World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 06 Jul 2025 06:05:15 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มาจากนอกระบบสุริยะ และทำตัวเหมือนดาวหาง: สรุปข้อมูลที่เรารู้ เกี่ยวกับดาว 3I/ATLAS ผู้มาเยือนจากแดนไกลหลายปีแสง https://thestandard.co/interstellar-comet-3i-atlas/ Sun, 06 Jul 2025 06:05:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1093416 interstellar-comet-3i-atlas

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2025 นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบวัตถุให […]

The post มาจากนอกระบบสุริยะ และทำตัวเหมือนดาวหาง: สรุปข้อมูลที่เรารู้ เกี่ยวกับดาว 3I/ATLAS ผู้มาเยือนจากแดนไกลหลายปีแสง appeared first on THE STANDARD.

]]>
interstellar-comet-3i-atlas

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2025 นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบวัตถุใหม่ ที่มีวิถีวงโคจรแปลกไปจากบรรดาดาวเคราะห์น้อย หรือวัตถุที่เรารู้จักในระบบสุริยะ จนทำให้หน่วยงานอวกาศทั่วโลกต่างเร่งศึกษาดาวดวงดังกล่าวแทบจะในทันที

 

เพียงเวลาไม่นาน วัตถุที่มีชื่อชั่วคราวว่า A11pl3Z ก็ได้รับการยืนยันว่ามีต้นกำเนิดมาจากนอกระบบสุริยะ หรือเป็น Interstellar Objects ผู้เดินทางมาเยือนจากแดนไกลหลายปีแสง โคจรโฉบเข้ามาในระบบดาวของเราเพียงชั่วคราว และเป็นการค้นพบวัตถุประเภทนี้เพียงดวงที่สามในประวัติศาสตร์เท่านั้น พร้อมกับได้รับชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า 3I/ATLAS ตามลำดับการค้นพบ และกล้องโทรทรรศน์ที่ตรวจเจอ

 

Davide Farnocchia วิศวกรด้านระบบนำทางของ JPL ระบุว่า “เรารวบรวมข้อมูลการสำรวจจากเครือข่ายกล้อง ATLAS มากกว่า 100 ครั้ง ซึ่งพบจุดดังกล่าวเคลื่อนที่ไป เมื่อเทียบกับตำแหน่งของดาวฤกษ์ในพื้นหลัง จนทราบได้ถึงความเร็วและวิถีวงโคจรของดาวดวงนี้ ทำให้เรารู้ได้ว่ามันมีที่มาจากนอกระบบสุริยะ”

 

ในตอนนี้ 3I/ATLAS อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 670 ล้านกิโลเมตร กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาสู่ระบบสุริยะชั้นในด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตร/วินาที (ประมาณ 210,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง) มากกว่าความเร็วของวัตถุใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในระบบสุริยะ โดยจะเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนเฉียดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 29 ตุลาคม 2025 และโคจรไปจากระบบสุริยะตลอดกาล ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว

 

Farnocchia เปิดเผยเพิ่มว่า “จากภาพถ่ายที่เรามี พบว่าวัตถุดังกล่าวมีหางฝุ่นปรากฏอยู่ห้อมล้อมนิวเคลียส เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า 3I/ATLAS อาจเป็นดาวหาง ซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากที่จะประมาณการขนาดของดาวดวงนี้ได้อย่างแม่นยำ ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน” โดยนักดาราศาสตร์คาดว่ามันอาจมีขนาดใหญ่ถึง 20 กิโลเมตร เป็นวัตถุผู้มาเยือนจากนอกระบบสุริยะที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่มีการค้นพบได้

 

ก่อนหน้านี้ นักดาราศาสตร์เคยค้นพบวัตถุจากนอกระบบสุริยะ ที่เข้ามาเฉียดผ่านใกล้ดวงอาทิตย์ได้เพียงสองดวงเท่านั้น ประกอบด้วย 1I/‘Oumuamua วัตถุขนาดใหญ่ประมาณ 1 กิโลเมตร ตรวจเจอครั้งแรกในปี 2017 และ 2I/Borisov ดาวหางจากนอกระบบสุริยะดวงแรก มีขนาดไม่เกิน 1 กิโลเมตรเช่นกัน ถูกพบในปี 2019

 

หากวัตถุนี้เป็นดาวหางจริง ๆ มีความเป็นไปได้ว่า 3I/ATLAS คือดาวหางที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบดาวอื่น เช่นเดียวกับบรรดาดาวหางในระบบสุริยะ ก่อนถูกอิทธิพลแรงโน้มถ่วงบางอย่างดีดออกมา จนมันลอยเคว้งอยู่ในพื้นที่ห้วงอวกาศระหว่างดาวฤกษ์เป็นเวลานานหลายล้านปี และได้โฉบผ่านเข้ามาในระบบสุริยะของเราโดยบังเอิญ

 

ดาวหางเหล่านี้ เป็นดั่งไทม์แคปซูลที่หลงเหลือมาจากการก่อกำเนิดของระบบดาว ซึ่งอาจนำพาองค์ประกอบที่ให้กำเนิดดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ เฉียดมาใกล้กับหลังบ้านของพวกเราอีกด้วย เพราะแม้อาจต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีก่อนที่มนุษย์จะได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนระบบดาวอื่น แต่การศึกษาดาวหาง หรือซากวัตถุผู้มาเยือนจากนอกระบบสุริยะ อาจช่วยให้นักดาราศาสตร์ได้เรียนรู้ถึงความหลากหลายของเพื่อนบ้านที่อยู่ไกลออกไปหลายปีแสง โดยไม่ต้องออกไปจากระบบดาวของเราด้วยซ้ำ

 

สำหรับระบบดาวที่เป็นต้นกำเนิดของดาวหาง 3I/ATLAS ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนด้วยข้อมูล ณ ตอนนี้ แต่พบว่ามันมีทิศมาจากกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) หรือบริเวณใจกลางของกาแล็กซีทางช้างเผือก

 

อย่างไรก็ตาม 3I/ATLAS จะเข้ามาเฉียดใกล้ดวงอาทิตย์ ในตำแหน่งเกือบตรงกันข้ามกับโลกพอดี โดยมีจุดใกล้โลกสุดด้วยระยะห่าง 240 ล้านกิโลเมตร หรือประมาณ 1.6 เท่าของระยะโลก-ดวงอาทิตย์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะมีช่วงที่เฉียดใกล้ดาวอังคารด้วยระยะห่าง 28 ล้านกิโลเมตร ซึ่งอาจเพียงพอให้ยานอวกาศในวงโคจรรอบดาวอังคาร ได้ร่วมสำรวจเช่นเดียวกับทัพกล้องโทรทรรศน์จากโลกของเรา ก่อนที่ผู้มาเยือนดวงนี้จะโคจรจากออกไปตลอดกาล

 

แม้ชาวโลกจะพลาดโอกาสในการมองเห็น และเรียนรู้เกี่ยวกับดาวหางดวงนี้เพิ่มเติม แต่องค์การอวกาศยุโรป หรือ ESA ระบุว่ามีแผนส่งยาน Comet Interceptor ขึ้นไปประจำการอยู่ในวงโคจร L2 ระหว่างโลก-ดวงอาทิตย์ เพื่อเตรียมความพร้อมพุ่งไปศึกษาดาวหางดวงสำคัญต่าง ๆ ทั้งดวงที่มาจากหมู่เมฆออร์ตของระบบสุริยะ ไปจนถึงดาวหางผู้มาเยือนจากระบบดาวอื่น อย่างเช่นกรณีของ 3I/ATLAS โดยปัจจุบันมีกำหนดขึ้นบินในปี 2029 นี้

 

นอกจากนี้ หอดูดาว Vera C. Rubin ที่กำลังเริ่มภารกิจถ่ายภาพมุมกว้างของท้องฟ้ายามค่ำคืน ก็อาจมีบทบาทสำคัญในการร่วมค้นพบวัตถุผู้มาเยือนจากนอกระบบสุริยะได้เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับการตรวจพบดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ในระบบสุริยะเพิ่มอีก 1 ล้านดวง ในช่วงสองปีแรกของการสำรวจท้องฟ้าอีกด้วย

 


 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

 


 

การค้นพบในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นตำแหน่งของมนุษย์ และโลกของเราในจักรวาลแห่งนี้ ว่าพวกเราเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งของระบบดาวแห่งหนึ่ง ในชุมชนของระบบดาวมากกว่าแสนล้านแห่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งก็เป็นหนึ่งในกาแล็กซี หรือดาราจักรจำนวนมากในเอกภพ แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้ และคงมีการค้นพบที่น่าสนใจอีกมากที่รอคอยเราอยู่…

 

อ้างอิง:

The post มาจากนอกระบบสุริยะ และทำตัวเหมือนดาวหาง: สรุปข้อมูลที่เรารู้ เกี่ยวกับดาว 3I/ATLAS ผู้มาเยือนจากแดนไกลหลายปีแสง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึกภาพแรกจากหอดูดาว Vera C. Rubin เปิดศักราชใหม่แห่งการสำรวจจักรวาล https://thestandard.co/lsst-rubin-universe/ Sun, 06 Jul 2025 03:45:13 +0000 https://thestandard.co/?p=1093391 lsst-rubin-universe

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นักดาราศาสตร์ได้เผยโฉมภาพถ่ายห้ […]

The post เจาะลึกภาพแรกจากหอดูดาว Vera C. Rubin เปิดศักราชใหม่แห่งการสำรวจจักรวาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
lsst-rubin-universe

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นักดาราศาสตร์ได้เผยโฉมภาพถ่ายห้วงจักรวาลชุดแรกจากหอดูดาว Vera C. Rubin แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของกล้องโทรทรรศน์ขนาด 8.4 เมตร ที่เตรียมทำภารกิจบันทึกวิดีโอ Time-lapse ของจักรวาลแบบคมชัด ในช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษต่อจากนี้

 

หอดูดาว Vera C. Rubin ตั้งอยู่บนยอดเขา Cerro Pachón ในประเทศชิลี ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะสมต่อการสังเกตการณ์วัตถุในอวกาศที่สุดในโลก จากการมีความชื้นในอากาศน้อย มีท้องฟ้ามืดไร้แสงไฟรบกวนจากเมือง จึงทำให้กล้องโทรทรรศน์สามารถบันทึกภาพจักรวาลแบบมุมกว้างได้อย่างต่อเนื่องเกือบทุกคืน จนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเทหวัตถุต่าง ๆ ได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน

 

กล้องถ่ายภาพ LSST ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหอดูดาว Rubin ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘กล้องดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ด้วยความละเอียด 3,200 เมกะพิกเซล มีน้ำหนักมากกว่า 2,800 กิโลกรัม และขนาดใหญ่เทียบเท่ากับรถยนต์คันหนึ่ง ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อถ่ายภาพห้วงอวกาศมุมกว้างเทียบเท่าพื้นที่ดวงจันทร์เต็มดวง 45 ดวงได้ในหนึ่งครั้ง พร้อมกับความสามารถในการปรับตำแหน่งการเล็งได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถบันทึกภาพทุกจุดของซีกฟ้าใต้ได้ในช่วงเวลาทุก ๆ 4 คืน

 

ภาพถ่ายชุดแรกที่มีการเปิดเผยโดยมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation) หรือ NSF และกระทรวงพลังงานสหรัฐ แสดงให้เห็นกาแล็กซีมากกว่า 10 ล้านแห่ง ในห้วงเวลาการสำรวจเพียง 10 ชั่วโมง นับเป็นข้อมูลเพียงแค่ 0.05% ของจำนวนกาแล็กซีที่นักดาราศาสตร์คาดว่ากล้องโทรทรรศน์ของหอดูดาวแห่งนี้จะบันทึกได้ หรือมากกว่า 20,000 ล้านแห่งในเอกภพ ตลอดช่วงการทำงานนาน 10 ปี ภายใต้โครงการสำรวจ ‘Legacy Survey of Space and Time’

 

นอกจากการบันทึกภาพกาแล็กซีที่อยู่ไกลโพ้น หอดูดาว Rubin ยังสามารถตรวจพบดาวเคราะห์น้อยในระบบสุริยะ จากการบันทึกภาพท้องฟ้ามุมกว้างได้อีกเช่นกัน โดยจากภาพถ่ายชุดแรกที่มีการเปิดเผยมา นักดาราศาสตร์ยืนยันการพบดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ได้มากถึง 2,104 ดวง จากการสำรวจเพียง 10 ชั่วโมงเท่านั้น

 

ปกติแล้ว นักดาราศาสตร์พบดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่ประมาณ 20,000 ดวง จากการค้นหาและสำรวจโดยกล้องโทรทรรศน์ต่าง ๆ ทั่วโลกในหนึ่งปี นั่นทำให้ในเวลาเพียงหนึ่งคืน กล้องของหอดูดาว Rubin ได้พบดาวเคราะห์น้อยไปแล้วถึง 10% ของจำนวนที่ตรวจเจอตลอดทั้งปี และนักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าจะมีการพบดาวเคราะห์น้อยได้มากกว่าล้านดวง ในช่วงสองปีแรกของการเริ่มสำรวจท้องฟ้าอีกด้วย

 

Brian Stone ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการ NSF เปิดเผยว่า “หอดูดาว Rubin จะบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับจักรวาล ได้มากกว่าที่กล้องโทรทรรศน์ในช่วงคลื่นที่ตามองเห็นทุกแห่ง จากตลอดช่วงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมารวมกันเสียอีก ซึ่งจะทำให้เราได้สำรวจปริศนาต่าง ๆ ของเอกภพ ทั้งสสารมืดและพลังงานมืดในจักรวาลแห่งนี้”

 

หอดูดาวแห่งนี้ได้รับการตั้งชื่อตามคุณ Vera C. Rubin นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้พบหลักฐานบ่งชี้ถึงการมีอยู่ของสสารมืดในจักรวาล และได้บุกเบิกการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมสสารมืด ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์เดียวกันกับการทำงานของหอดูดาวแห่งนี้ ที่อาศัยการถ่ายภาพมุมกว้างของจักรวาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจดูและทำความเข้าใจถึงคุณสมบัติของสสารมืดกับพลังงานมืด อันเป็นองค์ประกอบมากกว่า 95% ในห้วงเอกภพแห่งนี้

 

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นการค้นพบกาแล็กซี ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง รวมถึงวัตถุผู้มาเยือนจากนอกระบบสุริยะ ที่ไม่เคยมีการตรวจพบได้มาก่อน จากการสำรวจท้องฟ้าของหอดูดาว Rubin รวมไปถึงบทบาทการ ‘พิทักษ์โลก’ ด้วยการสอดส่องหาดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกที่อาจเป็นภัย เพื่อวางแผนป้องกันและรับมือได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย

 

Michael Kratsios ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำเนียบขาว ได้กล่าวไว้ในงานแถลงข่าวเปิดภาพชุดแรกอย่างน่าสนใจว่า “หอดูดาว Rubin คือการลงทุนในอนาคตของพวกเรา เป็นการวางรากฐานขององค์ความรู้ในวันนี้ เพื่อให้ลูกหลานของเราได้สานต่อไปในวันพรุ่งนี้”

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการถามถึงนโยบายและการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีการตัดลดงบของหน่วยงานต่าง ๆ ลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงทาง NSF หน่วยงานหลักของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในการให้งบประมาณสนับสนุนการปฏิบัติงานของหอดูดาว Rubin ที่เตรียมถูกลดงบปี 2025 ลงถึง 56% ทางคณะผู้แถลงข่าวปฏิเสธให้คำตอบในเรื่องนี้ โดยกล่าวเพียงว่า “เราจะตอบแค่คำถามเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้น”

 

ภาพ: NSF–DOE Vera C. Rubin Observatory 

อ้างอิง:

The post เจาะลึกภาพแรกจากหอดูดาว Vera C. Rubin เปิดศักราชใหม่แห่งการสำรวจจักรวาล appeared first on THE STANDARD.

]]>
อีลอน มัสก์ ประกาศตั้ง ‘พรรคอเมริกา’ หลังแตกหักทรัมป์ ลั่นท้าชนระบบ 2 พรรค https://thestandard.co/elon-america-party/ Sun, 06 Jul 2025 03:03:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1093381 elon-america-party

อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและซีอีโอของ Tesla และ SpaceX และอ […]

The post อีลอน มัสก์ ประกาศตั้ง ‘พรรคอเมริกา’ หลังแตกหักทรัมป์ ลั่นท้าชนระบบ 2 พรรค appeared first on THE STANDARD.

]]>
elon-america-party

อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและซีอีโอของ Tesla และ SpaceX และอดีตพันธมิตรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่าน X เตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ของสหรัฐฯ ในชื่อพรรคอเมริกา (America Party) โดยเรียกมันว่า เป็นการท้าทายระบบ 2 พรรคการเมือง คือพรรครีพับลิกันและเดโมแครต 

 

มัสก์ อ้างว่าพรรคการเมืองของเขา จะคืน ‘เสรีภาพ’ ให้แก่ชาวอเมริกัน ขณะที่การจัดตั้งพรรคดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่เขาขัดแย้งกับทรัมป์อย่างรุนแรง และออกจากการทำหน้าที่ในรัฐบาล

 

“เมื่อพูดถึงการทำให้ประเทศของเราล้มละลายด้วยการทุจริตและคอร์รัปชัน เราอาศัยอยู่ในระบบพรรคเดียว ไม่ใช่ประชาธิปไตย”

 

“วันนี้ พรรคอเมริกาก่อตั้งขึ้นเพื่อคืนอิสรภาพให้กับคุณ” มัสก์ระบุ 

 

การประกาศตั้งพรรคดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่มัสก์ โพสต์ข้อความโต้เถียงกับทรัมป์ ในประเด็นกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ผ่านโซเชียลมีเดีย ก่อนที่เขาจะโพสต์ถามผู้ใช้งาน X ว่าควรมีพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯ หรือไม่

 

หลังจากนั้น มัสก์ อ้างอิงผลการสำรวจความคิดเห็นในโพสต์ที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ และประกาศว่า “คุณต้องการพรรคการเมืองใหม่ 2 ต่อ 1 และคุณก็จะได้มันมา!”

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าพรรคของมัสก์ จะจดทะเบียนอย่างเป็นทางการกับคณะกรรมการการเลือกตั้งของสหรัฐฯ หรือไม่ และมัสก์ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าใครจะเป็นผู้นำพรรคหรือพรรคจะมีรูปแบบหรือแนวนโยบายอย่างไร

 

 

 

 

แฟ้มภาพ : REUTERS/Nathan Howard/File Photo

 

อ้างอิง : 

The post อีลอน มัสก์ ประกาศตั้ง ‘พรรคอเมริกา’ หลังแตกหักทรัมป์ ลั่นท้าชนระบบ 2 พรรค appeared first on THE STANDARD.

]]>
กต.แจงปมกัมพูชาส่งหนังสือเวียนถึง UN แจ้งความประสงค์ฟ้องศาลโลก ยืนยันไทยส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว https://thestandard.co/thai-mfa-responds-to-cambodias-circular-letter-to-un/ Sat, 05 Jul 2025 11:41:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1093295 กระทรวงการต่างประเทศ

​​ตามที่มีการสอบถามจากสื่อต่าง ๆ เรื่องที่ปรากฏในสื่อสั […]

The post กต.แจงปมกัมพูชาส่งหนังสือเวียนถึง UN แจ้งความประสงค์ฟ้องศาลโลก ยืนยันไทยส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
กระทรวงการต่างประเทศ

​​ตามที่มีการสอบถามจากสื่อต่าง ๆ เรื่องที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับหนังสือของเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชา ณ นครนิวยอร์ก ถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UNSG) แจ้งความประสงค์ของกัมพูชาที่จะฟ้องร้องเกี่ยวกับประเด็นชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาต่อ ICJ นั้น

 

นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแพร่แถลงการณ์ชี้แจงดังนี้

 

  1. เมื่อ 16 มิถุนายน 2025 เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชา ณ นครนิวยอร์ก ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UNSG) เกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวทางชายแดนไทย-กัมพูชา โดยขอให้เวียนหนังสือเป็นเอกสารของสมัชชาสหประชาชาติ ภายใต้ระเบียบวาระที่ 32 ของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 79 เรื่อง Prevention of armed conflict

 

  1. เมื่อ 19 มิถุนายน 2025 เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ณ นครนิวยอร์ก ได้มีหนังสือถึง UNSG นำส่งแถลงการณ์ Statement by the Royal Thai Government on Thailand – Cambodia border situation ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2025 ชี้แจงข้อเท็จจริง รวมทั้งท่าทีและการดำเนินการของฝ่ายไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ความตกลง MOU2543 (MOU2000) และแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาทวิภาคีตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้และมีพันธกรณี พร้อมขอให้เวียนทั้งหนังสือลงนามและแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นเอกสารของสมัชชาสหประชาชาติ ภายใต้ระเบียบวาระที่ 32 ด้วยเช่นกัน 

 

  1. ขณะนี้ UNSG ได้ลงทะเบียนหนังสือของ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรกัมพูชา ณ นครนิวยอร์ก และหนังสือของ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ณ นครนิวยอร์ก เข้าสู่ระเบียบวาระที่ 32 ของสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 79 แล้ว ซึ่งมีนัยเป็นการเวียนหนังสือให้ประเทศสมาชิก UN รับทราบ

 

  1. ในหลักการ การเวียนหนังสือของประเทศสมาชิกภายใต้ระเบียบวาระของสมัชชาสหประชาชาติ เป็นกระบวนการเพื่อบันทึกข้อมูลหรือท่าทีของประเทศสมาชิกไว้เป็นหลักฐาน (place on record) และทำให้เกิดการรับรู้ของประเทศสมาชิก ซึ่งในกรณีนี้ เมื่อกัมพูชามีหนังสือถึงสมัชชาสหประชาชาติ  ฝ่ายไทยจึงได้ดำเนินการมีหนังสือถึงสมัชชาสหประชาชาติด้วยเช่นกัน เพื่อชี้แจงท่าทีของประเทศไทย ทั้งนี้ การเวียนเอกสารดังกล่าวเป็นแนวทางการเวียนเอกสารปกติของสหประชาชาติ

 

สามารถดูเอกสารของฝ่ายไทยที่ได้มีการเวียนประเทศสมาชิก UN รับทราบได้ที่ https://www.mfa.go.th/th/content/letter-thai-to-unga

 

อ้างอิง : กระทรวงการต่างประเทศ

The post กต.แจงปมกัมพูชาส่งหนังสือเวียนถึง UN แจ้งความประสงค์ฟ้องศาลโลก ยืนยันไทยส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว appeared first on THE STANDARD.

]]>
สรุปข้อมูลเอกสารกัมพูชา ร้อง UN และท่าทีชี้แจงฝ่ายไทย https://thestandard.co/thai-cambodia-border-un/ Sat, 05 Jul 2025 07:09:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1093233 thai-cambodia-border-un

ฐานข้อมูลองค์การสหประชาชาติ (UN) เผยแพร่หนังสือที่ผู้แท […]

The post สรุปข้อมูลเอกสารกัมพูชา ร้อง UN และท่าทีชี้แจงฝ่ายไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-cambodia-border-un

ฐานข้อมูลองค์การสหประชาชาติ (UN) เผยแพร่หนังสือที่ผู้แทนกัมพูชาประจำ UN ยื่นต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ขอให้นำกรณีการปะทะกันทางทหารและข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บรรจุเป็นวาระในหัวข้อ “การป้องกันการขัดกันด้วยอาวุธ” (Prevention of Armed Conflict) พร้อมกับแนบสำเนาคำร้องที่ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)  แสดงเจตจำนงว่าต้องการจะฟ้องคดีในศาล ลงวันที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา

 

เนื้อหาในเอกสาร กัมพูชาอ้างว่า เหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นฝ่ายทหารไทยที่เริ่มยิงก่อน หลังจากนั้นยังมีการขู่ใช้กำลัง อีกทั้งยังมีกระแสชาตินิยมหัวรุนแรงในไทย อันอาจนำไปสู่ความเกลียดชังและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ซึ่งกัมพูชามองว่าเรื่องนี้สมควรได้รับการพิจารณาในระดับสากล

 

ขณะที่ฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงต่อ UN ในวันที่ 19 มิถุนายน ยืนยันว่า การกระทำของทหารไทยเป็นการป้องกันตนเองภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น และสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว พร้อมทั้งย้ำว่า ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก และจะไม่ให้ความยินยอมในการที่กัมพูชาจะนำข้อพิพาทชายแดนเข้าสู่ศาลโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ชี้ว่าความพยายามของกัมพูชาในการฟ้องคดีดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่สุจริต และไม่สอดคล้องกับหลักการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี

 

และนี่คือสรุปข้อมูลคำร้องของกัมพูชาและการชี้แจงของไทย

 

  1. เหตุปะทะในพื้นที่พิพาทช่องบก (มุมเบย) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025

 

กัมพูชา 

  • ทหารไทยเปิดฉากยิงใส่ทหารกัมพูชา ที่ประจำการอยู่ในเขตอธิปไตยกัมพูชา เป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
  • การยิงของไทยเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา

 

ไทย

  • ฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในเขตแดนของไทย 
  • ทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนโดยปราศจากการยั่วยุ ทหารไทยถูกบังคับให้ใช้มาตรการป้องกันอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วน สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

 

  1. ความเคลื่อนไหวทางทหารและความเสี่ยงขัดแย้งครั้งใหญ่

 

กัมพูชา

  • มีการระดมกำลังทหารจำนวนมากทั้งสองฝ่าย
  • เสี่ยงเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่แบบปี 2008 และ 2011

 

ไทย

  • ยืนยันว่าการที่กัมพูชาส่งกำลังทหารไปยังพื้นที่พิพาทที่ช่องบก และการขุดคูเลตเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดข้อกำหนดที่ 5 ของ MOU43
  • การกระทำของทหารกัมพูชาถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทยอย่างชัดเจน

 

  1. การกล่าวหาและปฏิเสธข้อกล่าวหา

 

กัมพูชา

  • ความพยายามเจรจาทวิภาคีที่ดำเนินการมาตลอดล้มเหลว เนื่องจากการขาดเจตจำนงทางการเมืองอย่างชัดเจนจากฝ่ายไทย การยืนกรานใช้แผนที่ที่วาดฝ่ายเดียว และการกระทำที่รุกล้ำอธิปไตยของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง
  • ท่าทีคุกคามล่าสุดจากแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ที่ระบุว่าพร้อมใช้กำลังเพื่อยุติข้อพิพาท เป็นตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตร
  • การเพิ่มขึ้นของกระแสชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งถูกกระตุ้นเป็นส่วนใหญ่โดยถ้อยคำที่ขาดความรับผิดชอบจากกองทัพไทยและบุคคลทางการเมืองบางกลุ่ม เป็นพัฒนาการที่น่าวิตกอย่างยิ่ง

 

ไทย

  • ไทยมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะแก้ไขความขัดแย้งกับกัมพูชาผ่านการเจรจาทวิภาคีอย่างสันติที่ดำเนินการด้วยความสุจริตใจ ด้วยเจตนารมณ์ของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ
  • ไทยได้ยื่นข้อเสนอหลายประการเพื่อลดความตึงเครียด โดยเฉพาะผ่านการใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เช่น คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC), คณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบก (JBC) เพื่อจัดการกับประเด็นด้านความมั่นคงและเขตแดน
  • การประชุม JBC ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14–15 มิถุนายน 2025 แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายในการใช้กลไกทวิภาคีตามกรอบของ MOU43 ซึ่งยังคงเป็นช่องทางหลักในการจัดการกับข้อพิพาทด้านเขตแดน

 

  1. การแก้ไขข้อพิพาท

 

กัมพูชา

  • ยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ให้ตัดสินกรณีพื้นที่พิพาททั้ง 4 แห่ง ได้แก่ สามเหลี่ยมมรกต (มุมเบย), ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย
  • เห็นว่าเป็นหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ด้วยความยุติธรรมและเป็นกลาง

 

ไทย

  • การตัดสินใจของรัฐบาลกัมพูชาในการยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ชัดเจนว่าทำไปโดยไม่สุจริต และทำลายกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ของคณะกรรมาธิการว่าด้วยการกำหนดเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ซึ่งเพิ่งประชุมกันเมื่อวันที่ 14–15 มิถุนายน 2025
  • มองว่าการยื่นเรื่องต่อ ICJ ขัดต่อข้อกำหนดที่ 5 ของ MOU43 ซึ่งกำหนดว่าข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการใช้ MOU43 จะต้องยุติลงโดยสันติผ่านการปรึกษาหารือและการเจรจา
  • ไทยไม่ยอมรับอำนาจบังคับของ ICJ ตามมาตรา 36(2) ตั้งแต่ปี 1960 และจะไม่ยินยอมให้มีการดำเนินคดีฝ่ายเดียว

 

อ้างอิง : 

The post สรุปข้อมูลเอกสารกัมพูชา ร้อง UN และท่าทีชี้แจงฝ่ายไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตา BRICS Summit 2025: สีจิ้นผิง-ปูตินส่งผู้แทนเข้าร่วม การประชุมถูกลดความสำคัญ? https://thestandard.co/brics-summit-2025/ Sat, 05 Jul 2025 06:58:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1093227 brics brasil

การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 หรือ BRICS […]

The post จับตา BRICS Summit 2025: สีจิ้นผิง-ปูตินส่งผู้แทนเข้าร่วม การประชุมถูกลดความสำคัญ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
brics brasil

การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 หรือ BRICS Summit 2025 เตรียมเปิดฉากขึ้นที่นครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล โดยมี ลูอิส อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ประธานาธิบดีบราซิลเป็นเจ้าภาพการจัดประชุม ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-7 กรกฎาคมนี้

 

BRICS เป็นกรอบความร่วมมือพหุภาคีระหว่างประเทศกำลังพัฒนาหรือกลุ่มประเทศโลกใต้ที่มีศักยภาพและครอบคลุมประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ปัจจุบัน มีสมาชิก 10 ประเทศ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอินโดนีเซีย และมีประเทศหุ้นส่วน 10 ประเทศจากภูมิภาคต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น รวมถึงเวียดนามที่เพิ่งจะเข้าเป็นประเทศหุ้นส่วนประเทศล่าสุด เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

กระทรวงการต่างประเทศเผยว่า มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย โดย จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วย รุจิกร แสงจันทร์ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ที่บราซิล

 

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยในฐานะประเทศหุ้นส่วนของ BRICS จะย้ำความพร้อมที่จะกระชับความร่วมมือกับกลุ่ม BRICS เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศกำลังพัฒนา การเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน การส่งเสริมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน 

 

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตา

 

1.สีจิ้นผิง-ปูติน ส่งผู้แทนระดับสูงเข้าร่วม

 

สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะไม่เข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS เป็น ‘ครั้งแรก’ นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งในปี 2012 โดยจะส่ง หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีนเข้าร่วมประชุมแทน การตัดสินใจไม่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ของสีจิ้นผิง สร้างความประหลาดใจและทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงลำดับความสำคัญทางการทูตของจีน รวมถึงการลดทอนอำนาจของจีนในการผลักดันวาระของตนในที่ประชุม BRICS อีกด้วย

 

นักวิเคราะห์ชี้ว่า เหตุผลสำคัญน่าจะมาจากแรงกดดันภายในประเทศ เช่น ความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และการวางแผนพัฒนาระยะยาวของจีน โดยที่สีจิ้นผิงพบกับลูลา ดา ซิลวา มาแล้วถึง 2 ครั้งในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งที่การประชุม G20 ที่บราซิลเมื่อช่วงปลายปี 2024 และการประชุม China-CELAC Forum 2025 ระหว่างจีนและกลุ่มประชาคมรัฐละตินอเมริกาและแคริบเบียน (CELAC) เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 

อีกทั้งการประชุม BRICS ที่ขยายสมาชิกมากยิ่งขึ้น ก็อาจทำให้จีนมองว่า การหาข้อตกลงร่วมกันจะยิ่งยากขึ้นตามไปด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ Channel News Asia มองว่า แม้สีจิ้นผิงจะไม่ได้เดินทางมาเข้าร่วมในครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จีนจะลดความสำคัญของกลุ่ม BRICS ลง โดยการขาดประชุมของสีจิ้นผิง รวมถึงวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ซึ่งไม่สามารถเดินทางมาเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองได้ เนื่องจากหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงส่ง เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเข้าร่วมแทน อาจเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้นำประเทศสมาชิกอื่นๆ ของกลุ่ม BRICS เช่น นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย รวมถึงปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซียที่เพิ่งเข้าเป็นสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2025 ได้แสดงบทบาทและความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

 

โดยจีนและรัสเซียยังคงมอง BRICS เป็นกลไกสำคัญในการสร้างระเบียบโลกแบบพหุอำนาจ ลดอิทธิพลของตะวันตก และส่งเสริมความเป็นอิสระทางการเงิน โดยมีเป้าหมายผลักดันการใช้สกุลเงินท้องถิ่นและสร้างทางเลือกทางการเงินใหม่ๆ เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งใหม่ของ BRICS

 

  1. หัวข้อสำคัญในการเจรจา

 

BRICS Summit 2025 จัดขึ้น ภายใต้หัวข้อ ‘เสริมสร้างความร่วมมือโลกใต้เพื่อการสร้างธรรมาภิบาลที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น’ (Strengthening Global South Cooperation for More Inclusive and Sustainable Governance) 

 

บราซิลในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ปีนี้ ให้ความสำคัญครอบคลุม 6 ประเด็นหลัก ได้แก่  

  1. ความร่วมมือด้านสาธารณสุขระดับโลก
  2. การค้า การลงทุน และการเงิน
  3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  4. ธรรมาภิบาลด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  5. การปฏิรูประบบพหุภาคี ด้านสันติภาพและความมั่นคง
  6. การพัฒนากลไกด้านสถาบันของกลุ่ม BRICS

 

โดยที่ประชุมกลุ่ม BRICS อาจเปิดตัว ‘กองทุนค้ำประกันการลงทุน’ (Guarantee Fund) ผ่านธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งใหม่ (New Development Bank: NDB) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินและดึงดูดเงินทุนภาคเอกชนเข้าสู่โครงการพัฒนาในประเทศสมาชิกและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของ NDB แทนการระดมทุนใหม่

 

กองทุนนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากหน่วยงานประกันการลงทุนพหุภาคี (Multilateral Investment Guarantee Agency: MIGA) ของธนาคารโลก ซึ่งให้การรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองและเครดิตเพื่อส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในประเทศกำลังพัฒนา โดยคาดว่าเงินค้ำประกัน 1 ดอลลาร์จาก NDB จะสามารถดึงดูดเงินลงทุนภาคเอกชนได้ราว 5-10 ดอลลาร์สหรัฐในโครงการที่ได้รับการอนุมัติ เช่น โครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

 

กองทุนนี้ถือเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยเสริมบทบาทของ BRICS และ NDB ในเวทีโลก โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีความไม่แน่นอนและอัตราดอกเบี้ยโลกสูงขึ้น คาดว่า การดำเนินงานทางเทคนิค จะเสร็จสิ้นภายในปี 2025 และจะเริ่มโครงการนำร่องในปี 2026 อีกทั้ง NDB จะเป็นกลไกสำคัญในการช่วยผลักดันแนวทางการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ (Dedollarization)ในอนาคต

 

โดยก่อนหน้านี้รองนายกเทศมนตรีของเมืองรีโอเดจาเนโรยังได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างเป็นทางการที่จะเสนอให้เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ BRICS และธนาคาร NDB อีกด้วย

 

  1. บราซิล และ BRICS: ความท้าทายและโอกาส

 

บทความของผู้เชี่ยวชาญด้านลาตินอเมริกาใน Chatham House นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสของบราซิล และ BRICS ว่า ความขัดแย้งระดับโลกอย่างสงครามอิสราเอล-อิหร่าน รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพิ่มความเสี่ยงให้บราซิลในฐานะประธาน BRICS ในปีนี้ อาจถูกดึงเข้าสู่วังวนของความขัดแย้ง เนื่องจากทั้งอิหร่านและรัสเซียต่างเป็นสมาชิกของ BRICS จนอาจทำให้เป้าหมายสำคัญของบราซิล เช่น การส่งเสริมประชาธิปไตยในระบอบพหุภาคีนิยม, การปฏิรูปธรรมาภิบาลโลก และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ถูกสั่นคลอนลงได้

 

ประกอบกับประเทศสมาชิกใหม่ของ BRICS เช่น อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์และเอธิโอเปีย มีความโน้มเอียงไปทางระบอบเผด็จการ และอาจมีวิสัยทัศน์ที่ไม่สอดคล้องกับบราซิล ซึ่งอาจทำให้เกิดความยากลำบากในการหาจุดยืนร่วมกัน

 

อย่างไรก็ตาม การได้อินโดนีเซียเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ มีส่วนช่วยส่งเสริมความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์ พร้อมสนับสนุนแนวทางที่เป็นประชาธิปไตยซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของบราซิล โดยการขยายจำนวนสมาชิก BRICS มีส่วนทำให้มุมมองของ BRICS เปิดกว้างยิ่งขึ้น เพิ่มตลาดและขอบเขตความร่วมมือ อีกทั้งยังทำให้ BRICS สร้างแรงกระเพื่อมและเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับกลุ่มประเทศสมาชิก รวมถึงประเทศหุ้นส่วนได้มากยิ่งขึ้น

 

ก่อนหน้านี้รองนายกเทศมนตรีของเมืองรีโอเดจาเนโรยังได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างเป็นทางการที่จะเสนอให้เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ BRICS และธนาคาร NDB อีกด้วย

 

แม้จะมีอีกกว่า 40 ประเทศที่เดินหน้าแสดงความจำนง ต้องการสมัครเข้าเป็นสมาชิกถาวรของกลุ่ม BRICS แต่ดูเหมือนว่า การประชุม BRICS Summit 2025 อาจจะยังไม่มีวาระรับสมาชิกใหม่เพิ่มเติม ต้องติดตามการพิจารณาขยายจำนวนสมาชิกของกลุ่ม BRICS อีกครั้งในการประชุม BRICS Summit 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศอินเดีย

 

อ้างอิง:

The post จับตา BRICS Summit 2025: สีจิ้นผิง-ปูตินส่งผู้แทนเข้าร่วม การประชุมถูกลดความสำคัญ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ เล็งจำกัดส่งออกชิป AI มายังไทยและมาเลเซีย ป้องกันลักลอบส่งให้จีน https://thestandard.co/us-ai-chip-ban-thailand-malaysia/ Sat, 05 Jul 2025 02:54:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1093091 us-ai-chip-ban-thailand-malaysia

สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างข้อมูลแหล่งข่าว ว่ารัฐ […]

The post สหรัฐฯ เล็งจำกัดส่งออกชิป AI มายังไทยและมาเลเซีย ป้องกันลักลอบส่งให้จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
us-ai-chip-ban-thailand-malaysia

สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างข้อมูลแหล่งข่าว ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนที่จะจำกัดการส่งออกชิป AI จากบริษัทต่างๆ เช่น Nvidia Corp. มายังไทยและมาเลเซีย ซึ่งถูกมองว่าเป็นเส้นทางอ้อมที่จีนอาจใช้หลีกเลี่ยงมาตรการควบคุมการส่งออกที่มีอยู่ 

 

แผนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพื่อปราบปรามการลักลอบส่งเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีน โดยแหล่งข่าวระบุว่า ร่างกฎระเบียบฉบับใหม่ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้จีนได้รับชิป AI ผ่านตัวกลางในไทยและมาเลเซีย อย่างไรก็ตามร่างกฎระเบียบดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จและอาจเปลี่ยนแปลงได้

 

ขณะที่สหรัฐฯ วางแผนที่จะควบคุมการส่งออกชิป AI มายังไทยและมาเลเซีย ควบคู่ไปกับการยกเลิกมาตรการควบคุมทั่วโลก ภายใต้กฎที่เรียกว่า “AI Diffusion Rule” ซึ่งมีขึ้นในช่วงปลายรัฐบาลไบเดน และเคยถูกต่อต้านจากประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ และบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึง Nvidia

 

ทั้งนี้ รัฐบาลวอชิงตัน จะยังคงข้อจำกัดในการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ที่มุ่งเป้าไปยังจีน และประเทศอื่นๆ อีกกว่า 40 ประเทศ

 

ขณะที่กฎระเบียบใหม่ดังกล่าวจะถือเป็นก้าวแรกอย่างเป็นทางการในการปฏิรูปกฎ AI Diffusion ที่ทรัมป์ ให้สัญญาไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียง

 

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ไม่ได้ชี้แจงใดๆ เกี่ยวกับร่างกฎระเบียบฉบับใหม่นี้ โดยก่อนหน้านี้ โฮเวิร์ด ลุตนิก (Howard Lutnick) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ บอกกับสมาชิกรัฐสภาว่า สหรัฐฯ จะ อนุญาตให้ชาติพันธมิตรซื้อชิป AI ได้ แต่จะต้องดำเนินการโดยผู้ให้บริการ Data Center และระบบ Cloud สัญชาติอเมริกันที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาล และคลาวด์ที่สัมผัสกับศูนย์ข้อมูลนั้นจะต้องเป็นผู้ดำเนินการที่ได้รับอนุมัติจากอเมริกา” เขากล่าวระหว่างการให้การต่อรัฐสภา

 

อ้างอิง : 

The post สหรัฐฯ เล็งจำกัดส่งออกชิป AI มายังไทยและมาเลเซีย ป้องกันลักลอบส่งให้จีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายงบประมาณ ‘Big, Beautiful Bill’ สำคัญอย่างไร ทำไมทรัมป์ยกเป็น ‘ชัยชนะระดับปรากฏการณ์’ https://thestandard.co/trump-big-beautiful-bill-tax-cut-medicaid-border/ Fri, 04 Jul 2025 12:49:29 +0000 https://thestandard.co/?p=1093024 trump-big-beautiful-bill-tax-cut-medicaid-border

ร่างกฎหมายงบประมาณ ‘Big, Beautiful Bill’ หรือ ‘กฎหมายที […]

The post สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายงบประมาณ ‘Big, Beautiful Bill’ สำคัญอย่างไร ทำไมทรัมป์ยกเป็น ‘ชัยชนะระดับปรากฏการณ์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-big-beautiful-bill-tax-cut-medicaid-border

ร่างกฎหมายงบประมาณ ‘Big, Beautiful Bill’ หรือ ‘กฎหมายที่ใหญ่และสวยงาม’ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผ่านการลงคะแนนเสียงขั้นสุดท้ายในสภาผู้แทนราษฎร และเตรียมที่จะประกาศใช้จริง ภายหลังการลงนามรับรองโดยทรัมป์ ในพิธีลงนามที่จะมีขึ้นวันนี้ (4 กรกฎาคม) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับวันชาติของสหรัฐฯ

 

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติรับรองร่างกฎหมายฉบับนี้ไปด้วยคะแนนเสียง 218 ต่อ 214 เสียง หลังจากที่วุฒิสภาโหวตรับรองไปก่อนหน้านี้ ด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 50 เสียง ซึ่งรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ เป็นผู้ลงคะแนนเสียงชี้ขาด

 

ทรัมป์ ยกย่องการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็น ‘ชัยชนะระดับปรากฏการณ์’ 

 

โดยที่ผ่านมา ความพยายามผลักดันกฎหมายงบประมาณนี้เป็นไปอย่างลำบาก ท่ามกลางกระแสโต้แย้ง แม้แต่ในหมู่สมาชิกพรรครีพับลิกัน เนื่องจากมีหลายประเด็นของกฎหมาย ที่ส่งผลกระทบต่อโครงการด้านสังคมและเพิ่มระดับการใช้จ่ายงบประมาณ 

 

เนื้อหากฎหมายฉบับนี้ หลักๆ เป็นการขยายอายุกฎหมายลดหย่อนภาษีและการจ้างงานปี 2017 (2017 Tax Cuts and Jobs Act) ของทรัมป์ในสมัยแรก ซึ่งมีกำหนดจะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ ในขณะที่เพิ่มการใช้จ่ายสำหรับความปลอดภัยชายแดน การป้องกันประเทศ และการผลิตพลังงาน และตัดลดงบประมาณสำหรับโครงการประกันสุขภาพอย่าง Medicaid และโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร

 

ขณะที่สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส ประเมินว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจทำให้ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า

 

และนี่คือรายละเอียดที่สำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ 

 

ยืดอายุกฎหมายลดหย่อนภาษีทรัมป์

 

ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรก ทรัมป์ได้ลงนามกฎหมายลดหย่อนภาษีและการจ้างงานปี 2017  ซึ่งลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทและบุคคลในหลายกลุ่มรายได้

 

ทรัมป์ยกย่องกฎหมายดังกล่าวว่า จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ผู้เชี่ยวชาญโต้แย้งว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชาวอเมริกันที่ร่ำรวย

 

ขณะที่บทบัญญัติสำคัญของกฎหมายลดหย่อนภาษีและการจ้างงานปี 2017 มีกำหนดจะสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม แต่ร่างกฎหมายงบประมาณ Big, Beautiful Bill นั้นมีเป้าหมายที่จะขยายอายุกฎหมายฉบับนี้ ให้เป็นกฎหมายถาวร นอกจากนี้ ยังเพิ่มการหักลดหย่อนมาตรฐานเป็น 1,000 ดอลลาร์ สำหรับบุคคล และ 2,000 ดอลลาร์สำหรับคู่สมรส โดยมีผลจนถึงปี 2028 

 

เพิ่มข้อจำกัดประกันสุขภาพ

 

เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินสำหรับการลดหย่อนภาษีอื่นๆ พรรครีพับลิกันได้เพิ่มข้อจำกัดและข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับโครงการ Medicaid ซึ่งเป็นโครงการประกันสุขภาพที่ชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งทุพพลภาพและมีรายได้น้อยหลายล้านคนพึ่งพาอยู่

 

การเปลี่ยนแปลงและเพิ่มข้อจำกัดของ Medicaid ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของรายจ่ายรัฐบาลกลาง เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดกระแสโต้แย้ง

 

โดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ คือการเพิ่มข้อกำหนดด้านการทำงานสำหรับกลุ่มผู้ใหญ่ที่ไม่มีบุตร แข็งแรง และไม่มีความพิการ ซึ่งร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่นี้ ระบุว่า พวกเขาจะต้องทำงานอย่างน้อย 80 ชั่วโมงต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2026

 

การเปลี่ยนแปลงอีกอย่าง คือการกำหนดให้การลงทะเบียน Medicaid ใหม่ต้องเปลี่ยนจากปีละครั้ง เป็นทุก ๆ 6 เดือน ซึ่งผู้ลงทะเบียนจะต้องแสดงหลักฐานรายได้และถิ่นที่อยู่เพิ่มเติม

 

โดยข้อกำหนดด้านการทำงานของ Medicaid ที่ถูกเสนอโดยวุฒิสภาสหรัฐฯ ถือเป็นข้อกำหนดที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่พรรครีพับลิกันเคยเสนอมา ทำให้มีโอกาสที่ชาวอเมริกันจำนวนมากจะสูญเสียความคุ้มครองทางการแพทย์ เนื่องจากพวกเขาจะไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดใหม่นี้

 

สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส ประเมินว่า ผลจากการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มข้อจำกัดดังกล่าว อาจส่งผลให้มีชาวอเมริกันเกือบ 12 ล้านคน ต้องสูญเสียความคุ้มครองด้านสุขภาพภายใต้  Medicaid ภายในช่วงทศวรรษหน้า

 

สร้างกำแพงชายแดน จัดการปัญหาผู้อพยพ

 

กฎหมายงบประมาณฉบับใหม่นี้ ยังครอบคลุมการใช้จ่ายงบประมาณกว่า 46,500 ล้านดอลลาร์ สำหรับการสร้างกำแพงกั้นชายแดน และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และอีก 45,000 ล้านดอลลาร์สำหรับขยายขีดความสามารถในการกักตัวผู้อพยพผิดกฎหมายที่ถูกจับกุม 

 

โดยงบประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์ จะถูกใช้สำหรับการจ้างงาน การฝึกอบรม และทรัพยากรอื่นๆ สำหรับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ

 

ขณะที่กฎหมายฉบับใหม่นี้ ยังกำหนดให้เก็บค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 100 ดอลลาร์สำหรับผู้อพยพที่ต้องการขอสถานะผู้ลี้ภัย

 

เพิ่มการหักลดหย่อนภาษีของรัฐและท้องถิ่น

 

กฎหมายฉบับนี้ยังรวมถึงการเพิ่มเพดานหักลดหย่อนภาษีของรัฐและท้องถิ่น ( State and Local Tax Deduction​ : SALT) โดยเพิ่มจาก 10,000 ดอลลาร์เป็น 40,000 ดอลลาร์ และหลังจาก 5 ปี จะกลับมาเป็น 10,000 ดอลลาร์ 

 

ก่อนที่จะมีการหักลดหย่อนภาษีของรัฐและท้องถิ่น ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันสามารถหักภาษีของรัฐและท้องถิ่นทั้งหมดจากภาษีของรัฐบาลกลางได้ ซึ่งผู้กำหนดนโยบายบางคนมองว่า เป็นนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ครอบครองบ้านที่มีฐานะร่ำรวย ในรัฐที่มีภาษีสูง เช่น นิวยอร์กและแคลิฟอร์เนีย

 

แต่ผู้สนับสนุนให้เพิ่มเพดานการลดหย่อนภาษีให้เหตุผลว่า เพดานภาษี 10,000 ดอลลาร์ กำลังส่งผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อผู้ครอบครองบ้านชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคที่มีอัตราภาษีทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้น

 

ลดแรงจูงใจพลังงานสะอาด

 

ร่างกฎหมาย Big, Beautiful Bill จะยุติการให้แรงจูงใจทางภาษีในกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อปี 2022 สำหรับพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

 

ภายใต้กฎหมายงบประมาณฉบับใหม่นี้ จะยกเลิกเครดิตภาษี หรือจำนวนเงินที่ผู้เสียภาษีสามารถนำไปหักออกได้โดยตรงจากภาษีที่ตนเองพึงต้องจ่าย สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าใหม่และมือสอง การติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จ EV ที่บ้าน ตลอดจนการเสริมประสิทธิภาพแก่ระบบทำความร้อนและทำความเย็น 

 

กฎหมายฉบับนี้ยังยุติกองทุนลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งให้เงินทุนแก่องค์กรไม่แสวงหากำไรในการดำเนินโครงการเพื่อลดมลพิษและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชุมชน แต่สัญญาและเงินช่วยเหลือที่มีอยู่ภายใต้โครงการต่างๆ จะไม่ได้รับผลกระทบ

 

เพิ่มข้อจำกัดในการช่วยเหลือด้านอาหาร

 

กฎหมายงบประมาณใหม่นี้ ยังได้เพิ่มข้อจำกัดให้กับโครงการช่วยเหลือด้านอาหารแก่ชาวอเมริกันรายได้น้อย ที่เรียกว่า SNAP (Supplemental Nutrition Assistance Program) ซึ่งมีการแจกจ่ายคูปองอาหารให้แก่ชาวอเมริกันรายได้น้อยกว่า 40 ล้านคน

 

โดยรัฐต่างๆ ต้องมีส่วนสนับสนุนโครงการมากขึ้น ต่างจากในปัจจุบัน ที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ เป็นผู้จัดสรรงบประมาณให้ทั้งหมด

 

ขณะที่รัฐบาลจะยังคงจัดสรรงบประมาณสวัสดิการให้กับรัฐที่มีอัตราการจ่ายเงินผิดพลาดต่ำกว่า 6% ต่อไป แต่สำหรับรัฐที่มีอัตราการจ่ายเงินผิดพลาดสูงจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของโครงการตั้งแต่ 5% ถึง 15% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มในปี 2028

 

ทั้งนี้ ในชั้นวุฒิสภา ยังมีการเสนอให้เพิ่มข้อกำหนดด้านการทำงานสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการ SNAP ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และไม่มีผู้ที่อยู่ในความอุปการะ

 

เพิ่มเพดานหนี้

 

ภายใต้กฎหมายงบประมาณฉบับใหม่นี้ จะเพิ่มเพดานหนี้จาก 4 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับเส้นตายในการแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ช่วงปลายฤดูร้อนนี้

 

โดยก่อนหน้านี้ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งแก้ไขปัญหาเพดานหนี้ภายในกลางเดือนกรกฎาคม และเตือนว่าสหรัฐอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ อย่างเร็วคือในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่สภาปิดสมัยประชุม

 

เพิ่มเครดิตภาษีบุตร

 

ในปีหน้าเครดิตภาษีบุตรสำหรับชาวอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ จะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับก่อนปี 2017 แต่ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ จะเพิ่มเครดิตภาษีบุตรขึ้นเป็น 2,200 ดอลลาร์อย่างถาวร

 

ตัดภาษีค่าล่วงเวลาและทิป

 

ในร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่นี้ มีบทบัญญัติ ‘ไม่มีภาษีสำหรับทิป (No Tax on Tips)’ ซึ่งถือเป็นชัยชนะและการรักษาคำมั่นสัญญาของทรัมป์ ที่ให้ไว้ในช่วงหาเสียง โดยจะอนุญาตให้บุคคลต่างๆ หักเงินทิปและค่าล่วงเวลาบางส่วนจากภาษีของตนได้ ซึ่งจะตัดเงินที่ต้องจ่ายเป็นภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางออกไป โดยพนักงานที่ได้รับทิปยังคงต้องเสียภาษีเงินได้ของรัฐและท้องถิ่น และภาษีเงินเดือน 

 

ขณะที่สิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะถูกยกเลิกตามรายได้ต่อปี โดยเริ่มต้นที่ 150,000 ดอลลาร์สำหรับบุคคล และ 300,000 ดอลลาร์สำหรับคู่สมรส และสิ้นสุดในปี 2028

 

ภาพ : REUTERS/Umit Bektas TPX IMAGES OF THE DAY

 

อ้างอิง : 

The post สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายงบประมาณ ‘Big, Beautiful Bill’ สำคัญอย่างไร ทำไมทรัมป์ยกเป็น ‘ชัยชนะระดับปรากฏการณ์’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พาณิชย์จีนชี้ ‘เจรจา-ร่วมมือ’ คือทางออก หลังสหรัฐฯ ผ่อนปรนข้อจำกัดทางการค้า https://thestandard.co/china-talk-is-key-for-us-trade/ Fri, 04 Jul 2025 09:41:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1092969

โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงยืนยันว่า การเจรจาและความร่วมม […]

The post พาณิชย์จีนชี้ ‘เจรจา-ร่วมมือ’ คือทางออก หลังสหรัฐฯ ผ่อนปรนข้อจำกัดทางการค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงยืนยันว่า การเจรจาและความร่วมมือคือแนวทางที่ถูกต้อง ภายหลังมีรายงานว่าสหรัฐฯ ยกเลิกข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและการค้าบางส่วนต่อจีน โดยบริษัทจีนบางแห่งได้รับแจ้งจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ว่าจะมีการหวนส่งออกสินค้าบางรายการสู่จีนอีกครั้ง อาทิ ซอฟต์แวร์ออกแบบชิป อีเทน และเครื่องยนต์เครื่องบิน

 

โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนเผยว่า ภายหลังการเจรจาทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ครั้งล่าสุดในกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงรายละเอียดการดำเนินงานร่วมกันเพื่อผลักดันฉันทามติสำคัญซึ่งบรรลุโดยผู้นำทั้งสองประเทศผ่านการสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. และเพื่อสานต่อผลลัพธ์จากการเจรจาในนครเจนีวา

 

ในระหว่างกระบวนการนี้ จีนกำลังพิจารณาคำขอใบอนุญาตส่งออกสำหรับสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ขณะที่สหรัฐฯ ได้ดำเนินการผ่อนปรนมาตรการจำกัดบางประการ และแจ้งให้จีนรับทราบแล้ว

 

เขากล่าวว่า กรอบความร่วมมือที่บรรลุผลจากการเจรจาในกรุงลอนดอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พร้อมย้ำว่าการเจรจาและความร่วมมือคือแนวทางที่ถูกต้อง ขณะที่การข่มขู่และกดดัน “ไม่ได้นำไปสู่ทางออกใด”

 

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ตระหนักถึงธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ ยอมถอยกันคนละครึ่งทาง และแก้ไขแนวทางปฏิบัติที่ผิดพลาด เพื่อร่วมกันดำเนินตามฉันทามติของผู้นำทั้งสองฝ่าย พร้อมส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

 

อ้างอิง:

  • Xinhua

The post พาณิชย์จีนชี้ ‘เจรจา-ร่วมมือ’ คือทางออก หลังสหรัฐฯ ผ่อนปรนข้อจำกัดทางการค้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Poland Pivot: เมื่อไทยเป็น ‘หมุดหมายยุทธศาสตร์ใหม่’ ในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลก https://thestandard.co/opinion-the-poland-pivot/ Fri, 04 Jul 2025 07:12:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1092875 opinion-the-poland

กรุงวอร์ซอที่ดิฉันได้มาเยือนในวันนี้ แทบไม่เหลือเค้าโคร […]

The post The Poland Pivot: เมื่อไทยเป็น ‘หมุดหมายยุทธศาสตร์ใหม่’ ในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
opinion-the-poland

กรุงวอร์ซอที่ดิฉันได้มาเยือนในวันนี้ แทบไม่เหลือเค้าโครงของภาพจำในหน้าประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งสงครามและความเจ็บปวด เมืองที่เคยถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ฟื้นคืนชีพ กลายเป็นเมืองใหญ่ที่เปี่ยมด้วยพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของยุโรปกลาง 

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการเติบโตภายในประเทศ คือการที่โปแลนด์กำลังปรับแกนเข็มทิศนโยบายต่างประเทศของตนเองอย่างมีนัยสำคัญ และการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ มี ‘ประเทศไทย’ เป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญ

 

ปรากฏการณ์ “The Poland Pivot” นี้ ไม่ใช่แค่การทูตเพื่อกระชับมิตรภาพตามปกติ แต่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ที่เกิดจากแรงผลักดันทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากขั้วอำนาจเดียวสู่สภาวะหลายขั้ว ประเทศมหาอำนาจระดับกลาง ต่างแสวงหาพันธมิตรใหม่เพื่อสร้างสมดุลและเพิ่มทางเลือกให้กับตนเอง และนี่คือโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการสร้างพันธมิตรและยกระดับบทบาทของตนเองในเวทีโลก

 

ดิฉันได้มีโอกาสสนทนากับ อุรษา มงคลนาวิน  เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ บทสนทนาในวันนั้น ทำให้เห็นภาพชัดเจนถึงเบื้องหลังการขับเคลื่อนที่กำลังจะยกระดับความสัมพันธ์กว่า 5 ทศวรรษ ซึ่งสถาปนามาตั้งแต่ปี 1972 และเพิ่งเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีไปเมื่อปี 2022  สู่บทใหม่ของการเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์”

 

อุรษา มงคลนาวิน

อุรษา มงคลนาวิน เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ และ ณัฏฐา โกมลวาทิน 

 

เข้าใจหัวใจของโปแลนด์: ทำไมต้องวันนี้?

 

การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งหลังยุคสงครามเย็น ทำให้โปแลนด์มีศักยภาพและมีความมั่นใจที่จะกำหนดทิศทางของตนเองมากขึ้น ท่านทูตอุรษา ผู้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิด ยืนยันในมุมมองนี้

 

“สถานเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าโปแลนด์เป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง ในการที่เราจะส่งเสริมความสัมพันธ์ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และในเรื่องของความร่วมมือทางด้านสังคม โปแลนด์เป็นประเทศที่เป็นมิตรกับไทยมาอย่างยาวนาน และให้การสนับสนุนไทยในประเด็นต่างๆ อย่างดีมาโดยตลอด”

 

นี่คือพันธมิตรที่มีทั้งศักยภาพในประเทศและในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ

 

อุรษา มงคลนาวิน

อุรษา มงคลนาวิน เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ

 

จากตัวเลขสู่เรื่องราว : เมื่อเศรษฐกิจขับเคลื่อนมิตรภาพ

 

รากฐานของการยกระดับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ไม่ได้มาจากเพียงเจตจำนงทางการเมือง แต่ถูกหนุนหลังด้วยเรื่องราวความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เมื่อเราพูดถึงตัวเลขการค้าที่สูงเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 เรากำลังพูดถึงสินค้าไทยที่ไปถึงมือผู้บริโภคในยุโรป และเทคโนโลยีโปแลนด์ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจในบ้านเรา

 

เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้นคือเรื่องราวของบริษัทไทยอย่าง CP Foods, Thai Union Group และ Indorama Ventures ที่มองเห็นโปแลนด์ไม่ใช่แค่ตลาด แต่เป็นฐานยุทธศาสตร์ในการเข้าถึงตลาดยุโรปทั้งหมด ในทางกลับกัน บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโปแลนด์อย่าง Comarch ก็ได้เข้ามาลงทุนดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเช่นกัน เรื่องราวเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่าความสัมพันธ์ของไทยและโปแลนด์ เติบโตและงอกงามในโลกธุรกิจจริง

 

สภาพบ้านเมืองในกรุงวอร์ซอ

สภาพบ้านเมืองในกรุงวอร์ซอ

 

เมื่อ ‘เสน่ห์ไทย’ มัดใจชาวโปแลนด์

 

สิ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจยิ่งกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ คือสายใยที่เชื่อมโยงผู้คนของทั้งสองชาติ ท่านทูตอุรษาได้ฉายภาพความนิยมประเทศไทยในสายตาชาวโปแลนด์

 

“ในด้านการท่องเที่ยว ตอนนี้ นักท่องเที่ยวโปแลนด์ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของประเทศจากยุโรปกลางที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย ปีที่แล้วตัวเลขขึ้นไปถึง 180,000 แล้ว คาดว่าปีนี้ตัวเลขทั้งปีเราน่าจะได้เกิน 200,000 คน”

 

ท่านทูตเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มที่บอกเล่าได้มากกว่าตัวเลขทางการทูตว่า “คนโปแลนด์ชอบอาหารไทยมาก และทานอาหารเผ็ดได้นะคะ ชอบด้วย คนโปแลนด์ชอบมวยไทย ขณะนี้มียิมที่สอนมวยไทยในโปแลนด์เพิ่มขึ้นมาก” 

 

ความนิยมในมวยไทยนี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อถูกบรรจุเข้าในการแข่งขัน 2023 European Games ที่โปแลนด์เป็นเจ้าภาพ สะท้อนถึงการยอมรับใน ‘ตัวตน’ และ Soft Power ของไทย นอกจากนี้โปแลนด์ยังเป็นจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาที่สำคัญของนักเรียนไทย โดยเฉพาะในสาขาการแพทย์ เนื่องจากมีชื่อเสียงด้านความเชี่ยวชาญและมีค่าเล่าเรียนที่สมเหตุสมผล

 

นิยามใหม่ความสัมพันธ์: จากมิตรภาพสู่ ‘Strategic Dialogue’

 

ถ้าเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ไทยกับโปแลนด์อาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมายาวนาน แต่ในวันนี้ สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปทำให้ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จะยกระดับความสัมพันธ์ให้จริงจังและเป็นทางการมากขึ้น การพูดคุยทักทายอาจไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องมี “บทสนทนาเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อวางแผนอนาคตร่วมกัน

 

ท่านทูตอุรษาอธิบายถึงจังหวะเวลาที่ลงตัวนี้ว่า

 

“ขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่ามีความจำเป็นที่อยากจะเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น โปแลนด์อยากที่จะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออกมาหาเพื่อนนอกยุโรป ในขณะเดียวกัน นโยบายนี้ของโปแลนด์ก็สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย ที่เราก็ต้องการที่จะแสวงหาเพื่อนเพิ่มมากขึ้น”

 

การยกระดับสู่ “Strategic Dialogue” คือการสร้างกรอบความร่วมมือที่ชัดเจน เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการป้องกันประเทศ เป็นความพยายามของโปแลนด์ในการกระชับความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ Global South เพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ “โปแลนด์มองว่าการที่จะมีบทบาทอยู่เฉพาะในยุโรปอย่างเดียวไม่พอ ประเทศไทยอยู่ในประเทศเป้าหมายหลักที่โปแลนด์ต้องการที่จะเพิ่มพูนความสัมพันธ์”

 

สภาพบ้านเมืองในกรุงวอร์ซอ

สภาพบ้านเมืองในกรุงวอร์ซอ

 

แล้วไทยได้อะไร? จากยุทธศาสตร์ของโปแลนด์

 

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศที่ห่างไกลกว่า 8,000 กิโลเมตรนี้ มีความหมายอย่างไรกับคนไทย? คำตอบคือโอกาสในหลายมิติ

 

การมีโปแลนด์เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง คือการมี “เพื่อน” อยู่ในห้องประชุมที่สำคัญของสหภาพยุโรป เป็นเสียงสนับสนุนที่หนักแน่นให้กับการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู ที่จะเปิดประตูสู่ตลาดยุโรปให้กับผู้ประกอบการไทย และที่สำคัญไปกว่านั้น ในโลกที่ผันผวน การมีเพื่อนที่ไว้ใจได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย คือการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ให้กับประเทศไทย

 

การทูตในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสนธิสัญญาหรือพิธีการ แต่คือการมองเห็นศักยภาพ การเข้าใจผู้คน และการสร้างสะพานเชื่อมโยงผลประโยชน์เข้าไว้ด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ การปรับแกนของโปแลนด์ในครั้งนี้ คือโอกาสของประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนมิตรภาพอันยาวนานให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไปสู่เวทีโลกต่อไป

The post The Poland Pivot: เมื่อไทยเป็น ‘หมุดหมายยุทธศาสตร์ใหม่’ ในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลก appeared first on THE STANDARD.

]]>