Value Investor – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 01 Sep 2025 02:59:11 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ชมคลิป: 4 สเตจบริหารความมั่งคั่งจาก UOB ‘สร้าง-ปกป้อง-ต่อยอด-ส่งต่อ’ ทำอย่างไรในยุคเศรษฐกิจผันผวน?” https://thestandard.co/uob-privilege-banking-investment/ Mon, 01 Sep 2025 03:00:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1113970 uob-privilege-banking-investment

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังปั่นป่วนจากสงครามการค้าและนโยบา […]

The post ชมคลิป: 4 สเตจบริหารความมั่งคั่งจาก UOB ‘สร้าง-ปกป้อง-ต่อยอด-ส่งต่อ’ ทำอย่างไรในยุคเศรษฐกิจผันผวน?” appeared first on THE STANDARD.

]]>
uob-privilege-banking-investment

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังปั่นป่วนจากสงครามการค้าและนโยบายใหม่ๆ ของผู้นำสหรัฐฯ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญอย่างการวางมือของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ นักลงทุนระดับโลก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเองก็เผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนและสังคมสูงวัยที่กำลังจะมาถึง

 

WEALTH INTERVIEW By UOB Privilege Banking EP.11 ชวนค้นหาคำตอบว่า

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจหรือไม่? และควรระวังอะไรจากหุ้นเทคโนโลยีราคาแพง?

  • แนวทางการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้ควรเป็นอย่างไร?

  • จะรับมือกับความเสี่ยงและหนี้สินอย่างไร?

 

รวมถึงเปิดสูตรการบริหารจัดการความมั่งคั่งด้วย ‘4 Stage of Personal Financial Planning’ เพื่อให้พอร์ตของคุณแข็งแรงและพร้อมรับมือกับทุกความผันผวนของโลกกับผู้เชี่ยวชาญในวงการการลงทุน ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย และ Host รายการ ศิรัถยา อิศรภักดี

The post ชมคลิป: 4 สเตจบริหารความมั่งคั่งจาก UOB ‘สร้าง-ปกป้อง-ต่อยอด-ส่งต่อ’ ทำอย่างไรในยุคเศรษฐกิจผันผวน?” appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลยุทธ์รักษาความมั่งคั่ง https://thestandard.co/wealth-preservation-strategies/ Sun, 02 Feb 2025 06:50:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1037311 wealth-preservation-strategies

ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เดือนแรกของปี 2025 อยู่ […]

The post กลยุทธ์รักษาความมั่งคั่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
wealth-preservation-strategies

ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ -6.1% และเป็นการตกลงมาอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นที่ตกลงมานั้นเกิดขึ้นในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและแทบทุกกลุ่มหุ้น เช่น หุ้นเก็งกำไร หุ้นปั่น หุ้น VI และหุ้นปันผล ไม่ต้องพูดถึงหุ้นเติบโตหรือหุ้นคอร์เนอร์ที่เคยเป็น ‘ดารา’ ที่มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงก่อน และทำให้ราคาหุ้นแพงมากที่มีค่า P/E สูงกว่าปกติมากที่ ‘คอร์เนอร์แตก’ ราคาหุ้นตกลงมามากทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงเกิดขึ้นกับบริษัท

 

การตกลงมาของหุ้นรอบนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ บางทีอาจจะเพิ่งเริ่มต้น เพราะเหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นยังคงอยู่ ‘ครบถ้วน’ ไม่ว่าจะเป็น

 

  1. การเติบโตของ GDP ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นภายในปีนี้
  2. อัตราดอกเบี้ยที่ ‘คงจะไม่ลด’ และจะยังรบกวนไม่ให้หุ้นขึ้นไปได้ทั้งในระดับโลกและของไทย
  3. กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่น่าจะดีขึ้น เพราะความต้องการสินค้าในประเทศที่ยังอ่อนแอ อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี การใช้จ่ายรายการใหญ่ เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว 
  4. หุ้นโดยรวมมีราคาแพง โดยวัดจากค่า P/E ที่สูงถึง 18 เท่า

 

จะมีที่เป็นบวกหน่อยก็คือปัจจัยทาง ‘เทคนิค’ ที่ว่าดัชนีหุ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ‘เลวร้ายมาก’ คือปี 2565 บวกแค่ 0.7%, ปี 2566 ติดลบ 15.2% และปี 2567 ติดลบ 1.1% ในขณะที่ตลาดหุ้นโลกสดใส ดังนั้นปี 2568 ดัชนีไทยก็ควรจะต้องดี ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เคยเป็นติดต่อกันมากว่า 20 ปี อย่างไรก็ตาม ในฐานะของคนที่เน้นเรื่องของ ‘พื้นฐาน’ เป็นหลัก ผมคิดว่า ‘รอบนี้’ ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และเราก็จะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือต้องปรับ ‘โหมด’ การลงทุนของเรา จากโหมดของการ ‘รุก’ เป็นโหมด ‘รับ’ เต็มตัว ซึ่งนี่ก็คล้ายๆ กับเรื่องของการรบในสงครามที่เรารู้ว่าเราสู้ไม่ได้เมื่อมีการรบกันระยะหนึ่งแล้ว การที่จะบุกเข้าไปต่อสู้นั้นโอกาสที่จะแพ้สูง ทางที่ดีกว่าก็คือการปรับกองทัพตั้งรับข้าศึก ซึ่งจะทำให้มีโอกาสรอดมากกว่า

 

นักลงทุนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงจนมีพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก และมีความมั่งคั่งในระดับที่มีอิสรภาพทางการเงิน รวมถึงคนที่ ‘รวย’ จากหุ้นไปแล้วนั้น ผมคิดว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไปมากพอที่จะทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุนของเรา จากการที่เน้นลงทุนในหุ้นเติบโต หุ้นวัฏจักร หรือหุ้นฟื้นตัวที่มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนมากๆ ในเวลาอันสั้น มาเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ หรือไม่ก็ไม่ลงทุนในหุ้นเลย เพื่อที่จะ ‘รักษาความมั่งคั่ง’ ของเราไว้ได้

 

การรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ให้เท่ากับระดับเดิมหรือใกล้เคียงนั้น วิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือถือเงินสดให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่ถึงระดับหนึ่งก็มักจะพบว่า การแปลงพอร์ตหุ้นให้เป็นเงินสดโดยที่ราคาหรือมูลค่าไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและสภาพคล่องของหุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะที่มีขนาดเล็กหายไปมาก ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย

 

ดังนั้นการเลือกหุ้นที่จะขายเพื่อเก็บเป็นเงินสดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ หุ้นที่มีราคาแพง โดยเฉพาะที่มีค่า P/E สูงและกำไรในช่วงประมาณ 1-2 ไตรมาสข้างหน้าคงไม่โตนัก จึงเป็นเป้าหมายที่ควรจะขายออกไป อย่างไรก็ตาม การขายก็ต้องทยอยทำและต้องไม่รีบจนเกินไปที่อาจจะทำให้คนอื่น ‘ตกใจ’ เมื่อเห็นว่าหุ้นตกแรงและขายตาม ซึ่งอาจทำให้หุ้นตกลงไปอีกเป็นลูกโซ่และตกในระดับ ‘คอร์เนอร์แตก’ ซึ่งจะทำให้พอร์ตเสียหายหนัก

 

หุ้นราคาไม่แพงแต่ไม่มีอะไรโดดเด่น และที่สำคัญก็ไม่ได้จ่ายปันผลมากเทียบกับราคาหุ้น เช่น ให้ปันผลตอบแทนแค่ 3-4% ในช่วงเร็วๆ นี้ ก็ต้องถือว่าเป็นเป้าหมายที่ควรจะถูกขายออกไปเพื่อเก็บเป็นเงินสดจะดีกว่า แม้ว่าเงินสดจะให้ผลตอบแทนแค่ 1% แต่ความเสี่ยงที่จะลดลงไม่มี ในขณะที่หุ้นตัวนั้นที่เราอาจมองว่าดีพอสมควรและมีปันผล ‘พอใช้ได้’ ค่า P/E ก็แค่ 10 เท่าต้นๆ แต่ในความเห็นของผมแล้ว ความเสี่ยงที่หุ้นจะตกลงไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กระทบกับตลาดหุ้นในช่วงไม่นานนับจากนี้อาจมากกว่าที่เราคิด ดังนั้นถ้าคิดจะรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เราก็อาจต้องยอมขายหุ้นทิ้ง

 

หุ้นที่ถูกมาก ค่า P/E ปกติต่ำกว่า 10 เท่า และ/หรือ ปันผลตอบแทนปีละ 5-6% ขึ้นไปต่อเนื่องหลายปี เป็นหุ้นที่อาจถือไว้ได้และยังสามารถรักษาความมั่งคั่งไว้ได้แม้ในยามที่สภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยอย่างปัจจุบัน ผมเองมีความเชื่อว่าหากการจ่ายปันผลยังทำได้เท่าเดิม ก็อาจมีคนเข้าไปซื้อลงทุนกินปันผลแม้ว่าหุ้นจะตกลงมา ซึ่งนั่นก็จะทำให้หุ้นไม่ค่อยตกหรือตกลงมาไม่แรงมาก อาจไม่เกิน 5-6% ซึ่งก็จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่เป็นลบหรือลดลงไม่มาก อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้ปลอดภัยขึ้นอีก ก็ควรจะต้องดูว่าหนี้ของบริษัทก็มีน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย เพราะบริษัทที่มีหนี้น้อยนั้นจะยืนอยู่ได้ในยามที่ธุรกิจอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก

 

หุ้นที่อยู่ในประเทศที่เติบโตเร็วและอนาคตก็ยังคงเติบโตเร็วต่อไป อย่างเช่น ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น ถ้ามีราคาถูก เช่น มีค่า P/E 10-15 เท่า และก็ไม่ได้เป็นธุรกิจเก่าที่ไม่โตแล้ว หรือไม่ได้เป็นธุรกิจของรัฐที่มีการบริหารงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ผมคิดว่ามีความเสี่ยงที่ราคาจะลดลงแรงน้อยกว่าในตลาดหุ้นไทยมาก เหตุผลก็คือ กิจการมักจะโตไปกับเศรษฐกิจ และการแข่งขันจากคู่แข่งก็จะไม่มาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือพวกเขามักจะอยู่ในกลุ่มของ ‘ผู้ชนะ’ ที่กำลังแข่งขันกับธุรกิจรุ่นเก่าหรือบริษัทของรัฐที่มีความสามารถด้อยกว่า

 

ในกรณีของหุ้นที่ไม่ได้มีราคาถูก แต่มีคุณสมบัติสูงมากและกำลังเป็นหุ้นซูเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นโตเร็วอย่างเวียดนามนั้น ถ้าหุ้นมีค่า P/E ในระดับไม่เกิน 25 เท่า และการเติบโตของรายได้หรือกำไรยังคงเป็นเลขสองหลัก ผมคิดว่าความเสี่ยงที่หุ้นจะตกมาแรงและทำลายความมั่งคั่งลงมากนั้นน่าจะน้อย เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าการเติบโตของประเทศยังไปได้ดี ความต้องการที่จะเข้าไปถือหุ้นลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้หุ้นไม่ควรจะตกลงมาแรงมาก แม้ว่าบางทีอาจเกิดภาวะวิกฤตในตลาดระดับโลกก็ตาม

 

ดังนั้นในกรณีของหุ้นที่อยู่ในตลาดที่กำลังเติบโตดังกล่าว การลงทุนในหุ้นน่าจะเป็นกลยุทธ์ในการรักษาความมั่งคั่งของเราได้ ว่าที่จริงมีโอกาสสูงที่หุ้นในตลาดแบบนั้นจะกลายเป็น ‘หุ้นนายแบก’ ที่คอย ‘ชดเชย’ การขาดทุนในตลาดหุ้นไทย ทำให้เราสามารถรักษาความมั่งคั่งไม่ให้ลดลงได้แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะ ‘แย่มาก’

 

‘หุ้นโลก’ ซึ่งก็คือหุ้นระดับซูเปอร์สต็อกที่ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกานั้น ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหุ้นก็มีราคาค่อนข้างแพง ค่า P/E ระดับ 30 เท่า ผมคิดว่าเป็นหุ้นที่ไม่สามารถไว้ใจได้ว่าจะช่วยรักษาความมั่งคั่งของเราได้ในช่วงเร็วๆ นี้ เหตุผลส่วนหนึ่งที่สำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถกระทบกับหุ้นได้อย่างรุนแรง บางทีในชั่วข้ามคืน

 

ดังนั้นเราคงต้องเลือกว่าจะลงทุนในหุ้นแบบไหน ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะลงทุนผมจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีโอกาสถูกกระทบโดยปัจจัยทางเทคโนโลยีและการเมืองระหว่างประเทศสูง และเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคง อาจด้วยเพราะหุ้นมี Network Effect หรือเป็นหุ้นที่อิงอยู่กับความคิดหรือจิตใจของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมากกว่า และก็ยังต้องมีราคาไม่แพงเกินไป

 

ทั้งหมดนี้ก็คือกลยุทธ์การเลือกหุ้นเป็นรายตัวในตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่ง คือ ตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นในตลาดเติบโตแบบเวียดนาม และตลาดหุ้นโลก ในแบบที่จะรักษาความมั่งคั่งไว้ไม่ให้ลดลงเป็นหลัก เช่นเดียวกับกลยุทธ์ถือเงินสดให้มากขึ้น ซึ่งก็จะลดความเสี่ยงในการที่หุ้นจะตกลงมารุนแรงด้วย อย่างไรก็ตาม การถือเงินสดมากเกินไปก็อาจไม่เหมาะสม เพราะโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะหมดไปด้วย

 

ข้อเตือนใจสุดท้ายก็คือ โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อรวยพอแล้ว ถ้ารวยเพิ่มอีก ส่วนที่เพิ่มนั้นให้ความพึงพอใจน้อยลงเรื่อยๆ แต่ถ้ารวยอยู่แล้วเกิด ‘จนลง’ หรือความมั่งคั่งน้อยลง ความเจ็บปวดที่จะได้รับนั้นจะรุนแรงเป็น 2 เท่าของความพึงพอใจที่ได้รับเมื่อรวยขึ้น ดังนั้นอย่าโลภคิดถึงแต่ความมั่งคั่งที่จะเพิ่มขึ้น แต่จงคิดถึงวิธีที่จะรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่ตลอดไปมากกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่อยู่เฉยๆ และถือเงินสด แต่เป็นการลงทุนที่ยึดความปลอดภัย โดยเฉพาะในยามที่ตลาดไม่เอื้ออำนวยเป็นหลัก

 

อ้างอิง:

The post กลยุทธ์รักษาความมั่งคั่ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: นักลงทุน VI คืออะไร มีเรื่องอะไรต้องรู้ ! I NEW GEN INVESTOR (HL) https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-37-1/ Thu, 16 Jan 2025 11:00:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1030548 new-gen-investor-ep-37-1

นักลงทุน VI (Value Investor) คือผู้ที่มองเห็นโอกาสทองจา […]

The post ชมคลิป: นักลงทุน VI คืออะไร มีเรื่องอะไรต้องรู้ ! I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
new-gen-investor-ep-37-1

นักลงทุน VI (Value Investor) คือผู้ที่มองเห็นโอกาสทองจากหุ้นที่ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง! ด้วยการวิเคราะห์เชิงลึกและมองไปในอนาคต อยากเข้าใจการลงทุนแบบ VI มากขึ้นต้องดูคลิปนี้ !

 

รับชมคลิปเต็มๆ ได้ที่

เจาะสูตรลงทุนแบบ VI รู้ครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต! | NEW GEN INVESTOR EP.26

 

ติดตามรายการ NEW GEN INVESTOR ทุกวันเสาร์ เวลา 10.00 น. ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

The post ชมคลิป: นักลงทุน VI คืออะไร มีเรื่องอะไรต้องรู้ ! I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ลงทุนสายเก็งกำไร หุ้นโตแค่ไหนถึงตัดสินใจขาย? I NEW GEN INVESTOR (HL) https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-28-2/ Sun, 17 Nov 2024 06:00:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1008929

นักลงทุนสายเก็งกำไร การตัดสินใจขายหุ้นถือเป็นเรื่องยากไ […]

The post ชมคลิป: ลงทุนสายเก็งกำไร หุ้นโตแค่ไหนถึงตัดสินใจขาย? I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักลงทุนสายเก็งกำไร การตัดสินใจขายหุ้นถือเป็นเรื่องยากไม่น้อยไปกว่าการซื้อ ต้องใช้ทั้งสัญชาตญาณและการวิเคราะห์ เพราะเป้าหมายหลักคือการทำกำไรในระยะสั้น ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนสาย Value Investing ที่เน้นลงทุนระยะยาว ในคลิปนี้เราจะพาไปทำความเข้าใจแนวคิดที่จะช่วยให้การตัดสินขายของนักลงทุนสายเก็งกำไรง่ายขึ้น

 

รับชมคลิปเต็มๆ ได้ที่

สูตรขายหุ้นตามเซียนนักลงทุน ซื้อวันนี้ขายตอนไหนดีที่สุด? | NEW GEN INVESTOR EP.28

 

The post ชมคลิป: ลงทุนสายเก็งกำไร หุ้นโตแค่ไหนถึงตัดสินใจขาย? I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ลงทุนสาย VI ขายหุ้นตอนไหนดีที่สุด แบบฉบับ Warren Buffett? I NEW GEN INVESTOR (HL) https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-28-1/ Thu, 14 Nov 2024 11:00:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1008101 ลงทุนสาย VI

สำหรับสาย Value Investor (VI) การตัดสินใจขายหุ้นถือเป็น […]

The post ชมคลิป: ลงทุนสาย VI ขายหุ้นตอนไหนดีที่สุด แบบฉบับ Warren Buffett? I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ลงทุนสาย VI

สำหรับสาย Value Investor (VI) การตัดสินใจขายหุ้นถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การซื้อ เพราะเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลต่อผลตอบแทนในระยะยาว Warren Buffett ผู้เป็นตำนานแห่งวงการลงทุนก็มีหลักการในการขายหุ้นที่น่าสนใจ ซึ่งเราจะมาเจาะลึกกันในคลิปนี้

 

รับชมคลิปเต็มๆ ได้ที่

สูตรขายหุ้นตามเซียนนักลงทุน ซื้อวันนี้ขายตอนไหนดีที่สุด? | NEW GEN INVESTOR EP.28

 

The post ชมคลิป: ลงทุนสาย VI ขายหุ้นตอนไหนดีที่สุด แบบฉบับ Warren Buffett? I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: บทเรียนจากวิกฤตก่อนเป็น ‘ต้นแบบ VI เมืองไทย’ ของ กวี ชูกิจเกษม I NEW GEN INVESTOR (HL) https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-26-3/ Sun, 03 Nov 2024 06:00:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1003261 กวี ชูกิจเกษม

อยากรู้ว่านักลงทุนระดับตำนานอย่าง กวี ชูกิจเกษม ผ่านวิก […]

The post ชมคลิป: บทเรียนจากวิกฤตก่อนเป็น ‘ต้นแบบ VI เมืองไทย’ ของ กวี ชูกิจเกษม I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
กวี ชูกิจเกษม

อยากรู้ว่านักลงทุนระดับตำนานอย่าง กวี ชูกิจเกษม ผ่านวิกฤตมาได้อย่างไร? คลิปนี้จะพาย้อนบทเรียนจากตลาดหุ้นที่ กวี ชูกิจเกษม เคยเผชิญ และเรียนรู้วิธีการกลั่นกรองบทเรียนเหล่านั้นมาปรับใช้เป็นหลักการลงทุนแบบ Value Investing ที่แข็งแกร่ง จนประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

 

รับชมคลิปเต็มๆ ได้ที่:

The post ชมคลิป: บทเรียนจากวิกฤตก่อนเป็น ‘ต้นแบบ VI เมืองไทย’ ของ กวี ชูกิจเกษม I NEW GEN INVESTOR (HL) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เจาะสูตรลงทุนแบบ VI รู้ครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต! | NEW GEN INVESTOR EP.26 https://thestandard.co/new-gen-investor-ep-26/ Sat, 19 Oct 2024 03:00:29 +0000 https://thestandard.co/?p=997138

อยากรวยจากหุ้น ต้องคิดแบบไหน และต้องรู้อะไร?   New […]

The post ชมคลิป: เจาะสูตรลงทุนแบบ VI รู้ครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต! | NEW GEN INVESTOR EP.26 appeared first on THE STANDARD.

]]>

อยากรวยจากหุ้น ต้องคิดแบบไหน และต้องรู้อะไร?

 

New Gen Investor เอพิโสดนี้ เฟิร์น-ศิรัถยา อิศรภักดี ชวน กวี ชูกิจเกษม, Head of Research and Content บล.พาย มาแชร์วิธีการลงทุนในสไตล์ Value Investor (VI) ที่ยังสามารถใช้ได้ผลกับการลงทุนในยุคนี้

 

สิ่งสำคัญคือการรู้ให้ลึกและรู้ให้จริงในสิ่งที่เราต้องการจะลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือการลงทุนในอะไรก็ตาม

The post ชมคลิป: เจาะสูตรลงทุนแบบ VI รู้ครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต! | NEW GEN INVESTOR EP.26 appeared first on THE STANDARD.

]]>
หุ้น VI รุ่นใหม่ไม่มี Moat https://thestandard.co/new-generation-vi-stocks-do-not-have-moat/ Sun, 15 Sep 2024 07:19:51 +0000 https://thestandard.co/?p=983819

หุ้นที่ Value Investor (VI) เล่นหรือลงทุนนั้นมีหลายแบบ […]

The post หุ้น VI รุ่นใหม่ไม่มี Moat appeared first on THE STANDARD.

]]>

หุ้นที่ Value Investor (VI) เล่นหรือลงทุนนั้นมีหลายแบบ แล้วก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจและหุ้นในขณะนั้น เพราะ VI โดยเฉพาะของไทยมีหลายแบบมาก ถ้าจะว่าไปเวลานี้นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและมีพอร์ตขนาดใหญ่แทบทุกคนก็เป็นหรือเรียกตัวเองว่าเป็น VI แทบทั้งนั้น และพวกเขาต่างก็ยกคำจำกัดความของคำว่า VI ว่าคือการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และขายเมื่อราคาสูงเกินไปแล้ว

 

และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาทำ นั่นก็คือการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนก็จะมีมุมมองต่อบริษัทหรือกิจการแตกต่างกันมาก บางคนคาดการณ์หรือเชื่อว่ากำไรของบริษัทจะโตแบบก้าวกระโดด เพราะบริษัทหรือธุรกิจของบริษัทกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มี S-Curve หรือเส้นทางการเติบโตอย่างรวดเร็วใหม่ที่จะทำให้กลายเป็น Global Brand หรือเป็นยี่ห้อระดับโลก ดังนั้น มูลค่าของบริษัทก็ควรจะต้องสูงมาก ราคาหุ้นที่สูงจนทำให้ค่า PE สูงในระดับ 30-40 เท่าก็ไม่แพง ซื้อไว้แล้วเดี๋ยวราคาจะวิ่งขึ้นไปเองเมื่อกำไรในไตรมาสหน้าเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในอนาคต

 

และนั่นก็คือแนวคิดหรือแนวทางของ VI รุ่นใหม่ หลายๆ คนที่คิดว่า โอกาสของการลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยยังเปิดกว้าง มีหุ้นที่จะลงทุนแบบ VI ได้อีกมาก และยังน่าจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีอย่างที่เคยเป็นมานานในยุคทองของ VI จากช่วงปี 2552 หรือปีหลังวิกฤตซับไพรม์ ถึงประมาณปี 2562 ที่เป็นช่วงของปีวิกฤตโควิด-19 เป็นเวลาถึง 10 ปี

 

โดยที่พวกเขาคิดว่า สภาพหรือสถานะทางเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้กระทบกับสถานะของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นทั้งหมด ยังมีบริษัทในหลายๆ อุตสาหกรรมที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อไปได้อีกมากในระดับ Super Stock บริษัทเหล่านั้นมักจะเป็นบริษัทขนาดเล็กและอยู่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทยที่แข่งขันได้ในระดับโลก เช่น การท่องเที่ยว การดูแลรักษาสุขภาพและความงาม และธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและขนมที่ไทยมีความโดดเด่นไม่แพ้ใครในโลก!

 

ผมเองมีความเห็นว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทยก็คงจะอยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพราะนั่นคืออุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถไม่แพ้ประเทศอื่น เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เน้นความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่คนไทยไม่ชำนาญ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นทางด้านการให้บริการและความสามารถทางด้านศิลปะที่คนไทยไม่แพ้ชาติอื่นในโลก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อุตสาหกรรมดังกล่าวที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีขนาดใหญ่ และเติบโตมานานเป็นที่ยอมรับของนานาชาติระดับหนึ่งแล้ว การที่ประเทศไทยจะสร้างหรือเพิ่มการเติบโตในอุตสาหกรรมเหล่านั้นต่อไปจึงมีความเป็นไปได้สูง

 

แต่การเติบโตของอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดว่าจะทำให้หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมทุกบริษัทดีไปด้วย เหตุเพราะว่าถ้ามีบริษัทใหม่ที่เข้ามาให้บริการ หรือมีคู่แข่งที่เข้ามาให้บริการเพิ่มมากยิ่งกว่าการเติบโตของความต้องการแล้ว การแข่งขันก็จะรุนแรง ราคาค่าบริการหรือสินค้าอาจลดลง มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายจะลดลงจนอาจทำให้กำไรของกิจการลดลง ซึ่งนั่นก็จะทำให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นแทนที่จะดีขึ้นกลับแย่ลง ในบางกรณีที่มีผู้ให้บริการมากเกินไป ก็อาจทำให้บริษัทจำนวนมากล้มละลายได้

 

ดังนั้น ธุรกิจที่จะดีหรือมีโอกาสที่จะเป็น Super Stock จึงต้องมีอีกคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญก็คือ จะต้องมีความสามารถหรือความโดดเด่นบางอย่างที่จะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นหน้าใหม่ หรือคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเข้ามาแย่งลูกค้าได้ ในภาษาของ VI ก็คือ ธุรกิจหรือบริษัทมี Moat หรือมีป้อมค่าย-คูเมือง ที่สามารถป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามายึดปราสาทหรือเมืองหรือธุรกิจของตนเองได้

 

ตัวอย่างของ Moat ที่เข้มแข็งมากที่สุดอย่างหนึ่งก็เช่น โปรแกรมที่ใช้ในการรันคอมพิวเตอร์แทบทุกตัวในโลกของ Microsoft หรือ Windows ซึ่งต่อให้มีคนใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นแค่ไหน ทุกคนก็ต้องมาใช้โปรแกรมนี้ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้น Microsoft เพิ่มขึ้น และครองอันดับต้นๆ ของโลกในด้านมูลค่ามาตลอด แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว

 

แต่ถ้าถามว่าหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่คาดว่าจะโตต่อไปเรื่อยๆ เร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมนั้น มีตัวไหนหรือกลุ่มไหนบ้างที่มี Moat คำตอบที่ชัดเจนก็คือมีตัวเดียว นั่นก็คือหุ้นสนามบินที่มีผู้ให้บริการหลักเพียง 1 ราย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้น AOT จึงมีมูลค่ามหาศาลระดับ 1 ล้านล้านบาท และอยู่ในอันดับ 1-3 ของหุ้นใหญ่ที่สุดมานานต่อเนื่อง

 

ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจอื่นทางด้านการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม โอกาสที่จะเติบโตทำกำไรได้ดีและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมกลับคิดว่าอาจไม่เกี่ยวกับการที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เลย เหตุผลก็เพราะว่าธุรกิจโรงแรมไม่มี Moat ยิ่งอุตสาหกรรมโตเร็วก็ยิ่งกระตุ้นให้คู่แข่งเข้ามาให้บริการโดยการสร้างโรงแรมมากขึ้น ห้องพักมีโอกาสล้นมากขึ้น ราคาห้องลดลง กำไรของบริษัทก็จะหดตัวลง แล้วหุ้นจะไปทางไหน?

 

โรงแรมก็จะหนีไปลงทุนในต่างประเทศแทน แล้วก็ไปเจอกับคู่แข่งในต่างประเทศที่อาจน้อยกว่า ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะฝีมือของผู้บริหาร ไม่ใช่เรื่องที่ประเทศไทยจะเติบโตเป็นเมืองท่องเที่ยวของโลก

 

ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศไทยที่คน ‘แก่ตัวลง’ และต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น พวกเขาก็อาจลืมไปว่าเด็กเกิดใหม่ซึ่งต้องใช้บริการโรงพยาบาลมากเช่นกันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นธุรกิจโรงพยาบาลโดยรวมจึงอาจไม่ได้เติบโตอะไรนัก

 

โรงพยาบาลที่อาจโตได้มากกว่าก็คือโรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูง สามารถรักษาโรคซับซ้อนได้ดีที่ดึงดูดให้คนไข้ต่างชาติเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลของตน และต่างชาติก็จะมาเนื่องจากโรงพยาบาลชั้นนำของไทยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับระดับโลก แต่มีค่าบริการต่ำกว่าคู่แข่งในย่านนี้ และเมื่อลูกค้ามาใช้บริการแล้วก็มักจะไม่หนีไปไหน เนื่องจากคนไข้ต้องรักษากับหมออย่างต่อเนื่อง ในภาษาของ VI ก็คือ ธุรกิจโรงพยาบาลมี Exit Cost ซึ่งคล้ายๆ กับ Moat ที่กันไม่ให้ลูกค้าหนีไปหาคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลที่มีคุณสมบัติแบบนั้นในไทยก็มีไม่กี่แห่ง

 

ในช่วงหลังๆ เราเริ่มเห็นโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านความงาม โรงพยาบาลเฉพาะทาง อย่างเช่นโรงพยาบาลฟัน หรือโรงพยาบาลช่วยให้ตั้งครรภ์ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ โรงพยาบาลเหล่านี้ก็ประสบปัญหาแบบเดียวกับโรงพยาบาลทั่วไปนั่นก็คือ ไม่มี Moat พอมีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น อานิสงส์จากการที่คนรุ่นใหม่ต้องการความงามมากขึ้น ซึ่งก็อาจมีสาเหตุต่อเนื่องมาจากการที่ต้องออกสื่อสังคมมากขึ้น

 

แต่ประเด็นก็คือ คู่แข่งหรือ Supply ที่เป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลแบบเดียวกันก็เพิ่มขึ้นได้แบบไม่จำกัด เมื่อใดก็ตามที่จำนวนผู้ให้บริการเพิ่มเกินกว่าผู้ต้องการใช้บริการ ธุรกิจก็จะตกต่ำลง ดังนั้น บริษัทที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันจึงไม่น่าจะเป็นธุรกิจที่ดีสุดยอดได้ คลินิกเสริมความงามธรรมดาล้มหายตายจากกันไปมากแล้ว ในอนาคตผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนั้นอีกไหมกับธุรกิจโรงพยาบาลเฉพาะทางอื่นๆ

 

ธุรกิจกลุ่มสุดท้ายที่เป็นความหวังของ VI รุ่นใหม่ก็คือ หุ้นที่ขายของกินของใช้ในชีวิตประจำวันให้แก่บุคคลทั่วไปที่ ‘ไม่ใช่สินค้าจำเป็น’ เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำชา น้ำหวาน อาหาร ภัตตาคาร เครื่องสำอาง ทั้งหมดนั้น ถ้าจะดูเฉพาะในประเทศไทยก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอิ่มตัว เพราะจำนวนคนไทยโดยเฉพาะที่อายุน้อยที่เป็นลูกค้าหลักมีจำนวนลดลง

 

หุ้นที่ VI ชอบมักจะเป็นบริษัทที่มียอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่ก็มาจากการส่งออก หรือขายให้นักท่องเที่ยว หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเพราะบริษัทมีความสามารถทางการตลาดเหนือกว่าคู่แข่ง สตอรีก็มักจะบอกว่ายอดขายและกำไรจะโตต่อเนื่องยาวนาน แต่ถ้าวิเคราะห์ลึกลงไปก็จะพบว่า บริษัทไม่มี Moat ที่จะป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด

 

ประเด็นของผมก็คือ สินค้าเกี่ยวกับผู้บริโภคของไทยที่ส่งออกไปขายให้คนต่างชาติ มักจะประสบปัญหาที่สำคัญก็คือเรื่องของ ‘ภาพพจน์’ ที่ว่า คนบริโภคมักจะมองขึ้น คืออยากใช้สินค้าของประเทศที่พัฒนามากกว่าตนเอง ดังนั้น ถ้าตลาดของสินค้าอยู่ที่ประเทศที่พัฒนากว่าไทย เขาอาจซื้อน้อยลง ลองนึกถึงว่าคนไทยชอบสินค้าของประเทศไหนก็จะพบว่าเป็นสินค้าของประเทศที่พัฒนาสูงกว่าเราเป็นส่วนใหญ่ เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มากกว่ามาจากประเทศอย่างเวียดนาม เช่นเดียวกัน สินค้าของจีนในสมัยที่เขายังพัฒนาต่ำกว่าเรา เราก็ไม่ชอบใช้ แต่เวลานี้เราก็เริ่มใช้แล้วเพราะเขาพัฒนามากกว่าเราแล้ว

 

ดังนั้น ถ้าบริษัทไหนบอกว่าเขาจะขายของไปที่ตลาดไหนมากขึ้น ก็ต้องระวังว่าจะทำได้แค่ไหน ถ้าประเทศนั้นพัฒนาไปมากกว่าเรา ซึ่งเวลานี้ก็รวมถึงตลาดจีนด้วย

 

ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ถ้าจะลงทุนในหุ้นที่อาจดูเหมือนว่าจะเป็น Super Stock ที่อาจกำลังโตเร็ว และอยู่ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของไทย ก็พึงระวังว่าหุ้นเหล่านั้นอาจไม่มี Moat และจะมีความเสี่ยงว่า อยู่ๆ ผลประกอบการก็เดี้ยงไป

 

อ้างอิง:

The post หุ้น VI รุ่นใหม่ไม่มี Moat appeared first on THE STANDARD.

]]>
กำไรดี แต่หุ้นตก https://thestandard.co/good-profit-but-stocks-are-falling/ Sun, 18 Aug 2024 07:42:07 +0000 https://thestandard.co/?p=972475

การประกาศผลการดำเนินงานทุกไตรมาสของบริษัทจดทะเบียนในตลา […]

The post กำไรดี แต่หุ้นตก appeared first on THE STANDARD.

]]>

การประกาศผลการดำเนินงานทุกไตรมาสของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นช่วงเวลาสำคัญของนักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor เพราะในสายตาของ VI จำนวนมากนั้น ‘กำไรเป็นพ่อของทุกสถาบัน’ นั่นก็คือกำไรเป็นตัวที่เหนือกว่าปัจจัยอื่นทั้งหมดที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนราคาหุ้น ถ้าบริษัททำกำไรดี ราคาหุ้นก็มักจะขึ้น ไม่ว่าปัจจัยอื่นรวมถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจจะเลวร้ายหรือตลาดหุ้นโดยรวมจะตกลงมา ยิ่งกำไรดีมาก ราคาหุ้นก็มักจะขึ้นไปมาก

 

ในอดีตที่ยาวนานนับ 10 ปีที่ผ่านมานั้น หุ้นไทยมักจะขึ้นลงหวือหวาและตอบสนองต่อกำไรสูงมากมาตลอด บ่อยครั้งกำไรที่โต 20-30% ต่อเนื่องหลายไตรมาสนั้นมักทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาบางครั้งไม่ถึงปี เหตุผลเพราะนักลงทุนของไทยส่วนใหญ่เป็น ‘นักเก็งกำไร’ ซึ่งชอบเล่นหุ้น ‘Growth’ หรือ ‘หุ้นเติบโต’ แม้ว่าจะเรียกตนเองว่าเป็น ‘VI’ ที่ควรเน้นหุ้นที่มีราคาถูก ดังนั้นเมื่อหุ้นตัวไหนประกาศผลกำไรเพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะรีบเข้าไปซื้อ ดันให้ราคาเพิ่มขึ้น และมักจะขึ้นไปมากกว่ากำไรที่เพิ่มขึ้น

 

แต่ในช่วงไตรมาสนี้ และอาจจะรวมถึงในช่วง 2-3 ไตรมาสก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าการประกาศผลกำไรจะมีผลกระทบต่อราคาน้อยลงไปมาก หรือในบางกรณีก็เกิดผลในทางตรงกันข้าม นั่นก็คือ ‘กำไรก็ดี แต่หุ้นกลับตก’ สร้างความผิดหวังอย่างแรงให้กับคนที่ ‘ลุ้น’ ว่ากำไรจะดี และก็เป็นไปตามคาด กำไรบวกแรงมาก ‘หลายสิบเปอร์เซ็นต์’ และคิดว่าหุ้นจะต้อง ‘วิ่งระเบิด’ แต่ผลกลับตรงกันข้าม หุ้นถดถอยลงอย่าง ‘ไม่น่าเชื่อ’ ทฤษฎีที่ว่าผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการใช้ไม่ได้แล้วหรือ?

 

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเรื่องของการ ‘Sell on Fact’ นั่นก็คือการที่คนในตลาดหุ้นได้คาดไว้ก่อนแล้วว่ากำไรของบริษัทจะออกมาดี และ/หรือคนที่ได้ข้อมูลภายในจากผู้บริหารบริษัทหรือ ‘Insider’ รู้ว่างบจะออกมาดี ทำให้พวกเขาทยอยซื้อหุ้นก่อนประกาศงบ ราคาหุ้นก็ทยอยปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุดในวันก่อนประกาศงบ พองบถูกประกาศว่าดีจริงตามที่คาด และคนภายนอกทั่วไปแห่กันมาซื้อหุ้น พวกเขาก็จะขายทำกำไรได้งดงามในเวลาอันสั้น ซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาแทนที่จะเพิ่มขึ้น

 

คำอธิบายเรื่อง Sell on Fact นั้นเป็นเรื่องของการเก็งกำไรสั้นๆ ที่กินเวลาแค่เป็นวัน และบ่อยครั้งก็ไม่ได้ดูว่าหุ้นหลายๆ ตัวนั้น ก่อนหน้าที่จะประกาศงบที่ดีออกมาก็ไม่ได้มีราคาปรับตัวขึ้นแต่อย่างใด ว่าที่จริงหุ้นทยอยตกลงมาเรื่อยๆ ก่อนประกาศงบ พอประกาศว่างบดี กำไรเพิ่มขึ้น แทนที่หุ้นจะปรับตัวขึ้น มันกลับตกลงไปอีก คำอธิบายคืออะไร?

 

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักจะตอบว่า กำไรที่ประกาศนั้นถึงจะดีขึ้น แต่ก็ต่ำกว่ากำไรเฉลี่ยที่นักวิเคราะห์ทั้งหมดคาดไว้ก่อนหน้านั้น หรือที่เรียกว่า ‘Consensus Earning Estimate’ ซึ่งเป็นฐานของการกำหนดราคาหุ้นที่เหมาะสมของนักวิเคราะห์ ดังนั้นถ้ากำไรของบริษัทที่ประกาศออกมาต่ำกว่ากำไรที่นักวิเคราะห์คาด ราคาหุ้นก็จะต้องลดลง ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ และดังนั้นเวลาที่นักลงทุนจะ ‘ลุ้น’ เรื่องกำไรของบริษัท เราก็ควรจะลุ้นว่ากำไรจะดีกว่า ‘กำไร Consensus’ ของนักวิเคราะห์หรือไม่ ไม่ใช่ลุ้นว่ามันดีขึ้นหรือแย่ลงเทียบกับปีที่แล้วหรือไตรมาสที่แล้ว

 

วิธีอธิบายเรื่องงบดีแต่หุ้นตกโดยการใช้ตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้น ผมก็ยังคิดว่าเป็นเรื่องระยะสั้นอยู่ดีแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของการเก็งกำไรวันต่อวันแบบ ‘Sell on Fact’ เพราะสำหรับนักลงทุนระยะยาวโดยเฉพาะแนว VI พันธุ์แท้นั้น กำไรก็ยังเป็น ‘พ่อทุกสถาบัน’ อยู่ดี เพราะถ้ากำไรไม่ขึ้น โอกาสที่หุ้นจะขึ้นหรือทรงตัวอยู่ได้ในระยะยาวก็เป็นไปได้ยาก อย่าลืมว่า ‘Intrinsic Value’ หรือ ‘มูลค่าหุ้นที่แท้จริง’ ของหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับเงินสดที่เราจะได้รับจากบริษัทในอนาคตตลอดไป ซึ่งเงินสดที่จะได้รับนั้นก็ขึ้นอยู่กับกำไรของบริษัทที่ควรจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่บริษัทจะได้จ่ายปันผลให้เราเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ

 

ประเด็นสำคัญก็คือ ‘กำไร’ ที่ประกาศนั้นแต่ละบริษัทจะไม่เหมือนกันในแง่ของ ‘คุณภาพ’ และแม้แต่บริษัทเดียวกัน ในแต่ละไตรมาสก็จะมีคุณภาพไม่เหมือนกับไตรมาสอื่น คุณภาพของกำไรนั้นจะมีส่วนสำคัญมากต่อราคาของหุ้น ถ้ากำไรเพิ่มขึ้นมากและเป็นกำไรที่มีคุณภาพสูง ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นแรง ตรงกันข้าม กำไรที่มี ‘คุณภาพต่ำ’ ต่อให้ประกาศออกมามาก ราคาหุ้นก็จะไม่ตอบสนองหรือตอบสนองน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาก

 

คุณภาพของกำไรนั้นวัดจากการที่มันเป็นกำไรที่ได้มาจากการขายสินค้าที่มีคุณภาพสูงที่คู่แข่งไม่สามารถแข่งขันได้หรือเสียเปรียบในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น การขายโฆษณาของ Google ที่เป็นที่นิยมที่คนจะกลับมาซื้อบริการอีกเพราะเป็นโฆษณาที่ได้ผลดี เช่นเดียวกับ Facebook และ TikTok แต่ตรงกันข้ามกับบริษัทน้ำมันที่มีกำไรที่ได้มาจากการ ‘เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน’ ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งก็มักจะไม่อยู่ทนและสามารถที่จะกลายเป็นขาดทุนในไตรมาสต่อไปได้อย่างง่ายดาย

 

กำไรที่มีคุณภาพสูงนั้นจะต้องไม่ใช่กำไรที่เกิดจาก ‘เรื่องชั่วคราว’ ที่มักจะเกิดขึ้นไม่กี่ปี เช่นเรื่องของภาวะอุตสาหกรรมบางอย่างที่ขึ้นลงเป็นวัฏจักร ตัวอย่างเช่น ธุรกิจการขนส่งทางน้ำ ปิโตรเคมี ที่มักจะ ‘ดีเจ็ดปีแย่เจ็ดปี’ ซึ่งกำไรหรือขาดทุนมักจะมีคุณภาพต่ำ บางทีกำไรมโหฬารแต่ราคาหุ้นกลับลดลงในวันที่ประกาศงบ

 

กำไรที่มีคุณภาพสูงนั้นควรจะมาจากการที่สินค้าของบริษัทเป็นสินค้าที่ยังมีความต้องการโดยรวมเพิ่มขึ้น และบริษัทเป็นผู้ชนะที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน คู่แข่งไม่สามารถต่อสู้ได้ ทำให้บริษัทสามารถมีกำไรต่อยอดขายสูงกว่าคู่แข่งอย่างต่อเนื่องยาวนาน นอกจากนั้นโอกาสที่เทคโนโลยีหรือแนวทางการขายสินค้าแบบใหม่ไม่สามารถมาดิสต์รัปหรือทำลายได้ง่าย ตัวอย่างน่าจะรวมถึงหุ้นดิจิทัลระดับผู้นำโลกทั้งหลายที่มักจะมีกำไรที่มีคุณภาพสูง

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่ไม่ได้มี ‘เครือข่าย’ ของลูกค้าที่ผูกพันกัน ซึ่งทำให้สามารถย้ายบริษัทผู้ให้บริการได้ง่ายนั้น คุณภาพของกำไรก็จะต่ำกว่า ตัวอย่างเช่น รถไฟฟ้า โรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น ที่แม้ว่าจะโดดเด่นมากในภาวะปัจจุบัน แต่วันหนึ่งก็มีโอกาสที่จะถูกทำลายโดยบริษัทใหม่ที่ค้นพบหรือผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยีที่ดีกว่าที่จะดึงดูดลูกค้าไปได้

 

ในกรณีของบริษัทในอุตสาหกรรมรุ่นเก่าหรือรุ่นปัจจุบันที่ไม่ได้เป็นหุ้นเทคโนโลยีหรือดิจิทัลอย่างในตลาดหุ้นไทยนั้น คุณภาพของกำไรของแต่ละบริษัทก็คงต้องมาวิเคราะห์ตาม ‘โครงสร้างของอุตสาหกรรม’ ซึ่งก็คือเรื่องของขนาดของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้น ซึ่งก็มักจะบอกต่อไปว่าการแข่งขันทางธุรกิจในอุตสาหกรรมนั้นจะเป็นอย่างไร ใครจะได้เปรียบ ใครจะเสียเปรียบ ราคาสินค้าที่ขายสูงพอที่จะทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นหรือกำไรต่อยอดขายสูงหรือต่ำ ซึ่งก็จะส่งผลต่อถึงกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งก็จะนำไปสู่เรื่องของราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์

 

ในอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์นั้น ผู้เล่นหรือบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมมักจะมีจำนวนมาก ‘ทั่วโลก’ และก็ไม่มีใครใหญ่พอที่จะกำหนดราคาสินค้าเองได้ ราคาขึ้นกับความต้องการซื้อและขายในตลาดในแต่ละช่วง ธุรกิจไม่สามารถควบคุมกำไรขาดทุนระยะสั้นในแต่ละไตรมาสได้ ในระยะยาว ผลตอบแทนหรือกำไรก็มักจะ ‘เฉลี่ย’ เท่ากับต้นทุนของเงินเช่นอัตราดอกเบี้ย บวกกับกำไรเล็กน้อย รวมแล้วอาจจะได้ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เกิน 10% ต่อปี โดยที่กำไรรายปีหรือรายไตรมาสที่ประกาศออกมานั้น โดยหลักการแล้วไม่ควรบอกว่าหุ้นควรจะขึ้นหรือลง

 

กำไรของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ เป็นผู้นำที่ ‘แทบจะผูกขาด’ และอุตสาหกรรมก็ยังเติบโตอยู่ หาสินค้าหรือบริการที่สามารถทดแทนได้ยาก จะเป็นกำไรที่มีคุณภาพสูง ถ้ากำไรเพิ่มขึ้นก็น่าจะต้องทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นตามกันไป เพราะกำไรที่เพิ่มขึ้นนั้นก็จะเพิ่มขึ้นอย่างถาวร ไม่ควรจะตกกลับลงมาในไตรมาสหรือปีต่อไป ตัวอย่างของอุตสาหกรรมก็เช่นอุตสาหกรรมค้าปลีกในบางประเทศที่มีผู้เล่นที่ใหญ่มากอย่างหุ้น WALMART สินค้าผู้บริโภคที่มีบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ที่คนนิยมสูงมากอย่างเช่นสุราเหมาไถในจีน หรือหุ้น Louis Vuitton เป็นต้น

 

ในบางอุตสาหกรรม โครงสร้างของอุตสาหกรรมเป็นแบบมี ‘ผู้เล่นน้อยราย’ ซึ่งก็จะทำให้มีการแข่งขันอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังทำให้ราคาสินค้าสูงกว่าปกติบ้าง คุณภาพของกำไรของบริษัทแบบนี้ก็ต้องถือว่าพอใช้ได้ ถ้าเพิ่มขึ้นราคาหุ้นก็ควรจะต้องขยับขึ้นแม้ว่าจะไม่เท่าบริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมที่มีการ ‘ผูกขาดสูง’ ตัวอย่างของกลุ่มนี้ก็อาจจะรวมถึงผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในหลายๆ ประเทศ เป็นต้น

 

ข้อสรุปของผมเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมกำไรดีแต่หุ้นตกก็คือขึ้นอยู่กับคุณภาพของกำไรเป็นหลัก แต่ในช่วงนี้อาจจะมีปัจจัยเรื่อง ‘หุ้นแพง’ ที่ยังค้างอยู่จากช่วงที่หุ้นไทยมีการเก็งกำไรกันสูงมากก่อนหน้านี้ หน้าที่ของเราก็คือการวิเคราะห์ความคุ้มค่าแนว VI โดยคำนึงถึงคุณภาพของกำไร บางทีอาจจะเป็นโอกาสที่จะพบหุ้นดีที่ ‘กำไรดี แต่หุ้นตกได้’

The post กำไรดี แต่หุ้นตก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เจาะปมทุจริตหุ้นไทยกับ ‘ทฤษฎีแมลงสาบ’ https://thestandard.co/morning-wealth-15072024-3/ Mon, 15 Jul 2024 04:41:01 +0000 https://thestandard.co/?p=957845

เจาะปม ‘ทุจริตหุ้นไทย’ กับ ‘ทฤษฎีแมลงสาบ’ พูดคุยกับ ดร. […]

The post ชมคลิป: เจาะปมทุจริตหุ้นไทยกับ ‘ทฤษฎีแมลงสาบ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
  • เจาะปม ‘ทุจริตหุ้นไทย’ กับ ‘ทฤษฎีแมลงสาบ’ พูดคุยกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor)

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: เจาะปมทุจริตหุ้นไทยกับ ‘ทฤษฎีแมลงสาบ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>