Semiconductor – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 23 Aug 2024 06:34:00 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มาเลเซียคาด GDP ปีนี้โต 5% หนุนจากเซมิคอนดักเตอร์, Data Center และท่องเที่ยว https://thestandard.co/malaysia-gdp-growth-forecast-5-percent/ Sun, 18 Aug 2024 03:56:12 +0000 https://thestandard.co/?p=972392 มาเลเซีย GDP

มาเลเซียคาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเ […]

The post มาเลเซียคาด GDP ปีนี้โต 5% หนุนจากเซมิคอนดักเตอร์, Data Center และท่องเที่ยว appeared first on THE STANDARD.

]]>
มาเลเซีย GDP

มาเลเซียคาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีนี้จะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการคาดการณ์ เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการส่งออกกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกในไตรมาสที่ 2

 

ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา GDP ของมาเลเซียเพิ่มขึ้น 5.9% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.9% จากช่วง 3 เดือนก่อนหน้า

 

Abdul Rasheed Ghaffour ผู้ว่าการธนาคาร Negara Malaysia กล่าวว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียมีแนวโน้มที่จะขยายตัวที่ระดับสูงสุดของช่วงการคาดการณ์ของธนาคารกลางที่ 4-5% ในปีนี้

 

นี่เป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ที่การเติบโตของเศรษฐกิจสูงกว่าการประมาณการล่วงหน้า และสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

การลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และความเฟื่องฟูของศูนย์ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังช่วยกระตุ้นการขยายตัว การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนแรกของปีเกินกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019 ก่อนการระบาดของโควิด ช่วยกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน

 

ก่อนหน้านี้มาเลเซียตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางด้านการออกแบบชิปของภูมิภาค ขณะที่ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกที่แข็งแกร่งขึ้นมีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าของมาเลเซียในปี 2024

 

Abdul Rasheed Ghaffour กล่าวว่า แรงกดดันจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่รัฐบาลอนุญาตให้ราคาดีเซลพุ่งสูงขึ้นในเดือนมิถุนายน เนื่องจากได้เปลี่ยนไปใช้ความช่วยเหลือแบบกำหนดเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจะสามารถจัดการได้

 

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การลดลงของการขนส่งไปยังประเทศจีนมีส่วนทำให้การเติบโตของการส่งออกของมาเลเซียอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ในเดือนมิถุนายน

 

ด้าน Citigroup Inc. ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของประเทศเป็น 5.2% สูงกว่าคาดการณ์เฉลี่ยของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 4.5% ในปีนี้

The post มาเลเซียคาด GDP ปีนี้โต 5% หนุนจากเซมิคอนดักเตอร์, Data Center และท่องเที่ยว appeared first on THE STANDARD.

]]>
Huawei มั่นใจ การลงทุนพัฒนาคลาวด์ในไทย 5.5 พันล้านบาทเดินหน้าต่อ แม้การเมืองสะดุด https://thestandard.co/huawei-5-5-billion-cloud-thailand/ Thu, 15 Aug 2024 12:47:23 +0000 https://thestandard.co/?p=971579

สืบเนื่องจากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้ เศรษฐา ทวีสิน […]

The post Huawei มั่นใจ การลงทุนพัฒนาคลาวด์ในไทย 5.5 พันล้านบาทเดินหน้าต่อ แม้การเมืองสะดุด appeared first on THE STANDARD.

]]>

สืบเนื่องจากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นสภาพนายกรัฐมนตรี ความมั่นใจในการทำธุรกิจในไทยทั้งธุรกิจท้องถิ่นและต่างประเทศก็เริ่มกลายเป็นคำถามที่หลายฝ่ายให้ความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะกับต่างชาติที่อยากเห็นการเมืองมั่นคงเพื่อความแน่นอนและต่อเนื่องเชิงนโยบายต่างๆ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความท้าทายดังกล่าวกับบริษัทเอกชนต่างประเทศอย่าง Huawei พวกเขากลับมองว่าเหตุการณ์ที่แม้จะใหญ่ในระยะสั้นนี้ไม่ได้กระทบต่อความมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทยต่อ

 

“วิสัยทัศน์การลงทุนของเราในประเทศไทยคือการมองแบบระยะยาว ดังนั้นแผนของเราจะยังคงอยู่เช่นเดิม ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาบุคลากรไทยให้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีผ่านความร่วมมือกับบริษัทและมหาวิทยาลัยในไทย” เดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

 

ด้าน ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ยืนยันว่านโยบายการใช้เทคโนโลยีคลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) จะยังคงเดินหน้าต่อไป เนื่องจากกระทรวงได้รับงบประมาณมาแล้ว ซึ่งนโยบายนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของประเทศไทยหลายด้าน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพบริการสาธารณะและสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมในทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ธุรกิจ และสถาบัน

 

“เราจะทำนโยบาย Cloud First ต่อแน่ ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลเราก็จะยังเดินหน้าผลักดันสร้างประโยชน์ให้กับคนไทยผ่านการใช้คลาวด์” ประเสริฐกล่าว

 

สำหรับความหนักแน่นในการลงทุน Huawei ได้ลงทุน 5.5 พันล้านบาท ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ตั้งแต่ปี 2561 โดย Huawei Cloud มีอัตราการเติบโตของธุรกิจคลาวด์มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ้นสุดปี 2566 สามารถโตขึ้นมากถึง 220% ซึ่งไทยก็เป็นตลาดสำคัญติด 5 อันดับแรกของ Huawei และยังเป็นประเทศแรกในโลกที่ Huawei ออกมาตั้ง Data Center ถึง 3 แห่งนอกประเทศจีน

 

นอกจากนี้เดวิดมองถึงการลงทุนในไทยว่ามีโอกาสจะเพิ่มเม็ดเงินลงทุนอีกหากตลาดเติบโต “ประเทศไทยคือตลาดสำคัญสำหรับ Huawei มาตลอด ตั้งแต่เริ่มแรกที่เราเข้ามาลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม และส่วนหนึ่งก็มาจากยุทธศาสตร์ความร่วมมือในระดับประเทศที่ทั้งจีนและไทยมีร่วมกันมาอย่างยาวนาน”

 

แจ็กเกอลีน สือ ประธานฝ่ายการตลาดและบริการจัดจำหน่ายระดับโลกของ Huawei Cloud เล่าว่า การลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ของคนไทยในตอนนี้ก็เป็นส่วนสำคัญ เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจ โดยหนึ่งในโครงการชื่อว่า ASEAN Academy (Thailand) ได้ฝึกอบรมบุคลากรแล้วกว่า 9.62 หมื่นคน ตั้งแต่ปี 2563

 

ในระยะยาวประเทศไทยตั้งเป้าจะพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลให้ได้ถึง 5 แสนคน ซึ่ง Huawei ก็กำลังเข้ามามีบทบาทในการช่วยเสริมช่องว่างส่วนนี้ของไทย

 

นอกจากนี้ Huawei ยังได้เปิดตัวการแข่งขัน Spark Startup ร่วมกับรัฐบาลและพันธมิตร เพื่อดึงดูดธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 120 ราย พร้อมให้การสนับสนุนด้านเทคนิค ทุน การขยายตลาด และการสนับสนุนการดำเนินงาน

The post Huawei มั่นใจ การลงทุนพัฒนาคลาวด์ในไทย 5.5 พันล้านบาทเดินหน้าต่อ แม้การเมืองสะดุด appeared first on THE STANDARD.

]]>
การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของ Intel: เมื่อผู้นำชิปโลกพลาดโอกาสในยุค AI ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดและศรัทธาที่ดิ่งลงของนักลงทุน https://thestandard.co/intel-survival-ai-era-challenges/ Sun, 11 Aug 2024 11:01:46 +0000 https://thestandard.co/?p=970114

Intel กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาส […]

The post การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของ Intel: เมื่อผู้นำชิปโลกพลาดโอกาสในยุค AI ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดและศรัทธาที่ดิ่งลงของนักลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

Intel กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่น่าผิดหวัง ยอดขายที่ลดลงในตลาดสำคัญ และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนเพื่อพลิกโฉมการผลิต ทำให้ Intel ต้องดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการปลดพนักงาน 15% ของทั้งหมด ลดค่าใช้จ่ายด้านทุนสำหรับการสร้างและติดตั้งโรงงานผลิต และระงับการจ่ายเงินปันผลที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 1992

 

การปรับโครงสร้างครั้งล่าสุดนี้นำไปสู่การเทขายหุ้น Intel อย่างหนัก ราคาหุ้นลดลงกว่า 25% ในวันถัดจากการรายงานผลประกอบการเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และลดลงอีก 8% นับตั้งแต่นั้น ทำให้มูลค่าหุ้น Intel ลดลงถึง 68% นับตั้งแต่ Pat Gelsinger ซีอีโอ ประกาศแผนฟื้นฟูบริษัทในช่วงต้นปี 2021 ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 39% ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

วิกฤตครั้งนี้ของ Intel เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยปัญหาหลักคือยอดขายที่ลดลงในตลาดสำคัญๆ โดยเฉพาะธุรกิจ Data Center ที่เคยเฟื่องฟูได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่งอย่าง AMD ในส่วนของ CPU สำหรับเซิร์ฟเวอร์ และ NVIDIA ในส่วนของ GPU ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 

 

ยอดขายในส่วน Data Center ของ Intel คาดว่าจะอยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากจุดสูงสุดเมื่อ 4 ปีก่อน

 

ที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดไปสู่การลงทุนใน AI และ NVIDIA โดยเฉพาะ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ Intel คาดการณ์ไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนที่วางแผนทุ่มเงินมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ทันกับ TSMC คู่แข่งจากไต้หวัน แต่ความพยายามดังกล่าวยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ส่งผลให้โรงงานผลิตของ Intel ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ และเกิดค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

 

Chris Caso จาก Wolfe Research กล่าวว่า “ปัญหาในมุมมองของเราคือ Data Center ที่เน้นใช้เซิร์ฟเวอร์ซึ่ง Intel สร้างโรงงานผลิตเพื่อรองรับนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ถูกแทนที่ด้วยการใช้จ่ายด้าน AI ที่ Intel พลาดไป”

 

จุดนี้เองทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มหมดความเชื่อมั่นใน Intel สะท้อนจากราคาหุ้นของบริษัทได้ร่วงลงต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนให้คุณค่ากับ Intel น้อยกว่ามูลค่าของสินทรัพย์ที่มีอยู่จริง

 

นักวิเคราะห์มีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับทิศทางที่ Intel ควรดำเนินต่อไป บางคนคิดว่าบริษัทควรเน้นที่การฟื้นฟูความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ แม้ว่าจะต้องแลกกับการเสียสละธุรกิจ Foundry ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ซึ่งดูแลในเรื่องการผลิตชิปของบริษัท 

 

ในขณะที่บางคนคิดว่าบริษัทควรเน้นที่การหาลูกค้ารายใหญ่เพิ่มเติมสำหรับธุรกิจ Foundry เนื่องจากโอกาสในการแข่งขันในตลาดสำคัญๆ เช่น GPU สำหรับ Data Center ดูริบหรี่

 

ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใด การฟื้นตัวของ Intel คงต้องใช้เวลา และการตัดเงินปันผลก็ทำให้นักลงทุนยิ่งรู้สึกไม่มั่นคง อย่างไรก็ตาม บทบาทสำคัญของ Intel ในอุตสาหกรรมที่ถือว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงของชาติอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงบริษัทไว้ได้ 

 

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุน Intel ผ่าน CHIPS Act ด้วยเงินทุนกว่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยในการสร้างโรงงานผลิตใหม่ในรัฐแอริโซนาและโอไฮโอ ซึ่งอาจเป็นเครื่องยืนยันว่ารัฐบาลไม่ต้องการให้ปัญหาของ Intel ลุกลามจนถึงขั้นวิกฤต และอาจเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ของ Intel ในตอนนี้

 

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะ Intel ยังคงเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ โดยโรงงานผลิตปัจจุบันของบริษัทคิดเป็นประมาณ 41% ของกำลังการรผลิตชิปที่ใช้กันมากที่สุดในตลาดหลักๆ

 

Caso ตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อพิจารณาถึงความอ่อนไหวต่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ เราไม่เชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปล่อยให้ปัญหาของ Intel ลุกลามจนถึงขั้นวิกฤตได้”

 

อนาคตของ Intel ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ บริษัทต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกครั้ง

 

อ้างอิง:

The post การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของ Intel: เมื่อผู้นำชิปโลกพลาดโอกาสในยุค AI ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดและศรัทธาที่ดิ่งลงของนักลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
HP เล็งย้ายฐานผลิตมาไทย! ปมภูมิรัฐศาสตร์ สร้างปรากฏการณ์บิ๊กเทค ทั้ง Dell, Apple และ Microsoft เร่งกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนมายังอาเซียน https://thestandard.co/hp-thailand-production-relocation/ Thu, 08 Aug 2024 13:52:45 +0000 https://thestandard.co/?p=969191 HP

หากยังจำกันได้ เมื่อปลายปีที่แล้วเริ่มมีกระแสข่าวว่า HP […]

The post HP เล็งย้ายฐานผลิตมาไทย! ปมภูมิรัฐศาสตร์ สร้างปรากฏการณ์บิ๊กเทค ทั้ง Dell, Apple และ Microsoft เร่งกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนมายังอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
HP

หากยังจำกันได้ เมื่อปลายปีที่แล้วเริ่มมีกระแสข่าวว่า HP จะย้ายฐานการผลิตคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหลายล้านเครื่องมายังไทย และส่วนหนึ่งจะไปยังเม็กซิโก ทว่าความร้อนแรงของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งคู่ขัดแย้งอย่างจีนและไต้หวัน และสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ยิ่งทำให้หลายๆ บริษัทเทคมองหาฐานผลิตนอกประเทศจีน โดยล่าสุดมีรายงานข่าวระบุว่า ไทยคือเป้าหมายที่ HP จะกระจายห่วงโซ่อุปทานจากจีนมากกว่า 50%

 

ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานที่เร่งตัวขึ้นจากจีน และนับเป็นการเปลี่ยนแปลงจากจุดยืนที่สนับสนุนการผลิตในจีนมาหลายทศวรรษ หลังจากที่บริษัทและซัพพลายเออร์สร้างเครือข่าย จนในที่สุดก็เปลี่ยนเมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเมืองดังในจีนแผ่นดินใหญ่ให้กลายเป็นแหล่งผลิตและส่งออก PC ชั้นนำของโลกมาหลายสิบปี

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

รายงานข่าวระบุว่า HP ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งมีฐานผลิตใหญ่ในจีน อยู่ระหว่างวางแผนย้ายการผลิตคอมพิวเตอร์มากกว่าครึ่งหนึ่งออกจากจีน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จีนและไต้หวัน

 

โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างหารือกับซัพพลายเออร์ต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายภายใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทตั้งเป้าจะผลิตคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปมากกว่า 70% นอกประเทศจีน และเวลานี้กำลังมองฐานผลิตใหม่ไปที่ประเทศไทย

 

โดยแหล่งข่าวอ้างว่า HP กำลังทุ่มเงินลงทุนสร้างศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ในไทย เนื่องจากบริษัทมองว่าโรงงานที่มีอยู่แล้วในประเทศอื่นๆ ในอาเซียนไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ซึ่งในขณะนี้ HP มีซัพพลายเออร์ 5 ราย ที่กำลังตั้งโรงงานผลิตหรือคลังสินค้าแห่งใหม่ในไทย โดย 2 รายกำลังเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น

 

นอกจากย้ายสายการผลิตมายังไทยแล้วก็อยู่ระหว่างสร้างทีมสำรองในสิงคโปร์ เพื่อแทนศูนย์ออกแบบในไต้หวัน ซึ่งจะทำหน้าที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดการห่วงโซ่อุปทาน มีรายงานว่า HP จะจ้างพนักงานด้านวิศวกรรม ผู้เชี่ยวชาญห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงวิศวกรไฟฟ้าและวิศวกรเครื่องกลจากสิงคโปร์อีกประมาณ 200 คน

 

สำหรับ HP มียอดจำหน่าย PC ประมาณ 52 ล้านเครื่อง และกลายเป็นผู้จำหน่าย PC รายใหญ่อันดับ 2 รองจาก Lenovo โดย HP พึ่งพาจีนในด้านการผลิตมาอย่างยาวนาน และพัฒนาเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่แข็งแกร่งในจีน

 

แหล่งข่าวระบุอีกว่า ผู้บริหารระดับสูงของ HP หลายคนแสดงความกังวลถึงซัพพลายเออร์ในจีน ซึ่งอยู่ท่ามกลางสงครามการค้า ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นทั้งไต้หวันและสหรัฐฯ รวมถึงการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่กำลังเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง

 

นอกจาก HP แล้ว ยังมีบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หลายแห่ง รวมถึง Dell, Apple และ Microsoft ก็ได้กระจายห่วงโซ่อุปทานจากจีนเพื่อกระจายความเสี่ยง และเริ่มย้ายการผลิต PC บางส่วนไปยังอาเซียนแล้ว

 

Jiu Zifang นักวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทานจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจไต้หวัน วิเคราะห์ว่า ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในปีนี้มีความยืดหยุ่นอย่างมาก โดยสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน และเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในไต้หวัน ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเป็นเวลาหลายเดือน เป็นประเด็นร้อนที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น

 

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ต่างเฝ้าจับตาดูแนวโน้มที่อาจเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกด้วย

 

“เพราะหากสหรัฐฯ ยกระดับการคุมเข้มการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีนมากยิ่งขึ้น ความเสี่ยงในการผลิตหรือประกอบ PC ที่รองรับระบบ AI ก็ยิ่งมีความเสี่ยง ดังนั้น การเร่งเปลี่ยนฐานการผลิต PC จากจีน เพื่อลดความเสี่ยงจากกฎควบคุมส่งออกของสหรัฐฯ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ และอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หลายบริษัทเร่งพิจารณาการกระจายฐานผลิตอย่างรอบคอบ”

 

อ้างอิง:

The post HP เล็งย้ายฐานผลิตมาไทย! ปมภูมิรัฐศาสตร์ สร้างปรากฏการณ์บิ๊กเทค ทั้ง Dell, Apple และ Microsoft เร่งกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนมายังอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF เผยกำไร 6 เดือนแรก โต 22% เป็น 8.2 พันล้านบาท หนุนจากโรงไฟฟ้าใหม่และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH https://thestandard.co/gulf-22-percent-profit-growth/ Thu, 08 Aug 2024 12:29:35 +0000 https://thestandard.co/?p=969162 GULF

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF รายงานกำไ […]

The post GULF เผยกำไร 6 เดือนแรก โต 22% เป็น 8.2 พันล้านบาท หนุนจากโรงไฟฟ้าใหม่และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF รายงานกำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 64.3% เป็น 4,731 ล้านบาท ช่วยให้กำไร 6 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 22.3% เป็น 8,240 ล้านบาท 

 

แม้ว่ารายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 2 จะทรงตัวจากทั้งไตรมาสแรกและจากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้ 6 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 7.3% เป็น 64,896 ล้านบาท 

 

สาเหตุที่กำไรของ GULF เติบโตอย่างโดดเด่น แม้ว่ารายได้รวมจะไม่ได้เติบโตสูงมากนัก เป็นเพราะส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า โดยเฉพาะในส่วนของ INTUCH ที่ส่งกำไรให้กับ GULF จำนวน 3,197 ล้านบาท ซึ่งได้แรงหนุนจากผลประกอบการของ AIS ที่ดีขึ้น 

 

นอกจากนี้ กำไรของ GULF ที่เพิ่มขึ้นยังได้แรงหนุนจากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 2-3 ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์

 

ทั้งนี้ รายได้ของ GULF ในปัจจุบันในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ แบ่งเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ 

 

  1. ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ มีรายได้ 57,924 ล้านบาท +7.2%YoY
  2. ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีรายได้ 1,523 ล้านบาท +48.2%YoY
  3. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค มีรายได้ 2,162 ล้านบาท +0.0%
  4. ธุรกิจดาวเทียม มีรายได้ 1,247 ล้านบาท -9.3%YoY
  5. รายได้ค่าบริหารจัดการ มีรายได้ 335 ล้านบาท -9.4%YoY 
  6. รายได้อื่น มีรายได้ 1,705 ล้านบาท +11.3%YoY

 

ด้าน ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF

กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการอื่นๆ ของบริษัทที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังเป็นไปตามแผน 

 

โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 และจะเริ่มก่อสร้าง LNG Terminal ในช่วงกลางปี 2568 ในขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเรือในปลายปี 2568 ในส่วนของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองนั้น สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 2568 ขณะที่สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 2569

 

ส่วนของธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (Data Center) ของกลุ่มบริษัทอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเฟสแรกซึ่งมีขนาด 25 เมกะวัตต์ มีแผนเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 โดยบริษัทมีแผนขยายศูนย์ข้อมูลดังกล่าวเพิ่มอีก 25 เมกะวัตต์ในเฟสที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกัน รวมเป็น 50 เมกะวัตต์ โดย GSA DC จะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด และได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล (Cloud Computing) ด้วย โดยกลุ่มลูกค้าหลักของ GSA DC จะเป็นกลุ่ม Hyperscalers Enterprise และหน่วยงานรัฐบาล 

 

ส่วนธุรกิจ Cloud ที่บริษัทร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ องค์กรที่ต้องการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ โดยผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ Cybersecurity

 

สำหรับประเด็นการควบรวมบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH นั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/68

The post GULF เผยกำไร 6 เดือนแรก โต 22% เป็น 8.2 พันล้านบาท หนุนจากโรงไฟฟ้าใหม่และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโดนีเซียผงาด! GDP พุ่งเกินคาด 5.05% เผยอีก 10 ปี เศรษฐกิจอาเซียนโตแรงแซงจีน https://thestandard.co/indonesia-gdp-grew-5-05-percents/ Mon, 05 Aug 2024 12:26:50 +0000 https://thestandard.co/?p=967546 อินโดนีเซีย

ท่ามกลางโลกที่เผชิญความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยง ทั้งแรงกดด […]

The post อินโดนีเซียผงาด! GDP พุ่งเกินคาด 5.05% เผยอีก 10 ปี เศรษฐกิจอาเซียนโตแรงแซงจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
อินโดนีเซีย

ท่ามกลางโลกที่เผชิญความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยง ทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกชะลอ ภูมิรัฐศาสตร์ ในบรรดาเพื่อนบ้าน  อินโดนีเซีย ก็ยังครองเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ในเอเชีย-แปซิฟิก รั้งเบอร์ 1 ในอาเซียน ด้วยเศรษฐกิจที่พึ่งพาการใช้จ่ายในประเทศเป็นหลัก และคาดว่าทั้งปี ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตแข็งแกร่งตามเป้าที่ 5.2%

 

ขณะเดียวกัน The Southeast Asia Outlook 2024-2034 ระบุว่า อีก 10 ปี เศรษฐกิจอาเซียนจะเติบโตแซงหน้าจีน ด้วยแรงกดดันด้านภูมิศาสตร์ การเมือง และภาษีศุลกากร จากปรากฏการณ์สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามายังอาเซียน

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

Bloomberg รายงานว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติอินโดนีเซียเปิดเผย GDP ไตรมาส 2 (เดือนเมษายน-มิถุนายน) ขยายตัว 5.05% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าคาดการณ์การเติบโตจากการสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg ที่คาดว่าจะมีตัวเลขเฉลี่ยที่ 5%

 

ทั้งนี้ นับว่าเป็นการขยายตัวสูงเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันที่เศรษฐกิจขยายตัวเกิน 5%

 

ปัจจัยหลักที่ทำให้การเติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาจากเศรษฐกิจภายในประเทศ สะท้อนจากความยืดหยุ่นของการบริโภคภาคครัวเรือนท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่ยังสูง ประกอบกับการส่งออกที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และการกระตุ้นทางการคลังยังช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคต่อเนื่อง

 

ซึ่งอาจสนับสนุนให้ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ได้อีกระยะหนึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพของสกุลเงิน (รูเปียห์) ก่อนที่จะเริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในช่วงปลายปีนี้หรือปีหน้า

 

นอกจากนี้ ตัวเลข GDP ไตรมาสนี้จะส่งผลให้ประเทศเดินหน้าตามเป้าหมายการเติบโตของ GDP ทั้งปีที่ 5.2%โดยรัฐบาลระบุว่าอุปสงค์ภายในประเทศยังแข็งแกร่ง การใช้จ่าย การบริโภคในประเทศ การลงทุน และการส่งออก จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจต่อไปในช่วงที่เหลือของปีนี้

 

อาเซียนเนื้อหอม คาดอีก 10 ปี โตแรงแซงจีน 

 

ขณะเดียวกันรายงานข้อมูลจาก The Southeast Asia Outlook 2024-2034 ซึ่งร่วมกันจัดทำโดย Angsana Council, Bain & Company และ DBS Bank ระบุว่า คาดการณ์ว่าในทศวรรษหน้าเศรษฐกิจอาเซียนจะมี GDP และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แซงหน้าจีน

 

นำโดย GDP อาเซียน 6 ประเทศหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.1% โดยเวียดนามและฟิลิปปินส์จะเป็นประเทศขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาคที่ 6% ไปจนถึงปี 2034 แซงหน้าเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะเติบโตช่วง 3.5-4.5% ภายใต้ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง

 

Charles Ormiston หุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง Bain & Company วิเคราะห์ว่า ปัจจัยหลักมาจากแรงกดดันทางการเมืองและภาษีศุลกากรของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้ง GDP และ FDI

 

“การเติบโตภายในประเทศที่แข็งแกร่งควบคู่ไปกับทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ”

 

ทั้งนี้ แม้อาเซียนพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจจากจีนเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าประเด็นที่น่าติดตามระยะต่อไปคือ อาเซียนต้องรับมือกับปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันมากขึ้น

 

นำไปสู่ความท้าทายและการแข่งขันของแต่ละประเทศที่พยายามปรับโครงสร้างการผลิตสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น การผลิตเพื่อการส่งออกบรรจุภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ และดึงดูดการลงทุน Data Center การลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อมุ่งสู่การแข่งขันและนวัตกรรมที่เพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าขณะนี้หลายประเทศเริ่มปรับจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อการเติบโต โดยในวันนี้เวียดนามก็กำลังแซงหน้าประเทศอื่นๆ ไปแล้ว

 

อ้างอิง:

The post อินโดนีเซียผงาด! GDP พุ่งเกินคาด 5.05% เผยอีก 10 ปี เศรษฐกิจอาเซียนโตแรงแซงจีน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Temasek กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ เตรียมลงทุนเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท ในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ https://thestandard.co/temasek-invest-1t-baht-usa-ai-business/ Tue, 30 Jul 2024 07:46:51 +0000 https://thestandard.co/?p=964855

Temasek Holdings กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์ […]

The post Temasek กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ เตรียมลงทุนเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท ในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Temasek Holdings กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์ เล็งลงทุนด้าน AI (Artificial Intelligence) ในตลาดสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ 

 

Jane Atherton หัวหน้าฝ่ายอเมริกาเหนือของ Temasek กล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 กรกฎาคม) ว่า สหรัฐฯ จะยังคงเป็นประเทศที่มีเงินทุนไหลเข้ามากที่สุดต่อไป

 

ในปีนี้การลงทุนของ Temasek ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้แซงหน้ามูลค่าการลงทุนในจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยเงินลงทุนของ Temasek ในสหรัฐฯ เติบโตถึง 5 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมุ่งเน้นด้าน AI และโครงสร้างขั้นพื้นฐานอย่าง Data Center และบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

ปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนของ Temasek ในอเมริกาแตะ 22% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าราว 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท) และสัดส่วนการลงทุนในจีนอยู่ที่ 19% ในขณะที่การลงทุนในสิงคโปร์อยู่ที่ 27%

 

นอกจากนี้ มูลค่ากองทุนยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.84 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9.9 ล้านล้านบาท ในช่วงปีก่อนหน้า มาแตะ 2.89 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

 

ปัจจุบันสหรัฐฯ และจีนต่างต้องการครองตลาดการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงต่อไปยัง AI และเศรษฐกิจดิจิทัลอื่นๆ จนนำไปสู่ความพยายามกีดกันทางการค้า รวมทั้งเทคโนโลยีเกี่ยวกับชิป ทั้งด้านนโยบายการส่งออกและภาษี

 

ทั้งนี้ นโยบายการลงทุนของ Temasek ในจีน คือการหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่เลือกลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศแทน ซึ่งตอนนี้กองทุนก็กำลังหาโอกาสในด้านยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) และไบโอเทคโนโลยี (BioTech)

 

อ้างอิง:

The post Temasek กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ เตรียมลงทุนเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท ในธุรกิจ AI ของสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักลงทุนกำลังเทขายหุ้น AI อย่าง NVIDIA และมองหาอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ต่อเนื่อง https://thestandard.co/investors-are-dumping-ai-stocks-like-nvidia/ Mon, 29 Jul 2024 07:10:29 +0000 https://thestandard.co/?p=964449

หลังจากที่ราคาหุ้นบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Arti […]

The post นักลงทุนกำลังเทขายหุ้น AI อย่าง NVIDIA และมองหาอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังจากที่ราคาหุ้นบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) อย่าง NVIDIA ปรับตัวขึ้นมากว่า 7 เท่าภายในช่วง 2 ปี นักลงทุนก็เริ่มทยอยขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าว และย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นที่มีมูลค่า (Valuation) ถูกกว่าแต่อาจได้รับประโยชน์สืบเนื่องจากการเติบโตของ AI แทน เช่น หุ้นด้านพลังงาน, หุ้นนิคมอุตสาหกรรม, สินค้าโภคภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น ทองแดง หรือหุ้นบริษัทที่นำ AI ไปใช้ ฯลฯ

 

โดยปัจจัยด้านราคาหุ้นกลุ่ม AI ที่ถูกขาย ไม่เพียงเฉพาะมูลค่าที่อยู่ในระดับที่สูงเพียงอย่างเดียว หากแต่เศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญภาวะกดดันจากทั้งด้านการเงิน การคลัง และความตึงเครียดจากภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกเช่นกัน

 

Gina Martin Adam หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ Bloomberg Intelligence เผยว่า แม้เราจะเห็นถึงการเก็งกำไรนอกกลุ่มหุ้น AI และหุ้นสื่อสาร แต่การเก็งกำไรหุ้น AI ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงอยู่

 

และแม้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสื่อสารจะทำผลตอบแทนดีติดอันดับต้นๆ ใน MSCI World Index ที่ระดับมากกว่า 14% ต่อปี แต่กลับพบว่าหุ้นสองกลุ่มนี้ทำผลตอบแทนแย่ติดอันดับต้นๆ ของไตรมาสนี้ 

 

ซึ่งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มโรงไฟฟ้าสาธารณูปโภคทำผลตอบแทนได้ดีติดอันดับต้นๆ นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบัน

 

โดยจากข้อมูลของ International Energy Agency ประมาณการว่า การใช้พลังงานจาก Data Center, AI และคริปโตเคอร์เรนซี จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปัจจุบัน ไปแตะ 1,000 เทระวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2026 ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นทั้งประเทศ

 

ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้โรงไฟฟ้าและผู้ผลิตไฟฟ้าต่างๆ ได้รับผลประโยชน์สืบเนื่องจากกระแส AI และ Data Center ที่เติบโต

 

Evgenia Molotova หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Pictet Asset Management มองว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับอัตราการนำ AI ไปใช้ แต่ภายในปี 2030 AI อาจต้องการ Data Center ที่มีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน 2-3 เท่า

 

ไม่เพียงเท่านั้น Ken Liu นักวิเคราะห์ของ UBS Group ชี้ว่า หม้อแปลงไฟฟ้าก็เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กำลังขาดแคลน หากคุณสั่งออร์เดอร์วันนี้ คุณอาจต้องรอปี 2028 เพื่อที่จะได้สินค้า

 

โดย Philipp Bärtschi หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Bank J. Safra Sarasin AG ชี้ว่า โครงสร้างขั้นพื้นฐานสำหรับการผลิตไฟฟ้าจะเป็นเมกะเทรนด์มาตั้งแต่ก่อน AI แล้ว แต่การเกิดขึ้นของ AI จะยิ่งทำให้การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาส แต่ก็มีความผันผวนสูงตามธรรมชาติของธุรกิจที่มีความเป็นวัฏจักรอยู่พอสมควร

 

อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์ก็คือพลังงานหมุนเวียน เพราะหากเกิดการผลิตพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบปกติมากขึ้น มลพิษก็ย่อมจะมากขึ้นตามมา แต่การใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์, น้ำ, ลม และพลังงานนิวเคลียร์ จะมาช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้

 

หรือหากมองไปที่อุตสาหกรรมวัตถุดิบ อย่างเช่น ทองแดง ที่มีส่วนสำคัญในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ก็มีโอกาสสำหรับการลงทุนเช่นกัน ซึ่งจากข้อมูลของ Bloomberg Intelligence พบว่า อัตราการใช้ทองแดงจะแตะ 2 ล้านตันภายในปี 2030 โดยมาจากสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่ง จากความต้องการพลังงานไฟฟ้าสำหรับ Data Center ในการประมวลผลข้อมูลสำหรับ AI

 

ไม่เพียงเท่านั้น อุตสาหกรรมอย่างที่ดินก็จะได้ประโยชน์จากการที่บริษัทด้านพลังงานต้องการที่ดินสำหรับการตั้งโรงไฟฟ้าหรือการตั้ง Data Center ด้วยเช่นกัน ซึ่งประเทศในแถบอาเซียนก็เป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับการมาตั้งฐาน Data Center เหล่านี้ โดยบริษัท AIS จากประเทศไทย และ Telekom Malaysia Bhd ของมาเลเซีย ก็กำลังเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตจากกระแสเหล่านี้เช่นกัน

 

และท้ายที่สุดคือ End Users จะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ สืบเนื่องจาก AI จากการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาสร้างความได้เปรียบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ตนเอง โดย Morgan Stanley ประเมินว่า บริษัทที่นำ AI ไปใช้ได้อย่างมีประโยชน์จะมีโอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้นเฉลี่ย 27% ในปีนี้

 

อ้างอิง:

The post นักลงทุนกำลังเทขายหุ้น AI อย่าง NVIDIA และมองหาอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ต่อเนื่อง appeared first on THE STANDARD.

]]>
นายกฯ ส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลครบวงจร ใช้จุดแข็งดึงต่างชาติลงทุน Data Center-Cloud Service เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ https://thestandard.co/prime-minister-promotes-investment-in-the-digital-industry/ Sun, 28 Jul 2024 05:13:09 +0000 https://thestandard.co/?p=964096

วันนี้ (28 กรกฎาคม) ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมน […]

The post นายกฯ ส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลครบวงจร ใช้จุดแข็งดึงต่างชาติลงทุน Data Center-Cloud Service เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (28 กรกฎาคม) ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการลงทุน Data Center ในประเทศไทย โดยเชื่อมั่นว่าการลงทุนในโครงการ Data Center และ Cloud Service ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล จะช่วยต่อยอดพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทยให้เป็นฐานการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคและเป็นที่จับตามองของโลก

 

พร้อมทั้งเป็นโอกาสสนับสนุนไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ของวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ของนายกฯ ทั้งนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ขานรับต่อยอดการหารือของนายกฯ กับเอกชนรายใหญ่ระดับโลก ซึ่งแสดงความสนใจการลงทุนในไทย

 

ชัยกล่าวต่อว่า จากการต่อยอดการหารือระหว่างนายกฯ กับเอกชนรายใหญ่ ทำให้พบว่าโครงการ Data Center และ Cloud Service ที่ BOI ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนในปัจจุบันรวมถึง 37 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุน 98,539 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในหลายจังหวัด เช่น กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง

 

โดยมีบริษัทชั้นนำระดับโลกหลายรายที่ได้เข้ามาลงทุนโครงการ Data Center เช่น Amazon Web Services จากสหรัฐอเมริกา ลงทุนสร้าง Data Center 3 แห่ง ด้วยเงินลงทุนกว่า 25,000 ล้านบาทในเฟสแรกของประกาศการลงทุนสร้าง Data Center ในไทยเป็นจำนวนมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาทภายในปี 2580, Evolution Data Centres จากสิงคโปร์ ลงทุน 4,000 ล้านบาท และ Telehouse จากญี่ปุ่น ลงทุน 2,700 ล้านบาท เป็นต้น

 

Cloud Service เช่น Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท, Huawei Technologies ลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดการณ์ว่าในปี 2567 มูลค่าตลาด Data Center ของไทยจะมีแนวโน้มเติบโตประมาณร้อยละ 24 และมูลค่าบริการ Public Cloud จะขยายตัวที่ร้อยละ 29

 

ทั้งนี้ BOI เชื่อมั่นว่าไทยมีศักยภาพและจุดแข็ง 5 ประการ ที่ทำให้ผู้ให้บริการ Data Center และ Cloud Service เชื่อมั่นให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่บริษัทชั้นนำระดับโลกเลือกเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการลงทุน ซึ่งได้แก่

 

  1. ทำเลที่ตั้งของไทยอยู่ในจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน สามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้ (Connecting Hub)
  2. มีความมั่นคง ปลอดภัยสูง เสี่ยงภัยต่อธรรมชาติต่ำ เป็นกลางในเวทีระหว่างประเทศ และกฎระเบียบด้านดิจิทัลมีมาตรฐานสากล เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และกฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Act)
  3. โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ทั้งระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร และมีศักยภาพในการจัดหาพลังงานสะอาดที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการลงทุน Data Center มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีศักยภาพ สามารถรองรับการส่งข้อมูลในปริมาณสูง
  4. ตลาดในประเทศขยายตัวสูง คนไทยมีทักษะในการเข้าถึงและใช้อินเทอร์เน็ตในกิจกรรมต่างๆ อาทิ การทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัล ทำให้ความต้องการยกระดับสู่ยุคดิจิทัลสูง
  5. สิทธิประโยชน์ที่จูงใจ

 

ชัยกล่าวว่า นายกฯ เชื่อมั่นในความพร้อมและศักยภาพของไทย ซึ่งนายกฯ ได้ดำเนินนโยบายเพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และการที่บริษัทใหญ่ระดับโลกประกาศร่วมลงทุนในโครงการ Data Center และ Cloud Service ของไทย เป็นอีกหนึ่งการยืนยันถึงโอกาสของไทยในการเป็น Digital Economy Hub ทำให้ไทยถูกจับตามองบนเวทีการลงทุนระหว่างประเทศ พร้อมก้าวสู่การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่และอุตสาหกรรมอนาคต

The post นายกฯ ส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลครบวงจร ใช้จุดแข็งดึงต่างชาติลงทุน Data Center-Cloud Service เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF INTUCH: 1+1 ที่มากกว่า 2 เพราะ Singtel https://thestandard.co/gulf-intuch-3/ Sat, 20 Jul 2024 07:04:06 +0000 https://thestandard.co/?p=960600 GULF INTUCH

ข่าวใหญ่ที่สะเทือนตลาดทุนไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาหนีไม่พ้น […]

The post GULF INTUCH: 1+1 ที่มากกว่า 2 เพราะ Singtel appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF INTUCH

ข่าวใหญ่ที่สะเทือนตลาดทุนไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาหนีไม่พ้น GULF และ INTUCH ที่ประกาศควบรวมกิจการพร้อมทำคำเสนอซื้อ ADVANC และ THCOM รวมทั้งจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ (NewCo)

 

ดีลนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งดีลใหญ่สำหรับตลาดทุนไทย และผมมีมุมมองที่เป็นบวกมาก (Bullish) และอยากจะมาเล่าให้นักลงทุนฟังกันครับว่า NewCo นี้อาจเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ไม่ควรมองข้าม

 

ก่อนอื่นเรามาพิจารณาในแง่ของสัดส่วนกันแบบพอสังเขป

 

ในแง่ของสัดส่วนการแลกหุ้น

 

1 หุ้น GULF – 1.02974 หุ้นใน NewCo

1 หุ้น INTUCH – 1.69335 หุ้นใน NewCo (ไม่รวมหุ้น 47.37% ใน INTUCH ที่ถือโดย GULF) พร้อมการจ่ายเงินปันผลพิเศษจำนวน 4.50 บาทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ INTUCH ซึ่งจะจ่ายก่อนวันที่ควบรวมกิจการ

 

ในแง่ของสัดส่วนการถือหุ้น

 

เราคาดว่ากลุ่ม GULF (กลุ่ม สารัชถ์ รัตนาวะดี) จะถือหุ้น 59.72% และ Singtel จะถือหุ้น 9.08% ใน NewCo ตามลำดับ

 

และสำหรับสัดส่วนการถือหุ้นใน ADVANC เราคาดว่า NewCo และ Singtel จะถือหุ้น ADVANC 40.44% และ 23.31% ตามลำดับ

 

ในแง่ของราคา

 

ราคา VTO จะอยู่ที่ 216.30 บาทสำหรับหนึ่งหุ้น AIS 

ราคา VTO จะอยู่ที่ 11.00 บาทสำหรับหนึ่งหุ้น THCOM

 

มุมมองของผมต่อดีลนี้

 

ประการแรก สัดส่วนทางการเงินของ NewCo ที่จะดีขึ้นทันตาเห็น

 

หลังควบรวมกิจการ D/E Ratio ของ NewCo จะลดลงมาที่ระดับ 1.2x จากเดิมของ GULF ที่ 2.2x รวมถึงการรับเงินสดอีกกว่าเกือบ 7 พันล้านบาทจากเงินปันผลพิเศษ 4.50 บาท สองประเด็นนี้สะท้อนความสามารถในการกู้ยืมที่มากขึ้นของ NewCo ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนในอนาคต รวมถึงกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย

 

ประการที่สอง การถือหุ้นของ Singtel และแผนธุรกิจของ Singtel

 

เป้าหมายการเติบโตในธุรกิจ Data Center ของ Singtel นั้นชัดเจนหลัง Singtel เริ่มหันมาโฟกัสธุรกิจ Data Center มากขึ้น ประกอบไปด้วยการลงทุนใน ST Telemedia Global Data Centres (STT GDC) และการทำ JV กับบริษัทอื่นๆ เพื่อลงทุนในธุรกิจ Data Center และส่วนหนึ่งจะได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัท KKR (บริษัทการลงทุนระดับโลกของสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในกองทุน Private Equity ที่ใหญ่ที่สุดในโลก) 

 

โดย CGS International เราแนะนำ ‘ซื้อ’ Singtel ที่ราคาเป้าหมายที่ 3.30 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ประการสุดท้าย Data is the new oil, Data Center is the new refinery. 

 

ตามข้อมูลของ DC Byte ความจุ (Capacity) ของศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center ในอาเซียนอาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าจาก 1,677MW ใน 1Q24 เป็น 7,589MW ภายในปี 2028 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจาก 

 

  1. ปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ต (Data Usage) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในภูมิภาค จากการใช้งานอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย
  2. ความต้องการการประมวลผลเพื่อรองรับระบบการเรียนรู้ของปัญญาประดิษฐ์ (AI Training)
  3. ข้อจำกัดด้านพื้นที่และกำลังไฟฟ้าในตลาดหลัก

 

ในบทความต่อไปเราจะมาเจาะประเด็นนี้ (Data Center) กันในรายละเอียดครับ แต่วันนี้เราจะมาพิจารณากันแค่ GULF และ NewCo โดยหากเราต่อจิ๊กซอว์ภาพเพื่อยิงประตู (ซื้อหุ้น) 

 

การที่ Singtel จะถือหุ้น 9.08% ใน NewCo (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) และความต้องการ Data Center ในอาเซียนอาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าจาก 1,677MW ใน 1Q24 เป็น 7,589MW ภายในปี 2028 

 

ทำให้ผมเชื่อเหลือเกินว่า โอกาสทางธุรกิจในส่วนของ Data Center โดยเฉพาะกับ Singtel และ NewCo จะมีมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

Synergy ของการควบรวมในครั้งนี้ สูงกว่าที่ใครหลายคนคิดแน่นอนครับ

 

 

 

อ้างอิง: 

  • CGS International, CGSI Estimates, CGSI Macro & Wealth Research, CGSI Quantitative Team

 

 

The post GULF INTUCH: 1+1 ที่มากกว่า 2 เพราะ Singtel appeared first on THE STANDARD.

]]>