World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 25 Mar 2025 05:16:15 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 รัฐบาลทรัมป์พลาด ดึงนักข่าวเข้ากลุ่มแชต เผยแผนลับทำสงครามในเยเมน เกิดขึ้นได้อย่างไร? https://thestandard.co/trump-chat-leak-yemen/ Tue, 25 Mar 2025 05:00:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1056267 trump-chat-leak-yemen

ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงแก่ชาวอเมริกัน หลังท […]

The post รัฐบาลทรัมป์พลาด ดึงนักข่าวเข้ากลุ่มแชต เผยแผนลับทำสงครามในเยเมน เกิดขึ้นได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-chat-leak-yemen

ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงแก่ชาวอเมริกัน หลังทำเนียบขาวออกมายอมรับเมื่อวานนี้ (24 มีนาคม) ว่า ทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลทรัมป์เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ ด้วยการดึงนักข่าวรายหนึ่งเข้าไปในกลุ่มแชตที่ใช้หารือแผนปฏิบัติการโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน และมีการแชร์ข้อมูลลับระดับสูงของแผนโจมตีก่อนที่จะเกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา

 

สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นคำถามถึงความบกพร่องในการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นักข่าวที่ได้เข้าไปในกลุ่มนี้เผยถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และการใช้กลุ่มแชตในการหารือแผนการทำสงครามว่าเป็น ‘ความประมาทเลินเล่ออย่างน่าตกใจ’

 

และนี่คือรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

 

เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถึงกับช็อกหลังจากได้เห็นรายงานในหน้าเว็บไซต์ของสำนักข่าว The Atlantic ที่เขียนโดย เจฟฟรีย์ โกลด์เบิร์ก (Jeffrey Goldberg) บรรณาธิการบริหารของสำนักข่าว ที่พาดหัวในรายงานว่า “รัฐบาลทรัมป์ส่งแผนสงครามมาให้ผมโดยไม่ได้ตั้งใจ” และชี้ถึงที่มาของเหตุการณ์นี้แบบสั้นๆ ว่า

 

“ผู้นำด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้เชิญผมเข้าร่วมกลุ่มแชตเกี่ยวกับการโจมตีทางทหารที่กำลังจะเกิดขึ้นในเยเมน ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง ก่อนที่จะเริ่มมีการทิ้งระเบิดลงมา”

 

กลุ่มแชตที่เป็นต้นตอความผิดพลาดนี้คือกลุ่มแชตในแอปพลิเคชัน Signal ซึ่งเป็นแอปที่ให้บริการส่งข้อความเข้ารหัสโอเพนซอร์สที่เป็นที่นิยมในหมู่นักข่าวและบุคคลอื่นๆ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่าแอปแชตอื่นๆ

 

โกลด์เบิร์กเล่าในรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม เขาได้รับคำขอเชื่อมต่อบน Signal จากผู้ใช้ที่ระบุตัวตนว่า ไมค์ วอลท์ซ (Mike Waltz) ซึ่งตรงกับชื่อของที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติในรัฐบาลทรัมป์ โดยโกลด์เบิร์กเคยพบกับวอลท์ซมาก่อน แต่ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดว่าคำขอเชื่อมต่อที่ส่งมาจากวอลท์ซตัวจริง

 

“ผมเคยพบเขามาก่อน และแม้ว่าผมจะไม่รู้สึกแปลกใจเป็นพิเศษที่เขาติดต่อมาหาผม แต่ผมก็คิดว่ามันค่อนข้างผิดปกติ เมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับนักข่าว และโดยเฉพาะกับตัวผม ผมคิดทันทีว่าอาจมีคนปลอมตัวเป็นวอลท์ซเพื่อหลอกลวง มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยในทุกวันนี้ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะพยายามชักจูงนักข่าวให้แชร์ข้อมูลที่อาจใช้เป็นหลักฐานเอาผิดพวกเขาได้” เขาระบุในรายงาน

 

อย่างไรก็ตาม เขากดตอบรับคำขอ โดยหวังว่านี่อาจเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติตัวจริง ซึ่งเขาต้องการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นยูเครน อิหร่าน หรือเรื่องสำคัญอื่นๆ

 

จากนั้น ในวันที่ 13 มีนาคม เวลา 16.28 น. โกลด์เบิร์กได้รับข้อความแจ้งเตือนว่า เขาจะถูกเพิ่มเข้าไปในกลุ่มแชตของแอป Signal ซึ่งชื่อของกลุ่มแชตคือ ‘Houthi PC small group’

 

โดยวอลท์ซ ผู้เพิ่มเขาเข้าไปในกลุ่มแชตดังกล่าว ส่งข้อความถึงสมาชิกที่อยู่ในกลุ่ม ระบุว่าจะมอบหมายให้ อเล็กซ์ หว่อง (Alex Wong) รองผู้อำนวยการของเขา จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อประสานงานเกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ตอบโต้การโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง

 

ในกลุ่มแชตดังกล่าวมีสมาชิก 18 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนของรัฐบาลทรัมป์ เช่น เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ, พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม, มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ, สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลาง, ซูซี่ ไวล์ส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว และอีกหลายบุคคลที่ใช้ชื่อเป็นตัวย่อ ซึ่งรวมถึง จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการ CIA, ทัลซี แกบบาร์ด ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ และ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง

 

ในตอนแรกโกลด์เบิร์กคิดว่ากลุ่มแชตดังกล่าวอาจเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญข่าวปลอมที่ทำขึ้นโดยหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ หรือที่น่าจะเป็นไปได้มากกว่าคือองค์กรที่คอยจับผิดสื่อ

 

เขาตั้งข้อสงสัยและไม่เชื่อว่าผู้นำด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ จะสื่อสารเกี่ยวกับแผนการทำสงครามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านทางแอป Signal และยังไม่เชื่อว่าที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะประมาทเลินเล่อถึงขนาดถึงเขาเข้าไปในกลุ่มแชตลับที่มีการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูง

 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเข้าร่วมกลุ่มแชตดังกล่าว โกลด์เบิร์กพบว่ามีการหารือในหลายประเด็นเกี่ยวกับแผนโจมตีกลุ่มฮูตี ทั้งเรื่องเวลาที่ควรเริ่มดำเนินการโจมตี การประสานและแจ้งเตือนพันธมิตรและหุ้นส่วนในภูมิภาค การประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและราคาน้ำมัน

 

ในช่วงหนึ่งของบทสนทนายังสะท้อนถึงท่าทีของสหรัฐฯ ต่อชาติยุโรป โดยแวนซ์ส่งข้อความตั้งคำถามในกลุ่มแชตว่า พันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรป ซึ่งได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของการเดินเรือในภูมิภาคนี้มากกว่า สมควรได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ หรือไม่

 

“@PeteHegseth ถ้าคุณคิดว่าเราควรทำก็ลุยเลย ผมเกลียดที่ต้องช่วยเหลือยุโรปอีกครั้ง แค่ทำให้แน่ใจว่าข้อความของเราที่นี่ชัดเจนก็พอ”

 

ขณะที่เฮกเซธตอบกลับว่า “VP: ผมเห็นด้วยกับคุณอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการเกาะกินของยุโรป มันน่าสมเพชมาก”

 

โกลด์เบิร์กเล่าว่า ช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่การโจมตีกลุ่มฮูตีจะเริ่มขึ้น ในวันที่ 15 มีนาคม เฮกเซธได้โพสต์รายละเอียดแผนปฏิบัติการลงไปในกลุ่ม ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมาย อาวุธที่สหรัฐฯ จะนำไปใช้ และลำดับการโจมตี

 

โดยหลังจากที่สหรัฐฯ ทำการโจมตีเสร็จสิ้น บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างส่งข้อความแสดงความยินดีกับผลการทำงานของตนเอง ขณะที่โกลด์เบิร์กได้ลบตัวเองออกจากกลุ่มแชตไป

 

ทำเนียบขาวยอมรับ กลุ่มแชตเป็นของจริง

 

ด้าน ไบรอัน ฮิวจ์ส โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า กลุ่มแชตดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นของจริง และกำลังดำเนินการตรวจสอบว่ามีการเพิ่มผู้ใช้งานอื่นๆ เข้าไปในกลุ่มแชตดังกล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างไร

 

ขณะที่ทรัมป์บอกกับนักข่าวที่ทำเนียบขาวว่าเขาไม่ทราบเรื่องเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่ากำลังดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้อยู่ และทรัมป์ได้รับข้อมูลสรุปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เฮกเซธยืนยันต่อผู้สื่อข่าวว่าไม่มีการส่งรายละเอียดแผนการโจมตีไปในกลุ่มแชตดังกล่าว

 

“ไม่มีใครส่งข้อความเรื่องแผนทำสงคราม และนั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

 

ด้าน CNN รายงานข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์หลายคนที่บอกว่าพวกเขารู้สึกตกใจ โดยอย่างน้อย 2 คนคาดเดาว่าเหตุการณ์นี้อาจทำให้เพื่อนร่วมงานบางคนของพวกเขาต้องถูก ‘ไล่ออก’

 

ทั้งนี้ สส. จากพรรคเดโมแครตหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และเป็นการละเมิดกฎหมายที่สภาคองเกรสต้องดำเนินการสอบสวน

 

โดยแม้ว่าแอป Signal จะเป็นแอปส่งข้อความเข้ารหัสที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐบาล โจ ไบเดน ยังเคยใช้ Signal เพื่อหารือเกี่ยวกับการวางแผนด้านโลจิสติกส์สำหรับการประชุม และบางครั้งใช้ในการสื่อสารกับพันธมิตรต่างประเทศ แต่ไม่เคยมีการใช้งานในปฏิบัติการด้านความมั่นคง

 

ความเสี่ยงต่อความมั่นคง

 

ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการใช้ Signal เพื่อหารือเกี่ยวกับการวางแผนปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความลับระดับสูงของสหรัฐฯ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของทหารอเมริกัน ถือเป็นความเสี่ยงที่น่าตกใจต่อความมั่นคงของชาติ

 

“พวกเขาละเมิดขั้นตอนทุกอย่างที่มนุษย์ทราบ เกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลปฏิบัติการก่อนการโจมตีทางทหาร คุณมีปัญหาด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารโดยสิ้นเชิง” อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าว

 

CNN รายงานความเห็นจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติรายหนึ่ง ซึ่งมองว่าการสนทนาที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้บนแพลตฟอร์มที่ไม่เป็นความลับมีความเสี่ยงที่จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อแฮกเกอร์ต่างชาติ และเจ้าหน้าที่ที่ทำเช่นนั้นแทบจะต้องถูกไล่ออกทันทีและอาจจะถูกส่งตัวไปดำเนินคดี

 

ขณะที่ตามปกติแล้วเมื่อเกิดกรณีผิดพลาดร้ายแรงเช่นนี้ ทาง FBI และฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของกระทรวงยุติธรรมจะต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวน

 

ภาพ: Leah Millis / File Photo / Reuters

 

อ้างอิง:

The post รัฐบาลทรัมป์พลาด ดึงนักข่าวเข้ากลุ่มแชต เผยแผนลับทำสงครามในเยเมน เกิดขึ้นได้อย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลเกาหลีใต้มีมติยกเลิกการถอดถอนนายกฯ พร้อมให้กลับมารักษาการประธานาธิบดีอีกครั้ง https://thestandard.co/south-korea-pm-reinstated/ Mon, 24 Mar 2025 04:11:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1055787 south-korea-pm-reinstated

ศาลรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีมติ 7 ต่อ 1 ยกเลิกการถอดถอนน […]

The post ศาลเกาหลีใต้มีมติยกเลิกการถอดถอนนายกฯ พร้อมให้กลับมารักษาการประธานาธิบดีอีกครั้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
south-korea-pm-reinstated

ศาลรัฐธรรมนูญของเกาหลีใต้มีมติ 7 ต่อ 1 ยกเลิกการถอดถอนนายกรัฐมนตรีฮันด็อกซู พร้อมอนุมัติให้เขากลับมาดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้อีกครั้ง หลังจากถูกรัฐสภาลงมติถอดถอนไปเมื่อเกือบสามเดือนก่อน

 

ผู้พิพากษา 5 จากทั้งหมด 8 คนระบุว่า ญัตติถอดถอนฮันมีความถูกต้องตามกระบวนการ แต่ไม่มีเหตุผลมากเพียงพอที่จะถอดถอนฮันได้สำเร็จ เนื่องจากเขาไม่ได้ละเมิดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายใดๆ ของเกาหลีใต้ ขณะที่ผู้พิพากษาอีก 2 คนชี้ว่า ญัตติถอดถอนฮัน ซึ่งดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีในขณะนั้นเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น เนื่องจากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 ของสมาชิกสภา

 

ฮันด็อกซูเข้ารับตำแหน่งรักษาการผู้นำประเทศ แทนประธานาธิบดียุนซอกยอล ซึ่งถูกรัฐสภาลงมติถอดถอนเช่นเดียวกัน หลังจากประกาศกฎอัยการศึกในเดือนธันวาคม ส่งผลให้เกิดวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ในเกาหลีใต้ โดยขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ตัดสินชี้ขาดเกี่ยวกับการถอดถอนประธานาธิบดียุนแต่อย่างใด ซึ่งหากการถอดถอนถูกยืนยัน จะต้องมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ภายใน 60 วัน

 

นายกฯ ฮัน ถูกสภาแห่งชาติที่นำโดยฝ่ายค้านลงมติถอดถอน เนื่องจากฮันด็อกซูปฏิเสธที่จะแต่งตั้งผู้พิพากษา 3 คนเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ครบองค์ประชุมทั้งหมด 9 คน ทำให้ ชเวซังมก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขึ้นมารักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้และรักษาการนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ในช่วงเวลานั้น

 

ฮันด็อกซูระบุว่า เขาดีใจกับมติของศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกันกับฝ่ายต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเกาหลีใต้ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลก และสร้างหลักประกันว่า เกาหลีใต้จะยังคงเดินหน้าและพัฒนาต่อไปในยุคที่มีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งใหญ่

 

ภาพ: Jung Yeon-je / Pool via Reuters

 

อ้างอิง:

The post ศาลเกาหลีใต้มีมติยกเลิกการถอดถอนนายกฯ พร้อมให้กลับมารักษาการประธานาธิบดีอีกครั้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
นายกฯ แคนาดาประกาศจัดเลือกตั้งใหม่ 28 เม.ย. ขออาณัติประชาชนรับมือทรัมป์คุกคาม https://thestandard.co/canada-election-april28/ Mon, 24 Mar 2025 03:29:01 +0000 https://thestandard.co/?p=1055767 canada-election-april28

มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ประกาศจัดการ […]

The post นายกฯ แคนาดาประกาศจัดเลือกตั้งใหม่ 28 เม.ย. ขออาณัติประชาชนรับมือทรัมป์คุกคาม appeared first on THE STANDARD.

]]>
canada-election-april28

มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ประกาศจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 28 เมษายนนี้ โดยประกาศว่า เขาต้องการอาณัติที่เข้มแข็งเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่ง “ต้องการทำลายแคนาดา เพื่อที่อเมริกาจะได้ครอบครองแคนาดา”

 

“เรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เนื่องมาจากการดำเนินการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประธานาธิบดีทรัมป์ และภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยของเรา ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างว่าแคนาดาไม่ใช่ประเทศที่แท้จริง เขาต้องการทำลายเราเพื่อให้อเมริกาสามารถครอบครองเราได้ เราจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น” 

 

การประกาศจัดเลือกตั้งใหม่ของคาร์นีย์ มีขึ้นในขณะที่แคนาดากำลังเผชิญกับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เรียกร้องให้แคนาดากลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าทั้งสองเรื่องนี้จะเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวแคนาดาให้ความสนใจเป็นลำดับแรก

 

คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งอังกฤษและธนาคารกลางแคนาดาวัย 60 ปี  เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคลิเบอรัลและนายกรัฐมนตรีแคนาดาเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา แทนที่จัสติน ทรูโด ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปเมื่อเดือนมกราคม ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำของพรรคลิเบอรัลและความขัดแย้งภายในคณะรัฐมนตรี

 

ขณะที่สงครามการค้าและท่าทีคุกคามอธิปไตยของแคนาดาของทรัมป์ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้พรรคลิเบอรัลได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ คาร์นีย์และพรรคลิเบอรัลจะต้องเผชิญหน้ากับ ปิแอร์ ปัวลิเยฟร์ หัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นคู่แข่งหลัก ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชี้ว่าพรรคลิเบอรัลมีคะแนนนำมาตลอดจนถึงช่วงกลางปี 2023 แต่ผลสำรวจเมื่อไม่นานนี้ บ่งชี้ว่าทั้งสองพรรคมีคะแนนนิยมสูสีกัน

 

ทั้งนี้ ทำเนียบขาวยังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อท่าทีของคาร์นีย์ ซึ่งมองสหรัฐฯ เป็นภัยคุกคาม

 

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ทรัมป์ได้เลื่อนการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าบางรายการของแคนาดาเป็น 25% ออกไปเป็นเวลา 30 วัน ก่อนที่จะบังคับใช้ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมด 25% ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้นำเข้าของแคนาดา และยังขู่จะขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กับสินค้านำเข้าบางรายการจากแคนาดา 

 

ขณะที่รัฐบาลแคนาดาได้ตอบโต้ด้วยการเพิ่มอัตราจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่าราว 42,000 ล้านดอลลาร์

 

ภาพ : Greg Locke / Reuters

อ้างอิง :

The post นายกฯ แคนาดาประกาศจัดเลือกตั้งใหม่ 28 เม.ย. ขออาณัติประชาชนรับมือทรัมป์คุกคาม appeared first on THE STANDARD.

]]>
F-47 โครงการลับ เครื่องบินรบยุคที่ 6 ของ กองทัพอากาศสหรัฐฯ https://thestandard.co/f-47-the-sixth-gen-fighter/ Sun, 23 Mar 2025 11:33:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1055361

Boeing คือผู้ชนะและได้รับเลือกให้ผลิตเครื่องบินขับไล่ยุ […]

The post F-47 โครงการลับ เครื่องบินรบยุคที่ 6 ของ กองทัพอากาศสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Boeing คือผู้ชนะและได้รับเลือกให้ผลิตเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ที่ตั้งชื่อว่า F-47 ภายใต้โครงการ Next Generation Air Dominance หรือ NGAD ซึ่งเอาชนะแบบแผนของ Lockheed Martin ไปได้ โครงการนี้วางแผนที่จะพัฒนาเครื่องบินขับไล่เพื่อทดแทน F-22 ภายในทศวรรษที่ 2030 ซึ่งจะกลายมาเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุด

 

แม้ว่าจะเพิ่งประกาศมาเมื่อสองวันก่อน แต่มีการเปิดเผยว่าต้นแบบของ F-47 นั้นขึ้นบินและทดสอบมากว่า 5 ปีแล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงทั้งสองบริษัทต่างมีเครื่องบินต้นแบบที่ทำการบินให้กับ กองทัพอากาศสหรัฐฯ ทดสอบและประเมินค่ามานานหลายปีก่อนที่จะมีการเลือกผู้ชนะในครั้งนี้

 

กองทัพอากาศสหรัฐฯ

 

F-47 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Next Generation Air Dominance หรือที่เรียกย่อๆ ว่า NGAD ซึ่งเป็นแนวคิดของสำนักโครงการวิจัยขั้นสูงเพื่อการป้องกันประเทศ หรือ DARPA (Defense Advanced Research Projects Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีทางทหารใหม่ๆ ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และเราอาจจะรู้จักกันในฐานะองค์กรผู้คิดค้นและให้กำเนิดอินเทอร์เน็ตนั่นเอง โดย DARPA เสนอแนวคิดโครงการนี้ในปี 2014 ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นการประกาศโครงการพัฒนาเครื่องบินต้นแบบ (X Plane) ในปี 2015 ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และการนำแนวคิดนี้ไปบรรจุในแผนงานระยะยาวของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในชื่อ Air Superiority 2030

 

ที่จริงแล้ว NGAD นั้นไม่ใช่การพัฒนาเครื่องบินรบอย่างเดียว แต่ DARPA ระบุว่าคือการพัฒนาระบบการรบหลายๆ ระบบเพื่อทำงานร่วมกัน โดยเครื่องบินรบที่มีนักบินเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่เรียกว่า Penetrating Counter-Air หรือ PCA ซึ่งก็คือเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 อย่าง F-47 ที่ Boeing ได้รับสัญญาในครั้งนี้ โดย PCA จะต้องทำงานร่วมกับเครื่องบินที่ไม่มีนักบินหรือโดรนที่พัฒนาเป็นองค์ประกอบที่เรียกว่า Collaborative Combat Aircraft หรือ CCA ซึ่งในปัจจุบันมี 2 บริษัทที่สร้างเครื่องบินต้นแบบเพื่อแข่งขันกันอยู่คือ YFQ-44A Fury ของ Anduril Industries และ YFQ-42A Gambit ของ General Atomic ซึ่งยังรอผลว่าใครจะเป็นผู้ชนะ

 

เมื่อการพัฒนาเสร็จเรียบร้อย F-47 ซึ่งมีนักบินจะทำหน้าที่เป็นยานแม่ที่ควบคุมโดรนหนึ่งในสองแบบที่คัดเลือกแบบกันอยู่ระหว่าง YFQ-42A และ YFQ-44A เพื่อให้ทำภารกิจบางอย่างแทนไม่ว่าจะเป็นการลาดตระเวน การปล่อยอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศหรืออากาศสู่พื้น หรือภารกิจการข่าวอื่นๆ ซึ่งทำให้นักบินและเครื่องบินขับไล่เพียงแค่ลำเดียวสามารถสร้างอำนาจการยิงและปฏิบัติภารกิจได้เหมือนเครื่องบินหลายลำ ซึ่งนี่คือคุณสมบัติแรกของ F-47 และเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6

 

 

อีกคุณสมบัติที่สำคัญก็คือคุณสมบัติตรวจจับได้ยากหรือ Stealth ซึ่งจะต้องมีมากกว่าเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อย่าง F-22 หรือ F-35 นอกจากนั้นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเปิดเผยว่า F-47 จะมีความเร็วมากกว่ามัค 2 ซึ่งถือว่าเร็วกว่าเครื่องบินขับไล่แทบทุกแบบในปัจจุบัน นอกจากนั้นจากการเปิดเผยของกองทัพอากาศสหรัฐฯ มีข้อมูลว่า F-47 จะมีพิสัยบินไกลกว่า F-22 อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นจะซ่อมบำรุงได้ง่ายกว่า ใช้คนน้อยกว่า ใช้โครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่า รวมถึงจะมีราคาถูกกว่า F-22 ที่ราคาแพงกว่าลำละ 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้วย ซึ่งข้อสุดท้ายนี้ยังเป็นคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะแทบไม่มีโครงการไหนของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่งบไม่บานปลาย ไม่ช้า และค่าตัวไม่ถูกกว่ารุ่นก่อนหน้าเลย

 

อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศสหรัฐฯ ยืนยันว่าต้นแบบของ F-47 นั้นทำการบินมา 5 ปี รวมหลายร้อยชั่วโมงบินแล้วอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครรู้ ซึ่งการให้ผู้ผลิตพัฒนาต้นแบบและทดสอบการบินอย่างเข้มข้นไปพร้อมกับการพัฒนาแบบแผนและการทดสอบแนวคิดในการออกแบบเครื่องบินจะช่วยลดความผิดพลาดและช่วยทดสอบว่าแนวคิดที่ออกแบบในคอมพิวเตอร์จะสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้คาดว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและความล่าช้าของโครงการลง เพื่อไม่ให้ต้องมาแก้ไขปัญหาหลังจากยืนยันการออกแบบและอยู่ในขั้นตอนการผลิตแล้วแบบ F-35

 

แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้ก็คือทั้งหมดที่เรารู้ เพราะโครงการนี้ยังถือเป็นความลับสุดยอดของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ให้กับสาธารณชนทราบมากกว่าไปภาพร่างที่ตั้งอยู่ในห้องทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นแบบที่เห็นแต่ด้านหน้าของเครื่องบินเท่านั้น ไม่เหมือนในตอนพัฒนา F-22 หรือ F-35 ที่เราได้เห็นต้นแบบของเครื่องบินมาแข่งขันกันตั้งแต่ต้น ดังนั้นกว่าจะมีข้อมูลออกมาเพิ่มเติมก็คงต้องรอจนกว่าการออกแบบจะเสร็จสิ้นและเริ่มทำการผลิต

 

นอกจากนั้น สิ่งที่หลายคนสนใจก็คือ สหรัฐฯ จะขาย F-47 ให้ต่างประเทศหรือไม่ เพราะสหรัฐฯ ก็ปฏิเสธไม่ขาย F-22 ให้กับใคร แม้จะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด เรื่องนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเองในการแถลงข่าวว่าอาจจะพิจารณาขาย F-47 ให้กับประเทศพันธมิตร แต่จะต้องเป็นรุ่นที่ลดคุณสมบัติให้ไม่เท่ากับที่สหรัฐฯ มี อาจจะลดราว 10% เพราะไม่แน่ใจว่าพันธมิตรเหล่านั้นจะเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ไปเรื่อยๆ หรือไม่ ซึ่งก็เป็นการตอบคำถามสไตล์ทรัมป์ที่กำลังใช้ทุกทางไล่กดดันพันธมิตรของสหรัฐฯ อยู่ในขณะนี้

 

 

แต่ก็อีกหลายปีกว่า F-47 จะเข้าประจำการจริง ซึ่งยังมีเวลาและยังต้องรอว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้างในภูมิรัฐศาสตร์ของโลก เพียงแต่หนึ่งในความคาดหวังของทรัมป์ที่กล่าวมาก็คือ เขาจะต้องเปิดตัว F-47 ต่อสายตาคนทั้งโลกก่อนที่เขาจะหมดวาระลงในอีกไม่กี่ปีนี้ เพื่อส่งสัญญาณไปยังประเทศที่เป็นศัตรูกับสหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯ มีการพัฒนาขีดความสามารถทางการทหารที่ก้าวหน้ากว่าใคร เหมือนคำกล่าวของเสนาธิการกองทัพอากาศสหรัฐฯ (เทียบได้กับผู้บัญชาการทหารอากาศ) ที่บอกว่า ด้วย F-47 เราจะเสริมความเข้มแข็งให้กับจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อโลก สร้างความเหนือกว่าศัตรูของสหรัฐฯ ให้ไม่สามารถเทียบเคียงกับสหรัฐฯ ได้ และเมื่อศัตรูเหล่านั้นมองขึ้นมาบนฟ้า พวกเขาจะมองไม่เห็นอะไรนอกจากความพ่ายแพ้ที่จะรอคนที่กล้าท้าทายสหรัฐฯ อยู่ เพราะคำว่ากำลังทางอากาศทุกที่ทุกเวลานั้นไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจ แต่เป็นคำสัญญาที่ทำได้จริง

The post F-47 โครงการลับ เครื่องบินรบยุคที่ 6 ของ กองทัพอากาศสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชาวอิสราเอลประท้วงเนทันยาฮู ต่อต้านรัฐบาล พร้อมหนุนเจรจาช่วยเหลือตัวประกัน https://thestandard.co/israel-anti-netanyahu-protests/ Sun, 23 Mar 2025 09:45:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1055342 ประท้วง เนทันยาฮู

ชาวอิสราเอลจำนวนมากชุมนุมใหญ่ในเมืองเทลอาวีฟ เพื่อต่อต้ […]

The post ชาวอิสราเอลประท้วงเนทันยาฮู ต่อต้านรัฐบาล พร้อมหนุนเจรจาช่วยเหลือตัวประกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประท้วง เนทันยาฮู

ชาวอิสราเอลจำนวนมากชุมนุมใหญ่ในเมืองเทลอาวีฟ เพื่อต่อต้านรัฐบาลและประท้วง เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล พร้อมสนับสนุนการเจรจาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน หลังเนทันยาฮูตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาอีกครั้ง เพื่อกดดันให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันทั้งหมดที่ควบคุมตัวไว้ตั้งแต่ช่วงเหตุโจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023

 

ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มองว่าการตัดสินใจของเนทันยาฮูจะยิ่งทำให้ตัวประกันตกอยู่ในอันตราย เขามักไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน ผู้ชุมนุมบางคนถึงกับแสดงความเห็นว่าเนทันยาฮูคือศัตรูที่อันตรายที่สุดของอิสราเอล

 

กองทัพอิสราเอลอ้างว่า กลุ่มฮามาสปฏิเสธที่จะขยายระยะเวลาการหยุดยิงระยะแรก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมาออกไปอีก ขณะที่กลุ่มฮามาสปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว พร้อมระบุว่า อิสราเอลเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่ร่วมไกล่เกลี่ยโดยกาตาร์ อียิปต์ และสหรัฐฯ

 

การโจมตีครั้งล่าสุดที่ถล่มใส่พื้นที่ข่านยูนิสทางตอนใต้ของฉนวนกาซา เป็นเหตุให้ ซาลาห์ อัล-บาร์ดาวีล ผู้นำทางการเมืองระดับสูงของกลุ่มฮามาส พร้อมภรรยาของเขาเสียชีวิต โดย เนทันยาฮู ระบุว่า การเจรจาหยุดยิงนับจากนี้จะต้องดำเนินไปภายใต้สถานการณ์สู้รบเท่านั้น พร้อมประกาศเตือนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาให้ยุติการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาส และอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย

 

 

อ้างอิง:

The post ชาวอิสราเอลประท้วงเนทันยาฮู ต่อต้านรัฐบาล พร้อมหนุนเจรจาช่วยเหลือตัวประกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปลดล็อก: โควตาเพิ่มพลังผู้หญิงในเวทีสากล https://thestandard.co/women-quota-international-organizations-empowerment/ Sun, 23 Mar 2025 05:25:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1055209 ภาพการเสวนา Women in Multilateralism ที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศไทย เพื่อผลักดันมาตรการโควตาเพิ่มบทบาทผู้หญิงในเวทีสากล

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส การที่ผู้หญิงเข้าม […]

The post ปลดล็อก: โควตาเพิ่มพลังผู้หญิงในเวทีสากล appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพการเสวนา Women in Multilateralism ที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศไทย เพื่อผลักดันมาตรการโควตาเพิ่มบทบาทผู้หญิงในเวทีสากล

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส การที่ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับสูงในเวทีสากลไม่ใช่แค่เรื่องของสถิติ แต่เป็นเรื่องของความยุติธรรมและศักยภาพที่ยังถูกมองข้าม

 

  • ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 13% ของผู้นำองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นผู้หญิง  
  • ยังไม่มีผู้หญิงที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ และมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่เคยดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาสหประชาชาติ  
  • มาตรการโควตาเป็นกุญแจสำคัญเพื่อให้ผู้หญิงมีบทบาทในการตัดสินใจในเวทีสากล  

 

งานเสวนา ‘Women in Multilateralism’ ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยร่วมกับ International Studies Centre ได้เปิดโอกาสให้เราได้ฟังเสียงจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในวงการความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่เชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนให้มีผู้หญิงมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว THE STANDARD ดำเนินรายการ และสรุปประเด็นสำคัญจากการเสวนา  

 

ภาพการเสวนา Women in Multilateralism ที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศไทย เพื่อผลักดันมาตรการโควตาเพิ่มบทบาทผู้หญิงในเวทีสากล

 

เสียงสะท้อนด้วยความหวังจากสโลวีเนีย

 

Tanja Fajon รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการยุโรปของสโลวีเนีย กล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน โดยชี้ว่าการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ขึ้นสู่ตำแหน่งบริหารระดับสูงในองค์กรสากลคือกุญแจสำคัญ และได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เธอเผชิญ  

 

“ในฐานะที่ฉันเป็นรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ เราต้องต่อสู้กับระบบการเมืองที่มักมองว่าผู้หญิงไม่สามารถดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูงได้” Fajon เล่าว่า ในช่วงที่เธอต่อสู้ในการแข่งขันเลือกตั้งสภายุโรป แม้ว่าจะมีโอกาสเข้าร่วมการคัดเลือกถึงสามครั้ง แต่เธอก็ไม่เคยได้รับการจัดอันดับในตำแหน่งแรก เพราะมักมีการเลือกผู้สมัครผู้ชายก่อนเสมอ  

 

เธอย้ำว่า “มาตรการโควตาเป็นเรื่องจำเป็น เพราะช่วยเปิดประตูให้ผู้หญิงที่มีศักยภาพและประสบการณ์ถูกมองเห็นและได้รับโอกาสที่เท่าเทียม”  

 

ข้อมูลสถิติชี้ว่าในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 13% ของผู้นำองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นผู้หญิง และยังไม่มีผู้หญิงที่เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงมีผู้หญิงเพียง 4 คนเท่านั้นที่เคยดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาสหประชาชาติ  

 

Fajon ย้ำว่า “ผู้หญิงและเด็กเป็นครึ่งหนึ่งของศักยภาพของโลก” ซึ่งหมายความว่าการที่เสียงของผู้หญิงถูกปิดกั้นไว้ หมายถึงการสูญเสียแนวคิดใหม่ ๆ และนวัตกรรมที่อาจเปลี่ยนแปลงโลกได้  

 

 

ผู้หญิงไทยในเวทีสากล: สัดส่วนที่เพิ่มความหวัง

 

จากเสียงที่เข้มแข็งของสโลวีเนีย เสียงสะท้อนจากผู้หญิงไทยที่ทำงานในเวทีระหว่างประเทศก็มองข้ามไม่ได้ พินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของผู้หญิงในวงการทูตไทย  

 

ในกระทรวงการต่างประเทศมีนักการทูตหญิงถึง 66% ผู้หญิงทำหน้าที่เป็นเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศถึง 22 คน ซึ่งคิดเป็น 36.66% ของจำนวนเอกอัครราชทูตทั้งหมด 

 

พินทุ์สุดา กล่าวเพิ่มเติมว่า “การใช้มาตรการเช่นโควตาเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้หญิงมีบทบาทในการตัดสินใจอย่างแท้จริงในเวทีสากล” ซึ่งย้ำถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง และหมายถึงการส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงในทุกเวที  

 

ภาพการเสวนา Women in Multilateralism ที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศไทย เพื่อผลักดันมาตรการโควตาเพิ่มบทบาทผู้หญิงในเวทีสากล

 

บูรณาการแนวคิดทางกฎหมาย 

 

ศาสตราจารย์ วิทิต มันตาภรณ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ แสดงความเห็นเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางเพศ  

 

“ในหลายองค์กรระหว่างประเทศ เราพบว่าผู้หญิงครองตำแหน่งบริหารสูงสุดเพียงราว 15-20% เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่ในระบบ”  

 

วิทิต ระบุว่า “การนำแนวคิด ‘intersectionality’ มาปรับใช้ในนโยบายจะช่วยให้สามารถออกแบบมาตรการที่ครอบคลุมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น” โดยเสริมว่า “นโยบายที่ดีต้องมาจากความเข้าใจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเพศ อายุ สถานะทางเศรษฐกิจ รวมถึงประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้หญิง” และย้ำว่า “การบูรณาการมุมมองทางกฎหมายที่เข้มแข็งในทุกขั้นตอนของการออกแบบนโยบาย จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดช่องว่างและสร้างระบบที่เป็นธรรม”  

 

 

ประสบการณ์ตรง: ความท้าทายและความมุ่งมั่นในเวทีนานาชาติ  

 

ดร. วิลาวรรณ มังคละธนะกุล ได้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นผู้สมัครหญิงคนแรกของประเทศไทยและคนแรกของอาเซียนที่ได้รับเลือกเป็นกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (2566-2570) แบ่งปันประสบการณ์ว่า “การเป็นผู้หญิงในเวทีระหว่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความสามารถและความพยายาม เราสามารถพิสูจน์ตัวเองได้”  

 

ข้อมูลของ International Law Commission แสดงให้เห็นว่ามีสมาชิกผู้หญิงเพียง 9 คน จากสมาชิกรวมกว่า 230 คน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้หญิงต้องเผชิญในการเข้าสู่เวทีนานาชาติ  

 

ดร.วิลาวรรณ ย้ำว่า “ความเป็นผู้หญิงไม่ควรถูกมองว่าเป็นจุดอ่อน แต่เป็นจุดแข็งที่สามารถนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในสังคม”  

 

 

มาตรการโควตา: เครื่องมือสำคัญในการเปิดโอกาส 

 

ไม่ว่าจะเป็นจากสโลวีเนียหรือไทย ต่างก็เห็นพ้องกันว่า มาตรการโควตาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรับประกันว่าเสียงของผู้หญิงจะได้รับการยอมรับในวงการตัดสินใจ  

 

“โควตาไม่ใช่แค่การแบ่งสัดส่วน แต่เป็นการรับประกันว่าเสียงของผู้หญิงจะได้ยินและมีผลต่อการตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคตของสังคม”  

 

ตัวอย่างในบางประเทศที่ได้นำมาตรการโควตามาใช้ พบว่า  

 

  • เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายให้ผู้หญิงมีสัดส่วนอย่างน้อย 30-40% ในคณะกรรมการหรือสภานโยบาย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในมุมมองและนโยบายที่ตอบโจทย์ความเท่าเทียมมากขึ้น  
  • นโยบายโควตาที่ประสบความสำเร็จในบางประเทศสามารถเพิ่มสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งบริหารได้ถึง 50% ภายในระยะเวลา 5-10 ปี  
  • มาตรการโควตายังช่วยลดช่องว่างที่เกิดจากอคติทางเพศและวัฒนธรรมที่ยังคงมีอยู่ในการตัดสินใจระดับสูง ด้วยการรับประกันว่าผู้หญิงที่มีศักยภาพและประสบการณ์จะได้รับการพิจารณาให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบาย  

 

รัฐมนตรี Fajon อธิบายเพิ่มด้วยว่า แม้จะมีการวิจารณ์ว่าโควตาอาจถูกมองว่าเป็นการเลือกสรรในลักษณะสัญลักษณ์ หรือ “tokenism” ที่ไม่คำนึงถึงคุณภาพและความสามารถ แต่เธอยืนยันว่าในบริบทของความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน มาตรการโควตายังคงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้แสดงศักยภาพอย่างแท้จริง  

 

เธอมองว่าการวิจารณ์ดังกล่าวมักมองข้ามความจริงที่ว่ามาตรการโควตาช่วยแก้ไขช่องว่างที่มีอยู่ในระบบที่เต็มไปด้วยอคติและการแบ่งแยกทางเพศ เมื่อเราเปิดโอกาสให้ผู้หญิงที่มีคุณภาพได้เข้ามามีส่วนร่วมจริง ๆ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น

The post ปลดล็อก: โควตาเพิ่มพลังผู้หญิงในเวทีสากล appeared first on THE STANDARD.

]]>
โป๊ปฟรานซิสอาการดีขึ้น เตรียมออกจากโรงพยาบาล พักฟื้นต่ออีกอย่างน้อย 2 เดือน https://thestandard.co/pope-francis-recovering-hospital-discharge-two-months-rest/ Sun, 23 Mar 2025 04:17:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1055242 พระสันตะปาปาฟรานซิส เตรียมออกจากโรงพยาบาลหลังอาการดีขึ้น โดยต้องพักฟื้นต่ออีกอย่างน้อย 2 เดือน

แพทย์ยืนยัน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสอาการประชวรดีขึ้น […]

The post โป๊ปฟรานซิสอาการดีขึ้น เตรียมออกจากโรงพยาบาล พักฟื้นต่ออีกอย่างน้อย 2 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
พระสันตะปาปาฟรานซิส เตรียมออกจากโรงพยาบาลหลังอาการดีขึ้น โดยต้องพักฟื้นต่ออีกอย่างน้อย 2 เดือน

แพทย์ยืนยัน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสอาการประชวรดีขึ้น เตรียมออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ (23 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่น หลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเนื่องจากติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

 

ดร. เซร์จิโอ อัลเฟียร์รี หนึ่งในแพทย์ที่รักษาโป๊ปฟรานซิสเผยว่า ในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา พระองค์ได้เผชิญช่วงวิกฤตซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตพระองค์ถึงสองครั้ง วันนี้เรายินดีที่จะแจ้งว่า พระองค์กำลังจะได้ออกจากโรงพยาบาล และจำเป็นจะต้องพักฟื้นต่ออีกอย่างน้อย 2 เดือน หากพระองค์มีแนวโน้มที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โป๊ปฟรานซิสก็จะสามารถกลับมาปฏิบัติพระกรณียกิจได้เร็วมากยิ่งขึ้น 

 

ข่าวการเตรียมออกจากโรงพยาบาลของโป๊ปฟรานซิส ทำให้คริสต์ศาสนิกชนจำนวนมากต่างร่วมแสดงความยินดีและดีใจที่พระองค์อาการดีขึ้นตามลำดับ โดยในวันนี้พระองค์เตรียมปรากฏตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกที่หน้าต่างของโรงพยาบาล นับตั้งแต่เข้ารักษาอาการประชวร

 

โป๊ปฟรานซิสดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของศาสนจักรโรมันคาทอลิกมาเกือบ 12 ปีแล้ว และตลอดชีวิตของพระองค์ พระองค์เคยประสบปัญหาสุขภาพหลายอย่าง รวมถึงการผ่าตัดปอดเมื่อตอนอายุ 21 ปี ทำให้พระองค์มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจมากยิ่งขึ้น

 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โป๊ปฟรานซิสได้อนุมัติแผนปฏิรูปคริสตจักรคาทอลิกแผนใหม่ซึ่งครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณอันเด่นชัดว่า พระองค์มีความตั้งใจที่จะดำรงตำแหน่งนี้ต่อไป แม้จะต้องเข้ารักษาอาการประชวรเป็นเวลานานในโรงพยาบาล 

 

แผนปฏิรูปดังกล่าว เตรียมเพิ่มบทบาทของผู้หญิงในคริสตจักรคาทอลิก รวมถึงเปิดโอกาสให้สมาชิกที่ไม่ใช่คณะสงฆ์เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารและการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น

 

ภาพ: Antonio Cotrim – Pool / Getty Images

อ้างอิง: 

The post โป๊ปฟรานซิสอาการดีขึ้น เตรียมออกจากโรงพยาบาล พักฟื้นต่ออีกอย่างน้อย 2 เดือน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: คลื่นทุน-สินค้าจีนทะลัก โอกาสของไทยคืออะไร? | DECODING THE WORLD #28 https://thestandard.co/decoding-the-world-28/ Sat, 22 Mar 2025 11:07:35 +0000 https://thestandard.co/?p=1055074

คลื่นทุน-สินค้าจีนทะลัก โอกาสของไทยคืออะไร?   แรงก […]

The post ชมคลิป: คลื่นทุน-สินค้าจีนทะลัก โอกาสของไทยคืออะไร? | DECODING THE WORLD #28 appeared first on THE STANDARD.

]]>

คลื่นทุน-สินค้าจีนทะลัก โอกาสของไทยคืออะไร?

 

แรงกดดันจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ก่อให้เกิดปรากฏการณ์สินค้าจีนล้นตลาด ทะลักสู่ตลาดโลก สร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อ SMEs ไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

 

ท่ามกลางการทุ่มตลาดของสินค้าจีนที่มีราคาถูกและต้นทุนต่ำ ในขณะที่โลกยังเผชิญความน่ากังวลจากสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 ไทยจะรับมือและมองหาโอกาสได้อย่างไร?

The post ชมคลิป: คลื่นทุน-สินค้าจีนทะลัก โอกาสของไทยคืออะไร? | DECODING THE WORLD #28 appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปเหตุไฟดับ-ปิดสนามบินฮีทโธรว์ กระทบเที่ยวบินนับพัน https://thestandard.co/heathrow-power-outage-shutdown/ Sat, 22 Mar 2025 08:34:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1055088

เหตุไฟไหม้ที่โรงไฟฟ้าใกล้สนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอน สห […]

The post สรุปเหตุไฟดับ-ปิดสนามบินฮีทโธรว์ กระทบเที่ยวบินนับพัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

เหตุไฟไหม้ที่โรงไฟฟ้าใกล้สนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ส่งผลให้ไฟฟ้าดับ และทำให้ สนามบินฮีทโธรว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการบินที่พลุกพล่านที่สุด ต้องประกาศปิดให้บริการชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินกว่า 1,000 เที่ยว และผู้โดยสารกว่า 145,000 คน

 

โทมัส โวลด์บี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสนามบินฮีทโธรว์ คาดการณ์ว่าสนามบินจะกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติในวันเสาร์ (22 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว แต่กำลังสอบสวนหาสาเหตุ

 

“เช้าวันเสาร์ (ตามเวลาท้องถิ่น) เราคาดว่าจะกลับมาดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบ หรือก็คือดำเนินการได้ 100% เหมือนวันปกติ” โวลด์บีกล่าวเมื่อวันศุกร์ พร้อมทั้งขอโทษผู้โดยสารสำหรับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

 

ด้านสนามบินฮีทโธรว์ระบุในแถลงการณ์ที่ส่งถึง CNN ว่า “เราทราบดีว่าเรื่องนี้จะสร้างความผิดหวังให้กับผู้โดยสาร และเราต้องการยืนยันว่าเรากำลังทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์”

 

อะไรคือจุดเริ่มต้นความวุ่นวาย

 

หม้อแปลงที่สถานีจ่ายกระแสไฟฟ้าในเมืองเฮยส์ชานกรุงลอนดอนเกิดไฟไหม้เมื่อคืนวันพฤหัสบดี ตามรายงานของ London Fire Brigade (LFB) ซึ่งเผยด้วยว่า รถบรรทุก 10 คัน และนักดับเพลิงประมาณ 70 นาย ถูกส่งไปดับไฟ อีกทั้งยังมีการตั้งแนวป้องกัน 200 เมตร (650 ฟุต) รอบที่เกิดเหตุ

 

“เหตุการณ์เกิดจากหม้อแปลงที่บรรจุน้ำมันหล่อเย็น 25,000 ลิตรลุกไหม้ขึ้น ซึ่งถือเป็นอันตรายร้ายแรงเนื่องจากอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูงยังคงทำงาน ประกอบกับลักษณะของการไฟไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง” โจนาธาน สมิท รองผู้บัญชาการ LFB กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อเช้าวันศุกร์

 

LFB เผยว่า มีการอพยพคนออกจากพื้นที่ใกล้เคียงประมาณ 150 คน ขณะที่ผู้ให้บริการสาธารณูปโภค Scottish and Southern Electricity Networks ระบุว่าบ้านเรือนมากกว่า 16,000 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ ด้าน National Grid ของอังกฤษเร่งดำเนินการเพื่อให้กลับมาจ่ายกระแสไฟฟ้าได้

 

LFB ยืนยันเมื่อวันศุกร์ว่าไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้

 

การสอบสวนหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้กำลังดำเนินอยู่ และตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของลอนดอนได้เข้ามามีส่วนร่วม “เนื่องจากเหตุการณ์นี้มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ”

 

อย่างไรก็ตาม โฆษกของตำรวจกล่าวว่า “ไม่มีข้อบ่งชี้ถึงการทำผิดกฎหมาย” เช่นเดียวกับ London Fire Brigade ที่ระบุว่า “ไม่สงสัย” เกี่ยวกับสาเหตุของเพลิงไหม้ ด้านเอ็ด มิลลิแบนด์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอังกฤษ กล่าวกับสถานีวิทยุ LBC Radio ของลอนดอนว่า “ไม่มีข้อบ่งชี้” ถึงการทำผิดกฎหมาย แต่เป็นเพียง “อุบัติเหตุร้ายแรง”

 

สนามบินฮีทโธรว์ และภาคการบินได้รับผลกระทบรุนแรงแค่ไหน

 

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความวุ่นวายในการเดินทางอันเนื่องมาจากสนามบินฮีทโธรว์ปิดให้บริการนั้นอาจกินเวลานานหลายวัน เนื่องจากแหล่งจ่ายไฟสำรองที่ฮีทโธรว์ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้เช่นกัน ทำให้สนามบินไม่มีไฟฟ้าใช้ โดยภาพและคลิปวิดีโอที่แชร์บนโซเชียลมีเดียเผยให้เห็นภาพสนามบินฮีทโธรว์ที่มืดสนิท 

 

นักวิเคราะห์ด้านการบินกล่าวกับ CNN ว่า การที่แหล่งจ่ายไฟสำรองของสนามบินได้รับความเสียหายนั้น “เป็นเรื่องที่ผิดปกติ”

 

“คุณคือศูนย์กลางหลักที่นำเราไปสู่ทั่วโลก คุณมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ต้องมีแผน B” นักวิเคราะห์ด้านการบิน เจฟฟรีย์ โทมัส กล่าว

 

ด้านมิลลิแบนด์กล่าวยอมรับในการให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า ต้องมีการเรียนรู้บทเรียนเกี่ยวกับการเตรียมการป้องกันและการรับมือสถานการณ์ให้พร้อมสำหรับ “สถาบันหลักๆ เช่น ฮีทโธรว์” 

 

วิกฤตการณ์ที่สนามบินฮีทโธรว์สร้างผลกระทบรุนแรงต่อการเดินทางทางอากาศทั่วโลก เนื่องจากฮีทโธรว์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการบินสำคัญที่พลุกพล่านที่สุดในโลก โดยในปี 2023 มีผู้โดยสารเดินทางผ่านสนามบินแห่งนี้ถึง 83.9 ล้านคน และมีเที่ยวบินเข้าออกกว่า 1,300 เที่ยวต่อวันจากสหรัฐอเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง เฉพาะวันศุกร์วันเดียว เที่ยวบินกว่า 1,350 เที่ยวได้รับผลกระทบ โดยเที่ยวบิน 120 เที่ยวที่กำลังบินอยู่ต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือกลับไปยังต้นทางทันที 

 

นักวิเคราะห์การบิน ชูคอร์ ยูซอฟ อธิบายว่ากระบวนการตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเที่ยวบินเป็นกระบวนการที่ “รวดเร็ว” และต้องมีการประสานงานอย่างเข้มข้นระหว่างหน่วยงานสหราชอาณาจักรและสายการบิน โดยเฉพาะเที่ยวบินระยะไกลที่มีความซับซ้อนมากกว่า ข้อจำกัดด้านจุดจอดที่สนามบินใกล้เคียงบังคับให้สายการบินต้องหาตัวเลือกอื่นนอกสหราชอาณาจักร อีกทั้งปัจจัยด้านเชื้อเพลิงก็มีความสำคัญ เนื่องจากนักบินอาจต้องบินวนรอรันเวย์ว่าง

 

ข้อจำกัดด้านพื้นที่จอดที่สนามบินใกล้เคียงทำให้หลายเที่ยวบินต้องเปลี่ยนเส้นทางไปทั่วยุโรป เช่น แมนเชสเตอร์ที่อยู่ห่างไป 200 ไมล์ โดยสายการบินต่างๆ ตอบสนองต่อวิกฤตนี้แตกต่างกัน:

 

  • Ryanair เพิ่ม “เที่ยวบินช่วยเหลือ” 8 เที่ยวระหว่างดับลินและลอนดอนสแตนสเต็ด
  • Air France ระงับ 8 เที่ยวบินไปและกลับจากฮีทโธรว์
  • Lufthansa ยกเลิกเที่ยวบินไป-กลับฮีทโธรว์ทั้งหมดในวันศุกร์
  • British Airways และ Qatar Airways ประสานงานกับเจ้าหน้าที่เพื่อคอยอัปเดตข้อมูลให้ผู้โดยสาร
  • สายการบินญี่ปุ่นต้องส่งเที่ยวบิน 2 ลำกลับโตเกียว และเปลี่ยนเส้นทางอีก 1 ลำ

 

นอกจากนี้ ระบบรถไฟรอบสนามบิน รวมถึง Heathrow Express ที่เชื่อมต่อกับใจกลางลอนดอนก็หยุดให้บริการด้วย ขณะเดียวกันเหตุการณ์นี้ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน โดยหุ้นสายการบินบางแห่งร่วงลงถึง 5% และมีการประเมินว่าความสูญเสียทางการเงินอาจสูงถึงหลายร้อยล้านปอนด์ เร่งให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารติดค้างนับแสน

 

หน่วยงานการบินพลเรือนสหราชอาณาจักร UK Civil Aviation Authority (CAA) แนะนำว่าผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับควรได้รับทางเลือกในการขอเงินคืนหรือเที่ยวบินทดแทนจากสายการบิน นอกจากนี้ สำหรับเที่ยวบินของสายการบินในสหราชอาณาจักรหรือสหภาพยุโรป ผู้โดยสารควรได้รับอาหาร เครื่องดื่ม และที่พักระหว่างที่เที่ยวบินของตนล่าช้า

 

เซลินา ชาดา ผู้อำนวยการกลุ่มผู้บริโภคของ CAA กล่าวว่า “เราเข้าใจความยากลำบากที่เกิดขึ้นและคาดหวังให้สายการบินดำเนินการทุกขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสาร” ทั้งนี้ CAA แนะนำให้สายการบินชดเชยผู้โดยสารทันทีหากไม่สามารถให้การดูแลได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารอาจไม่ได้รับค่าชดเชยเพิ่มเติม เนื่องจากเหตุการณ์นี้อาจถือเป็น “สถานการณ์พิเศษ”

 

ภาพผู้เดินทางที่เหนื่อยล้านั่งเรียงรายตามทางเดินในฮีทโธรว์สะท้อนความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ขณะที่หลายคนติดค้างบนรันเวย์หลายชั่วโมงเมื่อเที่ยวบินถูกยกเลิก คิม มิคเคล สกิบเรก ชาวอเมริกัน-นอร์เวย์ บินจากมินนิอาโปลิสมาแล้ว 3 ชั่วโมงเมื่อลูกเรือประกาศว่าเครื่องบินต้องบินกลับเนื่องจากไฟไหม้ โดยเขากำลังเดินทางไปออสโลเพื่อเยี่ยมพ่อที่ป่วยเป็นมะเร็ง และต้องเร่งหาเที่ยวบินใหม่โดยเร็วที่สุด แอบบี เฮิร์ตซ์ และครอบครัวมีกำหนดร่วมงานแต่งงานของเพื่อนสนิทสามี ซึ่งเลื่อนมาแล้วครั้งหนึ่งจากโควิด และกำลังจัดขึ้นหลังจากลูกชายของคู่บ่าวสาวหายจากโรคมะเร็ง แต่ตอนนี้ไม่แน่ชัดว่าพวกเขาจะไปร่วมงานได้หรือไม่

 

ที่สนามบิน JFK ในนิวยอร์ก ผู้โดยสารรายหนึ่งกล่าวว่าเที่ยวบิน British Airways ของเธอพร้อมออกเดินทางแล้วเมื่อมีประกาศให้รอ และครึ่งชั่วโมงต่อมาจึงทราบว่าฮีทโธรว์ปิดทำการ แม้จะผิดหวัง แต่เธอเล่าว่า “บรรยากาศบนเครื่องค่อนข้างผ่อนคลาย” แต่เธอกังวลว่าจะเดินทางไปอังกฤษไม่ทันเพราะมีงานแต่งงานที่ต้องเข้าร่วมในวันเสาร์

 

สำหรับผู้อาศัยใกล้สนามบินมากว่า 20 ปีอย่าง เจมส์ เฮนเดอร์สัน กล่าวว่า การปิดสนามบินทำให้เกิดความเงียบที่แปลกประหลาด “โดยปกติมีเครื่องบินทุก 90 วินาที แถมยังมีเสียงการจราจรตลอดเวลา และคุณก็ชินกับมันแล้ว” เขากล่าว “วันนี้ต่างออกไป คุณได้ยินเสียงนกร้อง” 

 

ภาพ:  Alishia Abodunde / Getty Images

อ้างอิง:

The post สรุปเหตุไฟดับ-ปิดสนามบินฮีทโธรว์ กระทบเที่ยวบินนับพัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ข้อตกลงหยุดยิง อิสราเอล-ฮามาส ล่มกลางคัน เพราะอะไร? | NEWS DIGEST #138 https://thestandard.co/news-digest-21032025/ Fri, 21 Mar 2025 13:26:37 +0000 https://thestandard.co/?p=1054890

ข้อตกลงหยุดยิง ระหว่าง อิสราเอล และ ฮามาส ถึงคราวสะดุดค […]

The post ชมคลิป: ข้อตกลงหยุดยิง อิสราเอล-ฮามาส ล่มกลางคัน เพราะอะไร? | NEWS DIGEST #138 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ข้อตกลงหยุดยิง ระหว่าง อิสราเอล และ ฮามาส ถึงคราวสะดุดครั้งใหญ่ เมื่ออิสราเอลกลับมาโจมตีทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินในฉนวนกาซา ฮามาสอ้างว่าอิสราเอลละเมิดข้อตกลง ขณะที่อิสราเอลยืนยันว่าเป็นการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

News Digest มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง ถึงปัจจัยว่าทำไมข้อตกลงนี้ถึงล่มกลางคัน?

 

ท่ามกลางคำถามที่ยังรอคำตอบว่า สุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะสามารถกลับสู่โต๊ะเจรจาได้อีกครั้งหรือไม่ หรือไฟแห่งความขัดแย้งในฉนวนกาซาจะขยายวงกลายเป็นสงครามใหญ่?

The post ชมคลิป: ข้อตกลงหยุดยิง อิสราเอล-ฮามาส ล่มกลางคัน เพราะอะไร? | NEWS DIGEST #138 appeared first on THE STANDARD.

]]>