อวานนี้ (1 ตุลาคม) เพื่อช่วยเสริมคลังเลือดสำรองของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

 

กิจกรรมครั้งนี้มีผู้ลงทะเบียนร่วมบริจาคโลหิตมากกว่า 200 คน โดยส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศในพื้นที่ นักการทูต และผู้ที่มาเดินช้อปปิ้ง กลุ่มผู้ส่งออกส้มแมนดารินจากรัฐควีนส์แลนด์ได้สนับสนุนส้มสดคุณภาพดีจากออสเตรเลียให้แก่ผู้เข้าร่วมบริจาคโลหิตทุกท่าน

 

จอห์น ฟรานซิส ที่ปรึกษารับผิดชอบงานด้านการพัฒนา สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยกล่าวว่า “กิจกรรมครั้งนี้มีคุณค่าต่อชุมชน เพราะการถ่ายเลือดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้คนทุกกลุ่ม ทุกวัน ทุกเวลา ตลอดทั้งปี

 

เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ วัน แบงค็อก และภาคีในชุมชนของเราในภารกิจช่วยชีวิตนี้ และขอขอบคุณกลุ่มผู้ส่งออกส้มแมนดารินจากรัฐควีนส์แลนด์สำหรับการสนับสนุนอย่างใจกว้าง”

 

พร้อมทั้งแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและธาตุเหล็กสูง ทั้งก่อนและหลังการบริจาคโลหิต โลหิตหนึ่งยูนิตสามารถช่วยชีวิตได้ถึงสามชีวิต เนื่องจากจะถูกแยกออกเป็นเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และพลาสมา เพื่อจัดเก็บและส่งต่อไปยังโรงพยาบาลต่างๆ

 

จากสถิติมีเพียงร้อยละ 2.84 ของประชากรไทยที่ร่วมบริจาคโลหิต ท่านสามารถค้นหาศูนย์รับบริจาคโลหิตใกล้บ้านได้ที่เว็บไซต์ของสภากาชาดไทย
(https://thaibloodcentre.redcross.or.th/)

The post สถานทูตออสเตรเลีย และภาคีพันธมิตร รณรงค์บริจาคโลหิต เสริมคลังเลือดสำรองขาดแคลน appeared first on THE STANDARD.

]]>
การทูตเชิงรุกของไทย: ความท้าทายและความหวัง https://thestandard.co/opinion-proactive-diplomacy/ Thu, 02 Oct 2025 10:20:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1125734

ในยุคโลกหลายขั้วที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความซับซ้ […]

The post การทูตเชิงรุกของไทย: ความท้าทายและความหวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในยุคโลกหลายขั้วที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การทูตของประเทศไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติครั้งที่ 80 (UNGA80) กลายเป็น ‘บทพิสูจน์สำคัญ’ ของศักยภาพและทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศไทย

 

บทบาทนี้ไม่ได้จำกัดแค่การรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคีหรือภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการกลับสู่จอเรดาร์โลก ผ่านหนทางที่ ไม่ได้พึ่งพาการข่มขู่หรือการใช้อำนาจบังคับเป็นหลัก หากแต่อยู่ที่การได้รับความเคารพจากความชื่นชม ผ่านการยืนหยัดในคุณค่า การแสดงภาวะผู้นำที่มีหลักการ และการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์ต่อความท้าทายระดับโลก บวกกับความรับผิดชอบทั้งในระดับนานาชาติและภายในประเทศ ในที่สุดแล้วการกลับสู่จอเรดาร์ของไทย ควรทำให้เราถูกเกรงใจ ไม่ใช่เกรงกลัว

 

ความท้าทายหลักของการทูตไทยในปัจจุบัน คือการ ‘ปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริง’ ด้วยเจตจำนงทางการเมือง ความกล้าทางศีลธรรม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์แห่งชาติ ค่านิยมสากลที่ยึดโยงกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และความร่วมมือในโลกสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง

 

บทความนี้จะพาไปสำรวจบทบาทและโอกาสของการทูตไทยในเวทีสากลและภูมิภาค โดยเฉพาะกรณีความสัมพันธ์กับกัมพูชา เมียนมา และการมีส่วนร่วมในกลไกระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน รวมถึงท่าทีต่อองค์กรพหุภาคีและการสร้างภาพลักษณ์ความชอบธรรมในระดับสากล ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกำหนดอนาคตและความน่าเชื่อถือของไทยบนเรดาร์โลกอย่างแท้จริง

 

การทูตเชิงรุกของไทยบนเวที UNGA80

 

ผมคิดว่าประเด็นนี้ควรแยกเป็นเรื่องๆ ไป สำหรับ ‘กรณีไทย–กัมพูชา’ ผมเห็นว่าท่านรัฐมนตรี สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว และทีมงานกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการอย่าง ‘น่าพอใจมาก’ ถือเป็นการปลดล็อกศักยภาพทางการทูตของไทยให้สามารถแสดงบทบาทนำได้อย่างเหมาะสม เป็นการแสดงออกเชิงการทูตที่ Assertive อย่างพอดี แต่ไม่ถึงขั้น Aggressive (ซึ่งผมเห็นว่าท่านสีหศักดิ์ได้แสดงออกเช่นนั้น) ช่วยลดแรงกดดันจากสังคมภายในประเทศที่อาจหันไปมองหาที่พึ่งอื่น เช่น กองทัพ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียเลือดเนื้อ หากประชาชนไทยเห็นว่า การทูตและรัฐบาลสามารถเป็นที่พึ่งได้ ก็จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพภายใน

 

อย่างไรก็ตาม หากจะขยายบทบาทไปให้ไกลกว่านี้ ผมเห็นว่ายังมี ‘กระสุน’ ทางการทูตของไทยที่ ‘ยังไม่ถูกนำมาใช้’ นั่นคือการชี้ให้เห็นว่า กัมพูชาเองมิได้ให้ความเคารพอย่างร้ายแรงต่อ ‘หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน’ การเผยแพร่เทปบทสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตรกับสมเด็จฮุนเซน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภากัมพูชา และการปราศัยหลายครั้งในเชิงที่ชี้ให้เห็นว่า เขามียุทธศาสตร์ ‘Regime Change’ จนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไทยเกิดขึ้นจริงๆ หรือการกดปราบข้ามชาติ (Transnational Repression) ที่กระทำต่อชาวกัมพูชาในประเทศไทย ล้วนเป็นประเด็นที่สามารถยกขึ้นมา เพื่อลดทอนความชอบธรรมของกัมพูชาในเวทีนานาชาติได้

 

ขณะนี้อยากให้ทุกท่านจับตาการไต่สวนคดีสังหาร ลิม คิมยา (Lim Kimya) นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาที่ถือสัญชาติฝรั่งเศสด้วย ซึ่งสำนักข่าว Al Jazeera ได้เปิดโปงว่า ‘มีความเป็นไปได้’ ที่จะมีคำสั่งมาจากระดับสูงในกัมพูชา หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง ก็จะเป็นอีกประเด็นสำคัญที่เราสามารถใช้สื่อสารต่อประชาคมโลกได้

 

ในระดับภูมิภาค สิ่งที่นักวิชาการที่ศึกษาอาเซียน และติดตามสถานการณ์ให้ความสนใจคือ การปฏิบัติตาม ‘Existing Mechanisms’ (ย่อหน้า 30 ของสุนทรพจน์) และการแสดงความเชื่อมั่นในกลไกของอาเซียน (ย่อหน้า 57) ของประเทศไทยเอง มีการตั้งคำถามถึงระดับ ‘ความมุ่งมั่น’ และ ‘เจตจำนงทางการเมือง’ ของไทยต่อกลไกระดับภูมิภาคที่อยู่นอกเหนือจากกลไกทวิภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความตึงเครียดและการปะทะยังเกิดขึ้นบริเวณชายแดน

 

คำถามสำคัญในวงวิชาการและผู้ติดตามสถานการณ์ในปัจจุบันคือ จุดยืนของไทยต่อหลักการและ Term of Reference (TOR) ของ ASEAN Observers Team (AOT) เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนว่า กระบวนการนี้จะได้รับการยอมรับจากประเทศไทยหรือไม่ ประเด็นดังกล่าวท่านสีหศักดิ์ยังไม่ได้กล่าวถึงอย่างเจาะจงในสุนทรพจน์ จึงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามพัฒนาการและการดำเนินการของทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาต่อไป

 

อีกสองเรื่องที่ไม่ค่อยได้ถูกพูดถึงมากนักในพื้นที่สื่อไทย จากสุนทรพจน์ของท่านสีหศักดิ์คือเรื่อง ‘สถานการณ์ในเมียนมา’ และเรื่อง ‘บทบาทด้านสิทธิมนุษยชนของไทย’

 

ในเรื่องเมียนมา สิ่งที่นักวิชาการในภูมิภาคจับตามองและคาดหวังจากประเทศไทยมาโดยตลอดคือ บทบาทของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมา ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาไทย ‘สูญเสียความชอบธรรม’ ในสายตานานาชาติไม่น้อย จากจุดยืนและภาพลักษณ์ที่สื่อมวลชนต่างประเทศสะท้อนถึงความใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลทหารเมียนมา อย่างไรก็ตาม ในสุนทรพจน์ครั้งนี้ยังไม่ปรากฏสัญญาณชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย (ย่อหน้า 19) นอกจากการกล่าวถึงการเปิดโอกาสให้แก่ผู้อพยพในศูนย์กักกันที่พำนักอยู่มาแล้วกว่า 40 ปี (ย่อหน้า 16) ซึ่งเป็นนโยบายที่สืบทอดมาจากรัฐบาลก่อนหน้า

 

ทั้งนี้ ยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่าการตีความผลประโยชน์แห่งชาติในลักษณะที่เปิดกว้างเช่นนี้จะดำรงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน หรือเป็นเพียงผลจาก ‘ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ’ ในช่วงที่ไทยกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน หลังแรงงานกัมพูชาจำนวนหนึ่งได้ย้ายกลับประเทศ อีกทั้งยังมีคำถามว่ากรอบความคิดที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนโยบายดังกล่าวในยุค ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรักษาการนายกรัฐมนตรี จะยังคงสืบต่อและพัฒนาเป็นแนวทางระยะยาวของรัฐไทยหรือไม่

 

เรายังไม่ได้รับความชัดเจนเรื่อง ‘ท่าทีของรัฐบาลใหม่’ ต่อความชอบธรรมของรัฐบาลทหารเมียนมา ว่าจะดำเนินไปในทิศทางที่ ‘แตกต่าง’ จากรัฐบาลก่อนหน้าหรือไม่ เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ในเมียนมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนความตึงเครียดกับกัมพูชาเสียอีก

 

ผลกระทบเหล่านี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น เครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ ตามที่ท่านสีหศักดิ์กล่าวถึงในย่อหน้า 17 ของสุนทรพจน์ การโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมาที่มุ่งเป้าไปยังชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดน ซึ่งผลักดันให้ผู้อพยพจำนวนมากทะลักเข้าสู่ประเทศไทย หรือ ปัญหามลพิษจากการทำเหมืองในรัฐฉาน ที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยพฤตินัยของกองทัพสหรัฐว้า (USWA) องค์กรที่ไทยไม่ยอมรับว่าเป็นรัฐโดยทางการ ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายต่อไทยทั้งในมิติความมั่นคง มนุษยธรรม และสิ่งแวดล้อม

 

คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ไทยและกระทรวงการต่างประเทศจะมีความกล้าพอที่จะเดินหน้า ‘การทูตเชิงรุก’ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และสามารถสื่อสารกับทั้งสาธารณชนและนานาชาติได้อย่างโปร่งใสและชัดเจนเพียงใด เพราะในหลายกรณี การดำเนินการเช่นนี้ อาจหมายถึงการต้องมองเมียนมาไม่ใช่เพียง ‘รัฐเดียว’ หากแต่เป็น ‘รัฐย่อย’ (Statelets) ที่กำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา ซึ่งทำให้ทางการไทยจำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับ ‘กลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่รัฐ’ (Non-State Actors) หรือหน่วยการเมืองที่ยังไม่ใช่รัฐอย่างเต็มรูปแบบ โดยปกติแล้วการปฏิสัมพันธ์เช่นนี้มักอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของฝ่ายความมั่นคง นี่จึงเป็นความท้าทายต่อแนวทางการทูตแบบรัฐต่อรัฐที่กระทรวงการต่างประเทศคุ้นเคย และการก้าวข้ามกรอบเดิมนี้จะสำเร็จหรือไม่ อาจสะท้อนถึงระดับเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลใหม่อย่างแท้จริง

 

ดังนั้น ในช่วง 4 เดือนข้างหน้าภายใต้รัฐบาลของท่านอนุทิน ชาญวีรกูล ประชาชนควรจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะท่าทีของไทยต่อการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารเมียนมาที่กำหนดจัดขึ้นปลายปีนี้ เพราะท่าทีดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนจุดยืนของไทยต่อความชอบธรรมของรัฐบาลทหารเมียนมาเท่านั้น แต่ยังจะเป็นตัวชี้วัดว่าไทยจะสืบต่อหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายจากรัฐบาลก่อนหน้า และจะบ่งชี้ขอบเขตของ ‘บทบาทนำของไทยในอาเซียน’ ว่าสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดภายในประเทศ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจบนเวทีภูมิภาคได้มากเพียงใด

 

อีกประเด็นหนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึง คือสุนทรพจน์ในย่อหน้า 35–37 ที่กล่าวถึง ความมุ่งมั่นของไทยต่อสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกันกับที่ท่านสีหศักดิ์กล่าวเรื่องนี้บทเวที UNGA80 ภายในประเทศเรายังมีนักโทษทางการเมืองถูกคุมขัง ผู้เห็นต่างทางการเมืองถูกคุกคาม ดำเนินคดี และสอดส่องโดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐ และยิ่งไปกว่านั้นหากสังเกตให้ดี การกล่าวสุนทรพจน์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับกิจกรรม #Run2Free หรือ ‘วิ่งเพื่อเสรีภาพ’ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพื่อไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรมที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยผู้จัดงานต้องเผชิญข้อจำกัดและอุปสรรคจากเจ้าหน้าที่ แม้กิจกรรมจะเป็นการชุมนุมโดยสันติก็ตาม

 

การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ ส่วนสำคัญคือ ‘ความสอดคล้อง’ (Consistency) ระหว่างสิ่งที่รัฐประกาศบนเวทีโลกกับสภาพความเป็นจริงในประเทศ อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวก การที่ท่านสีหศักดิ์ประกาศเจตจำนงด้านสิทธิมนุษยชนในระดับสากลก็ถือเป็นการ ‘ปักธง’ เอาไว้ และเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมไทย โดยเฉพาะภาคประชาสังคมสามารถใช้ถ้อยแถลงและพันธกรณีดังกล่าวเป็น ‘เครื่องมือกดดัน’ (Leverage) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสิทธิทางการเมืองในประเทศได้ ในทางวิชาการ ปรากฏการณ์นี้ในทางวิชาการเรียกว่า ‘Boomerang Effect’ หมายถึง การที่ภาคประชาสังคมภายในประเทศอาศัยเจตจำนงหรือพันธกรณีที่รัฐได้ประกาศไว้ในเวทีนานาชาติ มาเป็นแรงผลักดัน เพื่อปรับปรุงและยกระดับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ

 

อยากกลับมาย้ำอีกครั้งถึงประเด็น การปลดล็อกศักยภาพทางการทูตของไทย ซึ่งถือเป็นโจทย์สำคัญในบริบทปัจจุบัน การจะทำให้การทูตไทยสามารถแสดงบทบาทนำในภูมิภาคและเวทีโลกได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘เครื่องมือ’ หรือ ‘กลไก’ ทางการทูตเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ‘เจตจำนงทางการเมือง’ (Political Will) และ ‘ความกล้าหาญทางศีลธรรม’ (Moral Courage) ของผู้นำและผู้กำหนดนโยบาย

 

รัฐบาลใหม่ กับภารกิจนำไทยกลับสู่เรดาร์โลก

 

รัฐบาลนี้จะอยู่ในตำแหน่งเพียง 4 เดือน ความคาดหวังจึงอาจทำได้เพียงการประกาศเจตจำนงทางการเมือง เพื่อสร้างความหวังให้กับทั้งข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศและประชาชนไทยโดยรวม มากกว่าจะคาดหวังผลลัพธ์เชิงนโยบายที่จับต้องได้จริง หรืออาจเป็นเพียงการ ‘ปูทาง’ สำหรับการทำงานต่อหลังการเลือกตั้ง หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชน หรือเปิดทางให้ฝ่ายการเมืองอื่นมาสานต่อบนพื้นฐานนโยบายการต่างประเทศที่มีหลักการและจุดยืนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

ผมเชื่อเสมอว่า ‘การเมืองที่มั่นคงและมีความชอบธรรม’ เป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยกลับสู่เรดาร์โลกได้อย่างแท้จริง และสิ่งที่ผมอยากเห็นไม่ใช่เพียงการที่ไทยกลับมาเป็น ‘จุดสนใจ’ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง แต่คือการที่ไทยได้รับ ‘การเคารพในเชิงบวก’ มากกว่าการถูกยำเกรงในเชิงลบ การได้รับ ‘ความเกรงใจ’ แทนที่จะเป็น ความเกรงกลัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเสียงของประชาชนและเจตจำนงของพวกเขาได้รับการเคารพ และสะท้อนออกมาผ่านระบบการเมืองที่โปร่งใสและมีความชอบธรรม ทั้งต่อสายตาของประชาชนเองและของนานาชาติ

 

อีกประเด็นสำคัญคือ ทัศนคติของเราเองที่มักยึดติดกับความเชื่อว่า ไทยเป็นประเทศเล็ก จึงไม่ควร ‘ขวางทางลม’ และต้องอ่อนไหวตามทิศทางของมหาอำนาจที่เปลี่ยนไป การต่างประเทศไทยในอดีตสะท้อนกรอบคิดนี้อย่างต่อเนื่อง หากย้อนดูคำกล่าวนิยามประเทศของเรา ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในยุคอาณานิคม รวมถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไปจนถึงคำพูดของท่านถนัด คอมันตร์ และท่านเตช บุนนาค บุคคลสำคัญทางการทูตของไทย ก็ล้วนสะท้อนมุมมองร่วมกันว่า ไทยเป็นประเทศเล็กที่ขาด Agency หรือ ‘ความสามารถในการกำหนดชะตากรรมของตนเองในระบอบโลก’

 

แต่ในโลกปัจจุบันที่มหาอำนาจแข่งขันกันรุนแรงขึ้น และโครงสร้างอำนาจโลกมีความหลากหลายมากกว่าเดิม เรากำลังอยู่ใน ‘โลกหลายขั้ว’ (Multipolar World) ไม่ใช่โลกแบบสองขั้ว (Bipolar World) หรือขั้วเดียว (Unipolar World) อย่างที่เราเคยเผชิญในอดีต ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ได้พัดมาจากเพียงทิศเดียวหรือสองทิศ แต่พัดมาจาก ‘รอบทิศทาง’ โดยไร้ความชัดเจนว่าไทยควรเอนเอียงไปทางใด คำถามคือ ในโลกที่มันเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ เปลี่ยนแปลงไปในขนาดที่ในช่วงชีวิตเราทุกคนไม่เคยเจอมาก่อน เราจะยังคงมีหลักคิดในการดำเนินการนโยบายต่างประเทศแบบเดิมอยู่อีกหรือ และจะยังจำกัดตัวเองอยู่กับทัศนคติที่มองว่าไทยเป็นเพียงประเทศเล็กซึ่งปราศจาก Agency ต่อไปหรือไม่

 

ตัวอย่างที่ชัดเจนและจับต้องได้คือ สุนทรพจน์บนเวที UNGA ของ อเล็กซานเดอร์ สตับบ์ ประธานาธิบดีฟินแลนด์ ซึ่งกล่าวก่อนหน้าสุนทรพจน์ของท่านสีหศักดิ์เพียงไม่กี่วัน เขาได้สะท้อนอย่างชัดเจนถึงแนวคิดที่ว่า “ประเทศที่ไม่ใช่มหาอำนาจก็ยังสามารถมี Agency และกำหนดทิศทางของตนเองได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการทำงานและการยึดมั่นใน ‘ระบอบพหุภาคี’ (Multilateralism) ซึ่งประเด็นการทำงานผ่านระบบพหุภาคีนี้เอง ก็เป็นสิ่งที่ท่านสีหศักดิ์ได้กล่าวถึงในย่อหน้าที่ 3 ของสุนทรพจน์เช่นกัน

 

หากจะยกตัวอย่างประเทศที่ผมอยากให้ไทยถูกมองและได้รับการเคารพในลักษณะเดียวกัน ประเทศที่อยู่บนเรดาร์โลกในแบบที่ผมอยากให้ไทยเป็นก็คือ ‘กลุ่มประเทศนอร์ดิกและสแกนดิเนเวีย’ เช่น สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ รวมถึงเยอรมนีและญี่ปุ่น ซึ่งล้วนเป็น ‘รัฐที่มีจุดยืนชัดเจน’ ด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และมีระบอบสวัสดิการที่ตั้งใจจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สำหรับผม ประเทศเหล่านี้ควรเป็น ‘เป้าหมายเชิงเปรียบเทียบ’ ของไทยในด้านภาพลักษณ์และทิศทางนโยบายต่างประเทศ

 

ผมคงรู้สึกไม่สบายใจหากไทยถูกจัดให้อยู่ใน ‘กลุ่มประเทศเผด็จการหรืออำนาจนิยม’ ในสายตาสังคมโลกและประชาคมระหว่างประเทศ เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการที่ไทยจะกลับเข้าสู่เรดาร์โลก แต่คือการกลับไปอย่าง ‘ถูกวิธี’ และอย่าง ‘มีความชอบธรรม’ ซึ่งผมเชื่อว่านี่คือ ‘ผลประโยชน์แห่งชาติที่แท้จริง’ โดยเฉพาะสำหรับประชาชนไทย

 

ความท้าทายของ ‘การร่วมมือกันแบบพหุภาคี’ ในปัจจุบัน

 

ผมมองว่า การร่วมมือแบบพหุภาคี ‘มีความสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่านมา’ โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยในฐานะประเทศมหาอำนาจระดับกลาง การทำงานร่วมกันในระบอบพหุภาคี ‘ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง’ ให้แก่ประเทศที่ไม่ใช่มหาอำนาจ เช่น ไทย เพราะการออกแบบเครือข่ายความร่วมมือเป็นทั้งการผูกมัด (Tethering) และการสร้างบรรทัดฐานใหม่ ทำให้ประเทศมหาอำนาจต้องคำนึงถึงข้อจำกัดและไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจได้ง่ายนัก อีกทั้งในโลกปัจจุบัน ปัญหามีความซับซ้อนและหลากหลาย ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้โดยลำพังประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้น การทำงานร่วมกันภายใต้กรอบพหุภาคีจึงเป็น ‘ทางเลือกที่จำเป็น’ หากเรายังต้องการอยู่ร่วมกันในโลกอย่างยั่งยืน และไม่อยากเห็นสงครามโลกครั้งต่อไป

 

ทั้งนี้ การทำงานแบบพหุภาคีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในระดับมหภาคหรือองค์การระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ‘พหุภาคีรูปแบบใหม่’ ที่เกิดขึ้นในลักษณะความร่วมมือเชิงประเด็น (Issue-Based Multilateralism) หรือความร่วมมือในระดับภูมิภาค รวมถึงการรวมกลุ่มที่มีขนาดเล็กลง เพื่อจัดการกับ ‘ปัญหาเฉพาะด้าน’ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

กระแสเรียกร้องยกเลิก MOU2543-MOU2544

 

เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ผมไม่แน่ใจว่าผู้ที่เรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 เข้าใจเนื้อหาเชิงเทคนิคของ MOU เหล่านี้มากน้อยเพียงใด และได้พิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างเป็นธรรมแล้วหรือยัง หรือเพียงแค่ใช้อารมณ์เป็นตัวนำ หากการตัดสินใจเป็นไปโดยขาดความรอบคอบ ย่อมอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งชาติได้ในระยะยาว

 

ในมุมมองของผม ข้อตกลงอย่าง MOU 43 และ MOU 44 เป็นเรื่องทางเทคนิคที่มีความซับซ้อน อันสะท้อนถึงการผสานองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศ ผ่านการไตร่ตรองของผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่เรื่องทางการเมืองเฉพาะกลุ่มหรือผลประโยชน์ของฝ่ายการเมืองใดฝ่ายหนึ่ง ข้อตกลงเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง ‘บรรทัดฐานและกรอบการเจรจา’ ซึ่งเป็นกลไกที่มีคุณูปการต่อการจัดการข้อพิพาท หากขาดหลักการหรือเกณฑ์ที่ชัดเจน ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนอาจยืดเยื้อและบานปลายยิ่งกว่าเดิม

 

นโยบายของรัฐบาลที่เพิ่งประกาศว่าจะดำเนินการทำ ‘ประชามติ’ เกี่ยวกับการยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ทำให้ผมนึกถึงกรณีที่รัฐบาลอนุรักษนิยมของอังกฤษผลักดันให้มีการทำประชามติเรื่องการออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แม้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป แต่ผลลัพธ์ในเวลาต่อมากลับพิสูจน์แล้วว่า ‘เป็นผลเสีย’ โดยเฉพาะการสูญเสียมูลค่าและโอกาสทางเศรษฐกิจของอังกฤษเอง

 

แน่นอน หากใครได้อ่าน MOU 43 และ MOU 44 จะเข้าใจว่าการหาทางออกเรื่องเขตแดนหรือพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ อยู่แล้ว ทางออกที่แท้จริง จึงไม่ใช่การฉีกข้อตกลง หากแต่เป็น ‘เจตจำนงทางการเมือง’ ที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และหันมาแสวงหาผลประโยชน์ ความมั่นคง และความมั่งคั่งร่วมกันของพี่น้องไทยและกัมพูชา ที่ในท้ายที่สุดแล้ว ‘ไม่อาจแยกห่างจากกันได้’

 

มีตัวอย่างจากหลายประเทศที่แม้จะเผชิญปัญหาพื้นที่ทับซ้อน แต่ก็สามารถหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกันได้ ด้วยการเปลี่ยนกรอบคิด (Paradigm Shift) จากการมองว่า ‘พื้นที่พิพาทคือปัญหา’ ไปสู่การมองว่า ‘พื้นที่พิพาทคือโอกาส’ ตัวอย่างเช่น การแลกเปลี่ยนที่ดิน (Land Exchange) ดังเช่นกรณีเนเธอร์แลนด์-เบลเยียม (2015) และอินเดีย-บังกลาเทศ (2015) ซึ่งอาจจะคำนวณให้พื้นที่ที่จะแลกเปลี่ยนกันมีขนาดใกล้เคียงกันได้

 

อีกทางเลือกหนึ่งคือ ‘การจัดตั้งเขตพัฒนาร่วม’ (Joint Development Area) ที่ทั้งสองประเทศมีสิทธิในการบริหารจัดการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลพื้นที่มรดกโลก หรือการพัฒนาพื้นที่พิพาทให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งไทยเองก็เคยประสบความสำเร็จกับมาเลเซียในการจัดตั้ง Malaysia-Thailand Joint Development Area (1990) ที่สร้างผลประโยชน์ร่วมกันมหาศาลให้ทั้งสองประเทศมาแล้ว

 

กรณีเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ‘ความขัดแย้งสามารถพลิกเป็นความร่วมมือได้’ หากมีเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็งเพียงพอ

 

ผมอยากเห็นแนวคิดเชิง Paradigm Shift เช่นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในสังคมไทยมากขึ้น และจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี หากรัฐบาลสามารถนำเสนอแนวทางเหล่านี้อย่างจริงจัง

 

การสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD และ BRICS

 

เรื่องนี้เป็นประเด็นที่นักวิชาการและนักวิเคราะห์ด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจแทบทั้งหมดเห็นพ้องว่า ‘ไทยควรมุ่งสู่การเป็นสมาชิก OECD’ เนื่องจากกระบวนการเข้าสู่การเป็นสมาชิกจะบังคับให้ประเทศต้องปรับปรุงมาตรฐานภายใน ยกระดับกฎหมาย เปิดกว้างด้านการแข่งขัน และปรับโครงสร้างทั้งในมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งท้ายที่สุดจะเป็นผลดีต่อประเทศไทยเอง

 

อย่างไรก็ตาม หากไทยเดินหน้าอย่างจริงจัง ย่อมมีผู้ที่เสียประโยชน์จากการปรับโครงสร้างและการยกระดับมาตรฐานเหล่านี้ คำถามคือ กลุ่มเหล่านั้นจะยอมให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางนี้หรือไม่ หรือแนวคิดในการผลักดันให้ไทยเป็นสมาชิก OECD จะยังคงเป็นเพียง ‘ความหวังที่ยากจะกลายเป็นจริง’

 

คำถามที่น่าสนใจต่อเนื่องคือ แนวทางของไทยต่อ BRICS รัฐบาลที่แล้วแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างมากในการผลักดันการเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ เราควรจะต้องเข้าใจก่อนว่า ‘ไม่มีประเทศใดในโลกที่เป็นสมาชิกอย่างเต็มรูปแบบของทั้ง OECD และ BRICS’ โดยที่ BRICS มักถูกมองว่าเป็นองค์กรที่มีลักษณะ ‘ถ่วงดุลตะวันตก’ โดยเฉพาะสหรัฐฯ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มนี้มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะถือเป็นตลาดสำคัญของไทย และเมื่อรวมสมาชิกใหม่เข้าไปแล้ว มูลค่า GDP ของ BRICS มีขนาดใหญ่กว่า G7 และสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งย่อมช่วยให้ไทยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และตะวันตกเพียงด้านเดียวได้

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผมมีความกังวลอยู่ไม่น้อยคือ แนวทางของ BRICS ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือพูดถึง ‘ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน’ ตรงกันข้าม ประเทศสมาชิกจำนวนมากกลับมีประวัติที่ไม่ดีนักในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และมุ่งเน้นไปที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์เป็นหลัก

 

ด้วยเหตุนี้ ‘ความกำกวมเชิงยุทธศาสตร์’ ของไทยอาจเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการวางตัวต่อ BRICS กล่าวคือ การรักษาความสัมพันธ์และบทบาทในฐานะ BRICS Partner ก็ ‘น่าจะเพียงพอแล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน’ โดยไม่จำเป็นต้องมุ่งสู่การเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ โดยสถานะ Partner เปิดโอกาสให้ไทยสามารถมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การลงทุน และโครงการพัฒนาได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาระผูกพันของสมาชิกเต็มรูปแบบ แม้อิทธิพลเชิงนโยบายจะมีจำกัดและข้อผูกพันน้อยกว่า แต่ก็ถือเป็นผลประโยชน์ที่เพียงพอและสมดุลกับความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ไทยก็ควรมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายภายใน เพื่อก้าวไปสู่การเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของ OECD อย่างจริงจัง

 

ความท้าทายของการทูตไทยในอนาคต

 

การเสื่อมถอยของระบอบเสรีนิยมสากล ภายหลังการก้าวขึ้นสู่อำนาจสมัยที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ระบอบโลกเต็มไปด้วย ‘ความไม่แน่นอน’ เราไม่อาจมั่นใจได้ว่า หลังจากยุคประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว สหรัฐฯ จะสามารถกลับมาเป็น ‘ผู้พิทักษ์ระบอบเสรีนิยมสากล’ ได้อีกหรือไม่ และหากกลับมา ก็ยังไม่มีความแน่นอนว่า จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือเพียงใด

 

ในอีกด้านหนึ่ง เราก็ไม่อาจปฏิเสธอำนาจและอิทธิพลที่ผงาดขึ้นของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความท้าทายสำคัญของนโยบายต่างประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ จึงอยู่ที่ ‘การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับอำนาจของจีนอย่างราบรื่น เป็นธรรม และสมดุลมากที่สุด’

 

กรณีที่รัฐบาลที่แล้วตัดสินใจส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศภายใต้แรงกดดันจากจีน เป็นตัวอย่างที่สะท้อน ‘การละเมิดกฎหมายต่อต้านการอุ้มหายและการซ้อมทรมาน’ ของไทย แม้รัฐบาลจะอ้างว่าดำเนินการตามครรลองกฎหมาย แต่ในทางจิตวิญญาณของหลักการ (Spirit of the Law) ก็ชัดเจนว่า ‘ไทยยอมจำนน’ ต่อแรงกดดันจากมหาอำนาจ อธิปไตยเชิงปฏิบัติถูกบั่นทอนจากแรงกดดันมหาอำนาจ และนำไปสู่การละเมิดพันธกรณีสิทธิมนุษยชน และการแทรกแซงกิจการภายใน

 

อีกเหตุการณ์ที่สะท้อนอิทธิพลจีนในไทยอย่างเด่นชัดคือ การที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไทยร่วมมือกับนักการทูตจีนในการกดดันและเซ็นเซอร์งานศิลปะที่หอศิลป์กรุงเทพฯ ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงและเห็นต่างต่อประเด็นบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแสดงถึงการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจ แต่ยังเป็นการล่วงละเมิดสิทธิและเสรีภาพทางศิลปะในพื้นที่สาธารณะใจกลางเมือง ซึ่งน่ากังวลต่อทั้งภาพลักษณ์และคุณค่าประชาธิปไตยของไทยเอง

 

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินลงทุนมหาศาล เทคโนโลยีล้ำยุค ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และความร่วมมือในมิติต่างๆ จากจีน เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ทำให้ไทยเราต้องออกแบบความสัมพันธ์อย่างรอบคอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์และเก็บเกี่ยวประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือเหล่านี้ เราไม่อาจปฏิเสธอำนาจและอิทธิพลของจีนได้ทั้งหมด

 

ดังนั้น ความท้าทายหลักของนโยบายต่างประเทศไทยในวันนี้และอนาคตอันใกล้ คือ การหาสมดุลระหว่าง ‘การปกป้องวิถีชีวิตและคุณค่าพื้นฐานของประชาชน’ ซึ่งสำหรับผมและคนไทยกลุ่มใหญ่ ได้แก่ เสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมทางสังคม และประชาธิปไตย กับ ‘การยอมรับและใช้ประโยชน์จากการลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีกับประเทศจีน’ ที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ต้องโอบรับอย่างมีแบบแผน เพื่อผลประโยชน์ที่เป็นธรรมต่อพี่น้องประชาชนชาวไทย

The post การทูตเชิงรุกของไทย: ความท้าทายและความหวัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
โลกอยู่ในสงคราม 7 โดเมน ความท้าทายและความเสี่ยงที่ไทยต้องพร้อมรุกและรับ https://thestandard.co/opinion-7-domain-wars/ Thu, 02 Oct 2025 07:28:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1125614

“โลกกำลังกลับเข้าสู่ยุคความขัดแย้งระหว่างประเทศ” ประโยค […]

The post โลกอยู่ในสงคราม 7 โดเมน ความท้าทายและความเสี่ยงที่ไทยต้องพร้อมรุกและรับ appeared first on THE STANDARD.

]]>

“โลกกำลังกลับเข้าสู่ยุคความขัดแย้งระหว่างประเทศ” ประโยคนี้ หากกล่าวเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว นักวิชาการและกูรูต่างๆ ก็คงจะส่ายหัวกันเป็นแถว เพราะในวันนั้นโลกใบนี้ดูจะมุ่งหน้าไปสู่ความร่วมมือกันเสียส่วนใหญ่ จนหลายๆ คนแอบคิดไปว่าสงครามและความขัดแย้งน่าจะกลายเป็นเรื่อง ‘โบราณ’ ไปเสียแล้ว

 

แต่มาวันนี้ คงไม่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไป เพราะภาพมันชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศในลักษณะ สงครามร้อน (Hot war) ได้หวนกลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้งหลังจากห่างหายไปภายหลังสงครามเย็น รวมไปถึงการที่หลายๆ ประเทศมีทีท่าว่าจะให้ความสำคัญกับระเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศน้อยลง จนเกิดเป็นคำถามของการถดถอยของสถาบันระหว่างประเทศตลอดจนความศักดิ์สิทธิ์ของระเบียบและกฎหมายระหว่างประเทศ 

 

การอุบัติขึ้นของความขัดแย้งระหว่างประเทศในยุคนี้ จึงต้องบอกว่า ‘ไม่ธรรมดา’ เพราะมาพร้อมวิวัฒนาการ ทั้งในแง่ของเครื่องไม้เครื่องมือ รูปแบบ หรือแม้แต่มิติของสนามรบ (Domain of War) 

 

ในอดีตที่ผ่านมา ‘Domain of War’ หรือพูดง่ายๆ ว่า ‘สนามรบ’ ในรูปแบบต่างๆ ถูกแบ่งออกเป็น 3 มิติหลักๆ ได้แก่ ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งก็เกิดจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีและรูปแบบการรบที่ได้รับการพัฒนาจากเดิมที่มีแค่ทางบก ไปสู่การใช้เรือรบพุ่งกันทางน้ำ จนไปถึงทางอากาศ

 

มิติการรบเช่นนี้อยู่กับโลกของเรามาไม่น้อยกว่าศตวรรษและได้พามนุษย์ผ่านประสบการณ์หลายต่อหลายครั้ง เช่น สงครามโลกทั้งสองครั้ง สงครามเย็น รวมไปถึงสงครามอสมมาตรในช่วงเวลา 20 ปีให้หลัง อย่างไรก็ดี เมื่อวิวัฒนาการของเทคโนโลยีสูงขึ้น เครื่องไม้เครื่องมือจึงมีมากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำอะไรต่ออะไรได้มากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาจึงมีการขยายขอบเขตมิติการรบ หรือ Domain ออกเป็น 5 มิติ โดยเพิ่มมิติของไซเบอร์ (Cyber) และมิติของอวกาศ (Space) เข้าไปด้วย 

 

สาเหตุสำคัญ ก็เพราะมิติใหม่ทั้ง 2 ได้มีวิวัฒนาการจากการเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของมนุษย์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของภัยคุกคามด้วยเช่นกัน เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ ทั้งโดยรัฐ และตัวละครที่ไม่ใช่รัฐ หรือแม้แต่การใช้พื้นที่ทางอวกาศและดาวเทียม เป็นเครื่องมือในการสอดแนมหรือแม้แต่แทรกแซงทางเทคโนโลยี เป็นต้น 

 

จึงกล่าวได้ว่า มิติทั้ง 2 ได้กลายเป็น ‘สนามรบ’ ใหม่ของโลกไปเสียแล้ว แม้จะเป็นมิติที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าชัดเจนเหมือน 3 มิติแรก แต่แน่นอนว่ามีความสำคัญไม่แพ้กัน และจะเป็นมิติที่คงอยู่ต่อไปในอนาคตอีกยาวนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโลกเทคโนโลยีจะไม่เดินถอยหลังอย่างแน่นอน

 

หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ จึงได้หันเหมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเองเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามรบใหม่ทั้ง 2 มิตินี้ ทั้งด้านเทคโนโลยีที่จะเป็นเสมือนอาวุธในสนามรบ รวมไปจนถึงการขยายอิทธิพลในสนามรบนี้ เพื่อให้ตนเองมีความพร้อมและได้เปรียบในการรบ รวมถึงป้องกันตนเองจากการโดนโจมตี ยกตัวอย่าง กองทัพสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันก็ได้ขยายหน่วยงานทางทหารออกมาเป็นกองทัพไซเบอร์ และกองทัพอวกาศ เรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงรัสเซีย และจีน เป็นต้น 

 

หนึ่งในปัญหาสำคัญของเรื่องนี้ คือ ความเป็น ‘สุญญากาศทางกฎเกณฑ์’ ของโดเมนทั้งสอง ที่มนุษย์ยังไม่ได้มานั่งคุยกันและตกลงร่วมกันว่าจะเอาอย่างไร จะทำอย่างไร และจะอยู่ร่วมกันอย่างไรในโลกของไซเบอร์และอวกาศ ต่างจากการรบมิติอื่นๆ ที่มีการตกลงร่วมกันของมนุษยชาติภายหลังสงคราม ทำให้มีกฎเกณฑ์และระเบียบร่วมกันอยู่บ้าง เช่น ว่าจะรบกันอย่างไร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เป็นต้น 

 

สุญญากาศทางกฎเกณฑ์ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทั้งด้านความปลอดภัย และด้านความร่วมมือ จนนำไปสู่การแข่งขันกันของประเทศที่มีศักยภาพอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและยึดพื้นที่ที่ยังไร้การควบคุมดังกล่าว เพราะทรัพยากรทั้งด้านไซเบอร์และอวกาศก็มีอยู่อย่างจำกัด ใครยึดได้ก่อนก็ได้เปรียบ 

 

นี่คือภาพหยาบๆ ของ 5 โดเมนทางการรบ ที่พูดถึงกันอยู่ในปัจจุบัน 

 

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันและอนาคต การมองแค่ 5 โดเมนทางการรบ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่โดเมนทางการรบจะถูกพัฒนาและขยายตัวออกไปอีก 

 

โลกใบนี้อาจไปถึงจุดที่มีสนามรบทั้งหมด 7 โดเมน ในอนาคต?

 

แล้วอีก 2 โดเมนคืออะไร? คำตอบก็คือ โดเมนทาง ‘การเมือง’ และ ‘เศรษฐกิจ’ นั่นเอง 

 

เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้? 

 

เพราะปัจจุบัน ‘การเมือง’ โดยเฉพาะการโจมตีทางการเมืองระหว่างรัฐ ด้วยวิธีการแทรกแซงข้ามรัฐ เพื่อหวังผลทางการเมืองนั้นดูท่าจะมีมากขึ้น ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีต่างๆ จนมองได้ว่าอาจยกระดับขึ้นจากในอดีตที่เป็นเพียงประเด็นปัญหา ไปสู่ความเป็นหนึ่งใน ‘สนามรบ’ อย่างเต็มตัว 

 

ยกตัวอย่างเช่น การพยายามดิสเครดิตรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามโดยใช้เครื่องมือใหม่ๆ ทำให้เกิดการต่อต้านภายในประเทศ จนนำไปสู่ความสั่นคลอนทางการเมือง และนำไปสู่ความได้เปรียบต่อรัฐอื่นในประเด็นที่ต้องการแข่งขันหรือในความขัดแย้ง ดังที่เกิดขึ้นหลายครั้งในกรณีของยูเครนและรัสเซีย รวมไปจนถึงกรณีของผู้นำกัมพูชาที่ปล่อยคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีไทย โดยตั้งใจให้เกิดความสั่นคลอนทางการเมืองของไทย ซึ่งก็ได้ผลในท้ายที่สุด เป็นต้น ซึ่งสนามรบทางการเมือง ยังรวมไปถึงการสร้างพรรคพวก การสร้างภาพ และการดิสเครดิตกันระหว่างประเทศ เพื่อช่วงชิงการสนับสนุน และความได้เปรียบในเวทีระหว่างประเทศอีกด้วยเช่นกัน

 

ในอดีต เรื่องพวกนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมหรือเทคนิคในการรบที่ทำกันอย่างแพร่หลายในยามสงคราม เช่น การทำโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) การปฏิบัติการด้านข่าวสาร (Informational Operation) หรือการปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological Operation) เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่ที่ใหม่คือการทำกิจกรรมเหล่านี้ผ่านพลังของเทคโนโลยีสมัยใหม่ จนทำให้ผลกระทบไม่ได้มีอยู่ในวงจำกัดเหมือนแต่ก่อน แต่ส่งผลกระทบได้ถึงระดับระหว่างประเทศได้โดยง่าย และด้วยผลลัพธ์ที่มีผลกระทบอย่างสูง การกลายเป็นอีกหนึ่งใน ‘สนามรบ’ จึงมีความเป็นไปได้ เพราะง่าย ต้นทุนต่ำ แต่นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ 

 

ดังนั้น การมองประเด็นนี้แบบยกระดับขึ้นจะเป็นแนวทางที่ทำให้มองเห็นปัญหานี้ชัดเจนมากขึ้น แทนที่จะเก็บไว้เป็นเพียงหนึ่งในเทคนิคทางการรบ หรือประเด็นในเงามืดเบื้องหลังความขัดแย้งเท่านั้

 

ในอีกโดเมนหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา คือ มิติด้าน ‘เศรษฐกิจ’

 

ในมิตินี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมาย เพราะเห็นชัดแบบเต็มตาแล้วในปัจจุบัน ว่าเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในเครื่องมือและสนามรบระหว่างประเทศไปแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะภาพของสงครามการค้าและการใช้เพดานภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กันระหว่างรัฐ หรือแม้แต่การพยายามจัดระเบียบโลกภายใต้ภาวะที่ผันผวน ในปัจจุบันและอนาคต เศรษฐกิจจึงไม่ใช่แค่เทคนิคหนึ่งที่ใช้ภายใต้ความขัดแย้งอีกต่อไป แต่อาจกลายเป็นหนึ่งในสนามรบสำคัญที่มีบทบาทอย่างมาก ที่อุบัติขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

 

นอกจากนี้ มิตินี้จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เมื่อโลกไม่สามารถตัดขาดจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีได้ เทคโนโลยีจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาของชาติ ทั้งด้านเศรษฐกิจรวมถึงการทหาร เมื่อสองสิ่งนี้แยกกันไม่ขาด การต่อสู้กันในสนามรบด้านเศรษฐกิจ จึงไม่ใช่แค่การสร้างฐานะอีกต่อไป แต่จะโยงไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและการทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้การต่อสู้กันในสนามรบทางเศรษฐกิจทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ และอาจไปได้ถึงจุดที่กลายเป็นสนามรบที่ผสมผสานทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ ไซเบอร์ อวกาศ และการทหารแบบดั้งเดิม

 

จะเห็นได้ว่า การขยายตัวของสนามรบ เกิดจากปัจจัยสำคัญ คือ วิวัฒนาการของมนุษย์ ทั้งในด้านของบริบทระหว่างประเทศและเทคโนโลยี ซึ่งในแต่ละมิติล้วนประกอบไปด้วย 2 ด้านที่สำคัญ คือด้านการรุกและรับ 

 

ดังนั้น หากมองในสมมติฐานที่ว่า โลกใบนี้จะไม่ได้มีแค่ 5 มิติทางการรบเท่านั้น แต่จะกลายเป็น 7 มิติในอนาคต ดังที่กล่าวมา การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือทั้งด้านการรุกและรับของชาติต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาตามไปด้วย ซึ่งหัวใจสำคัญของสนามรบ 7 มิติดังกล่าว อยู่ที่ข้อเท็จจริงที่ว่า “การรบจะไม่ได้จำกัดอยู่ที่ทหารหรือกองทัพ” อีกต่อไป แต่จะต้องรวบถึงการทำงานทั้งหมดของรัฐที่จะต้องตระหนักและเริ่มพัฒนาบทบาทของตนให้พร้อมทั้งรุกและรับในสนามรบที่นอกเหนือจากบทบาทของทหาร 

 

กล่าวได้ว่า อนาคตข้างหน้า ‘นักรบ’ อาจไม่ได้จำกัดอยู่ที่ทหารอีกต่อไป แต่อาจจำเป็นต้องรวมถึงกระทรวงอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ที่จะต้องกลายเป็นนักรบในแนวหน้า ที่ต้องเตรียมตั้งรับและตอบโต้ไม่ต่างจากทหารในกรมกอง และอาจจะต้องอาศัยภาคเอกชนและประชาชนด้วยเช่นกันในการเคลื่อนองคาพยพของชาติให้เกิดความพร้อมไปด้วยกัน 

 

การจัดหน้าที่ของหน่วยงาน โดยติดป้ายว่า ‘หน่วยงานความมั่นคง’ โดยหมายถึง ทหารหรือตำรวจ อาจกลายเป็นเรื่องล้าสมัย และไม่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องมีกลไกในการพัฒนาแบบใหม่ที่ทำให้ทุกหน่วยงาน เป็นหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมด แต่อาจต่างกันที่จุดโฟกัสเท่านั้น นี่เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่นักคิด นักนโยบาย นักปฏิบัติ และประชาชนทุกคน ที่จะต้องรีบคิด รีบปรับตัว เพื่อให้พร้อมกับอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งไม่แน่ ว่าอาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ภายใต้โลกที่ผันผวนรายวัน…เช่นนี้ 

 

ภาพ: DR MANAGER via ShutterStock

The post โลกอยู่ในสงคราม 7 โดเมน ความท้าทายและความเสี่ยงที่ไทยต้องพร้อมรุกและรับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมสีจิ้นผิงมี Mindset และวิธีเดินเกมที่แตกต่างกับทรัมป์ https://thestandard.co/opinion-xi-jinping-trump-mindsets/ Thu, 02 Oct 2025 06:06:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1125570

หลายครั้งที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนมีการเดินเกมเชิง […]

The post ทำไมสีจิ้นผิงมี Mindset และวิธีเดินเกมที่แตกต่างกับทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลายครั้งที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนมีการเดินเกมเชิงกลยุทธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ตัวอย่างล่าสุดในเรื่องวีซ่าสำหรับ Talent ที่เริ่มมีผลวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ฝ่ายรัฐบาลทรัมป์ประกาศเพิ่มค่าธรรมเนียมยื่นขอวีซ่าทำงานของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่มีความสามารถพิเศษหรือ ‘วีซ่า H-1B’ สูงถึง 1 แสนดอลลาร์ (ประมาณ 3.2 ล้านบาท) จึงเป็นเสมือนการสร้างกำแพงปิดกั้น Talent ต่างชาติด้วยการตั้งเงื่อนไขให้ต้องจ่ายแพงขึ้นหลายเท่าตัว  

 

ในขณะที่รัฐบาลจีนกลับเลือกใช้กลยุทธ์ในลักษณะตรงข้าม ด้วยการประกาศ ‘วีซ่า K’ ที่ออกแบบใหม่ให้มีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายเงื่อนไขสำหรับ Talent ต่างชาติ เปรียบเสมือนการเปิดประตูที่กว้างขึ้น เพื่อเชื้อเชิญ Talent โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากทั่วโลกให้มาทำงานบนแผ่นดินจีนได้สะดวกขึ้น  

 

บทความนี้จะวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบว่า ทำไมสีจิ้นผิงมักจะเลือกทำในสิ่งที่ทรัมป์ไม่ทำ โดยใช้กรณีศึกษาในเรื่องวีซ่าสำหรับ Talent ของสองประเทศที่มีแนวทางแตกต่างกัน ดังนี้

 

ประการแรก ผู้นำมี Mindset ที่แตกต่างกัน

 

รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อ discourage บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่ต้องการเข้าไปทำงานในสหรัฐฯ ตามแนวคิดทรัมป์ที่หมกมุ่นในเรื่องการสร้างงานให้คนอเมริกัน จึงสนใจแต่เพียงแค่ว่า จะทำอย่างไรที่จะเก็บงานไว้ให้คนอเมริกันได้มีงานทำมากขึ้น สะท้อน Mindset ของทรัมป์ในลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Nationalism) ทั้งๆ ที่มีคนชาติอื่นที่เก่งกว่า/สมาร์ทกว่า เช่น ผู้เชี่ยวชาญชาวอินเดียที่สนใจไปทำงานในสหรัฐฯ แต่ทรัมป์จะเรียกเก็บค่าวีซ่ามหาโหดกับ Talent ต่างชาติเหล่านั้นสูงถึง 1 แสนดอลลาร์ (ในอดีตที่ผ่านมา ชาวต่างชาติที่ได้รับวีซ่า H-1B จากสหรัฐฯ มากที่สุด คือ อินเดีย คิดเป็น 71% ของผู้ได้รับอนุมัติ ส่วนใหญ่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) 

 

ในทางกลับกัน ผู้นำจีนมองเห็นโอกาสจาก Talent คนเก่งชาวต่างชาติ จึงต้องการเชื้อเชิญคนที่มีพรสวรรค์/ดึงมันสมองจากทั่วโลกให้เข้ามาทำงานในจีนมากขึ้น รัฐบาลจีนจึงเลือกเดินเกมที่แตกต่างกับสหรัฐฯ เน้นการผ่อนคลายเงื่อนไขในการยื่นขอวีซ่า K เพื่อจูงใจ Talent ต่างชาติเหล่านั้น 

 

แล้วทำไมเบ้าหลอมทางความคิดหรือ Mindset ของผู้นำจีนจึงค่อนข้างแตกต่างจาก Mindset ของผู้นำสหรัฐฯ ล่าสุด หนังสือที่ถูกพูดกันมากในช่วงนี้ ชื่อ Breakneck: China’s Quest to Engineer the Future เขียนโดย Dan Wang มีการวิเคราะห์พื้นฐานแนวความคิดของผู้นำสองชาติมหาอำนาจนี้ 

 

Breakneck: China's Quest to Engineer the Future

ภาพประกอบ: ปกหนังสือ Breakneck: China’s Quest to Engineer the Future

 

ที่สำคัญ พื้นฐานการศึกษามีส่วนในการหล่อหลอมความคิดของผู้บริหารประเทศ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้นำจีนส่วนใหญ่จะเรียนจบด้านวิศวกรรม (เช่น สีจิ้นผิง เรียนจบวิศวเคมีจากมหาวิทยาลัยชิงหวา) ในขณะที่ผู้บริหารสหรัฐฯ มักจะเรียนจบด้านกฎหมายหรือด้านเศรษฐศาสตร์/บริหารธุรกิจ (เช่น ทรัมป์เรียนจบ Wharton School) ทำให้ผู้นำของสองชาตินี้มองอนาคตด้วย Mindset หรือชุดความเชื่อที่ฝังลึกภายในที่แตกต่างกัน ในหลายครั้ง จึงเลือกการเดินเกมในลักษณะแตกต่างกัน 

 

ในกรณีวีซ่า Talent ด้วยมุมมองของทรัมป์แบบ Inward-Looking และมีทัศนคติค่อนข้างลบกับชาวต่างชาติที่ทำงานในสหรัฐฯ ทรัมป์จึงมองเห็นแต่มุม ‘ปัญหา’ Talent ต่างชาติจะมาแย่งงานคนอเมริกัน จึงพยายามสร้างเงื่อนไขหรือลดทอนแรงจูงใจ เช่น การขึ้นกำแพงวีซ่าเรียกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ที่แพงลิ่ว และกรอบคิดแบบนักธุรกิจของทรัมป์ที่สนใจแต่ตัวเลขเงินๆ ทองๆ ย่อมต้องการใช้มาตรการเพิ่มค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูงลิ่วนี้ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้เข้าคลังของรัฐบาลทรัมป์อีกด้วย 

 

ในขณะที่ ทางฝั่งจีน สีจิ้นผิงมองเห็น ‘โอกาส’ จาก Talent ต่างชาติ จึงเน้นจูงใจผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ จากทั่วโลก (โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ให้มาทำงานในจีนให้มากขึ้น เพื่อต่อยอดสร้าง Ecosystem ให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างความตื่นตัวให้คนรุ่นใหม่ของจีน ทางการจีน จึงประกาศออกวีซ่า K ที่มีลักษณะผ่อนคลายในหลายด้าน เพื่อดึงดูด Talent ต่างชาติจากทุกมุมโลก 

 

นอกจากนี้ การเดินเกมผ่อนคลายวีซ่า K ของรัฐบาลจีน เพื่อสร้าง Talent Pool หรือแหล่งรวมความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของจีนที่จะเป็นชาติมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีในระดับโลก ตามวิสัยทัศน์ของผู้นำจีนและทีมผู้บริหารประเทศจีนที่ส่วนใหญ่เรียนจบสายวิศวกรรม ไม่ใช่สายกฎหมายหรือเศรษฐกิจแบบผู้นำสหรัฐฯ  

 

สื่อจีนอย่าง Global Times เผยแพร่บทวิเคราะห์ว่า “วีซ่า K ที่จีนเพิ่งประกาศใหม่นี้ สะท้อนความเปิดกว้างและความมั่นใจของจีนในการร่วมมือกับโลก” นั่นคือ สีจิ้นผิงมองเห็นโอกาสของคนจีนในการทำงานกับ Talent จากทั่วโลก ในขณะที่ ทรัมป์มองเห็นแต่ในมุมปัญหา จึงเลือกที่จะปิดกั้นตัวเอง

 

ประการที่สอง  ผู้นำเลือกใช้วิธีการ (WAYS) และเครื่องมือ (MEANS) ที่แตกต่างกัน

 

ตั้งแต่ปลายปี 2012 ที่สีจิ้นผิงขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็ได้ประกาศความฝันของจีนในการ ‘ฟื้นฟูชาติ’ ให้จีนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (The Great Rejuvenation of the Chinese Nation) ในแง่เป้าหมาย (ENDS) แม้จะดูไม่แตกต่างจากนโยบาย Make America Great Again ของทรัมป์ หากแต่ในแง่วิธีการ (WAYS) และเครื่องมือที่ใช้ (MEANS) ในการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ผู้นำของสองชาตินี้มีการเดินเกมในลักษณะที่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างกรณีวีซ่า Talent ผู้นำจีนเดินเกมคนละแนวกับผู้นำสหรัฐฯ 

 

ทรัมป์ไม่เห็นความสำคัญของ Talent จากต่างประเทศ จึงเรียกเก็บค่าวีซ่า H-1B เพิ่มสูงขึ้นถึง 1 แสนดอลลาร์ รวมทั้งมีเงื่อนไขว่า ในการยื่นขอวีซ่า H-1B นอกจากจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialty Occupations) เช่น วิศวกรรม, เทคโนโลยีสารสนเทศ, การเงิน, และการแพทย์ ยังจำเป็นจะต้องมีบริษัทนายจ้างในสหรัฐฯ ที่ชัดเจน และกำหนดให้บริษัทนายจ้างเป็นผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่านี้ 

 

ในขณะที่ รัฐบาลจีนทำในสิ่งตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ จุดเด่นในการขอวีซ่า K จากจีน คือ ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องมีนายจ้างในจีน ทำให้ขอวีซ่าง่ายขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลาขอให้นายจ้างออกหนังสือเชิญ (invitation) เพื่อใช้ประกอบการออกวีซ่า  

 

ในเชิงเปรียบเทียบ วีซ่า H-1B ของสหรัฐฯ เน้น“ควบคุม”และผูกติดกับบริษัทนายจ้างที่ออกหนังสือเชิญ จะออกวีซ่าให้เฉพาะกรณีที่มีบริษัทนายจ้างแล้ว และมีโควตาจำกัดในแต่ละปี  ในขณะที่ วีซ่า K ของจีนถูกออกแบบใหม่ให้มีความ “ยืดหยุ่น” ไม่จำเป็นต้องมีบริษัทนายจ้างล่วงหน้า เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีรุ่นใหม่จากทั่วโลกให้เข้ามาในจีนได้เลย จึงค่อนข้างเหมาะกับนักวิจัย/คนรุ่นใหม่ที่อยากลองแสวงหาโอกาสในจีน 

 

โดยสรุป สีจิ้นผิงมีเป้าหมายใหญ่ (ENDS) ที่จะสร้างจีนให้เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก  จึงเลือกใช้วิธีการ (WAYS) และเครื่องมือ (MEANS) ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายใหญ่นี้ ดังตัวอย่างกรณีวีซ่า Talent ที่ถูกออกแบบให้เป็น“เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์”เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจีนจึงเน้นผ่อนคลายการยื่นขอวีซ่า K เพื่อจูงใจ Talent จากทั่วโลก โดยเฉพาะคนเก่งๆ ในด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) และสร้างภาพลักษณ์ให้ทั่วโลกเห็นว่า จีน“เปิดกว้าง”ให้กับ Talent จากทุกมุมโลก

 

วิธีเดินเกมเชิงกลยุทธ์ของของสีจิ้นผิงจึงแตกต่างกับแนวทางของทรัมป์  จีนเน้นดึงดูดคนเก่งระดับโลกเข้ามาก่อน เพื่อสร้าง Talent Pool หรือแหล่งรวมคนเก่งๆ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสร้าง ‘โอกาส’ ให้กับคนรุ่นใหม่ในประเทศจีนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จาก Talent ต่างชาติเหล่านั้น เพื่อใช้เป็นแรงกระตุ้น/สร้างความตื่นตัวให้เกิดการพัฒนาทักษะเป็น Talent คนเก่งๆ ของจีนเองให้มากขึ้นต่อไป  

 

ทั้งนี้ ความพยายามของรัฐบาลจีนในเรื่องนี้จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน จะมี Talent ต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาทำงานในจีนมากขึ้นอย่างที่คาดหวังหรือไม่ ยังต้องจับตาดูกันต่อไป

 

ภาพ: REUTERS / Florence Lo / Ken Cedeno / Domenico Fornas via ShutterStock

The post ทำไมสีจิ้นผิงมี Mindset และวิธีเดินเกมที่แตกต่างกับทรัมป์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เรารู้อะไรบ้าง จากรายงาน New York Times โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุโจมตีไทย https://thestandard.co/key-messages-chinese-weapons-cambodia/ Thu, 02 Oct 2025 05:48:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1125552

กลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมไทย หลัง New Yo […]

The post เรารู้อะไรบ้าง จากรายงาน New York Times โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุโจมตีไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมไทย หลัง New York Times เปิดเผยรายงานพิเศษที่ชื่อว่า How Chinese Weapons Transformed a War Between Two Neighbors ซึ่งอ้างอิงข้อมูลข่าวกรองของไทยว่า จีนมีการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กัมพูชาไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุโจมตีทางชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย โดยที่อาวุธบางส่วนถูกใช้โจมตีบ้านเรือน และสังหารประชาชนฝั่งไทยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 

 

THE STANDARD สรุปเนื้อหาในบทความดังกล่าว รวมถึงข้อมูลสำคัญ และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

 

รายงาน New York Times อ้างข่าวกรองไทย โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุปะทะไทย

 

  • New York Times ปูพื้นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุด โดยกล่าวถึงความขัดแย้งพื้นที่พิพาทที่ลุกลามกลายเป็น ‘สงคราม 5 วัน’ กินเวลาตั้งแต่วันที่ 24 – 28 กรกฎาคมในช่วงที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า กัมพูชาใช้ยุทธวิธีอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ คือ วางกำลังตามแนวชายแดน พื้นที่พิพาท สร้างถนน และฐานทัพขึ้นมาใหม่ ซึ่งขณะนี้ กำลังยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ)

 

  • ขณะเดียวกัน รายงานอ้างอิงข้อมูลจากข่าวกรองไทยว่า จีนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กัมพูชา ได้แก่ จรวด กระสุนปืนใหญ่ และปืนครก โดยบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์ 42 ตู้ และขนส่งด้วยเครื่องบิน Y-20 ไปยังเมืองสีหนุวิลล์ ก่อนจะย้ายไปบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีข้อพิพาท ไม่กี่วันก่อนเหตุปะทะครั้งสำคัญ

 

  • New York Times อ้างอิงรายงานของผู้สังเกตการณ์อื่นๆ เช่น Fortify Rights ที่ประเมินว่า กัมพูชามีการใช้อาวุธเหล่านี้มาโจมตีประเทศไทย เช่น เหตุการณ์โจมตีปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล และบ้านเรือนของประชาชน เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนจะกลายเป็นสงคราม 5 วัน ที่ทำให้เกิดการอพยพของผู้คนนับแสน และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 ชีวิต 

 

  • นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า จีนยังส่งกระสุนของเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ราว 700 นัด พร้อมทั้งระบบยิงจรวดลำกล้องอย่าง Type-90B และ PHL-03 ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายนที่ผ่านมา 

 

  • แม้อาวุธจากจีนทำให้กัมพูชามีศักยภาพ ‘ซื้อเวลา’ การสู้รบออกไปได้ แต่ New York Times ระบุว่า ไทยได้แสดงแสนยานุภาพทางทหาร และแก้เกมโต้กลับกัมพูชาด้วยเครื่องบิน F-16 ที่โจมตีเป้าหมายทางทหารต่างๆ ของกัมพูชา

 

  • สำหรับประเด็นการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเอกสารข่าวกรองนั้น ทาง New York Times ได้สอบถามไป 3 ประเทศที่ถูกกล่าวถึงทั้งหมด โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพไทยยืนยันว่า ข้อมูลในเอกสารถูกต้องจริง ขณะที่เจ้าหน้าที่อีก 2 รายระบุว่า เป็นเอกสารภายในกองทัพ ทว่ากระทรวงกลาโหมจีนไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

 

  • ด้านกัมพูชา พลโท รัฐ ดาราโรธ (Rath Dararoth) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาไม่ได้ปฏิเสธว่า อาวุธดังกล่าวมาจากจีนจริง หากแต่ระบุว่า เอกสารข่าวกรองเป็นความเข้าใจผิด เพราะการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์เกิดขึ้นในช่วงการซ้อมรบประจำปีจีน-กัมพูชาสิ้นสุดลง 

 

  • อย่างไรก็ตาม New York Times ตั้งคำถามว่า การซ้อมรบของ 2 ชาติสิ้นสุดตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม นับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนมีการขนอาวุธ ซึ่งไม่ใกล้เคียงระยะเวลาตามรายงาน แต่ทางการกัมพูชาก็ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว

 

  • ด้านความเคลื่อนไหวจากรัฐบาลไทย ล่าสุด อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แสดงความคิดเห็นต่อรายงานดังกล่าวว่า รัฐบาลจะหารือกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พร้อมรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของกัมพูชา เพื่อประเมินและเตรียมความพร้อมป้องกันประเทศต่อไป

 

นักวิเคราะห์มอง ‘อาวุธ’ จากจีน ตัวแปรสำคัญปะทุความขัดแย้ง

 

  • บทวิเคราะห์ New York Times มองต้นสายปลายเหตุว่า เพราะเหตุใดกัมพูชาจึงเปิดศึกกับไทย โดยเชื่อว่า ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตผู้นำราว 4 ทศวรรษ ต้องการใช้กระแสชาตินิยมกลบฝังความไม่พอใจของประชาชนในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือเป็นไปได้ว่า เขาอาจจะขัดแย้งกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไทย ที่มีบุตรสาว คือ แพทองธาร ชินวัตร นั่งเก้าอี้ผู้นำขณะนั้น 

 

  • แต่ถึงอย่างไร อาวุธจากจีนทำให้กัมพูชามีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับไทยในเชิง ‘ยั่วยุ’ มากกว่าครั้งที่ผ่านมา โดย นาธาน รูเซอร์ (Natha Ruser) นักวิเคราะห์จาก Australian Strategic Policy Institute ระบุว่า รายงานข่าวกรองลับครั้งนี้คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้นำกัมพูชาได้วางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลง Status quo ของชายแดนไทย-กัมพูชา 

 

  • รูเซอร์พบหลักฐานจากภาพถ่ายดาวเทียมว่า กัมพูชามีการเตรียมการต่างๆ เช่น สร้างฐานทัพทางทิศตะวันออกของปราสาทเขาพระวิหาร สร้างถนน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ในปี 2022 พร้อมกับป้อมปราการตามแนวชายแดนเพิ่มขึ้นพร้อมกันในหลายพื้นที่

 

  • ฮันกยู อี (Hangyu Lee) ผู้เชี่ยวชาญจาก Armed Conflict Location & Event Data วิเคราะห์สถานะไทย-กัมพูชาในความขัดแย้งว่า กัมพูชามีความกระตือรือร้นในการเสริมสร้างศักยภาพทางทหารมากกว่า ขณะที่ไทยเป็นฝ่าย ‘รับ’ และ ‘โต้กลับ’ เช่น เสริมฐานทัพเดิม สร้างเส้นทางขนบำรุง และติดตั้งปืนใหญ่ ยานเกราะ และเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเท่านั้น

 

  • นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังระบุว่า จีนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ฮุน เซน มั่นใจกว่าเดิมว่า ประเทศจะมีสถานะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น​ โดย ราห์มาน ยาคอบ (Rahman Yaacob) นักวิชาการจาก Australian National University วิเคราะห์ว่า จากเหตุการณ์ปะทะทางชายแดน 2 ประเทศในปี 2011 ทำให้กัมพูชามีบทเรียนว่า การขาดแคลนอาวุธคือจุดอ่อน จึงตัดสินใจผูกสัมพันธไมตรีเพื่อพึ่งพาจีนในประเด็นดังกล่าว

 

  • ยาคอบระบุว่า หากเทียบกับเหตุการณ์ 2011 กัมพูชามีความก้าวหน้าด้านอาวุธยุทโธปกรณ์มาก เพราะมีอาวุธหนัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้ความขัดแย้งสองประเทศรุนแรงตามไปด้วย 

 

  • หลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า จีนสนับสนุนกัมพูชา คือ ภาพถ่ายทางโซเชียลที่เผยให้เห็น จรวดปืนใหญ่ SHE-40 ขนาด 122 มิลลิเมตร โดย ปีเตอร์ บูคคาร์ต (Peter Bouckaert) ผู้เชี่ยวชาญจาก Fortify Rights ยืนยันว่า อาวุธทั้งหมดเป็นของจีนจริง

 

  • บูคคาร์ตยังทิ้งท้ายว่า จีนควรไตร่ตรองการให้ความช่วยเหลือกัมพูชาให้ดี โดยย้ำว่า การจัดหาอาวุธให้อีกประเทศสังหารพลเรือนของประเทศเพื่อนบ้านนั้น ไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น

 

ความคิดเห็นจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญไทย

 

  • รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา วิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวผ่าน THE STANDARD ว่า ความช่วยเหลือจากจีนเป็นปัจจัยเสริมทำให้กัมพูชาฮึกเหิม มีความมั่นใจในอาวุธยุทโธปกรณ์ จนกล้ายั่วยุทางทหารกับไทยครั้งใหญ่ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้อาจสัมพันธ์กับการซ้อมรบจีน-กัมพูชา ที่จีนอาจจะขนอาวุธเข้ามา และลำเลียงไปสู่ชายแดนไทยอย่างรวดเร็ว

 

  • อ.ดุลยภาคมองว่า ในมุมของจีนที่ขายอาวุธให้ทั้งไทย-กัมพูชา อาจมองว่า เหตุปะทะสองชาติไม่ใช่ความผิดของตนเองมากนัก หากอ้างอิงจากกรณีอื่นๆ จากหลายประเทศในทำนองเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การซ้อมรบครั้งนี้ไปเสริมสร้างให้กัมพูชาทำพฤติกรรม ‘เกเร’ ยิ่งขึ้น หากเทียบกับกรณีไทยที่ซื้อ F-16 หรือ Gripen เป็นระยะเวลานาน และใช้เพื่อป้องกันตัวเองแล้ว

 

  • อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งประเด็นถึงบทบาท 2 หน้าของจีน ที่เป็นทั้ง ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ และ ‘ผู้สนับสนุน’ ว่า ในอนาคต จีนอาจจะต้องรอบคอบ และทบทวนจุดยืนครั้งนี้ เพราะกัมพูชาใช้อาวุธทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสันติภาพของภูมิภาค

 

  • ขณะที่ อ.ดุลยภาคยังทิ้งท้ายภาพรวมความขัดแย้งไทย-กัมพูชาว่า บทบาทของจีนจะเข้ามายุ่งเกี่ยวมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับตัวแปรอย่างสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจนอกภูมิภาค รวมถึงบทบาทมหาอำนาจในภูมิภาคอย่าง อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลียในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะเห็นได้ว่า จีนลงทุนไปกับความมั่นคงในกัมพูชาเยอะ เช่น ท่าเรือสีหนุวิลล์ ขณะที่กองเรืออินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ พยายามจะเทียบท่า ซึ่งเป็นเหตุให้จีนต้องมีส่วนร่วมเพื่อรักษาอิทธิพลยิ่งขึ้น

 

  • ด้าน อนาลโย กอสกุล นักสังเกตการณ์การทหารและบรรณาธิการเว็บไซต์  thaiarmedforce.com ตั้งประเด็นบนเฟซบุ๊กแฟนเพจว่า จีนอาจให้อาวุธกัมพูชาในฐานะ ‘ประเทศอารักขา’ ตามปกติ ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง กัมพูชาก็อาจใช้เงินซื้ออาวุธจากจีน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า การซื้ออาวุธถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งอาจจะมีช่องโหว่สำคัญ คือ เกณฑ์การซื้อขายอาวุธของจีนต่ำกว่ามาตรฐานตะวันตก และจีนไม่รู้มาก่อนว่า กัมพูชาตั้งใจเปิดฉากความขัดแย้งจริงๆ 

 

  • บรรณาธิการ thaiarmedforce ยังทิ้งท้ายว่า ไทยสามารถใช้ เทคนิค‘ทางการทูต’ ผสมผสานกดดันให้จีนไม่ขายอาวุธให้กัมพูชาได้ เช่น ชี้ให้จีนเห็นว่า อาวุธดังกล่าวถูกใช้สังหารพลเรือนไทย เปรียบเสมือนจีนกำลังการสนับสนุนอาชญากรรมสงคราม ไปจนถึงเสนอผลประโยชน์ที่มากกว่า หรือซื้ออาวุธจากจีนเพิ่มเติม

 

อ้างอิง:

The post เรารู้อะไรบ้าง จากรายงาน New York Times โยงจีนส่งอาวุธให้กัมพูชา ก่อนเหตุโจมตีไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจน กูดดอลล์ นักวานรวิทยา-นักอนุรักษ์ระดับตำนาน เสียชีวิตแล้วในวัย 91 ปี https://thestandard.co/janegoodall-dies-91-primatologist-conservationist/ Thu, 02 Oct 2025 04:52:28 +0000 https://thestandard.co/?p=1125531 JaneGoodall-Dies-91-Primatologist-Conservationist

เจน กูดดอลล์ ผู้บุกเบิกวงการนักวานรวิทยาชาวอังกฤษ อีกทั […]

The post เจน กูดดอลล์ นักวานรวิทยา-นักอนุรักษ์ระดับตำนาน เสียชีวิตแล้วในวัย 91 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
JaneGoodall-Dies-91-Primatologist-Conservationist

เจน กูดดอลล์ ผู้บุกเบิกวงการนักวานรวิทยาชาวอังกฤษ อีกทั้งยังเป็นนักอนุรักษ์ และนักมานุษยวิทยาระดับตำนาน เสียชีวิตแล้วในวัย 91 ปี ขณะกำลังเดินสายให้ความรู้ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น

 

รู้จัก เจน กูดดอลล์

 

เจนเกิดที่ลอนดอนในปี 1934 และเติบโตในบอร์นมัท โดยเธอไม่สามารถเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงิน เธอเคยทำงานเป็นเลขานุการและทำงานในบริษัทภาพยนตร์ ก่อนที่จะเดินทางไปเคนยาในปี 1957 ตามคำเชิญชวนของเพื่อน

 

การพบกับนักมานุษยวิทยาและนักบรรพชีวินวิทยาชื่อดัง ดร.หลุยส์ ลีกกีย์ และแมรี ลีกกีย์ ภรรยาของเขา ทำให้เธอเริ่มทำงานกับไพรเมต และภายใต้การดูแลของลีกกีย์ เจนได้จัดตั้งเขตอนุรักษ์ชิมแปนซีที่ Gombe Stream (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Gombe Stream Research Centre) ใกล้ทะเลสาบแทนกันยิกาในแทนซาเนีย 

 

ในปี 1977 เธอได้ก่อตั้ง Jane Goodall Institute (JGI) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งสนับสนุนงานวิจัยที่กอมเบ รวมถึงความพยายามในการอนุรักษ์และการพัฒนาทั่วแอฟริกา งานของสถาบันได้ขยายไปทั่วโลกและรวมถึงความพยายามในการจัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการสนับสนุน

 

เจนยังได้ล้มล้างบรรทัดฐานทางวิทยาศาสตร์ในขณะนั้น โดยการ ตั้งชื่อชิมแปนซีแทนที่จะใช้หมายเลข เธอยังสังเกตบุคลิกที่แตกต่างกัน ความสัมพันธ์ในครอบครัว และอารมณ์ของบรรดาชิมแปนซีในการทำงานอีกด้วย ทั้งยังค้นพบว่า ชิมแปนซีกินเนื้อ และต่อสู้กันอย่างดุเดือด รวมถึงรู้จักสร้างเครื่องมือที่จะช่วยให้สามารถกินปลวกได้สะดวกยิ่งขึ้น

 

เจนเปลี่ยนความรักในไพรเมตสมัยเด็ก ให้กลายเป็นพลังในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการจะปกป้องสิ่งแวดล้อม การค้นพบของเธอในฐานะนักพฤติกรรมวิทยาได้ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์ และเธอยังเป็นผู้สนับสนุนที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อการปกป้องและฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้

 

เธอเป็นผู้บุกเบิกในสาขาของเธอ ทั้งในฐานะนักวิทยาศาสตร์หญิงในทศวรรษ 1960 และจากงานศึกษาพฤติกรรมของไพรเมต โดยเธอได้รับแต่งตั้งให้เป็น Dame of the British Empire ในปี 2003 และได้รับ U.S. Presidential Medal of Freedom ในปี 2025

 

เจนกล่าวว่า เธอไม่เคยสงสัยในความสามารถในการฟื้นตัวของโลกหรือความสามารถของมนุษย์ในการเอาชนะความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เธอเรียกร้องให้โลกดำเนินการอย่างรวดเร็วและเร่งด่วนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเน้นย้ำว่า “มันอยู่ในมือของเรา มันอยู่ในมือของคุณและมือของฉัน และมือของลูกๆ ของเรา มันขึ้นอยู่กับเราจริงๆ” พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้คน ‘ทิ้งร่องรอยทางนิเวศวิทยาที่เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้’ เพื่อให้ระบบนิเวศของโลกใบนี้คงอยู่ไปอย่างยั่งยืน

 

ภาพ: Hulton Archive / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post เจน กูดดอลล์ นักวานรวิทยา-นักอนุรักษ์ระดับตำนาน เสียชีวิตแล้วในวัย 91 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกรตา ธันเบิร์ก ถูกอิสราเอลควบคุมตัว หลังกองเรือนานาชาติช่วยเหลือกาซาถูกสกัดกั้น https://thestandard.co/israel-block-gazaflotilla-arrest-gretathunberg/ Thu, 02 Oct 2025 03:41:39 +0000 https://thestandard.co/?p=1125471 Israel-Block-GazaFlotilla-Arrest-GretaThunberg

กองทัพเรืออิสราเอลได้ทำการสกัดกั้นเรือหลายลำของกองเรือ […]

The post เกรตา ธันเบิร์ก ถูกอิสราเอลควบคุมตัว หลังกองเรือนานาชาติช่วยเหลือกาซาถูกสกัดกั้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Israel-Block-GazaFlotilla-Arrest-GretaThunberg

กองทัพเรืออิสราเอลได้ทำการสกัดกั้นเรือหลายลำของกองเรือ Global Sumud Flotilla ซึ่งเป็นกองเรือนานาชาติ ที่บรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมุ่งหน้าสู่ฉนวนกาซาที่ถูกปิดล้อม

 

กองเรือดังกล่าวประกอบด้วยเรือ 44 ลำ และนักกิจกรรมประมาณ 500 คน และจากการอัปเดตภารกิจ มีการยืนยันว่ากองกำลังอิสราเอลได้สกัดกั้นเรือไปแล้ว 13 ลำ และได้จับกุมผู้คนมากกว่า 200 คน จาก 37 ประเทศ โดยหนึ่งในนั้นคือ เกรตา ธันเบิร์ก นักเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศชาวสวีเดน

 

การสกัดกั้นเกิดขึ้นห่างจากชายฝั่งกาซาประมาณ 70 ไมล์ทะเล (ราว 130 กิโลเมตร) ก่อนที่การสกัดกั้นจะเริ่มขึ้น นักกิจกรรมได้เตือนว่า กองทัพอิสราเอลได้ตัดการเชื่อมต่อของพวกเขาโดยการปิดการใช้งานอุปกรณ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกล้อง การถ่ายทอดสด และระบบสื่อสาร

 

กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลกล่าวว่า เรือหลายลำของกองเรือ ‘ถูกหยุดอย่างปลอดภัย’ และกำลังถูกถ่ายโอนผู้โดยสารไปยังท่าเรือของอิสราเอล

 

ขณะที่ช่องทางการสื่อสารต่างๆ ของ Global Sumud Flotilla ประณามการกระทำของอิสราเอล โดยระบุว่าเรือของภารกิจถูก ‘สกัดกั้นอย่างผิดกฎหมาย’ และมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนบนเรือนั้นถือเป็น ‘การถูกลักพาตัว’

 

นักกิจกรรมยืนยันว่า กองเรือไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ และระบุว่า สิ่งที่ผิดกฎหมายคือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การปิดล้อมกาซา และการใช้การอดอาหารเป็นอาวุธของอิสราเอล’ 

 

มีการรายงานว่าเรือหลายลำถูกโจมตีด้วย ‘การรุกรานอย่างรุนแรง’ (Active Aggression) รวมถึงเรือ Florida ที่ถูกชนโดยเจตนาในทะเล และเรือ Yulara กับ Meteque ก็ถูกโจมตีด้วยปืนฉีดน้ำ อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารทั้งหมดบนเรือไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

 

นักกิจกรรมต่างเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนกดดันรัฐบาลของตนให้ ‘ตัดสัมพันธ์กับอิสราเอล’ และให้สหรัฐฯ ‘ยุติการสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซา’

 

ปฏิกิริยาจากนานาชาติ 

 

ตุรกีได้ประณามการสกัดกั้นเรือของอิสราเอลว่าเป็น ‘การก่อการร้าย’ และเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างรุนแรง และกำลังดำเนินการเพื่อให้พลเมืองตุรกีและผู้โดยสารอื่นๆ ได้รับการปล่อยตัวทันที 

 

ขณะที่กุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบีย ได้สั่งขับไล่เจ้าหน้าที่สถานทูตอิสราเอลทั้งหมดออกจากประเทศ เพื่อตอบโต้การสกัดกั้นดังกล่าว และประณามว่าเป็น ‘อาชญากรรมระหว่างประเทศโดยเนทันยาฮู’ นอกจากนี้เปโตรยังได้ยกเลิกข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างโคลอมเบียกับอิสราเอล ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ปี 2020 และเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวชาวโคลอมเบียสองคนที่อยู่บนกองเรือ

 

ตามกฎหมาย นักกิจกรรมอาจถูกเนรเทศภายใน 72 ชั่วโมง หรือถูกนำตัวขึ้นศาลภายใน 96 ชั่วโมง แต่ปกติอิสราเอลมักเลือกที่จะปล่อยตัวทันที โดยนักกฎหมายตั้งข้อสังเกตว่า หากอิสราเอลจับกุมและควบคุมตัวนักกิจกรรมต่อไป จะนำไปสู่สถานการณ์ที่เสียเปรียบ เนื่องจากสื่อจะยังคงรายงานข่าวตราบเท่าที่พวกเขายังถูกคุมขัง

 

ทางด้าน โฆษกของ Global Sumud Flotilla ยืนยันว่า ภารกิจยังคงดำเนินต่อไป โดยมีเรือเหลืออยู่ประมาณ 30 ลำที่ยังคงพยายามฝ่ากองกำลังทหารเพื่อไปให้ถึงชายฝั่งกาซา โดยตั้งใจที่จะทำลายการปิดล้อมนี้ให้ได้

 

ภาพ: Israel Foreign Ministry / Handout via Reuters

 

อ้างอิง:

The post เกรตา ธันเบิร์ก ถูกอิสราเอลควบคุมตัว หลังกองเรือนานาชาติช่วยเหลือกาซาถูกสกัดกั้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
โซเชียลสถานทูตสหรัฐฯ ประกาศจะหยุดอัปเดตหลังเหตุชัตดาวน์ จนกว่ารัฐบาลจะกลับมาทำการปกติ https://thestandard.co/us-embassy-social-media-shutdown/ Wed, 01 Oct 2025 12:07:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1125311 สถานทูตสหรัฐฯ

สื่อโซเชียลสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยประกาศว่า […]

The post โซเชียลสถานทูตสหรัฐฯ ประกาศจะหยุดอัปเดตหลังเหตุชัตดาวน์ จนกว่ารัฐบาลจะกลับมาทำการปกติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สถานทูตสหรัฐฯ

สื่อโซเชียลสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยประกาศว่า ในช่วงเวลานี้ บริการหนังสือเดินทางและวีซ่าที่นัดหมายไว้ล่วงหน้า ทั้งในสหรัฐฯ รวมถึงที่สถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ในต่างประเทศ ‘ยังคงเปิดดำเนินการตามที่สถานการณ์อำนวย’ ระหว่างที่รัฐสภาสหรัฐฯ ยังไม่อนุมัติงบประมาณประจำปี 

 

ทั้งนี้ บัญชีโซเชียลมีเดียจะไม่มีการอัปเดตจนกว่ารัฐบาลจะกลับมาทำการเป็นปกติ เว้นแต่จะแจ้งข้อมูลเร่งด่วนด้านความปลอดภัยและความมั่นคง ดูข้อมูลเกี่ยวกับบริการและสถานะการดำเนินการของเราได้ที่ travel.state.gov 

 

ภาพ: US Embassy / Instagram

อ้างอิง:

The post โซเชียลสถานทูตสหรัฐฯ ประกาศจะหยุดอัปเดตหลังเหตุชัตดาวน์ จนกว่ารัฐบาลจะกลับมาทำการปกติ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สัมภาษณ์พิเศษ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เจาะเบื้องหลังสปีชเวที UN และแนวทางนำไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก https://thestandard.co/sihasak-phuangketkeow-un-speech-interview/ Wed, 01 Oct 2025 09:35:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1125221 สัมภาษณ์พิเศษ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เจาะเบื้องหลังสปีช UN

วินาทีที่การทูตไม่ใช่แค่เรื่องประนีประนอม แต่คือการเดิน […]

The post สัมภาษณ์พิเศษ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เจาะเบื้องหลังสปีชเวที UN และแนวทางนำไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
สัมภาษณ์พิเศษ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เจาะเบื้องหลังสปีช UN

วินาทีที่การทูตไม่ใช่แค่เรื่องประนีประนอม แต่คือการเดินเกมโต้กลับอย่างมีกลยุทธ์!

 

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเบื้องหลังการปรับแก้สคริปต์ถ้อยแถลงก่อนขึ้นเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในระหว่างการสัมภาษณ์พิเศษในรายการ THE STANDARD NOW ในวันทำงานวันแรกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ หลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

 

พาเจาะลีกประเด็นเหล่านี้

 

📌การปรับถ้อยแถลงที่เวทีสมัชชาสหประชาชาติ เพื่อโต้กลับกัมพูชา อะไรคือจุดชี้ขาดที่ทำให้ไทยต้องเปลี่ยนเกม?

 

📌ไทยจะเตรียมตัวรับมืออย่างไรในการประชุม ASEAN Summit ที่กำลังจะมาถึง เพื่อตรึงเกมนี้ให้อยู่ในระดับทวิภาคีให้ได้

 

📌สู่ภารกิจใหญ่ “นำไทยกลับสู่เรดาร์โลก” ผ่านการทูต “ทุกทิศทุกทาง” ที่จะสร้างดุลยภาพใหม่ในเวทีโลก

 

ติดตามชมพร้อมกันใน THE STANDARD NOW วันนี้ 17.00 น.

 

 

The post สัมภาษณ์พิเศษ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เจาะเบื้องหลังสปีชเวที UN และแนวทางนำไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟิลิปปินส์แผ่นดินไหวแมกนิจูด 6.9 เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 69 คน ทีมกู้ภัยเร่งค้นหาผู้รอดชีวิต https://thestandard.co/magnitude-6-9-earthquake-hits-off-central-philippines-coast/ Wed, 01 Oct 2025 07:11:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1125136 ฟิลิปปินส์แผ่นดินไหว

ฟิลิปปินส์เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แมกนิจูด 6.9 บริเ […]

The post ฟิลิปปินส์แผ่นดินไหวแมกนิจูด 6.9 เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 69 คน ทีมกู้ภัยเร่งค้นหาผู้รอดชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฟิลิปปินส์แผ่นดินไหว

ฟิลิปปินส์เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แมกนิจูด 6.9 บริเวณภาคกลางของฟิลิปปินส์ เป็นเหตุให้อาคารบ้านเรือนพังเสียหาย มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 69 คน โดยทีมกู้ภัยกำลังเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากปรักหักพังอย่างต่อเนื่อง

 

จังหวัดเซบู ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังเหตุแผ่นดินไหวแล้ว โดยทางการฟิลิปปินส์ยังส่งความช่วยเหลือและพยายามฟื้นฟูระบบไฟฟ้าและการสื่อสารอย่างเร่งด่วน

 

ฟิลิปปินส์มีความเสี่ยงสูงต่อภัยธรรมชาติเนื่องจากอยู่บนวงแหวนไฟ (Ring of Fire) ที่ไม่มั่นคงทางธรณีวิทยา และยังอยู่ในเส้นทางที่ไต้ฝุ่นพัดผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นประจำทุกปี โดยเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ไต้ฝุ่นสองลูกติดต่อกันได้พัดถล่มฟิลิปปินส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบคน อีกทั้งฤดูมรสุมที่เปียกชื้นผิดปกติทำให้น้ำท่วมในหลายพื้นที่ สร้างความท้าทายให้กับการบริหารจัดการภัยพิบัติสาธารณะของรัฐบาลและทางการท้องถิ่นของฟิลิปปินส์อย่างมาก

 

ภาพ: Daniel Ceng / Anadolu via Getty Images

อ้างอิง:

The post ฟิลิปปินส์แผ่นดินไหวแมกนิจูด 6.9 เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 69 คน ทีมกู้ภัยเร่งค้นหาผู้รอดชีวิต appeared first on THE STANDARD.

]]>