World – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 26 Dec 2025 09:46:08 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 วิสัยทัศน์การต่างประเทศ ‘สีหศักดิ์’ เป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง https://thestandard.co/foreign-policy-vision-king-rama/ Fri, 26 Dec 2025 09:45:19 +0000 https://thestandard.co/?p=1158681 วิสัยทัศน์การต่างประเทศ ‘สีหศักดิ์’ เป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง

การเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า นโย […]

The post วิสัยทัศน์การต่างประเทศ ‘สีหศักดิ์’ เป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิสัยทัศน์การต่างประเทศ ‘สีหศักดิ์’ เป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง

การเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า นโยบายการต่างประเทศเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างยิ่ง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในบุคคลที่ถูกจับจ้องมากที่สุด จากผลงานด้านการต่างประเทศในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน คือ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมายเลข 2 ของพรรคภูมิใจไทย นอกจากอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

 

ผลงานด้านการต่างประเทศของเขาในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนในประเทศ แต่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าแนวนโยบายต่างประเทศของเขา จะพาประเทศไทยไปได้ไกลแค่ไหน และคำประกาศเรื่องการ ‘พาไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก’ ที่เขาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งนั้น จะทำได้จริงหรือไม่

 

ในการแถลงนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่จัดขึ้นวานนี้ สีหศักดิ์ ขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศของตนเอง ซึ่งมีเป้าหมายใหญ่ที่น่าสนใจคือการพาประเทศไทย “หลุดพ้นจากวิกฤตความขัดแย้งภายใน 4 ปี”

 


 

วิสัยทัศน์การต่างประเทศ ‘สีหศักดิ์’ เป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง 1

 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

The post วิสัยทัศน์การต่างประเทศ ‘สีหศักดิ์’ เป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลตัดสินคดี 1MDB ‘นาจิบ ราซัก’ ใช้อำนาจโดยมิชอบ จุดชนวนรอยร้าวรัฐบาลผสมอันวาร์ https://thestandard.co/najib-razak-1mdb-guilty-verdict-malaysia-politics-crisis-2025/ Fri, 26 Dec 2025 09:10:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1158657 ศาลตัดสินคดี 1MDB ‘นาจิบ ราซัก’ ใช้อำนาจโดยมิชอบ จุดชนวนรอยร้าวรัฐบาลผสมอันวาร์

นาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถูกศาลตัดสิน ‘ใช้อ […]

The post ศาลตัดสินคดี 1MDB ‘นาจิบ ราซัก’ ใช้อำนาจโดยมิชอบ จุดชนวนรอยร้าวรัฐบาลผสมอันวาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศาลตัดสินคดี 1MDB ‘นาจิบ ราซัก’ ใช้อำนาจโดยมิชอบ จุดชนวนรอยร้าวรัฐบาลผสมอันวาร์

นาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถูกศาลตัดสิน ‘ใช้อำนาจโดยมิชอบ’ ในคดีทุจริตกองทุนรัฐ 1 Malaysia Development Berhad (1MDB) ชี้มีหลักฐานมัดตัวชัดเจน ขณะที่สื่อต่างชาติตีข่าวว่า คำวินิจฉัยอาจกระทบรัฐบาลผสมระหว่าง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกับพรรคอัมโน (United Malays National Organisation: UMNO)

 

วันนี้ (26 ธันวาคม) ศาลมาเลเซียตัดสินให้นาจิบมีความผิดใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ โดยมีความผิดในข้อหาคอร์รัปชัน 4 กระทง และฟอกเงิน 21 กระทง ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 15-20 ปีต่อ 1 ข้อหา ยังไม่รวมโทษปรับสูงสุดเป็นเงินไม่เกิน 5 เท่า ของมูลค่าเงินทั้งหมดที่ยักยอกไป

 

จากการสอบสวนของทางการมาเลเซียและสหรัฐอเมริกาพบว่า อดีตผู้นำมาเลเซียรับเงินโอนผิดกฎหมายมากกว่า 2.3 พันล้านริงกิตมาเลเซีย (ประมาณ 18 พันล้านบาท) ผ่านบัญชีที่เชื่อมโยงกับเขา ซึ่งที่ผ่านมา นาจิบปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาตลอด

 

ทั้งนี้ คอลลิน ลอว์เรนซ์ เซเคอราห์ (Collin Lawrence Sequerah) ผู้พิพากษาในคดีอ่านคำวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของนาจิบที่กล่าวหาว่า คดีนี้เป็น ‘การล่าแม่มด’ และมี ‘แรงจูงใจทางการเมือง’ นั้น ถูกหักล้างด้วยหลักฐานที่ชัดเจน หนักแน่น และโต้แย้งไม่ได้ว่า อดีตผู้นำมาเลเซียใช้อำนาจในกองทุนดังกล่าวโดยมิชอบ

 

ในช่วงที่ผ่านมา นาจิบปฏิเสธว่า เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ และออกมาขอโทษต่อสาธารณชนที่จัดการผิดพลาดมาตลอด โดยอ้างว่า ตนถูกเจ้าหน้าที่ในกองทุน 1MDB และ โล แท็ก โจ (Low Taek Jho) หรือ โจ โลว์ (Jho Low) นักธุรกิจที่ใกล้ชิด ปลุกปั่นสร้างความเข้าใจผิด

 

อย่างไรก็ดี ผู้พิพากษาระบุว่า หลักฐานชี้ให้เห็นว่า นาจิบเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ขณะที่ โจ โลว์ ทำหน้าที่เป็น ‘ตัวแทน’ และ ‘คนกลาง’ ในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกองทุน 1MDB ซึ่งขณะนี้ ศาลยังไม่อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มและกำหนดโทษในคดีอย่างเป็นทางการ

 

อนึ่ง คำวินิจฉัยครั้งนี้สร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลอันวาร์ ซึ่งพรรคอัมโนเข้าร่วมรัฐบาลผสม แม้จะเคยหาเสียงต่อต้านผู้นำมาเลเซียในปี 2022 โดยอันวาร์ต้องเผชิญความตึงเครียดภายในรัฐบาล จากกรณีศาลปฏิเสธคำร้องไม่ให้นาจิบขอรับโทษจำคุกที่บ้านในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ทำให้ผู้นำพรรคอัมโนวิจารณ์การตัดสินดังกล่าว และรู้สึกไม่พอใจที่ฝ่ายอันวาร์แสดงความยินดีกับคำวินิจฉัยในครั้งนี้

 

ทั้งนี้ อัคมัล ซาเลห์ (Akmal Saleh) ผู้นำปีกเยาวชนพรรคอัมโน เรียกร้องให้พรรคถอนตัวออกจากรัฐบาลอันวาร์ พร้อมขอให้ทำหน้าที่ ‘ฝ่ายค้าน’ อย่างสมศักดิ์ศรีแทน ขณะที่อันวาร์ออกมาโต้ตอบว่า เขาจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของมาเลเซีย

 

ปัจจุบัน นาจิบได้รับโทษจำคุกตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2022 หลังศาลสูงสุดยืนยันคำพิพากษาคดีคอร์รัปชันจากการรับเงินผิดกฎหมายในเครือ 1MDB ซึ่งมีโทษจำคุก 12 ปี แต่มีการอภัยโทษเหลือ 6 ปี และกำหนดปล่อยตัวในปี 2028

 

1MDB ถือเป็นคดีอื้อฉาวทางการเงินระดับโลก หลังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า มีผู้เกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินจากกองทุนตั้งแต่ปี 2009-2013 ซึ่งถูกฟอกผ่านบัญชีธนาคารหลายชั้นในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทั้งยังพัวพันถึงองค์กรระดับโลกอย่าง Goldman Sachs ทำให้อดีตนายธนาคาร 2 รายถูกจำคุกในข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่ ให้ข้อมูลเท็จ และยักยอกเงิน

 

แฟ้มภาพ: HASNOOR HUSSAIN / Reuters

 

อ้างอิง:

 

The post ศาลตัดสินคดี 1MDB ‘นาจิบ ราซัก’ ใช้อำนาจโดยมิชอบ จุดชนวนรอยร้าวรัฐบาลผสมอันวาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัยการเกาหลีใต้เสนอลงโทษจำคุกยุนซอกยอล 10 ปี เซ่นปมประกาศกฎอัยการศึก https://thestandard.co/yoon-10-years-martial-law/ Fri, 26 Dec 2025 08:09:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1158592 อัยการเกาหลีใต้เสนอลงโทษจำคุก **ยุนซอกยอล** 10 ปี เซ่นปมประกาศ **กฎอัยการศึก**

อัยการพิเศษของเกาหลีใต้เสนอบทลงโทษจำคุก 10 ปี แก่ ยุนซอ […]

The post อัยการเกาหลีใต้เสนอลงโทษจำคุกยุนซอกยอล 10 ปี เซ่นปมประกาศกฎอัยการศึก appeared first on THE STANDARD.

]]>
อัยการเกาหลีใต้เสนอลงโทษจำคุก **ยุนซอกยอล** 10 ปี เซ่นปมประกาศ **กฎอัยการศึก**

อัยการพิเศษของเกาหลีใต้เสนอบทลงโทษจำคุก 10 ปี แก่ ยุนซอกยอล อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ในข้อหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรมและพยายามหลบหนีการจับกุม ซึ่งถือเป็นโทษจำคุกครั้งแรกที่อัยการเสนอจากบรรดาหลายคดีที่เขาถูกฟ้องร้อง

 

ยุนซอกยอลถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดที่เชื่อมโยงกับความพยายามประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2024 ซึ่งระงับการปกครองโดยพลเรือนเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ทำให้เกิดการประท้วงใหญ่และการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งโดยศาลรัฐธรรมนูญในเดือนเมษายน 2025

 

ยุนยืนกรานว่าการตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกนั้นมี ‘ความชอบธรรม’ เพื่อต่อสู้กับกิจกรรมที่เขามองว่าเป็นการ ‘โปรจีน โปรเกาหลีเหนือ และการขายชาติ’

 

นอกเหนือจากคดีนี้ ยุนยังต้องเผชิญกับการพิจารณาคดีอื่นอีก 3 คดี รวมถึงข้อหา เป็นแกนนำก่อกบฏ (Insurrection) ซึ่งหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาอาจต้องเผชิญโทษสูงสุดถึงขั้น ‘ประหารชีวิต’

 

ศาลกรุงโซลคาดว่า จะมีการพิพากษาตัดสินคดีขัดขวางกระบวนการยุติธรรมนี้ภายในเดือนมกราคม 2026

 

ภาพ: Reuters

 

อ้างอิง:

The post อัยการเกาหลีใต้เสนอลงโทษจำคุกยุนซอกยอล 10 ปี เซ่นปมประกาศกฎอัยการศึก appeared first on THE STANDARD.

]]>
กต.ออกแถลงการณ์ประท้วงเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 9 เรียกร้องกัมพูชาหยุดละเมิดอนุสัญญาออตตาวา https://thestandard.co/mfa-cambodia-ottawa-mine/ Fri, 26 Dec 2025 07:31:22 +0000 https://thestandard.co/?p=1158550 กต.ออกแถลงการณ์ประท้วงเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 9 เรียกร้อง กัมพูชาหยุดละเมิด อนุสัญญาออตตาวา

กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่แถลงการณ์เรื่องการประท้วงต่อ […]

The post กต.ออกแถลงการณ์ประท้วงเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 9 เรียกร้องกัมพูชาหยุดละเมิดอนุสัญญาออตตาวา appeared first on THE STANDARD.

]]>
กต.ออกแถลงการณ์ประท้วงเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 9 เรียกร้อง กัมพูชาหยุดละเมิด อนุสัญญาออตตาวา

กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่แถลงการณ์เรื่องการประท้วงต่อเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 9 โดยระบุว่า

 

1. เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ชุดทหารช่าง สังกัดกองพันทหารราบที่ 22 ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจกวาดล้างทุ่นระเบิดบริเวณปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ที่ฝ่ายกัมพูชาวางไว้ ส่งผลให้มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 นาย โดยหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพถาวร

 

2. พื้นที่บริเวณปราสาทตาควายเป็นพื้นที่ของไทยที่ฝ่ายไทยยึดคืนมาได้ ปัจจุบัน อยู่ระหว่างเสริมความมั่นคงในพื้นที่ ด้วยการกวาดล้างและตรวจค้นทุ่นระเบิดซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพื้นที่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ยังพบการติดตั้งทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 อีกจำนวน 4 ทุ่น วางเรียงต่อเนื่องตามเส้นทางเคลื่อนที่ของกำลังพล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจงใจมุ่งหมายให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอย่างชัดเจน

 

3. ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย รวมถึง Joint Declaration ระหว่างไทยกับกัมพูชา อีกทั้งยังเป็นการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ที่กัมพูชาเป็นรัฐภาคี โดยไทยอยู่ระหว่างการมีหนังสือประท้วงเรื่องดังกล่าวไปยังกัมพูชา และแซมเบียในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 23 เพื่อดำเนินการตามกลไกของอนุสัญญาฯ รวมทั้งหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อแจ้งการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชาด้วย ไทยจะดำเนินการเรื่องนี้ในกรอบอนุสัญญาออตตาวาอย่างถึงที่สุด

 

4. ประเทศไทยขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว และรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ว่ากัมพูชาได้แจ้งต่อที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อไม่นานมานี้ว่า กัมพูชายึดมั่นในข้อตกลงต่าง ๆ รวมถึง Joint Declaration อย่างเคร่งครัด แต่การกระทำของกัมพูชาไม่เคยเป็นเช่นนั้น ซึ่งสะท้อนถึงความไม่จริงใจของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาโดยสันติอย่างแท้จริง

 

5. ในการนี้ ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาฯ โดยทันที และให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดน เพื่อมิให้เกิดความสูญเสียเช่นนี้อีกทั้งต่อทหารและพลเรือน รวมทั้งแสดงความจริงใจในการกลับสู่เส้นทางแห่งสันติภาพ

The post กต.ออกแถลงการณ์ประท้วงเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 9 เรียกร้องกัมพูชาหยุดละเมิดอนุสัญญาออตตาวา appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดปฏิทินเลือกตั้งเมียนมา 3 เฟส 2025-2026 กลางสงครามกลางเมือง https://thestandard.co/3-phase-myanmar-election-2025-2026/ Fri, 26 Dec 2025 07:02:47 +0000 https://thestandard.co/?p=1158500 เปิดปฏิทินเลือกตั้งเมียนมา 3 เฟส 2025-2026 กลางสงครามกลางเมือง

อีกไม่กี่วันข้างหน้า เมียนมาจะจัดการเลือกตั้งระดับชาติค […]

The post เปิดปฏิทินเลือกตั้งเมียนมา 3 เฟส 2025-2026 กลางสงครามกลางเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปิดปฏิทินเลือกตั้งเมียนมา 3 เฟส 2025-2026 กลางสงครามกลางเมือง

อีกไม่กี่วันข้างหน้า เมียนมาจะจัดการเลือกตั้งระดับชาติครั้งแรกในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารปี 2021 โดยพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากนานาชาติ และแรงต่อต้านจากประชาชนท่ามกลางสงครามกลางเมืองที่ยังไม่สงบ

 

ความน่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศแผนการเลือกตั้งแบบ ‘แบ่งเฟส’ ทั้งหมด 3 เฟส ได้แก่ วันที่ 28 ธันวาคม 2025, 11 มกราคม 2026 และ 25 มกราคม 2026 โดยผู้เชี่ยวชาญต่างวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ต้องแบ่งระยะเวลาในการลงคะแนนเสียง เป็นเพราะสงครามกลางเมืองและกระแสต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาในหมู่ประชาชน ทำให้หลายพื้นที่เผชิญข้อพิพาทและจัดการลงคะแนนเสียงเป็นไปอย่างลำบาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้

 

THE STANDARD เปิดปฏิทินการเลือกตั้งเมียนมา 2025-2026 และข้อมูลที่ควรรู้บางส่วนจากการลงคะแนนเสียงครั้งนี้

 

เมียนมาเลือกตั้งวันไหน มีเรื่องใดที่ต้องรู้บ้าง

 

ตามรายงานล่าสุดของ Global New Light Myanmar สื่อภายใต้รัฐบาลทหารเมียนมา รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมจากสื่อต่างชาติและองค์การสหประชาชาติ (UN) เมียนมาแบ่งการเลือกตั้งเป็น 3 ระยะเวลาตั้งแต่ปลายปี 2025 จนถึงต้นปี 2026 ได้แก่

 

  • เฟสที่ 1 (28 ธันวาคม 2025): เริ่มลงคะแนนเสียงใน 202 เขต รวมถึงเมืองหลวงและเมืองเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ย่างกุ้ง, มัณฑะเลย์ และเนปิดอว์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ

 

  • เฟสที่ 2 (11 มกราคม 2026): ลงคะแนนเสียง 202 เขต ต่อเนื่องจากเฟส 1 ที่ยังเหลือ

 

  • เฟสที่ 3 (25 มกราคม 2026): เลือกตั้งอีก 63 เขต

 

  • วันนับคะแนนและประกาศผลการเลือกตั้ง: ยังไม่ประกาศ แต่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐสภาต้องเปิดสมัยการประชุมใหม่ภายในระยะเวลา 90 วัน หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น

 

เปิดปฏิทินเลือกตั้งเมียนมา 3 เฟส 2025-2026 กลางสงครามกลางเมือง 1

 

หมายเหตุ:

 

  • เมียนมาแบ่งเขตการเลือกตั้งครั้งนี้เป็น 330 เขต แต่กลุ่ม Myanmar Election Watch ตั้งข้อสังเกตว่า กองทัพเมียนมาจะจัดการเลือกตั้งอย่างไร เพราะสูญเสียพื้นที่ขนาดใหญ่ให้กับกลุ่มต่อต้านและกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีการจัดสำมะโนแล้วพบว่า พื้นที่ที่สามารถเลือกตั้งได้จริงๆ มีเพียง 145 เขต จาก 330 เขตทั่วประเทศ

 

  • ขณะที่มิน อ่อง หล่าย ยืนกรานว่า จะจัดการเลือกตั้งในพื้นที่ ‘ปลอดภัย’ เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า จะไม่นับรวมพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธ หรือกองกำลังป้องกันประชาชน (People’s Defence Forces: PDF)

 

  • นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ (Union Election Commission: UEC) ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร ยังสั่งให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครเลือกตั้งเพียง 100 เขตเลือกตั้ง ซึ่งน้อยกว่าจำนวนเขตที่ทำการเลือกตั้งได้จริง

 

  • เบื้องต้น UEC ประกาศว่า การเลือกตั้งเมียนมาครั้งนี้ มีผู้สมัครรวมทั้งสิ้น 4,963 คน โดยมาจากพรรคการเมือง 57 พรรค ซึ่งมี 51 พรรคที่แข่งขันในระดับรัฐและภาค ขณะที่ 6 พรรคลงแข่งขันในระดับทั่วประเทศ โดยพรรคการเมืองของกองทัพ คือ พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของทัตมาดอว์ มีผู้สมัครจำนวน 1,018 คน

 

  • มี 40 พรรคการเมืองที่ถูกยุบ เพราะไม่ลงทะเบียนตามกฎหมายพรรคการเมือง โดยหนึ่งในนั้นคือพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) พรรคการเมืองของอองซานซูจีที่ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้ง

 

  • อย่างไรก็ดี ถือเป็นครั้งแรกที่เมียนมาจะใช้ระบบเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ (EVMs) ในการเลือกตั้ง แต่กลุ่มสังเกตการณ์การเลือกตั้งระบุว่า รัฐบาลทหารไม่ปรึกษาหารือพรรคการเมือง ภาคประชาชน หรือผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งกระบวนการจัดหาเครื่องลงคะแนนเสียงไร้ความโปร่งใส เช่น ไม่มีเปิดเผยที่มาหรือสัญญาจัดซื้อ พรรคการเมืองยังไม่เข้าใจระบบ และไม่สามารถอธิบายให้ประชาชนฟังได้

 

อัปเดตและเผยแพร่ล่าสุด ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2025

 

ภาพประกอบ: สุภาวิดา สุขวัฒน์

 

อ้างอิง:

 

The post เปิดปฏิทินเลือกตั้งเมียนมา 3 เฟส 2025-2026 กลางสงครามกลางเมือง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี https://thestandard.co/north-korea-nuclear-submarine/ Fri, 26 Dec 2025 05:12:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1158465 เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี

เกาหลีเหนือได้เผยแพร่ภาพเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำแรก […]

The post เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี

เกาหลีเหนือได้เผยแพร่ภาพเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำแรก ซึ่งมีขนาดมหึมาและระวางขับน้ำถึง 8,700 ตัน เทียบเท่ากับเรือดำน้ำโจมตีชั้นเวอร์จิเนีย (Virginia-class) ของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา การมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นเป้าหมายระยะยาวของคิมจองอึน ตั้งแต่ปี 2021

 

เรือชนิดนี้มีข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์สูงมาก เนื่องจากสามารถดำน้ำได้ต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายปี ตราบเท่าที่มีเสบียงเพียงพอ อีกทั้งยังมีความเร็วสูงกว่า และเงียบกว่าเรือดำน้ำแบบดั้งเดิม ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า เรือดำน้ำลำนี้อาจได้รับการติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แล้ว และอาจพร้อมสำหรับการทดสอบขีปนาวุธภายใน 2 ปี

 

แรงจูงใจสำคัญในการเร่งพัฒนาโครงการนี้คือ การที่เกาหลีใต้ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ให้เริ่มพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของตนเองได้ แม้ผู้เชี่ยวชาญจะมองว่า กองเรือของเกาหลีเหนือยังคงด้อยกว่าเกาหลีใต้ในแง่ของเทคโนโลยี แต่ข้อได้เปรียบเดียวของเกาหลีเหนือคือ การครอบครองเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ได้ ‘เร็วกว่า’ ในขณะที่เกาหลีใต้อาจต้องใช้เวลาออกแบบและสร้างนับทศวรรษ

 

คิมจองอึน เน้นย้ำว่า ขีดความสามารถในการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดคือ ‘เกราะป้องกันที่ดีที่สุด’ สำหรับความมั่นคงของชาติ การสร้างเรือดำน้ำและเรือพิฆาตถือเป็นการก้าวกระโดดในการเสริมสร้างขีดความสามารถการรบทางทะเล อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าก ารกระทำของเกาหลีเหนือเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นการทุ่มเททรัพยากรไปที่การทหารแทนที่จะพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อประชาชน

 

นอกเหนือจากเรือดำน้ำ เกาหลีเหนือยังคงเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี (2026-2030) ที่จะเน้นการผลิตขีปนาวุธและกระสุน เพื่อป้องปรามสงคราม รวมถึงการพัฒนาขีปนาวุธทิ้งตัวที่สามารถยิงไปถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ และยานร่อนความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic Glide Vehicles) ที่ยากต่อการป้องกันอีกด้วย

 

ในการตรวจสอบเรือดำน้ำและการทดสอบอาวุธ คิมจองอึนมักจะพาลูกสาว คิมจูแอ ร่วมคณะไปด้วย ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงการเตรียมผู้สืบทอดอำนาจในอนาคต

 

เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี 1เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี 2เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี 3เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี 4เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี 5

 

ภาพ: KCNA via Reuters

 

อ้างอิง:

 

The post เกาหลีเหนือเปิดตัวเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรก พร้อมส่งสัญญาณพัฒนาขีปนาวุธต่อเนื่องภายใต้แผน 5 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมทรัมป์สั่งโจมตีกลุ่ม IS ในไนจีเรียอย่างหนักในเวลานี้ https://thestandard.co/trump-isis-nigeria-strikes/ Fri, 26 Dec 2025 03:53:50 +0000 https://thestandard.co/?p=1158437 ทำไมทรัมป์สั่งโจมตีกลุ่ม IS ในไนจีเรียอย่างหนักในเวลานี้

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเผยว่า สหรัฐฯ ได […]

The post ทำไมทรัมป์สั่งโจมตีกลุ่ม IS ในไนจีเรียอย่างหนักในเวลานี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมทรัมป์สั่งโจมตีกลุ่ม IS ในไนจีเรียอย่างหนักในเวลานี้

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเผยว่า สหรัฐฯ ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรงและเด็ดขาดต่อกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ในรัฐโซโกโต (Sokoto) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของไนจีเรีย โดยเป็นการทำงานประสานงานร่วมกับรัฐบาลไนจีเรีย

 

ทรัมป์นิยามกลุ่ม IS ว่าเป็น ‘กลุ่มก่อการร้ายเหลือเดน’ (Terrorist Scum) พร้อมกล่าวหาว่ากลุ่มนี้พุ่งเป้าโจมตีและเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม โดยเฉพาะชาวคริสต์

 

ทำไมทรัมป์ถึงสั่งโจมตีอย่างหนักในช่วงเวลานี้

 

เหตุผลหลักที่โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการโจมตีเกี่ยวข้องกับ จุดยืนในการปกป้องชาวคริสต์และนโยบายต่อต้านการก่อการร้าย

 

1. ข้อกล่าวหาเรื่องการมุ่งเป้าทำร้ายชาวคริสต์: ทรัมป์ให้เหตุผลว่ากลุ่ม IS กำลัง ‘มุ่งเป้าและสังหารชาวคริสต์ผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม’ ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน ทรัมป์ได้ประกาศให้ไนจีเรียเป็น ‘ประเทศที่มีความน่ากังวลเป็นพิเศษ’ (Country of Particular Concern) โดยอ้างว่ามี ‘ภัยคุกคามต่อความอยู่รอด’ (Existential Threat) ของประชากรชาวคริสต์

 

นอกจากนี้ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยังกล่าวทิ้งท้ายในแถลงการณ์เรื่องนี้ว่า ‘สุขสันต์วันคริสต์มาส’ ซึ่งสะท้อนนัยทางศาสนาของปฏิบัติการนี้

 

2. อิทธิพลจากข้อมูลในแวดวงฝ่ายขวาของสหรัฐฯ: ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีกระแสข่าวลือในกลุ่มฝ่ายขวาของสหรัฐฯ เกี่ยวกับ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวคริสต์ในไนจีเรีย’ ซึ่งทรัมป์ได้รับอิทธิพลจากข้อมูลชุดนี้ แม้ว่ากลุ่มสังเกตการณ์ความรุนแรงและกลุ่มสิทธิมนุษยชนจะระบุว่า ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชาวคริสต์ถูกสังหารมากกว่าชาวมุสลิม และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จากกลุ่มติดอาวุธในรอบทศวรรษที่ผ่านมาเป็นชาวมุสลิมก็ตาม

 

3. นโยบายปราบปรามการก่อการร้าย: ทรัมป์ต้องการแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าว โดยประกาศผ่าน Truth Social ว่าภายใต้การนำของเขา ‘การก่อการร้ายของพวกหัวรุนแรงอิสลาม’ (Radical Islamic Terrorism) จะไม่ได้รับอนุญาตให้เติบโต ซึ่งเขาได้สั่งให้กองทัพเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการในไนจีเรียมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ทางด้าน ยูซุฟ ไมทามา ตักการ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไนจีเรีย ยืนยันว่าเหตุการณ์นี้คือ ‘ปฏิบัติการร่วมกัน’ ของทั้งสองประเทศ ขณะที่ ที่ปรึกษาประธานาธิบดีไนจีเรียระบุว่า ยินดีรับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็เน้นย้ำว่า ไนจีเรียเป็นประเทศเอกราชและภัยคุกคามทางความมั่นคงส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกศาสนา ไม่ใช่เพียงแค่ชาวคริสต์เท่านั้น

 

ภาพ: Tasos Katopodis / Getty Images

อ้างอิง:

The post ทำไมทรัมป์สั่งโจมตีกลุ่ม IS ในไนจีเรียอย่างหนักในเวลานี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
UN เตือน ‘เลือกตั้งเมียนมา’ ไร้เสรีภาพ ชี้กองทัพคุมเบ็ดเสร็จ เสี่ยงข่มขู่-ใช้ความรุนแรง https://thestandard.co/un-myanmar-election-warning/ Fri, 26 Dec 2025 03:27:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1158410 UN เตือน ‘เลือกตั้งเมียนมา’ ไร้เสรีภาพ ชี้กองทัพคุมเบ็ดเสร็จ เสี่ยงข่มขู่-ใช้ความรุนแรง

โวลเกอร์ เติร์ก (Volker Türk) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห […]

The post UN เตือน ‘เลือกตั้งเมียนมา’ ไร้เสรีภาพ ชี้กองทัพคุมเบ็ดเสร็จ เสี่ยงข่มขู่-ใช้ความรุนแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
UN เตือน ‘เลือกตั้งเมียนมา’ ไร้เสรีภาพ ชี้กองทัพคุมเบ็ดเสร็จ เสี่ยงข่มขู่-ใช้ความรุนแรง

โวลเกอร์ เติร์ก (Volker Türk) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการเลือกตั้งเมียนมา 2025-2026 ชี้ไร้เสรีภาพทางการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ ขณะที่กองทัพควบคุมสถานการณ์เบ็ดเสร็จ ซึ่งทำให้เกิดความรุนแรงและการข่มขู่ในการลงคะแนนเสียง

 

UN ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลถึงการเลือกตั้งเมียนมา ซึ่งจะจัดขึ้นในเฟสแรก คือวันที่ 28 ธันวาคมที่กำลังจะถึงนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่มีการลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 เป็นต้นมา

 

แถลงการณ์ระบุว่า การเลือกตั้งที่จัดโดยกองทัพเมียนมา นำไปสู่การยุบพรรคการเมืองสำคัญ การคุมขังฝ่ายต่อต้านและบุคคลสำคัญรวมทั้งสิ้นนับพันคน โดยเฉพาะอองซานซูจี อดีตที่ปรึกษาแห่งรัฐฯ ขณะที่วิกฤตจากการรัฐประหารทำให้เกิดความขัดแย้งที่ปะทะด้วยอาวุธ การพลัดถิ่นจำนวนมาก และการล่มสลายทางเศรษฐกิจที่ซ้ำเติมด้วยเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในเดือนมีนาคม 2025 ทำให้วิกฤตทางมนุษยธรรมรุนแรงยิ่งขึ้น

 

ข้อมูลของ OHCHR เปิดเผยว่า การลงคะแนนเสียงในเมียนมาเกิดขึ้นในบรรยากาศที่ไร้เสรีภาพ และเต็มไปด้วยการข่มขู่ เช่น มีผู้ถูกจับกุมภายใต้กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง เพราะแสดงความเห็นต่างจากรัฐบาล หรือบางรายถูกลงโทษร้ายแรง มีเยาวชนในย่างกุ้งถูกจำคุก 42-49 ปีจากการแขวนป้ายต่อต้านเลือกตั้ง ขณะที่บุคคลสาธารณะถูกลงโทษฐาน ‘บ่อนทำลายความเชื่อมั่นสาธารณะ’ หลังวิจารณ์สื่อโฆษณาชวนเชื่อสนับสนุนเลือกตั้ง

 

นอกจากนี้ รัฐบาลทหารเมียนมายังข่มขู่ผู้พลัดถิ่นในประเทศว่า หากประชาชนไม่กลับภูมิลำเนาไปเลือกตั้ง บ้านจะถูกยึดหรือได้รับการโจมตีทางอากาศ โดย UN ชี้ว่า นี่คือการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

ขณะเดียวกัน อันตรายจากการเลือกตั้งยังรวมถึงกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านคำสั่งกองทัพเมียนมา โดยรายงานระบุว่า มีครูผู้หญิง 9 คนถูกลักพาตัวระหว่างเดินทางไปฝึกอบรมการลงคะแนนเสียงในรัฐมอญ แม้ได้รับการปล่อยตัวในภายหลัง แต่ถูกเตือนไม่ให้ไปเลือกตั้ง

 

ขณะที่กลุ่มต่อต้านที่ใช้ชื่อ ‘กองทัพย่างกุ้ง’ (Yangon Army) วางระเบิดสำนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นที่เตรียมจัดการเลือกตั้ง และข่มขู่ว่า จะเดินหน้าโจมตีผู้จัดการเลือกตั้งต่อไป

 

ทั้งนี้ สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกเลขาธิการ UN เปิดเผยว่า จูลี บิชอป ผู้แทนพิเศษได้เดินทางเยือนเมียนมาเป็นครั้งที่ 3 และพบกับ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นที่เรียบร้อย พร้อมย้ำว่า เมียนมาต้องยุติความรุนแรงเพื่อเปิดช่องทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟู รวมถึงเดินหน้าสู่การแก้ไขปัญหาที่อยู่ในสายตาประชาคมโลกอย่างมีส่วนร่วมและสันติ

 

ภาพ: Issei Kato / Reuters

อ้างอิง:

The post UN เตือน ‘เลือกตั้งเมียนมา’ ไร้เสรีภาพ ชี้กองทัพคุมเบ็ดเสร็จ เสี่ยงข่มขู่-ใช้ความรุนแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮุน มาเนต คุยสายตรง รูบิโอ ชี้ผลักดันการหยุดยิง ด้านสหรัฐฯ ระบุ อยากเห็นสันติภาพไทย-กัมพูชา https://thestandard.co/hun-manet-us-thai-cambodia-peace/ Fri, 26 Dec 2025 02:25:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1158386 ฮุน มาเนต คุยสายตรง รูบิโอ ชี้ผลักดันการหยุดยิง ด้านสหรัฐฯ ระบุ อยากเห็นสันติภาพไทย-กัมพูชา

ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา คุยสายตรง มาร์โก รูบิโอ ร […]

The post ฮุน มาเนต คุยสายตรง รูบิโอ ชี้ผลักดันการหยุดยิง ด้านสหรัฐฯ ระบุ อยากเห็นสันติภาพไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮุน มาเนต คุยสายตรง รูบิโอ ชี้ผลักดันการหยุดยิง ด้านสหรัฐฯ ระบุ อยากเห็นสันติภาพไทย-กัมพูชา

ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา คุยสายตรง มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อหารือความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้มีเป้าหมายผลักดันให้เกิดการหยุดยิง และให้ 2 ประเทศดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพ

 

วันนี้ (26 ธันวาคม) ฮุน มาเนต ได้โพสต์ข้อความบน Facebook โดยระบุว่า ตนได้หารือกับรูบิโอถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อทำให้เกิดการหยุดยิงและดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพ

 

ผู้นำกัมพูชาระบุว่า รูบิโอมีจุดยืนชัดเจน คือ การสนับสนุนให้เกิดการหยุดยิงโดยเร็วที่สุด และสหรัฐฯ ต้องการสร้างหลักประกันสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทยกับกัมพูชา เช่นเดียวกับกัมพูชาที่ยืนหยัดแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดนโดยสันติวิธี และสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่าง 2 ประเทศ โดยยึดแถลงการณ์ร่วมกัวลาลัมเปอร์ ข้อตกลง และกลไกในช่วงที่ผ่านมา

 

“รัฐมนตรีรูบิโอระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างกัมพูชาและไทย และจะทำงานเพื่อช่วยให้เกิดการหยุดยิงโดยเร็วที่สุด”

 

ฮุน มาเนตยังทิ้งท้ายว่า ตนได้เน้นย้ำความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ ที่กัมพูชาจะยึดถือเจตนารมณ์ของปฏิญญาณร่วมกัวลาลัมเปอร์ และหวังว่า ไทยและกัมพูชาจะทำงานร่วมกันตามข้อตกทั้งหมดที่มีอยู่ต่อไป

 

ภาพ: Hun Manet / Facebook

อ้างอิง:

The post ฮุน มาเนต คุยสายตรง รูบิโอ ชี้ผลักดันการหยุดยิง ด้านสหรัฐฯ ระบุ อยากเห็นสันติภาพไทย-กัมพูชา appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านวิสัยทัศน์การต่างประเทศของ ‘สีหศักดิ์’ กับเป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง ยืนแถวหน้าประชาคมโลก https://thestandard.co/sihasak-thailand-foreign-policy-vision/ Thu, 25 Dec 2025 08:53:08 +0000 https://thestandard.co/?p=1158195 อ่านวิสัยทัศน์การต่างประเทศของ ‘สีหศักดิ์’ กับเป้าหมาย 4 ปี พา ไทย พ้นวิกฤตขัดแย้ง ยืนแถวหน้าประชาคมโลก

ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์โลก ณ ปัจจุบัน ทั้งสงคราม […]

The post อ่านวิสัยทัศน์การต่างประเทศของ ‘สีหศักดิ์’ กับเป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง ยืนแถวหน้าประชาคมโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
อ่านวิสัยทัศน์การต่างประเทศของ ‘สีหศักดิ์’ กับเป้าหมาย 4 ปี พา ไทย พ้นวิกฤตขัดแย้ง ยืนแถวหน้าประชาคมโลก

ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์โลก ณ ปัจจุบัน ทั้งสงคราม ความขัดแย้ง การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนวิกฤตที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนอีกมากมาย หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ คือ ‘นโยบายการต่างประเทศ (Foreign Policy)’ หรือนโยบายทางการทูต ซึ่งมีผลสำคัญในพาประเทศผ่านพ้นวิกฤต

 

สำหรับประเทศไทย ที่การเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า นโยบายการต่างประเทศเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างยิ่ง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในบุคคลที่ถูกจับจ้องมากที่สุด จากผลงานด้านการต่างประเทศในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน คือสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมายเลข 2 ของพรรคภูมิใจไทย นอกจากอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

 

ผลงานด้านการต่างประเทศของเขาในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนในประเทศ แต่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าแนวนโยบายต่างประเทศของเขา จะพาประเทศไทยไปได้ไกลแค่ไหน และคำประกาศเรื่องการ ‘พาไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก’ ที่เขาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งนั้น จะทำได้จริงหรือไม่

 

ในการแถลงนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่จัดขึ้นวานนี้ สีหศักดิ์ ขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศของตนเอง ซึ่งมีเป้าหมายใหญ่ที่น่าสนใจคือการพาประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤตความขัดแย้งภายใน 4 ปี หากได้กลับมาทำหน้าที่ในรัฐบาล

 

และนี่คือรายละเอียดทั้งหมดจากวิสัยทัศน์ของชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกหม้อ’ ตัวจริงของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยเป็นทั้งเอกอัครราชทูต อธิบดีกรมสารนิเทศและปลัดกระทรวงต่างประเทศ

 

การต่างประเทศที่เข้มแข็งคือเครื่องมือพาประเทศพ้นวิกฤต

 

สีหศักดิ์ เริ่มต้นการแถลงนโยบาย ด้วยการยอมรับความจริงว่า การรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของตน เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดและท้าทาย ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาปกติของการบริหารประเทศ หากแต่เป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา กำลังเผชิญแรงกดดันจากความขัดแย้งที่รุนแรง และบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เขายืนยันว่าเหตุที่ตัดสินใจเข้ากุมบังเหียนกระทรวงฯ ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งหรืออำนาจ แต่เป็นความตั้งใจที่อยากจะทำงาน โดยมีความเชื่อว่า “การต่างประเทศที่เข้มแข็งจะนำพาประเทศไทยให้พ้นวิกฤต นำพาไทยไปสู่ความมั่นคง และจะะนำความกินดีอยู่ดี ความก้าวหน้ามาสู่ประชาชนชาวไทย”

 

ในประเด็นกัมพูชานั้น สีหศักดิ์ มั่นใจว่านโยบายต่างประเทศภายใต้การนำของเขาต่อปัญหาความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่รับตำแหน่ง ยังคงเดินไปอย่าง ‘ถูกทาง’ ซึ่งสิ่งสำคัญคือไทยมีผู้นำที่เข้มแข็ง อีกทั้งยังมีเอกภาพระหว่างทหารกับฝ่ายการทูต ที่ทำงานร่วมกัน และพูดเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้มีเอกภาพในการปกป้องคุ้มครองอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศไทย

 

4 ปีพาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง ยืนแถวหน้าประชาคมโลก

 

หนึ่งใน Key Takeaway ที่โดดเด่นจากถ้อยแถลงของสีหศักดิ์ คือการตั้งเป้าหมายด้านการต่างประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า ให้ไทยก้าวพ้นจากวิกฤตความขัดแย้ง ณ ปัจจุบัน และหวังว่าการต่างประเทศของไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับประเทศและประชาชนชาวไทย ทำให้ไทยได้กลับสู่แถวหน้าของประชาคมโลก และมีบทบาทนำในเวทีระหว่างประเทศ ยืนอยู่ในเวทีโลกได้อย่างมีเกียรติภูมิ และมีศักดิ์ศรี

 

เขาชี้ว่า “การต่างประเทศต้องเป็นการต่างประเทศที่ทันต่อโลก ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก และที่สำคัญคือการต่างประเทศที่เข้าถึงประชาชน”

 

“ทุกท่านคงรู้สึกว่าการต่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัว ความเป็นอยู่ของท่าน ความเป็นไปในประเทศของเรา ล้วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในภูมิภาค และแม้กระทั่งสถานการณ์ที่อยู่ห่างไกล” เขากล่าว และเชื่อว่า ประชาชนทุกคนมีความคาดหวังต่อนโยบายการต่างประเทศ ว่าจะนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้า

 

สร้างสมดุล ‘จัดการปัญหาเฉพาะหน้า’ กับ ‘ยุทธศาสตร์ระยะยาว’

 

สีหศักดิ์ ชี้ว่าการดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้นต้องไม่อยู่ในอุดมคติ โดยต้องมียุทธศาสตร์ระยะยาว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลในการจัดการกับประเด็นปัญหาเฉพาะหน้า เช่น เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ไทยต้องก้าวพ้นความขัดแย้งกับกัมพูชา และต้องส่งเสริมให้เมียนมามีเสถียรภาพ มีกระบวนการกลับไปสู่สันติภาพ

 

“สิ่งที่เราต้องการคือชายแดนที่มั่นคง ชายแดนที่เชื่อมโยง และปราศจากอาชญากรรม โดยเฉพาะยาเสพติดและขบวนการหลอกลวงออนไลน์”

 

เขามองว่า “หากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความก้าวหน้า ก็เป็นโอกาสของประเทศไทย ทั้งด้านการค้า การลงทุน และถ้าภูมิภาคมีสันติภาพ นักลงทุนต่างชาติก็อยากเข้ามาลงทุนในประเทศไทย”

 

บาลานซ์สัมพันธ์โลกหลายขั้วอำนาจ

 

ในระดับโลก สีหศักดิ์วิเคราะห์ว่าระบบระหว่างประเทศกำลังเคลื่อนไปสู่โลกหลายขั้วอำนาจ ที่มีการแข่งขันเข้มข้นขึ้นทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และซัพพลายเชน

 

ท่ามกลางโลกที่ไร้ระเบียบมากขึ้น เขาเสนอท่าทีของไทยว่า “ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกขั้วอำนาจ” โดยไม่เลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้าง “ภูมิต้านทาน” ของประเทศผ่านการทูตทุกมิติ ซึ่งอาเซียน คือพลังทางการทูตที่สำคัญในการสร้างภูมิต้านทานท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ

 

“โลกจะมีการแข่งขันสูงขึ้น ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และซัพพลายเชน โลกจะไร้ระเบียบมากขึ้น เราจึงต้องสร้างภูมิต้านทานของเราเอง การทูตของเราจึงต้องเป็นการทูตทุกมิติ ทั้งความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ผลประโยชน์ของเราอยู่ที่ไหน เราต้องไปที่นั่น อาเซียนคือพลังทางการทูตของเรา ช่วยสร้างภูมิต้านทานท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ”

 

การต่างประเทศที่ดี เริ่มต้นจากภายในประเทศ

 

สีหศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย โดยเชื่อมั่นว่า “การดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ดี ต้องเริ่มต้นจากภายในประเทศ (Foreign Policy Begins at Home)”

 

เขามองว่า การต่างประเทศนั้นไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงเดียว แต่ต้องทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน รวมถึงภาคเอกชน ซึ่งการทำงานแบบ ‘ทีมไทยแลนด์’ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในมิติของการทูตเศรษฐกิจ ซึ่งถูกยกให้เป็นภารกิจหลักของสถานทูตและสถานกงสุลไทยทั่วโลก

 

“โจทย์ของประเทศในวันนี้คือการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเราจะเดินหน้านโยบายการทูตเศรษฐกิจ สถานทูตและสถานกงสุลไทยทั่วโลกต้องทำงานเชิงรุก มีเป้าหมายชัดเจน ‘Walk the Talk’ เข้าหา เข้าถึง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประเทศ”

 

เขากล่าวทิ้งท้าย โดยเชื่อมั่นว่า “การต่างประเทศในสังคมประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีส่วนรับรู้ มีส่วนร่วม ต้องเป็นนโยบายที่ตรวจสอบได้ โปร่งใส และได้รับการสนับสนุนจากประชาชน”

 

“เป้าหมายของยุทธศาสตร์การต่างประเทศของเราคือ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในเวทีโลกอย่างมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี และผลักดันผลประโยชน์ของชาติทุกด้าน เพื่อให้ไทยอยู่ในแนวหน้าของประชาคมโลก”

The post อ่านวิสัยทัศน์การต่างประเทศของ ‘สีหศักดิ์’ กับเป้าหมาย 4 ปี พาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง ยืนแถวหน้าประชาคมโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>