World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 21 Aug 2025 12:21:04 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ร่วมมือกันก้าวสู่ ‘ทศวรรษทองใหม่’ แห่งความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง https://thestandard.co/lancang-mekong-cooperation-2/ Thu, 21 Aug 2025 11:51:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1109796 lancang-mekong-cooperation-2

แม่น้ำล้านช้าง-แม่โขงเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของผู้คนใ […]

The post ร่วมมือกันก้าวสู่ ‘ทศวรรษทองใหม่’ แห่งความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง appeared first on THE STANDARD.

]]>
lancang-mekong-cooperation-2

แม่น้ำล้านช้าง-แม่โขงเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของผู้คนในลุ่มน้ำ ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงถือกำเนิดขึ้นจากน้ำ โดยยึดมั่นในปณิธานดั้งเดิมที่ว่า “ดื่มน้ำสายธารเดียวกัน โชคชะตาผูกพันกัน” ส่งเสริมวัฒนธรรมล้านช้าง-แม่โขงที่ “ปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม ช่วยเหลือกันด้วยใจจริง และสนิทสนมดุจครอบครัวเดียวกัน” และยึดมั่นในจิตวิญญาณของแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขงที่ว่า “การพัฒนามาก่อน การปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียม การปฏิบัติอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ การเปิดกว้างและครอบคลุม” เพื่อความผาสุกร่วมกันของประชาชนทั้ง 6 ประเทศมาโดยตลอด และได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกความร่วมมือที่มีพลวัตและมีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาค มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค

 

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ เราหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ผลิ และได้เก็บเกี่ยวผลในฤดูใบไม้ร่วง ทั้ง 6 ประเทศได้สร้างความเชื่อมั่นที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน เสริมสร้างความไว้วางใจทางยุทธศาสตร์ซึ่งกันและกัน ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันทางทวิภาคีได้ครอบคลุมทั่วภูมิภาค และได้ตั้งเป้าหมายใหญ่ที่สร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับประเทศล้านช้าง-แม่โขงอย่างชัดเจน จึงได้กลายเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรที่ดี และหุ้นส่วนที่ดีที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน 

 

ทั้ง 6 ประเทศได้สร้างโล่ป้องกันที่แข็งแกร่งเพื่อความมั่นคงร่วมกัน ดำเนิน “โครงการริเริ่มล้านช้าง-แม่โขงที่ปลอดภัย” และปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกงอย่างจริงจัง ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงของภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง 

 

ขณะเดียวกันทั้ง 6 ประเทศยังได้สร้างกลไกที่ทรงพลังเพื่อส่งเสริมการพัฒนา เสริมสร้างความร่วมมือในการเชื่อมโยงทั้งเชิงกายภาพและเชิงนโยบาย รวมถึงห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ระเบียงนวัตกรรมเป็นจุดเด่นใหม่ของการพัฒนา และการพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขงได้เริ่มดำเนินการอย่างราบรื่น 

 

นอกจากนี้ ทั้ง 6 ประเทศยังได้เสริมสร้างความผูกพันระหว่างประชาชนที่มีความเข้าใจและความใกล้ชิดซึ่งกันและกัน โดยใช้ประโยชน์จากกองทุนพิเศษความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงเพื่อดำเนินโครงการเกือบหนึ่งพันโครงการในด้านทรัพยากรน้ำ การเกษตร การลดความยากจน สุขภาพ สตรี วัฒนธรรม และสาขาอื่นๆ โดยเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมืออย่างมีประสิทธิผล และนำผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมาสู่ประชาชนในประเทศลุ่มน้ำ

 

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ 6 ประเทศลุ่มน้ำล้านช้าง-แม่โขง ได้ประชุมกันที่มณฑลยูนนาน เพื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ครั้งที่ 10 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หวัง อี้ สมาชิกกรมการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน และมาริษ เสงี่ยมพงษ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้เป็นประธานร่วมและแถลงข่าวร่วมกัน 

 

หวัง อี้ได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้าง “ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง 2.0” ซึ่งประกอบด้วยความสามัคคี ความร่วมมือ การเปิดกว้างและได้ประโยชน์ทุกฝ่าย นวัตกรรมสีเขียว และสันติภาพและความสงบสุข ซึ่งเป็นการเริ่มต้นใหม่ในการสร้างทศวรรษทองใหม่ของความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง และเร่งสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับประเทศลุ่มล้านช้าง-แม่โขงที่มุ่งสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง 

 

ในระหว่างการประชุม หวัง อี้ ได้พบปะกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 5 ประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ไทย ลาว และเมียนมา ได้จัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ได้จัดการประชุมจิบน้ำชา ซึ่งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดอกและเป็นมิตรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคี การปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน และประเด็นอื่นๆ ในภูมิภาคที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจร่วมกัน 

 

นอกจากนี้ยังได้หารือเกี่ยวกับประเด็นร้อนในปัจจุบัน โดยการประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและภูมิปัญญาของครอบครัวล้านช้าง-แม่โขง ในการเสริมสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และร่วมกันปกป้องสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนาในภูมิภาค ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกที่แข็งแกร่งสู่โลก

 

ในปัจจุบันนี้ โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรอบศตวรรษ และภูมิภาคนี้ก็กำลังเผชิญกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ในฐานะประเทศใหญ่ที่รับผิดชอบ จีนยึดมั่นในหลักการทูตเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน เป็นหุ้นส่วนกับเพื่อนบ้าน ปรองดองกับเพื่อนบ้าน อยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างฉันมิตร และทำให้เพื่อนบ้านมีความสงบสุข ความมั่งคั่ง 

 

จีนยินดีทำงานร่วมกับประเทศล้านช้าง-แม่โขงด้วยจิตใจที่เปิดกว้างและจิตวิญญาณแห่งความสามัคคี เพื่อเร่งสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันล้านช้าง-แม่โขง ปกป้องและพัฒนาบ้านร่วมกันของเราให้ดี

 

ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย และ “50 ปีทองแห่งมิตรภาพจีน-ไทย” จีนหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และร่วมกับฝ่ายไทยจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองต่างๆ และสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ครั้งที่ 5 เราเชื่อมั่นว่าความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์จีน-ไทย และการพัฒนาความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงอย่างเข้มแข็ง จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและประชาชน อีกทั้งยังจะส่งเสริมสันติภาพ การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค และทำประโยชน์ใหม่ให้แก่การสร้างสรรค์อนาคตที่ดีขึ้นในภูมิภาค

The post ร่วมมือกันก้าวสู่ ‘ทศวรรษทองใหม่’ แห่งความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ เรารู้อะไรบ้าง? https://thestandard.co/israel-gaza-city-offensive/ Thu, 21 Aug 2025 07:33:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1109653 กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ขณะที่เมืองได้รับความเสียหายหนัก

กองทัพอิสราเอลประกาศเริ่มต้นปฏิบัติการระยะแรกในการบุกยึ […]

The post อิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ เรารู้อะไรบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ขณะที่เมืองได้รับความเสียหายหนัก

กองทัพอิสราเอลประกาศเริ่มต้นปฏิบัติการระยะแรกในการบุกยึดเมืองกาซา ซิตี้ (Gaza City) เมืองศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของฉนวนกาซาแล้วตั้งแต่วานนี้ (20 สิงหาคม) 

 

โดยปฏิบัติการบุกดังกล่าว เกิดขึ้นหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอล ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูเป็นประธาน ได้อนุมัติแผนเข้าควบคุมกาซา ซิตี้  ท่ามกลางเสียงประณามที่เพิ่มขึ้นทั้งในระดับนานาชาติและภายในประเทศ เนื่องจากความกังวลต่อวิกฤตมนุษยธรรมและความอดอยากหิวโหยของชาวปาเลสไตน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น และความเสี่ยงต่อชีวิตของตัวประกันที่เหลืออยู่ในกาซา ซึ่งอาจได้รับอันตรายจากปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลที่ขยายวงกว้าง

 

โดยผู้นำโลกและองค์การสหประชาชาติ​ (UN) เตือนว่าแผนยึดครองกาซา ซิตี้ ของอิสราเอล จะนำไปสู่ ‘การบังคับอพยพครั้งใหญ่’ และอาจเกิด ‘การสังหารหมู่ที่มากขึ้น’

 

ขณะที่กลุ่มฮามาสเตือน “การต่อต้านอย่างรุนแรง” ต่อการเริ่มต้นปฏิบัติการดังกล่าว โดยไม่สนใจในข้อเสนอไกล่เกลี่ยจากชาติอาหรับ ที่เสนอให้หยุดยิง 60 วัน แลกกับการปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่ในกาซา และการปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ในอิสราเอล พร้อมท้ังประณามอิสราเอลว่ากำลัง “ก่ออาชญากรรมสงครามรูปแบบใหม่”

 

และนี่คือสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับแผนยึดครองกาซา ซิตี้ ของอิสราเอล

 

รายละเอียดแผนยึดครองกาซา ซิตี้

 

แถลงการณ์ที่ออกโดยสำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลระบุว่า กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) จะ “เตรียมความพร้อมสำหรับการควบคุมเมืองกาซา” และระบุถึง ‘หลัก 5 ประการ’ สำหรับการยุติสงคราม ได้แก่

 

  1. การปลดอาวุธกลุ่มฮามาส
  2. การส่งตัวประกันทั้งหมดกลับประเทศ ทั้งที่ยังมีชีวิตและเสียชีวิต
  3. การทำให้ฉนวนกาซาเป็นเขตปลอดทหาร
  4. การควบคุมความมั่นคงของอิสราเอลเหนือฉนวนกาซา
  5. การจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนทางเลือก ที่ไม่ใช่กลุ่มฮามาสหรือรัฐบาลปาเลสไตน์

 

โดย IDF ยังได้ประกาศเตรียมเรียกระดมกำลังพลสำรองเพิ่มอีก 60,000 นายสำหรับปฏิบัติการบุกกาซา ซิตี้ และอ้างเหตุผลในการเริ่มปฏิบัติการบุกรอบใหม่นี้ โดยหยิบยกกรณีกลุ่มสมาชิกฮามาส 18 คน บุกโจมตีฐานที่มั่นของอิสราเอลเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งอิสราเอลพยายามชี้ว่าเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ แม้ว่าในความเป็นจริง ฐานที่มั่นดังกล่าวจะมีขนาดเล็กก็ตาม

 

ทั้งนี้ ปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ของอิสราเอล มีขึ้นท่ามกลางวิกฤตมนุษยธรรม โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากภาวะอดอยากแล้วอย่างน้อย 269 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 112 คน  ขณะที่การส่งความช่วยเหลือเข้าไปในกาซาไม่สามารถทำได้

 

ขณะที่ Al Jazeera รายงานว่ามีชาวปาเลสไตน์อีกอย่างน้อย 81 คนเสียชีวิตจากการโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอลวานนี้ ส่งผลให้ยอดรวมชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 62,122 คน

 

โดย IDF ยืนยันว่าได้เตรียมพร้อมกำลังทหารสำหรับปฏิบัติการยึดครองกาซา ซิตี้ ไปพร้อมกับดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่พลเรือนที่อยู่นอกเขตสู้รบ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะเป็นการเปิดทางให้มีการส่งความช่วยเหลือใหม่ หรือความช่วยเหลือที่ดำเนินการโดยมูลนิธิด้านมนุษยธรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากอิสราเอลและสหรัฐฯ อยู่แล้ว หรือใช้กลไกช่วยเหลืออื่นๆ

 

เหตุใดจึงยึดครองกาซา ซิตี้ เพียงเมืองเดียว?

 

ก่อนหน้านี้ เนทันยาฮูเคยมีความตั้งใจว่า ต้องการให้อิสราเอลควบคุมฉนวนกาซาทั้งหมด แต่ในแผนใหม่ที่ผ่านการหารือร่วมกับคณะรัฐมนตรีความมั่นคง ยืนยันว่า จะเป็นเพียงการบุกเข้าควบคุมเพียงเมืองกาซา ซิตี้ เท่านั้น 

 

โดยสื่อท้องถิ่นอิสราเอล เปิดเผยว่า ฝ่ายกองทัพบางส่วนคัดค้านอย่างหนักต่อแนวทางของเนทันยาฮู ในการยึดครองฉนวนกาซาเต็มรูปแบบ

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าการควบคุมกาซา ซิตี้ น่าจะเป็นขั้นตอนแรกก่อนจะนำไปสู่การยึดครองฉนวนกาซาอย่างเต็มรูปแบบ

 

ก่อนเริ่มต้นปฏิบัติการบุก เนทันยาฮู ได้ให้สัมภาษณ์​ Fox News ยืนยันว่า อิสราเอลไม่ต้องการยึดครองฉนวนกาซาไว้ และตั้งใจที่จะส่งมอบให้กับ “กองทัพของชาติอาหรับ”

 

“เราต้องการมีเขตแดนด้านความมั่นคง เราไม่ต้องการปกครอง” เขากล่าว

 

ปัจจุบัน อิสราเอลระบุว่า สามารถควบคุมพื้นที่ในฉนวนกาซาได้ 75% ขณะที่สหประชาชาติประเมินว่า ราว 86% ของพื้นที่กาซา อยู่ในเขตทหารหรืออยู่ภายใต้คำสั่งอพยพ

 

ทั้งนี้ กาซา ซิตี้ ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดของรัฐปาเลสไตน์ที่ตั้งอยู่ในฉนวนกาซา โดยก่อนเกิดสงคราม มีประชากรอาศัยอยู่ราว 5.9 แสนคน

 

กองทัพอิสราเอลเชื่อว่าเมืองแห่งนี้เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของระบอบการปกครองและกองกำลังก่อการร้ายของกลุ่มฮามาส 

 

โดยสภาพเมือง ณ ปัจจุบัน ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิด รวมถึงการโจมตีภาคพื้นดินของอิสราเอลในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา

 

การยึดครองกาซา ซิตี้ จะสิ้นสุดเมื่อไหร่

 

แถลงการณ์ของ IDF ระบุว่า “ก่อนที่จะอนุมัติแผนปฏิบัติการบุกกาซา ซิตี้ นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ได้สั่งการให้ลดระยะเวลาในการบุกและเอาชนะกลุ่มฮามาสให้สั้นลง”

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยกรอบเวลาที่แน่ชัดของปฏิบัติการยึดครองกาซา ซิตี้ โดยเอฟฟี เดฟริน โฆษก IDF เปิดเผยว่า ทหารอิสราเอลกำลังเดินหน้ายึดพื้นที่รอบนอกของเมือง และล่าสุดกำลังปฏิบัติการอยู่ในเขตชุมชนไซทูน (Zeitoun) ในพื้นที่ชานเมือง

 

นานาชาติมีปฏิกิริยาอย่างไร?

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลอิสราเอลและเนทันยาฮู เผชิญกับการประท้วงและกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากครอบครัวตัวประกันและผู้นำโลกที่เพิ่มมากขึ้น

 

โดยเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เรียกการยกระดับสถานการณ์ของอิสราเอลว่าเป็น ‘ความผิดพลาด’ ซึ่งจะยิ่งนำไปสู่การนองเลือดมากขึ้น

 

ก่อนหน้านี้ ฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่ารัฐบาลของเขาจะไม่อนุมัติการส่งออกยุทโธปกรณ์ใดๆ ไปยังอิสราเอล ซึ่งอาจนำไปใช้ในกาซาได้จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม

 

เขากล่าวว่า “เป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะเข้าใจว่าแผนการทางทหารของอิสราเอลจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ถูกต้องได้อย่างไร” โดยในอดีต เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดให้กับอิสราเอล

 

ด้านประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส แห่งปาเลสไตน์ ประณามปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ของอิสราเอลว่าเป็น ‘อาชญากรรมขั้นรุนแรง’

 

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศตุรกี ระบุว่า “อิสราเอลมีเป้าหมายที่จะบังคับชาวปาเลสไตน์ให้พลัดถิ่นจากดินแดนของตนเอง”

 

โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “สงครามในฉนวนกาซาต้องยุติลงเดี๋ยวนี้” และเตือนว่า “การยกระดับความรุนแรงขึ้นจะส่งผลให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ การสังหารหมู่ ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส การทำลายล้างที่ไร้เหตุผล และอาชญากรรมอันโหดร้าย”

 

อย่างไรก็ตาม พันธมิตรหลักของอิสราเอลอย่างสหรัฐฯ มีท่าทีวิพากษ์วิจารณ์การยกระดับความขัดแย้งของอิสราเอลที่น้อยกว่าชาติตะวันตกอื่นๆ โดยเมื่อวันอังคาร  (19 สิงหาคม) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า “ขึ้นอยู่กับอิสราเอล” ว่าจะยึดครองฉนวนกาซาทั้งหมดหรือไม่ และไมค์ ฮัคคาบี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล กล่าวว่าแผนยึดกาซา ซิตี้ ของอิสราเอลนั้น “ไม่ใช่ข้อกังวลของสหรัฐฯ”

 

“ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะบอกพวกเขาว่า ควรหรือไม่ควรทำอะไร” เขากล่าว

 

ภาพ: REUTERS/Dawoud Abu Alkas

อ้างอิง: 

The post อิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ เรารู้อะไรบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลาฟรอฟชี้ การหารือความมั่นคงยูเครนที่ไม่ให้รัสเซียมีส่วนร่วม เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ https://thestandard.co/lavrov-ukraine-talks-quote/ Thu, 21 Aug 2025 04:30:53 +0000 https://thestandard.co/?p=1109589

เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเ […]

The post ลาฟรอฟชี้ การหารือความมั่นคงยูเครนที่ไม่ให้รัสเซียมีส่วนร่วม เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแสดงความเห็นต่อ บทบาทของผู้นำยุโรปที่พบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อหารือเรื่องการรับประกันความมั่นคงให้ยูเครนซึ่งอาจมีส่วนช่วยยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เกิดขึ้นมานานกว่า 3 ปี โดยยืนยันว่า ความพยายามแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงของยูเครน โดยไม่ให้รัสเซียมีส่วนร่วม เป็นหนทางที่ไร้ประโยชน์ 

 

พร้อมระบุว่า บรรดาผู้นำยุโรปเหล่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดบานปลายอย่างมาก และเน้นย้ำว่า ข้อเสนอในประเด็นความมั่นคงและความมั่นคงร่วมกัน โดยที่รัสเซียไม่ได้มีส่วนร่วมนั้น จะไร้ผล และเหมือนอยู่ในโลกอุดมคติ

 

 

ภาพ: Hamad I Mohammed / Reuters

 

อ้างอิง:

The post ลาฟรอฟชี้ การหารือความมั่นคงยูเครนที่ไม่ให้รัสเซียมีส่วนร่วม เป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ระยะแรก พร้อมระดมกำลังพลสำรองนับหมื่น https://thestandard.co/israel-new-gaza-offensive/ Thu, 21 Aug 2025 03:51:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1109549

กองทัพอิสราเอลประกาศเริ่มต้นปฏิบัติการระยะแรกในการบุกยึ […]

The post อิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ระยะแรก พร้อมระดมกำลังพลสำรองนับหมื่น appeared first on THE STANDARD.

]]>

กองทัพอิสราเอลประกาศเริ่มต้นปฏิบัติการระยะแรกในการบุกยึดเมืองกาซา ซิตี้ (Gaza City) วานนี้ (20 สิงหาคม) พร้อมเรียกระดมกำลังพลสำรองกว่า 6 หมื่นนายเข้าประจำการ ในขณะที่รัฐบาลกำลังพิจารณาข้อเสนอหยุดยิงฉบับใหม่จากกลุ่มฮามาส เพื่อระงับสงครามที่ดำเนินมาเกือบ 2 ปี

 

“เราได้เริ่มปฏิบัติการขั้นต้นและการโจมตีระยะแรกในเมืองกาซา ซิตี้แล้ว และขณะนี้กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) กำลังยึดพื้นที่รอบนอกของเมือง” พลจัตวาเอฟฟี เดฟริน โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวกับผู้สื่อข่าว และเผยว่ากลุ่มฮามาสกำลังบอบช้ำอย่างหนักจากการโจมตี และอิสราเอลจะเพิ่มการโจมตีกาซา ซิตี้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นฐานที่มั่นของทั้งหน่วยงานรัฐบาลและการทหารของฮามาส

 

แถลงการณ์ดังกล่าว บ่งชี้ว่าอิสราเอลกำลังเร่งดำเนินการตามแผนยึดครองเมืองศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของกาซา โดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติเกี่ยวกับปฏิบัติการที่อาจบังคับให้ชาวปาเลสไตน์นับล้านต้องอพยพพลัดถิ่น

 

ปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังคณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอล ซึ่งมีเนทันยาฮูเป็นประธาน ได้มีมติรับรองแผนขยายการรบในกาซา โดยมีเป้าหมายเพื่อยึดเมืองกาซา ซิตี้ ขณะที่ปัจจุบันอิสราเอลสามารถครอบครองพื้นที่ทั่วฉนวนกาซาได้แล้วประมาณ 75%

 

ทั้งนี้ Al Jazeera รายงานว่ามีชาวปาเลสไตน์อีกอย่างน้อย 81 คนเสียชีวิตจากการโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอลวานนี้ ส่งผลให้ยอดรวมชาวปาเลสไตน์ที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 62,122 คน

 

ขณะที่ปฏิบัติการบุกยึดเมืองกาซาของอิสราเอล มีขึ้นท่ามกลางวิกฤตมนุษยธรรม โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากภาวะอดอยากแล้วอย่างน้อย 269 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 112 คน ขณะที่การส่งความช่วยเหลือเข้าไปในกาซาไม่สามารถทำได้

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กลุ่มฮามาสได้ยอมรับข้อเสนอจากชาติอาหรับที่ทำหน้าที่ตัวกลางไกล่เกลี่ย โดยเสนอให้หยุดยิง 60 วัน รวมถึงการปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่บางส่วนในกาซาและปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ในอิสราเอล

 

โดยกลุ่มฮามาสได้ออกแถลงการณ์ผ่านเทเลแกรม ภายหลังอิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ และกล่าวหาเนทันยาฮูว่าพยายามขัดขวางข้อตกลงหยุดยิง

 

“การที่เนทันยาฮูเพิกเฉยต่อข้อเสนอของผู้ไกล่เกลี่ย เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือผู้ที่ขัดขวางข้อตกลงหยุดยิงอย่างแท้จริง”

 

ขณะที่รัฐบาลอิสราเอล ซึ่งยืนยันว่าฮามาสต้องปล่อยตัวตัวประกันที่เหลือทั้งหมด 50 คนในทันที เปิดเผยว่ากำลังพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว โดยทางการอิสราเอลเชื่อว่า ตัวประกันที่เหลือในกาซาอีกราว 20 คนยังมีชีวิตอยู่

 

ภาพ: REUTERS/Dawoud Abu Alkas

 

อ้างอิง:

The post อิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการบุกยึดกาซา ซิตี้ ระยะแรก พร้อมระดมกำลังพลสำรองนับหมื่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
อนาคตสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ 4 ฉากทัศน์ https://thestandard.co/russia-ukraine-war-scenarios/ Wed, 20 Aug 2025 13:05:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1109436 สงครามรัสเซีย-ยูเครน

เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการหารือสำคัญระหว่า […]

The post อนาคตสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ 4 ฉากทัศน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สงครามรัสเซีย-ยูเครน

เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการหารือสำคัญระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่รัฐอะแลสกา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา และการหารือระหว่างทรัมป์ และบรรดาผู้นำยุโรป ซึ่งรวมถึงโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายสำคัญในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เกิดขึ้นมานานกว่า 3 ปีครึ่ง

 

นี่คือ ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นจากทั้งสองการประชุม

 

การประชุมสร้าง ‘บรรยากาศใหม่’ แก่โลก

 

ผศ. ดร. จิราพร ร่วมพงษ์พัฒนะ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า หลังเสร็จสิ้นทั้งสองการประชุม โดยเฉพาะทรัมป์-ปูตินซัมมิท ได้สร้างบรรยากาศใหม่ต่อประชาคมโลก แม้จะยังไม่มีรูปธรรม แต่ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ดูดียิ่งขึ้น

 

อาจารย์มองว่า ปูตินเปิดเผยตัวตนมากขึ้น และทรัมป์ก็แสดงบทบาทในฐานะ ‘คนกลาง’ เป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยหรือสะพานเชื่อมระหว่างฝ่ายต่างๆ ซึ่งในมุมหนึ่งก็สะท้อนว่า รัสเซียไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวอีกต่อไป และอาจมีการเจรจาผ่อนปรนเรื่องมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียบางส่วนเพิ่มเติม

 

สอดคล้องกับ พงศ์พล ชื่นเจริญ คอลัมนิสต์ด้านการเมืองยูเรเซีย และล่ามอิสระ ที่ระบุว่า บริบทที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซีย มีส่วนสำคัญที่ทำให้การเจรจาสันติภาพเดินหน้าต่อไปได้ และนำไปสู่ท่าทีที่น่าสนใจที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นทางจากฝ่ายรัสเซีย ซึ่งต่างไปจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยบารัก โอบามา หรือโจ ไบเดน ที่การเจรจาหารือระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศแทบเป็นไปไม่ได้เลย

 

ขณะที่การพบกันระหว่างทรัมป์และบรรดาผู้นำยุโรปดูเหมือนจะยังหาจุดร่วมกันไม่เจอ แนวทางและเงื่อนไขต่างๆ ยังดูสวนทางกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งรัสเซียและยูเครนก็ต่างต้องการการสนับสนุน โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ 

 

อาจารย์จิราพร ระบุว่า แม้ปูตินจะมองว่า ทรัมป์ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับรัสเซีย 100% แต่ปูตินมองว่าทรัมป์คือ ‘ผู้ร่วมทางเดียวกับปูติน’ ที่จะร่วมกดดันยุโรป และรัสเซียดูจะได้เปรียบทางการเมืองระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะ สหรัฐฯ เป็นผู้สร้าง ‘วาระการเจรจา’ (Negotiation Agenda) ให้รัสเซีย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า บทบาทของสหรัฐฯ ทำให้รัสเซียได้เปรียบขึ้นมา แม้ทรัมป์หรือสหรัฐฯ จะมีผลประโยชน์ของตนเองก็ตาม

 

ภาพ: Kevin Lamarque / Reuters

 

ทรัมป์และปูตินปฏิเสธหยุดยิง หวังผลักดันข้อตกลงสันติภาพ

 

ก่อนซัมมิตทรัมป์-ปูติน เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ยังเดินหน้าปิดดีลหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง พร้อมขู่ว่า จะเกิด ‘ผลลัพธ์ร้ายแรง’ หากเจรจาปิดดีลหยุดยิงไม่สำเร็จ ก่อนที่จะกลับลำในประเด็นนี้ โดยทรัมป์ระบุว่า “เขาไม่คิดว่าการหยุดยิงเป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไป และต้องการเดินหน้าเจรจาข้อตกลงสันติภาพขั้นสุดท้าย” ทั้งยังไม่คิดที่จะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย เหมือนที่ขู่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว 

 

โดยปูติน ‘เห็นพ้อง’ กับจุดยืนของทรัมป์ในประเด็นนี้ ขณะที่บรรดาผู้นำยุโรปต่างมองว่า ‘ข้อตกลงหยุดยิง ยังเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ’

 

ดร. อดุลย์ กำไลทอง อาจารย์พิเศษด้านรัสเซียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ในทรัมป์-ปูตินซัมมิต ทั้งสองได้เปิดเผยภาพทั้งหมดให้เห็นและได้รับรู้แล้วว่า ‘รัสเซียต้องการอะไร’ ความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาสันติภาพโดยไม่มีการหยุดยิง ‘มีสูงมาก’ 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ต้นสัปดาห์นี้ เป็นแบบ ‘One Stop Service’ สไตล์ทรัมป์ ซึ่งทรัมป์ได้เชิญทั้งยูเครนและยุโรปมาเปิดเผยความต้องการทั้งหมด ก่อนที่จะโทรศัพท์สายตรงหาปูติน ซึ่งอาจหมายความว่า ข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องของยุโรปและยูเครนได้ถูกส่งไปถึงปูตินแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา จึงเป็นไปได้สูงมากที่การหาข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ จะนำไปสู่การเจรจาสันติภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีการหยุดยิงก่อนเลย

 

ดร. อดุลย์ มองว่า การข้ามช็อตไปสู่การเจรจาสันติภาพ จะส่ง ‘ผลเชิงบวก’ ทางจิตวิทยาอย่างแน่นอน เพราะทั้งโลกรอคอยให้สงครามนี้ยุติลง อีกทั้ง ‘ทุกฝ่ายจะได้รับผลประโยชน์’ โดยรัสเซียจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยอมรับจากประชาคมโลก ในฐานะประเทศมหาอำนาจ ที่สหรัฐฯ เกรงใจและต้องคุยเป็นกรณีพิเศษ อีกทั้งรัสเซียยังเหนื่อยล้ากับการสนับสนุนกำลังทหารและการเงินไปกับสงครามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทรัมป์จึงจัดหาทางลงให้กับปูติน

 

ขณะที่ฝ่ายยูเครนก็รอคอยช่วงเวลานี้มานาน เพราะที่ผ่านมาการจะดึงผู้นำรัสเซียเข้าร่วมวงเจรจาไม่ใช่เรื่องง่าย ดร. อดุลย์ เชื่อว่า ทรัมป์เป็นคนเดียวที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้ หากยูเครนไม่ใช้โอกาสนี้เป็น ‘ทางออกสุดท้าย’ ก็อาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว 

 

ส่วนยุโรปก็เหนื่อยล้าอย่างมาก จากผลกระทบทางเศรษฐกิจอันหนักหน่วงจากสงครามที่ยืดเยื้อนี้ แม้ยุโรปจะยังมีข้อกังวลว่า หากยูเครนจำเป็นต้องสละดินแดนให้รัสเซียจริงๆ จะต้องมีอะไรบางอย่างแลกเปลี่ยนที่ยุโรปและยูเครนยอมรับได้ และต้องดูไม่เป็นการเสียประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว

 

สถานการณ์โดยรวมเป็นไปในเชิงบวก และสหรัฐฯ น่าจะยอมชดเชยด้วยเงินหรือกำลังของตนเอง หากสามารถทำได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ‘สหรัฐฯ คือผู้ที่กินรอบวง หรือเป็นผู้ชนะในเกมนี้’

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผู้นำยุโรปอยากให้มีข้อตกลงหยุดยิงก่อนข้อตกลงสันติภาพนั้น ดร. อดุลย์ มองว่า ยังมีเรื่องของดินแดนที่ยังคาบเกี่ยวและยังไม่จบ โดยเฉพาะ ซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia) และเคอร์ซอน (Kherson)ที่ยังคงมีความคลุมเครือ โดยรัสเซียไม่ได้ขอ 2 แคว้นนี้โดยตรง เหมือนกรณีดอนบาส (โดเนตสก์และลูฮันสก์) แต่ใช้คำว่า ‘ตรึงกำลังบริเวณ 2 แคว้นนี้’ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า หมายถึงตรงไหน กว้างแค่ไหน รัศมีกี่กิโลเมตร หากมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยุโรปก็ไม่น่าขัดข้องกับการเจรจาสันติภาพ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังมี ‘ช่องว่าง’ หรือความคลุมเครือเกี่ยวกับ 2 แคว้นนี้อยู่

 

ขณะที่อาจารย์จิราพร กล่าวว่า ยุโรปมองสงครามและความรุนแรงในปัจจุบันที่กระทบพลเรือนเป็น ‘บาดแผลทางการเมือง’ การหยุดยิงจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นและทำให้ยุโรปปลอดภัยและมั่นคงขึ้น

 

นอกจากนี้อาจารย์ยังมองว่า หากมองจากมุมผลประโยชน์ของรัสเซีย หากรัสเซียยอมตกลงหยุดยิงในช่วงเวลาที่เป้าหมายของเขายังไม่บรรลุผล นั่นเท่ากับว่า รัสเซียจะไม่มีเครื่องมือที่ใช้ต่อรองหรืออ้างสิทธิ์ใดๆ เลย รัสเซียจึงแสวงหาข้อตกลงสันติภาพมากกว่า 

 

รัสเซียมีท่าทีผ่อนปรน ในกรณีซาปอริซเซียและเคอร์ซอน

 

ระหว่างทรัมป์-ปูตินซัมมิต ปูตินบอกกับทรัมป์ว่า เขาต้องการให้ยูเครนสละแคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์ (ภูมิภาคดอนบาส) ซึ่งเป็น 2 ใน 4 แคว้นของยูเครนที่รัสเซียประกาศผนวกรวมไปเมื่อเดือนกันยายน 2022 และมีท่าทีผ่อนปรนต่อ 2 แคว้นที่เหลือ ในกรณีซาปอริซเซียและเคอร์ซอน

 

ดร. อดุลย์ เชื่อว่า ปูตินยังคงต้องการพื้นที่บางส่วนของซาปอริซเซียและเคอร์ซอน แม้จะไม่กี่ตารางกิโลเมตร เพื่อให้เป็น ‘สะพานเชื่อม’ (Landbridge) ที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียไปยังไครเมียได้

 

เป้าหมายหลักของรัสเซียคือ ‘การเป็นมหาอำนาจในทะเลดำ’ ซึ่งต้องมีทั้งไครเมียและแผ่นดินใหญ่ที่เชื่อมต่อกัน ผ่านทั้ง 4 แคว้นหลัก โดย ดร. อดุลย์ มองว่า ยูเครนแม้จะไม่เต็มใจให้โดเนตสก์และลูฮันสก์ แต่ก็จำเป็นต้องให้ ขณะที่ ซาปอริซเซียและเคอร์ซอน รัสเซียอาจเสนอด้วยการแลกเปลี่ยนว่า จะคืนดินแดนส่วนใหญ่ที่ยึดครองไปเกือบทั้งหมดใน 2 แคว้นนี้ให้ แต่ขอเพียงพื้นที่บางส่วนที่เชื่อมต่อกันมาจนถึงไครเมียเท่านั้น

 

ขณะที่อาจารย์จิราพร ชี้ว่า ท่าทีผ่อนปรนดังกล่าวอาจเป็นหลักการที่ว่า ‘ได้ส่วนน้อย ดีกว่าเสียส่วนใหญ่ไปทั้งหมด’ ปัญหาที่แท้จริงในดอนบาส เกิดขึ้นจากการปะทะกันทางวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ประเด็นทางการทหาร การยอมลดเงื่อนไขอาจเป็น ‘การโยนหินถามทาง’ เพื่อใช้เป็นโมเดลกับพื้นที่อื่น โดยใช้ผู้คนท้องถิ่นในพื้นที่นั้นๆ เป็นตัวละครสำคัญในการแผ่ขยายอิทธิพลรัสเซีย 

 

ทางด้าน พงศ์พล กล่าวเสริมด้วยการแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวว่า หลังจากที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนดอนบาสและไครเมียแล้ว พวกเขาจำนวนมากมีความสุขที่ได้มีพาสปอร์ตรัสเซีย และมองว่า ‘ตนเองได้กลับบ้านอีกครั้ง’ ซึ่งตรงข้ามกับภาพที่สื่อตะวันตกมักนำเสนอว่า พื้นที่เหล่านั้น ‘ถูกยึดครอง’ ทั้งๆ ที่พื้นที่เหล่านั้นมีวัฒนธรรมรัสเซียหลอมรวมอยู่มาก อีกทั้งคนในพื้นที่เหล่านั้น โดยเฉพาะไครเมียต่างชื่นชมปูติน และมองพื้นที่ดังกล่าว เป็น ‘พื้นที่ที่ได้รับการปลดปล่อย’ (Liberated Area)

 

รัสเซียยินยอมให้ยุโรปและสหรัฐฯ สร้างหลักประกันความมั่นคงให้ยูเครน

 

ดร. อดุลย์ ยอมรับว่า รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีนี้ของปูติน พร้อมระบุว่า ข้อตกลงนี้มีความยืดหยุ่นสูง กติกาต่างๆ สามารถเขียนและกำหนดร่วมกันได้โดยทุกฝ่าย ที่ผ่านมารัสเซียมองว่า NATO เป็นภัยคุกคาม แต่ข้อตกลงใหม่นี้ (ที่คล้ายมาตรา 5 ของ NATO) มีความยืดหยุ่นและรัสเซียยอมรับได้

 

ที่สำคัญคือ ดร. อดุลย์ มองว่า ‘รัสเซียลอยตัวแล้ว’ เพราะมีแนวโน้มที่จะได้สิ่งที่ต้องการตามเป้าหมายที่วางไว้ (แลนด์บริดจ์เชื่อมถึงไครเมีย) รัสเซียไม่ได้สนใจว่า สหรัฐฯ และยุโรปจะเข้ามารักษาความมั่นคงให้ยูเครนอย่างไร เพราะรัสเซียมองว่า ‘สัญญาในวันนี้คือสัญญาในวันนี้’ หากในอนาคตสัญญาไม่เป็นไปตามที่ตกลง รัสเซียก็พร้อมที่จะฉีกสัญญาและดำเนินการต่อไป หากมีเงื่อนไขว่าอีกฝ่ายละเมิดก่อน

 

ทางด้านอาจารย์จิราพร ระบุว่า ทรัมป์และปูตินยอมรับเงื่อนไขการสร้างหลักประกันความมั่นคงที่ ‘ไม่ใช่ NATO’ ซึ่งเป็นความพยายามที่ทรัมป์จะสร้างสมดุลระหว่างรัสเซียและยุโรป ในขณะที่การสร้างสมดุลระหว่างยูเครนและรัสเซีย ‘ยังไม่เกิดขึ้น’ กล่าวคือ ต้องมีการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งจริงๆ ก่อน ซึ่งเท่ากับว่าจะเป็น ‘การผลักภาระไปให้ยูเครน’ 

 

โดยยุโรปเสนอให้ใช้กลไกทางการทหาร ส่วนทรัมป์เสนอภาพแผนที่พื้นที่ที่ยูเครนถูกรัสเซียถือครอง ซึ่งอาจเป็นการเสนอการจัดระเบียบพื้นที่ตามข้อตกลง เพื่อให้รัสเซียได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเข้าไปจัดการดูแลพื้นที่เหล่านั้น ซึ่งอาจจะเหลือแค่พื้นที่ในดอนบาส และไครเมีย (ที่รัสเซียถือครองโดยพฤตินัยอยู่แล้ว ตั้งแต่ปี 2014) อาจารย์จิราพร จึงมองว่า สถานการณ์ฝ่ายยูเครนถูกโน้มเอียง อีกทั้งบทบาทของเซเลนสกีในที่ประชุมครั้งล่าสุดที่ทำเนียบขาวก็ไม่ปรากฏชัด นี่อาจเป็น ‘การลดทอนสถานภาพและบทบาทของผู้เจรจา’ ของยูเครน เพราะเริ่มมีการถามถึงการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นการลดอำนาจต่อรองของเซเลนสกี และโยนภาระหนักไปที่ยูเครนว่า สุดท้ายแล้วยูเครนจะเลือกทางไหน

 

เมื่อสงครามยืดเยื้อนำไปสู่ ‘ความเหนื่อยล้าของผู้คน’ ซึ่งยุโรปก็มีแนวโน้มที่จะมองเช่นเดียวกันนี้ในสายตาของอาจารย์จิราพร หากเซเลนสกีไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของผู้แก้ไขปัญหา ภาพลักษณ์ของเขาอาจถูกลดทอนลงอีก 

 

ทางด้าน พงศ์พล ชี้ว่า ท่าทีนี้ของรัสเซียน่าสนใจอย่างมาก เพราะการที่กองกำลังต่างชาติจะเข้ามาในยูเครน ถือเป็น ‘เส้นแดง’ ของรัสเซียมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งสาเหตุสำคัญของสงครามครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ยูเครนมีนโยบายยั่วยุ (Provocative Policy) เช่น การนำกองเรือสหรัฐฯ มาซ้อมรบในทะเลดำใกล้ไครเมียเกือบทุกไตรมาส ซึ่งเป็นสิ่งที่รัสเซียไม่ยอมให้เกิดขึ้นมาโดยตลอด

 

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ปูตินยอมให้ยุโรปและสหรัฐฯ สร้างหลักประกันความมั่นคงให้ยูเครน พงศ์พล อธิบายว่า เป็นเพราะ (1) ความสามารถในการสื่อสารกับทรัมป์ โดยปูตินมองว่า สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์สามารถพูดคุยกันได้ แตกต่างจากสมัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มาจากพรรคเดโมแครตที่รัสเซียไม่สามารถเจรจาด้วยได้  หากผู้นำสหรัฐฯ เปลี่ยนไปในอนาคต นโยบายนี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกครั้ง

 

(2) การแสดงความเคารพและให้เกียรติจากสหรัฐฯ โดยทรัมป์ส่งเครื่องบินรบประกบเครื่องบินของปูติน ขณะที่เดินทางมาเยือนรัฐอะแลสกาในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการ ‘ให้เกียรติสูงสุด’ ต่อผู้นำรัสเซีย

 

(3) ผลประโยชน์จากภาพลักษณ์เชิงบวกของปูตินต่อบริบทภายในประเทศ โดยปูตินอาจใช้ผลงานนี้ นำไปโฆษณาความสามารถของตนเองภายในประเทศได้ หลังจากที่สู้รบมานานกว่า 3 ปี สุดท้ายสหรัฐฯ ก็ต้องยอมกลับมาคุยกับรัสเซีย โดยพงศ์พล ระบุว่า นี่ไม่ใช่การเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่จากศูนย์ แต่เป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ (Renormalization) ให้กลับมาสู่ภาวะปกติและอยู่ในจุดที่ ‘สูงกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว’

 

ภาพ: Alexander Drago / Reuters

 

อนาคตสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น 

 

นี่คือ 4 ฉากทัศน์ที่ประมวลจากการสัมภาษณ์

 

ฉากทัศน์แรก: รัสเซีย-ยูเครน ‘ตกลงกันได้’ โดยยูเครนยอมยกโดเนตสก์และลูฮันสก์ให้กับรัสเซีย ขณะที่รัสเซียต้องให้สหรัฐฯ และยุโรปมาเป็น ‘ผู้ค้ำประกันความมั่นคง’ ให้กับยูเครน ซึ่งอาจมีมาตรการคล้ายกับมาตรา 5 ของ NATO ส่วนสหรัฐฯ จะต้องนำผลประโยชน์ของตนเองเข้ามาอยู่ในยูเครน เพื่อยืนยันการค้ำประกันอย่างจริงจัง หากมีการสู้รบใดๆ เกิดขึ้นอีก นั่นหมายถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ก็จะได้รับผลกระทบด้วย

 

ฉากทัศน์สอง: รัสเซีย-ยูเครน ‘ตกลงกันไม่ได้’ โดยตัวแปรสำคัญคือชาติยุโรป ‘ไม่เห็นด้วย’ กับการเสียดินแดน  หรืออาจยอมให้เสียดินแดนได้ แต่มีเงื่อนไขว่ารัสเซียจะต้องไม่มีแลนด์บริดจ์เชื่อมกับไครเมีย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากในมุมมองของ ดร. อดุลย์ที่รัสเซียจะไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ จึงจะต้องมีการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อเพิ่มเติมในสายตาของยูเครนและยุโรป

 

ดร. อดุลย์ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่เซเลนสกีจะปฏิเสธเงื่อนไขเรื่องดินแดน แต่อาจไม่ได้มาจากตัวเขาเอง โดยชาติยุโรปจะเป็นตัวแปรสำคัญในประเด็นนี้ อีกทั้งยังมองว่า การเมืองยูเครนขณะนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของประชาชน แต่เป็นเรื่องของการเมืองในยุโรปทั้งหมด รวมถึงในสหรัฐฯ ด้วย โดยที่ทรัมป์ก็เตรียมหา ‘ทางลง’ ให้กับเซเลนสกี เสนอแนะให้มีการเลือกตั้งผู้นำใหม่โดยเร็วที่สุดตามระบบประชาธิปไตย หลังจากมีการลงนามข้อตกลงสันติภาพ เนื่องจากเซเลนสกีหมดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนมาสักระยะหนึ่งแล้ว และผู้นำคนใหม่ก็จะมารับภาระหน้าที่นี้ต่อจากเซเลนสกี หากเขาแพ้หรือไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัย

 

ฉากทัศน์สาม: รัสเซีย-ยูเครน ‘ตกลงกันไม่ได้’ โดยยูเครนยังยืนยันที่จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวให้กับรัสเซีย ก็อาจจะทำให้สงครามระหว่างทั้งสองประเทศยังคงดำเนินต่อไปอีกสักระยะ ยูเครนยังคงต้องพึ่งพายุโรป รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น โปแลนด์ และรัฐบอลติก หากสหรัฐฯ ประกาศไม่สนับสนุนงบประมาณทางด้านการทหารต่อยูเครนในอนาคต โดย พงศ์พล กล่าวเสริมว่า หากฉากทัศน์นี้เกิดขึ้น จะสะท้อนสัจธรรมของโลกที่ไม่ว่าจะรบกันนานแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมาคุยกันอยู่ดี  หากยูเครนไม่ตกลง สงครามก็อาจดำเนินต่อไปในลักษณะ ‘งูกินหาง’ 

 

ฉากทัศน์สี่: อาจนำไปสู่ตัวแบบ ‘รัฐกึ่งเอกราช’ หรือ ‘พื้นที่สุญญากาศ’ (Vacuum Zone) โดยอาจารย์จิราพร มองว่า เมื่อความเหนื่อยล้าทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น อีกทั้งคนในดอนบาสหรือคนท้องถิ่นอื่นๆ เบื่อหน่ายรัฐบาลกลางจริงๆ อาจนำไปสู่ตัวแบบข้างต้นที่มีลักษณะแยกออกมาเป็น ‘รัฐลอยๆ’ ไม่ได้รับการยอมรับในเวทีสากล เช่น อับคาเซียและเซาท์ออสซีเชียในจอร์เจีย ที่รัสเซียมีอิทธิพลในการจัดการสังคมดินแดนเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นการแบ่งปันอำนาจการปกครองระหว่างกลุ่มการเมืองในภูมิภาค

 

ขณะที่พงศ์พล มองว่า ในทางปฏิบัติ รัสเซียถือว่าโดเนตสก์และลูฮันสก์เป็น ‘สาธารณรัฐประชาชน’ (People’s Republics) ซึ่งมีสถานะเป็น ‘รัฐเอกราช’ อยู่แล้ว ซึ่งคล้ายกับอับคาเซียและเซาท์ออสซีเชียที่รัสเซียให้การยอมรับเอกราชเช่นกัน หากยูเครนยอมรับสถานะกึ่งเอกราชเหล่านี้ รัสเซียก็อาจไม่ผนวกดินแดน (ทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย) แต่ให้คงไว้เป็นสาธารณรัฐหรือบัฟเฟอร์โซน

 

ส่วนในกรณีของไครเมีย พงศ์พล อธิบายว่า มีจุดต่างกันเล็กน้อยตรงที่ไครเมียมีการทำประชามติแยกเป็นเอกราชก่อน เมื่อยูเครนไม่ยอมและมีการสู้รบ รัสเซียจึงผนวกเข้าไปโดยตรง ขณะที่ความขัดแย้งกับจอร์เจียจบเร็วกว่า ทำให้พื้นที่กึ่งเอกราชอย่างอับคาเซียและเซาท์ออสซีเชีย ไม่ถูกรัสเซียผนวกรวมเข้ามา แต่ยังคงมีอิทธิพลในพื้นที่เหล่านี้

 

สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะยุติลงในสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หรือไม่

 

ดร. อดุลย์ เชื่อว่า จะเป็นเช่นนั้น โดยคาดการณ์ว่า ทุกอย่างจะจบลงภายในปลายปีนี้หรือต้นปี 2026 เนื่องจากว่า มีสงครามครั้งใหญ่ระหว่าง สหรัฐฯ-พันธมิตร กับจีน-กลุ่ม BRICS รออยู่ ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯ กำลังเคลียร์หลังบ้าน เพื่อให้มีกำลังและพันธมิตรในการเผชิญหน้ากับกลุ่ม BRICS ในอนาคต

 

ปัจจุบัน สหรัฐฯ เหมือนเป็น ‘One Man Show’ เพราะยุโรปกำลังติดพันอยู่กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน หากเรื่องนี้คลี่คลายลง ความสัมพันธ์กับรัสเซียจะกลับมาเป็นปกติ ต้นทุนพลังงานและเศรษฐกิจที่ยุโรปต้องจ่ายแพงก็จะลดลง การคว่ำบาตรรัสเซียก็จะหมดไป ถึงตอนนั้น สหรัฐฯ จะสามารถเดินหน้าไปพร้อมกับยุโรปที่ ‘ติดอาวุธ’ ในด้านการค้าและเศรษฐกิจ เพื่อแข่งขันกับกลุ่ม BRICS ได้ในอนาคต

 

ดร. อดุลย์ ยังมองว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ทรัมป์จะได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ทรัมป์กำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดนั้น เพื่อแสวงหาความพึงพอใจในการเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก เวลานี้จึงเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นสำหรับทุกฝ่าย ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้ก็อาจจะ ‘ไม่มีโอกาสอีกแล้ว’

 

ทางด้านอาจารย์จิราพร ระบุว่า สงครามครั้งนี้อาจ ‘สงบศึก’ ได้ประมาณ 70% แต่เป็นเหมือนอยู่ในม่านหมอก ซึ่งอาจกลับมารุนแรงอีกก็ได้ เมื่อหมดวาระของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยปัจจัยสำคัญคือ การเมืองท้องถิ่นภายในของยูเครน หากการเมืองภายในมั่นคงและประนีประนอมกับรัสเซียได้แบบในอดีต สงครามก็อาจจะยุติลงได้

 

สอดคล้องกับ พงศ์พล ที่มองว่า มีความเป็นไปได้ที่จะยุติได้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะยั่งยืนถาวรหรือไม่ โดยทรัมป์ต้องการสร้างภาพลักษณ์เป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ (Peacemaker) และจะทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ โดยไม่สนใจว่าใครจะได้หรือเสียอะไร การที่สงครามดำเนินมาถึงจุดที่รัสเซียได้เปรียบ และทรัมป์เข้ามาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ก็จะทำให้เขาสามารถอ้างผลงานได้ แม้จะยุติลงเพียงชั่วคราว ก็ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของทรัมป์แล้ว

 

สิ่งที่น่าจับตามองของสงครามรัสเซีย-ยูเครน

 

ดร. อดุลย์ ระบุว่า สิ่งที่น่าจับตาอันดับแรกคือ การเจรจาข้อแลกเปลี่ยนของทั้งสองฝ่ายว่า ‘ความพอดี’ ของแต่ละฝ่ายอยู่ตรงไหน เพราะนี่จะเป็นตัวชี้วัดว่าสงครามจะจบหรือไม่

 

สิ่งที่สองคือ อยากให้จับตาดูกลยุทธ์และทักษะของโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างใกล้ชิด เพราะเขาถือเป็นต้นแบบของนักเจรจาและนักต่อรอง ที่สามารถปิดดีลสำคัญของโลกได้ ประเทศไทยอาจจะต้องถอดบทเรียนบางอย่างจากสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะในบริบทของภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอนาคต และมีเครื่องมือที่หลากหลายในการเจรจาต่อรอง

 

ขณะที่พงศ์พล กล่าวทิ้งท้ายว่า สถานการณ์นี้มีความซับซ้อน ไม่ได้เป็นไปตามตำราวิชาการทั้งหมด และเน้นย้ำว่าสงครามไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นผลมาจากพัฒนาการของสถานการณ์ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเสียมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องยอม เพราะ ‘เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย’

 

แฟ้มภาพ: Getty Images / Reuters / Shutterstock

The post อนาคตสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ 4 ฉากทัศน์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน-อินเดีย ฟื้นสัมพันธ์ กลับมาเปิดเที่ยวบินตรง หารือยุติความขัดแย้งพรมแดน https://thestandard.co/china-india-resume-direct-flights-border-talks/ Wed, 20 Aug 2025 07:45:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1109299 จีน อินเดีย

กระทรวงการต่างประเทศอินเดียแถลงว่า อินเดียและจีนจะกลับม […]

The post จีน-อินเดีย ฟื้นสัมพันธ์ กลับมาเปิดเที่ยวบินตรง หารือยุติความขัดแย้งพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>
จีน อินเดีย

กระทรวงการต่างประเทศอินเดียแถลงว่า อินเดียและจีนจะกลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินตรงระหว่างกันอีกครั้ง พร้อมทั้งเดินหน้าส่งเสริมการค้าและการลงทุน รวมถึงเปิดการค้าชายแดนใน 3 จุดที่กำหนด และเพิ่มการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า

 

ท่าทีดังกล่าว ถือเป็นสัญญาณบวกในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ หลังจากที่เผชิญความขัดแย้งและเหตุปะทะในพื้นที่ชายแดนครั้งใหญ่เมื่อปี 2020 ขณะที่เที่ยวบินตรงระหว่างจีนและอินเดีย ถูกระงับไปนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในปีเดียวกัน

 

แถลงการณ์ล่าสุดนี้ เกิดขึ้นหลังการเยือนกรุงนิวเดลีของหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นเวลา 2 วัน เพื่อร่วมเจรจากับ อาจิต โทวาล (Ajit Doval) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย (NSA) เพื่อหารือเรื่องการยุติข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ

 

กระทรวงการต่างประเทศอินเดียระบุว่า การเจรจาข้อพิพาทชายแดนครอบคลุมประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถอนกำลังทหารของทั้งสองประเทศในบริเวณพื้นที่พิพาทชายแดนเทือกเขาหิมาลัย ตลอดจนดำเนินการกำหนดและปักปันเขตแดน ตลอดจนหารือเรื่องกิจการชายแดน

 

แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนที่เผยแพร่ในวันนี้ (20 สิงหาคม) ระบุว่า ทั้งสองประเทศตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อปรึกษาหารือและประสานงานด้านกิจการชายแดนและผลักดันเรื่องการเจรจากำหนดเขตแดน

 

โดยกลไกดังกล่าวจะขยายการเจรจาให้ครอบคลุมพื้นที่ชายแดนทางด้านตะวันออกและทางตอนกลาง ขณะเดียวกัน จะมีการเจรจารอบใหม่เกี่ยวกับพื้นที่ชายแดนด้านตะวันตกโดยเร็วที่สุด ซึ่งทั้งสองประเทศตกลงที่จะหารือกันอีกครั้งที่จีนในปี 2026

 

ทางด้านนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย โพสต์ข้อความบน X หลังการพบปะกับหวัง ระบุว่า “ความสัมพันธ์ที่มั่นคง คาดการณ์ได้ และสร้างสรรค์ระหว่างอินเดียและจีน จะมีส่วนสำคัญต่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก” 

 

โดยความพยายามกระชับสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจแห่งเอเชีย เกิดขึ้นท่ามกลางนโยบายต่างประเทศที่คาดเดาไม่ได้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขณะที่ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อินเดียยังเผชิญแรงกดดันจากการขู่ขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ​ เพื่อบีบบังคับให้ยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

 

ภาพ: India’s Press Information Bureau/Handout via REUTERS 

อ้างอิง: 

The post จีน-อินเดีย ฟื้นสัมพันธ์ กลับมาเปิดเที่ยวบินตรง หารือยุติความขัดแย้งพรมแดน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยูเครนต้องการหยุดยิง ปูตินต้องการดีลสันติภาพ ต่างกันอย่างไร? https://thestandard.co/trump-ukraine-peace-debate/ Wed, 20 Aug 2025 07:15:59 +0000 https://thestandard.co/?p=1109294 trump-ukraine-peace-debate

หัวข้อในเนื้อหานี้ การหยุดยิงยังจำเป็นหรือไม่? ปูติน-ทร […]

The post ยูเครนต้องการหยุดยิง ปูตินต้องการดีลสันติภาพ ต่างกันอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-ukraine-peace-debate

 

เมื่อวันจันทร์ (18 สิงหาคม) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประชุมร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน และผู้นำยุโรปหลายคน ที่ทำเนียบขาว โดยระหว่างการพูดคุย ทรัมป์ได้หยิบยกบางประเด็นจากการหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขึ้นมาพิจารณาและตั้งคำถามว่า การหยุดยิงนั้นยัง ‘จำเป็น’ หรือไม่ หากรัสเซียและยูเครนสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้

 

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของทรัมป์ ไม่สามารถยับยั้งผู้นำยุโรปบางคนจากการผลักดันให้มีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว ก่อนที่จะเดินหน้าไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ 

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลเคียฟและพันธมิตรยุโรป ยืนยันว่าข้อตกลงหยุดยิงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในขั้นต้นของกระบวนการสันติภาพและยุติสงคราม 

 

แต่นักวิเคราะห์มองว่าการยอมรับข้อเรียกร้องของปูตินที่ต้องการข้ามเรื่องหยุดยิง ไปสู่การบรรลุข้อตกลงสันติภาพอย่างถาวรนั้น อาจเป็นการละเลยต่อหลักการพื้นฐานของระเบียบโลก นั่นคือ “ประเทศต่างๆ ไม่สามารถใช้กำลังทหารเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ”

 

การหยุดยิงยังจำเป็นหรือไม่?

 

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์กฎหมายระหว่างประเทศหลายคนมองว่า ข้อตกลงที่จะบังคับให้ยูเครนยอมสละดินแดนเพื่อหยุดยั้งรัสเซียไม่ให้สังหารประชาชน ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิงตามกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศส่วนใหญ่ลงนามหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

โดยในมุมมองของกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงสันติภาพและการหยุดยิงนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก เนื่องจากในระหว่างการหยุดยิง แต่ละฝ่ายที่ร่วมทำสงครามตกลงที่จะยุติการสู้รบ และคงกำลังทหารไว้ในพื้นที่ที่ควบคุม

 

อย่างไรก็ตาม การหยุดยิงนั้นเป็นเพียงข้อตกลงชั่วคราว ซึ่งอาจจะกินระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน หรือยาวนานเป็นทศวรรษ และโดยปกติจะเป็นการเปิดช่องทางในการเจรจา ส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรืออพยพพลเรือน

 

เซเลนสกีและผู้นำชาติยุโรป มองว่าการหยุดยิงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาโดยตรงระหว่างเซเลนสกีและปูติน ซึ่งทรัมป์ยืนยันว่าจะจัดขึ้นตามด้วยการประชุมไตรภาคีที่มีเขา เซเลนสกี และปูตินเข้าร่วม

 

อย่างไรก็ตาม ผู้นำยุโรปบางประเทศ เช่น ฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวในการประชุมกับทรัมป์ว่า เขา “นึกไม่ออกเลยว่าการประชุมครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยปราศจากการหยุดยิง”

 

ปูติน-ทรัมป์ ต้องการดีลสันติภาพ

 

สิ่งที่ปูตินต้องการ และตอนนี้ ทรัมป์ก็มีท่าทีสนับสนุนด้วยเช่นกัน คือการเจรจาเพื่อมุ่งหน้าสู่ข้อตกลงสันติภาพอย่างถาวร

 

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงสันติภาพควรเป็นสนธิสัญญาระยะยาวอย่างเป็นทางการที่กำหนดความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่าง 2 ประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งข้อตกลงสันติภาพนั้น ‘ไม่ง่าย’ และค่อนข้างมีความ ‘ซับซ้อน’

 

เจเรมี พิซซี (Jeremy Pizzi) นักกฎหมายระหว่างประเทศและที่ปรึกษากฎหมายของ Global Rights Compliance ซึ่งเป็นมูลนิธิสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า “กฎหมายระหว่างประเทศมีหลักการสำคัญเฉพาะตัว ที่จารึกไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเด่นชัด นั่นคือ การใช้กำลังเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่าสนธิสัญญาใดๆ ที่ได้มาโดยใช้กำลังนั้นผิดกฎหมายและเป็นโมฆะ”

 

ทั้งนี้ ปูตินยื่นเงื่อนไขหลักในข้อตกลงสันติภาพระหว่างการหารือกับทรัมป์ ที่อะแลสกา คือการที่ยูเครนต้องยอมสละดินแดน 2 แคว้น คือโดเนตสก์และลูฮันสก์ และต้องมีการรับรองไม่ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ในอนาคต

 

เงื่อนไขเหล่านี้ จะทำให้ข้อตกลงสันติภาพที่รัสเซียต้องการ ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งในแง่ของวิธีการบรรลุข้อตกลงด้วยกำลังทหาร และยังผิดในแง่ของเนื้อหาข้อตกลง

 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเซเลนสกี อาจจะต้องการที่จะตอบรับเงื่อนไขเพื่อยุติสงคราม (แม้ความจริงจะไม่ได้ต้องการ) แต่เขาก็ไม่สามารถยินยอมที่จะสละดินแดนให้รัสเซียได้

 

โดยภายใต้รัฐธรรมนูญยูเครน การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับพรมแดนของประเทศจะต้องได้รับการอนุมัติจากประชาชนผ่านการทำประชามติ 

 

แต่ผลสำรวจโดยสถาบันสังคมวิทยานานาชาติเคียฟ (KIIS) ที่ทำการสำรวจในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พบว่าชาวยูเครนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการยอมให้ดินแดนของยูเครนไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และเสียงส่วนใหญ่คัดค้านอย่างยิ่งต่อการยอมสละดินแดนที่ยูเครนควบคุมอยู่ในปัจจุบัน

 

ขณะที่พิซซีชี้ว่า แม้ชาวยูเครนจะเปลี่ยนใจและลงประชามติเห็นชอบให้ยกดินแดนแก่รัสเซีย แต่ข้อตกลงสันติภาพดังกล่าวที่เป็นผลจากการใช้กำลังทหารเพื่อยึดครองดินแดนก็ยังคงผิดกฎหมายระหว่างประเทศ

 

ด้าน ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์สาขาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นต่อการเปลี่ยนท่าทีของทรัมป์ ที่หันไปสนับสนุนการทำข้อตกลงสันติภาพโดยเธอมองว่า การจะอ่านทรัมป์นั้นค่อนข้างยากพอสมควร ซึ่งเมื่อทรัมป์ เข้าสู่การเจรจา เขาจะพิจารณาว่าการทำข้อตกลงสันติภาพ กับการทำข้อตกลงหยุดยิงนั้น จริงๆ มีน้ำหนักเท่าหรือไม่เท่ากันอย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเราดูแพทเทิร์นของทรัมป์ในการเจรจา เขามักจะชอบที่จะเจรจาเสร็จแล้วบอกว่า ตัวเองประสบความสำเร็จในการเจรจา ดังนั้น ท่าทีที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนเป้าหมายจากการหยุดยิงเป็นการเจรจาข้อตกลงสันติภาพ ก็อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทรัมป์ สามารถบอกได้ว่าตนเองเจรจากับปูตินสำเร็จแล้ว

 

“คำอธิบายว่าทำไมทรัมป์ถึงไม่อยู่ในร่องในรอยกับสิ่งที่ตัวเองพูดไปก่อนหน้า จริงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผ่านมา ทรัมป์มีการเปลี่ยนจุดมุ่งหมายในการเจรจาหลายครั้งแล้วใแต่สิ่งที่ทำให้ทรัมป์ได้ประโยชน์ ก็คือทรัมป์สามารถบอกได้ว่าการเจรจาระหว่างเขากับปูตินนั้นยอดเยี่ยมมาก และนำไปสู่ผลลัพธ์บางประการ”  ดร.ปองขวัญ กล่าว

 

นอกจากนี้ อีกเหตุผลจากฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ ที่มองว่าการที่ทรัมป์ยอมไม่บังคับให้รัสเซียทำข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครน อาจเป็นเพราะในการเจรจาระหว่างทรัมป์กับปูตินนั้น ทรัมป์ได้อะไรหลายๆ อย่างแล้ว จึงยอมให้ปูตินได้บ้าง เช่น การไม่ต้องทำข้อตกลงหยุดยิง และข้ามไปสู่การเจรจาสันติภาพ

 

ยากจะไว้วางใจรัสเซีย

 

นอกจากนี้ยังมีเหตุผลในเชิงปฏิบัติและเชิงยุทธศาสตร์ที่ทำให้ยูเครนไม่สามารถตกลงตามข้อเรียกร้องของปูตินได้

 

โดยปัจจุบันกองทัพรัสเซียควบคุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของลูฮันสก์ และมากกว่า 70% ของโดเนตสก์ ซึ่งหมายความว่าปูตินกำลังขอให้รัฐบาลเคียฟยอมสละพื้นที่มากกว่าที่สูญเสียไปก่อนหน้านี้

 

แต่พื้นที่บางส่วนของภูมิภาคดอนบาสที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครนนั้น มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการป้องกันประเทศของยูเครน และมีเมืองอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมถึงสโลเวียนสก์ (Sloviansk), ครามาทอร์สก์ (Kramatorsk ) และคอสเตียนตีนีฟกา (Kostiantynivka) ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยถนนสายหลักและทางรถไฟ โดยถือเป็นแกนหลักของการป้องกันประเทศยูเครน ซึ่งหากรัสเซียเลือกเส้นทางเหล่านี้ เส้นทางสู่ภาคตะวันตกของยูเครนก็จะเปิดกว้าง

 

พิซซียังมองว่า รัฐบาลยูเครนแทบไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะไว้วางใจรัสเซียได้

 

“รัสเซียโจมตียูเครนด้วยอาวุธมานานกว่า 10 ปีแล้ว อย่างต่อเนื่องและซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสร้งทำเป็นเจรจา แสร้งทำเป็นว่าสุจริตใจ ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้ความรุนแรงและยึดมั่นในเป้าหมายสูงสุดที่ผิดกฎหมายอยู่เบื้องหลัง และทางการยูเครนก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้” เขากล่าว และมองว่า

 

“ไม่มีเหตุผลเชิงตรรกะและสมเหตุสมผลใดๆ ที่จะไว้วางใจรัสเซีย หากปราศจากการปูทาง การตัดสินใจ หรือการมีส่วนร่วมอย่างสุจริตใจที่พวกเขาทำเพื่อยับยั้งการสังหารชาวยูเครนเพิ่มเติม” 

 

นักวิเคราะห์จาก Eurasia Group ให้ความเห็นว่า ผู้นำยุโรปจะต้องแสดงให้ทรัมป์เห็นอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะให้การยอมรับต่อการกระทำของรัสเซีย ในการใช้กำลังทหารผนวกดินแดนยูเครนอย่างถาวร”

 

“แม้ว่าจะมีการยอมรับสถานะทางทหารโดยพฤตินัยในพื้นที่ แต่ยูเครนและยุโรปจะไม่ยอมรับว่า รัสเซียควรได้รับดินแดนมากกว่าที่ยึดครองมาได้” 

 

และที่สำคัญคือ ถึงแม้ว่ายูเครนจะยอมรับความจริงได้ว่า รัสเซียได้ครองอำนาจควบคุมดินแดนบางส่วนแล้วโดยพฤตินัย แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็คงไม่ยินยอมที่จะยอมรับสิ่งนี้เป็นการถาวร และยังมีเป้าหมายที่ต้องการยึดครองดินแดนทั้งหมดคืนในอนาคต

 

ขณะที่พิซซีมองว่า แม้การหยุดยิงอาจเป็นทางออกเดียวจากความรุนแรงและสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 4 ปี แต่ข้อตกลงสันติภาพถาวรที่ปูตินต้องการนั้น ถึงอย่างไรก็ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

 

“ความจริงก็คือ (กฎหมายระหว่างประเทศ) ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางการเมือง ที่จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ ในเมื่อเหยื่อของการรุกรานไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ” เขากล่าว

 

อ้างอิง : 

The post ยูเครนต้องการหยุดยิง ปูตินต้องการดีลสันติภาพ ต่างกันอย่างไร? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ ปฏิเสธส่งทหารสหรัฐฯ ไป ยูเครน แต่จะช่วยสนับสนุนผ่านทางอากาศ https://thestandard.co/trump-no-us-soldiers-for-ukraine/ Wed, 20 Aug 2025 03:32:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1109177

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปฏิเสธที่จะส่งท […]

The post ทรัมป์ ปฏิเสธส่งทหารสหรัฐฯ ไป ยูเครน แต่จะช่วยสนับสนุนผ่านทางอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปฏิเสธที่จะส่งทหารสหรัฐฯ ไปยัง ยูเครน เพื่อประกันความมั่นคงให้กับยูเครนในกรณีที่มีข้อตกลงยุติสงครามกับรัสเซีย โดยระบุว่า บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปพร้อมที่จะส่งกำลังทางทหารของตนไปช่วยเสริมความมั่นคงให้กับยูเครน ในขณะที่สหรัฐฯ จะช่วยสนับสนุนได้ในรูปแบบทางอากาศ โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีใครมีอาวุธยุทโธปกรณ์แบบที่สหรัฐฯ มี 

 

ทำเนียบขาวยังเน้นย้ำอีกว่า กองกำลังทหารสหรัฐฯ จะไม่เข้าร่วมในข้อตกลงสันติภาพใดๆ ระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่สหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือในด้าน ‘การประสานงาน’ และอาจจัดหาวิธีรับประกันความมั่นคงใน ‘รูปแบบอื่น’

 

 

ภาพ: Andrew Harnik / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ทรัมป์ ปฏิเสธส่งทหารสหรัฐฯ ไป ยูเครน แต่จะช่วยสนับสนุนผ่านทางอากาศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ละฝ่ายต้องการอะไรบ้าง? https://thestandard.co/trump-ukraine-russia-peace-talks/ Tue, 19 Aug 2025 11:49:42 +0000 https://thestandard.co/?p=1109042 trump-ukraine-russia-peace-talks

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ​ เดินหน้าความพยายา […]

The post ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ละฝ่ายต้องการอะไรบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-ukraine-russia-peace-talks

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ​ เดินหน้าความพยายามอย่างจริงจังในการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยจัดการประชุมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ที่รัฐอะแลสกา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตามด้วยการประชุมล่าสุดกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน และบรรดาผู้นำชาติยุโรป ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

 

ในการประชุมดังกล่าว แต่ละฝ่ายต่างมี ‘เงื่อนไข’ และ ‘เป้าหมาย’ ที่ต้องการเพื่อนำไปสู่การเจรจาข้อตกลงสันติภาพและยุติการทำสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 4 ปี

 

สำหรับรัสเซีย เงื่อนไขหลักคือการยึดครอง 2 แคว้นสำคัญทางตะวันออก คือโดเนตสก์และลูฮันสก์ และให้ยูเครนถอนทหารทั้งหมดออกไป รวมถึงให้รับรองว่ายูเครนจะไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO

 

ขณะที่ยูเครนต้องการให้มีสันติภาพที่ยั่งยืนและแท้จริง แต่ปฏิเสธจะไม่สละดินแดนหากปราศจากการรับประกันความมั่นคงที่แข็งแกร่งจากสหรัฐฯ​ และชาติยุโรป เพื่อให้แน่ใจว่ารัสเซียจะไม่สามารถรุกรานดินแดนของยูเครนได้อีกในอนาคต โดยเซเลนสกียังเสนอที่จะซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มูลค่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรับประกันความมั่นคงด้วย

 

ส่วนสหรัฐฯ​ นั้น สิ่งเดียวที่ทรัมป์ต้องการคือดีลสันติภาพและยุติสงคราม และสนับสนุนการสร้างหลักประกันความมั่นคงแก่ยูเครน พร้อมทั้งผลักดันให้มีการพูดคุยโดยตรงระหว่างปูตินและเซเลนสกี ตามด้วยการประชุมไตรภาคีระหว่างรัสเซีย ยูเครน และสหรัฐฯ

 

ทางด้านชาติยุโรปที่เข้าร่วมวงประชุมระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกี แสดงท่าทีต้องการให้มีข้อตกลงหยุดยิง และให้สหรัฐฯ ยืนยันคำมั่นในการรับประกันความมั่นคงที่ยั่งยืนแก่ยูเครน ซึ่งมองว่าในแง่หนึ่งก็เป็นความมั่นคงของยุโรปด้วย พร้อมกันนี้ยังต้องการที่จะเข้าร่วมการประชุมเพื่อหารือแนวทางสันติภาพกับรัสเซีย ยูเครน และสหรัฐฯ ด้วย 

 


 

ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ละฝ่ายต้องการอะไรบ้าง?

 

ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร

 

อ้างอิง: 

The post ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ละฝ่ายต้องการอะไรบ้าง? appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ประกันความมั่นคง แต่ไม่หยุดยิง’ ผลประชุม ทรัมป์-เซเลนสกี-ยุโรป กับโอกาสเดินหน้ายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน https://thestandard.co/key-messages-trump-zelenskyy-europe/ Tue, 19 Aug 2025 04:43:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1108778

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จัดการประชุมกับประ […]

The post ‘ประกันความมั่นคง แต่ไม่หยุดยิง’ ผลประชุม ทรัมป์-เซเลนสกี-ยุโรป กับโอกาสเดินหน้ายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จัดการประชุมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน พร้อมด้วยคณะผู้นำยุโรป ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. วานนี้ (18 สิงหาคม) โดยเป็นความพยายามล่าสุด หลังการเจรจาระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ที่รัฐอะแลสกา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือการเดินหน้าสู่กระบวนการสันติภาพและยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

 

การพูดคุยระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีที่ทำเนียบขาวครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ครั้งแรกจบลงด้วยความเห็นแย้งและท่าทีที่แตกต่างกัน

 

ขณะที่การตัดสินใจของผู้นำยุโรปในการร่วมวงประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีของชาติยุโรปที่ต้องการร่วมมือกับทรัมป์เพื่อยุติสงคราม แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความกังวลที่ไม่ต้องการให้ยุโรปถูกกีดกันให้อยู่วงนอกของการเจรจา

 

ระหว่างการประชุมในห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐฯ ยินดีสนับสนุนความพยายามของยุโรปในการควบคุมข้อตกลงสันติภาพใดๆ ในยูเครน ขณะที่เซเลนสกีซึ่งแต่งกายอย่างเป็นทางการมากขึ้น ได้แสดงความขอบคุณในการสนับสนุนของทรัมป์

 

อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่เต็มไปด้วยความหวังของทรัมป์​ กับความเห็นต่างในบางประเด็นของพันธมิตรยุโรป ทำให้หลังจบการพูดคุยก็ยังไม่มีคำมั่นสัญญาที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการรับประกันความมั่นคงหรือขั้นตอนต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อตกลงสันติภาพ

 

และนี่คือประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นจากการประชุม

 

ยึดมั่นหลักประกันความมั่นคง

 

บทบาทของสหรัฐฯ ในหลักประกันความมั่นคงสำหรับยูเครนเป็นหัวใจสำคัญของการเจรจาที่เกิดขึ้น โดยผู้นำยุโรปและเซเลนสกีต่างกระตือรือร้นที่จะทราบว่าทรัมป์จะทุ่มเททรัพยากรใดบ้าง เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้แล้ว รัสเซียจะไม่สามารถรุกรานและยึดครองดินแดนอื่นๆ ของยูเครนเพิ่มเติมในอนาคต

 

ทรัมป์ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะส่งทหารสหรัฐฯ เข้าไปในยูเครนเพื่อรักษาสันติภาพ ซึ่งเป็นพัฒนาการสำคัญที่จะช่วยให้เซเลนสกีสามารถตกลงในประเด็นอื่นๆ ของข้อตกลงที่เสนอได้ง่ายขึ้น

 

ขณะที่ทรัมป์เผยว่าเขาจะหารือกับผู้นำชาติยุโรปอื่นๆ ว่า ‘ใครจะทำอะไร’

 

ทรัมป์เน้นย้ำว่าปูตินตอบตกลงว่ารัสเซียจะยอมรับการรับประกันความมั่นคงสำหรับยูเครน โดยถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาร่วมกัน

 

“ผมมองโลกในแง่ดีว่าเราสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ที่จะยับยั้งการรุกรานยูเครนในอนาคตได้ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่เกิดขึ้น”

 

เขายังโพสต์ข้อความทาง Truth Social หลังการเจรจากับเซเลนสกีว่า “การรับประกันจะมาจากประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยมีการประสานงานกับสหรัฐฯ”

 

แต่ถึงแม้ว่าทรัมป์จะยืนยันให้ชาติยุโรปเป็นผู้นำในการรับประกันความมั่นคงใดๆ แก่ยูเครน แต่การที่ทรัมป์เปิดกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการอนุญาตให้ทหารอเมริกันเข้าไปมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ ก็จะมีส่วนอย่างมากในการช่วยเหลือและรับประกันความมั่นคงอย่างยั่งยืนแก่ยูเครน และถือเป็นพัฒนาการใหม่ที่เกิดขึ้น

 

ทั้งนี้ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งส่วนหนึ่งจากคำมั่นสัญญาที่จะไม่ให้ทหารอเมริกันเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในต่างประเทศ และในการเจรจากับเซเลนสกี แน่นอนว่าเขาไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาใดๆ แต่การที่เขาไม่ได้ตัดตัวเลือกนี้ออกไป อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวทางในขณะที่เขากำลังหาหนทางยุติสงคราม

 

มุ่งเป้าประชุมไตรภาคี

 

หนึ่งในเป้าหมายสูงสุดของทรัมป์คือการให้เซเลนสกีและปูตินมาอยู่ในห้องเดียวกัน พร้อมกับตัวเขาเอง เพื่อเจรจายุติสงคราม โดยหลังการประชุมกับเซเลนสกีและผู้นำยุโรป ทรัมป์กล่าวว่าเขายังคงทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนักว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วเพียงใด

 

“เราอาจจะมีหรือไม่มีการประชุมไตรภาคีก็ได้ ถ้าเราไม่มีการประชุมไตรภาคี การสู้รบก็จะดำเนินต่อไป และถ้าเรามี เราก็มีโอกาสที่ดี ผมคิดว่าถ้าเรามีการประชุมไตรภาคี ก็มีโอกาสที่ดีที่จะยุติมันได้” ทรัมป์กล่าว และแสดงความมั่นใจว่าการประชุม 3 ฝ่ายนี้จะเกิดขึ้น

 

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขาได้โทรศัพท์สายตรงคุยกับปูติน และได้เริ่มต้นเตรียมจัดการประชุมระหว่างปูตินและเซเลนสกี ตามด้วยการประชุมสามฝ่าย โดยกำหนดสถานที่ใหม่ แต่ไม่เปิดเผยว่าจะจัดขึ้นเมื่อใด

 

“เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง ผมได้โทรศัพท์หาประธานาธิบดีปูติน และเริ่มจัดเตรียมการประชุมระหว่างประธานาธิบดีปูตินและเซเลนสกี ณ สถานที่ที่จะกำหนดขึ้นใหม่ และหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น เราจะมีการประชุมไตรภาคี ซึ่งจะมีประธานาธิบดีทั้งสองท่านและตัวผมเองด้วย”

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่าปูตินตอบรับที่จะร่วมการประชุมกับเซเลนสกี หรือการประชุมไตรภาคีแล้วหรือไม่ โดยที่ผ่านมาปูตินปฏิเสธมาตลอด ที่จะร่วมประชุมกับเซเลนสกีด้วยตัวเอง

 

ด้านประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส แสดงท่าทีก่อนหน้านี้ ว่าผู้นำยุโรปควรได้เข้าร่วมในการประชุมหลายฝ่ายร่วมกับรัสเซียและยูเครนด้วย

 

“ผมคิดว่าเพื่อติดตามผลต่อไป เราน่าจะจำเป็นต้องมีการประชุมแบบสี่ฝ่าย เพราะเมื่อเราพูดถึงการรับประกันความมั่นคง เราหมายถึงความมั่นคงทั้งหมดของทวีปยุโรป” เขากล่าว

 

ขณะที่ทรัมป์ ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่เขากำลังดำเนินการเพื่อให้เกิดการเจรจายุติสงคราม และไม่ได้กล่าวถึงการประชุมที่มีผู้นำชาติอื่นเข้าร่วมด้วย

 

ทรัมป์ปฏิเสธการหยุดยิง

 

ในระหว่างพูดคุย ทรัมป์ยังกลับลำเรื่องความจำเป็นในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนโดยทันที ซึ่งเป็นท่าทีที่สร้างความตกตะลึงแก่ผู้นำยุโรปอย่างมาก

 

ก่อนการประชุมกับปูติน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะผิดหวัง หากการเจรจาไม่บรรลุผลสำเร็จด้วยการหยุดยิง และขู่ว่าจะเกิดผลกระทบ “ร้ายแรง” หากการเจรจาไม่สำเร็จ

 

แต่ในการประชุมครั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่าเขา “ไม่คิดว่าการหยุดยิงเป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไป และต้องการเดินหน้าเจรจาข้อตกลงสันติภาพขั้นสุดท้าย” และยังกล่าวว่า “ไม่ได้คิดถึงเรื่องการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย แบบที่เคยขู่ก่อนหน้านี้แล้ว”

 

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับชาติยุโรป เนื่องจากพวกเขาได้เห็นพ้องเรื่องการหยุดยิงในการประชุมทางออนไลน์ 2 วันก่อนการประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์กับปูติน และยืนยันว่าการหยุดยิงจะเป็นเป้าหมายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

แต่ในการพบปะกันครั้งนี้ ทรัมป์ได้แสดงให้เซเลนสกีและผู้นำยุโรปเห็นอย่างชัดเจนว่า เขาเปลี่ยนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ด้าน ฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี สนับสนุนให้ทรัมป์ทบทวนท่าทีดังกล่าว

 

“ผมนึกไม่ออกเลยว่าการประชุมครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยปราศจากการหยุดยิง” เขากล่าวและยืนยันว่าควรดำเนินการเรื่องการหยุดยิง

 

“ดังนั้น เรามาร่วมมือกันและพยายามกดดันรัสเซีย”

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เมินเฉยต่อความคิดนี้ ขณะที่เซเลนสกี ไม่ได้ย้ำข้อเรียกร้องของเขาเรื่องการหยุดยิง

 

โดยในอดีต เรื่องการหยุดยิงถือเป็นข้อเรียกร้องสำคัญของยูเครน ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ยูเครนมองว่าการยุติการสู้รบเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเจรจาเพิ่มเติมกับรัสเซีย และท้ายที่สุดคือการหาข้อยุติในระยะยาว

 

ข้อตกลงหยุดยิงนั้นอาจบรรลุได้ง่ายกว่าข้อตกลงสันติภาพฉบับสมบูรณ์เล็กน้อย แต่จะต้องใช้เวลาเจรจาหลายเดือน และในระหว่างนั้นการโจมตียูเครนของรัสเซียน่าจะยังคงดำเนินต่อไป

 

บรรยากาศการเจรจาที่ดีขึ้น

 

บรรยากาศการพูดคุยภายในห้องทำงานรูปไข่ในครั้งนี้ อบอุ่นเป็นกันเองมากกว่าเหตุการณ์วุ่นวายและการโต้เถียงระหว่างเซเลนสกี กับทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์

 

เห็นได้ชัดว่าฝ่ายยูเครนให้ความสำคัญอย่างมากกับการทำให้แน่ใจว่าการเจรจาจะไม่ล้มเหลว โดยเซเลนสกีมาพร้อมกับจดหมายจากภริยาของเขาถึงเมลาเนีย ทรัมป์ และยังชื่นชมจดหมายของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ที่ส่งถึงปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับเด็กๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมานในช่วงสงคราม

 

ผู้นำยูเครนได้กล่าวคำว่า “ขอบคุณ” ถึงสี่ครั้งในช่วง 10 วินาทีแรกของคำกล่าวสั้นๆ ของเขาในวันจันทร์

 

“ขอบคุณสำหรับคำเชิญ และขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับความพยายามส่วนตัวของคุณ ความพยายามส่วนตัวของคุณในการหยุดยั้งการสังหารและยุติสงครามนี้ ขอบคุณที่ให้โอกาสนี้ ขอบคุณภรรยาของคุณมาก” เซเลนสกีกล่าว

 

โดยเขายังสวมชุดสูท ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความพยายามลดความไม่พอใจของทรัมป์ต่อเครื่องแบบทหารที่เขาสวมใส่ในการประชุมกันครั้งแรก ซึ่งผู้นำทั้งสองยังหยอกล้อกันเกี่ยวกับเรื่องชุดสูทในระหว่างการพูดคุย

 

ขณะที่การประชุมรอบนี้ คณะของทรัมป์ ทั้งแวนซ์ และมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ รวมถึงทูตพิเศษสตีฟ วิตคอฟฟ์ ต่างก็นั่งเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทีใดๆ ระหว่างการประชุม

 

ภาพ: REUTERS/Alexander Drago

 

อ้างอิง:

The post ‘ประกันความมั่นคง แต่ไม่หยุดยิง’ ผลประชุม ทรัมป์-เซเลนสกี-ยุโรป กับโอกาสเดินหน้ายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน appeared first on THE STANDARD.

]]>