World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 12 Nov 2025 14:30:31 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ https://thestandard.co/korea-labor-policy-thai-ambassador/ Wed, 12 Nov 2025 14:02:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1142638 ‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้

การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC Summit 2025 ที่เกาหลีใต้เป็นเ […]

The post ‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้

การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC Summit 2025 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพในปีนี้ ได้สร้างโอกาสสำคัญให้ไทยในการยกระดับสถานะบนเวทีโลก เปิดโอกาสให้ผู้นำไทยได้พบปะพูดคุยกับบรรดาผู้นำจากประเทศมหาอำนาจในห้วงเวลาเดียวกัน และต่อยอดความร่วมมือในมิติต่างๆ เช่น มิติทางเศรษฐกิจและการค้า, การทูตเชิงวัฒนธรรม รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง

 

 

THE STANDARD ได้สัมภาษณ์พิเศษ ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อถอดรหัสวิสัยทัศน์ของเกาหลีใต้ที่พยายามปรับสมดุลระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน พร้อมทั้งแนวทางที่ไทยจะใช้โอกาสหลังจากนี้ ในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ การเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามข้ามชาติ การรักษาเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลีที่ยังคงตึงเครียดและเป็นประเด็นท้าทายอยู่ในขณะนี้ รวมไปถึงสถานการณ์ผีน้อยและการท่องเที่ยวในปัจจุบัน

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 3

 

นโยบายเชิงรุกเกาหลีใต้กับโอกาสของไทย

 

ทูตธานีเริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า นโยบายของเกาหลีใต้ภายใต้การนำของประธานาธิบดีอีแจมยอง เน้นไปที่ การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ปฏิบัติได้ (Pragmatic Foreign Policy) โดยให้ความสำคัญกับพันธมิตรที่ใกล้ชิดอย่างสหรัฐฯ ประเทศใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่น และจีน รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพ และเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ผ่าน ‘แนวนโยบาย END’ ที่จะมุ่งเน้นการหารือแลกเปลี่ยนระหว่างกัน (Exchange) รวมถึงพยายามทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและประชาคมระหว่างประเทศเป็นไปตามปกติ (Normalization) และการปลดอาวุธนิวเคลียร์ (Denuclearization) ซึ่งเป็นเป้าหมายปลายทางสุดท้าย

 

ทูตธานีมองว่า นโยบายเชิงรุกของเกาหลีใต้จะ ‘เป็นโอกาส’ ต่อบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางของอาเซียน เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนมีความสำคัญต่อเกาหลีใต้ ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์ทางการทูต การเมืองระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นตลาด และแหล่งลงทุนที่สำคัญอีกด้วย โดยไทยถือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน และมีความเชื่อมโยง (Connectivity) ใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อเกาหลีใต้พยายามเชื่อมโยงอาเซียนกับภูมิภาคต่างๆ ใน APEC จึงหลีกเลี่ยงหรือมองข้ามประเทศไทยไปไม่ได้ ทำให้ไทยยังคงมีโอกาสแสดงบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ ผ่านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน

 

การทูตเชิงวัฒนธรรม กับการผลักดัน Soft Power

 

เกาหลีใต้ได้ใช้เวที APEC Summit 2025 เป็นแพลตฟอร์มที่เผยแพร่การทูตเชิงวัฒนธรรม มีการนำศิลปินเกาหลี อาหารเกาหลี รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเกาหลีมาผสมผสานให้ผู้นำและผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ซึ่งทูตธานีมองว่า นี่คือตัวอย่างให้การผลักดัน Soft Power ที่สามารถสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี 

 

ทูตธานีกล่าวว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เดินหน้าส่งเสริม T-Wave หรือ ‘กระแสความนิยมไทย’ อย่างต่อเนื่อง โดยจุดแข็งของ Soft Power ไทยในปัจจุบันคือ ไทยได้รับการยอมรับในเรื่องอาหาร การเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก รวมถึงอุปนิสัยใจคอของคนไทยที่เป็นมิตรและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 

 

โดย ‘เทศกาลไทย’ เป็นเวทีสำคัญของ T-Wave ในเกาหลีใต้ ซึ่งจัดมาเป็นปีที่ 10 แล้ว ได้รับความนิยมอย่างมาก มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1 แสนคน และมีการผสมผสานวัฒนธรรม เช่น มวยไทยกับเทควันโดของเกาหลี ซึ่งมีแผนจะย้ายสถานที่จัดงานในปี 2026 ไปยังพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น เช่น บริเวณแม่น้ำฮัน เนื่องจากสถานที่จัดงานเดิมอย่างคลองชองกเยชอนมีขนาดเล็กเกินไป นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือทางวัฒนธรรม ผ่านคณะกรรมการวัฒนธรรมระหว่างไทย-เกาหลี มีโครงการสอนศิลปะและนาฏศิลป์ไทยให้แก่เยาวชน รวมถึงชุมชนไทยในเกาหลีใต้ที่มีสมาชิกเกือบ 2 แสนคนก็มีแผนที่จะก่อตั้งสภาวัฒนธรรมในอนาคตอันใกล้นี้

 

อย่างไรก็ตาม ทูตธานีเสนอแนะว่า ไทยอาจจะต้องเป็นที่รู้จักมากกว่าแค่เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยไทยต้องเป็นแหล่งลงทุนที่มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น เป็นแหล่งผลิตที่มีนวัตกรรมมากขึ้นและต้องมีแรงงานที่มีทักษะ (Smart  Workers) มากขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐต่อผู้ลงทุนต่างประเทศต้องโปร่งใส เพื่อเพิ่มเสน่ห์และดึงดูดนักลงทุน บริบทแวดล้อมเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยเดินหน้า ควบคู่ไปกับการผลักดัน Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 2

 

ภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง

 

เกาหลีใต้ได้กลายเป็นพื้นที่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้พบกันเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และเปิดโอกาสให้ผู้นำมหาอำนาจทั้งสองประเทศได้หารือทวิภาคีระหว่างกันเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาก่อนที่ APEC Summit 2025 จะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการในอีกวันต่อมา ขณะที่เกาหลีใต้เองก็พยายามปรับสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคง และ จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด เพื่อให้เกาหลีใต้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสมดุลทางอำนาจนี้

 

ทูตธานีมองว่า การปรับสมดุลความสัมพันธ์ของเกาหลีใต้มีความน่าสนใจและมีความสมดุลพอสมควร ทั้งไทยและเกาหลีใต้มีความคล้ายคลึงกันในฐานะประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มหาอำนาจมีบทบาทสำคัญสูง การปรับสมดุลระหว่างมหาอำนาจก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่มักจะถูกเลือกใช้ แต่ทั้งสองประเทศมีความต่างกัน โดยเฉพาะในแง่ของขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเกาหลีใต้ก้าวหน้ากว่าไทยอย่างมากในแทบทุกด้าน เช่น AI, ควอนตัม, แบตเตอรี่, รวมถึงเซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานทางเลือก

 

ที่ผ่านมาการแข่งขันทางเทคโนโลยีและแรงกดดันทางการเมือง ทำให้เกาหลีใต้ต้องบริหารนโยบายให้สมดุลเพื่อรักษาความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ยังคงต้องรักษาตลาดในจีนไว้ เกาหลีใต้มีข้อได้เปรียบคือ มีการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ซึ่งช่วยให้มีความคล่องตัวในการบริหารนโยบาย 

 

ทูตธานีมองว่า ไทยต้องวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่ในห่วงโซ่เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ได้มากที่สุด โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งในและนอกภูมิภาค เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน ทั้งยังจะต้องเตรียมความพร้อมในการดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การปฏิรูปการศึกษา และการพัฒนาแรงงาน รวมถึงการปรับปรุงแรงจูงใจและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการลงทุน หากไทยมีขีดความสามารถในด้านต่างๆ ที่สูงยิ่งขึ้น จะเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้ไทยได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย 

 

ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปรับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ที่พยายามก้าวผ่านประวัติศาสตร์บาดแผลเมื่อครั้งอดีต และหันมาเดินหน้ากระชับสัมพันธ์และร่วมมือกันมากยิ่งขึ้นนั้น ทูตธานีระบุว่า ความพยายามดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในเอเชียตะวันออก ความจำเป็นทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในอนาคตจะ ‘มีน้ำหนักมากพอ’ ที่จะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แม้จะมีประเด็นอ่อนไหวทางประวัติศาสตร์อยู่ก็ตาม

 

ทูตธานียังกล่าวอีกว่า ไทยสามารถต่อยอดความสัมพันธ์เหล่านี้ได้ เนื่องจากคนเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีความนิยมชมชอบประเทศไทยค่อนข้างมาก ไทยต้องส่งเสริมการเป็น ‘หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์’ กับทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในมุมของเกาหลีใต้ ไทยและเกาหลีใต้มี ‘ความร่วมมือหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน’ (Comprehensive Strategic Partnership) และกำลังจะมี ‘ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ’ (Economic Partnership Agreement: EPA) ระหว่างกัน ซึ่งคาดว่าจะบรรลุความตกลงได้ภายในปีนี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าจาก 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

 

ขณะที่ประเด็นเรื่องกรอบความร่วมมืออาเซียนกับการรักษาเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ทูตธานีมองว่า อาเซียนมีบทบาทในการส่งเสริมเสถียรภาพและความมั่นคงบนคาบสมุทรแห่งนี้ เนื่องจากเวทีอาเซียนเป็นที่ที่ประเทศคู่เจรจาให้ความสำคัญ โดยสามารถใช้ได้ทั้งกลไกในกรอบพหุภาคี เช่น การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit: EAS) และการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum: ARF) ซึ่งมีผู้แทนระดับสูงจากเกาหลีเหนือเข้าร่วมประชุมด้วย และเป็นกลไกสำคัญที่ใช้แสดงบทบาท ‘การทูตเชิงป้องกัน’ (Preventive Diplomacy) รวมถึงกลไกในกรอบทวิภาคีอื่นๆ โดยสมาชิกอาเซียนหลายประเทศ รวมทั้งไทยต่างมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือ ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางในการรับมือกับประเด็นความท้าทายนี้

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 4

 

บทเรียนจากเกาหลีใต้: การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ

 

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกาหลีใต้มีบทบาทโดดเด่นอย่างมากในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยส่ง คิมจินอา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนที่สองของเกาหลีใต้และคณะทำงานมายังกัมพูชา หลังมีชาวเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อยตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา พร้อมทั้งเรียกร้องให้กัมพูชาเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

 

ทูตธานีกล่าวว่า บทเรียนสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้คือ เกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อเป็นอย่างมาก ประเทศไทยและทุกประเทศที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ และต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อกวาดล้างกลุ่มเหล่านี้ให้หมดไปจากภูมิภาค 

 

ไทยยังสามารถร่วมมือกับมิตรประเทศและเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในมิติทางเทคโนโลยี รวมถึงการใช้กลไกความร่วมมือด้านตำรวจ เช่น ตำรวจอาเซียน (ASEAN National Police: Aseanapol) เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  โดยนายกรัฐมนตรีของไทยได้ประกาศเรื่องการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์เป็นวาระแห่งชาติ และไทยกำลังจะจัดประชุมระหว่างประเทศ เพื่อต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ขึ้นเร็วๆ นี้

 

‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ 5

 

สถานการณ์ ‘ผีน้อย’ และการท่องเที่ยวไทย-เกาหลีใต้

 

ทูตธานีเผยว่า ตัวเลขของ ‘ผีน้อย’ หรือแรงงานไทยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้มีแนวโน้มลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากตำรวจและ ตม. เกาหลีใต้ มีการปราบปรามและจับกุมทั้งนายจ้างและลูกจ้างอย่างจริงจัง ประกอบกับการดำเนินโครงการอนุญาตให้กลับโดยสมัครใจ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งแรงงานสามารถมอบตัวและกลับไทยได้โดยไม่ถูกลงโทษ

 

ปัจจุบันมีแรงงานไทยทั้งหมดในเกาหลีใต้ประมาณ 169,000 คน ลดลงจาก 200,000 คน โดยมีแรงงานถูกกฎหมายเกือบ 50,000 คน โดยไทยกำลังพยายามเพิ่มโควตาแรงงานถูกกฎหมาย ซึ่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้รับจะพิจารณาในประเด็นนี้

 

ส่วนมิติภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มลดลง โดยนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้มาไทยลดลง ทูตธานีอธิบายว่า สาเหตุหลักมาจาก เศรษฐกิจเกาหลีใต้ชะลอตัว (โตเพียง 1-2% ในไตรมาสสุดท้าย) และส่วนหนึ่งอาจมาจากความวิตกกังวลเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติด้วย ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปเกาหลีใต้ก็มีจำนวนลดลงเช่นเดียวกัน เนื่องจากเกิดจากกระแส #แบนเกาหลี หลังถูกปฏิเสธเข้าเมือง และติด ตม. จำนวนมาก แม้จะเป็นนักท่องเที่ยวก็ตาม

 

ทูตธานีระบุว่า สถานทูตได้หารือกับ ตม. เกาหลีเพื่อขอให้ปรับระบบ K-ETA โดยขอให้เรียกร้องเอกสารเพิ่มเติม เช่น หลักฐานทางการเงิน เพื่อกรองผู้สมัครเพิ่มเติม ก่อนที่จะปฏิเสธไม่ให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นเดินทางเข้าประเทศ โดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็รับปากจะพยายามแก้ไขปัญหานี้เช่นเดียวกัน 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเกาหลีใต้มีความแน่นแฟ้นและยาวนานหลายทศวรรษ โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ส่งทหารเข้าร่วมรบในสงครามเกาหลี (1950–1953) ก่อนที่จะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 1958 โดยในปี 2028 จะครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เกาหลีใต้

The post ‘ผีน้อยลด เร่งเพิ่มแรงงาน’ คุยกับทูตไทยในโซล มองนโยบายเกาหลีใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กัมพูชากล่าวหากองทัพไทย เปิดฉากยิงพลเรือนเขมรบาดเจ็บ 5 ราย เรียกร้องนานาชาติประณามไทยละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ https://thestandard.co/thai-army-shoots-khmer-civilians/ Wed, 12 Nov 2025 10:36:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1142561 กัมพูชา กล่าวหา กองทัพไทย เปิดฉากยิงพลเรือนเขมรบาดเจ็บ 5 ราย เรียกร้อง นานาชาติ ประณาม ไทย ละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ

พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยแพร่แถลงการณ์ใน […]

The post กัมพูชากล่าวหากองทัพไทย เปิดฉากยิงพลเรือนเขมรบาดเจ็บ 5 ราย เรียกร้องนานาชาติประณามไทยละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กัมพูชา กล่าวหา กองทัพไทย เปิดฉากยิงพลเรือนเขมรบาดเจ็บ 5 ราย เรียกร้อง นานาชาติ ประณาม ไทย ละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ

พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยแพร่แถลงการณ์ในวันนี้ (12 พฤศจิกายน) กล่าวหากองทัพไทยว่าเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงชาวกัมพูชาในพื้นที่หมู่บ้านเปรยจัน จังหวัดบันเตียเมียนเจย จนเป็นเหตุให้มีพลเรือนกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 5 ราย

 

แถลงการณ์ระบุว่าเหตุเกิดในเวลาประมาณ 15:50 น. และอ้างว่าการโจมตีเกิดขึ้นหลังจากที่กองทัพไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน โดยมีเจตนาที่จะยุยงปลุกปั่นให้เกิดการปะทะ พร้อมทั้งประณามการกระทำของไทยและอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายละเมิดถ้อยแถลงร่วมที่มีการลงนามระหว่างทั้งสองประเทศ

 

“กระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาขอประณามการกระทำอันโหดร้ายไร้มนุษยธรรมนี้อย่างรุนแรง และสิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฝ่ายไทยได้ละเมิด ถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยข้อตกลงสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและไทย และมีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียนเป็นพยาน”

 

นอกจากนี้ กัมพูชายังเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ ดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของไทย และเรียกร้องให้ไทยรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการละเมิดที่ร้ายแรงนี้ ขณะที่เรียกร้องให้ไทยยุติการคุกคามสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคโดยทันที

 

“กัมพูชาเรียกร้องให้ฝ่ายไทยเคารพข้อตกลงหยุดยิง ถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยข้อตกลงสันติภาพ และพันธกรณีทั้งหมดภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยความจริงใจและด้วยเจตนาที่แท้จริง”

 

แถลงการณ์ยังระบุว่า “กัมพูชายึดมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะเคารพและยึดมั่นในเงื่อนไขการหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วมฯ รวมถึงข้อตกลงทั้งหมดที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกัน และยึดมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงสนธิสัญญา อนุสัญญา และข้อตกลงที่มีอยู่ ขณะที่ต่อต้านการข่มขู่หรือการใช้กำลัง ซึ่งหมายถึงการแสวงหาทางออกที่ยุติธรรม เป็นธรรม ยั่งยืน และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ”

 

อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาเผยแพร่ออกมา หลังจากที่มีรายงานจากกองกำลังบูรพา ยืนยันว่าได้ยินเสียงปืนเล็กจากฝั่งกัมพูชาบริเวณตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว ประมาณ 10 นาที ซึ่งฝ่ายไทยได้เตรียมพร้อมและไม่ได้มีการตอบโต้ใดๆ โดยคาดว่าเป็นความพยายามในการสร้างสถานการณ์

The post กัมพูชากล่าวหากองทัพไทย เปิดฉากยิงพลเรือนเขมรบาดเจ็บ 5 ราย เรียกร้องนานาชาติประณามไทยละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กต. แจงทูตต่างชาติ เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ย้ำ 3 ข้อเรียกร้องกัมพูชา ยืนยันระงับถ้อยแถลงร่วมฯ https://thestandard.co/thailand-cambodia-landmine-diplomatic-update/ Wed, 12 Nov 2025 06:58:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1142413 กต. แจงทูตต่างชาติ เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ย้ำ 3 ข้อเรียกร้อง กัมพูชา ยืนยันระงับถ้อยแถลงร่วมฯ

นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่าง […]

The post กต. แจงทูตต่างชาติ เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ย้ำ 3 ข้อเรียกร้องกัมพูชา ยืนยันระงับถ้อยแถลงร่วมฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กต. แจงทูตต่างชาติ เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ย้ำ 3 ข้อเรียกร้อง กัมพูชา ยืนยันระงับถ้อยแถลงร่วมฯ

นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวภายหลังการบรรยายสรุปแก่คณะทูต ในวันนี้ (11 พฤศจิกายน) เกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดย สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย เอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้เข้าร่วมในการบรรยาย

 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจ้งให้คณะทูตได้รับทราบถึงความคืบหน้าล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สืบเนื่องจากเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ห้วยตะมาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา รวมถึงการดำเนินการต่างๆ ที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการต่อไป

 

ผู้เข้าร่วมการบรรยายวันนี้ประกอบด้วยเอกอัครราชทูตและผู้แทนจาก 59 ประเทศ องค์กร 1 แห่ง และองค์การระหว่างประเทศ 4 แห่ง รวมทั้งหมด 71 คน

 

โดยสาระสำคัญของการบรรยาย แบ่งออกเป็น 4 ประเด็น ได้แก่

 

  1. เหตุการณ์ทุ่นระเบิดที่เกี่ยวข้องกับทหารไทย
  2. ประเด็นที่เกี่ยวกับถ้อยแถลงร่วมฯ ไทย-กัมพูชา
  3. การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ
  4. การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ

 

ประเด็นที่ 1

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งต่อคณะทูตถึงข้อเท็จจริงและข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ซึ่งส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไทยได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 4 นาย โดยมีหนึ่งนายที่ได้รับความพิการถาวร

 

รัฐมนตรีว่าการฯ ได้อธิบายต่อคณะทูตว่า พื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นเส้นทางลาดตระเวนปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามา และจากการตรวจสอบในพื้นที่ พบเศษซากของทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ในหลุมระเบิดและบริเวณโดยรอบ รวมถึงพบทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมรอบบริเวณดังกล่าว

 

จากหลักฐานและการประเมินอื่นๆ ฝ่ายไทยยืนยันอีกครั้งว่า พบการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ภายในเขตแดนไทยโดยฝ่ายกัมพูชาภายหลังการหยุดยิงและการลงนามในถ้อยแถลงฯ ร่วม

 

ประเด็นที่ 2

 

เกี่ยวกับถ้อยแถลงฯ ร่วม รัฐมนตรีว่าการฯ ย้ำต่อคณะทูตว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับถ้อยแถลงฯ ร่วม และจำเป็นต้องมีความจริงใจและความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงจากทุกฝ่ายในการดำเนินการตามนั้น

 

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการฯ ยังได้รายงานผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วานนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อประเมินสถานการณ์หลังเหตุทุ่นระเบิด โดยแจ้งคณะทูตว่า ที่ประชุมรับทราบถึงความคืบหน้าที่สำคัญในการดำเนินการตามถ้อยแถลงฯ ร่วม พร้อมทั้งแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการละเมิดถ้อยแถลงฯ ร่วม ของฝ่ายกัมพูชา จากการวางทุ่นระเบิดใหม่ภายในเขตแดนไทย

 

การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อเจ้าหน้าที่ไทย และสะท้อนถึงการละเมิดพันธกรณีของกัมพูชาภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคีรัฐสมาชิก

 

ที่สำคัญที่สุด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการขาดความจริงใจของกัมพูชาในการลดความตึงเครียด ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการฯ จึงได้แจ้งต่อคณะทูตว่า ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้อง ‘ระงับ’ การดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมฯ รวมถึงเลื่อนการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายออกไปก่อน พร้อมทั้งเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการ 3 ประการ คือ

 

  1. แสดงความเสียใจอย่างจริงใจต่อครอบครัวของผู้บาดเจ็บ
  2. ดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียด และนำผู้เกี่ยวข้องมารับผิด
  3. จัดให้มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

 

โดยข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้ ยังได้มีการประสานไปยังคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ด้วย

 

ขณะที่ฝ่ายไทยจะพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการกลับมาดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมฯ อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบและยุติการกระทำที่เป็นปรปักษ์โดยสิ้นเชิง

 

ประเด็นที่ 3

 

ส่วนเรื่องการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการฯ แจ้งต่อคณะทูตว่า ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีการติดต่อโดยตรงกับ ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาเพื่อประท้วงเบื้องต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยมีการติดต่อ 2 ครั้ง ครั้งแรกขณะอยู่ที่ฮ่องกงในวันที่ 10 พฤศจิกายน และอีกครั้งวานนี้

 

ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังฝ่ายกัมพูชา ผ่านทางสถานทูตกัมพูชาในกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับหนังสือเมื่อวานนี้แล้ว

 

โดยต่อจากนี้ ประเทศไทยจะดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาโดยจะจัดทำรายงานส่งถึงญี่ปุ่นในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวาในปัจจุบัน รวมทั้งรายงานต่อเลขาธิการสหประชาชาติ

 

ซึ่งการประชุมรัฐภาคีครั้งที่ 22 จะจัดขึ้นที่นครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 1-5 ธันวาคมที่จะถึงนี้

 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ยังได้แจ้งให้คณะทูตทราบว่า ประเทศไทยจะนำเสนอข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ต่อประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้งจุดยืนของไทยในเรื่องนี้
โดยจะส่งบันทึกทางการทูตถึงสหรัฐอเมริกา และมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นพยานในการลงนามในถ้อยแถลงร่วมฯ พร้อมกับจัดการบรรยายสรุปต่อคณะทูตเป็นระยะๆ เช่นเดียวกับในวันนี้

 

ขณะที่ไทยจะส่งเอกสารนี้ไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก จะติดต่อกับรัฐบาลเจ้าบ้านเพื่ออธิบายและชี้แจงจุดยืนของไทยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

 

ในเวลาเดียวกัน หน่วยงานด้านความมั่นคงจะยังคงให้ข้อมูลโดยละเอียดแก่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน และจะเชิญไปเยี่ยมพื้นที่เกิดเหตุในโอกาสแรกที่สามารถทำได้

 

ประเด็นที่ 4

 

ส่วนเรื่องการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ วานนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้เล่าความประทับใจต่อคณะทูตเกี่ยวกับการลงพื้นที่ พร้อมรายงานรายละเอียดของการเยือน

 

การลงพื้นที่ครั้งนี้เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการฯ ได้รับข้อมูลสถานการณ์ชายแดนจากภาคสนามโดยตรง รวมทั้งได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และทหารแนวหน้าในพื้นที่ฐานปฏิบัติการบ้านภูมะเขือ และเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากเหตุทุ่นระเบิดซึ่งกำลังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายสุรสีห์

 

ทั้งนี้ คณะทูตยังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของไทย นอกเหนือจากที่แถลงไปแล้ว รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ให้คำตอบว่า จากนี้ไป ขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และไทยจะดำเนินการตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่

 

นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า สถานะของถ้อยแถลงร่วมฯ ถือว่าไทยฉีกทิ้งหรือไม่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการฯ ตอบว่า ณ ปัจจุบัน ถือว่าไทย ระงับ หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Pause

 

แต่เมื่อคำนึงถึงความรู้สึกของคนไทย จึงยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถคงสถานะของการระงับไว้ได้นานแค่ไหน ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับท่าทีและการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา ต่อข้อเรียกร้องของไทย

 

“กระทรวงการต่างประเทศขอให้ประชาชนมั่นใจ ว่าประเทศไทยยังคงยึดมั่นในสันติวิธี กระทรวงการต่างประเทศยังยึดมั่นในสันติวิธี ซึ่งเป็นหลักการที่เรายึดมาโดยตลอด ในขณะเดียวกัน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จะดำเนินการอย่างรอบด้านและเต็มกำลังเพื่อธำรงไว้ซึ่งอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคง ปลอดภัย ของพี่น้องคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดตลอดมา” นิกรเดช กล่าว และเสริมว่า

 

“ประเทศไทยเน้นย้ำความคาดหวังต่อกัมพูชา ให้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้ไทยและประชาคมโลกเห็นว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และกัมพูชาจะปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้”

The post กต. แจงทูตต่างชาติ เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ย้ำ 3 ข้อเรียกร้องกัมพูชา ยืนยันระงับถ้อยแถลงร่วมฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ญี่ปุ่น-จีนตึงเครียด หลังคำพูดทาคาอิจิจุดชนวนวิวาทะ ปมไต้หวัน https://thestandard.co/japan-china-tension-taiwan/ Wed, 12 Nov 2025 04:26:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1142339 ญี่ปุ่น - จีน ตึงเครียด หลัง คำพูด ทาคาอิจิ จุดชนวน วิวาทะ ปม ไต้หวัน

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นแล […]

The post ญี่ปุ่น-จีนตึงเครียด หลังคำพูดทาคาอิจิจุดชนวนวิวาทะ ปมไต้หวัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ญี่ปุ่น - จีน ตึงเครียด หลัง คำพูด ทาคาอิจิ จุดชนวน วิวาทะ ปม ไต้หวัน

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและจีนเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงเครียด หลังเกิดวิวาทะระหว่างกัน ความตึงเครียดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้เสนอแนะในที่ประชุมรัฐสภาของญี่ปุ่นว่า ญี่ปุ่นอาจตอบโต้ด้วยกำลังทางทหาร หากจีนโจมตีไต้หวัน

 

ท่าทีดังกล่าวมีขึ้น หลังทาคาอิจิถูกถามว่า สถานการณ์ใด รอบๆ ไต้หวันที่จะถือเป็นสถานการณ์ที่ ‘คุกคามการอยู่รอด’ (Survival-Threatening Situation) ของญี่ปุ่น โดยทาคาอิจิตอบว่า หากมีเรือรบและการใช้กำลัง ก็อาจถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอดได้

 

‘สถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอด’ เป็นศัพท์ทางกฎหมายภายใต้กฎหมายความมั่นคงปี 2015 ของญี่ปุ่น หมายถึงการโจมตีด้วยอาวุธต่อพันธมิตรของญี่ปุ่นที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของประเทศ และในสถานการณ์เช่นนี้ ญี่ปุ่นสามารถใช้กองกำลังป้องกันตนเอง เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามได้

 

การตอบโต้และคำขู่จากนักการทูตจีน

 

คำกล่าวของทาคาอิจิสร้างความไม่พอใจให้กับทางการจีน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ‘ถือเป็นเรื่องร้ายแรง’

 

ก่อนที่ เสวี่ยเจี้ยน กงสุลใหญ่ของจีนในเมืองโอซาก้า ได้แชร์บทความข่าวเกี่ยวกับคำกล่าวของทาคาอิชิบน X พร้อมเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวในทำนองที่ว่า ศีรษะสกปรกที่ยื่นออกมาต้องถูกตัดออก โดยความเห็นนี้ได้รับการตีความอย่างแพร่หลาย โดยบางคนมองว่า เป็นการขู่จะตัดศีรษะทาคาอิจิ และถึงแม้ว่าเจตนาของคำพูดดังกล่าว ‘อาจไม่ชัดเจน’ แต่ก็ถูกมองว่า ‘ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง’

 

รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างยื่นหนังสือประท้วงอย่างรุนแรงต่อกัน โดยรัฐบาลจีนประท้วงคำพูดของทาคาอิจิ ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ประท้วงคำพูดของเสวี่ยเจี้ยน โดยเมื่อวานนี้ (11 พฤศจิกายน) ทาคาอิชิปฏิเสธที่จะถอนคำพูดของเธอ พร้อมยืนยันว่า คำพูดดังกล่าว สอดคล้องกับจุดยืนดั้งเดิมของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เธอระบุว่า จะระมัดระวังในการให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงนับจากนี้

 

จุดยืนของทาคาอิจิกับบริบททางประวัติศาสตร์

 

ความบาดหมางระหว่างจีนและญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยย้อนกลับไปถึงความขัดแย้งทางอาวุธในยุคทศวรรษ 1800s และแคมเปญทางการทหารที่โหดร้ายของญี่ปุ่นในจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บาดแผลทางประวัติศาสตร์ยังคงเป็นประเด็นที่อ่อนไหวในความสัมพันธ์ทวิภาคี

 

ทาคาอิจิถือเป็นศิษย์รักของชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ ซึ่งมีท่าทีการดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าว (สายเหยี่ยว) ต่อจีน และสนับสนุนไต้หวันมานาน เธอได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมของญี่ปุ่น และก่อนหน้านี้เธอก็เคยกล่าวว่า การปิดล้อมเกาะไต้หวันอาจคุกคามญี่ปุ่น และญี่ปุ่นสามารถระดมกำลังทหาร เพื่อยับยั้งการรุกรานของจีนได้

 

การละทิ้ง ‘ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์’

 

จีนมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อประเด็นไต้หวัน ซึ่งจีนมองว่า เป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตยจีน และไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทางทหารเพื่อยึดคืนเกาะดังกล่าว

 

นักวิชาการจำนวนหนึ่งมองว่า คำกล่าวล่าสุดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถือเป็นการเปลี่ยนจาก ‘จุดยืนที่คลุมเครือ’ (Equivocal Position) ที่ญี่ปุ่นเคยยึดถือเกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบาย ‘ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์’ (Strategic Ambiguity) ที่สหรัฐฯ ใช้มานาน

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นหวังว่าปัญหาไต้หวันจะได้รับการแก้ไขอย่างสันติผ่านการเจรจา และเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นมักจะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงไต้หวันในการอภิปรายด้านความมั่นคง

 

ในเหตุการณ์ล่าสุดนี้ กระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวว่า คำพูดของทาคาอิจิ ถือเป็นการ ‘แทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งต่อกิจการภายในของจีน’ (A Gross Interference in China’s Internal Affairs) โดยย้ำว่า ‘ไต้หวันคือไต้หวันของจีน’ และจีนจะไม่ทนต่อการแทรกแซงจากต่างชาติใดๆ ในประเด็นนี้

 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังตั้งคำถามว่า ผู้นำญี่ปุ่นกำลังพยายามส่งสัญญาณอะไรไปยังกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่ต้องการเอกราชของไต้หวัน และญี่ปุ่นพร้อมที่จะท้าทายผลประโยชน์หลักของจีนและหยุดการรวมชาติ หรือไม่

 

วิวาทะที่เกิดขึ้นระหว่างญี่ปุ่นและจีนนี้ ทำให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดระลอกใหม่ในแถบเอเชียตะวันออก ซึ่งอาจจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า วิวาทะเดือดในครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์บานปลายไปในทิศทางใดหรือไม่

 

แฟ้มภาพ: Chung Sung-Jun / Getty Images

 

อ้างอิง:

The post ญี่ปุ่น-จีนตึงเครียด หลังคำพูดทาคาอิจิจุดชนวนวิวาทะ ปมไต้หวัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อันวาร์ เผยสั่งการ ผบ.สส. ติดตามข้อมูล-แนวทางช่วยเหลือแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ยืนยันบทบาทมาเลเซียแค่ประสานงาน https://thestandard.co/anwar-monitoring-thai-cambodia/ Wed, 12 Nov 2025 04:14:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1142329 อันวาร์ เผยสั่งการ ผบ.สส. ติดตามข้อมูล-แนวทางช่วยเหลือแก้ปัญหา ไทย-กัมพูชา ยืนยัน บทบาท มาเลเซีย แค่ประสานงาน

อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตอบคำถามกรณีสถานก […]

The post อันวาร์ เผยสั่งการ ผบ.สส. ติดตามข้อมูล-แนวทางช่วยเหลือแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ยืนยันบทบาทมาเลเซียแค่ประสานงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อันวาร์ เผยสั่งการ ผบ.สส. ติดตามข้อมูล-แนวทางช่วยเหลือแก้ปัญหา ไทย-กัมพูชา ยืนยัน บทบาท มาเลเซีย แค่ประสานงาน

อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ตอบคำถามกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในช่วงถามตอบนายกรัฐมนตรีระหว่างการประชุมสมาชิกรัฐสภามาเลเซียวานนี้ (11 พฤศจิกายน) โดยระบุว่า เขาได้สั่งการให้พลเอก โมฮัมหมัด นิซาม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซีย ติดตามรายงานความคืบหน้าล่าสุดและกลับมาหารือแนวทางช่วยเหลือแก้ไขปัญหา หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศระงับถ้อยแถลงร่วม หรือที่มาเลเซียเรียกว่าข้อตกลงสันติภาพที่มีการลงนามไปเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา

 

อันวาร์ กล่าวว่า “ในฐานะประธานอาเซียน เขายังคงติดต่ออย่างใกล้ชิดกับผู้นำไทยและกัมพูชา” และยืนยันบทบาทของมาเลเซียในการเจรจาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ภายหลังเผชิญกระแสวิพากษ์วิจารณ์ โดยระบุว่า “บทบาทของมาเลเซียจำกัดแค่เพียงการประสานงานและการอำนวยความสะดวก โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขใดๆ และมาเลเซียไม่เคยบังคับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในกระบวนการสันติภาพ แต่ทำหน้าที่เป็นเพียงคนกลางเพื่อให้เกิดการเจรจาที่สร้างสรรค์”

 

“เราแค่ประสานงานกัน ผมยังจำได้ว่าตอนที่ผมนำนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ (ของไทยและกัมพูชา) มาพบกัน ผมบอกพวกเขาว่า พวกคุณเป็นคนกำหนดเงื่อนไข ผมมาที่นี่เพื่อช่วยประสานงานและส่งเสริมสันติภาพเท่านั้น” เขากล่าว และยืนยันว่าขอบเขตของการเจรจาสันติภาพถูกกำหนดโดยไทยและกัมพูชา ไม่ใช่มาเลเซีย

 

“พวกเขาเป็นผู้กำหนดขอบเขต ไม่ใช่เรา เราไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ เพื่อสันติภาพ ทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงของตนเอง”

 

อันวาร์กล่าวว่า คำวิจารณ์บทบาทของมาเลเซียในการไกล่เกลี่ยการเจรจาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา ควรได้รับการพิจารณาในบริบทของหลักประชาธิปไตย เนื่องจากทุกประเทศมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

 

เขาย้ำว่าแม้จะมีเสียงวิจารณ์จากบางฝ่าย แต่ทั้งไทยและกัมพูชายังคงมั่นใจในบทบาทที่เป็นกลางของมาเลเซียในการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค

 

“บางครั้งความสำเร็จของมาเลเซียก็ก่อให้เกิดความอิจฉา บางคนรู้สึกไม่สบายใจที่จะเห็นประเทศเล็กๆ อย่างเราได้รับความสนใจจากทั่วโลก” เขากล่าว และชี้ว่า “นายกรัฐมนตรีไทยไม่เคยตั้งคำถามถึงบทบาทของมาเลเซีย และเพียงขอให้กัมพูชาปฏิบัติตามเงื่อนไขสันติภาพอย่างเต็มที่”

 

ขณะที่เขากล่าวย้ำว่า มาเลเซียยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพในภูมิภาค เนื่องจากความตึงเครียดในภูมิภาคจะส่งผลกระทบต่อประเทศเช่นกัน โดยเน้นย้ำว่าความรับผิดชอบนี้จะต้องแบกรับ เนื่องจากมาเลเซียยังคงเป็นประธานอาเซียนจนถึงสิ้นปีนี้

 

ทางด้านผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซีย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Star โดยระบุว่ามาเลเซียยังคงยึดมั่นในพันธกรณีที่จะรักษาข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาไว้ แม้จะเกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดครั้งล่าสุดที่ชายแดนก็ตาม”

 

เขาย้ำว่า ในฐานะผู้ประสานงานข้อตกลงสันติภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านทั้งสอง มาเลเซียต้องการเห็นกระบวนการสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงดำเนินต่อไปตามแผนที่วางไว้

 

“วัตถุประสงค์หลักคือการสร้างความมั่นใจว่า ข้อตกลงสันติภาพและความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างไทยและกัมพูชาจะบรรลุผลสำเร็จ” เขากล่าว และย้ำว่า

 

“ในฐานะส่วนหนึ่งของอาเซียน เราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันและรักษาสันติภาพให้คงอยู่”

 

ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียยังกล่าวว่า จุดยืนของมาเลเซียคือการสร้างความมั่นใจว่ากระบวนการสันติภาพจะดำเนินต่อไป โดยตั้งข้อสังเกตว่าความล่าช้าใดๆ อาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศกลับมาเหมือนเช่นเคย

 

“เรายังรับทราบถึงเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อเร็วๆ นี้ แต่จำเป็นต้องให้ระยะเวลาในการไตร่ตรองเพื่อตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริง”

 

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับสถานะของทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ภายหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เขาระบุว่า ทีม AOT ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

 

“AOT ประจำการอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 40 กิโลเมตร แต่หากความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นถึงระดับที่เห็นก่อนบรรลุข้อตกลงสันติภาพ ทีมผู้สังเกตการณ์ทั้งจากไทยและกัมพูชาจะได้รับคำสั่งให้เดินทางกลับกรุงเทพฯ และพนมเปญตามลำดับ” เขากล่าว

 

แฟ้มภาพ: LILLIAN SUWANRUMPHA/Pool via REUTERS

 

อ้างอิง:

The post อันวาร์ เผยสั่งการ ผบ.สส. ติดตามข้อมูล-แนวทางช่วยเหลือแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ยืนยันบทบาทมาเลเซียแค่ประสานงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 https://thestandard.co/brazil-indigenous-amazon-protest-cop30/ Wed, 12 Nov 2025 03:37:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1142307 “พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30

เกิดเหตุปะทะกลางสถานที่จัดการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซ […]

The post “พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 appeared first on THE STANDARD.

]]>
“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30

เกิดเหตุปะทะกลางสถานที่จัดการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล หลังกลุ่มชนพื้นเมืองออกมาประท้วง และพยายามบุกเข้าไปในที่ประชุม เผยที่ดินทำกินในป่าแอมะซอนถูกรุกราน จากการตัดไม้ทำลายป่า และการขุดเจาะน้ำมัน โดยหวังใช้เวทีครั้งนี้แสดงพลังรักษาสิ่งแวดล้อมเฮือกสุดท้าย

 

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ชนพื้นเมืองชาวบราซิลนับร้อยแห่ประท้วงกลางที่ประชุม COP30 โดยพยายามบุกเข้าไปในสถานที่จัดงาน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่ดินทำกินในป่าแอมะซอนถูกรุกราน จนเกิดเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่พยายามห้ามปราม

 

ในวิดีโอบนโลกโซเชียลมีเดีย ปรากฏให้เห็นชนพื้นเมืองถือป้ายประท้วงว่า ‘ดินแดนของเราไม่ได้มีไว้ขาย’ ท่ามกลางฝูงชนจำนวนหนึ่งที่ถือป้ายและธงชาติปาเลสไตน์ สวมเสื้อ Juntos (แปลว่า Together) ขณะที่อีกส่วนหนึ่งตะโกนด่าทอรัฐบาลบราซิลว่า “พวกเขาคือรัฐบาล นี่คือวิธีการปกป้องผืนป่าที่ถูกยึดครอง เข้าใจบ้างไหม?”

 

ทั้งนี้ โฆษกสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (U.N. Climate Change) แถลงการณ์ว่า ผู้ชุมนุมพยายามบุกรั้วบริเวณทางเข้าหลักของสถานที่จัดงาน COP30 จนเกิดเหตุปะทะกัน โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย พร้อมยืนยันว่า ทุกภาคส่วนกำลังสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น และรักษาความปลอดภัยต่อไป

 

นอกจากนี้ Reuters ยังรายงานว่า มีพยานพบเห็นเจ้าหน้าที่ใช้มือกุมท้องด้วยความเจ็บปวด ขณะที่หน่วยรักษาความปลอดภัย 1 คน ถูกไม้ของชนพื้นเมืองฟาดที่บริเวณศีรษะ จนเลือดไหลบริเวณศีรษะ และมีรอยฟกช้ำบริเวณใต้ตา

 

เหตุประท้วงในการประชุม COP ถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก เพราะที่ผ่านมา การประชุมมักจัดในประเทศที่เสรีภาพทางการแสดงออกไม่ได้เปิดกว้าง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์ หากแต่รัฐบาลบราซิลในฐานะเจ้าภาพ COP 30 นำโดยประธานาธิบดี ลูลา ดา​ ซิลวา สนับสนุนตัวแสดงอื่นๆ ในวิกฤตโลกเดือดให้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะชนพื้นเมือง

 

ทั้งนี้ ชนพื้นเมืองออกมาเปิดเผยว่า พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับโครงการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมบทบาทอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของชนพื้นเมือง โดย ออกุสติน โอกาญา (Agustin Ocaña) ตัวแทนกลุ่ม Global Youth Coalition ให้สัมภาษณ์ว่า ชนพื้นเมืองรู้สึกไม่พอใจที่รัฐบาลระดมทุนสร้างเมืองเบเล็งใหม่โดยไม่จำเป็น ทั้งที่งบประมาณสามารถใช้จ่ายในด้านการศึกษา สุขภาพ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งการประท้วงครั้งนี้แสดงถึงความรู้สึกสิ้นหวังของพวกเขา

 

“เรากินเงินไม่ได้ เราต้องการที่ดินทำกินของเรา ให้รอดพ้นจากธุรกิจการเกษตร การสำรวจน้ำมัน การขุดเหมืองผิดกฎหมาย และการลักลอบตัดไม้” กิลมาร์ (Gilmar) หัวหน้ากลุ่มชนพื้นเมืองตูปินัมบา (Tupinamba) ที่อาศัยบริเวณแม่น้ำตาปาฌอส กล่าวกับผู้สื่อข่าว

 

“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 1“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 2“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 3“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 4“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 5“พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 6

 

ภาพ: Anderson Coelho / Reuters

 

อ้างอิง:

The post “พวกเรากินเงินไม่ได้” ชนพื้นเมืองบราซิลบุกประท้วง ปมป่าแอมะซอนถูกรุกราน กลางการประชุม COP30 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ญี่ปุ่น-ไทย พันธมิตรเก่ากับโจทย์ใหม่ในสมรภูมิเศรษฐกิจอาเซียน https://thestandard.co/japan-thailand-shaping-aseans-next-frontier/ Wed, 12 Nov 2025 02:15:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1142275

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง […]

The post ญี่ปุ่น-ไทย พันธมิตรเก่ากับโจทย์ใหม่ในสมรภูมิเศรษฐกิจอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง ไทยและญี่ปุ่น ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภาค อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญที่มีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยี การผลิต และห่วงโซ่อุปทานของไทยจนกลายเป็น “Detroit of Asia” ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์นี้ไม่เพียงช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของทั้งสองประเทศ แต่ยังเป็นแรงขับสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและเทคโนโลยีใหม่ในอนาคต

 

เวทีเสวนา “Japan–Thailand: Shaping ASEAN’s Next Frontier” ที่จัดโดย Nikkei Asia ร่วมกับ The Standard ภายในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025: Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จึงกลายเป็นพื้นที่สะท้อนมุมมองและโอกาสของภาคธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น ตลอดจนอนาคตเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยมี 3 ผู้นำจากองค์กรภาคธุรกิจขนาดใหญ่ของทั้งสองประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเข้มข้น ได้แก่

 

  • วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จํากัด (มหาชน)
  • โคจิ อิวานามิ (Koji Iwanami) ประธานและ CEO บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
  • บุนเซอิ โอคุโบะ (Bunsei Okubo) ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC Banking) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

 

ขณะที่ผู้ดำเนินรายการคือ โทโยอะกิ ฟูจิวาระ (Toyoaki Fujiwara) ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมและการประชุมระดับโลกของ Nikkei Incorporation ชี้ถึงความท้าทายอันน่ากังวลที่ญี่ปุ่นและไทยกำลังเผชิญ ทั้งการแข่งขันระดับโลก การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี และการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย แต่คำถามสำคัญคือ เราจะร่วมกันขับเคลื่อนอนาคต ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้อย่างไร?

 

ไทยต้องมีผู้นำที่มองไกล

 

วิกรมเปิดประเด็นในการสนทนาอย่างเฉียบคมว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ ‘ผู้นำและนโยบาย’ โดยยกตัวอย่างอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยกว่า 5-6% ต่อปี ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่า

 

“ถ้าไทยมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์แบบนั้น เราสามารถโตได้มากกว่า 2% แน่นอน”

 

เขาย้ำว่าจุดแข็งของไทยมีทั้งภูมิศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐาน และความสัมพันธ์อันยาวนานกับชาติมหาอำนาจ

 

“อเมริกามีพนักงานสถานทูตในไทยกว่า 4,300 คน มากที่สุดในโลก สะท้อนว่าไทยคือพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ” เขากล่าว

 

ในมุมมองของวิกรม ความสัมพันธ์นี้ไม่ควรใช้เพียงด้านการทูต แต่ต้อง “แปลงเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ” โดยไทยควรใช้สถานะของตนเป็น ฐานความร่วมมือ ระหว่างญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่การเลือกข้าง แต่เป็นการใช้ทุกฝ่ายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทย

 

“เราควรให้ญี่ปุ่นกับจีนร่วมผลิตในไทย แล้วส่งออกสู่ตลาดตะวันตก นี่คืออนาคตที่ควรเป็น”

 

จากฐานการผลิตสู่ศูนย์กลางนวัตกรรม

 

โอคุโบะ ตัวแทนภาคธนาคาร ชี้ว่าไทยมี ‘ภารกิจสองด้าน’ คือเสริมความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น การผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และสร้างอุตสาหกรรมใหม่สำหรับอนาคต

 

เขามองว่า “ไทยมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค” หากสามารถผสานจุดแข็งของญี่ปุ่นด้านเทคโนโลยีเข้ากับทรัพยากรและตลาดของไทยได้

 

“MUFG และกรุงศรีฯ พร้อมสนับสนุนทั้งภาคการเงินและเครือข่ายการลงทุน เพื่อสร้างระบบนิเวศธุรกิจใหม่ ไม่ใช่แค่ปล่อยกู้”

 

เขาเสนอว่า ไทยควรพัฒนา 3 ด้านหลักเพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่ ได้แก่

 

1.พลังงานสะอาดและเสถียร สำหรับอุตสาหกรรมอนาคต

2.ทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูง ที่เข้าใจเทคโนโลยีใหม่

3.นโยบายและสิทธิประโยชน์การลงทุนที่มั่นคง

 

เขายกตัวอย่างความร่วมมือที่ธนาคารจัดทำขึ้น เช่น โครงการจับคู่ธุรกิจระหว่างสตาร์ตอัปญี่ปุ่นกับบริษัทไทยกว่า 400 คู่ ซึ่งก่อให้เกิดผลลัพธ์จริง หรือการร่วมพัฒนาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ระหว่างสตาร์ตอัปญี่ปุ่นกับเครือข่ายค้าปลีกไทย

 

“นี่คือตัวอย่างว่าการสร้างนวัตกรรมข้ามพรมแดน ที่จะกลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น”

 

Honda กับบทบาท “เติบโตไปพร้อมสังคมไทย”

 

อิวานามิ ประธานและ CEO บริษัท Honda Automobile (Thailand) ยืนยันว่า “ประเทศไทยคือพันธมิตรที่ไว้ใจได้ที่สุดของ Honda ในเอเชีย” เพราะมีตลาดที่มั่นคง แรงงานฝีมือดี และซัพพลายเชนที่แข็งแรง เขาย้ำว่า “ความสำเร็จของ Honda มาจากคนไทย”

 

ประเด็นความท้าทายอย่างการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กับค่ายจีนที่รุกแรง เขาให้คำตอบอย่างมั่นใจว่า “Honda ไม่แข่งที่ความเร็ว แต่แข่งที่ความเชื่อมั่นและความทนทาน”

 

โดยบริษัทจะเดินบนสองเส้นทางคู่กัน ทั้งยานยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งลงทุนพัฒนาแบตเตอรีและระบบจัดการพลังงานที่ผลิตได้เอง

 

“เราจะพัฒนาคนควบคู่กับเทคโนโลยี ทำงานกับโรงเรียนและซัพพลายเออร์ เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะทั้งเชิงเทคนิคและดิจิทัล เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต้องเป็นฐานผลิตที่มีนวัตกรรม ไม่ใช่แค่ฐานแรงงานราคาถูกอีกต่อไป”

 

เขายืนยันว่าแนวคิดของ Honda จะยังคงมุ่งเน้นที่สามเสาหลักคือ “สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และผู้คน (Environment, Safety, People)” เพื่อเติบโตไปพร้อมกับสังคมไทย

 

อนาคตความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น

 

ช่วงท้ายของการเสวนา ฟูจิวาระได้ตั้งคำถามสำคัญถึงอนาคตของความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น ว่าจะปรับตัวอย่างไรท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกและความไม่แน่นอนทางการเมืองของทั้งสองประเทศ

 

วิกรมเสนอว่า ไทยควรเรียนรู้จากดูไบและสิงคโปร์ ในการเป็นประเทศที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับการลงทุนจากต่างชาติ (FDI)

 

“นโยบายที่ดีไม่ต้องใช้เงิน แค่เปิดกว้างและทำให้นักลงทุนมั่นใจ” เขากล่าว และเชื่อว่า หากรัฐบาลไทยบริหารนโยบายเศรษฐกิจด้วยวิสัยทัศน์เช่นนี้ GDP ของประเทศจะโตได้เกิน 5-6% อย่างแน่นอน

 

ขณะที่โอคุโบะเสริมว่า ความสม่ำเสมอของนโยบายเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติต้องการมากที่สุด

 

“เมื่อไทยสร้างความเชื่อมั่นได้ การลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือพลังงานสะอาด จะหลั่งไหลเข้ามา”

 

ขณะที่อิวานามิกล่าวทิ้งท้ายว่า “หากไทยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและนโยบายได้ Honda และนักลงทุนญี่ปุ่นจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทต้องการเติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย”

The post ญี่ปุ่น-ไทย พันธมิตรเก่ากับโจทย์ใหม่ในสมรภูมิเศรษฐกิจอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
กต.เผยผลประชุม สมช. ระงับถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา เลื่อนส่งกลับ 18 เชลยศึก เตรียมส่งหนังสือชี้แจงถึงสหรัฐฯ-มาเลเซีย พรุ่งนี้ https://thestandard.co/nsc-delays-detainees-joint-statement/ Tue, 11 Nov 2025 10:44:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1142146 กต.เผยผลประชุม สมช. ระงับถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา เลื่อนส่งกลับ 18 เชลยศึก เตรียมส่งหนังสือชี้แจงถึง สหรัฐฯ-มาเลเซีย พรุ่งนี้

วันนี้ (11 พฤศจิกายน) นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ […]

The post กต.เผยผลประชุม สมช. ระงับถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา เลื่อนส่งกลับ 18 เชลยศึก เตรียมส่งหนังสือชี้แจงถึงสหรัฐฯ-มาเลเซีย พรุ่งนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
กต.เผยผลประชุม สมช. ระงับถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา เลื่อนส่งกลับ 18 เชลยศึก เตรียมส่งหนังสือชี้แจงถึง สหรัฐฯ-มาเลเซีย พรุ่งนี้

วันนี้ (11 พฤศจิกายน) นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ใน 3 ประเด็น ได้แก่

 

1.ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด
2.ผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
3.การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ

 

ประเด็นที่ 1 : เกี่ยวกับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่บริเวณห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ วานนี้ (10 พฤศจิกายน) ทางกองทัพบกได้ออกมายืนยันแล้วว่า มาจากการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งทำให้มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บรวม 4 นาย และ 1 ใน 4 นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าข้างขวาขาด ซึ่งกองทัพบกชี้แจงว่า พื้นที่ลาดตระเวนดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่เคยทำการลาดตระเวนมาก่อนหน้านี้แล้ว

 

จากการเข้าไปพิสูจน์ทราบบริเวณจุดเกิดเหตุภายหลัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ได้ตรวจพบชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 ภายในหลุมระเบิดและพื้นที่ใกล้เคียง และยังตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีกจำนวน 3 ทุ่น ในบริเวณรอบ ๆ หลุมระเบิด

 

ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า พื้นที่เกิดเหตุ เคยเป็นจุดที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาวางกำลัง จึงสรุปได้ว่า มีการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทยโดยฝ่ายกัมพูชา

 

ประเด็นที่ 2 : เกี่ยวกับผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เริ่มต้นกล่าว ด้วยการย้ำว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับ Joint Declaration หรือถ้อยแถลงฯ ร่วมที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ลงนามกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพราะเป็นเอกสารที่ฝ่ายไทยย้ำมาตลอด ว่าเป็นแนวทางที่จะนำสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยความจริงใจและความสุจริตใจของทั้ง 2 ฝ่ายในการปฏิบัติตาม

 

ขณะที่ผลการประชุม สมช. ที่มีนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นประธานการประชุม ได้มีการลงความเห็นว่า ที่ผ่านมาไทยได้ยึดมั่นและมุ่งมั่นปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมฯ มาโดยตลอด และการดำเนินการก็มีความคืบหน้าในหลายเรื่อง
แต่เป็นที่น่าผิดหวัง ที่ล่าสุดฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ โดยลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเขตไทย

 

ฝ่ายไทยถือว่า การกระทำนี้เป็นการ ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ และยังเป็นการ ละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตาวา ที่กัมพูชาเองก็เป็นรัฐภาคี ซึ่งสะท้อนถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการลดระดับความขัดแย้ง

 

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมฯ ซึ่งรวมถึงการส่งตัวทหารกัมพูชาที่ฝ่ายไทยกำลังควบคุมอยู่ 18 คน ออกไปก่อน จนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงความรับผิดชอบและให้ความมั่นใจได้ว่าจะดำเนินการต่างๆ ตามถ้อยแถลงร่วมฯ โดยเฉพาะในเรื่องของทุ่นระเบิด ด้วยความจริงใจและด้วยความสุจริตใจ

 

ในการนี้ ฝ่ายไทยจึงเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการ 3 เรื่อง คือ

 

1.แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้
2.ดำเนินการสอบสวนกรณีดังกล่าว
3.ดำเนินการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต

 

ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT (ASEAN Observer Team) รับรู้และเข้าไปตรวจสอบด้วย โดยฝ่ายไทยจะติดตามเพื่อประเมินท่าทีการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา ก่อนที่จะพิจารณามาตรการอื่นๆ ของฝ่ายไทยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป

 

ส่วนการดำเนินการอื่น ๆ ที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย และสามารถดำเนินการได้โดยฝ่ายไทยฝ่ายเดียว ก็จะยังคงดำเนินการต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการ เก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และการ ปราบปรามออนไลน์สแกม

 

ประเด็นที่ 3 : เกี่ยวกับการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ ทางด้าน สีหศักดิ์ พวงเกตแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ติดต่อ ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อทำการประท้วงในเบื้องต้นไปแล้ว 2 ครั้ง ด้วยกัน คือวานนี้ และช่วงเช้าวันนี้อีกรอบหนึ่ง

 

และกระทรวงการต่างประเทศกำลังจะยื่นหนังสือประท้วง ฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ผ่านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยด้วย

 

นอกจากนี้ ฝ่ายไทยจะดำเนินการต่อเรื่องนี้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินการตาม อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ อนุสัญญาออตตาวา โดยการมีหนังสือถึงประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา คือ ประเทศญี่ปุ่น และจะมีหนังสือถึง เลขาธิการสหประชาชาติ

 

ในขณะเดียวกัน จะเดินหน้าชี้แจงประชาคมระหว่างประเทศ โดยจะมีหนังสือถึง สหรัฐอเมริกา และจะมีหนังสือถึง มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และจะส่งหนังสือดังกล่าวให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบด้วย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศ คือมาเลเซียและสหรัฐฯ ต่างมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้สังเกตการณ์การลงนามถ้อยแถลงร่วมฯ ที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ (12 พฤศจิกายน) ทางกระทรวงการต่างประเทศจะจัด บรรยายสรุปให้แก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยทั้งหมด เพื่อชี้แจงท่าทีไทยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว

 

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการให้เวียนผลสรุปการชี้แจงทั้งหมดที่จะชี้แจงต่อคณะทูต ให้กับสถานเอกอัครราชทูตไทยที่อยู่ในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อที่จะได้ชี้แจงให้กับประเทศเจ้าบ้านต่อไป เพื่อให้มีท่าทีทั่วโลกที่สอดคล้องกัน

 

ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงก็จะเดินหน้าชี้แจงผ่านคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT (ASEAN Observer Team) อย่างเต็มที่

 

สำหรับขณะนี้นายกรัฐมนตรี อนุทิน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ และอยู่ระหว่างเยี่ยมทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บ และรับฟังข้อมูลสถานการณ์จริงในพื้นที่

 

“ประเทศไทยยืนยันความมุ่งมั่นที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และจะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้ข้อตกลงต่างๆ ในกรอบทวิภาคี รวมถึงถ้อยแถลงร่วมฯ ได้รับการเคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” นิกรเดช กล่าว และระบุว่า

 

“ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และให้คำมั่นที่จะสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างจริงจัง และดำเนินการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก”

 

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชน โดยในประเด็นการส่งหนังสือชี้แจงไปยังสหรัฐฯ และมาเลเซีย เขายืนยันว่าจะดำเนินการภายในไม่เกินวันพรุ่งนี้

 

ส่วนสำหรับคำถามว่า การส่งหนังสือชี้แจงไปยังสหรัฐฯ และมาเลเซีย ช้าหรือเร็ว จะมีผลได้เปรียบเสียเปรียบหรือไม่? เขายืนยันว่า ความได้เปรียบเสียเปรียบอยู่ที่เนื้อหา และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่น่าเชื่อถือที่ไทยมี เช่น ชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งจะมีการชี้แจงด้วยข้อมูลที่เป็นจริง

 

ส่วนคำถามว่า การที่กัมพูชาวางทุ่นระเบิดต่อเนื่อง ถือเป็นการไม่เคารพอนุสัญญาออตตาวาหรือไม่ และจะทำให้รัฐภาคี โดยเฉพาะญี่ปุ่นในฐานะประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา กังวลและเร่งรัดกัมพูชาหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า การกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึง 7 ครั้ง ของกัมพูชา ย่อมแสดงถึงความไม่เคารพในภาคีที่ตนเองเป็นสมาชิก และกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาฯ แน่นอน แต่ตอบแทนประธานไม่ได้ โดยทราบว่าอนุสัญญาออตตาวาได้ดำเนินการในการเรียกประเทศที่ถูกร้องเรียนไปอธิบายข้อเท็จจริงแล้ว และเลขาธิการ UN ก็ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

 

ส่วนข้อกังวลที่สถานการณ์จะกลับไปสู่การเผชิญหน้า? เขามองว่า มีเหตุผลให้กังวลแน่นอน เพราะมีการละเมิดถ้อยแถลงร่วมฯ และไทยได้ระงับการดำเนินการตามข้อตกลงแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม หากกัมพูชาแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการทำตาม 3 ข้อเรียกร้อง สถานการณ์ก็ไม่น่าจะบานปลายไปสู่การสู้รบ โดยเรื่องนี้เป็นอำนาจของฝ่ายทหารในการประเมินการปฏิบัติของกัมพูชา

The post กต.เผยผลประชุม สมช. ระงับถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา เลื่อนส่งกลับ 18 เชลยศึก เตรียมส่งหนังสือชี้แจงถึงสหรัฐฯ-มาเลเซีย พรุ่งนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. เห็นชอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 69 ปรับเพดานโควตา 1 ล้านตัน ภาษี 0% แต่ต้องรับซื้อในประเทศ 3 ต่อ 1 https://thestandard.co/tax-free-corn-import-ratio/ Tue, 11 Nov 2025 10:04:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1142125 ครม. เห็นชอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 69 ปรับเพดานโควตา 1 ล้านตัน ภาษี 0% แต่ต้องรับซื้อในประเทศ 3 ต่อ 1

วันนี้ (11 พฤศจิกายน) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจ […]

The post ครม. เห็นชอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 69 ปรับเพดานโควตา 1 ล้านตัน ภาษี 0% แต่ต้องรับซื้อในประเทศ 3 ต่อ 1 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. เห็นชอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 69 ปรับเพดานโควตา 1 ล้านตัน ภาษี 0% แต่ต้องรับซื้อในประเทศ 3 ต่อ 1

วันนี้ (11 พฤศจิกายน) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดมาตรการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 และการกำหนดมาตรการการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก World Trade Organization (WTO) ในโควตา และข้าวสาลีสำหรับการผลิตอาหารสัตว์ปี 2569 ตามมติ นบขพ. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เสนอ

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวทางการบริหารจัดการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2569 ประกอบด้วย

 

1. มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา
2. การกำหนดมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ในโควตาและข้าวสาลีสำหรับอาหารสัตว์ โดยต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศปริมาณ 3 ส่วน ต่อการนำเข้า 1 ส่วน และ
3. การกำหนดปริมาณและอัตราภาษีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบ WTO โดยให้มีการกำหนดมาตรการดังกล่าวปีต่อปี ดังนี้
3.1 ให้องค์กรคลังสินค้า (อคส.) และผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้า
3.2 อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ 0 และปริมาณ 1 ล้านตัน

 

ทั้งนี้ เพื่อบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศให้เกิดความสมดุล ทั้งห่วงโซ่ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดนโดยส่งเสริมการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศที่ไม่ใช้การเผาควบคู่กับการกำกับดูแลการเผา พื้นที่เพาะปลูกทางการเกษตรในประเทศ

 

“การดำเนินมาตรการบริหารจัดการนำเข้าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2569 เพื่อให้ไทยมีวัตถุดิบเพียงพอในการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศ รวมทั้งเพื่อให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาสามารถจัดทำข้อเสนอของไทย สำหรับเจรจากับสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับประเด็นการค้าและลดผลกระทบที่จะเกิดจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำ

The post ครม. เห็นชอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 69 ปรับเพดานโควตา 1 ล้านตัน ภาษี 0% แต่ต้องรับซื้อในประเทศ 3 ต่อ 1 appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลาโหมกัมพูชาแถลงเสียใจเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ปฏิเสธข้อกล่าวหาวางระเบิดใหม่ เรียกร้องไทยเลี่ยงลาดตระเวนพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า https://thestandard.co/cambodia-responds-thai-landmine-incident/ Tue, 11 Nov 2025 06:48:20 +0000 https://thestandard.co/?p=1142035 กลาโหมกัมพูชาแถลงเสียใจเหตุทหารไทยเหยียบ ทุ่นระเบิด ปฏิเสธข้อกล่าวหาวางระเบิดใหม่ เรียกร้องไทยเลี่ยงลาดตระเวนพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า

พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยแพร่แถลงการณ์ใน […]

The post กลาโหมกัมพูชาแถลงเสียใจเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ปฏิเสธข้อกล่าวหาวางระเบิดใหม่ เรียกร้องไทยเลี่ยงลาดตระเวนพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลาโหมกัมพูชาแถลงเสียใจเหตุทหารไทยเหยียบ ทุ่นระเบิด ปฏิเสธข้อกล่าวหาวางระเบิดใหม่ เรียกร้องไทยเลี่ยงลาดตระเวนพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า

พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยแพร่แถลงการณ์ในวันนี้ (11 พฤศจิกายน) ชี้แจงสื่อมวลชนในประเทศและต่างประเทศ กรณีเหตุทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบ ทุ่นระเบิด โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ และอ้างว่า ทหารไทยได้ลาดตระเวนเข้าไปในพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่าจากความขัดแย้งในอดีต

 

ขณะที่ยืนยันว่านับตั้งแต่เข้าเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา กัมพูชา ได้ปฏิบัติตามหลักการและพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่มีการใช้หรือติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ใดๆ ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือน และเรียกร้องให้ฝ่ายไทยหลีกเลี่ยงการลาดตระเวนในพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า

 

พร้อมทั้งแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับไทย เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างหลักประกันความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือน ตามปฏิญญาร่วมระหว่างกัมพูชาและไทยที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา

 

โดยเนื้อหาแถลงการณ์ทั้งหมดมีรายละเอียดดังนี้

 

พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหม ขอแจ้งต่อสาธารณชนทั้งสื่อมวลชนในประเทศและต่างประเทศ ดังนี้

 

กระทรวงกลาโหมขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ระเบิดทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บขณะลาดตระเวนเข้าไปในทุ่นระเบิดอันเป็นร่องรอยของความขัดแย้งในอดีต

 

ในขณะเดียวกัน พบว่าตั้งแต่วานนี้ (10 พฤศจิกายน) จนถึงวันนี้ (11 พฤศจิกายน)สื่อมวลชนไทยหลายสำนักได้เผยแพร่รายงานข่าวโดยอ้างอิงคำกล่าวอ้างของผู้นำและเจ้าหน้าที่ทหารไทยที่กล่าวหากัมพูชาว่าวางทุ่นระเบิดใหม่ ทำให้ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและได้รับบาดเจ็บสาหัส ในจังหวัดพระวิหาร ซึ่งกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายไทยที่มีต่อกัมพูชาอย่างหนักแน่น

 

กระทรวงกลาโหมยืนยันอย่างหนักแน่นว่า นับตั้งแต่กัมพูชาเข้าเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา กัมพูชายังคงปฏิบัติตามหลักการและพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์และสม่ำเสมอ กัมพูชาขอยืนยันว่าไม่ได้ใช้หรือติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ใดๆ ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือน

 

เป็นความจริงที่ว่า แม้จะมีความพยายามอย่างไม่ลดละตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาในการกำจัดทุ่นระเบิด แต่ทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิดซึ่งเป็นเศษซากจากความขัดแย้งในอดีตยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือนชาวกัมพูชาในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศไทย

 

ในบริบทนี้ กระทรวงกลาโหมขอเรียกร้องให้ประเทศไทยหลีกเลี่ยงการลาดตระเวนในพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นเขตปนเปื้อนทุ่นระเบิดอันเป็นผลมาจากความขัดแย้งในอดีต เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากทุ่นระเบิดเก่าที่อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดที่ไม่จำเป็น

 

กองทัพภาคที่ 4 ของกัมพูชา ระบุว่า หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว กองกำลังทหารทั้งสองในแนวหน้าได้ติดต่อสื่อสารกัน และจนถึงขณะนี้ สถานการณ์ยังคงสงบ โดยไม่มีรายงานความตึงเครียดใดๆ

 

กระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างหลักประกันความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือน ตามปฏิญญาร่วมระหว่างกัมพูชาและไทยที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025

 

อ้างอิง :

The post กลาโหมกัมพูชาแถลงเสียใจเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ปฏิเสธข้อกล่าวหาวางระเบิดใหม่ เรียกร้องไทยเลี่ยงลาดตระเวนพื้นที่ทุ่นระเบิดเก่า appeared first on THE STANDARD.

]]>