Yves Rocher – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 03 Feb 2024 06:15:54 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 รู้จัก Yves Rocher สกินแคร์ธรรมชาติที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ https://thestandard.co/life/yves-rocher-natural-skincare Sat, 03 Feb 2024 06:15:54 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=895638

Yves Rocher เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกอย่างต่อเนื่องก […]

The post รู้จัก Yves Rocher สกินแคร์ธรรมชาติที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Yves Rocher เปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกอย่างต่อเนื่องกับ Bain de Nature นำเสนอกลิ่นใหม่ 3 กลิ่นที่เป็นตัวแทนของแคว้นบริตทานี รวมถึง Wild Algae & Sea Fennel, Meadow Flower & Heather และ Oat & Buckwheat ที่มุ่งเน้นไปที่การรีเฟรช มอบความชุ่มชื่น และปกป้องผิวด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่ร่ำรวยด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความนุ่มนวลและความแข็งแรงของผิวที่คนรักผิวน่าจะถูกใจ นอกจากนี้ยังมีเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องราวของ Yves Rocher ในมุมของการพัฒนาแบรนด์ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมโดยไม่ทำลายระบบนิเวศ ซึ่ง LIFE จะพาทุกคนไปดูว่า Yves Rocher ทำอะไรบ้าง?

 

 

ใช้ส่วนผสมที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติมากถึง 98%

บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกทำมาจากกระบวนการรีไซเคิล 100% 

และสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้อีก

 

 

ลดปริมาณการใช้พลาสติกในการผลิต เพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของ Yves Rocher คำนึงถึงระบบนิเวศตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการผลิต ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิต และไม่ทำลายระบบนิเวศ

 

ทุกผลิตภัณฑ์ผลิตจากส่วนผสมธรรมชาติ บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ไม่รู้จบ ยึดแนวปฏิบัติตามทฤษฎีของการมอบสิ่งดีๆ กลับคืนสู่ธรรมชาติ และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศ

 

 

ภาพ: Courtesy of Yves Rocher

The post รู้จัก Yves Rocher สกินแคร์ธรรมชาติที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Rocher แบรนด์ที่มีหัวใจรักษ์โลกมาตั้งแต่ Day 1 https://thestandard.co/life/yves-rocher-green-company-since-day-1 Wed, 24 May 2023 04:00:26 +0000 https://thestandard.co/?p=794465 Yves Rocher

คนไทยรู้จักกับแบรนด์ Yves Rocher มาอย่างยาวนาน โดยดำเนิ […]

The post Yves Rocher แบรนด์ที่มีหัวใจรักษ์โลกมาตั้งแต่ Day 1 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Rocher

คนไทยรู้จักกับแบรนด์ Yves Rocher มาอย่างยาวนาน โดยดำเนินกิจการในไทยไม่ต่ำกว่า 23 ปี แฟนๆ น่าจะได้เห็นทุกการเปลี่ยนแปลงที่หมุนเวียนไปอย่างก้าวทันโลก จากหมุดหมายที่ Yves Rocher ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าต้องการจะเป็น The Best Company for the World ที่ทุ่มเทให้กับเรื่องรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์ ทำให้ในแต่ละก้าวของ Yves Rocher มุ่งไปในทิศทางนั้น และนับวันจะยิ่งมีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งได้พันธมิตรที่เชื่อมั่นในเรื่องเดียวกันมาร่วมเส้นทางมากขึ้น LIFE จึงขอพาผู้อ่านทุกคนไปรู้จักกับ Yves Rocher แบรนด์ที่มีความตั้งใจดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพาไปอัปเดตโปรเจกต์ใหม่ล่าสุดที่ทำในประเทศไทยอย่างโครงการ Yves Rocher X LG And Friends: Act Beautiful to Make a Sustainable Difference ด้วย 

 

Yves Rocher

 

What is it? 

 

แบรนด์ Yves Rocher ก่อตั้งขึ้นในปี 1959 ในเมืองลา กาซิลี่ แคว้นบริตทานี ของประเทศฝรั่งเศส ผู้ก่อตั้งอย่าง Yves Rocher เป็นนักพฤกษศาสตร์ที่สนใจเรื่องพืชและสมุนไพรตั้งแต่อายุยังน้อย จากแพสชันดังกล่าวทำให้เติบโตมาพร้อมกับองค์ความรู้มากมายที่ต้องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ ราคาไม่แพงและเข้าถึงได้ นั่นได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญบนเส้นทางของธุรกิจความงามที่เติบโตจากพลังธรรมชาติ และยึดมั่นในการเคารพและคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในแนวทาง Botanical Beauty ทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของ Yves Rocher บ่มเพาะมาจากความรักที่มีต่อธรรมชาติ ที่ใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายเท้า จากนักพฤกษศาสตร์สู่การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงผู้สร้างสรรค์ผลงานและผู้ค้าปลีก ทั้งนี้ เพราะแบรนด์ตั้งใจจะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์จากธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดของแคว้นบริตทานี ประเทศฝรั่งเศส มาสู่มือของทุกคนในราคาที่เป็นธรรม

 

Yves Rocher

The Ingredients 

 

Yves Rocher เป็นที่รู้จักในด้านนวัตกรรมเด่นๆ ที่มีการใช้ส่วนผสมจากพฤกษศาสตร์ เช่น Arnica, Chamomile, Shea Butter และ Aloe Vera เป็นต้น นวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญของโมเดลธุรกิจของ Yves Rocher คือการที่แบรนด์มีทีมนักวิจัยภายในองค์กรที่อุทิศตนเพื่อศึกษาและสำรวจคุณสมบัติของพืชต่างๆ และค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา การศึกษาเหล่านี้นำไปสู่ความก้าวหน้ามากมายในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีความปลอดภัย 

 

Yves Rocher

 

The Product Range

Yves Rocher นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตั้งแต่หัวจรดเท้า มีทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ล่าสุดเพิ่งมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ไลน์รักษ์โลก ที่เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่อยากหันมาใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น Yves Rocher Solid Shampoo แชมพูแบบก้อนที่ไม่ใช้พลาสติกเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลาสติกมากถึง 30 ตันต่อปี และลดการใช้น้ำในการผลิตมากถึง 8 เท่า แต่ยังคงคุณค่าในการทำความสะอาดและการบำรุงได้อย่างเข้มข้น 

 

Yves Rocher

 

The Sustainability Efforts  

 

แคมเปญเพื่อสิ่งแวดล้อมล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยคือ Yves Rocher X LG And Friends: Act Beautiful to Make a Sustainable Difference ที่มีการร่วมมือกับ LG and Friends ของลูกกอล์ฟ-คณาธิป สุนทรรักษ์ ชูแคมเปญผ่านแฮชแท็ก #คุ้มยัง ที่รณรงค์ให้ทุกคนใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่าที่สุดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณขยะให้กับโลก ซึ่งใช้แฮชแท็กนี้ในการแชร์กิจกรรมได้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน นอกจากการร่วมมือกับ LG and Friends แล้ว Yves Rocher ยังจับมือกับอีกพันธมิตรอย่าง Chula Zero Waste ที่ผุดโครงการตู้กดน้ำที่ให้บริการในโรงอาหารของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้นักศึกษาได้กดน้ำใส่ Tumblr หรือขวดน้ำพกพาของตัวเองเพื่อช่วยลดขยะจากขวดน้ำพลาสติกไปในตัว มีแผนจะเริ่มในเดือนสิงหาคมนี้ 

 

Yves Rocher

และอีกพันธมิตรคือ ECOLIFE application โดย ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่จัดทำโครงการลดขยะนับล้านชิ้นมาอย่างต่อเนื่อง และมีการจับมือกับ Yves Rocher ตั้งเป้าจะลดปริมาณบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่ใช้หมดแล้ว (ของทุกแบรนด์) เพื่อรวบรวมให้ถึง 80,000 ขวด ภายในปี 2566 เพียงลูกค้านำขวดครีมเปล่าไปทิ้งที่กล่องในร้าน Yves Rocher จะได้รับ ECO เพื่อใช้เป็นส่วนลดหรือร่วมกิจกรรมต่างๆ ใน Yves Rocher ได้

 

Yves Rocher

The post Yves Rocher แบรนด์ที่มีหัวใจรักษ์โลกมาตั้งแต่ Day 1 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Rocher Thailand เปิดตัวแคมเปญ Acts of Love ได้ ใหม่ ดาวิกา และ กลัฟ คณาวุฒิ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แคมเปญร่วมกันครั้งแรก https://thestandard.co/yves-rocher-thailand-acts-of-love/ Fri, 28 Jan 2022 04:49:27 +0000 https://thestandard.co/?p=587654 Yves Rocher

Yves Rocher Thailand เปิดตัวแคมเปญ Acts of Love ได้ ใหม […]

The post Yves Rocher Thailand เปิดตัวแคมเปญ Acts of Love ได้ ใหม่ ดาวิกา และ กลัฟ คณาวุฒิ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แคมเปญร่วมกันครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Rocher

Yves Rocher Thailand เปิดตัวแคมเปญ Acts of Love ได้ ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่  และ กลัฟ-คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แคมเปญร่วมกันครั้งแรก เพื่อเป็นตัวแทนถ่ายทอดถึงจุดยืนของแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธมิตรที่มีแนวคิดรักษ์โลกแบบเดียวกันมาร่วมสนับสนุนกิจกรรม เพราะ Yves Rocher เชื่อมั่นเสมอว่าการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคมคือแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ โดยจะมีการจัดงาน Acts of Love Together Fair งานรักษ์โลกที่ฮิปแอนด์คูลสุดๆ ในวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ณ Warehouse 30 ซึ่งทางแบรนด์ต้องการเชิญชวนทุกคนมารักษ์โลกไปด้วยกัน

.

สำหรับแคมเปญ Acts of Love นี้ ลาล่า-วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด เคยให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD POP เอาไว้ว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งการสร้างจุดยืน Inlove with Nature 

ซึ่งได้ต่อยอดเป็นแคมเปญ Acts of Love เพื่อตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ทุกคนต้องช่วยกัน สำหรับเราการรักษ์โลกมันรอไม่ได้แล้ว ทุกคนจะเห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลที่รุนแรงมาก ตอนนี้เราเหมือนอยู่ในโลกที่เสียแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ได้แปลว่ายังเหลืออีกครึ่งหนึ่งให้เสียได้อีก ขั้นต่อไปคือโลกก็คงพังแล้ว ดังนั้นตอนนี้มันคือโมเมนต์ที่เราทุกคนต้องตระหนัก แต่เราก็ไม่ต้องการให้ทุกคนต้องลำบากเปลี่ยนแปลงอะไรที่ย่ิงใหญ่ เราสามารถเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ถ้าทุกคนช่วยกันเราก็ได้ช่วยโลกเหมือนกัน เราเชื่อว่าทุกคนเป็น Green Hero ได้ 

 

สำหรับใครที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนันจุดยืนกับแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง Yves Rocher อย่าพลาดไปร่วมงาน Acts of Love Together Fair งานรักษ์โลกที่ฮิปแอนด์คูลสุดๆ ในวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ณ Warehouse 30  

The post Yves Rocher Thailand เปิดตัวแคมเปญ Acts of Love ได้ ใหม่ ดาวิกา และ กลัฟ คณาวุฒิ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แคมเปญร่วมกันครั้งแรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับตาการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ของ Yves Rocher กับ Brand New ID ใหม่ https://thestandard.co/yves-rocher-transform/ Fri, 19 Nov 2021 11:00:35 +0000 https://thestandard.co/?p=561860 Yves Roche

ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายคนน่าจะสังเกตเห็นว่าหนึ่งในแบร […]

The post จับตาการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ของ Yves Rocher กับ Brand New ID ใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Roche

ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลายคนน่าจะสังเกตเห็นว่าหนึ่งในแบรนด์สกินแคร์สัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Yves Rocher เริ่มเป็นที่จับตามองและอยู่ในกระแสของกลุ่มเด็ก Generation Millennials มากขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้คือหัวเรือใหญ่อย่าง ลาล่า-วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผละจากบ้านเก่าบริษัท L’Oreal ที่ผู้หญิงคนนี้เคยสร้างผลงานและพิสูจน์ความสำเร็จให้กับองค์กรมาแล้วมากมาย หลายคนอาจสงสัยว่าผู้หญิงเก่งที่อยู่ในบริษัทย่ิงใหญ่มาก่อนเล็งเห็นอะไรในแบรนด์ Yves Rocher ถึงยอมมารับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการทรานส์ฟอร์มบริษัท รวมถึงการเปลี่ยนทุกอย่างที่เคยล้าหลังให้ก้าวทันโลกแห่งอนาคตที่เธอไม่ได้ต้องการแค่ขึ้นขบวนให้ทัน แต่ต้องการเป็นหัวขบวนของการเป็น The Best Company for the World ตามความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่เอาจริงกับเรื่องรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่วันแรกที่สร้างแบรนด์ขึ้นมา 

 

THE STANDARD POP บุกไปเยือนออฟฟิศใหม่ของ Yves Rocher Thailand ที่เพิ่งย้ายสู่อาคารใหม่เอี่ยม Spring Tower บนชั้น 19 เพื่อพูดคุยกับ ลาล่า-วิลาสินี ภาณุรัตน์ ผู้บริหารคนสำคัญของแบรนด์ ที่จะมาเล่าถึงการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ของ Yves Rocher ประเทศไทย กับ New Brand ID ที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมทั้งแคมเปญ Acts of Love ที่จะเปิดตัวในเดือนมกราคม 2022 นี้ด้วย

 

Yves Roche

 

หลังจบภารกิจอันแสนเหนื่อยหนักจากบริษัทเดิมที่ดูดพลังจนเริ่มอิ่มตัว และคิดว่าได้ทำครบและพิสูจน์ความสำเร็จทุกอย่างแล้ว จึงคิดจะออกจากวงการบิวตี้ แต่ก็มีโอกาสที่หยิบยื่นมาจาก Yves Rocher  

ลาล่า: พอจบมิชชันนี้คือคิดเลยว่าไปแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว คือฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เมกอัพ ตั้งใจว่าจะออกจากวงการบิวตี้แล้วล่ะ เพราะอยากไปทำอย่างอื่นบ้าง ที่ผ่านมาทำครบและพิสูจน์ทุกอย่างแล้ว มันก็วนลูปเดิม จำได้ว่าตอนที่ Yves Rocher โทรมาตอนแรกไม่ได้สนใจเลย เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่า Yves Rocher คือใคร สุดท้ายเขาบอกว่าจะมีผู้บริหารระดับสูงมาเยี่ยมพอดี ก็เชิญเราไปคุย ทุกครั้งที่ทำเป็นหน้าที่เลยคือเวลาจะไปคุยกับใครก็จะทำการบ้านก่อน พออ่านที่มาของแบรนด์ปุ๊บ อุทาน Oh My god! เลย เพราะเรื่องราวเบื้องหลังที่เกิดขึ้นจากผู้ก่อตั้งแบรนด์ เรารับรู้ได้ถึงการสร้างแบรนด์จากแพสชันจริงๆ เราได้เห็นความอินของผู้ก่อตั้งแบรนด์ที่เน้นเรื่อง Power of Nature และรักษ์โลก มาตั้งแต่ Day 1 มันจึงไม่ได้เป็นแค่ Natural Ingredient Product ที่เขาทำ แต่มันเป็น Natural Ingredient Product ที่เขาทำโดยไม่กระทบสิ่งแวดล้อมเลย โมเมนต์นั้นพี่คิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้โอกาสในการทำแบรนด์ที่เข้ากับยุคสมัยพอดี เพราะคนเริ่มหันมาสนใจสิ่งแวดล้อม แม้จะยังไม่เยอะเท่ายุโรป แต่มันเริ่มแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่รู้จักแบรนด์ที่เข้ากันได้กับความเปลี่ยนแปลงนี้พอดี

 

Yves Roche

 

ลาล่า: ต้องบอกว่าด้วยงานที่ผ่านมาเราสร้างมาร์เก็ตติ้งที่ต้องสร้าง Story ขึ้นมาเองเพื่อดึงความสนใจของผู้คนมาเยอะ แต่พอมาเป็นแบรนด์ Yves Rocher เรารู้ได้เลยทันทีว่ามันไม่ต้องคอยสร้างเรื่อง Bullshit อีกต่อไปแล้ว เขามี Story ที่ดีงามของเขาอยู่แล้ว และจุดยืนของเขามัน Positive มาก เขาไม่ได้ทำแค่ Commercial อย่างเดียว แต่แยกเป็นแต่ละ Foundation ที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรเลยกับ Commercial ด้วย

 

ซึ่งลูกชายคนโตเป็นคนรัน แสดงให้เห็นชัดว่าเขาอินกับตรงนี้จากข้างในจริงๆ ดูจากที่เขาประกาศกร้าวว่า เขาจะไม่เป็น The Best Company in the World แต่เขาจะเป็น The Best Company for the World แล้วก็ชัดเจนมากๆ ว่ามันเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งแบรนด์ พอเรารับรู้ Story ตรงนี้ก็เลยอิน 

 

Yves Roche

 

จุดมุ่งหมายที่เจ้าของแบรนด์ต้องการทรานส์ฟอร์มองค์กรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอด 60 ปี คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจร่วมงานกับ Yves Rocher 

ลาล่า: ความประทับใจอันดับ 2 ที่ทำให้ตัดสินใจมาร่วมงานกับ Yves Rocher คือพอดู Ingredient ข้างหลังผลิตภัณฑ์จะรู้เลยว่าเขาใช้ Ingredient ดีมากเมื่อเทียบกับราคาที่เขาขาย และที่เมืองไทยเขามีฐานลูกค้าของเขาอยู่แล้ว 5 แสนคน แต่ไม่ได้บอกใครว่า เฮ้ยแก ฉันใช้ Yves Rocher ก็เลยมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น และมันก็พิสูจน์ว่า Product มีความ Strong จริงๆ ถ้าทำมาร์เก็ตติ้งแล้วแบรนด์ Strong บวกกับ Product Strong มันจะมีชัยไปกว่าครึ่ง ก็เลยเริ่มสนใจ ประกอบที่เขาบอกว่า สาเหตุที่แบรนด์เริ่มมองหา CMO เพราะว่าเขาต้องการจะทรานส์ฟอร์มองค์กร โดยจะเริ่มตั้งแต่ Global เพราะเขารู้ว่าการที่แบรนด์ Yves Rocher ทำการตลาดมา 60 ปี (ที่เมืองไทยทำการตลาดมา 22 ปี) มันไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาเริ่มต้นจาก Mail Order ทุกวันนี้ก็ยัง Mail Order อยู่ ก็คือมีความโบราณและไม่ได้รู้จักการทำมาร์เก็ตติ้งจริงๆ แม้ว่าเขาจะมีฐานลูกค้าเก่าที่กลับมาอยู่เรื่อยๆ แต่ฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นเด็กเจนใหม่เนี่ยเขาคุยไม่ได้เลย ก็เลยคิดว่าเขาต้องเริ่มเปลี่ยน นอกจากการทำการตลาดที่จะมาเน้นเจาะกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ เขาก็เริ่มมองเห็นว่าที่ยุโรปมันตัน แต่ที่เอเชียจะเป็น Rising ต่อไป 

 

ลาล่า: และสำหรับตัวเราเองก็อยากทำให้งานมันมีความหมายขึ้น จะดีกว่าไหมถ้าเราได้ทำมาร์เก็ตติ้งที่เราชอบ แต่ว่ามันมี Positive Impact กับโลก กับคนทั่วไป รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้นการได้โอกาสมาเริ่มต้นทรานส์ฟอร์มที่นี่ก็คือได้ทรานส์ฟอร์มจริงๆ แบบ 360 องศา ในชีวิตตัวเองก็ไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เป็น Once in a Lifetime เลยที่ได้โอกาสในการทำทุกสิ่งอย่างที่ไม่มีโอกาสไปทำกับที่อื่นแน่นอน 

 

เป้าหมายสำคัญที่ท้าทายได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปี 2020 

ลาล่า: ที่ผ่านมาทำแบรนด์บิวดิ้งมาตลอดชีวิต อินกับแบรนด์ สร้างแบรนด์ แบรนดิ้งสำหรับเราคือสำคัญมาก สิ่งที่ตั้งใจอย่างแรกที่มาทำที่ Yves Rocher คือการบิลด์แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นจุดยืนหรือมิชชันของแบรนด์จะไม่เปลี่ยนเลย แต่สิ่งที่เราจะเปลี่ยนคือวิธีการเล่าเรื่อง เพราะทุกวันนี้เด็กไม่เข้าใจและเด็กไม่ฟัง คือกลุ่มเด็ก Generation Millennials จะไม่รู้สึกว่านี่คือแบรนด์ของตัวเอง ก็เลยอยากทำให้แบรนด์แข็งแรงและเป็นที่รู้จัก เพราะคนรู้จักน้อยมาก ถ้าเราจะคุยกับคนกลุ่มนี้ต้อง Define กับกลุ่ม Consumer ใหม่ ตอนที่เข้ามาค่าเฉลี่ยอายุของคนที่เป็นลูกค้าคือ 48 ซึ่งค่อนข้างสูงมาก เราไม่สามารถอาศัยคนกลุ่มนี้ไปได้ตลอด เพราะไม่กี่ปีเขาก็อาจจะหยุดใช้ไปแล้ว ต้องหาคนใหม่ๆ แน่นอนว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะทำให้ Voice ของเราดังขึ้นคือเด็กกลุ่มนี้ แต่เราก็จะ Specific ว่าจะต้องเป็นกลุ่มที่ชอบ Ingredient ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ยากเลย เพราะ 80% ของคนเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ซึ่งคนที่สนใจเรื่อง Ingredient ต้องเป็นคนที่เริ่มใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งพอเรา Define Target Consumer ใหม่ เราก็จะต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เราจะคุยกับเขายังไงให้เขาอิน ก็คือออนไลน์ 

 

  1. ปรับช่องทาง เพราะแต่เดิมคือ 100% ขายผ่านหน้าร้าน ก็เลยต้อง Optimize ใหม่ และต้องเตรียมการสำหรับออนไลน์ แต่ว่าออนไลน์แพลตฟอร์มอย่าง Social Selling นี่แหละที่คิดว่ามันจะเป็น Online Channel ของเราก็ทำกันไปตอนนั้น พอโควิดมาปุ๊บ กลายเป็นว่าหน้าร้านต้องปิด 100% เรายังไม่มี Social Selling ก็ต้องสู้กันแบบสุดใจขาดดิ้น ผัน BA ของเรา 300 คน มาทำ BA Commerce ที่เริ่มโทรไป มีไลน์ มี Facilitate ว่าไม่ต้องออกจากบ้านก็ซื้อได้ แล้วก็กลับไปแอ็กทีฟที่ Lazada กับ Shopee ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเรามันถูกจริตคนกับช่วงที่เกิดโควิดใหม่ๆ พอดีที่เน้นเรื่องไฮยีน ทำให้ยอดขายตอนนั้นโตระเบิดมาก เราเลย Keep เป็นอีกหนึ่งช่องทางการขายของแบรนด์มาถึงปัจจุบันนี้ และตอนนี้ก็กำลังทำ Social Selling กันอยู่ พอเรามี Data เราก็อยากทำ CRM ด้วย (Customer Relationship Management) ซึ่งก็คือการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธุรกิจของแบรนด์
  2. เพิ่ม Value ของสินค้า เพื่อให้สินค้ามี Story ที่โดดเด่นและชัดเจนขึ้น  

 

Yves Roche

 

หลังเข้ามาบริหารไม่นาน การ Turn Around แบรนด์จากที่ไม่มีใครพูดถึงในออนไลน์ ก็มีการทำเกี่ยวกับ Social Media Activation ส่งผลให้ Yves Rocher เป็น No.1 ที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในตลาดบิวตี้ในเวลาแค่เดือนเดียว ล่าสุดกำลังเริ่มส่วนที่เป็น Omni Channel 

ลาล่า: ส่วนที่เป็น Omni Channel อันนี้เพิ่งเริ่มเลย แล้ว CRM ก็เพิ่งจะรื้อ Data ใหม่ เขียนใหม่ เลยตัดสินใจใช้ CRM Salesforce เพื่อจะรู้ว่าลูกค้าเราคือใคร Offer ยังไง แคมเปญทำอะไรยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้ยังคงอีกไกลกับการพัฒนา Omni Channel ให้แข็งแกร่ง เพราะปีหน้าเราจะเต็มที่ยิ่งกว่านี้ เพราะเราจะเป็น Customer Experience แล้วบอกตรงๆ ว่าตื่นเต้น เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ และมันจะเป็นอนาคตแน่ๆ คือถ้าใครทำแล้ว Win ปุ๊บ มัน Win แน่นอน แต่มันไม่ใช่ทุกคนจะทำได้  ดังนั้น Ambition ปีหน้าสิ่งนี้จะใหญ่ที่สุดที่เราจะ Drive 

 

สิ่งที่ทำให้ภูมิใจในภาวะที่โรคระบาดโควิดกลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น

ลาล่า: สิ่งที่ภาคภูมิใจก็คืออย่างรู้กันว่าตลาดบิวตี้ของปีที่แล้ว มันติดลบประมาณ -8 ตั้งแต่มีโควิดเข้ามา แต่แบรนด์ของเรา +7 ในขณะที่ร้านเราปิดหน้าร้านเกือบ 2 เดือนเต็ม เราก็ทำผลงานเป็นบวกได้ ปีนี้ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะไม่คิดว่าโควิดจะกลับมาและเกิดผลกระทบใหญ่อีก เพราะเราล็อกดาวน์นานกว่าเดิม ตลาดที่ผ่านมาก็ติดลบเยอะกว่าเดิมคือ -11 แต่เราก็ทำได้ +7 เหมือนเดิม ก็มาจากแบรนด์ด้วยและมาจากผลิตภัณฑ์ที่เราทำ Strategy ชัดเจนขึ้นว่าทำไมควรซื้อสินค้านี้ ไม่มีใครรู้ว่าเราคือ 100% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเรานำเข้าจากฝรั่งเศส คุณภาพคับแก้ว ในราคาที่ถูก พอเราทำ Product Communication มีการสื่อสารมากขึ้น มันก็เลยไปได้ค่อนข้างดี ต้องขอบคุณบ้าน Yves Rocher ที่ให้โอกาสและเชื่อเรา จนเราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไรกับทีมของเรา จะเปลี่ยนอะไรยังไงบ้าง ก็เลยจัดการเปลี่ยนทีมก่อนเลย เพราะต้องการมือขวามือซ้ายที่เข้ามือกัน จริงๆ ครึ่งหนึ่งของที่นี่ที่นั่งทำงานอยู่กับ Yves Rocher คือลูกน้องเก่าที่เคยทำงานด้วยกันมา ก็ดึงกันมาเพื่อกรูมทีมใหม่ กลุ่มคนเหล่านี้แหละที่ช่วยทำให้ 3 Agenda ดำเนินไปได้ด้วยดี 

 

หัวใจสำคัญในการรับมือกับวิกฤตโควิดคือการปรับตัวเร็ว

ลาล่า: โควิดทำให้เราต้องปรับตัวกันได้เร็วเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ต้องบอกว่าวิกฤตเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ไม่มีใครแพลนมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้น แต่พอมันเกิดแล้วเราเห็นโอกาสว่า Man Power ในทีมของเรามีความ Agility มาก อย่างที่มักจะมีคนพูดเสมอว่าการเปลี่ยนแปลงที่มันรวดเร็วขึ้น ที่มันจะเห็นผลชัดเจน มันจะเกิดจาก 2 วิ คือ วิกฤตกับวิสัยทัศน์ ถ้าเราปรับตัวเร็วเราจะได้เปรียบ ตอนนั้นก็คือให้ทีมลืมไปเลยว่าตัวเองสวมหมวกอะไรอยู่ เราต้องดีไซน์การทำงานใหม่เลยว่าการที่เราจะหันมาใช้ E-Commerce เราต้องทำอะไร ต้องใช้อะไรบ้าง อันนี้ที่พี่เห็นว่าเป็นโอกาส ซึ่ง +7% ที่ได้มา ก็มาจากอันนี้แหละ คือทำเลย ลองผิดลองถูก และปรับตัวเร็ว 

 

ลาล่า: ทำให้โจทย์ตอนนี้จะชัดขึ้น จาก 3 Agenda ที่คิดและเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2020 มันเป็นภาพลอยๆ เพราะตอนแรกที่เข้ามาเรายังไม่รู้ว่าพอทำสิ่งนี้ไปจะได้อะไร สองปีผ่านมาเราก็เพิ่งได้เริ่มแพลนการทำงานในปี 2022 กันแล้ว เราเรียนรู้มากขึ้น และเราชัดเจนมากขึ้นว่าต่อไปจะก้าวไปยังไง ปี 2022 สำหรับพี่คือปีที่เราจะเก็บเกี่ยวแล้วล่ะ ที่ผ่านมาเหมือนเราล้างบ้าน เราคลีนบ้านทุกอย่างแล้ว ปีหน้าเราจะไปต่อ ซึ่งโจทย์แต่ละอย่างมันจะมีความยากง่ายไม่เท่ากัน อันที่จะยากที่สุดเพราะต้องใช้พลังแรงงานมากที่สุดคือ Omni Channel เพราะเป็นเรื่องใหม่และเราเพิ่งเริ่มต้น 

 

แม้ Yves Rocher จะเป็นแบรนด์ที่มีจุดยืนเรื่อง Natural Ingredient Product ที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่วันแรก การที่ปัจจุบันมีแบรนด์ความงามต่างๆ เริ่ม Go Green คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

ลาล่า: ทุกคนอาจจะสังเกตเห็นว่าทุกแบรนด์ความงามในท้องตลอดตอนนี้ไม่มีแบรนด์ไหนเลยที่ไม่พูดว่าฉัน Green คือทุกแบรนด์ Green หมดเลย จริงๆ แล้วเราเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ Day 1 ข้อได้เปรียบของเราคือเพราะเราเริ่มก่อนชาวบ้านชาวเมือง เรากล้าพูดเลยว่าทุก Agenda ที่เกี่ยวข้องกับ Beauty หรือ Sustainability เช่น ลดการใช้พลาสติก, แพ็กเกจจิ้งรีไซเคิล, ผลิตภัณฑ์สามารถย่อยสลายได้ต่างๆ ฯลฯ พวกนี้ที่แบรนด์ต่างๆ กำลังทำอยู่ แต่เราทำมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วตลอด 60 ปี ซึ่งมันทำให้เราเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในเรื่องเหล่านี้ ถ้าถามว่าเทรนด์ Clean Beauty หรือเทรนด์ Green ที่กำลังมา เอาจริงๆ ก็เป็นโควิดทำให้คนสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น ในวงการบิวตี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็จะเห็นแน่นอนว่าปีหน้าทุกคนจะมาคุยกันเรื่องนี้เยอะมาก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจและมองสิ่งนี้อยู่มากๆ การที่แบรนด์ต่างๆ หันมาเทรนด์นี้มันก็ดีแล้วที่แบรนด์ต่างๆ ช่วยกันทำ เพราะมันจะทำให้อิมแพ็กที่มีต่อโลกดีขึ้น เหมือนเราต่างช่วยกันช่วยโลกและเคารพสิ่งแวดล้อมด้วย แต่ก็ภูมิใจว่าแบรนด์เราเป็นผู้นำเรื่องนี้และทำด้วยแพสชันแท้จริง

 

Yves Roche

 

สิ่งที่ทำให้ Yves Rocher แข็งแกร่งกว่าใครในตลาด Clean Beauty ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนของโลกและไม่กระทบสิ่งแวดล้อม

ลาล่า: ทุกคนรู้จักว่าเราเป็น Beauty Brand หรือ Botanical Brand ที่ใช้ Natural Ingredient แต่ว่าเบื้องหลังตรงนั้นเราเป็นคนที่สื่อสารกับธรรมชาติ แบรนด์เราไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มี Natural Ingredient เพราะเราไม่ใช่ แต่เราคือแบรนด์ที่ต้องมีทั้ง Sustainable และ Botanical Solution แม้ว่าแน่นอนว่าเราใช้ Natural Ingredient แต่มันต้องเป็น Natural Ingredient ที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืนกับโลก มันยากนะกับการที่จะทำให้ผู้บริโภครู้จัก Content หรือ Story เหล่านี้ เพราะมันเยอะมากๆ แล้วผลิตภัณฑ์ของเราคือส่งตรงมาจากฝรั่งเศส หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราทำได้และแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งทั่วไปคือเราไม่มีตัวกลาง เพราะเราปลูกเอง เก็บเกี่ยวเอง ผลิตเอง ทุกอย่างผลิตจากที่เดียวกันคือ La Gacilly ที่เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์นี้ เพราะโมเดลแบบนี้ทำให้เราขายได้ถูกและเป็นราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นโจทย์ที่พี่ต้องคิดตลอดว่าจะเล่ามันออกมายังไงถึงสิ่งที่เราแตกต่างและโดดเด่น เพราะที่ผ่านมาเหมือนโดดเด่นแค่ในบ้านของตัวเอง รู้กันเอง แต่คนนอกไม่รู้ หน้าที่เราคือทำให้คนรู้จักเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เรา Define Target กันใหม่ด้วย

 

New Brand ID คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ภายใต้การทรานส์ฟอร์มของ Yves Rocher Thailand

ลาล่า: New Brand ID คือสิ่งที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เปลี่ยนไป เพื่อเน้นให้ผู้บริโภคเข้าถึงง่ายขึ้น ดังนั้นปีหน้า 2022 จะได้เห็นแน่นอน ถามว่าทำไมต้องรอปีหน้า เพราะว่าทีม Global เขาใช้เวลาในการผลิตทุกสิ่งอย่าง เขาเองก็คราฟต์แบรนด์และมีการเปลี่ยนเหมือนกัน คือเขาก็พยายามหาว่ามุมไหนที่เขาจะพูดถึงดี สมัยก่อนโน้นเขาพยายามจะเล่าเรื่องผ่านสโลแกน Act Beautiful ซึ่งเป็นสโลแกนเก่า แล้วคนไม่เข้าใจ เขาเลยใช้เวลาในการตามหาว่าอะไรจะดีกว่า แล้ววันนี้แหละเขาเพิ่งจะเปิดเผยออกมาว่าเป็น New Brand ID ซึ่งก็จะเป็นสโลแกนใหม่ และเอาจุดยืนมาเล่าเรื่องใหม่ให้ทันสมัยขึ้น และ Brand ID ทั้งหมดจะโดนเปลี่ยน ออฟฟิศ Yves Rocher Thailand ก็เป็นออฟฟิศเดียวในโลกที่เริ่มก่อน Head Quarter ด้วยที่ใช้ Visual Graphic ของ New Brand ID มาตกแต่งออฟฟิศใหม่ และจุดยืน Inlove with Nature ก็จะต่อยอดเป็นแคมเปญ Act of Love ที่จะเป็นแคมเปญใหญ่ของเดือนมกราคมปีหน้า และที่จะเปิดตัวเลยก็คือ Act of Love และ New Brand ID ซึ่งมันหมายถึงจุดยืนเรื่อง Green ด้วย มันจึงเป็นเหมือน Commitment ของเรา และเป็นมิชชันของเราด้วย และปีหน้าจะมีสินค้าออกใหม่ที่เป็นเมนของเราเยอะมาก 

 

สิ่งที่อยากสื่อสารถึงแฟนๆ ของ Yves Rocher เกี่ยวกับโลกและสิ่งแวดล้อม

ลาล่า: อยากบอกว่ามันไม่มีโมเมนต์ไหนที่ชัดเจนเท่านี้แล้วล่ะว่าทุกคนต้องช่วยกัน สำหรับเราการรักษ์โลกมันรอไม่ได้แล้ว ทุกคนจะเห็นว่าผลกระทบที่มันเกิดขึ้นนั้นส่งผลที่รุนแรงมาก ตอนนี้เราอยู่ใน Last Minute คือถ้าถัดมาจากนั้น 1 นาที แปลว่าโลกจะพังแล้วนะ ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่เสียแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่ได้แปลว่ายังเหลืออีกครึ่งหนึ่งให้เสียได้อีก มันไม่ใช่นะ ขั้นต่อไปคือโลกก็คงพังแล้ว ดังนั้นตอนนี้มันคือโมเมนต์ที่เราทุกคนต้องตระหนักและมาคิดเรื่องนี้กันได้แล้ว แต่เราก็ไม่ต้องการให้ทุกคนต้องลำบากเปลี่ยนแปลงอะไรที่ย่ิงใหญ่ เราสามารถเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ ถ้าทุกคนช่วยกันเราก็ได้ช่วยโลกเหมือนกัน เราเชื่อว่าทุกคนเป็น Green Hero ได้ และมันเป็นเรื่องของทุกคนนะ เราไม่ได้บังคับว่าต้องใช้แบรนด์เรา จะใช้แบรนด์อื่นที่รักษ์โลกก็ได้ ขอให้เป็นสิ่งที่มี Positive Impact ด้วยค่ะ

The post จับตาการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ของ Yves Rocher กับ Brand New ID ใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Beauty List: รวมลิสต์น้ำหอมมาใหม่ที่ช่วยแมตช์กลิ่นให้เข้ากับอารมณ์และคาแรกเตอร์ของตัวเอง https://thestandard.co/beauty-list-new-perfumes/ Thu, 25 Feb 2021 11:09:52 +0000 https://thestandard.co/?p=459438 น้ำหอม

วงการน้ำหอมพากันประเดิมไตรมาสแรกของปี 2021 อย่างคึกคัก […]

The post Beauty List: รวมลิสต์น้ำหอมมาใหม่ที่ช่วยแมตช์กลิ่นให้เข้ากับอารมณ์และคาแรกเตอร์ของตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
น้ำหอม

วงการน้ำหอมพากันประเดิมไตรมาสแรกของปี 2021 อย่างคึกคัก และน้ำหอมในปีนี้บอกเลยว่าว้าวได้ใจ เพราะแต่ละแบรนด์ที่ THE STANDARD POP รวมลิสต์มาฝากผู้อ่านนั้นเป็นแบรนด์ที่หลายคนยอมสวามิภักดิ์ให้กับความดีงามของทั้งเรื่องราวของแบรนด์ แนวคิด ดีไซน์ และแนวกลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง แต่อีกหนึ่งความสนุกที่เราไม่อยากให้สาวๆ พลาดคือการเล่นกับเทรนด์ Personalized Fragrance ที่เดี๋ยวนี้การมิกซ์กลิ่นน้ำหอมเพื่อแมตช์กับไลฟ์สไตล์ หรืออารมณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน ก็ทำให้การฉีดพรมน้ำหอมก่อนจากบ้านสนุกและน่าสนใจขึ้นเยอะเลย ถ้าพร้อมจะไปอัปเดตกลิ่นน้ำหอมใหม่ๆ แล้ว ตามเรามาเลย

 

น้ำหอม

 

1.Bvlgari Parfums เหมาะกับสาวมั่นที่มีความ Super Productive 

We Say: Bvlgari Parfums เป็นน้ำหอมระดับไฮเอนด์ที่เปิดประสบการณ์ใหม่ สำหรับคนรักน้ำหอม ด้วยคอนเซปต์ Your Personalized Fragrance ซึ่งผู้ใช้สามารถสร้างกลิ่นที่แมตช์กับอารมณ์และคาแรกเตอร์ของตัวเองในแต่ละวันได้ ซึ่งเป็นไอเดียที่เก๋และน่าสนุกมากๆ สำหรับการแมตช์นั้นจะต้องใช้น้ำหอมเป็นสองส่วนผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งแบบแรกจะเป็นขวดที่มีสีสันจะเรียกว่า Eau De Parfum ประกอบด้วยกลิ่น Riva Solare, Dolce Estasi, Fiori D’Amore, Rock’N’Rome และ Fantasia Venteta ส่วนขวดสีขาว เป็นกลิ่นสำหรับใช้ฉีดผสมกับกลิ่นหลัก ซึ่งจะเรียกว่า I Magnifying  Essence ทำหน้าที่ปรับ Eau De Parfum ให้ตรงกับอารมณ์ในแต่ละวันของเรา ได้อย่างง่ายดาย ทำให้หนึ่งกลิ่นของ Eau De Parfum ที่เรามี สามารถเอาไปมิกซ์กับกลิ่นใดๆ ใน I Magnifying  Essence ทั้ง 5 กลิ่นได้เลย ทำให้มันกลายเป็นน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสามารถเปลี่ยนไปได้ เรื่อยๆ ตามอารมณ์ที่เปลี่ยนไป บางวันอยากน่ารักไร้เดียงสา บางวันอยากเซ็กซี่ บางวันอยากเป็นสาวเฟมินีนหวานๆ ก็ทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ฉีดผสมกันในอัตราส่วน 1:1 กลายเป็นอีกหนึ่งกิมมิกสนุกๆ ที่ทำให้การฉีดน้ำหอมของสาวๆ พิเศษขึ้นกว่าที่เคย 

 

น้ำหอม

 

2. Kenzo Parfums เหมาะกับสาวขี้เล่นที่ปรับตัวเก่ง

We Say: เราอาจเคยเห็นน้ำหอม Kenzo Parfums กันมานาน ด้วยดีไซน์ขวดที่เป็นเหมือนก้านดอกไม้สุดเรียบง่าย แต่ล่าสุด อัลเบอร์โต โมริยาส ปรมาจารย์นักปรุงน้ำหอมที่สร้างกลิ่น Power by Kenzo Eau de Parfum มาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ได้มีการปรับดีไซน์ใหม่รับปี 2021 ด้วยการเปลี่ยนสีขวดน้ำหอมเป็นครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นใหม่ Flower By Kenzo Poppy Bouquet ในขวดสีชมพู แนวกลิ่นจะประกอบด้วยความหอมชุ่มฉ่ำของลูกแพรนาชิ, ดอกกุหลาบบัลแกเรีย, ดอกมะลิ และดอกการ์ดีเนีย เพิ่มความหอมละมุนอีกนิดด้วยกลิ่นของเปลือกไม้อัลมอนด์ ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นใหม่นี้เป็นแนวกลิ่นที่ดูทันสมัยขึ้น สดชื่นขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอายดั้งเดิมบางอย่างตัวน้ำหอมเอาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว 

 

สำหรับน้ำหอม Flower by Kenzo Poppy Bouquet มีทั้งหมด 3 ขนาดคือ 30 ml.

2,550 บาท, 50 ml. 3,600 บาท และ 100 ml. 4,900 บาท

 

น้ำหอม

 

3. Yves Rocher เหมาะกับสาวรักษ์โลก 

We Say: แต่เดิมแบรนด์ Yves Rocher ยึดมั่นในพลังรักษ์โลกมาตลอด ตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ ทุกครั้งที่มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก็มักจะยึดคอนเซปต์นี้เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ แฮร์แคร์ หรือแม้กระทั่งน้ำหอมก็อยู่ในไลน์รักษ์โลกเช่นเดียวกัน ล่าสุด Yves Rocher ส่ง Love Collection น้ำหอม 3 กลิ่นใหม่ มาเอาใจสาวรักษ์โลก ได้แก่ Oui’ A L’amour ที่มีกลิ่นกุหลาบอันโดดเด่น และดอกแองเจลา ใช้แล้วจะได้พีลลิ่งเป็นหญิงสาวที่ดูอ่อนหวาน ส่วนกลิ่น Mon Rouge จะหอมแบบเย้ายวน ซึ่งเด่นด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ กลิ่นสุดท้าย Quelques Notes ผสมผสานกลิ่นกุหลาบเข้ากับกลิ่นดอกไม้ชนิดอื่นๆ ทำให้กลายเป็นน้ำหอมที่สามารถแมตช์กับคาแรกเตอร์สาวรักษ์โลกที่พร้อมจะออก

ไปสร้างสรรค์สิ่งดีงามต่อโลกใบนี้ 

 

น้ำหอม

 

4. Ralph Lauren เหมาะกับหญิงสาวที่ชอบมีความรัก 

We Say: น้ำหอม Ralph Lauren Romance EDP Spray ได้ฉายาว่าเป็นน้ำหอมแห่งรักแท้ แนวกลิ่นจะผสานความหอมอันโดดเด่นของส้มแมนดารินเข้ากับพิงค์เปปเปอร์ รวมถึงความหอมแบบมีชีวิตชีวาของดอกกุหลาบและดอกมะลิ ทำให้เมื่อเป็นกลิ่นรวมของน้ำหอมขวดนี้ สามารถจำกัดความได้ว่าเป็นกลิ่นที่หวานและโรแมนติกสุดๆ เลยทีเดียว จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครอีกหนึ่งอย่างของน้ำหอม Ralph Lauren Romance EDP Spray คือเขาจะออกแบบวิธีการฉีดน้ำหอมมาเป็นของตัวเองดังนี้ โดยให้ฉีดน้ำหอมลงบนบริเวณที่ต้องการ หรือตามข้อพับร่างกายเพื่อให้กลิ่นติดทนนานขึ้น เมื่อฉีดแล้วกลิ่นจะชัดขึ้นตามอุณหภูมิร่างกายของแต่ละคน และมีข้อแนะนำว่าหลังการฉีดน้ำหอม ไม่ควรไปแตะหรือถูบริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้กลิ่นจางไวขึ้น ถ้าต้องการให้กลิ่นที่บริเวณข้อมือติดทนทั้งวันควรฉีดซ้ำหลังล้างมือทุกครั้ง และควรเปลี่ยนน้ำหอมทุกๆ 12 เดือน เพราะน้ำหอมที่หมดอายุ จะมีกลิ่นที่ผิดเพี้ยนไปจากกลิ่นดั้งเดิม (ย้ำว่าเป็นคำแนะนำสำหรับน้ำหอมของแบรนด์ Ralph Lauren เท่านั้น น้ำหอมบางแบรนด์อยู่ได้นานกว่า 1 ปี โดยที่กลิ่นไม่จางและไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม) 

ขนาด 100 ml. ราคา 3,900 บาท

 

 

ภาพประกอบ: กรินวสุรัฐกร

ภาพ: Courtesy of Brands 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post Beauty List: รวมลิสต์น้ำหอมมาใหม่ที่ช่วยแมตช์กลิ่นให้เข้ากับอารมณ์และคาแรกเตอร์ของตัวเอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ไม่ใช่แค่มอบความงามให้ผู้คน แต่ต้องทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ด้วย’ คิดแบบ Yves Rocher แบรนด์ความงามที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม https://thestandard.co/yves-rocher/ Fri, 15 Jan 2021 09:13:15 +0000 https://thestandard.co/?p=443538 Yves Rocher

‘อีฟ โรเช่ (Yves Rocher)’ บิวตี้แบรนด์อันดับหนึ่งจากประ […]

The post ‘ไม่ใช่แค่มอบความงามให้ผู้คน แต่ต้องทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ด้วย’ คิดแบบ Yves Rocher แบรนด์ความงามที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Rocher

‘อีฟ โรเช่ (Yves Rocher)’ บิวตี้แบรนด์อันดับหนึ่งจากประเทศฝรั่งเศส เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ ‘มองเห็น’ และให้ความสำคัญกับประเด็นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลานานแล้ว สะท้อนผ่านการพัฒนาสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้เป็นสำคัญ  

 

ครั้งหนึ่ง บรีส โรเช่ ประธานและซีอีโอกลุ่มบริษัท Yves Rocher Group เคยกล่าวเอาไว้ว่า “เป้าหมายของเราไม่ใช่การเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในโลก แต่เป็นบริษัทที่ทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อโลกใบนี้” 

 

ข้อความเบื้องต้นนี้จึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในการดำเนินงานตามแนวทาง และดีเอ็นเอที่ฝังอยู่ในตัวแบรนด์ Yves Rocher ได้อย่างชัดเจนทะลุปรุโปร่ง

 

https://www.youtube.com/watch?v=xJmZ1CMxgJ8&list=PLjKUcRkMitFJZdMXH7mCR9MoYrzAE1p29

 

เมื่อเร็วๆ นี้ Yves Rocher ยังปล่อย VDO ใหม่ #สวยมีสติ ที่ได้ ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ มาถ่ายทอดเรื่องราวของความสวยงามที่ไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติเสมอไป เพราะในเวลาเดียวกัน แค่มีสติ คิดถึงโลกใบนี้ คิดถึงสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะซื้อ ก่อนที่จะสวย เพียงเท่านี้เราก็สามารถสวยไปพร้อมๆ กับการดูแลโลกของเราได้

 

แล้วนอกจากจะสื่อสารถึงเป้าประสงค์และความตั้งใจของตัวเองในการร่วมลงมือดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา Yves Rocher ลงมือทำอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อร่วมดูแลคุณให้ ‘ดูดี’ พร้อมๆ กันกับที่ช่วยให้โลกของเรา ‘น่าอยู่ขึ้น’?

 

Yves Rocher

เจลอาบน้ำที่ Yves Rocher คิดมาเพื่อคุณและโลกใบนี้

 

ลดการใช้พลาสติก ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 30% เพื่อความยั่งยืน

 

สิ่งที่ Yves Rocher Group ได้ลงมือทำไปแล้วนั่นคือการช่วยลดขยะให้กับโลกได้มากถึงปีละประมาณ 2,700 ตันต่อปี ด้วยการที่ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาผลิตขึ้นจากพลาสติกรีไซเคิลแบบ 100% และยังสามารถนำไปรีไซเคิลได้แบบ 100% ด้วย 

 

โดยทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของ Yves Rocher ยังช่วยให้แบรนด์ของพวกเขาลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึงกว่า 30% ซึ่งมาจากการลดการใช้งานพลาสติกลง นั่นจึงทำให้กระบวนการทำลายพลาสติกไม่เกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ตามมานั่นเอง

 

Yves Rocher

 

ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตภัณฑ์ของ Yves Rocher ยังเป็นมิตรต่อสัตว์ ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากเป็นวีแกน 100% จึงไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยที่พวกเขายังลดปริมาณการใช้งานกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็น ‘Concentrate’ ด้วย เช่น เจลอาบน้ำและแชมพูในขวดขนาดใหม่ 100 มล. ที่ใช้พลาสติกน้อยกว่าเจลอาบน้ำ 400 มล. และแชมพู 300 มล. ถึง 4 เท่าและ 3 เท่า ตามลำดับ แต่ยังคงสามารถใช้งานได้ในจำนวนครั้งที่เท่ากัน ทำให้เราในฐานะผู้บริโภคก็มีส่วนร่วมในการช่วยโลกใบนี้ด้วย

 

ส่วนในปี 2021 นี้ Yves Rocher ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นในทุกๆ มิติ ทั้งจากการลดพลาสติกในกระบวนการผลิตจนเหลือ 0% ได้แล้ว ซึ่งในเร็วๆ นี้ หรือภายในปี 2021 Yves Rocher ก็จะนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาวางจำหน่ายในไทยแน่นอน

 

‘สวยแบบมีสติ’ นอกจากจะได้ดูแลความงามของตัวเองแล้ว ยังได้ร่วมดูแลโลกใบนี้ไปพร้อมๆ กัน

 

นอกจากนี้ยังมีโครงการปลูกป่าคืนสู่ธรรมชาติมากกว่า 100 ล้านต้น ที่ในทุกๆ การจ่ายเงินซื้อสินค้า 1 ชิ้น และในปี 2020 ที่ผ่านมา Yves Rocher Foundation ปลูกต้นไม้คืนสู่ป่ามากกว่า 100 ล้านต้น

 

และยังสานต่อโครงการ ‘คุณเปลี่ยนเราปลูก’ ต่อในปีนี้ โดยรว่มมือกับ ‘โครงการหลวงห้วยลึก’ เพื่อเปลี่ยนทุกๆ การซื้อสินค้า Yves Rocher ของคุณให้กลับคืนแปรเปลี่ยนเป็นการเพาะต้นกล้าปลูกต้นไม้คืนสู่ธรรมชาติ สร้างออกซิเจนและอากาศที่ดีกว่าให้กับโลกใบนี้ ซึ่งคุณสามารถมีส่วนร่วมได้โดยทุกๆ การซื้อสินค้า Yves Rocher ระหว่างวันที่ 15 ม.ค.-28 ก.พ. 2021 จะได้รับเมล็ดพันธุ์กลับไปปลูกแบบฟรีๆ

 

ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจของ Yves Rocher ที่มุ่งหวังจะให้เราทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ถนอมให้โลกใบนี้กลายเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ ธรรมชาติ แมกไม้พืชพันธ์ุ และสัตว์นานาชนิด ควบคู่ไปกับการดูแลตัวคุณเองให้สวย ดูดี

 

เพราะทุกๆ การตัดสินใจซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามของคนทุกคนย่อมมีผลกับโลกใบนี้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นคำว่า ‘สวยโลกไม่เสีย’ จึงไม่ใช่เพียงแค่แท็กไลน์ที่เก๋ๆ แค่ชื่อของมันเท่านั้น เพราะในทุกๆ ครั้งที่เราเลือกจะใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงผิว ดูแลตัวเองให้ดูดี หากเราเลือกที่จะซื้อสินค้าอย่างมี ‘สติ’ คิดถึงผลกระทบจากกระบวนการผลิตและที่มาของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้ถี่ถ้วน เราก็จะสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการไม่ทำร้ายโลกไปพร้อมๆ กับดูแลตัวเองให้ดูดีได้ตลอดเวลาได้นั่นเอง

 

ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ www.facebook.com/yvesrocherthailand/posts/10158303993307620

 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

The post ‘ไม่ใช่แค่มอบความงามให้ผู้คน แต่ต้องทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ด้วย’ คิดแบบ Yves Rocher แบรนด์ความงามที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Rocher ลดขยะพลาสติกถึง 2,700 ตันต่อปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์รักษ์โลก ผลิตขวดพลาสติกรีไซเคิลที่ใช้รีไซเคิลต่อได้ 100% https://thestandard.co/yves-rocher-cuts-2700-tons-of-plastic-waste-per-year/ Mon, 05 Oct 2020 06:49:10 +0000 https://thestandard.co/?p=403746 Yves Rocher

แบรนด์ความงามที่แสดงจุดยืนอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดในฐา […]

The post Yves Rocher ลดขยะพลาสติกถึง 2,700 ตันต่อปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์รักษ์โลก ผลิตขวดพลาสติกรีไซเคิลที่ใช้รีไซเคิลต่อได้ 100% appeared first on THE STANDARD.

]]>
Yves Rocher

แบรนด์ความงามที่แสดงจุดยืนอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดในฐานะของแบรนด์รักษ์โลกก็คือ Yves Rocher นอกจากที่ผ่านมาจะลุยลงพื้นที่ปลูกป่าที่เชียงใหม่ หรือการโปรโมตแคมเปญ ‘สวยโลกไม่เสีย’ อย่างต่อเนื่องแล้ว ล่าสุดทางแบรนด์ก็ออกมาประกาศความเคลื่อนไหวล่าสุดอีกครั้งในฐานะของการเป็นแบรนด์แรกในตลาดที่ผลิตขวดพลาสติกรีไซเคิลที่สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ 100% ทั้งหมด ซึ่งช่วยโลกลดขยะพลาสติกได้มากถึง 2,700 ตันต่อปี ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการตอกย้ำจุดยืนความเป็นแบรนด์รักษ์โลก

 

สำหรับ Yves Rocher นั้นเป็นแบรนด์ที่มองว่าเรื่องของความงามไม่ใช่แค่สิ่งผิวเผิน แต่ยังเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิตประจำวันของทั้งชายหญิงทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเชื่อมโยงระหว่างความงามและการสร้างความตระหนักรู้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และมีเนื้อหาสาระที่สามารถยึดถือได้ และแบรนด์เองก็เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในเรื่องของความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเสื่อมถอยลง เป็นเหตุให้แบรนด์มีความระแวดระวังในการใช้พลาสติกอยู่เสมอ และยังมุ่งมั่นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการปฏิรูปการออกแบบบรรจุภัณฑ์ตามแนวคิด Eco Design มาเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว

 

โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 เป็นต้นไป ขวดทุกขวดที่ออกมาจากโรงงานของ Yves Rocher จะผลิตจากพลาสติกประเภท PET* 100% เท่านั้น ซึ่งเป็นพลาสติกรีไซเคิลที่สามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์และธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนจากรายงานที่ผ่านมา Yves Rocher ผลิตขวดพลาสติกมากถึง 135 ล้านขวดต่อปี

 

Yves Rocher

 

ดังนั้นเมื่อแบรนด์หันมาเลือกใช้พลาสติกที่รีไซเคิลต่อได้ 100% ทั้งหมด เท่ากับว่าใน 1 ปี Yves Rocher จึงสามารถเลี่ยงการใช้พลาสติกใหม่ได้ถึง 2,700 ตันเลยทีเดียว 

สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่จากพลาสติกรีไซเคิลที่รีไซเคิลต่อได้ 100% เหล่านี้จะทยอยวางจำหน่ายที่หน้าร้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มทุกชั้นในทุกไลน์ผลิตภัณฑ์ และเร็วๆ นี้ทางแบรนด์เตรียมจะเสริมทัพผลิตภัณฑ์รักษ์โลก 100% ที่นำโดยคอลเล็กชันแชมพูและคอนดิชันเนอร์ที่เปิดตัวไปก่อนเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งจะสังเกตได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกรีไซเคิล 100% จะมีสีเทาหม่นขึ้นเล็กน้อย แต่รักษ์โลกได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนับสนุนสำหรับการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมอย่างแข็งขันเช่นนี้  

 

 

 

ภาพ: Courtesy of Yves Rocher

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post Yves Rocher ลดขยะพลาสติกถึง 2,700 ตันต่อปี ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์รักษ์โลก ผลิตขวดพลาสติกรีไซเคิลที่ใช้รีไซเคิลต่อได้ 100% appeared first on THE STANDARD.

]]>
บุกเชียงดาวไปปลูกป่าบนพื้นที่จริงที่ถูกไฟไหม้กับ Yves Rocher ในแคมเปญ ‘คุณเปลี่ยน เราปลูก’ https://thestandard.co/yves-rocher-plant-for-the-planet/ Thu, 24 Sep 2020 11:16:52 +0000 https://thestandard.co/?p=400551

เทรนด์การรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมในแวดวงความงามเริ่มมีการ […]

The post บุกเชียงดาวไปปลูกป่าบนพื้นที่จริงที่ถูกไฟไหม้กับ Yves Rocher ในแคมเปญ ‘คุณเปลี่ยน เราปลูก’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เทรนด์การรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมในแวดวงความงามเริ่มมีการตื่นตัวกันมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นการเปิดตัวนวัตกรรมต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อลดทอนการทำร้ายสิ่งแวดล้อมผ่านการหันมาใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล มีการเบนเข็มทิศทางการรักษ์โลกที่มีความจริงจังและยั่งยืนมากกว่าเดิมในหลายๆ แบรนด์ และ Yves Rocher เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่กำหนดจุดยืนมาตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ และผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเรื่อยมา ล่าสุด THE STANDARD POP มีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ Yves Rocher โดยมีความตั้งใจในการร่วมกันฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่าภายใต้แคมเปญ ‘คุณเปลี่ยน เราปลูก’ งานนี้มีการชวนสองหนุ่มหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติอย่าง อเล็กซ์ เรนเดลล์ ทูตสันถวไมตรีด้านสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทยที่ได้รับการแต่งตั้งโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ร่วมด้วย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ มาร่วมปลูกป่าบนพื้นที่จริงที่ถูกไฟไหม้เพื่อเป็นการฟื้นฟูป่าให้กลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม

 

 

โดยเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ใหม่ตามแนวคิด ‘Act Beautiful สวยโลกไม่เสีย’ และสานต่อเจตนารมณ์ของแบรนด์ที่มีมามากกว่า 60 ปี กับโครงการ Plant for the Planet ตั้งเป้าปลูกต้นไม้ให้ครบ 100 ล้านต้นทั่วโลก งานนี้จุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่โครงการหลวงห้วยลึก อุทยานแห่งชาติศรีลานนา ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ทันทีที่เดินทางไปถึงและเติมพลังด้วยมื้อกลางวันที่อร่อยและได้สุขภาพแล้ว เราก็เดินทางไปยังพื้นที่ที่จะทำการปลูกต้นไม้กันทันที โชคดีที่อากาศในวันนั้นเป็นใจ ท้องฟ้าครึ้ม ลมพัดเย็นสบาย 

 

 

เมื่อเดินทางไปถึงที่หมาย เราเห็นกลุ่มนักเรียนชาวกะเหรี่ยงและชุมชนอำเภอเชียงดาวเตรียมต้อนรับกันเป็นจำนวนมาก ทุกคนที่มารวมตัวกันในตอนนั้นต่างตั้งใจมาทำภารกิจการปลูกป่าร่วมกัน ภูพิชิต ช่วยบำรุง นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ ทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีลานนา กล่าวว่า “เมื่อต้นปีที่ผ่านมาพื้นที่ตรงนี้ได้รับผลกระทบจากไฟป่าและผู้บุกรุกเข้ามาถางพื้นที่ป่า ทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก ทางเราจึงได้ทำการตรวจยึดและดำเนินคดี และอยากจะฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมเพื่อที่ชาวบ้านจะได้กลับมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ พื้นที่ที่เราจะทำการปลูกต้นไหม้ในวันนี้มีขนาด 4 ไร่ โดยจะปลูกต้นสัก ต้นประดู่ ต้นมะขามป้อม และต้นขนุน รวมทั้งหมด 800 ต้น ทางอุทยานฯ ของเรายินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมกับทาง Yves Rocher และอยากขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ป่า และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการคืนความสมดุลสู่ธรรมชาติ” 

 

 

ทางด้าน วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “เราตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญต่อสิ่งมีชีวิต การปลูกป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่ทาง Yves Rocher จัดขึ้นในครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นการตอกย้ำจุดยืนของแบรนด์ที่เป็น Eco Sustainability และภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ตามแนวคิด ‘Act Beautiful สวยโลกไม่เสีย’ เพราะอย่างที่ทุกคนทราบดีว่าผลิตภัณฑ์ของ Yves Rocher ส่วนใหญ่ผลิตมาจากธรรมชาติ เราจึงร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมปลูกต้นไม้เพื่อคืนสมดุลให้แก่ธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดกิจกรรมที่ Yves Rocher กว่า 34 ประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะปลูกต้นไม้ให้ครบ 100 ล้านต้นภายในปี 2020 ผ่านโครงการ Plant for the Planet ที่รณรงค์ปลูกป่าอย่างถูกต้องกับหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไร นอกจากนั้นเรายังได้จัดแคมเปญ ‘คุณเปลี่ยน เราปลูก’ ให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมนำบรรจุภัณฑ์ที่ใช้หมดแล้วมาหย่อนในกล่องรับบริจาคได้ที่ช็อป Yves Rocher โดยการบริจาคบรรจุภัณฑ์ 1 ขวด ทางแบรนด์จะปลูกต้นไม้ 1 ต้น รวมทั้งยังมีกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ที่ทุกคนสามารถร่วมสนุกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกต้นไม้คืนสู่สังคมได้อีกด้วย” 

 

 

ตลอดกิจกรรมในการปลูกป่าในพื้นที่ที่เคยถูกไฟไหม้จริง เรายังเห็นร่องรอยของเถ้าถ่าน ซากต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกไฟไหม้อยู่ ทำให้ยิ่งอยากปลูกต้นไม้ให้ได้จำนวนมากเพื่อทดแทนและฟื้นฟูป่าให้กลับมาเขียวชอุ่มเหมือนเดิม ส่วนทูตสันถวไมตรีด้านสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทยอย่าง อเล็กซ์ เรนเดลล์ พูดถึงกิจกรรมในครั้งนี้ว่า “ผมเองมีโอกาสได้ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมมา ได้เห็นถึงผลกระทบของไฟป่าและการเผาป่า รับทราบว่ากว่าจะฟื้นฟูป่าได้นั้นค่อนข้างใช้เวลานาน ผมจึงอยากจะขอขอบคุณ Yves Rocher ที่ชวนผมมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในครั้งนี้ และขอบคุณทุกคนมากๆ ที่มาช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ป่า ผมดีใจและรับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์ของ Yves Rocher ที่ตั้งใจจะฟื้นฟูพื้นที่ป่าร่วมกับชุมชนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่อุทยานฯ รวมถึงเด็กๆ จากโรงเรียนใกล้เคียง เพื่อที่จะช่วยกันรักษาธรรมชาติของเราเอาไว้ครับ”

 

 

ทางด้าน ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ กล่าวเสริมว่า “ด้วยอาชีพของผมทำให้ผมได้รับโอกาสดีๆ อยู่เสมอ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าถ้าโลกของเราไม่มีความสมดุลระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ เราคงอยู่กันอย่างลำบาก ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมได้รับโอกาสจาก Yves Rocher ที่จะได้ฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่เสียหาย และได้เป็นกระบอกเสียงให้กับกิจกรรมในครั้งนี้ ผมสนุกและรู้สึกดีมากๆ ที่ได้เห็นสิ่งดีๆ รอบตัวเรา และได้มาปลูกป่าร่วมกับทุกคน ผมอยากฝากทุกคนว่าไม่ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน อยากให้ลองโทรไปถามเจ้าหน้าที่อุทยานฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดู เผื่อมีกิจกรรมให้เราได้ไปร่วมปลูกป่าหรืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นอีกโปรแกรมในทริปที่น่าสนใจและน่าสนับสนุนครับ” 

 

ภาพ: Courtesy of Yves Rocher
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post บุกเชียงดาวไปปลูกป่าบนพื้นที่จริงที่ถูกไฟไหม้กับ Yves Rocher ในแคมเปญ ‘คุณเปลี่ยน เราปลูก’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เช็กลิสต์ไอเท็มความงามมาใหม่สุดฮอตในสัปดาห์นี้ https://thestandard.co/this-week-top-cosmetics/ Fri, 19 Jun 2020 12:08:53 +0000 https://thestandard.co/?p=373377

ไม่ว่าโลกจะเผชิญอยู่กับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวแค่ไ […]

The post เช็กลิสต์ไอเท็มความงามมาใหม่สุดฮอตในสัปดาห์นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ไม่ว่าโลกจะเผชิญอยู่กับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม แต่ THE STANDARD POP ไม่อยากให้ทุกคนหยุดดูแลตัวเอง เพราะการดูแลตัวเองทั้งเรื่องสุขภาพอนามัย ผิวพรรณ และจิตใจ เป็นสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตประจำวันที่ไม่ควรละเลย และการรักตัวเองคือความรักที่สร้างพลังบวกมากมาย แถมเรายังโชคดีที่มีตัวช่วยหรือไอเท็มความงามใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย นอกจากจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจแล้ว การดูแลตัวเองให้ดูดียังจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีในการสร้างสิ่งใหม่ๆ อย่างมีพลัง ด้วย เอาล่ะ เราจะพาไปเช็กลิสต์กันว่าช่วงนี้มีไอเท็มใหม่ๆ อะไรน่าใช้บ้าง ไปดูกันเลย 

 

 

  1. Yves Rocher High Coverage Luminous Concealer

We Say: Now Normal ของสาวๆ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปต่างเริ่มคุ้นเคยและมองหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ซึ่งแบรนด์ Yves Rocher เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับสาวๆ ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์วีแกนที่มีความปลอดภัยและไม่ทดลองในสัตว์ ล่าสุดมีไอเท็มใหม่อย่างคอนซีลเลอร์เนื้อครีม 4 เฉดสี ที่คัดมาแล้วว่าเหมาะกับสาวไทย จุดเด่นอยู่ที่การปกปิดรอยหมองคล้ำใต้ดวงตาในระดับที่สูง โดยไม่ตกร่องหรือแห้งแตกระหว่างวัน และใช้ได้กับทุกสภาพผิว ส่วนผสมอย่างน้อย 83% มาจากธรรมชาติ ใช้ Cornflower ที่ปลูกแบบออร์แกนิกจากลา กาซิลลี ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ ไร้แอลกอฮอล์และน้ำหอม อ่อนโยน เหมาะกับผิวใต้ดวงตา (349 บาท)    

 

 

  1. Dior Lip Glow Oil 

We Say: ไอเท็มนี้เหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการดูแลริมฝีปากให้สวยและสุขภาพดีไปพร้อมกัน นี่คือลิปออยล์เนื้อแวววาวที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันความแห้งกร้านและเพิ่มความสดใสให้เรียวปากไปในตัว สีของลิปมีทั้งหมด 6 เฉด ที่แบรนด์เคลมว่าหลังใช้ 5 วัน เรียวปากจะแลดูสวยขึ้นแม้จะไม่ได้ทาอะไร นั่นเป็นเพราะส่วนผสมเด็ดอย่างน้ำมันเชอร์รีที่เป็นฟิล์มบางๆ เคลือบเรียวปาก เพื่อป้องกันความแห้งกร้านและปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายผิว ทำให้ค่อยๆ สร้างผิวของเรียวปากให้กลับมาสุขภาพดี ข้อดีของการใช้ลิปออยล์คือ ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ มอบประกายแวววาวเหมือนกระจก แต่เบาสบายเรียวปากเหมือนลิปแคร์ และมีนวัตกรรม Color Reviver Technology ที่จะเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิเรียวปากของแต่ละคน เหมาะสำหรับทุกสีผิว (1,390 บาท) 

 

 

  1. The Balm Autobalm GRL PWDR 

We Say: บลัชออนคอลเล็กชันใหม่ล่าสุดของ The Balm เอาใจสาวๆ ด้วยดีไซน์พาเลตต์สุดน่ารัก ภายในบรรจุด้วยบลัชออนเนื้อแมตต์ 3 เฉดสี ที่คิดมาให้แล้วว่าเป็นสีที่ได้ใช้บ่อยในชีวิตประจำวันแน่ๆ และมีบลัชออนผสมชิมเมอร์และไฮต์ไลต์รวมอยู่ด้วย สามารถใช้แต่งหน้ามอบสีสัน แสง และสร้างมิติบนผิว ให้ดูเรืองรองมีออร่าได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เราชอบที่สุดคือ พาเลตต์มีความน่ารัก หยิบมาใช้เมื่อไรก็ฟีลกู๊ด (1,150 บาท) 

 

Tip: ในคอลเล็กชันนี้ไม่ได้มีแต่บลัชออน แต่ยังมีพาเลตต์อายแชโดว์ที่น่ารักไม่แพ้กัน อย่าง Autobalm PIC PERF และ Autobalm DAY 2 NITE  (1,150 บาท) 

 

 

  1. Beautyblender® Shadeshifter Wave

We Say: หลายคนใช้มาตั้งแต่ยุคที่ฟองน้ำเป็นสีชมพูบานเย็นซิกเนเจอร์ แต่ล่าสุดแบรนด์ฟองน้ำแต่งหน้าชื่อดังอย่าง Beautyblender เปิดตัวฟองน้ำรุ่นใหม่ Shadeshifter Wave มีจุดเด่นตรงมันคือฟองน้ำรุ่นแรกของแบรนด์ที่สามารถเปลี่ยนสีได้เมื่อสัมผัสกับน้ำที่อุณหภูมิแตกต่างกัน เพียงจุ่มลงน้ำอุ่น ฟองน้ำจะเปลี่ยนจากสีม่วงลาเวนเดอร์แสนหวานไปเป็นสีฟ้าสดใสทันที ทำให้คุณไม่ลืมที่จะจุ่มฟองน้ำ Beautyblender ก่อนใช้งานทุกครั้ง (825 บาท) 

 

 

  1. Clinique iD™: Dramatically Different™ Hydrating Jelly Set

We Say: หากเราจะบอกว่านี่เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์สุดล้ำก็คงไม่ผิด เพราะแบรนด์ Clinique ปฏิวัติวงการมอยส์เจอไรเซอร์ด้วยการให้เลือกจับคู่เนื้อสัมผัสมอยส์เจอไรเซอร์กับบูสเตอร์เข้มข้น ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการที่ตามหา เพราะเลือกผสมผสานได้มากถึง 20 สูตรที่ต่างกัน (เขาต้องวิจัยต่อเนื่องมากว่า 50 ปี จนยืนยันได้ว่า นี่คือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานสูงสุด) มีจุดเด่นตรงที่แต่ละสูตรเข้าบำรุงผิวที่มีปัญหาต่างกันได้อย่างตรงเป้าหมาย เราเลือกแนะนำสูตร Anti Pollution เพราะเหมาะกับบ้านเราที่ยังต้องใส่ใจในการปกป้องผิวที่ถูกทำร้ายจากมลภาวะภายนอก เนื้อมอยส์เจอร์ไรเซอร์เบา ซึมเร็ว ไม่เหนอะหนะใบหน้า และสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว (ราคา 1,900 บาท) 

 

ภาพ: Courtesy of Brands

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

The post เช็กลิสต์ไอเท็มความงามมาใหม่สุดฮอตในสัปดาห์นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับทิศทางการบริหารและกลยุทธ์ปรับตัวใหม่ของ Yves Rocher ในประเทศไทย https://thestandard.co/yves-rocher-management-and-adjustment-strategy/ Sun, 24 May 2020 04:06:44 +0000 https://thestandard.co/?p=366293

THE STANDARD POP มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษหัวเรือใหญ่ของแ […]

The post จับทิศทางการบริหารและกลยุทธ์ปรับตัวใหม่ของ Yves Rocher ในประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>

THE STANDARD POP มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษหัวเรือใหญ่ของแบรนด์ อีฟ โรเช (ประเทศไทย) นั่นคือ วิลาสินี ภาณุรัตน์ Chief Marketing Officer บริษัท อีฟ โรเช (ประเทศไทย) จำกัด เกี่ยวกับแนวคิดและทิศทางของแบรนด์ความงาม หลังจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองว่าหลังจากนี้แบรนด์ Yves Rocher จะดำเนินธุรกิจและขับเคลื่อนกลยุทธ์ใหม่อย่างไรให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตอันแสนท้าทายนี้ไปได้ ซึ่งถ้าพูดกันตามตรง นี่คือวิกฤตของโลกที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจความงามในวงกว้างเช่นกัน และในฐานะที่เธอเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง CMO คนใหม่ให้กับแบรนด์ Yves Rocher งานนี้จึงถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เธอมีแนวคิดในการบริหารและพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสอย่างไร คำตอบทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ที่นี่แล้ว 

 

 

 

ในฐานะ CMO คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งไม่นาน ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการบริหารงานท่ามกลางวิกฤต คุณรับมือต่อสถานการณ์นี้อย่างไรบ้าง

ค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างยิ่งค่ะ ตอนที่ตัดสินใจรับตำแหน่ง CMO ที่นี่ โจทย์ใหญ่ที่สุดตอนนั้นคือการทรานส์ฟอร์มองค์กรที่มีมาอย่างยาวนาน และยังคงเป็นอันดับหนึ่งด้านความงามที่ฝรั่งเศส ให้ปรับตัวเข้ากับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่างกลุ่มมิลเลนเนียล และขยายทีมงานให้ทันกับ Digital Disruption ในตลาด ซึ่งตั้งแต่เราเริ่มปรับเปลี่ยนทุกสิ่งอย่าง เพิ่มทีมงานขึ้นถึง 5 เท่าตัว ขยายศักยภาพและทำแผนการตลาดไปในทางดิจิทัลทั้งหมด ส่งผลให้ยอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก (Double Digits) เพิ่มจำนวนลูกค้าได้ถึง 53% โดยเพิ่มลูกค้าที่มีความภักดีต่อแบรนด์ (Loyalty Customers) ขึ้นเท่าตัว และมีลูกค้าใหม่มากขึ้นกว่า 30% ในด้านการสร้างแบรนด์ เราปรับภาพลักษณ์ให้ดูเด็กขึ้น ทันสมัยขึ้น และสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ของเรา ซึ่งเห็นได้ชัดจากผลการรับฟังเสียงของผู้บริโภคที่อยู่ในบนโลกโซเชียลมีเดีย หรือที่เรียกกันว่า Social Listening จากเดิมที่อันดับของแบรนด์อยู่ใน 300 อันดับต่ำสุดในประเทศไทย ไม่นานมานี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ Yves Rocher ได้ขึ้นมาอยู่ในอันดับหนึ่งทั้งในแง่ส่วนแบ่งของเสียงในตลาด (Share of Voice) และการปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ (Engagement)

 

ขณะที่กำลังไปได้สวยก็บังเอิญเจอโควิด-19 ซึ่งกลายเป็นโจทย์ที่ใหญ่กว่ามาก อย่างที่ทุกคนทราบดีว่านี่คือ Life Disruption ที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในวงกว้างกว่าและในดีกรีที่มากกว่า ในแง่ของการสร้างผลกระทบต่อแบบแผนการอุปโภคบริโภค รูปแบบการซื้อสินค้า และแม้แต่ความคิด รวมถึงมุมมองของการใช้ชีวิตความเป็นอยู่เลยทีเดียว กลายเป็นบททดสอบใหม่ครั้งใหญ่ แต่เชื่อว่าถ้าเรามีกระบวนการทางความคิดที่เอื้อในการปรับตัว เราก็พร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับโจทย์ เปิดใจในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานให้เท่าทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อย่างแน่นอนค่ะ

 

 



เมื่อแบรนด์ความงามทั่วไปได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน Yves Rocher ได้รับผลกระทบแค่ไหน และมีการปรับกลยุทธ์อย่างไรในวิกฤตครั้งนี้
สำหรับเราซึ่งเกือบ 100% ของธุรกิจคือการค้าปลีก (Retail) ผ่านทางหน้าร้านกว่า 100 สาขา ถึงแม้ว่าเรากำลังจะเปิดตัว Yves Rocher Thailand Social Selling ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ใหม่ และจะเหมาะกับสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง แต่นั่นคือในไตรมาส 3 ดังนั้นเมื่อเกิดการล็อกดาวน์และต้องปิดหน้าร้านชั่วคราว ทำให้เราต้องพยายามหาทางออก

 

แน่นอนว่า E-marketplace กับคู่ค้าอย่าง Lazada, Shopee และ Konvy ที่เรามีหน้าร้าน Shop in Shop เป็นหนึ่งในทางออกและเป็นสิ่งที่เราต้องทำในช่วงนี้ แต่นอกจากนั้นพอเรากลับมามองในบ้าน เรามีทรัพยากรที่ดีที่สุดคือกลุ่ม Beauty Advisor (BA) หน้าร้านอยู่ถึง 330 คน ซึ่งนโยบายของบริษัทเราคือไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราจะต้องดูแลพนักงานทุกคนของเราอย่างดีที่สุด ไม่ให้มีผลกระทบถึงรายได้ เราไม่มีการตัดเงินเดือนใครเลย แม้ว่ายอดขายจะหายไปจากการปิดร้าน ดังนั้นเราจึงเห็นโอกาสว่าเนื่องจากลูกค้าเราไปหน้าร้านไม่ได้ แต่ BA ผู้รู้จักสินค้าดีที่สุดและอยากบริการลูกค้าที่สุดยังอยู่ เพื่อให้พนักงานมีรายได้เพิ่มเติมจากคอมมิชชันการขาย เราควรจะต้องทำแพลตฟอร์มให้พนักงานของเรายังสามารถรองรับลูกค้าที่ต้องการซื้อ โดยที่สามารถรับออร์เดอร์จากที่บ้านได้ ก็เลยเกิดเป็นโปรเจกต์ BA Commerce ขึ้น โดยเราแบ่งพนักงานเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะรับ Inbound คือออร์เดอร์หรือคำถามที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาผ่านทาง LINE Official Account และกลุ่มที่สองคือ Outbound คือกลุ่มที่จะติดต่อลูกค้าที่เป็น Loyalty ของเราผ่านทางโทรศัพท์และ Store Line

 

ในการรองรับการซื้อขายแบบใหม่นี้เราต้องรื้อกระบวนการหลังบ้านทั้งหมด ทั้งในแง่การชำระเงิน การขนส่ง และการให้บริการลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขาย ทุกคนตั้งแต่ผู้บริหารและแผนกต่างๆ ต้องมองข้ามโครงสร้างและวิธีการทำงานในองค์กรก่อนหน้านี้ไปเลย ทุกคนต้องยืดหยุ่นและเปิดรับการกำหนดวิธีการทำงานแบบใหม่นี้ ในส่วนของทีมการตลาด การมองผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงาน ก็จะต้องเป็นทัพหน้าคอยสังเกตและวิเคราะห์ข้อมูลที่เปลี่ยนไปจากสถานการณ์ แล้วมาปรับเปลี่ยนแผนการขาย การสื่อสาร และการเข้าถึงลูกค้าตลอดเวลา

 

 

 

เราเริ่ม BA Commerce นี้มาตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม หลังจากมีมาตรการรักษาความปลอดภัย ทำให้เราสามารถยังคงยอดขายในเดือนเมษายนได้กว่า 65% เทียบกับยอดขายในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าร้านของเราจะปิดทั้งหมดในปีนี้ และในเดือนพฤษภาคมเราคาดว่าจะสามารถไปได้ถึง 100% เลยทีเดียว

 

 

 

หลังจากมีคำสั่งผ่อนปรนระยะที่ 2 จาก ศบค. ให้ห้างสรรพสินค้าเปิดกิจการได้ และแบรนด์ Yves Rocher สามารถกลับมาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้เหมือนเดิม แบรนด์มีกลยุทธ์ในการกลับมาเปิดร้านอย่างไร 

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยทั้งสำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการและพนักงานของเราเอง เรื่องนี้ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากมาตรการจากทางรัฐบาลและทางส่วนของห้างที่เราจะทำตามอย่างเคร่งครัด ในส่วนของ Safety Protocol ของเราเองจากทางบริษัทแม่นั้น เราได้ทำเพิ่มเติมมากขึ้นทั้งในเรื่องการทำความสะอาดที่ถี่ขึ้นอีก หรือกฎเหล็กที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องสินค้าทดลอง โดยในเบื้องต้นของการเปิดร้าน ถึงแม้ว่าเราจะได้รับอนุญาตให้เปิดห้องบริการทรีตเมนต์ได้ เราจะขอจำกัดแค่บริการบางอย่างเท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยง และเพื่อให้สามารถมีเวลาเพียงพอในการทำความสะอาดระหว่างบริการลูกค้าแต่ละท่าน

 

 

 

โลกหลังโควิด-19 แบรนด์ Yves Rocher จะดำเนินกลยุทธ์อย่างไรในความปกติใหม่ของพฤติกรรมผู้บริโภคและสังคม

New Normal คือหัวข้อที่ทุกคนพูดถึงกันมากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งเราทุกคนตระหนักว่าทั้งความคิด ความต้องการ และพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน แต่ยังไม่มีใครทราบอย่างแท้จริงว่าอะไรบ้างและขนาดไหน เราทำได้แค่เพียงคาดเดาจากสิ่งที่เริ่มสังเกตเห็นแล้วในช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนั้นสำหรับเราเองมี 5 ส่วนที่จะดำเนินการจากความปกติใหม่ (New Normal) นี้ 

 

1. เนื่องจากเราเชื่อว่าลูกค้าได้เปิดรับการซื้อขายไร้พรมแดนของช่องทางที่เรียกว่า Omni-channel ไปแล้ว ดังนั้นเราจะยังดำเนินการช่องทาง BA Commerce ที่เราได้เริ่มมาไปพร้อมกับการขายหน้าร้านที่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง พร้อมกับการเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ Social Selling ในเดือนกันยายนอีกหนึ่งช่องทาง ซึ่งหัวใจของการทำ Omni-channel คือให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ คือไม่ว่าจะมาหาเราจากทางไหน Brand Message ราคาสินค้า การดูแลลูกค้า ต้องเหมือนกัน

 

2. วางแผนการสื่อสารทั้งหมดในทางดิจิทัล เราได้เริ่มต้นการ Digitalize Marketing Campaigns ต่างๆ มาแล้วตั้งแต่ต้น แต่เราจะเร่งให้เร็วขี้นและขยายวงให้กว้างขึ้นโดยใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น เรามีฐานลูกค้าแอ็กทีฟอยู่ 2.6 แสนคน ต่อจากนี้วิธีการติดต่อลูกค้ากลุ่มนี้จะผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับแต่ละเซกเมนต์ของลูกค้าทั้งหมด เนื่องจากเราเห็นแล้วว่าโควิด-19 ได้ทำให้พฤติกรรมการเสพสื่อหรือการเข้าถึงข่าวสารและข้อมูลได้ผันเปลี่ยนมาอยู่ในโลกของดิจิทัลทั้งหมด และในแง่ของการสื่อสารหรือ Contact Message เองก็จะต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับช่องทางการสื่อสารใหม่นี้ รวมถึงแต่ละกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ จากสถานการณ์นี้ 

 

3. CRM เป็นสิ่งที่ยิ่งสำคัญขึ้นไปอีกในเหตุการณ์นี้ที่มีผลกระทบกับลูกค้าในแง่ความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจและมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย เราเชื่อว่าลูกค้าจะมาหาแบรนด์ที่เข้าใจเขาได้ดีที่สุดและพูดกับเขาเข้าใจที่สุด เราไม่เชื่อว่าโควิด-19 จะทำให้ความภักดีต่อแบรนด์หายไป ในทางตรงกันข้าม นี่คือโอกาสที่ถ้าเราทำ CRM อย่างถูกต้อง เราจะสามารถรักษาฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มที่รักและใช้แบรนด์ของเราอย่างต่อเนื่องไว้ได้อย่างเหนียวแน่นมากขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเราได้เริ่มวางแผนการใหม่ในการทำ Segmentation & Retargeting CRM แล้ว

 

4. การนำเสนอสินค้า สำหรับสินค้าในกลุ่ม Hygiene ที่ช่วยรักษาความสะอาด ทางบริษัทแม่ก็มีการเร่งวิจัยสินค้าใหม่ๆ ในกลุ่มนี้เพื่อเร่งผลิตออกมา เช่น เจลแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ล้างมือและร่างกายเพื่อฆ่าเชื้อโรค ทางไทยเองเราเข้าใจถึงความต้องการใหม่ของผู้บริโภค สินค้ากลุ่มนี้ก็จะเป็นกลุ่มที่เราพยายามทำให้ราคาย่อมเยาที่สุด ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุด

 

5. ความเชื่อมโยงทางอารมณ์ต่อแบรนด์ Yves Rocher เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เรายึดมั่นถึงความเป็นมนุษย์และใจที่เปิดกว้าง ซึ่งเป็นวิถีการดำเนินงานเสมอมา จากเหตุการณ์นี้ เช่นเดียวกับองค์กรอื่น เราได้จำกัดงบการทำการตลาดและโฆษณา แต่งบของโครงการ Eco-sustainability และ CSR ในการช่วยให้โลกมีสภาพดีขึ้น เช่น การปลูกต้นไม้ 100 ล้านต้นทั่วโลกในปีนี้ หรือการส่งมอบสิ่งของให้กับโรงพยาบาล หรือการมอบทุนสนับสนุนคนทำงานทางด้าน Sustainability ไม่มีการตัดออกเลย เนื่องจาก Yves Rocher เห็นว่าการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ (Emotional Connection) กับลูกค้าผ่านทางโครงการต่างๆ เหล่านี้สำคัญยิ่งขึ้นไปอีกหลังจากโควิด-19

 

 

 

สิ่งที่แบรนด์ได้เรียนรู้จากวิกฤตโควิด-19 คืออะไรบ้าง

Survival of the Fittest คือการที่เราต้องสามารถสัมผัส เข้าใจ และเปิดใจ ปรับตัวให้เร็วที่สุดให้เข้ากับสถานการณ์  ‘Always stay ready to turn a dime and flex as things shift.’

 

ปรับตัว เปิดใจ แล้วก้าวผ่านไปด้วยกัน เป็นสโลแกนติดบ้านพนักงานเราทุกคนช่วงโควิด-19 ค่ะ อยากให้กำลังใจทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้นะคะ และขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกันค่ะ

 

 

 

ภาพ: Courtesy of Brand

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post จับทิศทางการบริหารและกลยุทธ์ปรับตัวใหม่ของ Yves Rocher ในประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>