Art & Design – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 27 Oct 2024 02:23:51 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 นิทรรศการ Oasis Origin + Reconstruction เตรียมเปิดแสดงที่กรุงโตเกียว 31 ต.ค. นี้ https://thestandard.co/oasis-origin-reconstruction-tokyo/ Sun, 27 Oct 2024 02:23:51 +0000 https://thestandard.co/?p=1000533

เมื่อ 2 พี่น้องแห่งวง Oasis ประกาศกลับมารวมตัวกัน และพร […]

The post นิทรรศการ Oasis Origin + Reconstruction เตรียมเปิดแสดงที่กรุงโตเกียว 31 ต.ค. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อ 2 พี่น้องแห่งวง Oasis ประกาศกลับมารวมตัวกัน และพร้อมจะออกเวิลด์ทัวร์ในปีหน้าหลังจากที่แยกย้ายกันไปถึง 15 ปี แฟนๆ ทั่วโลกต่างตื่นเต้นดีใจกันเป็นอย่างมาก รวมไปถึงญี่ปุ่นซึ่งกำลังจะมีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายของวง Oasis ที่กรุงโตเกียวในนาม Oasis Origin + Reconstruction

 

นิทรรศการนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะได้นำภาพ Oasis ที่ถ่ายโดยช่างภาพชาวอังกฤษที่ร่วมงานกับวงมาเนิ่นนานอย่าง Jill Furmanovsky มาจัดแสดงในรูปแบบใหม่ ร่วมกับ Kosuke Kawamura ศิลปินและกราฟิกดีไซเนอร์ชาวญี่ปุ่นชื่อดัง โดยที่ผ่านมา Jill Furmanovsky เป็นผู้บันทึกภาพศิลปินระดับขึ้นหิ้งมาแล้วมากมาย เช่น Pink Floyd, The Who และ Paul McCartney และเมื่อช่วงต้นปีนี้เธอเพิ่งจะได้รับรางวัล Abbey Road Music Photography Awards โดยมี Noel Gallagher สมาชิกวง Oasis เป็นผู้เชิญรางวัลและกล่าวให้เกียรติยกย่องเธอด้วยตัวเอง พร้อมกับนิยาม Jill Furmanovsky ว่าเป็น “หนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุดของผม”

 

Jill Furmanovsky เริ่มถ่ายภาพให้กับวง Oasis ตั้งแต่ช่วงที่วงเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเธอมีโอกาสเดินทางไปทัวร์และติดตามบันทึกภาพวง Oasis นานหลายปี จนถึงปี 2009 ที่วงประกาศสลายตัว ซึ่งอาร์ตเวิร์กที่จัดแสดงในนิทรรศการ Oasis Origin + Reconstruction จะเป็นงานคอลลาจภาพ Oasis ที่ดีไซน์และตีความใหม่โดย Kosuke Kawamura จากทั้งโฆษณา โปสเตอร์ ไปจนถึงภาพจากสื่อต่างๆ รวมถึงภาพจาก Jill Furmanovsky

 

Oasis Origin + Reconstruction จะจัดขึ้น ณ New Gallery แห่งกรุงโตเกียว ในวันที่ 31 ตุลาคม – 11 พฤศจิกายนนี้

 

ภาพ: Jill Furmanovsky / New Gallery

อ้างอิง:

The post นิทรรศการ Oasis Origin + Reconstruction เตรียมเปิดแสดงที่กรุงโตเกียว 31 ต.ค. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นิทรรศการ Wes Anderson: The Exhibition เตรียมจัดขึ้นที่กรุงลอนดอนปลายปี 2025 https://thestandard.co/wes-anderson-the-exhibition/ Wed, 02 Oct 2024 02:44:41 +0000 https://thestandard.co/?p=990580

นับเป็นครั้งแรกที่จะมีการจัดนิทรรศการแสดงงานที่สะท้อนถึ […]

The post นิทรรศการ Wes Anderson: The Exhibition เตรียมจัดขึ้นที่กรุงลอนดอนปลายปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>

นับเป็นครั้งแรกที่จะมีการจัดนิทรรศการแสดงงานที่สะท้อนถึงผลงานภาพยนตร์สุดยูนีกของผู้กำกับ Wes Anderson ในพิพิธภัณฑ์ กับงาน Wes Anderson: The Exhibition ที่จะเปิดให้เข้าชม ณ พิพิธภัณฑ์ Design Museum แห่งกรุงลอนดอน 

 

นิทรรศการ Wes Anderson: The Exhibition ที่ได้ La Cinémathèque française มาร่วมโปรดิวซ์ จะพาผู้เข้าชมเดินทางเข้าสู่โลกแห่งภาพยนตร์ของ Wes Anderson ตั้งแต่โปรเจกต์แรกๆ ของเขาในช่วงยุค 1990 ผ่านวิวัฒนาการในงานของเขาจนถึงยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Bottle Rocket (1996), The Darjeeling Limited (2007), Fantastic Mr. Fox (2009), Moonrise Kingdom (2012), The Grand Budapest Hotel (2014) มาจนถึง The French Dispatch (2021) และอีกมากมาย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ที่เต็มไปด้วยสีสันและบทสนทนาสุดพิลึกพิลั่นของเขาก็สร้างความประทับใจให้คอหนังทั่วโลกเป็นอย่างมาก และยังทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่มีผู้ติดตามเหนียวแน่นที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย 

 

แน่นอนว่าในนิทรรศการนี้ เหล่าแฟนๆ จะมีโอกาสเรียนรู้และสัมผัสกับความเป็นมาของเรื่องราวในภาพยนตร์ ทั้งวิธีคิดหรือการทำงานของ Wes Anderson อย่างใกล้ชิด โดยจะมีทั้งการจัดแสดงพร็อพประกอบฉากต่างๆ, คอสตูม และดีไซน์กองถ่ายจากภาพยนตร์ของ Wes Anderson นอกจากนั้นยังมีคอลเล็กชันส่วนตัวของเขาที่จะนำมาจัดแสดงด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้ก็จะทำให้ผู้เข้าชมนิทรรศการได้เห็นเบื้องหลังกระบวนการทางความคิด การเล่าเรื่อง และงานฝีมือสุดพิถีพิถันที่สะท้อนสไตล์การสร้างหนังของเขาได้เป็นอย่างดี

 

Wes Anderson: The Exhibition จะจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ Design Museum ย่านเคนซิงตัน กรุงลอนดอน ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2025 – 5 พฤษภาคม 2026 ซึ่งขณะนี้ Design Museum ก็กำลังเตรียมจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ Tim Burton อย่าง The World of Tim Burton ต้อนรับช่วงฮาโลวีน

 

ภาพ: Design Museum 

อ้างอิง:

The post นิทรรศการ Wes Anderson: The Exhibition เตรียมจัดขึ้นที่กรุงลอนดอนปลายปี 2025 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รูปปั้นนกพิราบยักษ์ ‘Dinosaur’ เตรียมจัดแสดงในสวนลอยฟ้า High Line ที่มหานครนิวยอร์ก https://thestandard.co/dinosaur-ivan-argote-high-line-new-york/ Thu, 01 Aug 2024 09:49:31 +0000 https://thestandard.co/?p=966119

รูปปั้นนกพิราบอะลูมิเนียมขนาดใหญ่นาม Dinosaur ถูกจัดแสด […]

The post รูปปั้นนกพิราบยักษ์ ‘Dinosaur’ เตรียมจัดแสดงในสวนลอยฟ้า High Line ที่มหานครนิวยอร์ก appeared first on THE STANDARD.

]]>

รูปปั้นนกพิราบอะลูมิเนียมขนาดใหญ่นาม Dinosaur ถูกจัดแสดงในสวนสาธารณะลอยฟ้า High Line ในย่านใจกลางเมืองแมนฮัตตันแห่งมหานครนิวยอร์ก ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้จนถึงปี 2026

 

โดย Dinosaur หรือเจ้านกยักษ์ที่มีความสูง 16 ฟุต เป็นผลงานของศิลปินและนักสร้างหนังชาวโคลอมเบียอย่าง Iván Argote ซึ่งจะเกาะอยู่อย่างโดดเด่นในสวนสาธารณะลอยฟ้า High Line เชื่อว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะละสายตาจากรูปปั้น Dinosaur ได้ เนื่องจากมันจะปรากฏตรงทางแยกที่ผู้คนผ่านเข้าไปแวะเวียนกันมากที่สุดแห่งหนึ่งของมหานครนิวยอร์ก โดย Iván Argote หวังเพียงว่านกยักษ์ Dinosaur จะไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่อผู้คนที่เร่งรีบเดินทางผ่าน 10th Avenue ณ 30th Street ก็เป็นพอ

 

ถึงแม้ว่านกพิราบจะไม่ได้รับการยกย่องเชิดชูเหมือนสัตว์ตระกูลเดียวกันอย่างนกอินทรีหรือเหยี่ยว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านกพิราบนั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการอย่างหนึ่งของมหานครนิวยอร์ก โดย Iván Argote ให้สัมภาษณ์ถึงมุมมองที่มีต่อนกพิราบว่า

 

“นกพิราบเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้สึกกับมันแตกต่างกันออกไป มันอาจเป็นสัตว์แสนไอคอนิกหรือมีความเป็นเอกลักษณ์มาก หรืออาจเป็นไอคอนแห่งมหานครนิวยอร์ก แต่มันยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สลักสำคัญอะไรที่ใช้ชีวิตอยู่ตามมุมสกปรกในเวลาเดียวกันด้วย

 

“คุณมองเห็นผู้คนบนท้องถนนมากมายที่ใช้ชีวิต หรือผู้คนที่ต้องใช้เวลามากมายของชีวิตอยู่บนท้องถนน ซึ่งพวกเขาต่างก็ได้รับความรักและความใกล้ชิดจากนกพิราบเหล่านี้ บางครั้งนกพิราบก็ทำสิ่งที่เป็นมนุษย์มากๆ อย่างการขึ้นรถไฟใต้ดิน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคุณสามารถมองเห็นตัวเองในนกพิราบพวกนั้นได้อยู่นะ”

 

Dinosaur เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์แสดงงานประติมากรรมของ High Line โดย Iván Argote ตั้งใจนำเสนอแนวคิด ‘เศษเสี้ยวที่เหลืออยู่ของมนุษยชาติ’ ผ่านผลงานชิ้นนี้ของเขา เขาเผยอีกว่า “มันจะยังคงมีชีวิตอยู่ เหมือนกับนกพิราบที่ใช้ชีวิตในมุมอับมืดกลางช่องว่างระหว่างโลกแห่งอนาคต ผมรู้สึกว่ารูปปั้นชิ้นนี้จะสร้างความรู้สึกที่พิศวงและหวาดกลัวต่อสถานที่ท่องเที่ยว การล่อลวง และความกลัว ท่ามกลางผู้อยู่อาศัยในมหานครนิวยอร์ก”

 

ภาพ: Iván Argote

อ้างอิง:

The post รูปปั้นนกพิราบยักษ์ ‘Dinosaur’ เตรียมจัดแสดงในสวนลอยฟ้า High Line ที่มหานครนิวยอร์ก appeared first on THE STANDARD.

]]>
เส้นทางการ ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเป็นตำนาน’ ของ Mr.P เด็กทะลึ่งอารมณ์ดี คาแรกเตอร์ดีไซน์ไทยที่ Go to the Moon ก่อนใคร [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/mr-p-character-design-concept/ Fri, 31 May 2024 06:00:35 +0000 https://thestandard.co/?p=938474

แรงเกินต้านจริงๆ กับกระแสของคาแรกเตอร์ดีไซน์และการตื่นต […]

The post เส้นทางการ ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเป็นตำนาน’ ของ Mr.P เด็กทะลึ่งอารมณ์ดี คาแรกเตอร์ดีไซน์ไทยที่ Go to the Moon ก่อนใคร [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

แรงเกินต้านจริงๆ กับกระแสของคาแรกเตอร์ดีไซน์และการตื่นตัวของวงการอาร์ตทอย ที่ส่งให้คาแรกเตอร์ของศิลปินไทยทำราคาพุ่งไปถึงดวงจันทร์

 

จะว่าไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมืองไทยมีคาแรกเตอร์ดีไซน์ที่โด่งดังและสร้างชื่อเสียงบนเวทีโลก ย้อนกลับไปปี 2547 ภายในห้องทำงานของบริษัท Propaganda (พร็อพพาแกนดา) บนโต๊ะทำงานของ ตุ๊ด-ชัยยุทธ์ พลายเพ็ชร์ นักออกแบบแบรนด์รุ่นใหญ่ เขากำลังสร้างคาแรกเตอร์ดีไซน์ที่ Go to the Moon ก่อนกาลนามว่า ‘Mr.P’ โดยมี สาธิต กาลวันตวานิช เจ้าของแบรนด์ Propaganda ควบตำแหน่งครีเอทีฟไดเรกเตอร์รอ Approve!

 

 

ความดังของ Mr.P ในยุคนั้นอยู่ในระดับที่ซีรีส์ต่างประเทศนำไปใช้เป็นพร็อพเก๋ๆ ประกอบฉากอยู่บ่อยๆ เจ๋งขนาดไปปรากฏตัวในมิวเซียมทั่วโลก แม้แต่แบรนด์ดังอย่าง Paul Smith ก็นำไปติดตั้งเป็นวินโดว์ดิสเพลย์ของร้าน Paul Smith แฟลกชิปสโตร์สาขาแรกในย่าน Covent Garden ใจกลางกรุงลอนดอน หรือจอไทม์สแควร์นิวยอร์กก็ไปปรากฏตัวมาแล้ว นักออกแบบและดีไซเนอร์คนไหนไม่มีสินค้า Mr.P ถ้ายุคนี้ต้องเรียกว่าตกขบวน แม้แต่ศิลปินและนักแสดงชื่อดังยังต้องมี Mr.P เป็นของตกแต่งบ้าน แน่นอนว่ามันถูกวางจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

 

เส้นทางการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเป็นตำนาน

 

Mr.P ปรากฏตัวครั้งแรกเป็นโคมไฟในชื่อ ‘One Man Shy’ ภายใต้ภาพลักษณ์ของเด็กทะลึ่ง ทะเล้น มีเพียงฝาครอบศีรษะซึ่งสะท้อนนิสัยขี้อาย แต่ดันเปลือยกายล่อนจ้อนและมีจุดดึงสายตาอยู่ที่อวัยวะเพศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสวิตช์เปิด-ปิดไฟ

 

“มันก็แค่ไอเดียที่เราโยนใส่กันในห้องทำงานว่า ‘ลองทำสวิตช์ไฟที่ไม่เคยมีในโลกดูสิ’ กลายเป็นความท้าทายกันในกลุ่มดีไซเนอร์ ด้วยบรรยากาศการทำงานของพร็อพพาแกนดาเหมือนสวนสนุกของดีไซเนอร์ ใครคิดอะไรบ้าๆ มาก็ลองทำหมด ถ้าเราพยายามกรองทุกไอเดียผ่านคำว่าถูกหรือผิด ก็จะได้ของที่ไม่ต่างจากตลาด”

 

 

ความบ้านี่แหละที่ทำให้ Mr.P เด็กทะลึ่งอารมณ์ดีถือกำเนิดขึ้น พี่สาธิตบอกว่า “เหมือนถูกหวย” Mr.P Lamp กลายเป็นสินค้าขายดีทันทีหลังวางจำหน่าย และถูกส่งออกไปขายทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ

 

“ใครจะกล้าคิดสิ่งหยาบโลนให้ออกมาดูไม่หยาบโลน และใครจะไปคิดว่าคนจะรักคาแรกเตอร์นี้ จริงๆ มันก็เสี่ยงมากแต่ก็ท้าทายดี ทำให้เกิดก้อนความรู้ใหม่ว่าเราสามารถยกระดับการสื่อสารจากสิ่งที่ Negative ไปสู่สิ่งที่ Positive และมีคุณค่าต่อความรู้สึกของคนได้เกิดเป็น Emotional Design”

 

พี่สาธิตบอกว่า Mr.P เป็นตัวแทนความรู้สึกด้านลบของเราทุกคน

 

“มนุษย์ทุกคนมีด้านมืด Mr.P เป็นตัวแทนของวิธีคิดที่เราพลิกวิธีเล่าเรื่องให้เกิดเป็นความรู้สึกบวก โดยมีหน้าที่สร้างอารมณ์ขันในการใช้งาน (Emotional Approach) จะเห็นว่า Mr.P เสียสละอวัยวะตัวเองเพื่อให้คนอื่นใช้สอยเสมอ”

 

 

อย่าง Mr.P Lamp ก็ยอมให้คนเล่นอวัยวะเพศเพื่อให้เกิดแสงสว่าง หรือ Mr.P Tape Dispenser หนึ่งในโปรดักต์ขายดีที่สุดตลอดกาลของพร็อพพาแกนดา ก็เสียสละลิ้นให้เป็นที่ตัดเทปกาว ยังมีพวงกุญแจ กล่องใส่ทิชชู สายคล้องมือถือ ที่กั้นประตู และแก้วมัคที่พี่สาธิตบอกว่าผลิตเท่าไรก็หมด

 

“Mr.P ยังสะท้อนตัวตนความเป็นคนไทยที่มีอารมณ์ขันได้กับทุกเรื่อง คนไทยไม่คิดเยอะ มีวิกฤตฉันก็ทำตลกใส่วิกฤต และเราก็อยู่ในสังคมที่มีวัฒนธรรมของความเห็นอกเห็นใจ เรามีเมตตา พอเราเอาความเป็นตัวเราใส่เข้าไปในจิตวิญญาณของโปรดักต์ มันจะปลดล็อกคนทั้งโลก เพราะมนุษย์มีพื้นฐานที่เหมือนกัน รัก โลภ โกรธ หลง ขำในเรื่องตลกลามกเหมือนกัน”

 

 

ถ้าไม่คัน ‘พร็อพพาแกนดา’ คงไม่เกิด

 

Mr.P ไม่ได้สร้างแค่ชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในฐานะคาแรกเตอร์ดีไซน์ฝีมือคนไทย แต่ยังช่วยทำให้ตัวตนของ ‘พร็อพพาแกนดาชัดเจนขึ้น

 

“พอ Mr.P เกิดขึ้นมันฉุดแบรนด์พร็อพพาแกนดาขึ้นมาด้วย เกิดการเรียนรู้โดยไม่ตั้งใจว่าคาแรกเตอร์ดีไซน์มันสามารถสะท้อนตัวตนของแบรนด์ให้ชัดขึ้น แบรนดิ้งแข็งแรงขึ้น ทำให้พร็อพพาแกนดาเป็นแรงบันดาลใจของคนยุคนั้นให้กล้าออกจากกรอบเดิมๆ”

 

“เราทำแบรนด์พร็อพพาแกนดาตอนปี 2537 ในยุคที่กระแสงานดีไซน์กำลังถล่มเข้ามา ที่ทำเพราะคัน อยากทำ อยากพิสูจน์ว่าเราเจ๋ง ทำโปรดักต์เองไปเลย โจทย์คือ ‘ทำอย่างที่ชอบ’ ปรากฏว่าได้เรื่อง…เพราะไม่มีใครซื้อ เราเข้ามาเหมือนเป็นคนนอกที่ไม่รู้เรื่อง มาจากคนโฆษณา พวกการขายของ การผลิต หรือออกแบบเพื่อผลิต มันเป็นศาสตร์คนละแนว จะบรรจบกันได้ก็มีเรื่องของการสร้างคอนเซปต์ วิธีการเล่าเรื่อง แต่มันก็คนละสายงาน วิธีเล่าก็ต้องคนละแบบ เป็นการทำธุรกิจแบบไม่เข้าใจการตลาด ซึ่งมองย้อนกลับไปตอนนี้รู้สึกดี ถ้าเราทำงานภายใต้กรอบการตลาด ก็จะเดินตามเส้นทางที่มีคำตอบอยู่แล้ว”

 

แทนที่จะยกธงขาวตั้งแต่แรก เพราะไม่ประสาในวิชาธุรกิจ ไม่เข้าใจว่าต้องมีสต็อก ต้องมีฝ่ายจัดซื้อ ต้องมีโรงงานที่สามารถคุมการผลิตได้ แต่ด้วย DNA ‘กัดไม่ปล่อย’ ของพี่สาธิตและคนในทีม จึงปล่อยให้พร็อพพาแกนดาเดินสายการผลิตดีไซน์ไอเท็มต่อ

 

 

‘Tooth Series’ ถือเป็นไลน์โปรดักต์แรกๆ ของพร็อพพาแกนดา ที่จิกกัดโฆษณายาสีฟันซึ่งมักจะขายความขาวของฟันจนเกินจริง อยากขาวนักก็เป็น Tooth Lamp ไปเลยแล้วกัน และยังสามารถนั่งได้ เปิดตัวไม่ทันไรก็ติดท็อปลิสต์สินค้าขายดีในตลาดญี่ปุ่น พบเห็นได้ตามร้านหมอฟัน ในซีรีส์นี้ยังมีที่ใส่ไม้จิ้มฟันรูปฟันผุ ขวดเกลือและพริกไทยรูปฟัน ที่เสียบแปรงสีฟันรูปฟัน

 

“ตอนเริ่มต้นก็ไม่รู้หรอกว่าจะเกิดหรือเปล่า ก่อนจะสำเร็จแผลเต็มตัว ขายไม่ได้ ทำผิด โดนส่งคืน กว่าจะเรียนรู้มันต้องผ่านประสบการณ์ซึ่งเราเรียกมันว่าก้อนความเจ็บปวด แต่ถ้าไม่มีก้อนนี้มันจะไม่มีการเรียนรู้”

 

 

เข้าวงการดีไซน์ไม่ทันไร ได้เห็นงานต่างชาติเจ๋งๆ เริ่มศึกษาวิธีคิดของแต่ละประเทศ พี่สาธิตหันกลับมามองเมืองไทยและคิดว่า ทำไมเมืองไทยจะทำไม่ได้

 

“เริ่มมีอารมณ์รักชาติ อยากเอาชนะทั้งโลก อยากให้ประเทศไทยมีหน้ามีตา ใช้เวลาแค่ปีเดียวพร็อพพาแกนดาสามารถย้ายตัวเองจากที่ต้องอยู่ในบูธตุ๊กตาเป่าลมไปอยู่ในโซนที่แวดล้อมไปด้วยดีไซน์แบรนด์ระดับโลกได้สำเร็จ ในเวลานั้นเรายังไม่มี Mr.P แต่เราเข้าไปจากงาน Graphic on Product ความสำเร็จวันนั้นมันสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าคน 2-3 คนสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ ปลดล็อกงานดีไซน์ของไทยได้ ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พัฒนาประเทศได้แล้ว”

 

“ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจทำพร็อพพาแกนดา เพราะมันพลิกมุมมองและวิธีคิดไปเลย คนชอบ Maximum เขาพิสูจน์ได้ว่ามันดี คนชอบ Minimal ก็บอกได้ว่าอะไรคือดี ในขณะที่คนชอบทางสายกลางทำ Essentialist เหลือแต่ความจำเป็นเท่านั้นก็ไม่ผิด จะเห็นว่ามันมีความเชื่อได้หลายอย่าง และทุกความเชื่อมันโคตรดี การพัฒนาบนความเชื่อแบบเราเลยกลายเป็น DNA แท้ๆ แบบคนไทย”


Soft Power ไทยผู้มาก่อนกาล และยืนระยะได้นานจนถึงปัจจุบัน

 

พี่สาธิตย้ำว่า Mr.P ไม่ได้เป็นแค่คาแรกเตอร์ดีไซน์ที่แตกไลน์เป็นโปรดักต์สร้างรายได้ให้กับบริษัทเท่านั้น แต่ต้องการผลักดันให้ Mr.P เป็นตัวแทนความพยายามของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลยในธุรกิจดีไซน์ แค่อยากเอาชนะโลก

 

“Mr.P มีจิตวิญญาณของคนไทยที่อยากเอาชนะโลกซ่อนอยู่ ที่ผ่านมางานดีไซน์กับภาคธุรกิจมันไปคนละทาง เมื่อไรที่ภาคธุรกิจเห็นความสำคัญของดีไซน์ที่จะเป็นเครื่องมือต่อยอดธุรกิจได้ ขณะเดียวกันฟากดีไซน์ก็ต้องทำความเข้าใจภาคธุรกิจด้วย มันจะเกิดนวัตกรรม”

 

มากไปกว่าจิตวิญญาณของคนไทยที่อยากไปยืนแถวหน้าบนเวทีโลก ตลอดมา Mr.P ยังทำหน้าที่สร้างความสุข รอยยิ้ม กระตุกต่อมคิดให้คนไทยมองคาแรกเตอร์ดีไซน์ในมิติที่ลึกขึ้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่ Mr.P ไปปรากฏตัวที่ไหน ถ้าตั้งใจดูให้ดี Mr.P กำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับคุณ

 

 

“ทุกครั้งที่เราทำงานกับพื้นที่นั้นๆ  Mr.P ต้องถ่ายทอดตัวตนของพื้นที่ให้ชัดขึ้นด้วย ต้องเป็นคาแรกเตอร์ที่มากกว่าคาแรกเตอร์ แต่สามารถเปลี่ยนบริบทให้มีชีวิต มีความรู้สึก”

 

เด็กสยามตัวจริงต้องจำ ‘Mr.P Absolute Siam’ Sculpture ยักษ์ที่กำลังจะเหยียบอึหมา ด้านหน้าสยามเซ็นเตอร์โฉมใหม่ได้อย่างแน่นอน พี่สาธิตเล่าว่า คอนเซปต์ของงานชิ้นนี้ต้องการสะท้อนว่า “ชีวิตเราไม่ได้โรยด้วยดอกกุหลาบ บางครั้งต้องเหยียบโดนอึน้องหมา

 

“มันเป็นความหมายตลกที่เหมือนไร้สาระ แต่มันเป็นเรื่องที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คุณอาจสอบไม่ติด อกหัก ธุรกิจเจ๊ง อึหมาเป็นตัวแทนของอุปสรรค สุดท้ายต้องอยู่ให้ได้ถ้าเหยียบไปแล้ว อย่าง Mr.P Absolute Siam คือตัวแทนของสยามเซ็นเตอร์ แหล่งรวมแฟชั่น รวมความครีเอทีฟ มีแบรนด์แฟชั่นดังๆ ของไทย คาแรกเตอร์ขี้เล่นของ Mr.P ทำให้พื้นที่มีชีวิตชีวา ลดช่องว่างระหว่างลูกค้าที่เข้าศูนย์การค้า

 

“เราอยากก้าวข้ามความเก๋ เท่ หรือเทรนด์ทั้งหลายไปสู่สิ่งที่มีความหมายมากขึ้น เพราะมันจะตราตรึงและเป็นที่จดจำ”

 


Mr.P Reborn เกือบหายวับ แต่กลับมาได้

 

Mr.P สร้างความหมายและทำให้ผู้คนจดจำได้สำเร็จ เพราะถึงแม้ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จะไม่ได้เห็นเด็กทะเล้นคนนี้ปรากฏตัวออกมาบ่อยนัก แต่คนที่เป็นแฟนคลับต้องจดจำได้เป็นอย่างดี และในวันที่ Mr.P กำลังจะกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง พี่สาธิตบอกว่าจะได้เห็นเด็กทะเล้นคนนี้ในบทบาทใหม่ๆ ภายใต้คาแรกเตอร์เดิมอย่างแน่นอน

 

ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนนักว่าหลังจากที่ Plan B มาจับมือทำงานร่วมกันกับบริษัทพร็อพพาแกนดาแล้ว Mr.P จะได้ไปทะเล้นและสร้างรอยยิ้มให้กับโปรเจกต์ไหน ที่แน่ๆ เราคงได้เห็น Mr.P ไปปรากฏตัวตามบิลบอร์ดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ เหมือนเป็นทีเซอร์เรียกรอยยิ้ม

 

“Plan B อยากจะนำคาแรกเตอร์นี้กลับมา โดยยังคงรักษาคาแรกเตอร์ของเด็กทะลึ่ง เก็บตัว ขี้อาย แต่พอแสดงออกทีก็สร้างความสุขและความสนุกให้กับคนที่เห็น การกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อสร้างความสุขให้กับคนไทย”

 

แต่สิ่งที่เราสนใจยิ่งกว่าคือ โปรเจกต์ที่พี่สาธิตทำร่วมกับ KingBridge Tower ภายใต้ Studio Avocado บริษัทที่ปรึกษาด้านงานดีไซน์และครีเอทีฟโซลูชันที่เขาและ ณรากุญ คูสุโรจน์ ร่วมกันก่อตั้ง

 

 

“โจทย์คือจะทำอย่างไรให้การออกแบบพื้นที่มีความหมายมากขึ้น และต้องนำหลักคิดในการทำธุรกิจของสหพัฒน์ ‘มองไกล น้ำใจ สัญญา’ และคอนเซปต์ของการสร้าง KingBridge Tower นั่นก็คือ ‘The Spirit of Synergy’ ใส่ลงไปในพื้นที่ด้วย 

 

“มาสเตอร์พีซคือ Mr.P สูง 7 เมตรที่ตั้งอยู่ในล็อบบี้ เราตีความล็อบบี้ให้เท่ากับ Synergy มันต้องเป็นพื้นที่ที่เกิดปฏิสัมพันธ์ คนที่อยู่ในอาคารมีความสุข รักพื้นที่ มานั่งพัก ดื่มกาแฟ กินของว่าง สุดท้ายก็เกิดบทสนทนาดีๆ ที่อาจนำไปสู่คอนเน็กชัน เราดึงข้อได้เปรียบต่างๆ ที่ A49 ออกแบบมาต่อยอด ทั้งการสร้างอาคารแบบเปิดโล่ง กระจกสูง เปิดให้เห็นสะพานภูมิพล

 

“Mr.P ขนาด 7 เมตรที่กำลังทำท่าแบกเพดาน โดยมี Mr.P ไซส์ต่างๆ ช่วยกันแบก ตอบโจทย์คีย์หลักของอาคารคือ ความร่วมมือ ความมีน้ำใจ สะท้อนภาพของการพึ่งพา ร่วมมือกัน และยังสร้างปฏิสัมพันธ์กับบริบทของพื้นที่ เกิดพลังในการเล่าเรื่อง น่าจะเป็นงาน Sculpture ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา”

 

 

นอกจากมาสเตอร์พีซในล็อบบี้ Mr.P จะไปสร้างรอยยิ้มและความสุขภายในอาคารอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณ Sky Garden ชั้น 23 จะได้เห็น Mr.P ลอยฟ้า และชั้น 15 เจ้าเด็กทะลึ่ง Mr.P ZZZ กำลังหลับน้ำลายยืดเป็นสีทอง พี่สาธิตบอกว่าที่เป็นสีนี้ เพราะอยู่ตึกนี้ขนาดหลับยังเป็นเงินเป็นทอง

 

คาแรกเตอร์ดีไซน์เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน


อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น เหตุผลที่ต้องหยิบ Mr.P กลับมาพูดถึงในฐานะต้นแบบคาแรกเตอร์ดีไซน์ที่สร้างชื่อให้กับคนไทย Mr.P ยังเป็นกรณีศึกษาที่ดีให้กับคนที่อยากรู้ว่า งานดีไซน์ที่ดีไม่ว่าจะเป็นแขนงไหน จะสร้างสรรค์อย่างไรให้อยู่เหนือกระแส เป็นตำนาน และยังได้รับความนิยมในทุกยุคสมัย

 

“ต้องสร้างบทสนทนาระหว่างโปรดักต์ แบรนด์ และผู้บริโภค” พี่สาธิตบอกพร้อมแนะให้ลองศึกษาวิธีการออกแบบ วิธีสร้างธุรกิจของแบรนด์ดังระดับโลก ทำอย่างไรจึงเข้าถึงใจคนทั่วโลกได้

 

 

“สิ่งสำคัญคือต้องมองทะลุเปลือกนอกให้เห็นถึงคุณค่าที่ซ่อนอยู่ ประโยชน์ของโปรดักต์คืออะไร เรื่องราวที่อยู่ในสิ่งเหล่านั้น หาหัวใจของมันให้เจอ เวลาจะสร้างโปรดักต์หรือดีไซน์อะไรสักอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจ ต้องมองจากมุมนี้ ต้องให้มันทำงานในระดับของความรู้สึก แล้วฟอร์มของดีไซน์จะเปลี่ยนตาม”

 

พี่สาธิตย้ำว่า พื้นฐานก็สำคัญ ควรเข้าใจเรื่องสุนทรียภาพ ความงาม จะทำให้มีแต้มต่อในการทำงาน อย่าลืมที่จะจับผิดงานตัวเอง ยิ่งถ้าเราเห็นปัญหาในเนื้องานของเราว่ามันห่วยเพราะอะไร จะทำให้เราพัฒนา

 

“ไม่อยากให้มองอะไรเป็นเทรนด์ ตามเทรนด์มันง่ายเพราะทำให้ขายดีเป็นที่นิยม ถ้าทำจากสิ่งที่เคยมีมาแล้ว แปลว่าเราทำงานบนความกลัว และพยายามที่จะไม่ให้หลุดจากขบวน แต่คนที่โดดเด่นต้องหลุดออกมาให้ได้ ผมชอบคำกล่าวของอาจารย์เกาหลีท่านหนึ่ง เขาบอกว่า การตลาดที่ดีคือ การเดินสวนทาง ไม่ก็ออกนอกลู่วิ่ง ผู้นำในทุกธุรกิจคือคนที่ออกนอกลู่ทั้งนั้น

 

“อย่าไปติดกับเทรนด์ มันจะมีภาพลวงตาว่าสิ่งเหล่านี้คือความถูกต้อง หาตัวตนให้เจอ มองทุกอย่างเป็นแรงบันดาลใจ และอย่าลืมว่าไม่ว่าจะทำอะไร คิดถึงมนุษย์ คิดถึงปัญหาของมนุษย์ หาทางแก้ปัญหาให้มนุษย์ ถ้าทำให้มนุษย์มีความสุขได้ เขาจะซื้อความสุข คุณจะสร้างธุรกิจของคุณได้” พี่สาธิตกล่าวทิ้งท้าย

The post เส้นทางการ ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเป็นตำนาน’ ของ Mr.P เด็กทะลึ่งอารมณ์ดี คาแรกเตอร์ดีไซน์ไทยที่ Go to the Moon ก่อนใคร [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 เหตุผลที่ทำให้ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS เป็นนิทรรศการที่คนรักศิลปะและคนที่อยากเติมแรงบันดาลใจต้องมา! [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/i-am-fine-dive-into-the-lives-of-10-iconic-artists/ Thu, 23 May 2024 03:50:40 +0000 https://thestandard.co/?p=934431

วันที่ 25 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 18.00 น. จะเป็นวันแรกที่น […]

The post 5 เหตุผลที่ทำให้ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS เป็นนิทรรศการที่คนรักศิลปะและคนที่อยากเติมแรงบันดาลใจต้องมา! [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันที่ 25 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 18.00 น. จะเป็นวันแรกที่นิทรรศการ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมฟรี ที่ RBC 1-3 River City Bangkok จนถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2567 

 

นิทรรศการ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS นอกจากจะเป็นนิทรรศการเปิดตัวหนังสือ 10 เล่มของ 10 ศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย ที่ศิลปินเป็นผู้เขียนและร้อยเรียงถ้อยคำเล่าเรื่องราวการเดินทางกว่าจะมาเป็นตัวตนบนผืนผ้าใบของพวกเขาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกแล้ว ยังมีการแสดงผลงานจิตรกรรม และประติมากรรม หลากหลายรูปแบบให้ผู้เข้าชมได้เต็มอิ่มไปกับเรื่องราวซึ่งสะท้อนมุมมองของทั้ง 10 ศิลปินอีกด้วย

 

หลายคนที่ไม่ใช่สายเดินงานอาร์ตอาจลังเลที่จะมาเปิดประสบการณ์ด้านศิลปะที่งานนี้ แต่ด้วยคอนเซปต์งาน จริงๆ แล้วบอกได้เลยว่านิทรรศการนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ควรพลาด ทั้งคนสายอาร์ตที่รักงานศิลปะ นักสะสมงานศิลป์ทุกแนว ไม่เว้นแม้แต่ไอเท็มที่กำลังอยู่ในกระแส ไปจนถึงคนที่อยากได้ไอเดียและแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงานและใช้ชีวิต

 

และนี่คือ 5 เหตุผลที่ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS เป็นนิทรรศการที่คนรักศิลปะและคนที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ยิ่งไม่ควรปล่อยผ่าน! 

 

เป็นเจ้าของหนังสือ เรื่องราวชีวิต 10 ศิลปิน 10 เล่ม 10 แรงบันดาลใจ ก่อนใคร พร้อมส่วนลดเฉพาะในงานเท่านั้น

 

กว่าจะเป็นศิลปินเบอร์ต้นๆ อย่างทุกวันนี้ พวกเขาล้วนมีเส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดา การต่อสู้เพื่อความฝันบนเส้นทางศิลปะ และเรื่องราวเบื้องหลังการสร้างสรรค์ผลงานตั้งแต่เริ่มต้นถึงปัจจุบัน พร้อมสอดแทรกภาพผลงานให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านแต่ละช่วงเวลา ได้ถูกบันทึกลงในหนังสือสร้างแรงบันดาลใจทั้ง 10 เล่มของ 10 ศิลปิน โดยศิลปินเป็นผู้เล่าและร้อยเรียงด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก นั่นหมายความว่า ใครที่มางานนิทรรศการนี้จะได้เป็นคนไทยกลุ่มแรกที่ได้ครอบครองหนังสือสร้างแรงบันดาลใจทั้ง 10 เล่มก่อนใคร 

 

ประทีป คชบัว

ประทีป คชบัว

 

วัชระ กล้าค้าขาย

วัชระ กล้าค้าขาย

 

เก็บไอเดีย หาแรงบันดาลใจ ครบทุกสไตล์งาน 

 

ไม่ว่าคุณจะสนใจงานศิลปะแขนงไหน หรือแม้แต่คนที่ยังหาสไตล์งานที่ชอบไม่เจอ นิทรรศการนี้อาจพาคุณไปพบกับโลกใบใหม่ แรงบันดาลใจใหม่ๆ ไปจนถึงมุมมองการสร้างสรรค์งานศิลปะที่คุณคาดไม่ถึง จากเรื่องราวและผลงานของ 10 ศิลปินที่นำมาจัดแสดง

 

ศิลปินแต่ละท่านล้วนมีสไตล์งานและความโดดเด่นที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ประทีป คชบัว ศิลปินวาดภาพแนวเหนือจริงเบอร์ต้นของไทย ที่หลอมรวมจินตนาการเข้ากับรากฐานวัฒนธรรม สะท้อนผ่านงานศิลปะสุดละเมียดแต่เข้มข้นไปด้วยปรัชญาในชีวิตมนุษย์, วัชระ กล้าค้าขาย ศิลปินผู้มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวงในการวาดภาพเหมือนบุคคลได้งดงามราวกับภาพถ่าย, แดง บัวแสน ศิลปินภาพเหมือนที่สร้างสรรค์ผลงานผ่านศิลปะร่วมสมัยแนวสะท้อนสัจนิยมทางสังคม และแนวความเชื่อในเชิงพุทธศิลป์, ธีธัช ธนโชคทวีพร ศิลปินที่ถ่ายทอดความคิดผ่านงานศิลปะในรูปแบบ Neo Surrealism หรือศิลปะเหนือจริงยุคใหม่ เจ้าของผลงานแรดสีน้ำเงินในชื่อ Mood Selection ที่ถูกซื้อไปติดในโรงแรมที่เยอรมนี 

 

แดง บัวแสน

แดง บัวแสน

 

ธีธัช ธนโชคทวีพร

ธีธัช ธนโชคทวีพร

 

ชัยณรงค์ กองกลิ่น

ชัยณรงค์ กองกลิ่น

 

ชัยณรงค์ กองกลิ่น ศิลปินที่กวาดรางวัลมากมายจากการรังสรรค์ผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ในหลายรูปทรง ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ จงจิตร มูลมาตย์ ศิลปินภาพวาดสีน้ำมันแนวเหนือจริง เจ้าของรางวัลยอดเยี่ยม จากการประกวดจิตรกรรมของธนาคาร UOB, เกียรติอนันต์ เอี่ยมจันทร์ ศิลปินสายวิจิตรศิลป์ที่ประสบความสำเร็จขั้นสุดในศิลปะบนโลกออนไลน์ (NFT) ของไทย, อัญชลี อารยะพงศ์พาณิชย์ ศิลปินหญิงรุ่นใหม่เจ้าของภาพวาดหญิงสาวดวงตากลมโตราวกับการ์ตูนด้วยลายเส้นที่มีอัตลักษณ์จนได้รับเชิญไปจัดแสดงทั่วโลก, ออฟ สมิธ ศิลปินแนว Pop Surrealism ที่มั่นคงทางความคิด และพัฒนางานต่อเนื่องจนผลงานเป็นที่ยอมรับของนักสะสม ทั้งในและต่างประเทศ และ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ ศิลปินรุ่นใหม่ที่มีนักสะสมคอยจับจ้องเป็นเจ้าของผลงานมากที่สุดแห่งยุค 

 

จงจิตร มูลมาตย์

จงจิตร มูลมาตย์

 

เกียรติอนันต์ เอี่ยมจันทร์

เกียรติอนันต์ เอี่ยมจันทร์

 

คนไทยกลุ่มแรกที่ได้เห็นผลงานศิลปะล่าสุดของ 10 ศิลปิน

 

ภายในงานนอกจากจะได้เห็นผลงานชิ้นสำคัญของศิลปินหลักทั้งสิบแล้ว ยังนับเป็นงานแรกที่ผู้เข้าชมจะได้เห็นผลงานล่าสุดของทั้ง 10 ศิลปิน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ จะมีผลงานพิเศษจาก 9 ศิลปินรับเชิญมาจัดแสดงอีกด้วย ส่วนจะเป็นใครบ้างนั้น ขออุบไว้ก่อน เพราะเราอยากให้คนไทยกลุ่มแรกที่ไปชมงานได้โพสต์และแชร์ความเอ็กซ์คลูซีฟนี้ด้วยตัวเอง 

 

อัญชลี อารยะพงศ์พาณิชย์

อัญชลี อารยะพงศ์พาณิชย์

 

ออฟ สมิธ

ออฟ สมิธ

 

วิษณุพงษ์ หนูนันท์

วิษณุพงษ์ หนูนันท์

 

เป็นเจ้าของสินค้าคอลเล็กชันพิเศษที่มีจำหน่ายในงานเท่านั้น

 

ใครที่เป็นสายสะสมยิ่งไม่ควรพลาดกับไอเท็มคอลเล็กชันสุดลิมิเต็ดที่ออกแบบและสร้างสรรค์จาก 8 ศิลปินหลักเพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ และผู้มาร่วมงานยังสามารถเป็นเจ้าของผลงานของศิลปินที่ชื่นชอบบนของสะสมในรูปแบบคาแรกเตอร์ดีไซน์ เช่น หมวก, ร่ม, แก้วมัค, Griptok ฯลฯ ในราคาที่จับต้องได้ และวางจำหน่ายที่งานนี้เท่านั้น

 

 

นอกจากจะได้เป็นเจ้าของสินค้าลิมิเต็ดแล้ว ยังได้ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ และเพื่อนผองที่ชอบงานศิลปะด้วย เพราะหลังจบงานหากมหาวิทยาลัยใดสนใจ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีสอนสาขาด้านศิลปะ สามารถเข้าไปที่ Facebook: TNC.ART ทักอินบ็อกซ์ แจ้งความประสงค์พร้อมชื่อสถาบันและที่อยู่ได้เลย ทางผู้จัดจะส่งหนังสือทั้ง 10 เล่มซึ่งมีจำนวนจำกัดให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีโอกาสสัมผัสและชื่นชมผลงานของศิลปินที่ชื่นชอบต่อไป หรือน้องๆ นักเรียน-นักศึกษาที่สนใจซื้อหนังสือ เพียงแสดงบัตรนักเรียน-นักศึกษาจะได้รับส่วนลดพิเศษ 40% จากราคาเล่มละ 500 บาท เหลือเพียงเล่มละ 300 บาท

 

งานฟรี เอาอะไรมาไม่คุ้ม!

 

ย้ำอีกครั้ง นิทรรศการ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS ชมฟรีตลอดงาน เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้ชมผลงานของ10 ศิลปินเหล่านี้ในงานเดียวแบบไม่มีค่าใช้จ่าย พลาดครั้งนี้โอกาสดีๆ จะมาอีกทีเมื่อไรไม่รู้



นิทรรศการ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS เปิดให้เข้าชมแล้วตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม เวลา 18.00 น. ถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ที่ห้อง RCB 1-3 ชั้น 2 River City Bangkok

 

#IAMFINE #FineartsNeverDie #ศิลปะไม่มีวันตาย #นิทรรศการ10ศิลปิน10เรื่องเล่า #TNCartTH

The post 5 เหตุผลที่ทำให้ I AM FINE ! DIVE INTO THE LIVES OF 10 ICONIC ARTISTS เป็นนิทรรศการที่คนรักศิลปะและคนที่อยากเติมแรงบันดาลใจต้องมา! [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชวนไป Hop into the Greeniverse นิทรรศการสวนลอยฟ้าใจกลางมหานคร ที่ชวนคุณมาสร้างพื้นที่สีเขียวไปด้วยกัน [PR NEWS] https://thestandard.co/hop-into-the-greeniverse/ Mon, 13 May 2024 06:41:03 +0000 https://thestandard.co/?p=932639

ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนที่ทำให้ […]

The post ชวนไป Hop into the Greeniverse นิทรรศการสวนลอยฟ้าใจกลางมหานคร ที่ชวนคุณมาสร้างพื้นที่สีเขียวไปด้วยกัน [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนที่ทำให้โลกใบนี้ต้องเผชิญกับภาวะโลกเดือด ที่นำไปสู่วิกฤตทางธรรมชาติต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ว่าจะสภาพอากาศประเทศไทยที่ร้อนระอุอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฝุ่น PM2.5 ที่ทำร้ายทำลายสุขภาพเราแบบเรื้อรัง หรือกรณีดูไบที่ต้องเผชิญกับพายุฝนรุนแรงหนักที่สุดในรอบ 75 ปี เป็นต้น

 

เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ให้ผู้คน ‘อยู่ใกล้’ กับธรรมชาติ หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม สุขภาพโลกก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินเยียวยา แบรนด์สกินแคร์ผู้นำตลาดด้านความงามจากธรรมชาติ ‘การ์นิเย่ (Garnier)’ จึงผุดไอเดียพิเศษร่วมกับทางกรุงเทพมหานคร เนรมิตสวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse ขึ้นมาใจกลางกรุง เพื่อส่งแรงกระเพื่อมผ่านการสร้างการตระหนักรู้ในปัญหาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

 

สวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse จะตั้งอยู่ระหว่าง ‘ลานใบบัว’ หรือสกายวอล์กที่เชื่อมสี่แยกปทุมวัน ซึ่งถูกยกให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคม 2567

 

สถานที่แห่งนี้จะทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนให้หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม รักษ์โลก ห่วงใยธรรมชาติ ผ่านผลงานที่นำมาจัดแสดง การตกแต่งสถานที่ ตลอดจนประสบการณ์แบบ Interactive & Immersive Experience ที่จะปรากฏขึ้นในยามค่ำคืน เพื่อให้ผู้คนได้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นแบบเข้าถึงได้โดยง่าย คู่ขนานไปกับการทำคอนเทนต์ (เป็นกระบอกเสียงในการกระจายเรื่องราวดีๆ)

 

 

ทำไมต้อง ‘สวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse’?

หลักๆ เลยคือผลสำรวจที่ทางการ์นิเย่ได้ดำเนินการสำรวจกับกลุ่มผู้บริโภคกว่า 20,000 คน พบข้อมูลที่น่าสนใจว่ากว่า 79% ของกลุ่มตัวอย่าง ‘ต้องการ’ ที่จะใช้ชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (ยังทำไม่สำเร็จ) มีเพียง 4% เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตให้ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จริง

 

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้กลุ่มคน 79% ยังไม่ประสบความสำเร็จในการ Go Green ในชีวิตประจำวันก็ด้วยเหตุผลที่มองว่าการต้องปรับเปลี่ยนเป็นเรื่องยุ่งยากและมีต้นทุนสูง

 

ด้วยเหตุนี้เองการ์นิเย่จึงต่อยอด Pain Point และไอเดียที่อยากมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ถนอมโลกให้น่าอยู่ขึ้นมาสู่สวนลอยฟ้าในแบบฉบับของพวกเขา เพื่อเชื้อเชิญทุกคนให้มาเป็น Greener หรือผู้รักษ์และใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วยวิธีการที่ทำได้ง่าย ไม่เปลืองแรง

 

ที่สำคัญยังสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกใบนี้ที่สุขภาพทรุดโทรมลงในทุกๆ วันได้แบบตรงปกไม่จกตา

 

 

ไฮไลต์เด็ดคือ Immersive Experience ยิ่งมาตอนกลางคืนยิ่งตระการตา!

ภายในสวนลอยฟ้า Hop into the Greeniverse ได้ถูกแบ่งพื้นที่ในการจัดแสดงคอนเทนต์ต่างๆ ออกเป็น 5 โซน ได้แก่

 

  1. โซน Blue Green Oasis: โซนที่ได้แรงบันดาลใจจากระบบนิเวศและแหล่งน้ำ โดยสร้างความเข้าใจให้ผู้คนตระหนักว่าพืชและสีเขียวของผืนป่าคือส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์

 

  1. โซน Green Air: โซนที่ถ่ายทอดเรื่องราวคุณภาพอากาศในเมือง กับความตั้งใจในการชวนคนกรุงฯ มาปลูกต้นไม้อย่างน้อยคนละต้นเพื่อสร้างอากาศสะอาดให้เมืองมากกว่า 1.4 กิโลกรัมต่อปี

 

  1. โซน Ecological Diversity: พื้นที่ที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เชื่อมโยงถึงกัน และจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง โดยที่การ์นิเย่เองก็รับรู้ถึงประเด็นนี้ จึงทำให้สินค้าของพวกเขาทุกชนิดไม่มีการทดลองในสัตว์เป็นอันขาด และมากถึง 99% ของส่วนผสมล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุดิบวีแกนแทบทั้งสิ้น

 

  1. โซน Edible Haven: โซนที่ชวนทุกคนมาเป็น Greener หรือพลเมืองรักษ์โลก ผ่านการสร้างการตระหนักรู้ด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ และการผลักดันให้เห็นว่าการใช้ชีวิตเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยแม้แต่น้อย

 

  1. โซน Wellness Retreat: สวนสาธารณะขนาดย่อมที่ให้ผู้คนได้แวะเวียนเข้ามาได้หย่อนใจและตระหนักถึงใจความสำคัญของการมีและปกป้องพื้นที่สีเขียวในเมืองให้ได้มากที่สุด

 

 

และไฮไลต์ที่เด็ดที่สุดของงานที่จะลืมพูดถึงไม่ได้เป็นอันขาดก็คือ การที่การ์นิเย่ได้เนรมิตสวน Hop into the Greeniverse ของพวกเขาในยามค่ำคืนให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถ่ายทอดประสบการณ์แบบ Interactive & Immersive Experience ที่นอกเหนือจากจะได้ถ่ายรูปกับแสงสีเสียงสวยงามแล้ว คุณก็ยังสามารถร่วมกิจกรรม Green Commitment ให้คุณได้เข้าร่วมในพันธกิจรักษ์โลกไปด้วยกัน และอีกกิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการเลือกพื้นที่เขตในกรุงเทพฯ ที่คุณอยากเพิ่มพื้นที่สีเขียวมากที่สุด หลังจบนิทรรศการการ์นิเย่จะนำต้นไม้และดอกไม้กว่า 18,000 ต้น และเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดไปส่งต่อสนับสนุนโครงการสวน 15 นาทีในกรุงเทพฯ และหนึ่งในนั้นอาจจะส่งต่อไปยังเขตที่อยู่ของคุณ

 

 

เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่ครบทั้งในแง่การเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การส่งต่อแรงบันดาลใจของการเป็น Greener ที่ทำให้เราเห็นว่าการรักษ์โลกไม่ใช่เรื่องยาก และการได้ทำคอนเทนต์ สัมผัสประสบการณ์ที่ดีงามที่การ์นิเย่และกรุงเทพฯ ตั้งใจรังสรรค์ขึ้นเท่านั้น เพราะคุณยังได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเมืองแห่งนี้ ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่กระเพื่อมโลกทั้งใบนั่นเอง

 

อย่าลืมไปสัมผัสความสวยงาม ตระการตา และร่วมเป็น Greener ได้ที่สวนลอยฟ้า Garnier Green Beauty: Hop into the Greeniverse ณ ลานใบบัว หรือลานทางเชื่อม MBK-Siam Discovery ระหว่างวันที่ 10-16 พฤษภาคม 2567 (เปิดให้เข้าชมเวลา 11.00-22.00 น.)

 

The post ชวนไป Hop into the Greeniverse นิทรรศการสวนลอยฟ้าใจกลางมหานคร ที่ชวนคุณมาสร้างพื้นที่สีเขียวไปด้วยกัน [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
5 คำถามกับ Daniel Arsham ก่อนมาจัดนิทรรศการ Bangkok 3024 ที่ประเทศไทย https://thestandard.co/daniel-arsham-bangkok-3024/ Thu, 02 May 2024 12:21:08 +0000 https://thestandard.co/?p=929325 Daniel Arsham Bangkok 3024

นิทรรศการ Bangkok 3024 ของศิลปินแห่งยุคชาวอเมริกัน Dani […]

The post 5 คำถามกับ Daniel Arsham ก่อนมาจัดนิทรรศการ Bangkok 3024 ที่ประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Daniel Arsham Bangkok 3024

นิทรรศการ Bangkok 3024 ของศิลปินแห่งยุคชาวอเมริกัน Daniel Arsham ที่กำลังจะเกิดขึ้นวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 นี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในงานระดับโลกที่ตอกย้ำบทบาทของกรุงเทพฯ ในวงการศิลปะที่ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ โดยก่อนที่งานแสดงผลงานศิลปะแบบอิมเมอร์ซีฟจะเกิดขึ้น ทาง THE STANDARD POP ก็ได้มีการสัมภาษณ์กับ Daniel ในรูปแบบ Email Interview เพื่อได้อินไซต์เกี่ยวกับงานนี้

 

 

ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน และคุณกำลังทำโปรเจกต์อะไรอยู่

 

ตอนนี้ผมมาร่วมงาน ‘Venice Biennale ครั้งที่ 60’ ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี

 

ช่วยอธิบายคอนเซปต์นิทรรศการ Bangkok 3024 ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ประเทศไทยหน่อย

 

Bangkok 3024 เกิดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 10 ปีของเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ซึ่งในโอกาสที่เซ็นทรัล เอ็มบาสซีเดินทางมาถึง 1 ทศวรรษเต็ม ด้วยการเดินไปบนเส้นทางสำรวจที่ทั้งท้าทายความคิดและกาลเวลา เพื่อพาทุกคนเดินทางสู่อนาคตในอีก 1,000 ปีข้างหน้า 

 

นิทรรศการครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งก่อนๆ ของคุณอย่างไร? 

 

ผมรวบรวมผลงานหลายชิ้นจากหลากหลายยุคมาไว้ด้วยกันที่นี่ นอกจากนี้พื้นที่แสดงและจัดวางผลงานก็เป็นประสบการณ์พิเศษในตัวของมันเองแล้ว

 

 

คุณคิดว่ากรุงเทพฯ มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ ในโลก เช่น นิวยอร์ก โตเกียว และปารีส?

 

ผมมากรุงเทพฯ ครั้งแรกตอนอายุ 19 ปี ประสบการณ์ที่ผมได้รับทั้งในเมืองและในประเทศไทยส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงกับตัวผม ซึ่งเมื่อคิดถึงการนำผลงานมาแสดงในประเทศไทย ก็ทำให้ผมนึกถึงการมาเยือนประเทศไทยครั้งแรกในปี 1999 ที่แตกต่างไปมาก ผมแน่ใจว่าผมยังจำอะไรได้หลายอย่าง ทั้งกลิ่นอาหารบนถนน รถตุ๊กตุ๊ก วัดวาอาราม หรือการได้อยู่บนเรือที่ล่องไปในแม่น้ำ รวมถึงรถมอเตอร์ไซค์จำนวนมาก

 

อย่างไรก็ตาม ผมพยายามที่จะทำให้งานของผมทำงานกับผู้ชมไม่ว่าที่ไหนในโลก เพื่อให้ผู้คนไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ นิวยอร์ก บราซิล หรือโตเกียว สามารถเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในตัวงานได้ ผลงานทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ตัวงานอ้างอิงถึงซึ่งผู้ชมสามารถเข้าถึงได้

 

อะไรคือสิ่งที่คุณอยากให้ผู้ชมได้รับจากการมาชมนิทรรศการ Bangkok 3024

 

นี่จะเป็นนิทรรศการศิลปะครั้งแรกของผมในกรุงเทพฯ ผมเคยมาดูพื้นที่จัดงานแล้ว ซึ่งเป็นลานเปิดโล่งขนาดใหญ่ และผมคิดมาตลอดว่าจะแบ่งพื้นที่นี้ออกเป็นพื้นที่รับชมเฉพาะบุคคล แกลเลอรี หรือช่องต่างๆ และผมได้เลือกที่จะสร้างซีรีส์กำแพงที่ถูกกัดเซาะ นำมาจัดวางให้ผู้ชมสามารถเดินผ่านเพื่อชมประติมากรรมแต่ละชิ้นซึ่งถูกนำมาจัดวางไว้ในพื้นที่เฉพาะสำหรับแต่ละชิ้น

 

ผมคิดเสมอว่าสถานที่ที่ดีที่สุดในการค้นหางานศิลปะคือที่ที่เราไม่คาดคิด นี่คือจุดที่เราสามารถเห็นปฏิกิริยาตอบรับที่เป็นธรรมชาติที่สุด แทนที่จะรู้สึกเหมือนมาดูงานศิลปะก็จะกลายเป็นความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ซึ่งผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ศิลปะควรจะเป็น

 

ผมคิดว่าศิลปะเป็นการสื่อสารประเภทหนึ่งที่ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดของวัฒนธรรมและภาษา เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเสพได้ และความหมายของมันก็ค่อนข้างเปิดกว้าง ดังนั้นผมจึงมองว่าผลงานของผมเป็นเหมือนบัตรเชิญที่จะชวนทุกคนให้เข้ามามีส่วนร่วมมากกว่าอย่างอื่น 

 

 

ภาพ: Daniel Arsham Studio

 

The post 5 คำถามกับ Daniel Arsham ก่อนมาจัดนิทรรศการ Bangkok 3024 ที่ประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
เบื้องหลัง ‘ปฐมบทใหม่ของความสุข’ ของ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ กับการใช้ศิลปะเล่าเรื่องเพื่อเชิดชูอัตลักษณ์เมืองผ่าน ‘มุมมองของคนเมือง’ สู่งานศิลป์ร่วมสมัย [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/central-nakhon-pathom/ Fri, 05 Apr 2024 10:10:59 +0000 https://thestandard.co/?p=919584 เซ็นทรัล นครปฐม

‘ปฐมบทใหม่ของความสุข’ เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อปลายเดือนมีน […]

The post เบื้องหลัง ‘ปฐมบทใหม่ของความสุข’ ของ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ กับการใช้ศิลปะเล่าเรื่องเพื่อเชิดชูอัตลักษณ์เมืองผ่าน ‘มุมมองของคนเมือง’ สู่งานศิลป์ร่วมสมัย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
เซ็นทรัล นครปฐม

‘ปฐมบทใหม่ของความสุข’ เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ 

 

แน่นอนว่าการสร้างแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางนครปฐมจะเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ขยายศักยภาพเมืองด้านเศรษฐกิจ ศิลปะ และการท่องเที่ยวให้แข็งแกร่ง ภายใต้แนวคิด ‘Imagining Better Futures for All’ หรือ ‘มุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน’ ของเซ็นทรัลพัฒนา  

 

 

ทว่าอีกหนึ่งแก่นแกนที่น่าสนใจคือ การทำงานภายใต้ความเชื่อ ‘Community at Heart’ หรือการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่นด้วยการนำ ‘Local Essence’ มาผสมผสานกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเติบโตและเป็นส่วนหนึ่งไปพร้อมกับชุมชน ตอกย้ำความเป็น Local Essence Advocator ซึ่งจะสังเกตได้ว่าเซ็นทรัลพัฒนาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพื้นที่หรือเปิดศูนย์การค้าใหม่ จะหยิบเอาเอกลักษณ์ของท้องถิ่น วัฒนธรรม และวิถีชีวิตชุมชน มาสะท้อนอัตลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัดผ่านการออกแบบในหลากมิติ

 

เซ็นทรัล นครปฐม ก็เช่นกัน ด้วยแง่งามของความเป็นเมืองเก่าที่มีความร่วมสมัย รุ่มรวยศิลปะและวัฒนธรรม จึงเป็นที่มาของแบรนด์แคมเปญที่ต้องการสร้าง Local Engagement ให้คนเมืองได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดอัตลักษณ์และบอกต่อความภาคภูมิใจของคนในพื้นที่สู่สายตาคนทั่วไป โดยนำศิลปะมาใช้ในการเล่าเรื่องเพื่อเชิดชูอัตลักษณ์เมือง

 

 

ปฐมบทของความสร้างสรรค์  

 

นอกจาก ‘เซ็นทรัลพัฒนา’ จะลงพื้นที่ไปทำความรู้จักกับชุมชนและวิถีชีวิตของคนเมืองเพื่อดึงศักยภาพและอัตลักษณ์เมืองออกมาให้มากที่สุดก่อนจะสร้างศูนย์การค้าในแต่ละจังหวัด

 

วิธีกะเทาะแก่นแท้ในท้องถิ่นออกมาได้ดีที่สุดคือการเล่าผ่าน ‘มุมมองของคนเมือง’

 

เพราะร่องรอยแห่งอดีตที่หลอมรวมให้เมืองเก่าแห่งนี้กลายเป็นเมืองที่มีความร่วมสมัย แก่นแกนของวัฒนธรรมคนเมือง ของดี ของเด่น หรือแม้แต่เรื่องราวความสุขและความภาคภูมิใจ คงไม่มีใครถ่ายทอดได้ดีเท่ากับ ‘คนนครปฐม’ อีกแล้ว

 

Art Collaboration: อัตลักษณ์เมืองมุมใหม่ที่ถูกเล่าผ่าน ‘ตัวอักษร’

 

หนึ่งในโปรเจกต์ที่สื่อสารความตั้งใจของเซ็นทรัลพัฒนาก็คือ โปรเจกต์ ‘Art Collaboration’ ที่เซ็นทรัล นครปฐม ชวนอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ร่วมกันเพนต์งานศิลปะบน Sculpture ตัวอักษรคำว่า เซ็นทรัล นครปฐม เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์เมืองนครปฐมผ่านมุมมองคนรุ่นใหม่ 

 

 

‘นครแห่งปฐมอุดมวัฒน์’ คือชื่อผลงานศิลปะชิ้นนี้ ซึ่งในแต่ละตัวอักษรทำหน้าที่สื่อสารถึงความเป็นศูนย์กลางและศูนย์รวมแห่งความงามและความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมที่เคยมีมาในดินแดนนครปฐม จวบจนการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยก่อให้เกิดวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ซึ่งทับซ้อนมิติกันในดินแดนแห่งนี้ 

 

 

อย่างตัวอักษร ซ.โซ่ ศิลปินนำ ‘องค์พระปฐมเจดีย์’ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมของเมืองมาเป็นลวดลายหลัก ผสมผสานเข้ากับ ‘ส้มโอหวาน’ และ ‘ลูกสาวงาม’ ที่จำมาจากคำขวัญ มาถ่ายทอดผ่านลายวาด Doodle ให้เห็นถึงผลไม้ที่ยิ้มแย้ม งดงาม และการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในเมืองนครปฐม  

 

 

อักษร ท.ทหาร มีลวดลายของพระราชวังสนามจันทร์ สถานที่แห่งประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ตัวแทนความยิ่งใหญ่ สง่างาม และความคลาสสิก ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและตะวันออกได้อย่างลงตัว  

 

อักษร ร.เรือ ศิลปินเลือกวาดปลาสวยงามและปลากัด ของขึ้นชื่อจังหวัดนครปฐม และบ่งบอกถึงเทศกาลประกวดปลาสวยงามซึ่งเป็นเทศกาลประจำปีที่คนเมืองภูมิใจ 

 

 

หรืออักษร ม.ม้า ที่นำเสนอในรูปแบบศิลปะแนว Abstract ชวนให้คนดูตีความเชิงความรู้สึก ความน่าสนใจคือ โทนสีที่ใช้เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งเป็นโทนสีที่สะท้อนถึงสถานที่ที่อุดมไปด้วยพรรณไม้สวยงามนานาชนิด 

 

และเพื่อให้สมกับที่เป็นเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปะชั้นนำของประเทศ ตัวอักษรที่ใช้รังสรรค์งานศิลป์นี้จึงเลือกใช้ฟอนต์หลักของมหาวิทยาลัยศิลปากร เน้นย้ำการนำแก่นแท้ในท้องถิ่นมาใช้ได้อย่างชัดเจน 

 

Artistic Hoarding: ชมเมืองนครปฐมผ่านผนังกั้นโครงการก่อสร้าง

 

ในฐานะเมืองแห่งเรื่องราวและเรื่องเล่าที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โปรเจกต์ตั้งต้นตั้งแต่เริ่มปักหมุดสร้าง ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยคือ ‘Artistic Hoarding’ ซึ่งเปลี่ยนภาพลักษณ์ของผ้าไวนิลที่โอบล้อมพื้นที่ก่อสร้างแบบเดิมๆ ให้กลายเป็นงานศิลปะขนาดใหญ่ที่สร้างความสวยงามให้กับเมืองตลอดระยะเวลาที่ก่อสร้างศูนย์การค้า

 

ทั้ง 14 ชิ้นงานสร้างสรรค์ผ่านมุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรหลากหลายภาควิชา และยังมีผลงานของนักเรียนจากโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมอยู่ด้วย 

 

ปัจจุบันผนังกั้นโครงการก่อสร้างถูกรื้อถอนไปแล้ว และหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้เห็น เลยขอหยิบบางชิ้นงานมาให้ดูกัน 

 

 

ผลงาน ‘Nakhon แดน Paradise’ งานศิลป์ที่นำเสนอความเป็นอยู่ของชาวนครปฐมที่แฝงไปด้วยธรรมชาติ ศูนย์รวมจิตใจและความเจริญพื้นถิ่น เปรียบเสมือนแดนสุขาวดีที่มีความเป็นเอกลักษณ์และทันสมัย 

 

 

ผลงาน ‘Nakhon Pathom Illustrate’ ศิลปินนำเทคนิค Digital Painting มาใช้ โดยหยิบเอาอัตลักษณ์ของนครปฐมมาทำเป็นภาพประกอบ เล่าผ่านข้าวหมูแดงภายใต้ฟอร์มขององค์พระปฐมเจดีย์ 

 

 

ผลงาน ‘The City of Happiness’ แรงบันดาลใจจากความหลากหลายของคนนครปฐม เกิดเป็นวิถีชีวิตที่น่าหลงใหล เช่น ชุมชนคนจีน การละเล่นว่าว อาหารท้องถิ่น สอดแทรกสถานที่สำคัญและของขึ้นชื่อของเมือง หลอมรวมเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองนครปฐม

 

Artist Co-Creation: มองปฐมบทใหม่ของนครปฐมผ่านสายตา นักรบ มูลมานัส’

 

นอกเหนือจากการเล่าเรื่องผ่านมุมมองคนเมืองนครปฐมแล้วนั้น อีกหนึ่งเครื่องมือทรงพลังที่เซ็นทรัลพัฒนาหยิบมาใช้เป็นครั้งแรกสำหรับการเปิด ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม โดยเฉพาะ คือ Artist Co-Creation ชวนศิลปินแห่งยุคมาร่วมเชิดชูอัตตลักษณ์เมืองผ่านการสร้างสรรค์ Key Visual ให้กลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย

 

สำหรับ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ ได้ ‘นักรบ มูลมานัส’ ศิลปินคอลลาจชื่อดังแห่งยุค ที่ถนัดเล่าเรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมผ่านงานศิลปะในรูปแบบ ‘คอลลาจ’ รับหน้าที่ตีความ ปฐมบทใหม่ของความสุข’ 

 

นักรบเลือกร้อยเรียงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่น และอัตลักษณ์เมือง โดยมีกลิ่นอายของอดีตและปัจจุบันเป็นส่วนผสม และสอดประสานเรื่องราวแห่งอนาคตไว้อย่างกลมกลืน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวแห่งปฐมบทใหม่ของความสุขที่เซ็นทรัล นครปฐม แลนด์มาร์กใหม่ของการใช้ชีวิต  

 

 

“จะดีแค่ไหนหากเราสามารถนำคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่แล้วมาต่อยอดให้อยู่ในความสนใจของผู้คน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและกลมกลืนกับชุมชนและสังคม และถ้าสิ่งนี้สามารถนำไปต่อยอดให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ” นักรบเล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน 

 

เสน่ห์ของศิลปะรูปแบบคอลลาจคือ ในทุกรายละเอียดที่ปรากฏในภาพล้วนมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ ทั้ง 6 งานของนักรบก็เช่นกัน เขาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อเล่าความเป็นนครปฐมที่หลอมรวมอัตลักษณ์เมืองตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้อย่างลงตัว 

 

 

#ลึกซึ้งตรึงใจ โชว์เคสที่สุดของความเป็นนครปฐม ต่อยอดแรงบันดาลใจจากแนวคิดการออกแบบ Façade ด้านหน้าอาคารของศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม ที่ใช้อิฐจากแหล่งเดียวกับองค์พระปฐมเจดีย์ และการเลือกใช้โทนสีหลักประจำของศูนย์การค้าให้เป็นโทนสีเดียวกับสีประจำจังหวัด 

 



#พลังแห่งการเรียนรู้ คอมมูนิตี้ของมัลติเจเนอเรชัน ถ่ายทอดแง่มุมของเมืองแห่งมหาวิทยาลัยศิลปะที่เต็มไปด้วยพลังของ Young Spirit ตลอดจนเป็นสถานที่สำหรับคนหลากเจนให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ 

 

 

#เก็บครบทุกรายละเอียดของนครปฐม ศิลปินตีความคำขวัญของจังหวัดมานำเสนอให้อยู่ภายในภาพเดียว 

 



#อนาคตที่สอดประสานกลิ่นอายจากอดีตและปัจจุบัน หยิบแรงบันดาลใจจากอดีตมาเป็นกลิ่นอายในการสร้างสรรค์ พร้อมถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ของชีวิตปัจจุบันที่มุ่งสู่อนาคต 

 

 

#จาก(แรงบันดาล)ใจของศิลปิน ที่มองว่าเราอยู่ในยุคร่วมสมัย มองไปทางไหนก็เห็นรากเหง้าที่ยึดโยงกับรอยทางในอดีต ขณะเดียวกันก็คงอยู่ในปัจจุบันที่กำลังเดินหน้าสู่อนาคต 

 

 

#กาลเวลาแห่งความสุข ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของจังหวัดที่ผูกโยงกับอาณาจักรทวารวดี นอกจากสถาปัตยกรรมแล้ว ‘ดอกบัว’ ยังเป็นตัวแทนอาณาจักรทวารวดี และ ‘ดอกแก้ว’ ก็เป็นดอกไม้ประจำจังหวัด และ ‘ดอกกล้วยไม้’ ยังเป็นดอกไม้ในพื้นที่ซึ่งปลูกเป็นจำนวนมาก และนี่คือองค์ประกอบที่ศิลปินตั้งใจสอดแทรกไว้ในภาพเพื่อเล่าเรื่อง 

 

จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบที่ปรากฏอยู่ในภาพทั้งหมดนั้น ศิลปินเลือกภาพจำของผู้คนที่มีต่อนครปฐม เพื่อเชื่อมโยงคนเมืองให้เกิดความรู้สึกร่วมกัน และภาคภูมิใจไปกับอัตลักษณ์เมืองที่จะสอดแทรกเข้าไปในทุกพื้นที่ของเซ็นทรัล นครปฐม 

 

Artistic Photo Spot: ต่อยอดความสร้างสรรค์ทั่วเมืองนครปฐม  

 

งานศิลป์ร่วมสมัยของนักรบยังทำหน้าที่สื่อสารกับคนเมืองในแนวทางใหม่ๆ ในรูปแบบของ Artistic Photo Spot เป็นวิธีการทักทายเมืองและคนเมืองด้วยภาษาที่สร้างสรรค์ โดยพาศิลปะและความสร้างสรรค์กระจายไปทั่วเมืองนครปฐม  

 

 

Artistic Photo Spot ที่จะนำไปวางไว้ที่ 20 คาเฟ่ชื่อดังทั่วเมืองนครปฐม โดยนำเอาชิ้นงานคอลลาจของศิลปินบางส่วนมาตกแต่ง Artistic Photo Spot ชักชวนให้คนเมืองมาถ่ายรูปโพสต์ลงโซเชียล เป็นการสร้างประสบการณ์ร่วมทั้งโลกออฟไลน์และออนไลน์ และยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในปฐมบทใหม่ของความสุข  

 

 

ถ้าโจทย์ของเซ็นทรัลพัฒนาคือการทำให้ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ เป็นส่วนหนึ่งของเมือง ทำให้ผู้คนได้มีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ เหนือสิ่งอื่นใดคือ คนที่มามีความสุข เหมือนที่เคยพัฒนาพื้นที่ความสุขนี้ให้กับคนทั่วประเทศผ่านศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 40 สาขาทั่วประเทศแล้ว


‘เซ็นทรัล นครปฐม’ ศูนย์การค้าลำดับที่ 42 ของเซ็นทรัลพัฒนา จะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของเซ็นทรัลพัฒนาในฐานะ Place Maker ผู้พัฒนาพื้นที่แห่งอนาคตตัวจริง 

The post เบื้องหลัง ‘ปฐมบทใหม่ของความสุข’ ของ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ กับการใช้ศิลปะเล่าเรื่องเพื่อเชิดชูอัตลักษณ์เมืองผ่าน ‘มุมมองของคนเมือง’ สู่งานศิลป์ร่วมสมัย [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพที่ Andy Warhol และ Jean-Michel Basquiat วาดด้วยกัน คาดการณ์จะถูกประมูลไปสูงถึง 657 ล้านบาท https://thestandard.co/warhol-basquiat-untitled-painting-auction/ Sat, 30 Mar 2024 03:15:52 +0000 https://thestandard.co/?p=917299 Untitled

การร่วมงานสร้างสรรค์ผลงานศิลปะระหว่างสองศิลปินผู้ยิ่งให […]

The post ภาพที่ Andy Warhol และ Jean-Michel Basquiat วาดด้วยกัน คาดการณ์จะถูกประมูลไปสูงถึง 657 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
Untitled

การร่วมงานสร้างสรรค์ผลงานศิลปะระหว่างสองศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค 80 อย่าง Andy Warhol และ Jean-Michel Basquiat ยังคงเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ โดยระหว่างปี 1983-1985 พวกเขาได้รังสรรค์ภาพวาดออกมาด้วยกันถึง 160 ชิ้น ซึ่งผลงานเหล่านี้ถูกนำไปจัดแสดง ณ Fondation Louis Vuitton ในกรุงปารีสมาแล้วเมื่อปีก่อน

 

หนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมที่ Andy Warhol และ Jean-Michel Basquiat วาดด้วยกันกำลังจะถูกนำไปประมูลผ่านองค์กร Sotheby’s โดยภาพนี้เป็นภาพสเกลขนาดใหญ่ที่ใช้ชื่อว่า Untitled จากปี 1984 ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคนิคแบบเซอร์เรียลิสม์อย่าง ‘Exquisite Corpse’ ซึ่งจะเห็นได้ว่าสองศิลปินผลัดกันใส่ภาพศิลปะของตัวเองทับกันลงไปเป็นชั้นๆ เริ่มต้นจาก Andy Warhol ที่วาดภาพถุงมือเบสบอล ไม้เทนนิส และโลโก้อีกมากมาย ในขณะที่ Jean-Michel Basquiat ใส่ภาพฟิกเกอร์และสีอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเขาลงในภาพนี้

 

Untitled นับเป็นหนึ่งในภาพชิ้นโบแดงที่พวกเขารังสรรค์ขึ้นด้วยกัน และกำลังจะได้รับการประมูลเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีในงาน Contemporary Evening Sale ของ Sotheby’s ซึ่งคาดการณ์กันว่าราคาประมูลน่าจะสูงถึง 18 ล้านดอลลาร์ หรือราว 657 ล้านบาท นับว่าเป็นราคาสูงสุดในซีรีส์ภาพวาดของพวกเขา

 

Andy Warhol ร่วมงานกับศิลปินรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่าถึง 32 ปีอย่าง Jean-Michel Basquiat เป็นครั้งแรกในปี 1983 กับโปรเจกต์ที่มีศิลปินชาวอิตาเลียนอีกคนอย่าง Francesco Clemente ร่วมด้วย และหลังจากเสร็จสิ้นโปรเจกต์นี้แล้ว ทั้งสองก็ตัดสินใจสร้างสรรค์ผลงานเคียงข้างกันต่อไปโดยวาดภาพด้วยกันแทบจะทุกวันจนถึงปี 1985 ซึ่งขณะนั้น Andy Warhol ผ่านจุดพีคของเส้นทางอาชีพการเป็นอาร์ทิสต์ผู้บุกเบิกศิลปะแบบป๊อปอาร์ตแห่งยุค 60 มาแล้ว และการที่เขาได้มาทำงานกับ Jean-Michel Basquiat ก็เป็นเสมือนการจุดประกายให้เขากลับมาหลงรักการวาดภาพโดยใช้เทคนิคการวาดด้วยมือแบบดั้งเดิมบนสเกลใหญ่อีกครั้ง และยังทำให้เขาฉีกแนวศิลปะของตัวเองด้วย ในขณะที่ Jean-Michel Basquiat ก็ชื่นชม Andy Warhol ในฐานะศิลปินที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกของศิลปะและป๊อปคัลเจอร์มาโดยตลอด

 

ภาพ: Sotheby’s

อ้างอิง:  

The post ภาพที่ Andy Warhol และ Jean-Michel Basquiat วาดด้วยกัน คาดการณ์จะถูกประมูลไปสูงถึง 657 ล้านบาท appeared first on THE STANDARD.

]]>
ภาพหมีขั้วโลกนอนหลับบนยอดภูเขาน้ำแข็งชนะรางวัลภาพถ่ายพิพิธภัณฑ์ Natural History Museum https://thestandard.co/a-polar-bear-sleeping-on-top-of-an-iceberg/ Tue, 13 Feb 2024 10:18:54 +0000 https://thestandard.co/?p=899235 หมีขั้วโลกนอนหลับบนยอดภูเขาน้ำแข็ง

พิพิธภัณฑ์ Natural History Museum ของกรุงลอนดอน ประกาศผ […]

The post ภาพหมีขั้วโลกนอนหลับบนยอดภูเขาน้ำแข็งชนะรางวัลภาพถ่ายพิพิธภัณฑ์ Natural History Museum appeared first on THE STANDARD.

]]>
หมีขั้วโลกนอนหลับบนยอดภูเขาน้ำแข็ง

พิพิธภัณฑ์ Natural History Museum ของกรุงลอนดอน ประกาศผู้ชนะรางวัล People’s Choice Awards สาขา Wildlife Photography ประจำปี โดยผู้ที่ชนะรางวัลในปีนี้ก็คือ Nima Sarikhani ช่างภาพชาวบริติช ด้วยภาพที่มีชื่อว่า ‘Ice Bed’

 

ทางองค์กรได้ทำการคัดเลือกภาพจากผู้แข่งขันมากกว่า 50,000 รายที่ส่งภาพถ่ายสัตว์โลกเข้าชิงรางวัลให้เหลือ 25 รายที่เข้ารอบ ก่อนที่จะเลือกผู้ชนะในที่สุด ซึ่ง Nima Sarikhani คือช่างภาพที่สามารถคว้ารางวัล Wildlife Photograhpher of the Year ไปได้สำเร็จ ด้วยภาพหมีขั้วโลกที่กำลังนอนหลับอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็งอย่างเดียวดาย ซึ่งในภาพจะเห็นถึงระดับน้ำที่ท่วมสูงจนอยู่ไม่ห่างจากเจ้าหมีน้อยเท่าไรนัก อันเป็นดั่งเครื่องย้ำเตือนให้คนทั่วโลกรับรู้ถึงปัญหาของอุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนไป และกำลังส่งผลร้ายให้กับสิ่งแวดล้อมและโลกของเราอย่างต่อเนื่อง

 

Nima Sarikhani ถ่ายภาพ Ice Bed ระหว่างใช้เวลาอยู่ที่หมู่เกาะ Svalbard ประเทศนอร์เวย์ โดยเธอพูดถึงภาพนี้ว่า “ภาพนี้สร้างความรู้สึกสะเทือนใจอย่างหนักให้กับหลายคนที่ได้เห็นมัน ในขณะที่อุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนไปคือปัญหาใหญ่ที่เรากำลังต้องเผชิญ แต่ฉันหวังว่าภาพนี้จะทำให้เกิดความหวังขึ้นมาด้วยว่าเรายังคงมีเวลาให้แก้ไขสิ่งที่เราก่อเอาไว้”

 

โดยผู้อำนวยการแห่ง Natural History Museum อย่าง Douglas Gurr ได้นิยามภาพ Ice Bed ว่าเป็นภาพที่ ‘สะเทือนอารมณ์’ พร้อมกับเสริมว่า “มันทำให้เราได้เห็นความสวยงามและความเปราะบางของโลกของเรา” ซึ่งนอกจากภาพที่ชนะรางวัลในปีนี้ ยังมีภาพที่น่าประทับใจอื่นๆ ทั้งภาพเต่าที่ดูเหมือนว่ากำลังยิ้มแย้มกับแมลงปอที่มาเล่นอยู่บนจมูกของมัน, ภาพฝูงนกที่บินรวมตัวกันอยู่บนท้องฟ้าแห่งกรุงโรมจนกลายเป็นภาพคล้ายนกยักษ์ และภาพสิงโตตัวเมีย 2 ตัวที่กำลังเลียลูกสิงโตน้อยด้วยความรักในเขตที่ราบแห่งเคนยา

 

ภาพ: Nima Sarikhani

อ้างอิง:

The post ภาพหมีขั้วโลกนอนหลับบนยอดภูเขาน้ำแข็งชนะรางวัลภาพถ่ายพิพิธภัณฑ์ Natural History Museum appeared first on THE STANDARD.

]]>