Energy Transition – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 23 Aug 2024 06:34:06 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 แม่น้ำโขง ความมั่นคงทางพลังงาน vs. ความมั่นคงทางอาหาร https://thestandard.co/mekong-river-energy-vs-food/ Mon, 19 Aug 2024 13:55:23 +0000 https://thestandard.co/?p=972811

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน […]

The post แม่น้ำโขง ความมั่นคงทางพลังงาน vs. ความมั่นคงทางอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (Power Development Plan: PDP 2024) โดยเป้าหมายของแผน PDP 2024 ประการหนึ่งคือ จะให้ความสำคัญกับ ‘พลังงานสะอาด’

 

พลังงานสะอาดหมายถึงพลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานจากน้ำในเขื่อน

 

โดยในแผนจะมีการ ‘ซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ’ เพิ่มอีก 3,500 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าหมายถึงโครงการไฟฟ้าจากเขื่อนใน สปป.ลาว โดยอ้างว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นพลังงานสะอาด

 

โรงไฟฟ้าพลังน้ำอ้างว่าเป็นพลังงานสะอาด เพียงเพราะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินหรือก๊าซ แต่ในความเป็นจริง แต่ละปีเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วโลกปล่อยก๊าซมีเทน (ก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งที่อันตรายกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 80 เท่า แต่อยู่ในชั้นบรรยากาศไม่นานเท่า) ปริมาณกว่า 22 ล้านตัน 

 

ปกติก๊าซมีเทนในอ่างเก็บน้ำจะเกิดจากซากพืช ซากสัตว์ ที่เน่าเปื่อยและละลายอยู่ในน้ำ แต่เมื่อน้ำไหลผ่านกังหันเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจะทำให้น้ำเกิดความปั่นป่วนและปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

 

ทุกวันนี้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์มีราคาหน่วยละ 2.17 บาท ถูกกว่าพลังงานจากเขื่อนที่มีราคาสูงถึง 2.82 บาท

 

แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดมาจากการละลายของน้ำแข็งและหิมะบริเวณที่ราบสูงทิเบตในประเทศจีน บนระดับความสูง 5,000 เมตร ผ่านประเทศจีน ไหลเป็นแนวดิ่งผ่านโตรกเขา ลดระดับเป็นแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดสายน้ำที่ไหลเร็ว เชี่ยวกราก ตัดผ่านร่องเขาสูงชันนับร้อยเมตรสลับซับซ้อนหลายแห่งเป็นระยะทางกว่า 2,500 กิโลเมตร เรียกกันว่าเป็นแม่น้ำโขงตอนบน จนเมื่อไหลมาถึงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ แนวเขตประเทศไทย-สปป.ลาว-พม่า ลดความรุนแรง เหลือระดับความสูงแค่ 500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่เรียกว่าแม่น้ำโขงตอนล่าง

 

ตลอดเส้นทางที่แม่น้ำโขงผ่านจะมีสายน้ำหลายร้อยสายจากลุ่มน้ำสองฟากฝั่งไหลมาเติมน้ำในแม่น้ำโขง เช่น แม่น้ำมูล, แม่น้ำชี, แม่น้ำสงคราม, หนองหาน, ทะเลสาบเขมร ฯลฯ หล่อเลี้ยงให้แม่น้ำโขงเป็นสายเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงผู้คนหลายร้อยล้านคนไปจนออกปากแม่น้ำในเวียดนาม

 

แม่น้ำโขงจึงเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ ปล่อยน้ำออกมาเฉลี่ยปีละ 4.75 แสนล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับ 8 ของโลก

 

ด้วยลักษณะพิเศษของแม่น้ำสายนี้ คือมีปริมาณน้ำมาเติมจากสองแหล่งใหญ่ๆ คือจากการละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยประมาณร้อยละ 20 และปริมาณน้ำอีกมหาศาลร้อยละ 80 มาจากลำน้ำนับร้อยสาขาตลอดสองฟากฝั่งที่ไหลผ่านไทย, พม่า, สปป.ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม

 

ในอดีตความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของระบบนิเวศของสายน้ำต่างๆ ที่ไหลลงแม่น้ำโขง ก่อให้เกิดชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตมากมาย มีการประเมินว่าแม่น้ำโขงที่มีความยาว 4,909 กิโลเมตร ยาวเป็นอันดับ 10 ของโลก แต่มีพันธุ์ปลาน้ำจืดชนิดต่างๆ ประมาณ 1,200-1,700 ชนิด กลายเป็นแม่น้ำที่มีความหลากหลายของพันธุ์ปลามากเป็นอันดับ 2 ของโลก

 

ลุ่มน้ำโขงยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า 430 ชนิด สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกกว่า 800 ชนิด นก 1,200 ชนิดพันธุ์ และพันธุ์พืชอีกกว่า 20,000 ชนิด

 

แต่ละปีมีการจับปลาในแม่น้ำโขงมากกว่า 2.6 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 25 ของปริมาณการจับปลาน้ำจืดทั่วโลก โดยมีมูลค่าการทำประมงต่อปีอยู่ที่ 1.27-2.31 แสนล้านบาท และปลาเหล่านี้ยังว่ายไปสู่แม่น้ำมูล แม่น้ำชี กระจายไปทั่วภาคอีสาน ทำให้โปรตีนร้อยละ 75 ของคนลุ่มน้ำโขง 60 ล้านคน มาจากปลาแม่น้ำโขง

 

นอกจากนั้น ความสำคัญของแม่น้ำไม่ได้มีเพียงแค่น้ำ แต่ตะกอนที่ไหลมากับน้ำช่วยเพิ่มสารอาหาร เป็นปุ๋ยธรรมชาติในการเพาะปลูกตลอดลุ่มน้ำโขง และช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม รวมถึงเกาะแก่งจำนวนมากตลอดลำน้ำโขงที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำหลายชนิด

 

ความหลากหลายทางชีวภาพดังกล่าวของแม่น้ำโขงช่วยเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ให้กับไร่นาด้วยตะกอนดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ป่าไม้และพื้นที่ชุ่มน้ำก็เป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญให้กับการอุตสาหกรรม ช่วยกรองน้ำและฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ รวมถึงปกป้องเมืองต่างๆ จากภัยธรรมชาติอย่างอุทกภัยและวาตภัย

 

แม่น้ำโขงจึงเป็นพื้นที่สำคัญในการรักษาความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้คนลุ่มน้ำโขงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

 

แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา แม่น้ำโขงถูกทำให้กลายเป็นแหล่งความมั่นคงทางพลังงาน

 

หลังจากการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขงในประเทศจีนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน สายน้ำของแม่น้ำโขงไม่ได้ไหลเป็นธรรมชาติอีกต่อไป เพราะจีนเป็นผู้ควบคุมปิด-เปิดการไหลของน้ำในแม่น้ำโขงจากเขื่อนหลายแห่งที่สร้าง เช่น เขื่อนม่านวาน เขื่อนแรกที่สร้างเสร็จในปี 2539 เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาด 1,500 เมกะวัตต์ (ใหญ่กว่าเขื่อนภูมิพลประมาณสามเท่า)

 

ทุกปีในฤดูแล้ง แม่น้ำโขงตอนล่างจะลดระดับต่ำ สองฟากฝั่งเป็นหาดทรายยาว บางแห่งระดับน้ำลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งเมตร สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้น้ำด้านล่างมาตลอด โดยในปี 2564 เขื่อนในจีนส่งผลให้กระแสน้ำในฤดูน้ำหลากลดลงมากถึง 62% 

 

ที่ผ่านมารัฐบาลจีนกำหนดให้มณฑลยูนนานเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าสำคัญของประเทศจีนทางตอนใต้ มีโครงการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงตอนบนอีก 14 เขื่อน คาดว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้า 25,000 เมกะวัตต์ และมีเขื่อนแห่งหนึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ถือเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุด คือเขื่อนเสี่ยววาน ความสูง 292 เมตร (สูงเกือบเท่าตึก 100 ชั้น) จุน้ำประมาณ 1.4 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร และผลิตไฟฟ้าได้ 4,000 เมกะวัตต์

 

แต่ในอนาคตรัฐบาลจีนตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนให้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ถึง 1 แสนเมกะวัตต์ ซึ่งหมายถึงโครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่อีกหลายสิบเขื่อน

 

ส่วนแม่น้ำโขงตอนล่าง รัฐบาล 4 ประเทศ สปป.ลาว, ไทย, กัมพูชา และเวียดนาม ก็ร่วมกันเสนอแผนสร้างเขื่อน 11 โครงการ ทั้งบนแม่น้ำโขงสายหลักและแม่น้ำสาขา 9 เขื่อนอยู่ใน สปป.ลาว ภายใต้นโยบาย ‘แบตเตอรี่ของเอเชีย’ โดยมีประเทศไทยเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าหลักจากโครงการเขื่อนเหล่านี้ ส่วนในกัมพูชามีแผนการสร้างเขื่อน 2 โครงการ ขณะนี้มี 2 เขื่อนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ คือเขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนดอนสะโฮง

 

คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) จัดทำรายงานการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการบริหารจัดการแม่น้ำโขงที่ยั่งยืน รายงานฉบับนี้ใช้เวลาศึกษา 7 ปี มีเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลต่อประเทศสมาชิก คือ กัมพูชา, สปป.ลาว, ไทย และเวียดนาม (จีนไม่ยอมเป็นสมาชิก เพราะไม่ยอมอยู่ภายใต้ข้อตกลงของกรรมาธิการนี้) ได้เห็นด้านบวกและด้านลบของการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง 11 แห่ง และเขื่อนอีก 120 แห่งในแม่น้ำสาขา 

 

โดยรายงานชิ้นนี้ระบุว่า ภายในปี 2583 ร้อยละ 97 ของการไหลของตะกอนอาจถูกดักไว้ หากโครงการสร้างเขื่อนทั้งหมดที่วางแผนไว้เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้ขาดแร่ธาตุอาหาร ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตร ทำให้ปริมาณข้าวที่ผลิตได้บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงที่เรียกว่า ‘เก้ามังกร’ ในประเทศเวียดนาม อู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของเอเชีย ลดลงราว 5 แสนตัน

 

ในขณะที่ปริมาณสัตว์น้ำจะลดลงอย่างมาก ด้านประมงลดลง 35-40% ภายในปี 2563 และ 40-80% ภายในปี 2583 ทำให้ประเทศต่างๆ สูญเสียปริมาณสัตว์น้ำสัดส่วนดังนี้ คือ ไทย 55%, สปป.ลาว 50%, กัมพูชา 35% และเวียดนาม 30%

 

การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ รวมทั้งการสูญเสียด้านประมง จะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารอย่างรุนแรงในชุมชนต่างๆ ของ สปป.ลาว และกัมพูชา แต่กำไรส่วนใหญ่จากการผลิตไฟฟ้าจะตกเป็นของบริษัทผู้ลงทุนจากต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นไทย, จีน, มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ในขณะที่ต้นทุนจากโครงการเหล่านี้จะต้องแบกรับโดยชุมชนชาวประมงและเกษตรกรในประเทศ 

 

กระแสไฟฟ้าจากเขื่อนอาจไม่ใช่พลังงานสะอาดอย่างที่กล่าวอ้าง แต่กำลังจะทำลายความมั่นคงทางอาหารของคนเกือบร้อยล้านคนตลอดลุ่มน้ำ ขณะที่ผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรมหาศาลของแม่น้ำโขงเข้ากระเป๋านักธุรกิจเพียงไม่กี่กลุ่ม ภายใต้คำว่า ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’

The post แม่น้ำโขง ความมั่นคงทางพลังงาน vs. ความมั่นคงทางอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF – 2Q67 กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดตามคาด https://thestandard.co/gulf-2q67/ Sun, 11 Aug 2024 03:15:49 +0000 https://thestandard.co/?p=969986 GULF

เกิดอะไรขึ้น:   เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 บมจ.กัล […]

The post GULF – 2Q67 กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดตามคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF

เกิดอะไรขึ้น:

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานกำไรสุทธิ 2Q67 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามคาด (เพิ่มขึ้น 64.3%YoY และ 35.5%QoQ) โดยได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม และการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น 70.0%QoQ และ 73.3%YoY:

 

  1. ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่เพิ่มขึ้น 5.6%QoQ และ 20.4%YoY จากกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก ADVANC

 

  1. ส่วนแบ่งกำไรจาก GJP ที่ดีขึ้นเพราะไม่มีโรงไฟฟ้าหยุดซ่อมบำรุง

 

  1. การได้รับส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจากโครงการ HKP หน่วยที่ 1 (377 MWe) หลังจากเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์

 

  1. ผลการดำเนินงานที่ PTT NGD ดีขึ้น โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนก๊าซที่ลดลง และราคาขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันเตา

 

  1. การรับรู้รายได้จากโครงการ GPD หน่วยที่ 3 (464 Mwe) เต็มไตรมาส

 

แนวโน้มปี 2H67 ยังแข็งแกร่ง InnovestX Research คาดว่ากำไรปกติจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 2,700MW สู่ 15,167MW ในปี 2567 ผ่านโครงการหลายโครงการ:

 

  1. โรงไฟฟ้า IPP ใหม่ GPD หน่วยที่ 3 (กำลังการผลิต 662.5MW เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567) และ GPD หน่วยที่ 4 (กำลังการผลิต 662.5MW เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567)

 

  1. โรงไฟฟ้า IPP ใหม่ที่โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) หน่วยที่ 1 (กำลังการผลิต 770MW เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม 2567)

 

  1. การเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามแผนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) และโครงการโซลาร์รูฟท็อป กำลังการผลิตรวม 605MW ใน 2H67

 

นอกจากนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าสองโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ได้แก่ เฟสที่สองของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กำลังการผลิต 3.6GW และแผน PDP2024 ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีก 30-40MW เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานสีเขียวในอนาคต

 

ทั้งนี้ กำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในปัจจุบันของ GULF คิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เทียบกับเป้าหมายที่ 40% ภายในปี 2578 นอกจากนี้ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อดีลควบรวมระหว่าง GULF กับ INTUCH ซึ่งมีกำหนดพิจารณาอนุมัติในการประชุมผู้ถือหุ้น (EGM) วันที่ 3 ตุลาคม 2567

 

กระทบอย่างไร:

 

หลังรายงานผลประกอบการ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2567 ราคาหุ้น GULF ปรับขึ้น 1.05% อยู่ที่ระดับ 48.0 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.36% สู่ระดับ 1,300.90 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

 

Valuation น่าสนใจ หุ้น GULF ซื้อขายที่ PE ปี 2567 เพียง 27.8 เท่า หรือ -1.0 SD ของ PE เฉลี่ย 5 ปี InnovestX Research ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกำไรของ GULF ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า และคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ GULF โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 63 บาทต่อหุ้น

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ

 

  • ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ต่ำกว่าคาด แต่ประวัติผลงานที่ดีเยี่ยมของ GULF ในการพัฒนาโครงการให้แล้วเสร็จตามกำหนด และเป็นไปตามงบประมาณที่วางไว้จะช่วยลดความเสี่ยงนี้
  • ยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำของโครงการโรงไฟฟ้า SPP ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอและต้นทุนเชื้อเพลิงสูง
  • ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

 

ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

The post GULF – 2Q67 กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดตามคาด appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF เผยกำไร 6 เดือนแรก โต 22% เป็น 8.2 พันล้านบาท หนุนจากโรงไฟฟ้าใหม่และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH https://thestandard.co/gulf-22-percent-profit-growth/ Thu, 08 Aug 2024 12:29:35 +0000 https://thestandard.co/?p=969162 GULF

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF รายงานกำไ […]

The post GULF เผยกำไร 6 เดือนแรก โต 22% เป็น 8.2 พันล้านบาท หนุนจากโรงไฟฟ้าใหม่และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH appeared first on THE STANDARD.

]]>
GULF

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF รายงานกำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 64.3% เป็น 4,731 ล้านบาท ช่วยให้กำไร 6 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 22.3% เป็น 8,240 ล้านบาท 

 

แม้ว่ารายได้รวมของบริษัทในไตรมาส 2 จะทรงตัวจากทั้งไตรมาสแรกและจากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้ 6 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 7.3% เป็น 64,896 ล้านบาท 

 

สาเหตุที่กำไรของ GULF เติบโตอย่างโดดเด่น แม้ว่ารายได้รวมจะไม่ได้เติบโตสูงมากนัก เป็นเพราะส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า โดยเฉพาะในส่วนของ INTUCH ที่ส่งกำไรให้กับ GULF จำนวน 3,197 ล้านบาท ซึ่งได้แรงหนุนจากผลประกอบการของ AIS ที่ดีขึ้น 

 

นอกจากนี้ กำไรของ GULF ที่เพิ่มขึ้นยังได้แรงหนุนจากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 2-3 ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์

 

ทั้งนี้ รายได้ของ GULF ในปัจจุบันในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ แบ่งเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ 

 

  1. ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ มีรายได้ 57,924 ล้านบาท +7.2%YoY
  2. ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีรายได้ 1,523 ล้านบาท +48.2%YoY
  3. ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค มีรายได้ 2,162 ล้านบาท +0.0%
  4. ธุรกิจดาวเทียม มีรายได้ 1,247 ล้านบาท -9.3%YoY
  5. รายได้ค่าบริหารจัดการ มีรายได้ 335 ล้านบาท -9.4%YoY 
  6. รายได้อื่น มีรายได้ 1,705 ล้านบาท +11.3%YoY

 

ด้าน ยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF

กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการอื่นๆ ของบริษัทที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังเป็นไปตามแผน 

 

โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 และจะเริ่มก่อสร้าง LNG Terminal ในช่วงกลางปี 2568 ในขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเรือในปลายปี 2568 ในส่วนของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองนั้น สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 2568 ขณะที่สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี 2569

 

ส่วนของธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (Data Center) ของกลุ่มบริษัทอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเฟสแรกซึ่งมีขนาด 25 เมกะวัตต์ มีแผนเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 โดยบริษัทมีแผนขยายศูนย์ข้อมูลดังกล่าวเพิ่มอีก 25 เมกะวัตต์ในเฟสที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกัน รวมเป็น 50 เมกะวัตต์ โดย GSA DC จะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด และได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล (Cloud Computing) ด้วย โดยกลุ่มลูกค้าหลักของ GSA DC จะเป็นกลุ่ม Hyperscalers Enterprise และหน่วยงานรัฐบาล 

 

ส่วนธุรกิจ Cloud ที่บริษัทร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ องค์กรที่ต้องการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ โดยผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ Cybersecurity

 

สำหรับประเด็นการควบรวมบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH นั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/68

The post GULF เผยกำไร 6 เดือนแรก โต 22% เป็น 8.2 พันล้านบาท หนุนจากโรงไฟฟ้าใหม่และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตาราคาน้ำมันโลกผันผวน หลังเศรษฐกิจโลกส่อชะลอฉุดดีมานด์หด แต่ติดตามความไม่สงบในตะวันออกกลาง หากรุนแรงอาจดันราคาพุ่ง https://thestandard.co/global-oil-prices-fluctuate/ Wed, 07 Aug 2024 02:01:25 +0000 https://thestandard.co/?p=968127

กังวลสหรัฐฯ เข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังตัวเลขว่างงานสูงก […]

The post จับตาราคาน้ำมันโลกผันผวน หลังเศรษฐกิจโลกส่อชะลอฉุดดีมานด์หด แต่ติดตามความไม่สงบในตะวันออกกลาง หากรุนแรงอาจดันราคาพุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>

กังวลสหรัฐฯ เข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังตัวเลขว่างงานสูงกว่าคาด ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่นร่วงหนัก ดันตัวเลข Volatility Index พุ่ง

 

สุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Investment Strategy ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวลดลงแรงในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน กับเอเชียที่ปรับตัวลดลงแรงในวันจันทร์ที่ผ่านมา (5 สิงหาคม) เนื่องจากเริ่มมีความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หลังจากสหรัฐฯ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่าอัตราการว่างงานออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รวมทั้งการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดการณ์ อีกทั้งมีตัวเลข Volatility Index หรือ VIX ปรับเพิ่มขึ้น

 

ขณะที่ Bond Yield ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 4% สะท้อนภาวะว่าเข้าสู่โหมด Risk Off อีกด้านคือในฝั่งเอเชีย ซึ่งในญี่ปุ่นมีการคืนเงินกู้ยืมในสกุลเยน (Unwind Yen Carry Trade) ส่งผลให้ค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าเพิ่มขึ้น หลังจากช่วงสัปดาห์ก่อนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นดอกเบี้ย สวนทางกับธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลก

 

ทั้งนี้ ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นสร้างความกังวลว่าเดิมค่าเงินเยนที่เคยอ่อนค่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในญี่ปุ่น แต่หลังจากค่าเงินเยนมีทิศทางกลับมาแข็งค่า เป็นปัจจัยกดดันให้ผลประกอบการของ บจ. ญี่ปุ่นในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะอ่อนแอลงได้

 

นอกจากนี้ พบข้อมูลว่าจากต้นปี 2024 ถึงปัจจุบัน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระดับที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับภาพในฝั่งของตลาดหุ้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหรือเซมิคอนดักเตอร์ ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรง ส่งผลให้มีการขายทำกำไรออกมากดดันให้ภาพรวมของตลาดหุ้นทั้ง 3 ตลาดดังกล่าวปรับตัวลดลง

 

สหรัฐฯ มีสัญญาณ Recession แรงขึ้น

 

โดย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่า แม้สหรัฐฯ เริ่มจะมีแนวโน้มเกิด Recession เพิ่มมากขึ้น แต่อาจยังไม่เข้าสู่ Recession แบบเต็มตัว เนื่องจากหากดูข้อมูลตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ยังสามารถขยายตัวได้ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 2 ปี 2024 ยังขยายตัวได้ในระดับ 2.8% สูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.1%

 

ขณะที่ข้อมูลในฝั่งผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยังดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมทั้งภาพรวมของยอดขายค้าปลีกที่ยังออกมาในระดับทรงตัว ซึ่งเป็นข้อมูลที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะออกมาหดตัว

 

นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ ไตรมาส 2 ปี 2024 ซึ่งทยอยออกมาสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของทั้งหมด โดยข้อมูลล่าสุดที่ออกมายังมีตัวเลขดีกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่

 

ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง เนื่องจากเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) จึงเร่งขายทำกำไรออกมาในช่วงของวันจันทร์ที่ผ่านมา

 

มองว่าราคาน้ำมันโลกผันผวน

 

สุทธิชัยประเมินว่าตลาดน้ำมันจะได้รับผลกระทบจากภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกให้มีการใช้น้ำมันลดลง ส่วนกรณีภาพเศรษฐกิจจีนที่เริ่มเห็นสัญญาณการอ่อนแอทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลกค่อนข้างผันผวนสูง เพราะมีทั้งปัจจัยลบและปัจจัยบวกที่รออยู่ในระยะต่อไป แต่ปัจจัยลบเริ่มมีน้ำหนักเพิ่มสูงขึ้น

 

ทั้งนี้ องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ยังคงประมาณการอุปสงค์การใช้น้ำมันของโลกอยู่ในระดับต่ำ โดยในปี 2024 ประเมินว่าอุปสงค์การใช้ของน้ำมันของโลกจะเติบโตไม่ถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจาก IEA มีมุมมองว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันจากจีนยังถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง

 

ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันของจีนในเดือนกรกฎาคมปีนี้ที่ผ่านมายังคงลดลง และถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา อีกทั้งจีนยังมีแนวโน้มจะใช้รถ EV เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบให้ความต้องการใช้น้ำมันในรถสันดาปทยอยลดลง

 

อย่างไรก็ดี กลุ่ม OPEC ยังคงมาตรการในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันแบบสมัครใจ ซึ่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นยังต้องติดตามว่าภาพของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกระทบอุปสงค์การใช้น้ำมันของโลกให้ชะลอตัว จะส่งผลให้กลุ่ม OPEC ตัดสินใจเปลี่ยนนโยบายในการลดกำลังการผลิตน้ำมันตามแผนเดิมหรือไม่

 

อย่างไรก็ดี หาก OPEC ยังคงแผนการผลิตน้ำมันตามที่เคยประกาศไว้ ประเมินว่าจะมีผลให้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2024 มีความเสี่ยงจะเกิดภาพของอุปทานน้ำมันมากกว่าอุปสงค์ที่มีอยู่ในตลาด ซึ่งถือเป็นปัจจัยต่อราคาน้ำมัน

 

จับตาความไม่สงบในตะวันออกกลาง

 

นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากการสู้รบในตะวันออกกลาง จากการตอบโต้ที่อิสราเอลลอบสังหารผู้นำของฮามาส ซึ่งยังต้องติดตามความคืบหน้าว่าสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวจะดำเนินต่อไปอย่างไร โดยประเมินกรอบราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 3 ปี 2024 จะอยู่ในระดับ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หาก OPEC กลับมาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในช่วงไตรมาส 3 ปี 2024 มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับลดลงมาเคลื่อนไหวในกรอบ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ทั้งนี้ มองว่าหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาที่ระดับดังกล่าว ถือเป็นจุดที่มีความน่าสนใจในการทำ Hedging เพราะยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาน้ำมันในอนาคต

 

สำหรับกรณีที่มีข่าวว่ากระทรวงพลังงานของไทยมีแนวคิดที่จะออกกฎหมายควบคุมราคาพลังงานน้ำมัน ยังต้องติดตามว่ารายละเอียดของกฎหมายที่จะออกมาจะเป็นอย่างไร

 

แต่ยอมรับว่าตลาดมีความกังวลล่วงหน้า โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งกระทรวงพลังงานอาจมีแนวคิดในการออกกฎหมายเพื่อมาควบคุมราคาน้ำมันได้ทั้งหมด ทั้งในด้านของภาษีสรรพสามิตกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันเป็นไปตามที่ต้องการ

 

ทั้งยังต้องติดตามว่ากฎหมายดังกล่าวจะนำไปสู่การลดภาษีได้หรือไม่ โดยยังต้องหารือร่วมกับกระทรวงการคลังซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตว่าจะบริหารจัดการอย่างไร

 

อย่างไรก็ดี มีความกังวลว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน โดยหากดูสถิติข้อมูลช่วง 10-20 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา พบว่ามีความพยายามปรับสูตรราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากปัจจุบันสูตรราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันของไทยอ้างอิงสูตรราคาของตลาดน้ำมันสิงคโปร์ โดยคิดค่าขนส่งน้ำมันจากสิงคโปร์มาไทยที่ประมาณ 1- 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

โดยหากถอดค่าขนส่งออกจากต้นทุนราคาน้ำมันของไทย ประเมินว่าหุ้นโรงกลั่น ได้แก่ BCP, TOP ซึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาในช่วงดังกล่าวได้สะท้อนความกังวลในประเด็นนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงมองว่าให้ทยอยสะสมในหุ้นทั้ง 2 ตัวดังกล่าว

 

หุ้นโรงไฟฟ้าได้ประโยชน์จากราคาก๊าซธรรมชาติไม่ขยับขึ้น

 

ส่วนหุ้นกลุ่มไฟฟ้าที่กระทรวงพลังงานประกาศให้คงราคางวดเดือนกันยายน-ธันวาคมปีนี้ไว้ที่ 4.18 บาท ประเมินว่าราคาหุ้นกลุ่มไฟฟ้าที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนข้อมูลเชิงลบดังกล่าวไปแล้ว

 

ขณะที่ในระยะสั้นราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นพลังงานหลักของกลุ่มโรงไฟฟ้า คาดว่าจะยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากปัจจุบันยุโรปยังมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติอยู่ในระดับสูง ประกอบกับทั้งยุโรปกับจีนสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้ค่อนข้างดี ส่งผลให้จีนยังไม่มีความต้องการก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าในระยะสั้น

 

อย่างไรก็ตาม มองว่ามีความเสี่ยงเดียวต่อกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าคือสมการความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง หากความรุนแรงกลับมาอาจส่งผลกระทบต่อราคาก๊าซธรรมชาติให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างแรง แต่ยังเชื่อว่าในเชิงของปัจจัยพื้นฐานระยะสั้นจะยังไม่เห็นการปรับขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติ

 

“โดยปกติราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะมีการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ซึ่งหากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลง หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามักจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถือเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive มีการก่อหนี้สูง ดังนั้นหากดอกเบี้ยเริ่มลงก็จะทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงตามไปด้วย และมีมูลค่าหุ้นดูดีขึ้น จึงแนะนำให้หาโอกาสทยอยสะสมหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า”

 

อีกทั้งหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังใช้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลกำลังจะมีนโยบายรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรอบใหม่

 

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีธีมแนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายของกองทุน ThaiESG ที่ขยายวงเงินในการลดหย่อนภาษีจาก 100,000 บาท เป็น 300,000 บาท อีกทั้งลดระยะเวลาการถือครองจากเดิม 8 ปี เหลือ 5 ปี ได้แก่ GULF, ADVANC, AOT, CPALL, BDMS, BBL, KTB และแนะนำ PTTEP เพื่อใช้ Hedging ความไม่แน่นอนและความผันผวนของน้ำมัน

The post จับตาราคาน้ำมันโลกผันผวน หลังเศรษฐกิจโลกส่อชะลอฉุดดีมานด์หด แต่ติดตามความไม่สงบในตะวันออกกลาง หากรุนแรงอาจดันราคาพุ่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>