World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 05 May 2025 11:34:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ‘กระแสต้านทรัมป์-ค่าครองชีพพุ่ง’ มองปัจจัยฝ่ายซ้าย ชนะเลือกตั้งออสเตรเลีย https://thestandard.co/anti-trump-sentiment-cost-of-living-australian-election/ Mon, 05 May 2025 11:34:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1071270 นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ผู้นำพรรคเลเบอร์ออสเตรเลีย ฉลองชัยชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 หลังเอาชนะฝ่ายขวาที่มีแนวนโยบายคล้ายทรัมป์

ชัยชนะถล่มทลายของพรรคเลเบอร์ และนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อั […]

The post ‘กระแสต้านทรัมป์-ค่าครองชีพพุ่ง’ มองปัจจัยฝ่ายซ้าย ชนะเลือกตั้งออสเตรเลีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ผู้นำพรรคเลเบอร์ออสเตรเลีย ฉลองชัยชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 หลังเอาชนะฝ่ายขวาที่มีแนวนโยบายคล้ายทรัมป์

ชัยชนะถล่มทลายของพรรคเลเบอร์ และนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี ในการเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลียช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนความน่าสนใจหลายประการในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งชัยชนะของขั้วการเมืองเสรีนิยมฝ่ายซ้าย และปัจจัยจากภาวะเงินเฟ้อ และ ‘ทรัมป์เอฟเฟกต์’ ที่ซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างน่ากังวล

 

การเลือกตั้งของออสเตรเลียครั้งนี้ ฉายให้เห็นภาพรวมปฏิกิริยาของชาวออสเตรเลียที่มีต่อระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง อันเนื่องจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำหนดเป้าหมายขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อประเทศต่างๆ และมีท่าทีไม่เกรงใจใคร แม้แต่พันธมิตรดั้งเดิมของวอชิงตัน 

 

ผลเลือกตั้งที่ออกมา คล้ายกับการเลือกตั้งของแคนาดา ที่จัดขึ้นไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ซึ่งพรรคลิเบอรัล ของนายกรัฐมนตรี มาร์ก คาร์นีย์ พรรครัฐบาลฝ่ายซ้าย สามารถคว้าชัยชนะได้เป็นสมัยที่ 4 จากแนวนโยบายที่พร้อมต่อต้านทรัมป์ โดยคะแนนเสียงที่ออกมา บ่งบอกชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ‘ไม่เอา’ ผู้สมัครสายอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวา ที่มีแนวคิดคล้ายกับทรัมป์ 

 

ขณะที่ออสเตรเลียเอง ก็มีผู้สมัครแนวหน้าที่มีแนวคิดขวาจัดคล้ายทรัมป์ ทำให้อัลบาเนซีกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบและเอาชนะไปแบบขาดลอย

 

และนี่คือความน่าสนใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งของออสเตรเลีย ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความท้าทายจากวิกฤตทั้งในและนอกประเทศ 

 

ทรัมป์ เอฟเฟกต์ กระตุ้นความนิยมฝ่ายซ้าย

 

พรรคเลเบอร์กวาด สส. ไปได้ 87 ที่นั่ง จากทั้งหมด 150 ที่นั่ง นำหน้าคู่แข่งหลักอย่างกลุ่มพันธมิตรพรรคการเมือง LNP (Liberal-National Coalition) พรรคฝ่ายค้านสายอนุรักษนิยม กลาง-ขวา ของ ปีเตอร์ ดัตตัน ที่ได้ไป 39 ที่นั่ง

 

ชัยชนะของพรรคเลเบอร์และอัลบาเนซี ค่อนข้างน่าประหลาดใจ หากดูจากผลสำรวจความนิยมในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งอัลบาเนซีมีคะแนนนิยมลดลง และเป็นดัตตัน ที่ถูกจับตามองว่า มีโอกาสนำกลุ่มพรรคการเมือง LNP ชนะการเลือกตั้งและพลิกกลับมาเป็นรัฐบาล

 

แต่เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามา ผลสำรวจกลับเปลี่ยนเป็นอัลบาเนซีที่มีคะแนนนิยมนำเป็นอันดับ 1 ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า น่าจะเป็นผลจากแคมเปญหาเสียง ที่ส่วนใหญ่ มุ่งเน้นไปที่นโยบายแก้ปัญหาค่าครองชีพพุ่งสูง ภาวะเงินเฟ้อ และที่อยู่อาศัยราคาแพง ซึ่งกระทบต่อชีวิตของชาวออสเตรเลียจำนวนมาก

 

อย่างไรก็ตาม นโยบายและท่าทีต่างๆ ของทรัมป์ เป็นอีกปัจจัยกระตุ้นที่มีผลสำคัญต่อการเลือกตั้ง

 

นักวิเคราะห์มองว่าการที่อัลบาเนซีชนะเลือกตั้งไปแบบขาดลอย เป็นเพราะดัตตัน มีแนวนโยบายหลายอย่างที่คล้ายกับทรัมป์มากจนเกินไป เช่น การให้คำมั่นสำคัญว่าจะลดจำนวนข้าราชการพลเรือน การมุ่งกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมาย หรือการประกาศว่าจะไม่ยืนต่อหน้าธงชาติของกลุ่มชนพื้นเมืองอะบอริจิน

 

ความคล้ายคลึงดังกล่าว ทำให้นักวิจารณ์บางคนขนานนามดัตตันว่าเป็น ‘Temu Trump’ ซึ่งคำว่า Temu อ้างอิงถึงแอปพลิเคชันขายสินค้าราคาถูกสัญชาติจีนที่มีสินค้าลอกเลียนแบบไร้ยี่ห้อจำหน่าย ในที่นี้สะท้อนถึงการเลียนแบบนโยบายและสไตล์ของทรัมป์

 

อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์ มีนโยบายขึ้นภาษีต่อประเทศต่างๆ และอาจซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูงในออสเตรเลีย ทำให้ชาวออสเตรเลียจำนวนมากที่ไม่ไว้ใจทรัมป์ก็ไม่ไว้ใจให้ดัตตันและกลุ่มพรรคการเมือง LNP เช่นกัน

 

โดยแม้ว่าดัตตันจะอ้างว่า ตนเองมีแนวนโยบายเป็น ‘ตัวของตัวเอง’ แต่เขาก็ถูกหลายฝ่ายกล่าวหาว่าเป็นผู้ปลุกปั่นยุยงให้เกิดสงครามวัฒนธรรม อีกทั้งยังกล่าวโจมตีผู้อพยพและสื่อต่างๆ ด้วยวาทกรรมที่คล้ายกับทรัมป์

 

ในช่วงหาเสียงที่ผ่านมา ดัตตันพยายามแสดงให้ประชาชนออสเตรเลียเห็นว่าเขาแตกต่างจากทรัมป์ แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้มองว่าเขาคือบุคคลที่เหมาะสมจะนำพาประเทศผ่านช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายระดับโลกนี้ไปได้

 

ยุคใหม่การเมืองออสเตรเลีย

 

ผลการเลือกตั้งเมื่อวันเสาร์ (3 พฤษภาคม) ทำให้อัลบาเนซีกลายเป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งซ้ำในรอบ 20 ปี และอาจเป็นสัญญาณการสิ้นสุดการหมุนเวียนอำนาจรัฐบาลของผู้นำและพรรคการเมืองต่างๆ ที่เป็นมาอย่างยาวนาน

 

ช่วง 18 ปีที่ผ่านมา ออสเตรเลีย มีนายกรัฐมนตรี 6 คน โดยส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งครบวาระ 3 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความถี่ในการเลือกตั้งของออสเตรเลีย 

 

ชัยชนะในการเลือกตั้งที่เด็ดขาดและเสียงข้างมากที่มากพอ จะทำให้อัลบาเนซีสามารถดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ได้ครบวาระ 3 ปีหรืออาจจะมากกว่านั้น และอาจทำให้เขามีโอกาสปรับเปลี่ยนทิศทางการเมืองของประเทศ ในแบบที่ไม่มีผู้นำออสเตรเลียคนใดทำได้ นับตั้งแต่ยุคนายกรัฐมนตรีจอห์น โฮเวิร์ด (John Howard) ของพรรคลิเบอรัล ที่ครองอำนาจต่อเนื่องถึง 11 ปี ตั้งแต่ปี 1996-2007 

 

โดยในช่วงเวลาที่แห่งความวุ่นวายจากนโยบายของทรัมป์นี้ อัลบาเนซีสามารถแสดงให้เห็นถึงความนิ่งและท่าทีที่น่าเชื่อถือในการตอบโต้การตัดสินใจของทรัมป์ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากออสเตรเลีย 10% ก่อนที่จะมีการระงับภาษีนำเข้าดังกล่าว

 

ปากท้อง-โลกร้อน สำคัญ

 

ชาวออสเตรเลียจำนวนมาก แสดงความเชื่อมั่นในนโยบายของอัลบาเนซีที่จะรับมือกับ 2 ปัญหาสำคัญ ณ ตอนนี้ คือค่าครองชีพที่เพิ่มสูงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ มากกว่าแนวคิดในทางอนุรักษนิยมของดัตตัน เช่น การต่อต้านนโยบายส่งเสริมชนพื้นเมือง ต่อต้านผู้อพยพ หรือการมุ่งปราบปรามวัฒนธรรมการตื่นรู้ และการปลูกฝังแนวคิดต่างๆ ในโรงเรียน 

 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาอัลบาเนซีก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ยังไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะช่วยลดค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้ในช่วงดำรงตำแหน่งสมัยแรก 

 

แต่เขาให้คำมั่นว่า ในปีต่อๆ ไปหลังจากนี้ รัฐบาลของเขาจะดำเนินนโยบาย ทั้งการลดหย่อนภาษี ลดราคายารักษาโรค และออกนโยบายสนับสนุนผู้ซื้อบ้านหลังแรก เพื่อบรรเทาปัญหาที่อยู่อาศัยราคาแพง

 

ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าอัลบาเนซีจะเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการอนุมัติโครงการขุดเจาะถ่านหินและก๊าซในช่วงสมัยแรก แต่อัลบาเนซีก็เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการรับมือวิกฤตการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพอากาศ และย้ำความสำคัญของพลังงานหมุนเวียน ที่เขาเชื่อมั่นว่าเป็นโอกาสเพื่ออนาคตเศรษฐกิจของออสเตรเลีย

 

ภาพ: AAP Image/Lukas Coch/via REUTERS

อ้างอิง:

The post ‘กระแสต้านทรัมป์-ค่าครองชีพพุ่ง’ มองปัจจัยฝ่ายซ้าย ชนะเลือกตั้งออสเตรเลีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
สีจิ้นผิงเตรียมเยือนรัสเซีย ร่วมฉลอง 80 ปี วันแห่งชัยชนะ หารือพัฒนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ https://thestandard.co/xi-to-visit-russia-victory-day/ Mon, 05 May 2025 05:51:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1071190

ทำเนียบเครมลินของรัสเซีย เผยแพร่แถลงการณ์ ยืนยันว่า ประ […]

The post สีจิ้นผิงเตรียมเยือนรัสเซีย ร่วมฉลอง 80 ปี วันแห่งชัยชนะ หารือพัฒนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ทำเนียบเครมลินของรัสเซีย เผยแพร่แถลงการณ์ ยืนยันว่า ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน จะเดินทางเยือน รัสเซีย อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปี วันแห่งชัยชนะ หรือวันแห่งการพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมนี และการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งรัสเซียจะมีการจัดขบวนพาเหรดแสดงแสนยานุภาพกองทัพอย่างยิ่งใหญ่

 

แถลงการณ์ที่เผยแพร่ทาง Telegram ยังระบุว่า สีจะร่วมหารือกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างทั้งสองประเทศ และมีการลงนามในเอกสารความร่วมมือหลายฉบับ รวมถึงมีการหารือในประเด็นสถานการณ์ระหว่างประเทศและสถานการณ์ในภูมิภาค ณ ปัจจุบัน

 

ทั้งนี้ นอกจากผู้นำจีน คาดว่าจะมีผู้นำอีกหลายประเทศ ที่ไปร่วมเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะที่รัสเซีย รวมถึงประธานาธิบดีบราซิลและเซอร์เบีย และนายกรัฐมนตรีของสโลวาเกีย

 

ขณะที่ปูตินเสนอให้มีการหยุดยิงกับยูเครน เป็นเวลา 3 วันในช่วงวันเฉลิมฉลอง 

 

แต่ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ตอบโต้ข้อเสนอของมอสโก โดยกล่าวว่าเขาต้องการข้อตกลงหยุดยิงระยะยาว ไม่ใช่การหยุดยิงชั่วคราวระยะสั้นๆ และเตือนว่า ยูเครนไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของบุคคลสำคัญจากต่างประเทศที่เดินทางไปมอสโก เพื่อร่วมชมขบวนพาเหรดฉลองวันแห่งชัยชนะ เนื่องจากยังคงอยู่ระหว่างการทำสงครามกับรัสเซีย

 

ภาพ: Mikhail Svetlov / Getty Images

อ้างอิง: 

The post สีจิ้นผิงเตรียมเยือนรัสเซีย ร่วมฉลอง 80 ปี วันแห่งชัยชนะ หารือพัฒนาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์สั่งเก็บภาษี 100% ภาพยนตร์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ อ้าง ‘ฮอลลีวูดกำลังจะตาย’ https://thestandard.co/trump-foreign-movies-100-percent/ Mon, 05 May 2025 03:23:26 +0000 https://thestandard.co/?p=1071144

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศวานนี้ (4 พฤษภาคม) ว่ […]

The post ทรัมป์สั่งเก็บภาษี 100% ภาพยนตร์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ อ้าง ‘ฮอลลีวูดกำลังจะตาย’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศวานนี้ (4 พฤษภาคม) ว่าเขาได้มีคำสั่งให้เรียกเก็บภาษีในอัตรา 100% สำหรับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ถ่ายทำนอกสหรัฐฯ โดยอ้างว่า วงการฮอลลีวูดกำลัง ‘ได้รับผลกระทบอย่างหนัก’ จากกระแสที่ผู้สร้างภาพยนตร์และสตูดิโอภาพยนตร์ของสหรัฐฯ หันไปทำงานในต่างประเทศ

 

“ผมสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เริ่มดำเนินการจัดเก็บภาษี 100% ต่อภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เข้ามาในประเทศของเราและถ่ายทำในต่างประเทศ” ทรัมป์ระบุในข้อความที่โพสต์ผ่าน Truth Social

 

ทรัมป์ยังตำหนิ “ความพยายามร่วมกัน” ของประเทศต่างๆ ที่เสนอแรงจูงใจเพื่อดึงดูดผู้สร้างและสตูดิโอภาพยนตร์ โดยชี้ว่าเป็น ‘ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ’

 

“อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกากำลังจะตายลงอย่างรวดเร็ว ประเทศอื่นๆ เสนอแรงจูงใจมากมายเพื่อดึงผู้สร้างภาพยนตร์และสตูดิโอของเราออกจากสหรัฐฯ”

 

ด้าน ฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตอบสนองต่อคำสั่งเรียกเก็บภาษีดังกล่าว โดยระบุว่ากำลังดำเนินการ

 

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตภาพยนตร์ที่สำคัญของโลก แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากมาตรการภาษีดังกล่าว

 

ขณะที่รายงานประจำปีของบริษัทวิจัยอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ProdPro ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีการใช้จ่ายด้านการผลิตภาพยนตร์เป็นเงิน 14,540 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงมา 26% นับตั้งแต่ปี 2022

 

รายงานยังชี้ว่า ในช่วงเวลาเดียวกัน มีหลายประเทศที่ดึงดูดผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างชาติให้เข้าไปถ่ายทำเพิ่มมากขึ้น รวมถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และสหราชอาณาจักร

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการประกาศล่าสุดนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากผลพวงมาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์

 

โดยจีน ซึ่งเผชิญภาษีตอบโต้ของทรัมป์ในอัตรา 145% ประกาศจะลดโควตาภาพยนตร์อเมริกันที่อนุญาตให้เข้าฉายในประเทศ

 

สำนักบริหารภาพยนตร์จีน ระบุว่า “การกระทำที่ผิดพลาดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการใช้มาตรการภาษีกับจีน จะทำให้ความนิยมของผู้ชมในประเทศต่อภาพยนตร์อเมริกันลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะปฏิบัติตามกฎของตลาด เคารพการเลือกของผู้ชม และลดจำนวนภาพยนตร์อเมริกันที่นำเข้ามาอย่างพอประมาณ”

 

ภาพ: AaronP/Bauer-Griffin/GC Images

อ้างอิง:

The post ทรัมป์สั่งเก็บภาษี 100% ภาพยนตร์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ อ้าง ‘ฮอลลีวูดกำลังจะตาย’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม OECD ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้ำบทบาทหุ้นส่วน หนุนความก้าวหน้าเข้าเป็นสมาชิก https://thestandard.co/thailand-cohosts-oecd-summit/ Mon, 05 May 2025 02:09:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1071097

กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิ […]

The post ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม OECD ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้ำบทบาทหุ้นส่วน หนุนความก้าวหน้าเข้าเป็นสมาชิก appeared first on THE STANDARD.

]]>

กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) และรัฐบาลออสเตรเลีย จัดการประชุม OECD Southeast Asia Regional Forum ภายใต้หัวข้อ “The OECD and Southeast Asia: Partnership for Prosperity” ณ โรงแรม The Ritz-Carlton กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยนับเป็นครั้งที่ 3 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม

 

การประชุมฯ ประสบผลสำเร็จด้วยดี โดยมีผู้แทนจากรัฐบาลและสถานเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิก OECD และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้เชี่ยวชาญจาก OECD ตลอดจนหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และภาควิชาการของไทย รวมถึงสื่อมวลชน กว่า 280 คนเข้าร่วมงาน ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับ OECD

 

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเปิดประชุม โดยย้ำบทบาทของไทยในฐานะหุ้นส่วนที่แข็งขันของ OECD ในการสนับสนุนบทบาทของ OECD ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความก้าวหน้าของไทยในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกของ OECD ขณะที่นายมาทีอัส คอร์มันน์ เลขาธิการ OECD ย้ำถึงความสำเร็จของโครงการ SEARP ในการส่งเสริมการเจริญเติบโตอาเซียน และความพร้อมของ OECD ที่จะสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกของไทยและอินโดนีเซีย

 

นอกจากนี้ ยังมีผู้แทนระดับสูงของไทยยังได้เข้าร่วมการเสวนาด้วย ได้แก่ วีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย ซึ่งได้ร่วมนำเสนอนโยบาย ประสบการณ์ และความพร้อมของไทยในการส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณภาพสูง และชุตินทร คงศักดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่นำเสนอประสบการณ์ความร่วมมือระหว่างไทยกับ OECD จนนำมาสู่การสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทยด้วย

 

การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีหารือระดับสูงของโครงการ OECD Southeast Asia Regional Programme (SEARP) ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2557 เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ไทยเคยดำรงตำแหน่งประธานโครงการร่วมกับเกาหลีใต้ระหว่างปี 2561 – 2565 การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้จึงเป็นการแสดงบทบาทของไทยในฐานะสะพานเชื่อมระหว่าง OECD กับภูมิภาค และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับ OECD อย่างต่อเนื่องในฐานะประเทศผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก

 

อ้างอิง:

  • กระทรวงการต่างประเทศ

The post ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม OECD ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้ำบทบาทหุ้นส่วน หนุนความก้าวหน้าเข้าเป็นสมาชิก appeared first on THE STANDARD.

]]>
พรรครัฐบาลสิงคโปร์คว้าชัยเลือกตั้งถล่มทลาย ลอว์เรนซ์ หว่อง ขอบคุณประชาชนมอบอาณัติบริหารประเทศ https://thestandard.co/wong-leads-ruling-party-landslide/ Sun, 04 May 2025 03:17:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1070974 พรรครัฐบาลสิงคโปร์คว้าชัยเลือกตั้งถล่มทลาย ลอว์เรนซ์ หว่อง ขอบคุณประชาชนมอบอาณัติบริหารประเทศ

พรรค PAP (People’s Action Party) คว้าชัยชนะในการเลือกตั […]

The post พรรครัฐบาลสิงคโปร์คว้าชัยเลือกตั้งถล่มทลาย ลอว์เรนซ์ หว่อง ขอบคุณประชาชนมอบอาณัติบริหารประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
พรรครัฐบาลสิงคโปร์คว้าชัยเลือกตั้งถล่มทลาย ลอว์เรนซ์ หว่อง ขอบคุณประชาชนมอบอาณัติบริหารประเทศ

พรรค PAP (People’s Action Party) คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์ไปแบบถล่มทลาย โดยกวาดที่นั่งสมาชิกรัฐสภา 87 จาก 97 ที่นั่ง และเป็นชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง นับตั้งแต่ก้าวขึ้นรับตำแหน่งแทน ลีเซียนลุง เมื่อปีที่แล้ว

 

การเลือกตั้งของสิงคโปร์ครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ 14 มีขึ้นท่ามกลางความกังวลของประชาชนต่อปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และอนาคตเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

โดยพรรค PAP ได้คะแนนโหวต 65.6% เพิ่มขึ้นจาก 61.23% ในการเลือกตั้งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2020

 

ขณะที่หว่องกล่าวขอบคุณต่อประชาชนที่มอบอาณัติในการบริหารประเทศ พร้อมทั้งชี้ว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะทำให้สิงคโปร์อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในการเผชิญกับสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย

 

“ผลการเลือกตั้งจะทำให้สิงคโปร์อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในการเผชิญกับโลกที่วุ่นวายนี้ หลายคนกำลังจับตาดูการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างประเทศ นักลงทุน หรือรัฐบาลต่างประเทศ พวกเขาคงจะต้องจดบันทึกผลการเลือกตั้งในคืนนี้ 

 

“มันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความไว้วางใจ ความมั่นคง และความเชื่อมั่นในรัฐบาล ชาวสิงคโปร์เองก็สามารถดึงความแข็งแกร่งจากสิ่งนี้และมองไปข้างหน้าสู่อนาคตของเราได้เช่นกัน”

 

สำหรับชัยชนะของพรรค PAP และการครองเสียงข้างมากในสภา แทบจะเป็นบรรทัดฐานปกติในการเลือกตั้งของสิงคโปร์ 

 

โดยพรรค PAP ซึ่งนำพาสิงคโปร์ให้เจริญรุ่งเรือง เผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในการปราบปรามผู้เห็นต่าง ขณะที่อิทธิพลของพรรคถูกท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหาเสียง หว่องเน้นย้ำคำสัญญาว่ารัฐบาลของเขาจะนำพาสิงคโปร์ ‘ฝ่ามรสุม’ และความท้าทายของสถานการณ์โลก แต่เตือนว่าหากพรรคฝ่ายค้านได้ที่นั่งสมาชิกรัฐสภาเพิ่มขึ้น พรรค PAP อาจต้องสูญเสียรัฐมนตรีที่มีความสามารถไป ในช่วงเวลาที่ธรรมาภิบาลเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด

 

ก่อนหน้านี้ หว่องเคยเตือนว่า สิงคโปร์จะได้รับผลกระทบอย่างหนักหากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ตามที่เขาประกาศไว้ และสิงคโปร์จำเป็นต้องเปิดกว้างและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้งอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับผลกระทบดังกล่าว 

 

ภาพ: Edgar Su / Reuters

อ้างอิง:

The post พรรครัฐบาลสิงคโปร์คว้าชัยเลือกตั้งถล่มทลาย ลอว์เรนซ์ หว่อง ขอบคุณประชาชนมอบอาณัติบริหารประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัลบาเนซี คว้าชัยเลือกตั้งออสเตรเลีย ครองนายกฯ 2 สมัยคนแรกในรอบ 21 ปี https://thestandard.co/albanese-wins-australia-election-second-term/ Sat, 03 May 2025 13:04:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1070919 แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียจากพรรคเลเบอร์ แถลงชัยชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2

แอนโทนี อัลบาเนซี กลายเป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรกที […]

The post อัลบาเนซี คว้าชัยเลือกตั้งออสเตรเลีย ครองนายกฯ 2 สมัยคนแรกในรอบ 21 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
แอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียจากพรรคเลเบอร์ แถลงชัยชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2

แอนโทนี อัลบาเนซี กลายเป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรกที่ได้รับชัยชนะเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันในรอบ 21 ปี หลังพรรคเลเบอร์ของเขา คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นในวันนี้ (3 พฤษภาคม) 

 

ผลการเลือกตั้งขั้นต้นคาดว่าพรรคเลเบอร์ จะกวาดที่นั่ง สส.ได้กว่า 70 ที่นั่ง จากทั้งหมด 150 ที่นั่ง ขณะที่คู่แข่งหลัก คือกลุ่มพันธมิตรพรรคการเมือง LNP (Liberal-National Coalition) กลุ่มพรรคฝ่ายค้านสายอนุรักษนิยม กลาง-ขวา ที่นำโดย ปีเตอร์ ดัตตัน คาดว่าจะได้ สส. 24 ที่นั่ง ซึ่งดัตตัน ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้และโทรศัพท์แสดงความยินดีต่ออัลบาเนซีแล้ว

 

ทั้งนี้ นโยบายด้านพลังงานและอัตราเงินเฟ้อเป็นปัญหาสำคัญในแคมเปญหาเสียง โดยทั้งสองขั้วการเมืองหลักเห็นพ้องว่าประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตค่าครองชีพ

 

ขณะที่อัลบาเนเซี แถลงชัยชนะต่อกลุ่มผู้สนับสนุน โดยแสดงความขอบคุณต่อคะแนนโหวตของประชาชน และยืนยันว่าพรรคของเขาจะไม่ทำให้ความไว้วางใจของประชาชนไร้ความหมาย พร้อมทั้งยืนยันว่ารัฐบาลของเขาจะทุ่มเททำงานในวาระตลอด 3 ปีข้างหน้า ด้วยการสร้างความเปลี่ยนแปลงในแง่บวกแก่ชีวิตของประชาชน

 

“รัฐบาลของเราจะอุทิศเวลาสามปีข้างหน้าเพื่อสร้างความแตกต่างในเชิงบวกให้กับชีวิตและอนาคตของคุณ”

 

ภาพ : REUTERS/Hollie Adams

อ้างอิง :

The post อัลบาเนซี คว้าชัยเลือกตั้งออสเตรเลีย ครองนายกฯ 2 สมัยคนแรกในรอบ 21 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์แต่งตั้งรูบิโอ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ไว้ใจให้ควบ 4 ตำแหน่งใหญ่ https://thestandard.co/trump-appoints-rubio-national-security-advisor-2025/ Sat, 03 May 2025 07:33:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1070893 มาร์โก รูบิโอรับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติจากทรัมป์ ควบ 3 ตำแหน่งสำคัญ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แต่งตั้ง มาร์โก รู […]

The post ทรัมป์แต่งตั้งรูบิโอ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ไว้ใจให้ควบ 4 ตำแหน่งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
มาร์โก รูบิโอรับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติจากทรัมป์ ควบ 3 ตำแหน่งสำคัญ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ แต่งตั้ง มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติชั่วคราว แทนที่ ไมค์ วอลต์ซ ที่จะถูกย้ายไปรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ (UN) ภายหลังเกิดกรณีที่วอลต์ซ เพิ่มนักข่าว The Atlantic เข้าไปในกลุ่มแชตของแอปพลิเคชัน Signal ที่มีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงหารือเกี่ยวกับแผนโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน 

 

การแต่งตั้งรูบิโอให้รับ 2 ตำแหน่งสำคัญด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ สะท้อนความไว้วางใจที่ทรัมป์มีต่อรูบิโอ ซึ่งนอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID) และรักษาการหัวหน้าสำนักงานบริหารเอกสารและบันทึกแห่งชาติ (NARA) ด้วย

 

โดยในตำแหน่งล่าสุดนี้ รูบิโอจะรับหน้าที่ผู้นำสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council: NSC) ในการประสานการดำเนินงานด้านความมั่นคงแห่งชาติของรัฐบาลทั่วโลก ขณะที่ทรัมป์ไม่ได้ระบุว่าจะพิจารณาแต่งตั้งใครมารับตำแหน่งถาวรเมื่อไร ซึ่งรายงานจากสื่อท้องถิ่นของสหรัฐฯ หลายสำนักชี้ว่ามีความเป็นไปได้ที่รูบิโออาจครองตำแหน่งในระยะยาว 

 

การปรับเปลี่ยนตำแหน่งด้านความมั่นคงในรัฐบาลทรัมป์ เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามที่จะยุติสงครามในยูเครน และฟื้นฟูข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ตลอดจนพยายามดำเนินการเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่าน และนอกจากนี้ยังต้องรับมือผลกระทบทางการทูตจากการขยายสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

 

Reuters รายงานโดยอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวว่า รูบิโอสร้างความไว้วางใจกับทรัมป์ด้วยการทำทุกภารกิจที่ทรัมป์มอบหมายให้ 

 

“เขาทำทุกอย่างที่ทรัมป์ขอให้เขาทำ แล้วทำไมคุณถึงจะไม่ไว้วางใจเขา” เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวระบุ

 

ขณะที่ ไบรอัน ฮิวจ์ส โฆษก NSC ชี้ว่า รูบิโอได้ดำเนินงานตามแนวนโยบาย America First ของทรัมป์ และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับหน้าที่กำกับดูแล NSC

 

ภาพ: Nathan Howard / Reuters

อ้างอิง:

The post ทรัมป์แต่งตั้งรูบิโอ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ไว้ใจให้ควบ 4 ตำแหน่งใหญ่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออสเตรเลียเปิดหีบเลือกตั้งชี้ชะตานายกฯ จับตาวิกฤตค่าครองชีพพุ่ง ปัจจัยโหวตหลัก https://thestandard.co/australia-election-cost-of-living-crisis/ Sat, 03 May 2025 05:42:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1070848

การเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลียเปิดฉากขึ้นในเช้าวันนี้ […]

The post ออสเตรเลียเปิดหีบเลือกตั้งชี้ชะตานายกฯ จับตาวิกฤตค่าครองชีพพุ่ง ปัจจัยโหวตหลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>

การเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรเลียเปิดฉากขึ้นในเช้าวันนี้ (3 พฤษภาคม) โดยถือเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญ ที่อาจชี้ชะตาอนาคตของพรรคเลเบอร์ (Labor Party) และนายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซี ท่ามกลางความกังวลของประชาชนที่มีต่อวิกฤตค่าครองชีพพุ่งสูงและภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงคะแนน

 

โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการลงคะแนนเลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งหมด 150 ที่นั่ง และสมาชิกวุฒิสภาอีก 40 ที่นั่ง จากทั้งหมด 76 ที่นั่ง 

 

ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนก่อนการเลือกตั้ง ชี้ว่าพรรคเลเบอร์ยังคงได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 แต่ระบบการเลือกตั้งแบบลงคะแนนตามความชอบ (Preferential Voting) ที่ผู้ลงคะแนนเสียงใช้การจัดลำดับผู้สมัครตามความชอบ ทำให้ยังยากจะคาดเดาว่า พรรคใดจะครองที่นั่งในสภาได้มากที่สุด 

 

ขณะที่พรรคการเมืองหลักของออสเตรเลีย นอกจากพรรคเลเบอร์ ที่มีแนวนโยบายเอนเอียงไปทางฝ่ายซ้าย ยังมีกลุ่มพันธมิตรพรรคการเมือง LNP (Liberal-National Coalition) สายอนุรักษนิยม กลาง-ขวา ที่นำโดย ปีเตอร์ ดัตตัน (Peter Dutton) ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นที่จับตามองว่า กลุ่ม LNP อาจมีลุ้นคว้าชัยและพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้ง หลังจากที่อยู่ในขั้วฝ่ายค้านมานานกว่า 3 ปี

 

อย่างไรก็ตาม หากพรรคเลเบอร์สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้สำเร็จอีกครั้ง ก็จะทำให้อัลบาเนซี กลายเป็นนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรกในรอบ 2 ทศวรรษ ที่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ติดต่อกัน

 

ทั้งนี้ มีประชาชนออสเตรเลียกว่า 18 ล้านคน ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยเกือบครึ่งหนึ่งได้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้ว

 

กังวลค่าครองชีพ-ภาษีทรัมป์

 

ปัจจัยสำคัญของการเลือกตั้งในครั้งนี้คือวิกฤตค่าครองชีพที่พุ่งสูง ทั้งราคาบ้านและพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาพรรคการเมืองหลักต่างพยายามหาเสียงด้วยคำมั่นสัญญาในการลดหย่อนภาษี การคืนเงิน และมาตรการอื่นๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพ

 

ที่ผ่านมา การเลือกตั้งของออสเตรเลียมักจะเน้นที่ปัญหาภายในประเทศ เช่น ที่อยู่อาศัย สุขภาพ และเศรษฐกิจ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้อาจแตกต่างจากที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ภายนอกประเทศ เช่น นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ 

 

ออสเตรเลีย ที่แม้จะเป็นหนึ่งในพันธมิตรด้านความมั่นคงและมักขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะเผชิญในระดับพื้นฐานที่ 10% โดยยังมีผลกระทบทางอ้อมอื่นๆ โดยเฉพาะจากจีนที่เป็นตลาดส่งออกหลักของออสเตรเลีย ซึ่งอาจเผชิญความเสี่ยงจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 

 

นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังเผชิญการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ในอัตรา 25% ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ส่งออกของออสเตรเลีย

 

ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศความไม่แน่นอนในนโยบายของทรัมป์ ส่งผลให้ชาวออสเตรเลียบางส่วนแสดงความต้องการให้รัฐบาลและผู้นำออสเตรเลียคนใหม่ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและดำเนินนโยบายที่รับมือกับความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ได้

 

นอกเหนือจากนี้ คะแนนเสียงจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่อาจชี้วัดผลการเลือกตั้ง เนื่องจากชาวออสเตรเลียผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 1 ใน 3 มีอายุต่ำกว่า 44 ปี ซึ่งประเด็นที่มีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนน คือความไม่เท่าเทียมด้านความมั่งคั่งของประชากรในแต่ละรุ่น โดยนักวิเคราะห์มองว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย เช่น การมีบ้าน การแต่งงาน หรือมีลูก ได้แบบคนรุ่นก่อนๆ อาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนน

 

ภาพ: REUTERS / Hollie Adams TPX IMAGES OF THE DAY

อ้างอิง:

The post ออสเตรเลียเปิดหีบเลือกตั้งชี้ชะตานายกฯ จับตาวิกฤตค่าครองชีพพุ่ง ปัจจัยโหวตหลัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตัดเกรด 100 วันทรัมป์ เมื่อนโยบายสุดโต่งกลายเป็น ‘ความเสี่ยง’ ของระเบียบโลก https://thestandard.co/trump-first-100-days/ Sat, 03 May 2025 03:47:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1070813

ครบ 100 วันแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของโดนัลด์ […]

The post ตัดเกรด 100 วันทรัมป์ เมื่อนโยบายสุดโต่งกลายเป็น ‘ความเสี่ยง’ ของระเบียบโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

ครบ 100 วันแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของโดนัลด์ ทรัมป์ โลกเริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่า ทิศทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงระหว่างประเทศกำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก ภายใต้ผู้นำที่เน้นผลประโยชน์ของชาติแบบสุดขั้ว พร้อมถอยห่างจากบทบาทผู้นำโลก ที่สหรัฐฯ เคยครองมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

หลากหลายนโยบายของทรัมป์ สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก แต่ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจสำหรับชาวอเมริกัน สะท้อนกลับมาจากผลสำรวจคะแนนนิยมที่ปรากฏ กลับตกต่ำเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายสิบปี

 

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ทรัมป์ได้เดินหน้าทำงานในหลายนโยบายตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งแม้จะดูเอาจริงเอาจัง แต่ในทางปฏิบัติ ผลลัพธ์ที่ได้มากลับดูไม่ดีนักและก่อผลกระทบแง่ลบกับประชาชนอเมริกันมากกว่าที่คิด

 

การดำเนินนโยบายทั้งหมดในรอบ 100 วันแรกของทรัมป์ เป็นไปตามแนวทาง America First ที่ตั้งเป้าหมายใหญ่เพื่อชาวอเมริกัน โดยทรัมป์ ชี้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และผลที่ได้อาจต้องมองในระยะยาว แต่แน่นอนว่า ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นค่อนข้างสูง ในขณะที่ยังมี ‘ความเสี่ยง’ หลายประการที่ยังน่ากังวล

 

เศรษฐกิจทรุด ของแพงกว่าเดิม

 

ดร.ปฐมพงษ์ อึ๊งประเสริฐ นักวิชาการผู้ติดตามการเมืองสหรัฐฯ ประเมินภาพรวมการทำงาน 100 วันแรก ของทรัมป์ ในด้านเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า เดิมทีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อย ตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลทรัมป์ สมัยที่ 2 ว่าจะสามารถกอบกู้เศรษฐกิจได้ หลังผ่านพ้นยุครัฐบาล โจ ไบเดนที่เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพแพง เมื่อเปรียบเทียบกับยุคทรัมป์ 1.0 ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เคยเติบโตดี น้ำมันราคาถูก และคนรู้สึกมั่นคงในฐานะการเงินมากขึ้น 

 

แต่สิ่งที่ทรัมป์เลือกทำในรอบนี้คือการกลับมาใช้ ‘กำแพงภาษี’ อย่างเข้มข้น เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการผลิตให้กลับมาในประเทศ ซึ่งในทางทฤษฎีอาจจะดูดี แต่ในทางปฏิบัติ กลับยิ่งส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเพิ่ม สินค้านำเข้าแพง และซ้ำเติมปัญหาเงินเฟ้อ

 

ตัวชี้วัดที่ชัดเจนจากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ คือตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งปรากฏว่าติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤตโควิด โดยหดตัวลง 0.3% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายการขึ้นภาษีตอบโต้ต่อนานาชาติ นอกจากจะทำให้ปัญหาเงินเฟ้อย่ำแย่ลง ยังส่งผลให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพและความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ

 

“เพราะว่าคนทำธุรกิจเจ้าของโรงงาน ร้านค้า ผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าเนี่ย ไม่สามารถวางแผนได้ว่าจะทำอย่างไรกับธุรกิจของเขาดี เพราะว่ามีความไม่แน่ใจในตัวนโยบายที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพ และทำให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถวางแผนด้านเศรษฐกิจได้ ส่งผลให้เกิดการชะลอการทำธุรกิจ” เขากล่าว

 

ผลลัพธ์ไม่ใช่อย่างที่หวัง

 

ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย มองว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำในช่วง 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 กระทบต่อการเมือง สังคมและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประชาคมโลกอย่างมาก เช่น เรื่องสงครามการค้า ซึ่งเหมือนจะทำให้สหรัฐฯ เป็นศัตรูกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก สร้างผลกระทบต่อเนื่อง

 

เขามองว่ามีบางนโยบายที่ทรัมป์ ผิดพลาด เช่นการเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งบางกรณี อาจเป็นการละเมิดกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของผู้ที่มีสถานะทางกฎหมายในสหรัฐฯ 

 

ตัวอย่างหนึ่งที่ปรากฏเป็นข่าวดังในสหรัฐฯ คือกรณีการเนรเทศ อาเบรโก การ์เซีย ชายชาวเอลซัลวาดอร์ ที่แต่งงานกับหญิงอเมริกัน ซึ่งมีใบอนุญาตทำงาน แต่ถูกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) ควบคุมตัวและเนรเทศเขากลับไปยังเอลซัลวาดอร์โดยอ้างว่า พบความเชื่อมโยงกับแก๊งอาชญากรรม ก่อนที่ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะวินิจฉัยว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดพลาด และมีคำสั่งให้รัฐบาลทรัมป์ นำตัวการ์เซียกลับประเทศ แต่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ โต้แย้งคำสั่งศาล ว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจประธานาธิบดี และอ้างว่า ศาลฯ ไม่สามารถบีบบังคับให้ทางการเอลซัลวาดอร์ปฏิบัติตามคำสั่งได้

 

ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ ชี้ว่า อีกเรื่องที่ทรัมป์พลาด คือการสร้างความแตกแยกกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา และเม็กซิโก โดยเฉพาะการไปบอกว่า จะเอาแคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ รวมถึงเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็นอ่าวอเมริกา นอกจากนี้ยังมีกรณีประกาศทวงคืนคลองปานามา และการเสนอยึดครองฉนวนกาซา ซึ่งทรัมป์บอกว่า จะเปลี่ยนให้เป็นริเวียร่าแห่งตะวันออกกลาง 

 

“เรื่องเหล่านี้เป็น ‘สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พูดออกไปก็มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหาย” ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ กล่าว

 

ประเด็นสงครามรัสเซียและยูเครน ที่ทรัมป์เคยประกาศชัดว่า จะยุติให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำได้ โดยเรื่องทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่นำมาสู่การประท้วงต่อต้านทรัมป์ ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วอเมริกาในช่วง 100 วันแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี

 

“คนอเมริกันอย่างน้อยครึ่งประเทศ เริ่มมองแล้วว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เกิดผลกระทบเชิงลบมากมาย โดยคะแนนนิยมของทรัมป์ตกลงอย่างมาก”

 

ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ ชี้ว่า การที่ทรัมป์สามารถจะบริหารประเทศในลักษณะที่เกือบ ‘เสมือน เผด็จการ’ ได้ในตอนนี้ เพราะทั้งสภาคองเกรส และศาลไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่ถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นในลักษณะนี้ต่อไป ประมาณ 2 ปีข้างหน้า จะมีการเลือกตั้ง ‘กลางเทอม’ พรรคเดโมแครตอาจพลิกกลับมาครองเสียงข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการบริหารของทรัมป์ในระยะยาว

 

ด้าน ดร.ปฐมพงษ์ มองว่า ความหละหลวมและรุนแรงเกินไปในนโยบายของทรัมป์ ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่า สิ่งที่ทรัมป์หาเสียงไว้เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองที่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติจริงได้โดยไม่สร้างปัญหา ผลลัพธ์คือความนิยมในกลุ่มชาวอเมริกันเชื้อสายต่างๆ ที่เป็นชนกลุ่มน้อยและกลุ่มเสรีนิยมลดต่ำลง และกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดคะแนนนิยมของเขาในรอบนี้

 

มุ่งแยกตัว ไม่เป็นตำรวจโลก

 

ดร.ปฐมพงษ์ ให้ความเห็นในนโยบายความมั่นคงของทรัมป์ช่วง 100 วันแรก โดยกล่าวว่า ทรัมป์แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า ต้องการลดบทบาทสหรัฐฯ ในการเป็น ‘ตำรวจโลก’ โดยเฉพาะกรณียูเครน ซึ่งที่ผ่านมา ทรัมป์แสดงท่าทีใกล้ชิดกับปูตินและแสดงออกชัดเจนว่า ไม่อยากเสียเงินเพื่อสนับสนุนยูเครน ซึ่งขัดกับความเห็นของชาวอเมริกัน ที่จำนวนมากยังกังวลว่า หากปล่อยให้รัสเซียยึดยูเครนได้โดยไม่มีการต่อต้าน จะเป็นการเปิดทางให้เกิดการรุกรานประเทศอื่นในยุโรปตามมา ซึ่งการเลือกไม่สนับสนุนยูเครนในเชิงยุทธศาสตร์จึงถูกมองว่าเป็นการยอมถอยที่อันตราย

 

ส่วนกรณี สงครามในฉนวนกาซา เขาชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเข้าข้างอิสราเอลเต็มที่ โดยไม่พยายามสร้างสมดุลหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อปาเลสไตน์เหมือนรัฐบาลไบเดนที่ผ่านมา ถึงขั้นมีการจับกุมผู้ประท้วงและเนรเทศนักศึกษาต่างชาติที่สนับสนุนปาเลสไตน์ ส่งผลให้กลุ่มเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกจำนวนไม่น้อยมีความผิดหวัง

 

ปฐมพงษ์ ชี้ว่า รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ยังมุ่งเน้นการดำเนินนโยบายต่างประเทศภายใต้แนวคิด Isolationism หรือการโดดเดี่ยวตัวเองจากประชาคมโลก โดยเชื่อว่าสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือชาติอื่นหรือรักษาสันติภาพโลก ขอเพียงดูแลตนเองให้เข้มแข็ง เช่น การตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศผ่าน USAID และลดการสนับสนุน NATO โดยมองว่า เป็นการลดภาระของชาติอเมริกันในความเห็นของเขา 

 

แต่สิ่งเหล่านี้กลับสร้าง ‘สุญญากาศอำนาจ’ ที่เปิดช่องให้จีนและรัสเซียขยายอิทธิพล ซึ่งในระยะยาว นโยบายถอยห่างจากเวทีโลกอาจทำให้โครงสร้างอำนาจโลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สหรัฐฯ เสียบทบาทผู้นำ ในขณะที่จีนและรัสเซีย ซึ่งไม่ยึดหลักประชาธิปไตย อาจก้าวขึ้นมาแทนที่ ส่งผลกระทบต่อระเบียบโลกที่เคยมีสหรัฐฯ เป็นหลัก คำพูดของทรัมป์ที่ว่าจะไม่ปล่อยให้จีน-รัสเซียตั้งขั้วอำนาจใหม่จึงขัดแย้งกับการกระทำจริง ที่กลับกลายเป็นการเปิดทางให้ฝ่ายตรงข้ามขยายอำนาจได้ง่ายขึ้น

 

ขณะที่ ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ ชี้ว่า ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดระเบียบโลก ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน และจริงๆ แล้วสหรัฐฯ ได้ประโยชน์อย่างมากจากระเบียบโลกนี้ แต่ทรัมป์กลับไปมองในเชิงเศรษฐกิจว่า สิ่งนี้ทำให้สหรัฐฯ เสียผลประโยชน์ 

 

เขามองว่าหากระเบียบโลกถูกทำลาย ความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ ก็จะถูกสั่นคลอนหรือลดลง ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและยุโรป ก็อาจจะไม่มั่นคงเหมือนเดิมอีกต่อไป พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้จีนก้าวขึ้นมามีบทบาทในประชาคมโลกมากยิ่งขึ้นด้วย

 

มีด้านบวกอยู่บ้าง ไม่ลบทั้งหมด

 

ด้าน ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองรัฐบาลทรัมป์ 2.0 หลังจากช่วง 100 วันแรก ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่มองว่ายังมีด้านบวกอยู่บ้าง ไม่ใช่ด้านลบทั้งหมด

 

ในด้านลบ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความไม่แน่นอนในเรื่องเศรษฐกิจ การพยายาม เปลี่ยนให้โลกเป็น Deglobalization และโลกจะถูกแบ่งเป็นสองขั้ว มีการแข่งขัน มีสงครามการค้ากับจีน ประเทศต้องถูกบังคับให้เลือกข้าง ไทยก็ควรต้องบาลานซ์จัดการให้ดี ไม่เลือกข้าง

 

แต่ในด้านบวก ก็มีให้เห็นเช่นกัน ที่ทรัมป์พยายามทำคือการยุติสงคราม ทั้งในรัสเซีย-ยูเครน และตะวันออกกลาง อีกทั้งราคาน้ำมันก็ปรับลดลงด้วย ซึ่งเป็นผลดีกับไทย 

 

ส่วนเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจยังเผชิญอยู่บ้าง จากความผันผวนของตลาด แต่เอเชียยังไม่มีเงินเฟ้อที่น่ากังวลมากนัก คาดว่า เฟด อาจประกาศปรับลดดอกเบี้ยในอนาคตเร็วๆ นี้ก็มีความเป็นไปได้

 

ส่วนการมองต่อไปข้างหน้า ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่แน่ ภายใต้การนำของทรัมป์ แต่อย่างที่บอกไป คือมีทั้งด้านบวกที่ทรัมป์ก็พยายามเร่งสร้างสันติภาพในสมรภูมิรบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจในอีกด้าน

 

ไทยควรเดินหมากอย่างไร?

 

สำหรับคำถามว่า ไทยเราควรกำหนดกลยุทธ์อย่างไรในบริบทโลกที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ 2.0 พยายามแยกตัวออกจากการมีบทบาทนำ

 

ปฐมพงษ์มองว่าไทยไม่ควรคาดหวังความร่วมมือเชิงหลักการ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชนหรือประชาธิปไตยจากรัฐบาลวอชิงตัน เพราะทรัมป์แสดงออกชัดเจนว่า เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจล้วนๆ ดังนั้น ไทยควรให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางการค้าเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในประเด็นอ่อนไหว

 

ขณะเดียวกัน ไทยควรใช้ยุทธศาสตร์ ‘ถ่วงดุล’ หรือ ‘เดินหมากตามลม’ โดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดชัดเจนเหมือนที่เคยทำในอดีต เนื่องจากหากเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไทยจะอยู่ในจุดที่เสี่ยงทั้งคู่ การพึ่งพาอเมริกาน้อยลง และขยับไปสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับจีนมากขึ้น อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะหากยุครัฐบาลทรัมป์ 2.0 ดำเนินต่อไปจนครบ 4 ปี

 

ส่วนกรณีที่ไทยที่ตกเป็นเป้าจากนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ และจนถึงตอนนี้การเจรจาเพื่อหาข้อตกลงกับสหรัฐฯ ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน ผศ. ดร.วิบูลพงศ์ มองว่าประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้อง คือด้านสิทธิมนุษยชน เช่น คดีของ พอล แชมเบอร์ส หรือการส่งกลุ่มชาวอุยกูร์กลับไปจีน อาจส่งผลกระทบกับการเจรจาอยู่บ้าง แต่สิ่งสำคัญก็คือ ไทยจะต้องพยายามชี้ให้เห็นว่า การที่สหรัฐฯ มีการค้ากับไทย ได้ประโยชน์อย่างไร ทำให้เขาไม่ต้องไปซื้อสินค้าจากจีนใช่หรือไม่ ไม่ใช่มองเรื่องที่ไทยเก็บภาษีสหรัฐฯ แพงอย่างเดียว แต่ทำให้สหรัฐฯ เห็นถึงมิติของผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างกันเป็นสำคัญ

 

ภาพ: Jemal Countess / Getty Images for Democratic National Committee

The post ตัดเกรด 100 วันทรัมป์ เมื่อนโยบายสุดโต่งกลายเป็น ‘ความเสี่ยง’ ของระเบียบโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
มาริษหารือ JC ไทย-อินโดฯ พร้อมยกระดับความร่วมมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเสริมการค้า รักษาเสถียรภาพอาเซียน https://thestandard.co/maris-jc-thailand-indonesia/ Sat, 03 May 2025 03:34:54 +0000 https://thestandard.co/?p=1070808

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถ […]

The post มาริษหารือ JC ไทย-อินโดฯ พร้อมยกระดับความร่วมมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเสริมการค้า รักษาเสถียรภาพอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวร่วมในการประชุมคณะกรรมการร่วม หรือ JC ครั้งที่ 10 ระหว่างประเทศไทย และอินโดนีเซีย ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยระบุว่า การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะตรงกับการครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย และอินโดนีเซียในปีนี้ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ได้หารือกันอย่างครอบคลุมในหลากหลายหัวข้อ ทั้งการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี ระหว่างประเทศไทย และอินโดนีเซียให้เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของหุ้นส่วนของเรา โดยเฉพาะความร่วมมือทางการเมือง และความมั่นคง ที่จะเพิ่มความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ ทั้งระหว่าง 2 ประเทศ และระดับอาเซียน 

 

พร้อมกันนี้ ยังตกลงที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างหน่วยงานความมั่นคง เพื่อจัดการกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงแบบเก่า และรูปแบบใหม่ ตลอดจนสำรวจความร่วมมือในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และจะทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น และเพิ่มการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงทวิภาคี 

 

นอกจากนั้น ประเทศไทย ยังมุ่งหวังที่จะได้ต้อนรับการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ของประธานาธิบดีอินโดนีเซียเร็วๆ นี้ และจะส่งเสริมการหารือระหว่างผู้นำของเราอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมการการค้าร่วมครั้งที่ 1 ในประเทศไทยโดยเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าทวิภาคีระหว่างสองประเทศให้มากขึ้น 

 

มาริษยังเปิดเผยว่า คณะกรรมการร่วมฯ ยังมุ่งหวังเพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานการลงทุน เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการลงทุนแบบสองทาง และจะเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารผ่านการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรและการประมงที่ยั่งยืน ปรับปรุงมาตรฐานของอุตสาหกรรมฮาลาล หรือ ระบบนิเวศฮาลาล และยังจะเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และสำรวจการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ และเรือยอชต์ในฐานะพื้นที่ใหม่ของความร่วมมือ พร้อมเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-เมดาน โดยสายการบินไลอ้อนแอร์ในปีนี้ และสนับสนุนให้มีเส้นทางบินระหว่างจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศของเราเพิ่มขึ้น 

 

ส่วนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นระดับภูมิภาคและระดับนานาชาตินั้น เขาย้ำว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันในการรักษาเอกภาพของอาเซียน และส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจระดับโลก ไทยและอินโดนีเซียซึ่งเป็นสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน จะร่วมมือกันผลักดันการบูรณาการทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและเสริมสร้างความสามารถในการรับมือของภูมิภาคต่อแรงกระแทกภายนอก 

 

ในส่วนของเมียนมานั้น มาริษเปิดเผยว่า ไทยและอินโดนีเซียตกลงที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยนำสันติภาพ และเสถียรภาพกลับคืนสู่เมียนมา โดยอาเซียนมีบทบาทนำ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาค พร้อมยังชื่นชมบทบาทของอาเซียน ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างรวดเร็วแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในเมียนมา

 

อ้างอิง: 

  • กระทรวงการต่างประเทศ

The post มาริษหารือ JC ไทย-อินโดฯ พร้อมยกระดับความร่วมมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเสริมการค้า รักษาเสถียรภาพอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>