เลือกตั้งสหรัฐ 2024 – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 21 Jan 2025 08:54:40 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาสู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 https://thestandard.co/donald-trump-second-term-presidential-hope/ Tue, 21 Jan 2025 01:20:30 +0000 https://thestandard.co/?p=999847 donald-trump v2

โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1946 ใ […]

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาสู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
donald-trump v2

โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1946 ในควีนส์ รัฐนิวยอร์ก เขาเป็นบุตรคนที่ 4 จากบุตรทั้งหมด 5 คนของเฟรเดอริก นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ แมรี ทรัมป์ ไฮโซและนักการกุศลชาวนิวยอร์ก

 

ทรัมป์เติบโตมาแบบเด็กชายที่กระตือรือร้นและมั่นใจในตนเอง ในวัย 13 ปีเขาเริ่มประพฤติตัวไม่ดีในโรงเรียน ส่งผลให้พ่อและแม่ตัดสินใจส่งเขาไปเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยนิวยอร์ก (New York Military Academy) โดยหวังให้ระเบียบวินัยของโรงเรียนช่วยขัดเกลาและส่งเสริมความกระตือรือร้นของเขาไปในทางบวก 

 

เขาทำได้ดีทั้งในด้านสังคมและวิชาการ จนกลายเป็นนักกีฬาดาวเด่นและผู้นำนักเรียน ก่อนจะศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมในปี 1964 และย้ายไปเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนการเงินวอร์ตัน (Wharton School of Finance) มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในอีก 2 ปีต่อมา กระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 1968

 

หลังสำเร็จการศึกษา ทรัมป์รับสืบทอดบริษัทต่อจากพ่อ เนื่องจาก เฟร็ด พี่ชายของเขาเลือกที่จะเป็นนักบิน โดยมีส่วนช่วยบริหารโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ในนิวยอร์ก และได้อำนาจบริหารบริษัทเต็มตัวในปี 1971 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Trump Organization ซึ่งภายใต้การบริหารของทรัมป์ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจของครอบครัวจากโครงการที่พักอาศัยระดับกลางในย่านบรูกลินและควีนส์มาเป็นโครงการหรูหราในแมนฮัตตัน

 

จากบทบาทนักธุรกิจใหญ่ มีหลายครั้งที่ทรัมป์ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ทั้งในแง่สนอกสนใจและประชดประชัน ถึงขั้นมองว่าชีวิตของนักการเมืองนั้นโหดร้าย 

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ผ่านการเป็นสมาชิกพรรคทั้งรีพับลิกัน เดโมแครต และพรรคอิสระอย่างพรรค Reform (ที่เขาเคยเปิดตัวลงสมัครชิงประธานาธิบดีอยู่ 3 เดือน ก่อนจะถอนตัว) 

 

กระทั่งปี 2011 ทรัมป์แสดงท่าทีว่าต้องการลงสมัครชิงประธานาธิบดีแข่งกับ บารัก โอบามา ในการเลือกตั้งปี 2012 แต่ท้ายที่สุดก็ประกาศไม่ลงสมัคร

 

กระทั่งเดือนมิถุนายน 2015 ทรัมป์ตัดสินใจประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2016 โดยประกาศถ้อยแถลงว่า ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ (American Dream) ได้ตายไปแล้ว แต่เขาสัญญาว่าจะ ‘นำมันกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และดีขึ้นกว่าเดิม’

 

ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญอย่างยิ่งหากเขาชนะเลือกตั้ง ซึ่งหลากหลายนโยบายที่เขาประกาศไว้ช่วงหาเสียง ทั้งนโยบายผู้อพยพ เศรษฐกิจ การค้า การต่างประเทศ รวมถึงท่าทีกับคู่ปรปักษ์ เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน ท่ามกลางฉากทัศน์ความขัดแย้งที่ลุกลามอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะยูเครนและตะวันออกกลาง คาดว่าจะมีผลอย่างมากต่อหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

info trump v2

 

ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร

 

อ้างอิง:

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาสู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ สู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 https://thestandard.co/trump-presidential-comeback/ Tue, 21 Jan 2025 01:00:16 +0000 https://thestandard.co/?p=998990 trump

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์วัย 78 ปี สร้า […]

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ สู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์วัย 78 ปี สร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 โดยเอาชนะ คามาลา แฮร์ริส คู่ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตไปได้ในการเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

 

การดำรงตำแหน่งในช่วงสมัยแรกของทรัมป์เรียกได้ว่าเป็นการสร้าง ‘ปรากฏการณ์’ ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จากบทบาทแข็งกร้าวในนโยบายต่างประเทศต่ออิหร่านและการเปิดฉากสงครามการค้ากับจีน การแสดงจุดยืนรักษาผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน และการดำเนินนโยบายคนเข้าเมืองที่เข้มงวด ทั้งการห้ามพลเมืองจากหลายประเทศมุสลิมเข้าประเทศ การสร้างกำแพงแนวชายแดนเม็กซิโก และการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย 

 

หากเขาชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 แน่นอนว่าหนทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทาย ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง สงคราม และภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากทั่วโลก

 

และนี่คือเรื่องราวชีวประวัติบางส่วนของหนึ่งในผู้ท้าชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาว ที่อาจกำหนดทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกตลอด 4 ปีข้างหน้า

 

เติบโตสู่มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์

 

โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 1946 ในควีนส์ รัฐนิวยอร์ก เขาเป็นบุตรคนที่ 4 จากบุตรทั้งหมด 5 คนของ เฟรเดอริก นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ แมรี ทรัมป์ ไฮโซและนักการกุศลชาวนิวยอร์ก

 

ในช่วงทศวรรษ 1950 ความมั่งคั่งของตระกูลทรัมป์เพิ่มขึ้นพร้อมกับการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

 

ทรัมป์เติบโตมาแบบเด็กชายที่กระตือรือร้นและมั่นใจในตนเอง ในวัย 13 ปีเขาเริ่มประพฤติตัวไม่ดีในโรงเรียน ส่งผลให้พ่อและแม่ตัดสินใจส่งเขาไปเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยนิวยอร์ก (New York Military Academy) โดยหวังให้ระเบียบวินัยของโรงเรียนช่วยขัดเกลาและส่งเสริมความกระตือรือร้นของเขาไปในทางบวก 

 

เขาทำได้ดีทั้งในด้านสังคมและวิชาการ จนกลายเป็นนักกีฬาดาวเด่นและผู้นำนักเรียน ก่อนจะศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมในปี 1964 และย้ายไปเรียนสาขาเศรษฐศาสตร์ที่โรงเรียนการเงินวอร์ตัน (Wharton School of Finance) มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ในอีก 2 ปีต่อมา กระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 1968

 

หลังสำเร็จการศึกษา ทรัมป์รับสืบทอดบริษัทต่อจากพ่อ เนื่องจาก เฟรด พี่ชายของเขา เลือกที่จะเป็นนักบิน โดยมีส่วนช่วยบริหารโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ในนิวยอร์ก และได้อำนาจบริหารบริษัทเต็มตัวในปี 1971 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Trump Organization ซึ่งภายใต้การบริหารของทรัมป์ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจของครอบครัว จากโครงการที่พักอาศัยระดับกลางในย่านบรูกลินและควีนส์มาเป็นโครงการหรูหราในแมนฮัตตัน

 

โดยถนน Fifth Avenue กลายมาเป็นที่ตั้งของ Trump Tower ซึ่งต่อมาเป็นทั้งบ้านและทรัพย์สินที่มีชื่อเสียงที่สุดของทรัมป์

 

ทรัพย์สินอื่นๆ ที่ใช้ชื่อแบรนด์ของทรัมป์มีทั้งคาสิโน, คอนโดมิเนียม, สนามกอล์ฟ และโรงแรม ในหลายเมืองของสหรัฐฯ และต่างประเทศ เช่น อินเดีย ตุรกี และฟิลิปปินส์

 

ชีวิตครอบครัว-สัมพันธ์ฉาว

 

สำหรับชีวิตครอบครัว ในปี 1977 ทรัมป์แต่งงานครั้งแรกกับ อิวานา เซลนิชโควา นางแบบและอดีตนักสกีชาวเชโกสโลวาเกีย และมีลูกด้วยกัน 3 คน ได้แก่ โดนัลด์ จูเนียร์, อิวานกา และเอริก ก่อนจะหย่าขาดจากกันในปี 1992 หลังทรัมป์ตกเป็นข่าวว่ามีความสัมพันธ์กับ มาร์ลา เมเปิลส์ หญิงสาวที่ต่อมากลายเป็นภรรยาคนที่ 2 ซึ่งทรัมป์แต่งงานด้วยในปี 1993 

 

ทรัมป์กับมาร์ลามีลูกสาวด้วยกัน 1 คนชื่อ ทิฟฟานี และชีวิตสมรสของทั้งคู่ก็ยืนยาวต่อมาอีก 6 ปี ก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าขาดจากกันในปี 1999 

 

ในปี 2005 ทรัมป์ตัดสินใจแต่งงานรอบที่ 3 กับ เมลาเนีย คเนาส์ หรือปัจจุบันคือ เมลาเนีย ทรัมป์ และมีลูกชายด้วยกันอีก 1 คน คือ บาร์รอน วิลเลียม ทรัมป์ ซึ่งเพิ่งอายุครบ 18 ปี 

 

อย่างไรก็ตาม หลังเข้าสู่แวดวงการเมือง เขาเผชิญกับหลายข้อกล่าวหาอื้อฉาว ทั้งเรื่องการประพฤติผิดทางเพศและความสัมพันธ์นอกสมรส

 

โดยเมื่อต้นปีที่แล้ว คณะลูกขุนในนิวยอร์กตัดสินความผิดในคดีล่วงละเมิดทางเพศนักเขียนหญิง อี. จีน แคร์รอล ในช่วงทศวรรษที่ 1990 และทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการโพสต์ข้อความลงแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าข้อกล่าวหาของเธอเป็นคำโกหก ซึ่งศาลสั่งให้ทรัมป์จ่ายเงินเธอทั้งหมด 88 ล้านดอลลาร์ แต่เขาได้ยื่นอุทธรณ์

 

นอกจากนี้ทรัมป์ยังถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา 34 กระทง ฐานปลอมแปลงเอกสารทางธุรกิจ เพื่อปกปิดข้อตกลงเรื่องการจ่ายเงินปิดปาก สตอร์มี แดเนียลส์ นักแสดงหนังผู้ใหญ่ จากกรณีความสัมพันธ์นอกสมรสในปี 2006

 

ชื่อเสียง-ความล้มเหลว

 

ทรัมป์ยังสร้างชื่อในวงการบันเทิงจากการเป็นเจ้าของเวทีประกวดนางงาม Miss Universe, Miss USA และ Miss Teen USA จากนั้นจึงเป็นผู้จัดรายการเรียลิตี้โชว์ The Apprentice ของ NBC

 

นอกจากนี้เขายังเขียนหนังสือหลายเล่มและปรากฏตัวทั้งในภาพยนตร์และรายการมวยปล้ำอาชีพ รวมทั้งยังทำธุรกิจขายสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่เครื่องดื่มไปจนถึงเนกไท 

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เคยยื่นล้มละลายทางธุรกิจมาแล้ว 6 ครั้ง และธุรกิจหลายอย่างของเขารวมถึง Trump Steaks และ Trump University ก็ล้มละลาย

 

โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่ง Forbes ประเมินว่า ปัจจุบันเขามีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ขณะที่เขายังเคยเผชิญคดีความและข้อครหาเรื่องการปกปิดข้อมูลภาษี และยังถูกศาลตัดสินโทษปรับเงินเกือบ 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐในคดีตกแต่งข้อมูลทรัพย์สินเพื่อหลอกลวงผู้ให้กู้ยืมเงิน

 

เส้นทางสู่การเมือง

 

จากบทบาทนักธุรกิจใหญ่ มีหลายครั้งที่ทรัมป์ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ทั้งในแง่สนอกสนใจและประชดประชัน ถึงขั้นมองว่าชีวิตของนักการเมืองนั้นโหดร้าย 

 

ในปี 1987 ทรัมป์เคยลงโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ใหญ่ 3 ฉบับ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศและวิธีขจัดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง ก่อนที่ในปีต่อมาเขาจะเข้าพบ ลี แอตวอเตอร์ ที่ปรึกษาประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน แห่งพรรครีพับลิกัน เพื่อขอพิจารณาเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีร่วมกับ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ที่ขณะนั้นเป็นตัวแทนผู้สมัครชิงประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน โดยบุชมองว่าคำขอดังกล่าวค่อนข้าง ‘แปลกและไม่น่าเชื่อ’

 

อย่างไรก็ตาม เขาผ่านการเป็นสมาชิกพรรค ทั้งรีพับลิกัน เดโมแครต และพรรคอิสระอย่างพรรค Reform (ที่เขาเคยเปิดตัวลงสมัครชิงประธานาธิบดีอยู่ 3 เดือน ก่อนจะถอนตัว) 

 

กระทั่งปี 2011 ทรัมป์แสดงท่าทีว่าต้องการลงสมัครชิงประธานาธิบดีแข่งกับ บารัก โอบามา ในการเลือกตั้งปี 2012 แต่ท้ายที่สุดก็ประกาศไม่ลงสมัคร

 

กระทั่งเดือนมิถุนายน 2015 ทรัมป์ตัดสินใจประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี 2016 โดยประกาศถ้อยแถลงว่า ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ (American Dream) นั้นได้ตายไปแล้ว แต่เขาสัญญาว่าจะ ‘นำมันกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และดีขึ้นกว่าเดิม’

 

ช่วงสมัยแรกของทรัมป์เต็มไปด้วยปรากฏการณ์ ทั้งการเดินหน้าหลายนโยบายที่ถูกมองว่า ‘สุดโต่ง’ ทั้งการทำสงครามการค้ากับจีน การดำเนินนโยบายผู้อพยพเข้าเมืองที่เข้มงวด เช่น การเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย หรือการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก ตลอดจนการถอนสหรัฐฯ จากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านและข้อตกลงปารีส 

 

แต่ในอีกแง่หนึ่ง ทุกอย่างที่เขาทำก็สามารถมองได้ว่าเป็นไปตามคำพูดที่เขาเน้นย้ำคือ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ (America First) และคำมั่นที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again) ที่ยังคงเป็นสโลแกนหาเสียงของเขาในรอบนี้

 

อย่างไรก็ตาม การขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของทรัมป์ มีบททดสอบสำคัญรออยู่มากมาย โดยเฉพาะนโยบายหลากหลายที่เขาประกาศไว้ในช่วงหาเสียง ทั้งนโยบายผู้อพยพ, เศรษฐกิจ, การค้า, การต่างประเทศ และท่าทีกับคู่ปรปักษ์ เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน ท่ามกลางฉากทัศน์ความขัดแย้งที่ลุกลามอยู่ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะยูเครนและตะวันออกกลาง ซึ่งคาดว่าจะมีผลอย่างมากต่อหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

ภาพ: Robert Perry / Stringer

อ้างอิง:

The post โดนัลด์ ทรัมป์ จากเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ สู่ความหวังประธานาธิบดีสมัยที่ 2 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ | WEALTH IN DEPTH #125 https://thestandard.co/wealth-in-depth-ep-125/ Thu, 21 Nov 2024 11:05:18 +0000 https://thestandard.co/?p=1011164

วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจและการค้าโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทร […]

The post ชมคลิป: วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ | WEALTH IN DEPTH #125 appeared first on THE STANDARD.

]]>

วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจและการค้าโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหวนคืนสู่ตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2

 

ทันทีที่ทรัมป์คว้าชัย ทั่วโลกต่างจับตานโยบายบริหารประเทศที่ถูกเรียกจนติดหูว่า Trump 2.0 ว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งด้านเศรษฐกิจและการค้าโลกรายสำคัญ

 

ติดตามการวิเคราะห์เชิงลึกจาก ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM Head of Investment Consultant SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์

The post ชมคลิป: วิเคราะห์เกมเศรษฐกิจโลกภายใต้อำนาจ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ | WEALTH IN DEPTH #125 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: เศรษฐกิจไทยภายใต้ทรัมป์ 2.0 สงครามการค้าจะเกิดเร็วขึ้นหรือไม่? | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-19112024-3/ Tue, 19 Nov 2024 09:06:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1010430

เศรษฐกิจไทย ภายใต้ ทรัมป์ 2.0 มีประเด็นไหนที่ต้องจับตา […]

The post ชมคลิป: เศรษฐกิจไทยภายใต้ทรัมป์ 2.0 สงครามการค้าจะเกิดเร็วขึ้นหรือไม่? | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

เศรษฐกิจไทย ภายใต้ ทรัมป์ 2.0 มีประเด็นไหนที่ต้องจับตา พูดคุยกับ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: เศรษฐกิจไทยภายใต้ทรัมป์ 2.0 สงครามการค้าจะเกิดเร็วขึ้นหรือไม่? | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินบาท ‘อ่อนค่าเร็ว’ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หวั่น Trade War กระทบแรง https://thestandard.co/thai-baht-rapid-depreciation/ Mon, 18 Nov 2024 07:31:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1009987 ค่าเงินบาทอ่อนค่า

The post เงินบาท ‘อ่อนค่าเร็ว’ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หวั่น Trade War กระทบแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ค่าเงินบาทอ่อนค่า

The post เงินบาท ‘อ่อนค่าเร็ว’ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หวั่น Trade War กระทบแรง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปรากฏการณ์คริปโตหลังเลือกตั้ง: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลกยุคใหม่ https://thestandard.co/crypto-post-election-global-finance/ Sat, 16 Nov 2024 08:21:30 +0000 https://thestandard.co/?p=1009422

การทะยานของราคาบิทคอยน์สู่ระดับสูงสุดใหม่ที่เกินระดับ 9 […]

The post ปรากฏการณ์คริปโตหลังเลือกตั้ง: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลกยุคใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

การทะยานของราคาบิทคอยน์สู่ระดับสูงสุดใหม่ที่เกินระดับ 92,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน) หลังการเลือกตั้งขั้นต้นในสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนทางการเมืองและนโยบายที่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายและการยอมรับ

 

การเคลื่อนไหวของตลาดในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะกำหนดอนาคตของระบบการเงินโลก เราเห็นการหลอมรวมระหว่างการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากนโยบายและการยอมรับในระดับสถาบัน

 

การปรับเปลี่ยนทีมงานด้านนโยบายคริปโตเคอร์เรนซีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดสะท้อนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนต่ออนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล

 

การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ส่งสัญญาณถึงการยอมรับบทบาทของคริปโตในระดับนโยบาย เราคาดว่าจะเห็นการพัฒนากรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่เอื้อต่อนวัตกรรมมากขึ้น โดยยังคงให้ความสำคัญกับการคุ้มครองนักลงทุนและเสถียรภาพของระบบ

 

การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศการเงิน

 

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังรวมถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ของสถาบันการเงินทั่วโลก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นเต้นในระบบนิเวศการเงิน สถาบันการเงินกำลังปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น

 

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี การสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในภาคการเงิน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระบบการเงินโดยรวม

 

ผลกระทบต่อตลาดทุนโลก

 

การเปลี่ยนแปลงของตลาดคริปโตกำลังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างตลาดทุนโลก การทะยานของราคาบิทคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ราคา แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในระบบการเงินโลก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งในพฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันที่เริ่มมองคริปโตเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตการลงทุนระยะยาว

 

ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน เราเห็นการเติบโตของเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ETF ที่อิงกับสินทรัพย์ดิจิทัล การพัฒนาตราสารอนุพันธ์ และ Structured Products ที่ผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม นวัตกรรมทางการเงินเหล่านี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและประสิทธิภาพของตลาด

 

อนาคตของตลาดการเงินดิจิทัล

 

การบูรณาการระหว่างตลาดการเงินแบบดั้งเดิมและดิจิทัลกำลังเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงิน และการบริหารความเสี่ยง สถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกกำลังลงทุนอย่างมหาศาลในเทคโนโลยีบล็อกเชนและระบบดิจิทัล เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

 

อนาคตของตลาดทุนจะเป็นการผสมผสานระหว่างระบบดั้งเดิมและดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการจัดสรรเงินทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่อาจได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น การลดต้นทุนธุรกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการระดมทุน

 

บทสรุป: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลก

 

การทะยานของราคาคริปโตหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นมากกว่าปรากฏการณ์ทางตลาด แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินโลก การผสมผสานระหว่างนโยบายที่เอื้อประโยชน์ การยอมรับจากสถาบัน และการพัฒนาเทคโนโลยี กำลังสร้างรากฐานสำหรับระบบการเงินยุคใหม่

 

เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ การเติบโตของตลาดคริปโตไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของราคา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีที่เราจัดการและเข้าถึงบริการทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโลก และจะกำหนดอนาคตของระบบการเงินในทศวรรษหน้า

 

จากสถานการณ์ในตอนนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งสัญญาณว่าอาจมีโอกาสที่ราคาบิทคอยน์จะสูงกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น Crypto Cycles หรือนโยบายแม้กระทั่งความเคลื่อนไหวที่รัฐบาลสหรัฐฯ หรือสถาบันทางการเงินต่างๆ ประกาศออกมา

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกรูปแบบมีความเสี่ยง และตลาดเองก็มีความผันผวนอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นนักลงทุนควรจะมองหาการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในแต่ละบุคคล และมองเป็นการลงทุนในระยะยาว ควรศึกษาและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบ ซึ่ง Binance TH ย้ำเสมอว่าคริปโตและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน

 

โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

The post ปรากฏการณ์คริปโตหลังเลือกตั้ง: จุดเปลี่ยนของระบบการเงินโลกยุคใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์ประกาศตั้ง ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ดึง ‘อีลอน มัสก์’ และ ‘วิเวก รามาสวามี’ คุมทีม https://thestandard.co/musk-ramaswamy-efficiency-department/ Thu, 14 Nov 2024 10:56:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1008668

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ประกาศ […]

The post ทรัมป์ประกาศตั้ง ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ดึง ‘อีลอน มัสก์’ และ ‘วิเวก รามาสวามี’ คุมทีม appeared first on THE STANDARD.

]]>

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ประกาศเมื่อวานนี้ (13 พฤศจิกายน) ว่าได้แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ และ วิเวก รามาสวามี รับหน้าที่เป็นผู้นำ ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ในรัฐบาลสมัยที่ 2 ของเขา โดยทรัมป์กล่าวว่า “2 คนนี้จะช่วยนำรัฐบาลของผมไปสู่การรื้อระบบราชการ ลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตัดงบประมาณที่สิ้นเปลือง และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาล”

 

การแต่งตั้งรามาสวามีและโดยเฉพาะมัสก์ที่เป็นผู้บริหารบริษัทที่มีสัญญากับรัฐบาลอยู่แล้ว ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ทันที โดยยังไม่ชัดเจนว่ากระทรวงใหม่นี้จะดำเนินการอย่างไร และจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาที่มีพรรครีพับลิกันควบคุมทั้งหมดหรือไม่

 

นอกจากนี้ทรัมป์ยังเสนอแผนการสร้างคณะกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาลนี้มาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมัสก์ตกลงที่จะนำทีมนี้หากทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว และยังกล่าวอีกว่า “สิ่งนี้จะสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ”

 

ขณะที่รามาสวามีซึ่งเป็นคู่แข่งของทรัมป์ในช่วงเลือกตั้งขั้นต้นในพรรครีพับลิกัน ก่อนที่เขาจะหันมาสนับสนุนทรัมป์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยโพสต์ข้อความว่า “SHUT IT DOWN” เพื่อสนับสนุนแนวคิดในการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่สิ้นเปลือง

 

ทั้งนี้ ทรัมป์ชี้ว่า คณะกรรมการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายรัฐบาล โดยเขากล่าวว่าจะพัฒนางานเพื่อกำจัดการฉ้อโกงและการจ่ายเงินที่ไม่เหมาะสมภายใน 6 เดือน ซึ่งจะช่วยประหยัดเงินนับล้านล้านดอลลาร์ ด้านรามาสวามียังเคยนำเสนอแนวทางทางกฎหมายที่อาจช่วยให้ประธานาธิบดีสามารถกำจัดหน่วยงานรัฐบาลบางแห่งได้ รวมถึง FBI กรมการศึกษา และคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์

 

ส่วนมัสก์ที่สนับสนุนทรัมป์มาตลอดเสนอให้มีการลดกฎระเบียบของรัฐบาลและเสนอระบบการประเมินที่อาจเลิกจ้างพนักงานที่ไม่จำเป็น รวมถึงเสนอการจ่ายค่าชดเชยสำหรับพนักงานรัฐบาลที่ถูกปลดออก

 

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ประกาศว่า กระทรวงนี้จะสิ้นสุดการทำงานภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 “รัฐบาลที่เล็กลงและมีประสิทธิภาพจะเป็นของขวัญที่สมบูรณ์แบบสำหรับสหรัฐฯ ในวันครบรอบ 250 ปีของการประกาศอิสรภาพ”

 

ภาพ: Carlos Barria / Reuters, ALLISON ROBBERT / Pool via REUTERS

อ้างอิง:

The post ทรัมป์ประกาศตั้ง ‘กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล’ ดึง ‘อีลอน มัสก์’ และ ‘วิเวก รามาสวามี’ คุมทีม appeared first on THE STANDARD.

]]>
กลยุทธ์เก็งกำไรโค้งสุดท้ายก่อนทรัมป์เข้าทำเนียบ https://thestandard.co/trump-presidency-investment-strategy/ Thu, 14 Nov 2024 05:29:27 +0000 https://thestandard.co/?p=1008477 ทรัมป์

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชัดเจนแล้วว่า โดนัลด์ […]

The post กลยุทธ์เก็งกำไรโค้งสุดท้ายก่อนทรัมป์เข้าทำเนียบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทรัมป์

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชัดเจนแล้วว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน จะก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 ชัยชนะที่ทิ้งห่างคู่แข่งของทรัมป์ช่วยลดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน สะท้อนผ่านดัชนี CBOE Volatility (VIX) ลดลงจากระดับเหนือ 20 จุดในช่วงที่จัดการเลือกตั้ง สู่ระดับราว 14 จุด ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2024 ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยระหว่างวันที่ 5-13 พฤศจิกายน 2024 ดัชนี S&P 500 +3.50% และดัชนี Nasdaq +4.29% ส่วนดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีของบริษัทขนาดเล็กสุด 2,000 บริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ +4.80% เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่านโยบายของทรัมป์และพรรครีพับลิกันจะส่งผลดีต่อตลาด เช่น นโยบายการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ขณะเดียวกันนโยบายผ่อนคลายกฎระเบียบ (Deregulation) ในภาคธนาคารของทรัมป์ หนุนให้หุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยดัชนี Dow Jones U.S. Banks +10.02% ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

ในฝั่งของสินทรัพย์ดิจิทัลก็ต่างปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นกัน โดยระหว่างวันที่ 5-13 พฤศจิกายน 2024 บิทคอยน์ปรับตัวขึ้นมากกว่า +30% เนื่องจากทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซี โดยมุ่งผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล และหนึ่งในนโยบายสำคัญคือการจัดตั้งคลังสำรองบิทคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Bitcoin Reserve) นอกจาก โดชคอยน์ (Dogecoin: DOGE) เงินสกุลดิจิทัลรูปสุนัขพันธุ์ชิบะ (Shiba Inu) พุ่งทะยานมากกว่า +150% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยโดชคอยน์เป็น Meme Coin หรือสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างจากเรื่องตลกบนอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงที่สุดในโลก และได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ที่ทรัมป์แต่งตั้งให้ดูแลกระทรวงพัฒนาประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency: DOGE) 

 

ในมุมของนโยบายการเงิน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้นต่อ รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์โอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง (Recession) ในระยะ 1 ปีข้างหน้า อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus ลดลงเหลือเพียง 25% ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 จากระดับ 50% เมื่อต้นปี 2024 ท่ามกลางบรรยากาศตลาดที่เต็มไปด้วยข่าวดี ‘Animal Spirits’ หรือปัจจัยทางอารมณ์และจิตวิทยาที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนและแนวโน้มของตลาด กำลังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นอย่างเต็มที่ ดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้หลายครั้ง ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 โดยในมุมมองของเรา ช่วง 2 เดือนก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งนี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร โดยเฉพาะในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น และหลังการเข้าดำรงตำแหน่งของทรัมป์ในเดือนมกราคม 2025 ตลาดหุ้นอาจเผชิญกับความผันผวนจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศคู่ค้าอื่นๆ รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรใช้ช่วงเวลาก่อนการเปลี่ยนผ่านนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างผลตอบแทน ก่อนที่ความไม่แน่นอนจะเริ่มมีอิทธิพลต่อตลาดในปี 2025

 

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยหุ้นกลุ่มนี้มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงของธนาคารกลางมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและขนาดเล็กมีภาระดอกเบี้ยและหนี้ที่ต้องเร่งการผ่อนชำระมากกว่า อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เริ่มเข้าสู่วัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ย ช่วยให้เราคลายความกังวลในประเด็นนี้มากขึ้น แม้ว่าระดับดอกเบี้ยจะยังคงสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด ขณะเดียวกันนโยบายของทรัมป์ค่อนข้างส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ US Equity Views: Potential implications of corporate tax reform for S&P 500 earnings ของ Goldman Sachs ที่เผยแพร่ ณ วันที่ 4 กันยายน 2024 คาดการณ์ว่าทุกการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง 1% ของรัฐบาลสหรัฐฯ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Russell 2000 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3% ซึ่งสูงกว่าผลกระทบต่อ EPS ของดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่ำกว่า 1% นอกจากนี้เราคาดว่านโยบายของทรัมป์จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการควบรวมและการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งจะส่งผลดีโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก 

 

ในด้านของอารมณ์ตลาด (Market Sentiment) ยังคงสดใส และตลาดเข้าสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) อย่างเต็มที่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยผู้จัดการกองทุนทั่วโลกมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น สะท้อนจากแบบสำรวจมุมมองผู้จัดการกองทุนทั่วโลก (Global Fund Manager Survey) เดือนพฤศจิกายน 2024 จาก Bank of America หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุมมองผู้จัดการกองทุนทั่วโลกที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สุทธิ (Net % Overweight US Equities) เพิ่มขึ้นมากจาก 10% ในเดือนตุลาคม 2024 เป็น 29% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 11 ปี และ 43% ของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกที่ตอบแบบสำรวจ คาดว่าหุ้นสหรัฐฯ จะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากระดับ 27% ที่สำรวจในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

 

นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกเชื่อว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ มีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจในปีหน้า โดยผู้จัดการกองทุนทั่วโลกมองว่าดัชนี Russell 2000 จะให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในปี 2025 ตามด้วยดัชนี Nasdaq และดัชนี MSCI Emerging Markets ขณะที่สัดส่วนสุทธิของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกที่มีมุมมองว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้นจากระดับ 3% ในเดือนตุลาคม 2024 เป็น 35% หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

ดังนั้นเรามองว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ และแนะนำให้นักลงทุนที่รับความผันผวนได้เข้าเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพื่อรับประโยชน์จาก ‘Animal Spirits’ ที่กำลังดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กยังคงมีข้อจำกัดในระยะยาว เนื่องจากบริษัทในดัชนี Russell 2000 มีสัดส่วนของบริษัทที่ผลประกอบการขาดทุนที่สูงกว่าบริษัทในดัชนี S&P500 ดังนั้นแม้หุ้นกลุ่มนี้จะเหมาะสำหรับการสร้างผลตอบแทนในระยะสั้น แต่สำหรับการลงทุนในระยะยาว นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานทางการเงินของบริษัท และอาจพิจารณาหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งและความมั่นคงทางการเงินมากกว่า เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในพอร์ตการลงทุน

The post กลยุทธ์เก็งกำไรโค้งสุดท้ายก่อนทรัมป์เข้าทำเนียบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไบเดนเปิดทำเนียบขาวต้อนรับทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ ตามธรรมเนียมถ่ายโอนอำนาจ https://thestandard.co/biden-trump-meet-white-house-transition/ Thu, 14 Nov 2024 02:33:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1008394 ไบเดน ทรัมป์

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้อนรับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธ […]

The post ไบเดนเปิดทำเนียบขาวต้อนรับทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ ตามธรรมเนียมถ่ายโอนอำนาจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไบเดน ทรัมป์

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้อนรับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ที่ทำเนียบขาว โดยการพบปะครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเพณีที่ยาวนานในการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติระหว่างรัฐบาล ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของประชาธิปไตยอเมริกัน โดยทั้งสองหารือกันในประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การเตรียมความพร้อมสำหรับรัฐบาลใหม่ และความท้าทายที่ประเทศกำลังเผชิญ รวมถึงความมั่นคงของชาติและนโยบายภายในด้วย 

 

ทั้งนี้ ไบเดนยืนยันถึงความตั้งใจที่จะสนับสนุนทรัมป์ในการถ่ายโอนอำนาจอย่างราบรื่น โดยกล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยินดีต้อนรับคุณกลับมา” ส่วนทรัมป์กล่าวขอบคุณไบเดนที่ต้อนรับเขาอย่างดี พร้อมกับกล่าวว่า “โลกการเมืองมันไม่ง่าย แต่วันนี้เป็นวันที่ดี ผมขอบคุณมากที่การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น”

 

นอกจากนี้ทั้งสองยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤตยูเครนและสถานการณ์ในตะวันออกกลาง โดยไบเดนแสดงความเห็นว่า การสนับสนุนยูเครนเป็นผลดีต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ เพราะการรักษาความเข้มแข็งของยุโรปจะช่วยป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ ถูกดึงเข้าสู่สงคราม ด้านทรัมป์แสดงท่าทีว่าจะยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะทำเช่นไร


แม้ว่าการพบปะกันระหว่างไบเดนและทรัมป์จะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่การถ่ายโอนอำนาจบางส่วนยังคงมีความล่าช้า เนื่องจากทีมงานของทรัมป์ยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงการเปลี่ยนผ่านบางประการที่จะเปิดทางให้เข้าถึงข้อมูลและสิ่งอำนวยความสะดวกของรัฐบาลได้

 

การพบปะกันในครั้งนี้ถือเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างไบเดนและทรัมป์ นับตั้งแต่การดีเบตประธานาธิบดีในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนั้นไบเดนตัดสินใจถอนตัวเนื่องจากทำผลงานดีเบตได้ไม่ดี 

 

ทั้งนี้ ในปี 2020 ทรัมป์ปฏิเสธที่จะเชิญไบเดนมาทำเนียบขาวหลังการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าเขาไม่ได้แพ้การเลือกตั้ง 

 

ภาพ: Kevin Lamarque TPX IMAGES OF THE DAY / Reuters

อ้างอิง:

The post ไบเดนเปิดทำเนียบขาวต้อนรับทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ ตามธรรมเนียมถ่ายโอนอำนาจ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin ทำสถิติใหม่! พุ่งทะลุ 89,000 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32% นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อ 5 พ.ย. https://thestandard.co/bitcoin-89000-usd-32-percents/ Tue, 12 Nov 2024 06:41:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1007706 Bitcoin

ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นแตะ 89,599 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดใหม […]

The post Bitcoin ทำสถิติใหม่! พุ่งทะลุ 89,000 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32% นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อ 5 พ.ย. appeared first on THE STANDARD.

]]>
Bitcoin

ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นแตะ 89,599 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง คิดเป็นการปรับตัวขึ้นประมาณ 32% นับตั้งแต่การเลือกตั้งของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ให้คำมั่นว่าจะออกกฎระเบียบที่เป็นมิตรกับคริปโต รวมถึงการจัดตั้งคลังบิทคอยน์สำรองของสหรัฐฯ และการสนับสนุนการขุดคริปโตภายในประเทศ 

 

นโยบายนี้แตกต่างอย่างมากจากการกวาดล้างอุตสาหกรรมคริปโตที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องขัดแย้งในช่วงการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ผ่านมา นโยบายดังกล่าวกระตุ้นการเก็งกำไรเหรียญคริปโตต่างๆ ช่วยให้มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก CoinGecko

 

คริส เวสตัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Pepperstone Group กล่าวว่า คำถามสำหรับนักลงทุนที่ยังไม่ได้ซื้อบิทคอยน์คือ ยังมีช่องว่างในการไล่ตามการลงทุนที่ร้อนแรงนี้หรือไม่ หรือควรรอให้ราคาย่อตัวเล็กน้อย 

 

ในตลาดออปชัน นักลงทุนกำลังวางเดิมพันว่าราคาบิทคอยน์จะทะลุ 100,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ตามข้อมูลจาก Deribit Exchange ขณะเดียวกันบริษัท MicroStrategy Inc. ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่ถือบิทคอยน์รายใหญ่ที่สุด ซื้อบิทคอยน์จำนวน 27,200 BTC มูลค่าราว 2 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคมถึง 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา 

 

ทั้งนี้ ราคาบิทคอยน์เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในปี 2024 อันเป็นผลจากความต้องการกองทุน ETF ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นและการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของบิทคอยน์นี้แซงหน้าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นโลกและทองคำ

 

ด้าน Changpeng Zhao หรือ CZ ผู้ร่วมก่อตั้ง Binance และอดีตซีอีโอของ Binance กล่าวผ่านงาน Binance Blockchain Week Dubai 2024 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า เขาไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่ทำได้เพียงวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีต ซึ่งที่ผ่านมาวัฏจักรของบิทคอยน์ค่อนข้างเป็นรูปแบบที่ชัดเจนคือ ปี 2012 เป็นปีแห่งการฟื้นตัว, ปี 2013 เป็นตลาดกระทิง ต่อมาที่ปี 2016 เป็นปีแห่งการฟื้นตัว และปี 2017 เป็นตลาดกระทิง เช่นเดียวกับปี 2020 และ 2021 ที่เป็นปีแห่งการฟื้นตัวต่อด้วยตลาดกระทิง 

 

สำหรับปี 2024 เป็นปีแห่งการฟื้นตัวเช่นกัน ส่วนปีหน้า “ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่โดยรวมแล้วผมยังมองบวกในระยะยาว ผู้คนจะใช้คริปโตมากขึ้น แต่ก็ยังมีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องช่วยกันสร้าง ส่วนระยะสั้นเป็นอะไรที่ยากจะคาดเดา” CZ กล่าว

 

อ้างอิง:

The post Bitcoin ทำสถิติใหม่! พุ่งทะลุ 89,000 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 32% นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ เมื่อ 5 พ.ย. appeared first on THE STANDARD.

]]>