Versailles – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 30 Jul 2024 10:20:48 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สนามขี่ม้าที่แวร์ซาย หนึ่งในสนามที่งดงามที่สุดในโอลิมปิกเกมส์ 2024 https://thestandard.co/paris2024-29072024-13/ Mon, 29 Jul 2024 12:37:48 +0000 https://thestandard.co/?p=964589

พระราชวังแวร์ซาย ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามอลังการในระดับโ […]

The post สนามขี่ม้าที่แวร์ซาย หนึ่งในสนามที่งดงามที่สุดในโอลิมปิกเกมส์ 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>

พระราชวังแวร์ซาย ขึ้นชื่อเรื่องความงดงามอลังการในระดับโลก และเมื่อส่วนหนึ่งของพระราชวังถูกแปลงโฉมมาเป็นสนามแข่งกีฬาขี่ม้า จึงมีกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่อลังการตามมาด้วย

 

นี่เป็นหนึ่งในสนามที่ถูกยกย่องว่างดงามที่สุดไม่แพ้สนามกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ Place de la Concorde หรือสนาม Eiffel Tower Stadium ที่ใช้แข่งขันวอลเลย์บอลชายหาด แต่สนามแห่งนี้อาจเต็มเปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลังและความยิ่งใหญ่ที่มากกว่า

 

โดยในปีนี้ไทยมีนักกีฬาแข่งขันขี่ม้าที่เข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์ 1 คน คือ ปรีดิ์อัญ-ชนกภรณ์ การุณยธัช โดยเธอจะแข่งขันในรายการขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ในวันที่ 5 สิงหาคมนี้

 

แฟนๆ กีฬาชาวไทยรอเชียร์ปรีดิ์อัญ และรอดูความอลังการของสนามขี่ม้าที่พระราชวังแวร์ซายกันได้

 

 

 


 

เข้าชมเว็บไซต์พิเศษได้แล้ววันนี้: https://thestandard.co/paris2024/

 

ติดตามการแข่งขัน โอลิมปิก ปารีส 2024 – Paris 2024 Olympic Games ได้ที่

 

ภาพ: Paris 2024 / Facebook

The post สนามขี่ม้าที่แวร์ซาย หนึ่งในสนามที่งดงามที่สุดในโอลิมปิกเกมส์ 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
พระราชวังแวร์ซายส์แบ่งพื้นที่เปิดโรงแรมหรูให้นักพักผ่อนสัมผัสประสบการณ์ดุจพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 https://thestandard.co/le-grand-controle/ Wed, 06 Nov 2019 02:31:51 +0000 https://thestandard.co/?p=301276

คุณเคยฝันไหมว่าอยากจะลองใช้ชีวิตหรูหราท่ามกลางสถาปัตยกร […]

The post พระราชวังแวร์ซายส์แบ่งพื้นที่เปิดโรงแรมหรูให้นักพักผ่อนสัมผัสประสบการณ์ดุจพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 appeared first on THE STANDARD.

]]>

คุณเคยฝันไหมว่าอยากจะลองใช้ชีวิตหรูหราท่ามกลางสถาปัตยกรรมอันงดงามของพระราชวังแวร์ซายส์ หรือจินตนาการว่าตนเองเป็นอาคันตุกะคนพิเศษสักคนที่สามารถเดินเฉิดฉายร่วมงานเลี้ยงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี่คือข่าวดีของนักพักผ่อนช่างฝันทุกคน เมื่อ Château de Versailles หรือพระราชวังแวร์ซายส์ วางแผนแบ่งพื้นที่บางส่วนเปิดโรงแรมแห่งแรกภายใต้ชื่อ Le Grand Contrôle

 

ภายใต้การบริหารงานของ Airelles Collection โรงแรม Le Grand Contrôle จะใช้อาคารเก่า 3 หลังในศตวรรษที่ 17 และ 18 ใกล้กับ Hall of Mirrors เป็นสถานที่ตั้ง โดยมีดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส คริสตอฟ โตเญอแมร์ (Christophe Tollemer) เป็นผู้ออกแบบและตกแต่งภายในทั้งหมด เปิดให้บริการทั้งหมด 14 ห้องพัก และอพาร์ตเมนต์ ห้องอาหาร สระว่ายน้ำในร่ม ฯลฯ ผู้เข้าพักจะได้สิทธิพิเศษในการเข้าชมพระราชวังแวร์ซายส์ และแน่นอนว่าได้รับอนุญาตให้อยู่ในเขตพระราชวังแวร์ซายส์ยามค่ำคืนได้

 

แม้ตอนนี้อัตราค่าที่พักยังไม่มีการแจ้งออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ที่แน่ๆ ทางโรงแรมปล่อยกำหนดวันจองออกมาแล้วคือเดือนธันวาคม 2019 ที่กำลังจะมาถึง และเมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ คาดว่าจะเปิดทำการได้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 2020

 

ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศเดียวกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือพระนางมารี อองตัวเนตต์ สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ airelles.com/en/our-properties/chateau-de-versailles-2

 

 

ภาพ: Shutterstock

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

The post พระราชวังแวร์ซายส์แบ่งพื้นที่เปิดโรงแรมหรูให้นักพักผ่อนสัมผัสประสบการณ์ดุจพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หยุดยาวสงกรานต์นี้ ดูซีรีส์อยู่บ้าน ไม่ต้องเปียก แต่ก็สนุกได้เหมือนกัน https://thestandard.co/spend-songkran-holiday-with-series/ https://thestandard.co/spend-songkran-holiday-with-series/#respond Thu, 12 Apr 2018 15:01:19 +0000 https://thestandard.co/?p=84025

เพราะเชื่อมาตลอดว่าการออกไปสาดน้ำ ประแป้ง เบียดเสียดกับ […]

The post หยุดยาวสงกรานต์นี้ ดูซีรีส์อยู่บ้าน ไม่ต้องเปียก แต่ก็สนุกได้เหมือนกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

เพราะเชื่อมาตลอดว่าการออกไปสาดน้ำ ประแป้ง เบียดเสียดกับผู้คนมากมาย ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะกับทุกคนในวันหยุดสงกรานต์ วันนี้ THE STANDARD เตรียมทางเลือกใหม่ให้กับคนที่อยากเก็บตัวอยู่เงียบๆ และใช้วันหยุดไปกับซีรีส์ดีๆ นั่งดูได้ยาวๆ แบบไม่ต้องออกไปเปียกที่ไหน แต่ก็สนุกได้ไม่แพ้กัน

 

 

A Series of Unfortunate Events (Season 2, 10 EP.)

ภาคต่อของซีรีส์แห่งความโชคร้าย บ้าบอ น่ารำคาญ แต่โคตรสนุก! กับชะตากรรมที่แสนรันทดของพี่น้องตระกูลโบดแลร์ ซีรีส์ของ Netflix ที่สร้างจากนิยาย A Series of Unfortunate Events (อยากให้โลกนี้ไม่มีโชคร้าย) ของนักเขียนวรรณกรรมเยาวชนชาวอเมริกัน เลโมนี สนิกเก็ต

 

สรุปอย่างสั้นสำหรับคนที่ไม่เคยอ่านฉบับนิยายหรือดูภาค 1 มาก่อน A Series of Unfortunate Events คือการพาไปดูชีวิตสามพี่น้องที่อยู่ๆ ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าจากเหตุการณ์ที่พ่อแม่หายตัวไปในกองเพลิงปริศนาในบ้านของตัวเอง และเค้าลางแห่งความโชคร้ายก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อชีวิตของเด็กทั้ง 3 คนต้องอยู่ภายใต้การดูแลของมิสเตอร์โพ นายธนาคารผู้มีหน้าที่หาบ้านและผู้ปกครองคนใหม่ให้กับเด็กๆ โดยมีเคานต์โอลาฟ นักแสดงตกอับที่ตามรังควานและทำทุกวิถีทางเพื่อฮุบมรดกก้อนโตที่พ่อแม่ของเด็กๆ ทิ้งเอาไว้ให้

 

จุดเด่นอย่างแรกของซีรีส์เรื่องนี้อยู่ที่ความน่ารักและเฉลียวฉลาดของพี่น้องทั้ง 3 คนที่ต้องใช้ความรู้และอุปกรณ์ทุกอย่างรอบตัวเพื่อเอาตัวรอดจากผู้ใหญ่ที่พร้อมจะยัดเยียดความโชคร้ายให้พวกเขาตลอดเวลา ตั้งแต่ไหวพริบของพี่สาวอย่าง ไวโอเล็ต ที่สามารถหยิบสิ่งของรอบตัวมาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิต ความรู้รอบตัวจากนิสัยรักอ่านการของ เคลาส์ พี่ชายคนกลาง และซันนี่ น้องเล็กสุดที่มีความสามารถคือการ ‘แทะ’ ทุกอย่างที่ขวางหน้า และพร้อมที่จะขโมยซีนพี่ๆ อยู่เสมอ

 

 

อย่างที่สองเป็นภาคตรงข้ามของพี่น้องทั้งสามคือความ ‘เซ่อซ่า’ น่าหงุดหงิดของตัวละครผู้ใหญ่ทุกตัวในเรื่อง ทั้งการตัดสินใจที่ผิดพลาดซ้ำไปซ้ำมา การปลอมตัวห่วยๆ ที่ดันไม่มีใครดูออก (ยกเว้นเด็กๆ) ความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผล การหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ฯลฯ ถ้ามองตามเนื่อเรื่อง ความบกพร่องเหล่านี้คือปัจจัยที่ทำให้เกิดเรื่องโชคร้ายให้เด็กๆ ได้แสดงความสามารถในการแก้ปัญหา แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้น นี่คือตลกร้ายสะท้อนภาพของผู้ใหญ่ในชีวิตจริงที่วางตัวอยู่เหนือเด็กๆ และคอยบงการทุกอย่างด้วยความคิดที่ว่าเป็นเด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ แล้วสิ่งที่ดีจะตามมา แต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นความคิดเหล่านั้นเองที่ย้อนกลับมาทำให้เด็กๆ ไม่มีวันได้พบกับ ‘โชคดี’ เสียที

 

จุดเด่นอย่างที่สามคือการให้เวลากับการเล่าเรื่องในซีรีส์ด้วยจำนวน 2 ตอนต่อหนังสือ 1 เล่ม (ซีซันที่ 2 สร้างจากหนังสือเล่มที่ 5-9 จากทั้งหมด 13 เล่ม) ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดตามหนังสือได้ค่อนข้างดี มีเวลาในการเล่าความสัมพันธ์ของตัวละครและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเสน่ห์ของหนังสือชุดนี้ได้เกือบครบ (บางจุดทำให้เราเข้าใจสัญลักษณ์บางอย่างในหนังสือมากขึ้นด้วย) ยิ่งถ้าเป็นแฟนหนังสือชุดนี้อยู่แล้วก็ไม่น่าผิดหวัง

 

แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้หลายคนทนดูได้ไม่จบก็คือไม่สามารถอดทนต่อความน่าหงุดหงิดของบรรดาตัวละครผู้ใหญ่ทุกตัวได้จริงๆ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าสามารถผ่านจุดนั้นไปได้ ซีรีส์ A Series of Unfortunate Events ให้อะไรได้มากกว่า ‘ความโชคร้าย’ อยู่เยอะทีเดียว

 

 

Money Heist (Season 2, 9 EP.)

ใครที่มองหาซีรีส์แนวโจรกรรมระทึกขวัญสนุกๆ เดินเรื่องรวดเร็วฉับไว บีบหัวใจในทุกๆ นาที Money Heist ของ Netflix คือคำตอบที่ใกล้เคียงเรื่องนี้มากที่สุด อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ คือนึกภาพความฉลาดของแก๊งสุภาพบุรุษนักต้มตุ๋นในแฟรนไชส์หนัง Ocean ทั้ง 3 ภาค รวมกับความบีบคั้นในการปฏิบัติภารกิจที่มาพร้อมกับดราม่าข้นๆ ที่ทุกคนพร้อมที่จะ ‘รัก’ และ ‘แตกหัก’ กันได้ตลอดเวลาแบบที่ซีรีส์แหกคุกอย่าง Prison Break เคยทำเอาไว้ นั่นแหละคือส่วนผสมลงตัวที่รวมอยู่ใน Money Heist ทั้ง 2 ซีซัน

 

Money Heist เล่าเรื่องกลุ่มโจรที่นำโดยคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ศาสตราจารย์’ ที่รอบรู้และฉลาดเป็นกรด เขารวมตัวอาชญากรตัวเอ้ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์เพื่อบุกปล้นโรงกษาปณ์ที่มีเงินกว่าหนึ่งพันล้านยูโรซ่อนอยู่ในนั้น โดยมีเงื่อนไขคือทุกคนต้องศึกษาและฝึกซ้อมแผนการร่วมกันนาน 5 เดือน ทุกคนต้องห้ามมีความสัมพันธ์กัน ห้ามรู้จักชื่อจริงกันและกัน และการโจรกรรมครั้งนี้ต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรงทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

 

ใน 13 ตอนของซีซันแรกจะแบ่งออกเป็น 3 พาร์ตหลักๆ ตัดสลับกัน คือฝ่ายศาสตราจารย์ที่เป็นคนควบคุมแผนการจากด้านนอก ฝ่ายปฏิบัติการที่ต้องบุกเข้าไปในโรงกษาปณ์โดยมีตัวประกันอีก 67 คนที่ต้องใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง และฝ่ายตำรวจที่ต้องหยุดภารกิจครั้งนี้ให้ได้

 

นอกจากนี้ยังมีการให้เวลาเพื่อเล่าถึงแบ็กกราวด์ตัวละครสำคัญหลายๆ ตัว เพื่อทำความเข้าใจถึงเหตุผลในการกระทำและตัดสินใจทั้งหมด ซึ่งจุดนี้ทำได้ดีมากจนบางครั้งเราเกือบลืมเรื่องการปล้นไปเลย และนั่นคือเหตุผลหลักว่าทำไมซีซันแรกต้องมีจำนวนมากถึง 13 ตอน

 

 

แต่ละคนก็มีประเด็นขัดแย้งที่แตกต่างกัน แต่ประเด็นใหญ่ที่สุดของ Money Heist คือคอนเซปต์ที่วางเอาไว้ว่า ‘ความรักคือสิ่งที่ทำให้แผนการและทุกอย่างพังทลาย’ เราจะได้เห็นความรักของทั้งเพื่อนร่วมงาน ศัตรู กลุ่มโจร และตัวประกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และพังทลายสลับกับแผนการที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดทั้งเรื่อง

 

สุดท้ายในซีซันแรกผู้สร้างก็ช่างใจร้ายกับคนดูด้วยการทิ้งภารกิจนั้นค้างไว้แค่การเจรจาต่อรองครั้งสำคัญระหว่างกลุ่มโจรกับตัวประกัน แล้วก็ตัดจบลงไปเฉยๆ ทำให้หลายคนที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นออกอาการหงุดหงิดกันเป็นแถบ แต่คราวนี้เราบอกข่าวดีให้สบายใจกันได้ว่าผลสรุปของภารกิจปล้นของกลุ่มโจรหน้ากากในชุดฮู้ดแดงครั้งนี้ได้จบสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อย! (แต่จะมีครั้งต่อไปหรือเปล่า ต้องลุ้นกันต่อไป)

 

ในซีซัน 2 ปรับลดลงเหลือแค่ 9 ตอน เพราะได้เล่าแบ็กกราวด์หลายอย่างไปหมดแล้ว ทำให้เหลือแค่การหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างปฏิบัติภารกิจกันแบบจุใจ ไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์ของปฏิบัติการ 128 ชั่วโมงของการปล้นจะออกมาถูกใจหลายคนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือภาคนี้ดำเนินเรื่องฉับไว บีบหัวใจ และมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเยอะกว่าเดิมมากแน่นอน

 

 

Santa Clarita Diet (Season 2, 10 EP.)

แนะนำสำหรับคนที่ชอบดูซีรีส์คอเมดี้เบาๆ ผ่อนคลายสมองแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก Netflix ก็จัดให้ เรื่องราวว่าด้วยครอบครัวแสนสุขที่อยู่ดีๆ คุณแม่แสนสวยก็ติดเชื้อโรคที่ทำให้เธอกลายเป็นซอมบี้หน้าใสที่กินได้แต่เนื้อ ซึ่งสามีและลูกก็แสนดีที่เป็นธุระจัดการหา ‘อาหาร’ มาให้ และช่วยกันปกปิดความลับนี้ไว้เป็นอย่างดี

 

เนื้อเรื่องหลักๆ มีเท่านี้เลยจริงๆ แต่ความสนุกอยู่ที่ความวายป่วงที่เกิดขึ้นจากแผนการสวาปามคนที่เอาจริงๆ ก็ประหลาดไม่แพ้โรคที่คุณแม่เป็นเท่าไร รวมถึงมุกตลกหน้าตายที่บางอันก็อาจจะถึงขั้นเรียกได้ว่าหน้าด้าน (คำชม) ที่ดูแล้วคิดว่า เฮ้ย จะเล่นกันแบบนี้จริงๆ เหรอ บวกกับการครีเอตเมนูเนื้อสดเลือดสาดที่ดูแล้วสมจริง สะอิดสะเอียน แต่ก็ชวนขำไปพร้อมๆ กัน ทั้ง 10 ตอนจะแบ่งการออกอากาศสั้นๆ ประมาณ 30 นาที ทำให้ดูไปได้เรื่อยๆ ไม่กินพลังงานมากนัก และที่สำคัญ แค่ได้นั่งดูการกลับมารับบทนำอีกครั้งของ ดรูว์ แบร์รีมอร์ ก็คุ้มแล้ว

 

ในภาคแรก เนื้อเรื่องไปจบตรงที่การพยายามหาทางรักษาอาการป่วยของคุณแม่ แต่ดูเหมือนว่ามีแต่จะยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะรักษาได้ผลหรือเปล่า เพราะเราเองก็ยังไม่ได้ดูเหมือนกัน แต่วางแผนไว้แล้วว่าจะหาคำตอบนั้นในช่วงสงกรานต์นี้แน่นอน

 

 

Good Doctor (Season 1, 18 EP.)

Good Doctor ทีวีซีรีส์ของ ABC Studios ที่เพิ่งจบซีซันแรกไปหมาดๆ และกลายเป็นขวัญใจมหาชนชาวอเมริกัน ผลงานของ เดวิด ชอร์ ทีมสร้างเดียวกับ M.D. House ที่เคยโด่งดังเมื่อหลายปีก่อน

 

จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นซีรีส์รีเมกเวอร์ชันอเมริกา Good Doctor เป็นซีรีส์เกาหลีชื่อเดียวกันที่ออกอากาศในปี 2013 โดยสถานี KBS ซึ่งในขณะนั้นก็ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกมากมาย รวมทั้งได้รับรางวัล Best TV Drama จาก Baeksang Arts Awards

 

Good Doctor เล่าเรื่องราวของอัจฉริยะออทิสติกที่เพิ่งเรียนจบแพทย์ และมีความฝันจะเป็นศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาล ด้วยความที่เขาเป็นเด็กกำพร้าและมีภูมิหลังครอบครัวที่ไม่น่าจดจำนัก พี่ชายที่มีอยู่คนเดียวซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เนื้อเรื่องค่อยๆ เผยปมชีวิตของเขาออกมาทีละน้อย พร้อมๆ กับปัจจุบันที่เขาเริ่มทำงานเป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาล รวมทั้งการเรียนรู้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่มองว่าเขาไม่สามารถเป็นแพทย์ที่ดีได้ด้วยภาวะออทิสติกของเขา

 

ทั้งสองเวอร์ชันมีความดีงามไปคนละแบบ ทางฝั่งต้นฉบับเกาหลีเน้นไปที่เรื่องการใช้ชีวิตของนายแพทย์หนุ่มในฐานะกุมารแพทย์ เรื่องการเมืองในโรงพยาบาล ปมดราม่าของครอบครัว และความรักที่คนดูต้องลุ้นเอาใจช่วย ในขณะที่เวอร์ชันอเมริกาปรับให้เขาเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ผ่าตัด และทำให้เรารู้จักโรคภัยไข้เจ็บเคสหายากต่างๆ รวมไปถึงเรื่องราวทางสังคมที่ชวนให้คิดต่อเป็นการบ้าน อย่างประเด็น #Metoo ที่เข้ากับสถานการณ์ช่วงปลายปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับการยอมรับตัวเองของคนไข้เด็กหญิงที่โดยเพศสภาพแล้วเป็นเด็กผู้ชาย เป็นต้น

 

Good Doctor เวอร์ชันอเมริกา ซีซันแรกมีทั้งหมด 18 ตอน

 

https://www.youtube.com/watch?v=fYlZDTru55g

 

 

Lost in Space (Season 1, 10 EP.)

Lost in Space เป็นซีรีส์แนวดราม่าวิทยาศาสตร์ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีก 30 ปีข้างหน้า เมื่อมนุษย์โลกครอบครองอาณานิคมในจักรวาลได้ และครอบครัวโรบินสันได้รับเลือกเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่จะขึ้นไปสร้างชีวิตใหม่บนโลกใบใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่เหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทางทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนเส้นทางและลงจอดที่ดาวเคราะห์ พวกเขาจะต้องร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ห่างจากโลกใบเก่าหลายร้อยปีแสง

 

ซีรีส์ของ Netflix เรื่องนี้เป็นการรีเมกซีรีส์ระดับตำนานชื่อเดียวกันในปี 1965 และเคยทำเป็นหนังใหญ่ในปี 1998 แต่ Lost in Space ในเวอร์ชันนี้ก็ไม่ได้แค่รีเมกง่ายๆ ก๊อบปี้เวอร์ชันดั้งเดิมมาทุกกระเบียดนิ้ว หรือเน้นความมันกับฉากที่ถือว่ายกระดับวงการทีวี แต่ยังแฝงด้วยบริบทสังคมต่างๆ ที่ละเอียดอ่อนซึ่งเรากำลังเผชิญกันอยู่ ไม่ว่าเรื่องราวของบทบาทผู้หญิง พลังของเยาวชน การที่คนพยายามอพยพครอบครัวไปในที่ที่เปิดกว้างกว่าเพราะแรงกดดันของสังคมที่อยู่ปัจจุบัน และเรื่องสีผิวที่มีการเปลี่ยนตัวละครลูกสาวคนโต จูดี้ โรบินสัน ให้เป็นผิวสี

 

ซีรีส์ Lost in Space ใช้เวลาถ่ายทำนาน 7 เดือน ซึ่งยกกองไปถ่ายที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา โดยโปรดักชันดีไซเนอร์ของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ รอสส์ เดมป์สเตอร์ ที่เคยฝากผลงานในหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง Godzilla และ Elysium ส่วนคนที่มาควบคุมวิชวลเอฟเฟกต์ก็คือ แจบบาร์ ไรซานี ที่เคยทำเรื่อง Iron Man และ Game of Thrones มาแล้ว

 

 

 

Versailles (Season 1, 10 EP.)

Versailles ซีรีส์สัญชาติฝรั่งเศสที่เล่าถึงเหตุการณ์ในพระราชวังแวร์ซายส์ช่วงปี 1667 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศสในวัย 28 ปี ตัดสินใจย้ายพระราชวังจากกรุงปารีสมาสู่พระราชวังแวร์ซายส์ และรวมศูนย์อำนาจการปกครองรวมถึงการบริหารประเทศเอาไว้ในมือ

 

การก่อสร้างพระราชวังที่หรูหราและยิ่งใหญ่เพื่อรองรับข้าราชบริพารหลายหมื่นชีวิต ค่าใช้จ่ายมหาศาล ทั้งสิ่งจำเป็นและความฟุ่มเฟือยของราชสำนักทำให้เกิดการขูดรีดภาษีจากประชาชน เมื่อบวกรวมสงครามช่วงท้ายรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติฝรั่งเศสโค่นล้มระบบกษัตริย์ช่วงปี 1789-1799 ในรัชสมัยของกษัตริย์องค์สุดท้ายคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 16

 

ในซีรีส์ Versailles เราได้เห็นความงดงามของพระราชวังแวร์ซายส์ ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าไปถ่ายทำในสถานที่จริง นอกเหนือจากงานสร้างที่พิถีพิถัน ซีรีส์ยังลงรายละเอียดในเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ทำให้เห็นถึงวิธีการแต่งกายของเหล่าราชสำนักในฝรั่งเศส

 

และแม้ว่าในซีซันแรก Versailles จะเน้นไปที่เรื่องราวรักสามเส้าระหว่างพระเจ้าหลุยส์, เจ้าชายฟิลิปป์ ดยุคแห่งออร์เลอ็อง พระอนุชา และเจ้าหญิงอองริแยตต์แห่งอังกฤษ คู่สมรสของเจ้าชายฟิลิปป์ รวมถึงเรื่องชู้สาวของเหล่าขุนนางและราชนิกุลที่ใช้ชีวิตในแวร์ซายส์ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เข้าใจเรื่องราวการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้นคือการได้เห็นภาพการประชุมของคณะรัฐมนตรี รวมถึงการเปิดพระราชวังเพื่อต้อนรับอาคันตุกะจากดินแดนต่างๆ ทั้งฉากการต้อนรับคณะของเจ้าชายจากแอฟริกา และการส่งเจ้าหญิงอองริแยตต์ไปเป็นตัวแทนฝรั่งเศสเพื่อเจรจาทางการทูตกับพี่ชายของเธอที่ปกครองอังกฤษในขณะนั้น

 

ซีรีส์ Versailles สร้างโดยสถานีโทรทัศน์ฝรั่งเศส Canal+ ซีซันแรกออกอากาศเดือนพฤศจิกายน 2015 ซีซันที่ 2 ออกอากาศในเดือนมีนาคม 2017 และซีซันที่ 3 ซึ่งคาดกันว่าจะเป็นซีซันสุดท้ายนั้นจะออกอากาศในปี 2018 นี้

 

 

 

The Push

เรื่องนี้ไม่ใช่ซีรีส์ แต่เป็นหนังสารคดียาว 1 ตอน อีกหนึ่งออริจินัลคอนเทนต์ของ Netflix ที่เราอยากแนะนำ

 

The Push คือสารคดีจำลองเหตุการณ์ทางสังคมเพื่อหาคำตอบว่า ‘เราจะถูกบงการด้วยแรงกดดันทางสังคมที่คุ้นเคยให้ทำการฆาตกรรมได้หรือไม่’ ผลงานกำกับของ แดร์เรน บราวน์ นักแสดงมายากลในรูปแบบจิตวิทยาที่โด่งดังจากการทำรายการโทรทัศน์ที่ประเทศอังกฤษ

 

โดยทีมงานได้คัดเลือกบุคคลเข้ามาทำการทดลอง เซตให้เขาคือผู้ปรารถนาดีที่จะสามารถระดมทุนจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ขาดโอกาส โดยเครื่องมือที่ทีมงานใช้ในการ ‘ผลักดัน’ หรือ Push ผู้ทำการทดลองคือสิ่งที่เรียกว่า ‘การจำนนทางสังคม’ (Social Compliance) ซึ่งตัวผู้ถูกทดลองจะค่อยๆ ถูกกดดันจากสถานการณ์เล็กๆ ตั้งแต่ให้ช่วยโกหกเรื่องป้ายติดอาหารมังสวิรัติ ทำร้าย ปลอมตัวเป็นคนอื่น ไปจนถึงจุดสุดท้ายของบททดสอบว่าเมื่อสถานการณ์กดดันถึงที่สุด เขาจะสามารถ ‘ผลัก’ คนคนหนึ่งให้ตกลงมาจากตึกเพื่อ ‘ผลประโยชน์ร่วม’ บางอย่างที่ถูกกดดันมาตั้งแต่ต้นได้หรือไม่

 

นอกจากตัวบทที่เขียนมาได้ดีแล้ว สิ่งที่ต้องชมอย่างมากคือการเล่นใหญ่ของทีมงาน ที่จำลองเหตุการณ์ สถานที่ นักแสดงที่มาเล่นเป็นหน้าม้าได้สมจริงมาก (ถึงขนาดสร้างหุ่นปลอมที่เหมือนคนจริงมากๆ ขึ้นมาได้) ผู้ถูกทดลองไม่มีทางที่จะสงสัยได้เลยว่านี่คือสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมา เขาทำได้เพียงตกกระไดพลอยโจนไปตามบทที่ถูกเขียนไว้ (บางช่วงเราถึงกับสงสารผู้ถูกทดลองที่ถูกบีบคั้นมากๆ จนแทบไม่อยากดูต่อเหมือนกัน) เพื่อหาคำตอบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

และสิ่งที่ผู้ถูกทดลองตัดสินใจจะไม่ใช่เพียงแค่ตอบคำถามในหนังเท่านั้น แต่ช่วยให้คำตอบที่กว้างขึ้นถึงการถูกผลักดันให้เราเข้าไปอยู่ในภาวะต้องจำนนต่อสังคมไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ได้เป็นอย่างดี

The post หยุดยาวสงกรานต์นี้ ดูซีรีส์อยู่บ้าน ไม่ต้องเปียก แต่ก็สนุกได้เหมือนกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/spend-songkran-holiday-with-series/feed/ 0
Versailles ซีรีส์เปิดเผยชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ช่วงเวลา 15 ปีก่อนเหตุการณ์ใน ‘บุพเพสันนิวาส’ https://thestandard.co/versailles/ https://thestandard.co/versailles/#respond Tue, 03 Apr 2018 11:27:00 +0000 https://thestandard.co/?p=81860

ในขณะที่ละคร บุพเพสันนิวาส กำลังเข้มข้นด้วยเรื่องราวที่ […]

The post Versailles ซีรีส์เปิดเผยชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ช่วงเวลา 15 ปีก่อนเหตุการณ์ใน ‘บุพเพสันนิวาส’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในขณะที่ละคร บุพเพสันนิวาส กำลังเข้มข้นด้วยเรื่องราวที่อ้างอิงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยมีเหตุการณ์สำคัญคือช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และการส่งคณะทูตไทยเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส ด้วยว่าในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสนับเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งยังเฟื่องฟูในศิลปะและวัฒนธรรม

 

ในขณะเดียวกัน ซีรีส์ที่บอกเล่าช่วงยุคทองของฝรั่งเศส และทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ Versailles ซีรีส์สัญชาติฝรั่งเศส ที่เล่าถึงเหตุการณ์ในพระราชวังแวร์ซายส์ ช่วงปี ค.ศ. 1667 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนาน 72 ปี

 

ตัวอย่างซีรีส์ Versailles

 

 

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในซีรีส์ Versailles

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือหลุยส์มหาราช เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน ปี ค.ศ. 1638 ขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่ออายุได้ 5 ชันษา โดยเสวยราชสมบัติต่อจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 พระราชบิดาของพระองค์ ในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์ พระมารดารักษาราชการแทน มีคาร์ดินัล เมเซริน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรี จนเมื่อพระคาร์ดินัลเสียชีวิต ในปี 1661 พระเจ้าหลุยส์จึงตัดสินใจบริหารประเทศด้วยตัวเอง รวมศูนย์อำนาจ และย้ายจากพระราชวังในปารีส มาสร้างพระราชวังแวร์ซายส์ ที่อยู่ห่างจากปารีสราว 20 กิโลเมตร

 

การก่อสร้างพระราชวังที่หรูหราและยิ่งใหญ่ เพื่อรองรับข้าราชบริพารหลายหมื่นชีวิตค่าใช้จ่ายมหาศาล ทั้งสิ่งจำเป็นและความฟุ่มเฟือยของราชสำนัก ทำให้เกิดการขูดรีดภาษีจากประชาชน เมื่อบวกรวมสงครามช่วงท้ายรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติฝรั่งเศสโค่นล้มระบบกษัตริย์ ช่วงปี 1789-1799 ในรัชสมัยของกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16

 

 

ในซีรีส์ Versailles เราได้เห็นความงดงามของพระราชวังแวร์ซายส์ แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างก่อสร้างเพิ่มเติม เพื่อให้ยิ่งใหญ่สมกับเป็นพระราชวังของสุริยกษัตริย์ กระจกแผ่นยาวๆ กรุเปิดช่องให้แสงแดดเข้ามากระทบกับเครื่องประดับตกแต่งในพระราชวัง สร้างความหรูหราและยิ่งใหญ่ จนไม่ผิดหากพระเจ้าหลุยส์จะคิดว่าที่นี่คือศูนย์กลางอำนาจของฝรั่งเศสและโลกใบนี้

 

นอกเหนือจากงานสร้างที่พิถีพิถัน ซีรีส์ยังลงรายละเอียดในเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่เห็นถึงวิธีการแต่งกายของเหล่าราชสำนักในฝรั่งเศส โดยเฉพาะตัวพระเจ้าหลุยส์เองที่มีหลายฉากทำให้เห็นกิจวัตรประจำวันของพระองค์ตั้งแต่ตื่นนอน ล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด และมีเหล่าข้าราชบริพารมาแต่งฉลองพระองค์ให้

 

 

การรวมศูนย์อำนาจ และนำขุนนางมาอยู่ร่วมกันในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ ในแง่หนึ่งทำให้การควบคุมและจับตามองเป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายในพระราชวัง โดยเฉพาะเรื่องชู้สาวที่ผู้หญิงชั้นสูงต่างแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และการถูกครอบครองโดยกษัตริย์คือที่สุดของอำนาจ

 

และแม้ว่าในซีซันแรก Versailles จะเน้นไปที่เรื่องราวรักสามเส้าระหว่างพระเจ้าหลุยส์ เจ้าชายฟิลิปป์ ดยุคแห่งออร์เลอองส์-พระอนุชา และเจ้าหญิงอองริแยตต์แห่งอังกฤษ คู่สมรสของเจ้าชายฟิลิปป์ รวมถึงเรื่องชู้สาวของเหล่าขุนนางและราชนิกุลที่ใช้ชีวิตในแวร์ซายส์ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เข้าใจเรื่องราวการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น คือการได้เห็นภาพการประชุมของคณะรัฐมนตรี รวมถึงการเปิดพระราชวังเพื่อต้อนรับอาคันตุกะจากดินแดนต่างๆ ทั้งฉากการต้อนรับคณะของเจ้าชายจากแอฟริกา และการส่งเจ้าหญิงอองริแยตต์ ไปเป็นตัวแทนฝรั่งเศส เจรจาทางการทูตกับพี่ชายของเธอที่ปกครองอังกฤษในขณะนั้น การได้เห็นรายละเอียดเหล่านี้ ทำให้เห็นปฏิภาณไหวพริบและพระปรีชาสามารถของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

กว่าจะมาเป็นซีรีส์ Versailles

David Wolstencroft ผู้สร้างซีรีส์ Versailles ร่วมกับ Simon Mirren ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาเริ่มต้นโปรเจกต์นี้ด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน “ไซมอนโทรมาหาแล้วถามว่าผมรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแวร์ซายส์บ้าง ผมก็ตอบกลับไปว่า คุณรู้ไหม ผมได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากเคมบริดจ์ แล้วหัวข้อเฉพาะทางของผมคือประวัติศาสตร์สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั่นล่ะ พวกเราเลยบินไปปารีสเพื่อเสนอกับทาง Canal+ ที่จะทำซีรีส์เรื่องรักสามเส้าระหว่างหลุยส์ ฟิลิปป์น้องชายของเขา และอองริแยตต์ที่แต่งงานกับฟิลิปป์ แต่ยังหลงเสน่ห์หลุยส์อยู่”

 

ส่วนไซมอนที่เป็นโปรดิวเซอร์ซีรีส์ดังอย่าง Criminal Minds มาก่อน เขาสนใจพฤติกรรมและจิตวิทยาเบื้องหลังตัวละคร โดยเฉพาะตัวพระเจ้าหลุยส์ที่พยายามควบคุมทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว นั่นจึงไม่แปลกที่เขาตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่แวร์ซายส์ ซึ่งเคยเป็นที่พักสำหรับล่าสัตว์ของพ่อ ก่อร่างสร้างปราสาทจากสิ่งที่พ่อหลงเหลือไว้ เขารู้ว่าทางรอดขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง และการควบคุมทุกสิ่งอย่างเอาไว้ภายในสายตา

 

ในขณะที่ตัวละครอย่างเจ้าชายฟิลิปป์ถูกเลี้ยงดูมาเป็นรองจากพระเจ้าหลุยส์ ตัวละครที่มีพลัง มีเสน่ห์ มีอำนาจพอจะแข่งขันกับพี่ชายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรักให้กันและกัน เป็นความสัมพันธ์ของตัวละครที่ไซมอนและเดวิดเลือกเอามาใช้ในซีรีส์และทำให้เห็นมิติของตัวละครมากยิ่งขึ้น

 

เหนือสิ่งอื่นใด เดวิดให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับซีรีย์ Versailles ว่า พวกเขาเคารพสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และจะไม่พยายามบิดเบือนเรื่องราวไปจากความเป็นจริง

 

 

ละครที่ให้ความบันเทิง แล้วต่อยอดให้ผู้ดูสนใจหาความรู้เพิ่มเติม นับว่าประสบความสำเร็จไปแล้วในแง่หนึ่ง ซีรีย์ทั้ง Versailles และ บุพเพสันนิวาส ต่างเป็นการย้อนประวัติศาสตร์โดยเลือกใช้เรื่องที่เกิดขึ้นจริงเป็นสำคัญ ประกอบกับเรื่องรักเชิงชู้สาวที่นำมาใช้เป็นประเด็นในการดำเนินเรื่องให้น่าติดตาม

 

เมื่อเคารพประวัติศาสตร์ เรื่องที่แต่งเติมมาเพื่อเพิ่มอรรถรสจึงไม่ได้ขัดหูขัดตา ทั้งยังทำให้เกิดกระแส ผู้ชมสนใจค้นคว้าหาข้อมูลในอดีตมาอ่านประกอบกันยกใหญ่ ซึ่งนับเป็นความสำเร็จในระดับที่เกิดเป็นปรากฏการณ์ talk of the town แบบที่ไม่ได้เห็นละครเรื่องไหนจะทำได้มานานแล้ว

และเมื่อดูละครแล้วย้อนกลับมาดูความจริง ก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่หลายเรื่องไม่ว่าจะเรื่องรักสามเส้า หรือกระทั่งเรื่องคอร์รัปชัน กลเกมการเมือง ยังคงเป็นปัญหาเช่นเดิมในทุกวันนี้ แม้เวลาจะผ่านมานับร้อยๆ ปีแล้วก็ตาม

 

อ้างอิง:

The post Versailles ซีรีส์เปิดเผยชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ช่วงเวลา 15 ปีก่อนเหตุการณ์ใน ‘บุพเพสันนิวาส’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/versailles/feed/ 0
หยุดยาวดูอะไรดี และนี่คือซีรีส์ปี 2017 ที่เราอยากดูให้จบก่อนขึ้นปีใหม่ https://thestandard.co/series-for-long-holiday/ https://thestandard.co/series-for-long-holiday/#respond Thu, 28 Dec 2017 08:29:38 +0000 https://thestandard.co/?p=58783

2017 ปีแห่งการดูสรรพสิ่งบันเทิงผ่าน ‘สตรีมมิง’ และเพื่อ […]

The post หยุดยาวดูอะไรดี และนี่คือซีรีส์ปี 2017 ที่เราอยากดูให้จบก่อนขึ้นปีใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

2017 ปีแห่งการดูสรรพสิ่งบันเทิงผ่าน ‘สตรีมมิง’ และเพื่อเป็นการต้อนรับวันหยุดยาวปลายปีที่เดินทางมาถึง เรามาย้อนทบทวนดูอีกทีว่ามีซีรีส์เรื่องไหนที่เราควรใช้เวลาข้ามปีไปด้วยกัน

 

กิจกรรมดูซีรีส์มาราธอน จะดูคนเดียว นัดเพื่อนมาดูเป็นเพื่อน หรือเลือกเรื่องที่ดูได้ทั้งครอบครัวก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ ทั้งยังทำให้ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันครบรสเต็มทุกอารมณ์

 

วันหยุดยาวตั้งแต่ 30 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม นับรวมได้ 4 วัน หรือราว 96 ชั่วโมง หักสำหรับเวลาพักผ่อนและสังสรรค์กับเพื่อนไปแบบครึ่งๆ จะเหลือเวลาราว 48 ชั่วโมงให้เราเลือกจัดสรรเวลาชีวิตไปทำอะไรที่ชอบ หรือจะเลือกดูซีรีส์มาราธอนเป็นการส่งท้ายปี ก็สามารถจัดได้เลยตามใจชอบ

 

7.36 ชั่วโมง

Game of Thrones, ซีซัน 7 (7 ตอน)

หลังจากรอคอยมา 1 ปีเต็ม แฟนๆ ซีรีส์ GOT หรือ Game of Thrones ก็ได้สมใจกับซีซัน 7 ที่ยิ่งใหญ่คุ้มค่าการรอคอย มาพร้อมด้วยความพีกในทุกภาคส่วน และการเดินเรื่องที่พาเราใกล้จุดอวสานของ GOT สักที

 

ส่วนใครที่อยากเริ่มต้นตั้งแต่ซีซันแรก อาจต้องใช้เวลาทั้งหมดในวันหยุดยาว เพราะเวลารวมของทุกซีซัน (ซีซัน 1-7) ดูต่อเนื่องอยู่ที่ 2 วัน 15.30 ชั่วโมง แต่เรามองว่าคุ้มค่า เพราะนี่คือซีรีส์ระดับโลกที่ค่าโปรดักชันตกอยู่ที่ตอนละ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเป็น 15 ล้านเหรียญสหรัฐในซีซันสุดท้ายที่จะเริ่มฉายจริงในปี 2019

 

#WinterIsHere ฤดูหนาวมาถึงแล้ว ไม่ต้องพิมพ์บรรยายให้มากความ เริ่มดูกันเลย!

 

 

 

7 ชั่วโมง

Stranger Things, ซีซัน 2 (9 ตอน)

ใครที่เคยเอาใจช่วยแก๊งเด็ก วิล, ไมค์, ดัสติน, ลูคัส และน้องอีเลฟเว่น ใน Stranger Things ซีซันแรกมาแล้ว มาถึงซีซันนี้ก็ต้องติดตามกันต่อ โดยเนื้อเรื่องยังคงติดตามชีวิตของเด็กๆ 1 ปีหลังจากซีซันแรก โดยซีรีส์ไซไฟ-ทริลเลอร์เรื่องนี้พาเราไปลุ้นกับการค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหนือธรรมชาติ เมื่อวิลพบว่าตัวเขากำลังเข้าไปพัวพันกับ ‘สิ่งนั้น’ อีกครั้ง และกำลังถูกกลืนกินไปทีละน้อย เหล่าเพื่อนจึงต้องร่วมใจกันช่วยเหลือเขา พร้อมการกลับมาของอีเลฟเว่น เพื่อนสาวทรงพลังที่ซึ้งกินใจจนน้ำตาปริ่ม

 

แฟนหนังสายวินเทจน่าจะชอบ เพราะมีส่วนผสมของหนังอย่าง Super 8, Stand by me, E.T. และตัวซีรีส์เองก็เล่าเรื่องย้อนกลับไปในยุค 80s ที่ทำให้เราได้เห็นพร็อพย้อนอดีตชวนให้คิดถึงวันเก่าๆ ส่วนซีซัน 3 ทาง Netflix คอนเฟิร์มว่ามาแน่ โปรดรอชม

 

ปล. สำหรับใครที่อยากย้อนดูตั้งแต่ซีซันแรก ก็ใช้เวลาเพียงแค่ 14.10 ชั่วโมงเท่านั้น!

 

 

 

18 ชั่วโมง

Stranger (16 ตอนจบ)

ข้ามฝั่งมาที่ซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยมขนาดว่า Netflix จ่ายเงินซื้อไปฉายในราคาตอนละ 200,000 เหรียญสหรัฐ Stranger หรือ Secret Forest เล่าเรื่องราวของ ฮวางชีมก อัยการหนุ่มที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ด้วยความที่ครั้งยังเด็กเขาเคยผ่าตัดสมอง ทำให้ส่งผลกับการรับรู้และการแสดงอารมณ์ จึงทำให้เขาไม่อาจแสดงอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า จนวันหนึ่งเขาเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมที่ดูเหมือนไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่กลายเป็นเงื่อนปมที่พาเข้าไปสู่ความลับอันซับซ้อนของการทุจริตในวงการผู้รักษาความยุติธรรม

 

ความสนุกอยู่ตรงเรื่องราวที่พร้อมจะพลิกผันได้ตลอดเวลา ใครที่เรามองว่าไม่สำคัญอะไรก็มักกลายเป็นตัวละครพีกๆ ได้เสมอ สายดูหนังหักเหลี่ยมเฉือนคมจดลิสต์ไปดูได้เลย

 

 

16 ชั่วโมง

While You Were Sleeping (32 ตอนจบ)

ซีรีส์ที่การันตีว่าฮอตสุดขีดโดย Viu (วิว) ผู้ให้บริการสตรีมมิงรายการฮิตทั่วเอเชีย โดย While You Were Sleeping ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของ ‘10 สุดยอดซีรีส์และวาไรตี้ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปีนี้’ และมีผู้เข้าชมสูงสุดผ่าน Viu

 

เรื่องราวของเพื่อน 3 คนที่เคยมีอดีตร่วมกันในวัยเด็ก และกลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อโตขึ้น โดยหญิงสาวเป็นนักข่าว ขณะที่เพื่อนชายอีก 2 คน คนหนึ่งเป็นอัยการ อีกคนเป็นตำรวจ ทั้ง 3 คนสามารถมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ผ่านความฝัน และนั่นจึงนำมาซึ่งการช่วยเหลือชีวิตของพวกเขากันเอง รวมถึงเหตุการณ์ที่ช่วยเหลือชีวิตคนอื่นๆ นำแสดงโดย อีจงซอก (Lee Jong-suk) นักแสดงสังกัด YG ที่ปี 2016 ดังสุดขีดจากซีรีส์เรื่อง W และ แบซูจี (Bae Suzy) นักแสดงสาวอดีตสมาชิกวง Miss A

 

https://www.viu.com/ott/th/th/vod/61950/While-You-Were-Sleeping

 

16 ชั่วโมง

Fight for My Way (16 ตอนจบ)

เรื่องราวของเพื่อนสนิท 4 คนที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนต่างมีความฝันของตัวเอง แต่ด้วยฐานะในสังคมทำให้พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความฝันนั้น นำแสดงโดย พัคซอจุน (Park Seo Joon) พระเอกของเรื่องที่ฝันอยากเป็นนักมวย UFC ส่วนนางเอก คิมจีวอน (Kim Ji-won) รับบทหญิงสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว แต่ต้องต่อสู้กับคำสบประมาท เพราะในจุดเริ่มต้นเธอเป็นเพียงผู้ประกาศในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น

 

แม้ว่าจะเป็นซีรีส์ที่ไม่ได้ติดอันดับยอดนิยม แต่ด้วยเนื้อหาดีๆ ภาพสวยๆ ตัวละครแต่งตัวดี และความสนุกที่มีให้ได้ยิ้มตลอดเรื่อง Fight for My Way จึงเป็นซีรีส์ตัวเลือกที่ดีหากต้องการเติมพลังไว้ใช้ต่อสู้กันใหม่ในปีหน้า

 

https://www.viu.com/ott/th/th/vod/48967/Fight-for-My-Way

 

9 ชั่วโมง

The Crown, ซีซัน 2 (10 ตอนจบ)

ซีรีส์เบื้องหลังการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะนั้นสภาพสังคมอยู่ในภาวะเปราะบาง เมื่ออังกฤษส่งกองทหารไปทำสงครามอย่างผิดหลักกฎหมายสากลในอียิปต์ และจบด้วยการลาออกของ ฮาโรลด์ แม็กมิลแลน (Harold Macmillan) นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของรัชสมัย โดยในซีซัน 2 เล่าเรื่องราวไปจนถึงช่วงสิ้นสุดยุคอาณานิคม ไปจนถึงยุคปฏิวัติในช่วงทศวรรษ 1960

 

The Crown เป็นการร่วมมือกันของ ปีเตอร์ มอร์แกน ผู้สร้าง-ผู้เขียนบท The Queen, Nixon, สตีเฟน ดัลดรี ผู้กำกับ และแอนดี้ ฮาริส ผู้อำนวยการสร้าง น่าดูชมแค่ไหนก็เอาเป็นว่าเซเลบริตี้ระดับโลกอย่าง มารายห์ แครีย์ ยังทวีตชวนให้ดู!

 

ปล. ไหนๆ ก็ไหนๆ เริ่มดูจากซีซันแรกจนจบซีซัน 2 ก็จะใช้เวลาเพียง 18 ชั่วโมงเท่านั้น

 

 

 

9 ชั่วโมง

Versailles ซีซัน 2 (10 ตอนจบ)

สำหรับใครที่ไม่ได้เดินทางไปไหน การเดินทางผ่านซีรีส์ก็น่าสนใจ โดยเฉพาะ Versailles ที่ปีนี้ออกฉายซีซัน 2 โดยยังคงยึดพื้นที่พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส ในการถ่ายทำตลอดทั้งเรื่อง!

 

ซีซันแรกเป็นการเปิดเรื่องในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กษัตริย์แห่งฝรั่งเศสที่มีความสำคัญที่สุดอีกพระองค์หนึ่ง เจ้าของวาทะ “I am the State” หรือ “ฉันคือฝรั่งเศส” กษัตริย์ผู้ก่อสร้างต่อเติมพระราชวังแวร์ซายส์ให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ เนื้อเรื่องสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำระหว่างกษัตริย์และชนชั้นสูงที่แตกต่างจากชนชั้นแรงงานอย่างเห็นได้ชัด ในหมู่ชนชั้นสูงกันเองก็มีการแก่งแย่งชิงดี เพื่ออำนาจ ฐานะ และความเป็นอยู่ที่ดีกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงในพระราชวังที่ต่างต้องการแต่งงานกับใครสักคน (โดยเฉพาะกษัตริย์) ที่จะช่วยยกระดับชีวิตพวกเธอ

 

ซีซัน 2 ดำเนินเรื่องต่อจากซีซันแรก โดยเป็นเรื่องราว 4 ปีต่อมา ที่มาพร้อมเสื้อผ้า หน้าผม แสงเงา สถานที่ที่สวยงามอลังการในทุกฉากทุกตอนเช่นเคย เรียกว่าดูแค่ความงามของพระราชวังแวร์ซายส์ก็คุ้มแล้ว

 

 

 

8.31 ชั่วโมง

Mindhunter (10 ตอนจบ)

ย้อนกลับไปในปี 1977 ในยุคเริ่มต้นของหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรม หนึ่งในหน่วยงานของ FBI เจ้าหน้าที่ โฮลเดน ฟอร์ด, บิลล์ เทนช์ และนักจิตวิทยา ดร.เวนดี้ คาร์ พวกเขาทำงานด้วยการสัมภาษณ์เหล่าฆาตกร เพื่อทำความรู้จักจิตใจและระบบวิธีคิดในการวางแผนฆาตกรรม ทั้งนี้ก็เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการแก้ปัญหาคดีอื่นๆ และทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริง นั่นทำให้เรื่องราวดูน่าอึดอัดสมจริงมากขึ้นไปอีก ประกอบกับการดำเนินเรื่องเต็มไปด้วยความคาดเดาไม่ได้ นักแสดงหลักที่เอาอยู่ ก็ทำให้ซีรีส์นี้มาแรงทันทีที่ปล่อยให้ชมเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

2 Episode แรก และ 2 Episode สุดท้าย กำกับโดยเดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งควบตำแหน่งหนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์อยู่ด้วย และนั่นทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ มีช่วงเปิดและปิดซีซันที่พีกมากอีกเรื่องในปีนี้ แน่นอนว่าซีซัน 2 เริ่มถ่ายทำแล้ว ก่อนสิ้นปี 2018 น่าจะได้ดูกัน

 

 

https://www.youtube.com/watch?v=7gZCfRD_zWE 

 

7 ชั่วโมง

The Good Doctor ซีซัน 1 (ยังไม่จบ ปัจจุบันอยู่ตอนที่ 10)

เรื่องราวของ ฌอน เมอร์ฟี นายแพทย์ศัลยกรรมหนุ่มที่เป็นออทิสติก เขาเริ่มต้นการทำงานที่โรงพยาบาล St. Bonaventure ในเมืองซานโฮเซ สหรัฐอเมริกา ความอัจฉริยะและความคิดที่แปลก ลึกซึ้ง ซับซ้อนกว่าคนทั่วไป ทำให้เขามีทักษะบางอย่างในการไขปริศนาของโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งการรักษาทางการแพทย์ที่ต่างไปจากแพทย์คนอื่น แต่กระนั้น ด้วยความที่เขาเป็นออทิสติก จึงต้องผ่านบททดสอบหนักหนาเพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นหมอที่ดีได้ไม่แพ้คนอื่นๆ ซึ่งในหลายๆ ตอน หยิบมาใช้สอนใจในชีวิตประจำวันเราๆ ท่านๆ ได้ดีทีเดียว

 

The Good Doctor เป็นซีรีส์ที่รีเมกจากซีรีส์เกาหลีชื่อเดียวกันในปี 2013 ในเวอร์ชันรีเมกเขียนบทและโปรดิวซ์โดย เดวิด ชอร์ คนเดียวคนเดิมจากผู้สร้างซีรีส์ House M.D. และที่ต้องชมอีกอย่างคือ เฟรดดี ไฮร์มอร์ (Freddie Highmore) ที่แสดงละเอียดมาก จนได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมซีรีส์ดราม่า Golden Globe Awards 2018 ที่กำลังจะประกาศผลต้นปีหน้า นอกจากนี้ยังเป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของสถานีโทรทัศน์ abc ในช่วงปลายปีนี้

 

 

https://www.youtube.com/watch?v=fYlZDTru55g 

 

4 ชั่วโมง

Million Yen Women (12 ตอนจบ)

พล็อตเรื่องเปิดมาก็น่าสนใจแล้ว เมื่อหญิงสาวปริศนา 5 คนย้ายเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับหนุ่มนักเขียน โดยจะให้เงินเขาคนละ 1 ล้านเยนทุกเดือนเป็นการแลกเปลี่ยน และมีกฎคือ ห้ามถาม ห้ามเข้าไปในห้องของพวกเธอ และทุกวันต้องกินอาหารเย็นด้วยกัน ที่ว่าน่าสนใจแล้ว ทบไปอีกเท่า ด้วยปูมหลังของหนุ่มนักเขียน พระเอกของเราที่เป็นลูกชายของฆาตกรโทษประหาร!

 

Million Yen Women เป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากมังงะเรื่อง 100 man yen no Onna tachi ในแต่ละตอนเรื่องราวจะค่อยๆ คลี่คลายว่าพวกเธอทั้ง 5 คือใคร มีปูมหลังแบบไหน และมีเหตุผลอะไรที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน

 

ถ้าเวลามีน้อยใช้สอยประหยัด ปีใหม่นี้แนะนำเรื่องนี้เลย

 

 

The post หยุดยาวดูอะไรดี และนี่คือซีรีส์ปี 2017 ที่เราอยากดูให้จบก่อนขึ้นปีใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/series-for-long-holiday/feed/ 0