Virtual Banking – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 22 Sep 2024 02:20:51 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดชื่อ ‘5 กลุ่มทุน’ ชิงใบอนุญาต Virtual Bank ดึงทุนต่างชาติแชร์ประสบการณ์จากต่างประเทศ https://thestandard.co/5-capital-groups-compete-for-virtual-bank-license/ Sun, 22 Sep 2024 02:20:51 +0000 https://thestandard.co/?p=986513

เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ธนาคาร […]

The post เปิดชื่อ ‘5 กลุ่มทุน’ ชิงใบอนุญาต Virtual Bank ดึงทุนต่างชาติแชร์ประสบการณ์จากต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ธนาคารแห่งประเทศไทย​ (ธปท.) เปิดให้บริษัทต่างๆ ยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธุรกิจ Virtual Bank ก่อนที่จะประกาศผลผู้ได้รับคัดเลือกในช่วงกลางปี 2568 และจะเริ่มดำเนินการจริงได้ในช่วงกลางปี 2569 

 

หนึ่งในวัตถุประสงค์ของการเปิดให้มี Virtual Bank ขึ้นมาในประเทศไทย เพราะต้องการช่วยให้คนที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อมีโอกาสเข้าถึงมากขึ้น รวมทั้งการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Virtual Bank กับธนาคารดั้งเดิม (ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์หรือออนไลน์) เป็นกลุ่มที่แตกต่างกัน

 

Virtual Bank คืออะไร

 

บทความที่ชื่อว่า Virtual Banking ก้าวต่อไปของระบบการเงินไทย โดย ธปท. นิยาม Virtual Bank ไว้ว่า เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ดำเนินธุรกิจบนช่องทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยมีลักษณะสำคัญ คือ 

 

  1. ไม่มีจุดให้บริการที่มีสถานที่ตั้งทางกายภาพ เช่น สาขาและตู้ ATM แต่ยังมีสำนักงานใหญ่ได้
  2. ให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลตลอดกระบวนการของการให้บริการ ทั้งการทำความรู้จักลูกค้า (KYC), รับฝากเงิน และบริการอื่นๆ เช่น ให้สินเชื่อ โอน และชำระเงิน ฯลฯ 

 

นอกจากนี้ระบบคอมพิวเตอร์หลักที่ใช้บริหารจัดการงานธนาคาร (Core Banking System) ของ Virtual Bank จะแตกต่างไปจากธนาคารพาณิชย์รูปแบบเดิมผ่านเทคโนโลยีใหม่ที่ยืดหยุ่นสูง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้โดยง่าย ส่งผลให้ Virtual Bank มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำกว่าธนาคารดั้งเดิม

 

คนไทยจะได้อะไรจาก Virtual Bank 

 

เพื่อให้ Virtual Bank เข้ามาเติมเต็มระบบการเงินของไทยมากขึ้น ธปท. คาดหวังให้ Virtual Bank เข้ามาพัฒนานวัตกรรมในภาคการเงินควบคู่ไปกับการดูแลความเสี่ยงที่อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม (Responsible Innovation) โดยได้กำหนดเป้าหมายของ ‘สิ่งที่อยากเห็น’ (Green Line) และ ‘สิ่งที่ไม่อยากเห็น’ (Red Line) จากการเปิดให้มี Virtual Bank ไว้อย่างชัดเจน

 

สิ่งที่ ธปท. อยากเห็น (Green Line) ได้แก่

 

  • บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ หรือเพิ่มประสิทธิภาพของบริการทางการเงินที่มีอยู่เดิมผ่านช่องทางดิจิทัล
  • มีบริการทางการเงินที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะรายย่อยและ SMEs กลุ่ม Unserved / Underserved
  • สร้างประสบการณ์การใช้บริการทางการเงินดิจิทัลที่ดีแก่ลูกค้า
  • ส่งเสริมและกระตุ้นการแข่งขันในระบบสถาบันการเงินอย่างเหมาะสม

 

สิ่งที่ ธปท. ไม่อยากเห็น (Red Line) ได้แก่

 

  • แนวทางประกอบธุรกิจที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน หรือเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อผู้ฝากเงิน / ผู้ใช้บริการ ในวงกว้าง
  • การประกอบธุรกิจในรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อฐานะหรือความมั่นคง
  • การประกอบธุรกิจในรูปแบบที่ทำให้เกิดการแข่งขันในระบบการเงินอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน 
  • การเอื้อประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและใช้อำนาจตลาดอย่างไม่เหมาะสม

 

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์และบริการจาก Virtual Bank ต่างประเทศ

 

จากบทความเดียวกันนี้ได้ยกตัวอย่างบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ Virtual Bank ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในไทยได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น

 

  • ผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ 26 สัปดาห์ (เกาหลีใต้) เน้นกลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงาน โดยจูงใจด้วยดอกเบี้ยสูงและกำหนดเงินฝากขั้นต่ำน้อย 
  • บริการ Smart Saving (ฮ่องกง) บริหารจัดการความต้องการของลูกค้า เช่น กำหนดเป้าหมายการออมเงินและแยกเงินออมตามเป้าหมายออกจากเงินในชีวิตประจำวัน 
  • ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับ SMEs และลูกค้ารายย่อย (จีนและฮ่องกง) ใช้ Big Data ในการประเมินรายได้และวิเคราะห์ความเสี่ยงลูกหนี้แทนการใช้หลักฐานแสดงรายได้ ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการดำเนินการสินเชื่อและชำระคืนก่อนกำหนด รวมทั้งอนุมัติในเวลารวดเร็ว
  • บริการโอนเงิน (ฮ่องกง) ให้ลูกค้าเขย่าโทรศัพท์หลังชำระเงิน เพื่อรับ Cash Reward หรือสะสมแต้มเป็นส่วนลดร้านค้าและร้านอาหาร 
  • บริการชำระเงิน (อังกฤษ) มีเครื่องมือที่เก็บรวบรวมข้อมูลรายได้และรายจ่ายประเภทต่างๆ รวมทั้งกำหนดเพดานรายจ่ายและตั้งเวลาชำระเงินอัตโนมัติ

 

เปิดชื่อ 5 กลุ่มยื่นขอใบอนุญาต Virtual Bank 

 

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า คาดว่าปัจจุบันจะมีผู้ยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำนวน 5 กลุ่ม ดังนี้

 

  1. กลุ่ม SCBX จับมือกับ KakaoBank และ WeBank
  2. GULF ร่วมกับ AIS, ธนาคารกรุงไทย และ OR
  3. กลุ่ม BTS ร่วมกับธนาคารกรุงเทพ, Sea Group, เครือสหพัฒน์ และไปรษณีย์ไทย
  4. กลุ่มทรู Ascend Money (TrueMoney) – Ant Group
  5. กลุ่ม ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ร่วมกับ Lightnet Group ร่วมกับ WeLab 

 

กลุ่ม JMART ไม่ยื่นใบอนุญาต Virtual Bank 

 

แหล่งข่าวยืนยันต่อว่า กลุ่มของ JMART ไม่ได้ยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่มีรายงานข่าวออกมาว่า กลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ซึ่งมีการรายงานข่าวออกมาว่า ได้ส่งบริษัทลูกคือ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพ และ Sea Group ซึ่งทุกรายเป็นกลุ่มที่ถือว่ามีความพร้อมทางการเงิน ได้ร่วมยื่นขอใบอนุญาต Virtual Bank จาก ธปท.

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน JMART มีสถานะเป็นบริษัทลูกของกลุ่ม BTS กลุ่ม JMART จึงสามารถนำระบบนิเวศ (Ecosystem) ปัจจุบันที่มีเข้าไปช่วยสนับสนุนกลไกการให้บริการ Virtual Bank ได้

 

“ภาพก่อนหน้าเหมือนว่ากลุ่ม JMART จะ Lead ในการขอใบอนุญาต Virtual Bank แต่ตอนนี้ไม่ได้ Lead แต่เป็นส่วนหนึ่งของ BTS ในฐานะบริษัทลูกมากกว่า ส่วนจะเป็นอย่างไรคงต้องหารือและอธิบายถึงรายละเอียดในการให้บริการกับแบงก์ชาติต่อไปในช่วง 9 เดือนนี้ ซึ่งถ้าส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับ JMART ก็จะเข้าไปช่วยในส่วนของงานที่เกี่ยวข้อง”

 

สำหรับจุดเด่นของ Ecosystem ที่ JMART จะเข้าช่วยกลุ่ม BTS ในการทำ Virtual Bank จะมี 3 ส่วนหลักจากลูกค้าของบริษัทในกลุ่ม JMART เพราะมีกลุ่มลูกค้าจำนวนมากที่เป็นกลุ่ม Underserved ที่ ธปท. มีนโยบายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการนำ Virtual Bank เพื่อช่วยให้เข้าถึงบริการทางการเงิน ดังนี้ 

 

  1. กลุ่มลูกค้าในเครือของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ที่เป็นกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดทั้งหมดที่มีราว 6 แสนคน อีกทั้งเป็นกลุ่ม Underserved ที่ไม่มีบัตรเครดิตทั้งหมดหรือเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้สถาบันการเงิน
  2. กลุ่มลูกค้า บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ปัจจุบันมีลูกค้าจำนวนรวมราว 5 ล้านคนที่มาจากการซื้อหนี้เสีย (NPL) จากสถาบันการเงินรวม 5 ล้านคน ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 10% หรือราว 5 แสนคนที่ประนอมหนี้กำลังจะมีประวัติทางการเงินกลับมาดี
  3. กลุ่มลูกค้า ‘สุกี้ตี๋น้อย’ เป็นแบรนด์ร้านอาหารภายใต้บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ที่เป็นกลุ่มไม่มีบัตรเครดิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีประมาณ 15 ล้านคนต่อปี 

 

ขณะที่คาดว่าจากสัดส่วนภาพรวมของจำนวนประชากรของประเทศไทยทั้งหมดน่าจะมีสัดส่วนราว 70% ที่เป็นกลุ่ม Underserved เข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ระบบสถาบันการเงิน และมีสัดส่วนเพียง 30% ที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงิน

 

ทั้งนี้ ประเมินว่าธุรกิจที่เหมาะสมกับการจะเข้ามาทำธุรกิจ Virtual Bank ควรจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการซึ่งมีลูกค้าอยู่แล้ว หรือเป็นในรูปแบบ ‘บริการทางการเงินแบบฝังตัว’ หรือ Embedded Finance 

 

“ยกตัวอย่างการ Embedded Finance เช่น กรณีลูกค้าร้านสุกี้ตี๋น้อย สามารถเชิญให้ลูกค้ามาโหลดแอป ให้โปรโมชันต่างๆ ซึ่งเราก็จะสามารถ Bundle โปรดักต์ทางการเงินไปเข้าไปในแอปได้เลยในอนาคต แต่ถ้าแบงก์ปกติทั่วไปต้องการมาทำ Virtual Bank ก็ควรจะเป็นแบงก์ที่มีแผนจะขายสินค้าแบบ Bundle ในอนาคต”

 

ทั้งนี้ THE STANDARD WEALTH สอบถามข้อมูลแหล่งข่าวระดับสูงจาก BTS โดยปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการยื่นขอใบอนุญาต Virtual Bank เนื่องจากมีการเซ็นสัญญารักษาความลับ (Non-disclosure Agreement: NDA) ไว้

 

OR ลั่น มีจุดแข็ง พร้อมร่วมพาร์ตเนอร์ลุย Virtual Bank

 

ด้าน ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขอใบอนุญาต Virtual Bank นั้น บริษัทได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทยและ AIS ในการดำเนินธุรกิจ Virtual Bank โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 20%

 

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้มองว่า OR มีจุดแข็งด้านแพลตฟอร์มของบริษัทที่มีร้านค้าในสถานีบริการจำนวนมาก และมีฐานลูกค้า Blue Card กว่า 8 ล้านคน ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งด้านผู้จำหน่าย ขณะที่ AIS ก็มีจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยี รวมถึงธนาคารกรุงไทยที่มีจุดแข็งด้านระบบหลังบ้านและการควบคุมความเสี่ยงเรื่องการปล่อยสินเชื่อ

 

ส่วน เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า มีความเห็นว่าหากผู้ผ่านคุณสมบัติครบในการยื่นขอใบอนุญาต Virtual Bank ก็ควรได้รับใบอนุญาตทุกคน โดยไม่ควรกำหนดจำนวนผู้ที่จะได้ใบอนุญาตเป็นเงื่อนไขหลัก

 

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

The post เปิดชื่อ ‘5 กลุ่มทุน’ ชิงใบอนุญาต Virtual Bank ดึงทุนต่างชาติแชร์ประสบการณ์จากต่างประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ชัชวาลย์ เจียรวนนท์’ ส่งบริษัท Lightnet จับมือ WeLab ยื่นขอใบอนุญาตตั้ง Virtual Bank คาดรู้ผลกลางปี 2568 https://thestandard.co/lightnet-with-welab-to-apply-for-a-license-to-set-up-a-virtual-bank/ Thu, 19 Sep 2024 10:00:47 +0000 https://thestandard.co/?p=985496

Lightnet Group บริษัทฟินเทคของไทย ซึ่งมี ‘ชัชวาลย์ เจีย […]

The post ‘ชัชวาลย์ เจียรวนนท์’ ส่งบริษัท Lightnet จับมือ WeLab ยื่นขอใบอนุญาตตั้ง Virtual Bank คาดรู้ผลกลางปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>

Lightnet Group บริษัทฟินเทคของไทย ซึ่งมี ‘ชัชวาลย์ เจียรวนนท์’ ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกาศจับมือกับ WeLab ยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดว่าจะรับทราบผลการพิจารณาภายในช่วงกลางปี 2568

 

โดยกลุ่มบริษัท Lightnet และ WeLab มีประสบการณ์การบริหาร Virtual Bank ในฮ่องกงและอินโดนีเซีย รองรับลูกค้ากว่า 65 ล้านราย ทางกลุ่มบริษัทฯ เข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้บริการและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดของหน่วยงานกำกับดูแล โดยปัจจุบันมีใบอนุญาตการให้บริการทางการเงินกว่า 20 ใบ ทั้งในเอเชียและยุโรป 

 

สำหรับ Lighthub Asset ในกลุ่ม Lightnet Group เป็นฟินเทคชั้นนำของไทย ก่อตั้งโดย ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ร่วมกับ Lightnet Group ประกอบด้วยฐานลูกค้าในประเทศไทยกว่า 46 ล้านราย ครอบคลุมหลายภาคส่วน ตั้งแต่กลุ่มเกษตรกรรม อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ พร้อมทั้งช่องทางให้บริการกว่า 150,000 จุดทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า

 

โดย ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ เป็นนักธุรกิจชั้นนำของประเทศไทย และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง อิออน ธนสินทรัพย์ และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส อีกทั้งเป็นเจ้าของนิตยสาร Fortune Magazine

 

ชัชวาลย์ เจียรวนนท์

ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Lightnet Group

 

Lightnet Group บริษัทฟินเทคของไทยที่ได้รับใบอนุญาตการให้บริการทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกลางต่างๆ ในเอเชียและยุโรป โดย Lightnet Group ได้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลูกค้าหลากหลาย ผ่านธุรกรรมทางการเงินมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี 

 

ด้าน WeLab คือ Virtual Bank ชั้นนำในเอเชียแปซิฟิก ให้บริการลูกค้ากว่า 65 ล้านราย อนุมัติสินเชื่อดิจิทัลมาแล้วกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเสนอบริการทางการเงินดิจิทัล ได้แก่ สินเชื่อผ่านระบบ Credit Scoring ล้ำสมัย โซลูชันเทคโนโลยีสำหรับองค์กร ไปจนถึงดิจิทัลแบงกิ้ง ครอบคลุมทุกด้าน

 

ทั้งนี้ Lighthub และ WeLab มีนโยบายจะส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงินให้ครอบคลุมในทุกกลุ่ม นำเสนอบริการ Virtual Bank สำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Unserved และ Underserved ซึ่งทางกลุ่มบริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelance) และกลุ่มเจ้าของกิจการ MSME ที่มักจะมีรายได้ที่ไม่แน่นอนและโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินจำกัด

 

ด้าน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาของกลุ่มบริษัทฯ กล่าวว่า ธปท. มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ การเปิดให้มีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ระบบการเงินจะส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่ง Virtual Bank ของกลุ่มบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ในทิศทางเดียวกับทาง ธปท. ที่จะนำแนวทางและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงิน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับการเงินของประเทศไทย

 

ขณะที่ หิรัญกฤษฎิ์ (ตฤบดี) อรุณานนท์ชัย กรรมการบริหาร Lighthub Asset และผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Lightnet Group กล่าวว่า นโยบายของ ธปท. ที่จะนำประเทศไทยก้าวสู่ยุค Virtual Bank ซึ่งนับเป็นหมุดหมายที่สำคัญของอุตสาหกรรมการเงินของประเทศ กลุ่มพันธมิตรของบริษัทที่ต้องการนำเสนอ ‘Smart & Open Virtual Bank’ ที่จะนำความเชี่ยวชาญในระดับโลกของเราในด้าน AI, Data Analytic, Digital Platform และนวัตกรรม Credit Scoring มาใช้เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับกลุ่ม Unserved และ Underserved ซึ่งจะก่อให้เกิดการเข้าถึงทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินและ AI ของภูมิภาคเอเชีย

The post ‘ชัชวาลย์ เจียรวนนท์’ ส่งบริษัท Lightnet จับมือ WeLab ยื่นขอใบอนุญาตตั้ง Virtual Bank คาดรู้ผลกลางปี 2568 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Virtual Bank โอกาสหรือความเสี่ยง? เปิดมูลค่าน่านน้ำ ‘หนี้นอกระบบ’ https://thestandard.co/virtual-bank-opportunity-or-risk/ Wed, 13 Mar 2024 12:22:53 +0000 https://thestandard.co/?p=910750

Virtual Bank โอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น […]

The post Virtual Bank โอกาสหรือความเสี่ยง? เปิดมูลค่าน่านน้ำ ‘หนี้นอกระบบ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Virtual Bank โอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในไทย โอกาสครั้งนี้น่าตื่นเต้นแค่ไหนในเชิงธุรกิจ อะไรคือความท้าทายที่รออยู่ และที่สำคัญประชาชนจะได้อะไร

 

หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศเตรียมเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจขอใบอนุญาตจัดตั้ง Virtual Bank ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม – 19 กันยายน 2567 ก่อนที่แต่ละบริษัทจะเริ่มจัดตั้งได้ในช่วงกลางปี 2568

 

ล่าสุด เราพอจะเห็นโฉมหน้าของผู้ที่สนใจตามหน้าสื่อแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 

  1. การจับมือกันของ ธนาคารกรุงไทย (KTB), กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF), แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และ ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) 
  2. การจับมือกันของ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ KaKaoBank จากเกาหลีใต้ 
  3. เครือซีพี (CP) ซึ่งรวมถึงธุรกิจในเครืออย่าง Ascend ที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา TrueMoney
  4. การจับมือกันของ กลุ่มธุรกิจเจมาร์ท (JMART) และ Kookmin Bank จากเกาหลีใต้ 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า หนึ่งในเป้าหมายของการตั้ง Virtual Bank ขึ้นมา เพราะต้องการจะแก้ปัญหาเรื่องของหนี้นอกระบบ และการช่วยให้คนที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อมีโอกาสเข้าถึงมากขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Virtual Bank กับธนาคารดั้งเดิม (ไม่ว่าจะออฟไลน์หรือออนไลน์) เป็นกลุ่มที่แตกต่างกัน

 

แน่นอนว่า Virtual Bank ถือเป็นเรื่องใหม่ในไทย และก็อาจเรียกว่าใหม่ได้สำหรับอีกหลายประเทศ ซึ่งเพิ่งจะเริ่มต้นได้ประมาณ 2-3 ปีเท่านั้น 

 

หนึ่งในความท้าทายสำคัญของ Virtual Bank คือการสร้างความน่าเชื่อและดึงดูดลูกค้าใหม่ รวมทั้งบริหาร ‘หนี้เสีย’ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 

 

ตัวอย่างที่อาจเป็นกรณีศึกษาให้กับบ้านเราได้คือ Virtual Banking ในฮ่องกงที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 หลังจากธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ออกใบอนุญาตให้ Virtual Banking 8 แห่ง ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2021 

 

ซึ่งในระยะแรก Virtual Bank เหล่านี้ไม่สามารถทำกำไรได้ ขณะที่ Quinlan & Associates บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจเคยวิเคราะห์ไว้ว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากต้นทุนในการหาลูกค้าต่อรายที่สูงราว 65-90 ดอลลาร์ต่อคน หรือราว 2,300-3,200 บาทต่อคน 

 

ขณะที่การแข่งขันกับธนาคารดั้งเดิมเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ก็ค่อนข้างยาก นอกจากนี้ การที่ Virtual Bank ตั้งอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นหลัก ทำให้การสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม 

 

ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาทั้งในเชิงกลยุทธ์ในการเข้าถึงฐานลูกค้า และวิธีการที่จะลดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ซึ่งในช่วงแรกจะเป็นลักษณะของการค่อยๆ ปรับใช้วิธีการต่างๆ 

 

“จุดแข็งของเราคือฐานข้อมูลของลูกค้าที่มีอยู่ร่วมกันประมาณ 40-45 ล้านคน จากบริษัทที่จะเข้ามาร่วมทุนแต่ละราย ทั้งกัลฟ์, กรุงไทย, โออาร์ และเอไอเอส หัวใจสำคัญคือการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ให้แม่นยำเพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด” 

 

ธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่าความท้าทายสำคัญ 2 ด้าน คือ 

 

  1. การดึงฐานเงินฝากจากธนาคารดั้งเดิม ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อใจจากลูกค้า แต่หากดึงมาได้น้อยก็ต้องใช้เงินทุนจากแหล่งอื่น ซึ่งต้นทุนจะสูงกว่าเงินฝากหลายเท่า 

 

  1. การปล่อยสินเชื่อเพื่อหารายได้ อาจต้องอาศัยการลองผิดลองถูกระยะหนึ่ง ทำให้เราเห็นว่าหลายกลุ่มต้องการประสบการณ์ของผู้ที่เคยทำธุรกิจสินเชื่อมาก่อน 

 

“ช่วง 1-2 ปีธุรกิจยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง แต่ละรายน่าจะขาดทุน แต่ด้วยฐานลูกค้ากลุ่มหนี้นอกระบบที่มีจำนวนมาก เดาว่าอาจมากถึงครึ่งหนึ่งของลูกหนี้ใต้สถาบันการเงินปัจจุบัน ทำให้ระยะยาวยังมีโอกาส”

 

ธนภัทรมองว่า กุญแจสำคัญของการปั้น Virtual Bank ให้ประสบความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับว่าจะบริหารจัดการหนี้เสียได้ดีแค่ไหน และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้ได้มากที่สุด 

 

“คำว่าหนี้นอกระบบหมายความว่า ไม่มีใครรู้ว่ามีหนี้ที่แท้จริงเท่าไร หรือมีรายได้เท่าไร ขณะที่การเก็บข้อมูลของ Virtual Bank อาศัยการกรอกจากลูกค้า” กรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงความท้าทายด้านข้อมูลที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์ของ Virtual Bank 

 

อีกหนึ่งจุดที่น่ากังวลคือ “ข้อมูลของไทยไม่ได้เชื่อมกันอย่างดี ทำให้ข้อมูลบางอย่างอาจไม่ตรงตามจริง เช่น ลูกหนี้ของธุรกิจอย่างเมืองไทยแคปปิตอล ที่ไม่ได้แสดงข้อมูลในเครดิตบูโร อาจทำให้ระบบของ Virtual Bank วิเคราะห์ว่าลูกค้าที่เป็นหนี้ Non-Bank อาจไม่มีหนี้”

 

หรือการใช้ข้อมูลอื่นๆ เช่น ประวัติการชำระค่าบริการต่างๆ หรือการใช้จ่ายผ่านร้านสะดวกซื้อ จะสามารถตรวจสอบได้อย่างไรว่ายอดใช้จ่ายเป็นของบุคคลนั้นๆ เพียงคนเดียว เช่น กรณีที่คนซื้อเป็นแม่บ้านประจำของบ้านใดบ้านหนึ่งที่ต้องซื้อสินค้าสำหรับทุกคน

 

อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของ Virtual Bank น่าจะส่งผลดีต่อประชาชนโดยส่วนใหญ่ที่มีเงินฝากกับสถาบันการเงิน 

 

กรกชมองว่า Virtual bank อาจช่วยให้ผลิตภัณฑ์เงินฝากมีหลากหลายมากขึ้น และการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่จะทำให้เกิดการแข่งขันเพิ่มขึ้น 

 

“เมื่อรายใหม่เข้ามาในตลาด สิ่งที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าคือการแข่งขันด้านเงินฝากที่มากขึ้น ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการฝากอาจมีหลายรูปแบบจากเดิมที่มีเพียงเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่” 

 

ในมุมกลับกันธุรกิจธนาคารดั้งเดิมอาจได้รับผลกระทบบางส่วน เช่น ฐานเงินฝากที่อาจถูกดึงออกไปบ้าง หรือต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น

 

โดยสรุปแล้ว ในมุมธุรกิจที่ยังมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร เชื่อว่าแต่ละบริษัทอาจต้องใช้เวลาในการลองผิดลองถูกสักระยะหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นโอกาสใหม่ที่เปิดขึ้น โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจธนาคารดั้งเดิมที่โตได้จำกัด ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ไม่ได้เติบโตสูง เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่อยากจะกระโดดเข้ามาในอุตสาหกรรม ซึ่งอาจเป็นเหมือนการต่อเรือเพิ่มเพื่อแล่นออกไปหาน่านน้ำใหม่ เผื่อว่าจะมีโอกาสรออยู่ 

 

อ้างอิง:

The post Virtual Bank โอกาสหรือความเสี่ยง? เปิดมูลค่าน่านน้ำ ‘หนี้นอกระบบ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Banking) โอกาสหรือความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน https://thestandard.co/commercial-virtual-banking/ Tue, 21 Feb 2023 08:11:09 +0000 https://thestandard.co/?p=753330

หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศร่างแนวทางการอนุญาตใ […]

The post ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Banking) โอกาสหรือความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>

หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศร่างแนวทางการอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank Licensing Framework – BoT Consultative Paper) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้มีนักลงทุนจากหลากหลายอุตสาหกรรมสนใจเข้ามาลงทุนเปิดกิจการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจำนวนมาก ทั้งจากภาคธุรกิจธนาคารพาณิชย์เดิม กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ หรือนักลงทุนที่ลงทุนในกลุ่มธุรกิจฟินเทคทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจาก ธปท. ไม่ได้เปิดให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ใหม่มาเป็นระยะเวลานาน และการเปิดให้ขออนุญาตในครั้งนี้ได้เปิดกว้างให้กับนักลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือต้องเป็นนักลงทุนในประเทศเท่านั้น 

 

นอกจากนี้ ธนาคารที่มีในปัจจุบันของประเทศไทย ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่รับเงินฝากจากประชาชนทั่วไปนั้นมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในประเทศ โดยมีธนาคารพาณิชย์ในประเทศเพียง 17 แห่ง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจอีก 3 แห่ง ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาเปิดธนาคารเพิ่มเติม โดยมุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่มีอยู่ของระบบธนาคาร หรืออาจแชร์ส่วนแบ่งทางตลาดจากกลุ่มลูกค้าเดิมในปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจสำหรับธนาคารพาณิชย์ประเภทใหม่นี้อาจไม่ง่ายนักที่จะประสบความสำเร็จในระยะสั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันล้วนเปิดมานาน เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป มีช่องทางการบริการหลากหลาย ทั้งผ่านสาขา การบริการผ่านโทรศัพท์มือถือ และผ่านอินเทอร์เน็ตแบงกิ้งอยู่แล้ว ทำให้ผู้เข้ามาใหม่อาจไม่สามารถแข่งขันได้โดยง่ายเพียงการนำเสนอบริการในรูปแบบธนาคารปกติ หรือเจาะจงกับฐานลูกค้าเดิมของธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม

 

โอกาสที่จะเติบโตของธนาคารไร้สาขานั้น ธนาคารอาจต้องมุ่งไปสู่

 

  1. กลุ่มลูกค้าที่เป็นฐานลูกค้าเก่าของนักลงทุนเอง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมีต้นทุนในการจัดหา (Acquisition Cost) ที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าอื่น
  2. กลุ่มลูกค้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการธนาคารในปัจจุบัน เช่น กลุ่มที่อยู่ห่างไกลจนไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการของธนาคาร (Unserved Customers), กลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไปได้ (Underserved Customers) เช่น กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อผ่านระบบธนาคาร เนื่องจากไม่เคยได้รับการอนุมัติสินเชื่อมาก่อน เป็นต้น
  3. พัฒนาเครื่องมือและนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน โดยเน้นที่ความรวดเร็วของการให้บริการ และการใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน

 

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาไม่น่าจะทำได้ง่ายนัก เนื่องจากเป็นกิจการประเภทใหม่ จึงทำให้มีความเสี่ยงสูง โดยความเสี่ยงเหล่านั้นจะมาจาก

 

  1. การแข่งขันที่สูงขึ้นจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร ที่ต้องการรักษาฐานลูกค้าเดิมของตน
  2. การกำกับดูแลอย่างเข้มงวดจาก ธปท. ในช่วงแรกของการดำเนินงาน ทำให้คาดการณ์ว่าธนาคารไร้สาขาจะไม่สามารถใช้วิธีการทุ่มตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้โอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดดทำได้ยาก
  3. การลงทุนเริ่มต้นสูง ทั้งจากระบบงานสารสนเทศ และเงินกองทุนขั้นต่ำจำนวน 5 พันล้านบาทเป็นอย่างน้อย ทำให้ต้นทุนโดยรวมอาจไม่ต่ำมากเท่าที่ควร
  4. การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เรียกว่ากลุ่มลูกค้าที่เป็นลูกค้าที่มีรายปานกลางถึงต่ำนั้น อาจทำให้โอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น รวมถึงการไม่มีสาขาอาจทำให้ไม่สามารถรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าได้เท่าที่ควร การควบคุมความเสี่ยงที่ดีโดยเฉพาะการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้ NPL โดยรวมลดลงได้ในระดับหนึ่ง

 

ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาแม้เป็นโอกาสที่ดีต่อนักลงทุนจากหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศที่จะมีโอกาสเปิดธนาคารใหม่ในประเทศไทย รวมถึงเป็นช่องทางใหม่สำหรับลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงการบริการของธนาคารที่มีในปัจจุบัน และการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการทางการเงิน 

 

อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารไร้สาขาจะประสบความสำเร็จในระยะสั้นนั้นอาจเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ถ้าปราศจากการบริหารต้นทุนและความเสี่ยงที่ดี ดังนั้นเราจึงไม่น่าจะเห็นธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาเติบโตอย่างก้าวกระโดด หรือนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ ผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริงเพื่อจูงใจผู้บริโภค

The post ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Banking) โอกาสหรือความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘GULF’ เผยกำไรปี 65 นิวไฮที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เดินหน้าศึกษาธุรกิจ Virtual Banking https://thestandard.co/gulf-reveals-2022-profit/ Fri, 17 Feb 2023 02:04:37 +0000 https://thestandard.co/?p=751680

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ […]

The post ‘GULF’ เผยกำไรปี 65 นิวไฮที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เดินหน้าศึกษาธุรกิจ Virtual Banking appeared first on THE STANDARD.

]]>

บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 มีรายได้รวม (Total Revenue) 101,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จาก 52,870 ล้านบาทในปี 2564 และมี Core Profit 12,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จาก 8,812 ล้านบาทในปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ที่เปิดดำเนินการในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ที่ประเทศโอมาน ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น 155 เมกะวัตต์ รวมเป็น 195 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่สูงขึ้นจาก 184 ยูโรต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง เป็น 352 ยูโรต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาส 3/65 และจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีขึ้นจาก 8.5 เมตรต่อวินาทีในปี 2564 เป็น 9.1 เมตรต่อวินาทีในปี 2565 

 

นอกจากนี้ ในปี 2565 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ที่เข้าลงทุนในเดือนกรกฎาคม 2565 จำนวน 324 ล้านบาท รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH และกำไรจากการซื้อ THCOM รวมทั้งสิ้น 4,656 ล้านบาท 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อัตรากำไรขั้นต้นลด ผลกระทบต้นทุนก๊าซพุ่ง

 

ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในปีนี้ เท่ากับ 20.6% ลดลงจาก 27.6% ในปี 2564 โดยปัจจัยหลักมาจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 266.02 บาทต่อล้านบีทียูในปี 2564 เป็น 494.78 บาทต่อล้านบีทียูในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 86% ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.5518 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง จาก -0.1532 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2564 เป็นเฉลี่ยที่ 0.3986 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงในปี 2565 อย่างไรก็ดี เนื่องจาก GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถึง 86% ซึ่งต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (Pass Through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้าไปยัง กฟผ. ในขณะที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ 14% จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น 

 

กำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในปี 2565 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 11,418 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจาก 33.59 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2564 เป็น 34.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

 

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.56 เท่า ลดลงจาก 1.77 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นในปีนี้ ซึ่งได้สะท้อนอยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม 2565 GULF ยังได้รับเงินจากการขายเงินลงทุนใน BKR2 Holding จำนวน 305 ล้านยูโร

                

กำไรไตรมาส 4/65 พุ่ง 78%

 

สำหรับงวดไตรมาส 4/65 GULF มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) เท่ากับ 3,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 865 ล้านบาท หรือ 32% จากไตรมาส 4/64 

 

โดยสาเหตุหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 3 และ 4 รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,325 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2565 ส่งผลให้หน่วยผลิตไฟฟ้าทั้ง 4 หน่วยได้เปิดดำเนินการครบตามกำหนดเป็นที่เรียบร้อย และยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จาก INTUCH จำนวน 1,085 ล้านบาท ในไตรมาส 4/65 

 

นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคม 2565 GULF ได้จำหน่ายหุ้น 50.01% ใน BKR2 Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ให้แก่ Keppel Group ส่งผลให้มีกำไรจากการขาย จำนวน 381 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิ (Net Profit) ในไตรมาส 4/65 เท่ากับ 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% จาก 3,043 ล้านบาทในไตรมาส 4/64

 

ตั้งเป้ารายได้ปี 2566 เติบโต 50% 

 

ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า สำหรับปี 2566 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% จากโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2566 โดยหลักจะมาจากโครงการโรงไฟฟ้า IPP โครงการที่ 2 ภายใต้ IPD ได้แก่ โครงการ GPD หน่วยที่ 1 และ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ที่สหรัฐอเมริกา (1,200 เมกะวัตต์) โดยหลังจากนี้ GULF จะเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจากปัจจุบัน 9% เป็น 40% ภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมาจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อน, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ยุโรป อเมริกา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าเขื่อนปากแบง (Pak Beng) และเขื่อนปากลาย (Pak Lay) นั้น คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ภายในไตรมาส 1/66 

                

ร่วมทุน Binance อยู่ระหว่างขอไลเซนส์

 

สำหรับธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่ร่วมลงทุนกับ Binance นั้น ได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ และนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กับทาง ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาส 1/66 

 

สำหรับธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ GULF ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS นั้น คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในกลางปีนี้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2568 

 

จ่อลงสนาม Virtual Banking

 

นอกจากนี้ GULF อยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจ Virtual Banking เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้วย ในเดือนธันวาคม 2565 GULF ได้เข้าซื้อหุ้น 41.13% ใน THCOM จาก INTUCH โดยเล็งเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจดาวเทียม (Satellite) ไปในธุรกิจ New Space Economy เช่น การนำข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หรือการประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit Satellite) เป็นต้น 

 

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2566 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ GULF มาอยู่ที่ระดับ ‘A+’ จากระดับ ‘A’ และปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ของ GULF มาอยู่ที่ระดับ ‘A’ จากระดับ ‘A-’ โดยในไตรมาส 1/66 GULF มีแผนจะออกหุ้นกู้เพิ่มอีกประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนเงินกู้เดิม และเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

 

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 151% โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 2 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2566 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 1 มีนาคม 2566 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 5 เมษายน 2566

The post ‘GULF’ เผยกำไรปี 65 นิวไฮที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เดินหน้าศึกษาธุรกิจ Virtual Banking appeared first on THE STANDARD.

]]>