ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 21 Oct 2025 06:21:41 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 วางแผนการเงินรอบด้าน ส่งลูกเรียนนอกอย่างมีกลยุทธ์ ด้วยโซลูชันทางการเงินจาก ttb reserve [Advertorial] https://thestandard.co/ttb-reserve-international-education-semina/ Tue, 21 Oct 2025 07:00:40 +0000 https://thestandard.co/?p=1132966

การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ปกครองคือ ‘การลงทุนด้า […]

The post วางแผนการเงินรอบด้าน ส่งลูกเรียนนอกอย่างมีกลยุทธ์ ด้วยโซลูชันทางการเงินจาก ttb reserve [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ปกครองคือ ‘การลงทุนด้านการศึกษา’ ให้กับบุตรหลาน โดยเฉพาะการศึกษาต่อต่างประเทศ ประตูแห่งประสบการณ์ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ค้นพบตัวตน เพิ่มทักษะชีวิต ต่อยอดเส้นทางอาชีพ ติดอาวุธทางความรู้ และสร้างโอกาสให้บุตรหลานได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและมีคุณภาพระดับสากล เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และความต้องการทักษะใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดแรงงานระดับโลก

 

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ผู้ปกครองต้องเผชิญ การวางแผนทางการเงินที่รอบด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การลงทุนด้านการศึกษานั้นเกิดประโยชน์สูงสุดและไม่เป็นภาระในระยะยาว

 

ด้วยความเข้าใจในความต้องการนี้ ttb reserve ได้จัดงานสัมมนา “Empowering The Next Generation through International Education” เพื่อเปิดมุมมองและให้ข้อมูลเชิงลึกด้านการศึกษาต่อต่างประเทศ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก EduSmith และ Skooldio มาให้คำแนะนำที่ตอบโจทย์ทั้งด้านวิชาการและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในโลกอนาคต พร้อมนำเสนอโซลูชันทางการเงินตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Wealth ที่วางแผนส่งบุตรหลานไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยผู้ปกครองเตรียมความพร้อมรอบด้าน ทั้งในด้านการศึกษาและการจัดการการเงินที่ครอบคลุมทุกมิติ

 

ttb-reserve-international

 

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต ฉายภาพเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตที่ช้าลงอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่หลังวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 (2020) ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.4% แต่ในทางกลับกัน ค่าใช้จ่ายโดยรวมของคนไทยยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าใช้จ่ายด้านค่าครองชีพ ด้านสุขภาพ ด้านประกัน และด้านการศึกษา ส่งผลให้ความมั่งคั่งของคนไทยไม่เหมือนเดิม โดยสะท้อนได้จากอัตราการเติบโตของเงินฝากในประเทศที่ลดลง และผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ภายในประเทศที่ไม่เพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายในอนาคต

 

นอกจากนี้ สำหรับผู้ปกครองที่มีแผนส่งลูกไปศึกษาต่อต่างประเทศยังต้องเผชิญกับอัตราค่าเล่าเรียนที่มีการเติบโตสูงกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการส่งบุตรหลานเรียนต่อต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีค่าใช้จ่ายโดยรวมในการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีสูงถึง 4 ล้านบาทต่อปี

 

ความพร้อมด้านการศึกษาคือการลงทุนที่สำคัญที่สุด

 

การเตรียมความพร้อมด้านการศึกษา ถือเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุดและต้องวางแผนให้ดี โดยเฉพาะการเตรียมทุนการศึกษาซึ่งผู้ปกครองควรวางแผนล่วงหน้าผ่านการลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศและการออมเงินในสกุลเงินต่างประเทศที่เหมาะสมกับประเทศเป้าหมายที่จะส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อ

 

ttb reserve นำเสนอ ‘โซลูชันการเงินแบบครบวงจรเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศ’ ที่ออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการวางแผนทางการเงินเพื่อการศึกษาต่อต่างประเทศของบุตรหลาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้กังวล ผ่านการจัดการด้วย 3C

 

Cost Saving: วางแผนการศึกษาต่างประเทศ ให้ทุกบาทคุ้มที่สุด ด้วย ‘FCD e-Saving’

 

การลดค่าใช้จ่ายด้วยการลงทุนในสกุลเงินต่างประเทศที่เหมาะสมกับประเทศที่จะไปเรียน เช่น การลงทุนล่วงหน้าแบบ Target Payment เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้คุณภาพดี สกุล USD หรือ GBP ที่มีอายุคงเหลือสอดคล้องกับค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับเวลาที่จะไปเรียนและระยะเริ่มลงทุน ช่วยให้สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการลงทุนที่หลากหลาย

 

และอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงที่เงินบาทแข็ง ได้แก่ การทยอยสะสมเงินทุนการศึกษาล่วงหน้าใน 5 สกุลเงินต่างประเทศผ่านบัญชี FCD e-Saving พร้อมรับดอกเบี้ยสูงสุดถึง 4.0% ต่อปีสำหรับเงินสกุล USD และ 2.60% ต่อปีสำหรับเงินสกุล GBP (สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่ ระยะเวลาโปรโมชัน 1 ต.ค. 68 – 31 ต.ค. 68 และรับดอกเบี้ยพิเศษถึงวันที่ 30 พ.ย. 68) เพื่อช่วยผู้ปกครองวางแผนสะสมทุนการศึกษาล่วงหน้า กระจายความเสี่ยงจากค่าเงิน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า และบริหารความมั่งคั่งในระยะยาว

 

ปิติเน้นย้ำว่า การเริ่มต้นวางแผนเร็ว จะช่วยลดภาระทางการเงินในอนาคต และทำให้ผู้ปกครองสามารถส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศได้อย่างมั่นใจ

 

Convenience & Control: จัดการค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา สะดวก รวดเร็ว ผ่าน ttb touch  

 

ควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมั่นใจ ผ่านแอป ttb touch และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อการศึกษาต่างประเทศโดยเฉพาะ สามารถโอนเงินจากบัญชี FCD e-Saving ของตนเองไปยังบัญชี FCD e-Saving ของบุตรหลานได้ ผ่านแอปตลอด 24 ชั่วโมง ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน สูงสุด 4 ล้านบาท/วัน

 

ด้านการใช้จ่าย บุตรหลานสามารถเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต ttb world pass ที่ตัดค่าใช้จ่ายจากบัญชี FCD e-Saving ตามสกุลเงินที่ใช้จ่าย และสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ ก็ยังใช้จ่ายสะดวก โดยตัดจากบัญชี ออลล์ฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียม FX Rate 2.5%

 

หากผู้ปกครองมีบัตรเครดิต ttb reserve ยังสามารถออกบัตรเสริมให้บุตรหลานนำไปใช้โดยได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การสะสมคะแนนที่รวดเร็ว และสิทธิประโยชน์อื่นๆ รวมถึงฟรีค่าธรรมเนียม FX Rate 2.5% เช่นกัน 

 

ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการใช้จ่ายผ่านแอป ttb touch ที่เห็นรายละเอียดทุกธุรกรรม พร้อมตั้งค่าควบคุมการใช้จ่ายรายหมวดหมู่ได้อีกด้วย

 

ttb-reserve-internationa

 

เคล็ดลับการวางแผนศึกษาต่อต่างประเทศ

 

กิตติประภา จิวะสันติการ กรรมการผู้จัดการและนักกลยุทธ์วางแผนศึกษาต่อต่างประเทศ สถาบัน EduSmith เน้นย้ำว่า “ไม่มีสูตรไหนที่ผิดหรือถูก” สำหรับการศึกษาต่อต่างประเทศ จะไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาเลยหรือจะไประดับมหาวิทยาลัยก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจภาพรวมของระบบการศึกษาและตัวตนของเด็กแต่ละคนเพื่อหาสิ่งที่เหมาะสม หากพิจารณาระบบการศึกษาของแต่ละประเทศก็จะมีลักษณะเด่นต่างกัน เช่น ระบบการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีอิสระทางการศึกษา เลือกหัวข้อการเรียนได้กว้างตามความสนใจ เน้นการค้นหาตัวเอง (Explore) และการมีเรื่องราวที่ไม่เหมือนใคร (Unique Story) ซึ่งเหมาะกับนักเรียนที่สนใจเรียนรู้แบบรอบด้าน (Well-rounded Student)

 

ขณะที่ระบบของสหราชอาณาจักรจะเน้นความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งและเจาะลึก (In-depth Study) ลงไปในสาขาวิชาที่สนใจตั้งแต่ต้น เหมาะกับเด็กที่แน่วแน่ว่าตนเองต้องการเรียนอะไร

 

แนวคิดสำคัญของการเลือกมหาวิทยาลัย คือการเลือกแบบ “Best Fit” คือต้องเลือกมหาวิทยาลัยและระบบที่ “อยู่แล้วมีความสุข” และสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็น “Best Version” ของตัวเอง สิ่งนี้จึงสำคัญกว่าการยึดติดกับแบรนด์ของมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว

 

ttb-reserve-international

 

ทักษะแห่งอนาคตสำหรับ Generation ใหม่

 

ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง Skooldio ได้แบ่งปันประสบการณ์ว่า ทักษะแห่งอนาคตที่คนรุ่นใหม่ควรเตรียมไว้ สามารถสรุปได้เป็น 3 ประเด็นหลักๆ คือ

 

1) The New Literacies หรือทักษะสมัยใหม่ที่จำเป็น คือ การเข้าใจและรู้เท่าทันเทคโนโลยี เช่น Digital Literacy, Data Literacy และ AI Literacy ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ต้องมี ซึ่งหากเข้าใจและเปิดรับสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับความรู้ความสามารถได้

 

2) Enduring Human Skills หรือทักษะมนุษย์ที่ยั่งยืน คือทักษะที่ไม่มีอะไรทดแทนได้และช่วยให้เราใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ถูกแทนที่ด้วย AI ได้ง่ายๆ เช่น Critical Thinking และ Creative Thinking ที่เป็นทักษะอันดับต้นๆ ซึ่งจะช่วยขยายศักยภาพในการใช้ AI ให้กว้างไกลขึ้น รวมถึงการมี Interpersonal Skill และการเรียนรู้แบบ Lifelong Learning ซึ่งช่วยส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ได้ตลอดเวลา 

 

 3) Advanced Technical Skills หรือทักษะเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Software Development, UX/UI, Cloud Computing เพราะโลกในอนาคตจะเป็นโลกของผู้สร้าง ทักษะในกลุ่มนี้จะช่วยพัฒนาจากผู้ใช้เทคโนโลยีสู่การเป็นผู้สร้างเทคโนโลยี เพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้นได้ ซึ่งการศึกษาในระบบของต่างประเทศนั้นช่วยส่งเสริมทักษะเหล่านี้ให้บุตรหลานได้

 

  ttb reserve พร้อมเป็นผู้ช่วยวางแผนทางการเงินให้กับผู้ปกครองเตรียมความพร้อมส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อยังต่างประเทศได้สะดวกและคุ้มค่ามากขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนของท่าน หรือ ttb reserve line 02-010-1428

The post วางแผนการเงินรอบด้าน ส่งลูกเรียนนอกอย่างมีกลยุทธ์ ด้วยโซลูชันทางการเงินจาก ttb reserve [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Fitch Ratings หั่นแนวโน้มอันดับเครดิต 5 แบงก์ไทยเป็น ‘ลบ’ https://thestandard.co/fitch-downgrades-5-thai-banks/ Mon, 29 Sep 2025 11:23:41 +0000 https://thestandard.co/?p=1124430

Fitch Ratings ประกาศหั่นแนวโน้มอันดับเครดิต แบงก์ไทย 5 […]

The post Fitch Ratings หั่นแนวโน้มอันดับเครดิต 5 แบงก์ไทยเป็น ‘ลบ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

Fitch Ratings ประกาศหั่นแนวโน้มอันดับเครดิต แบงก์ไทย 5 แห่งเป็น ‘ลบ’ (Negative) ได้แก่ EXIM KTB TTB SCBT และ UOBT หลังการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของรัฐบาลไทย เผยอันดับเครดิต BBL, KBank, SCB และ SCBX ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย เหตุพิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของแต่ละธนาคาร

 

วันนี้ (29 กันยายน) ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Issuer Default Ratings: IDRs) เป็น แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ (Negative) จากมีเสถียรภาพ (Stable) และยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว สำหรับธนาคารดังต่อไปนี้

 

  • ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM)
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB)
  • ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) (SCBT) และ
  • ธนาคารยูโอบี (ไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBT)

 

พร้อมกันนี้ ฟิทช์ยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวโดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ สำหรับธนาคารดังต่อไปนี้:

 

  • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)
  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBank)
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) และ
  • บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX)

 

การประกาศอันดับเครดิตดังกล่าวนี้เกิดขึ้นภายหลังการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของรัฐบาลไทยเป็นแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ (BBB+/Negative) จากเดิมแนวโน้มมีเสถียรภาพ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568

 

เปิดปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต

 

ฟิทช์ยังระบุว่า อาจมีการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการสนับสนุนของรัฐบาล: แม้อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล (Government Support Rating) ของ EXIM, KTB, TTB, BBL, KBank, SCB, และ SCBX จะได้รับการคงอันดับเครดิต

 

แต่อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลมีโอกาสที่จะถูกปรับลดอันดับได้ ในกรณีที่อันดับเครดิตสากลของประเทศไทยถูกปรับลดอันดับ

 

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ EXIM, KTB และ TTB มีปัจจัยในการพิจารณาหลักมาจากอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละธนาคาร และการปรับ “แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ” ของธนาคารทั้งสามแห่ง สะท้อนถึงการปรับลดลงของความสามารถของรัฐบาลในการให้การสนับสนุนเป็นพิเศษที่นอกเหนือจากการให้การสนับสนุนด้านการดำเนินงานตามปรกติ (extraordinary support)

 

การสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นอาจมีข้อจำกัด: อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น (Shareholder Support Rating) ของ SCBT, UOBT และ BAY ได้รับการคงอันดับเครดิต ในขณะที่การปรับ “แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ” สำหรับ SCBT และ UOBT

 

สะท้อนว่าอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของทั้งสองธนาคาร อาจถูกจำกัดโดยเพดานอันดับเครดิตของประเทศไทย (Country Ceiling) เนื่องจากหากมีการปรับลดเพดานอันดับเครดิต จะส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นเช่นกัน และนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว ทั้งนี้ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินในประเทศระยะยาวของ SCBT ไม่ถูกจำกัดโดยเพดานอันดับเครดิต ดังนั้นจึงยังคงมี “แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ”

 

สำหรับ BAY อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นของธนาคารไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเพดานอันดับเครดิต และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวจึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งอันดับของเพดานอันดับเครดิตของประเทศไทย

 

ไม่มีผลต่ออันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน:

 

ฟิทช์คงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) ของ KTB, TTB, UOBT, BBL, BAY, KBank, SCB และ SCBX โดยคะแนนปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานของธนาคารไทยที่ฟิทช์ประเมิน ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ ‘bbb’/แนวโน้มมีเสถียรภาพ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตของประเทศไทย

 

และฟิทช์เชื่อว่าคะแนนปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย ฟิทช์ได้ปรับแนวโน้มของคะแนนปัจจัยด้านการระดมทุนและสภาพคล่องของ BBL ที่ ‘bbb+’ เป็น “แนวโน้มเป็นลบ” จากเดิม “แนวโน้มมีเสถียรภาพ” เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ปัจจัยดังกล่าวจะถูกจำกัดโดยอันดับเครดิตของประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามการปรับแนวโน้มของคะแนนดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร

 

ทั้งนี้ อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ BBL, KBank, SCB และ SCBX พิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของแต่ละธนาคาร ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย

 

สำหรับรายละเอียดของปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิตของธนาคารแต่ละแห่ง สามารถดูได้จากประกาศอันดับเครดิตครั้งล่าสุด ดังนี้:

 

  • EXIM: “ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตสากลของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยที่ ‘BBB+’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 12 กันยายน 2568 (Fitch Affirms Thai EXIM at ‘BBB+’; Outlook Stable)

 

  • KTB และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาหมู่เกาะเคย์แมน: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตของธนาคารกรุงไทยที่ ‘BBB+’ และ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพและปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเป็น ‘bbb’” ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2568 (Fitch Affirms Krung Thai Bank at ‘BBB+’/’AAA(tha)’; Outlook Stable; Upgrades VR to ‘bbb’)

 

  • TTB: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ ธ.ทหารไทยธนชาต ที่ ‘BBB’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AA+(tha)’; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 (Fitch Affirms TMBThanachart Bank at ‘BBB’ and ‘AA+(tha); Outlook Stable)

 

  • SCBT: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ที่ ‘A-’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2568 (Fitch Affirms Standard Chartered Bank (Thai) at ‘A-‘; Outlook Stable)

 

  • UOBT: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารยูโอบี (ไทย) ที่ ‘A-’ และอันดับเครดิตภายในประเทศที่ ‘AAA(tha)’; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 13 มีนาคม 2568 (Fitch Affirms United Overseas Bank (Thai) at ‘A-‘ and ‘AAA(tha)’; Outlook Stable)

 

  • BAY: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตของธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่ ‘BBB+’ และ ‘AAA(tha)’; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 (Fitch Affirms Bank of Ayudhya at ‘BBB+’ and ‘AAA(tha)’; Outlook Stable)

 

  • BBL และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาฮ่องกง: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตของธนาคารกรุงเทพที่ ‘BBB’ และ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2568 (Fitch Affirms Bangkok Bank at ‘BBB’ and ‘AA+(tha)’; Outlook Stable)

 

  • KBank และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาฮ่องกง: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตของธนาคารกสิกรไทยที่ ‘BBB’ และ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2568 (Fitch Affirms KASIKORNBANK at ‘BBB’/’AA+(tha)’; Outlook Stable)

 

  • SCB SCBX และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาหมู่เกาะเคย์แมน: “ฟิทช์คงอันดับเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ และ บมจ. เอสซีบี เอกซ์ ที่ ‘BBB’ และ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2568 (Fitch Affirms SCBX and Siam Commercial Bank at ‘BBB’ and ‘AA+(tha)’; Outlook Stable)

 

เปิดปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

 

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน) ในกรณีที่มีการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย:

 

•อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล ของ EXIM, KTB, TTB, BBL, KBank, SCB และ SCBX น่าจะถูกปรับลดลง

 

•อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวและอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น (Long-Term และ Short-Term IDRs) ของ EXIM, KTB และ TTB น่าจะถูกปรับลด

 

•อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นของ BBL KBank และ SCB น่าจะถูกปรับลด เนื่องจากจะไม่เป็นอันดับเครดิตที่พิจารณาจากปัจจัยการสนับสนุน (support-driven) อีกต่อไป และคะแนนปัจจัยด้านการระดมเงินทุนและสภาพคล่อง (funding and liquidity) ของธนาคารไม่เข้าเกณฑ์สำหรับตัวเลือกอันดับเครดิตระยะสั้นที่สูงกว่า

 

•อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ SCBT และ UOBT น่าจะถูกปรับลด

 

สำหรับรายละเอียดของปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของธนาคารแต่ละแห่ง สามารถดูได้จากประกาศอันดับเครดิตครั้งล่าสุด ที่แสดงไว้ด้านบน

 

ปัจจัยที่อาจส่งผลเชิงบวกหรือทำให้ถูกปรับเพิ่มอันดับ (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยร่วมกัน): แนวโน้มอันดับเครดิตของ EXIM, KTB, TTB, SCBT และ UOBT จะถูกปรับกลับเป็น “แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” หากแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยได้รับการปรับกลับมาเป็น “แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ”
บริษัทย่อยและบริษัทในเครือ: ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต

 

ฟิทช์คงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาหมู่เกาะเคย์แมนที่ ‘BBB+’ และปรับ “แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ” จาก “แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ” ทั้งนี้อันดับเครดิตดังกล่าวอยู่ในระดับเดียวกันกับ KTB เนื่องจากธนาคารและสาขาเป็นนิติบุคคลเดียวกัน

 

ฟิทช์คงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาฮ่องกง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาหมู่เกาะเคย์แมน และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาฮ่องกง โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

 

บริษัทย่อยและบริษัทในเครือ: ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

 

อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของสาขาในต่างประเทศของ KTB SCB และ KBank จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารแม่ของแต่ละสาขา (ทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบ)

 

แหล่งข้อมูลที่มีนัยสำคัญต่อการพิจารณาอันดับเครดิต

 

แหล่งที่มาของข้อมูลหลักที่ใช้ในการประเมินอันดับเครดิตมีรายละเอียดเปิดเผยอยู่ในเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้องของฟิทช์

 

อันดับเครดิตที่มีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตอื่น

 

อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลและอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ EXIM, KTB และ TTB เชื่อมโยงกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย

 

อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ SCBT เชื่อมโยงกับอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ Standard Chartered Bank (Singapore) Limited (A+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ/a)

 

อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ UOBT เชื่อมโยงกับอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ United Overseas Bank Limited (AA-/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ/aa-)

 

อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นและอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ BAY เชื่อมโยงกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ Mitsubishi UFJ Financial Group (A-/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ/a-)

The post Fitch Ratings หั่นแนวโน้มอันดับเครดิต 5 แบงก์ไทยเป็น ‘ลบ’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SCB KBank BAY ttb พาเหรดหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ตามมติ กนง. https://thestandard.co/scb-kbank-bay-ttb-loan-rate-cut/ Thu, 14 Aug 2025 07:50:56 +0000 https://thestandard.co/?p=1107307 ธนาคาร SCB KBank BAY ttb ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ตามมติ กนง.

ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ต่างๆ รวมถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) […]

The post SCB KBank BAY ttb พาเหรดหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ตามมติ กนง. appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาคาร SCB KBank BAY ttb ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ตามมติ กนง.

ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ต่างๆ รวมถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (Kbank) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และทีเอ็มบีธนชาต (ttb) แห่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี

 

วันนี้ (14 สิงหาคม) กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องสำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเปราะบาง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR : Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.750% เป็น 6.500% ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR : Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.925% เป็น 6.675% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR : Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.025% เป็น 6.775% ต่อปี 

 

ธนาคารกสิกรไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ M Rate ลง 0.25%

 

จงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้สอดคล้องกับมติของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.50% ต่อปี

 

ธนาคารทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อลง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

 

  • อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลด 0.25% จาก 6.97% เหลือ 6.72% ต่อปี
  • อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลด 0.25% จาก 6.94% เหลือ 6.69% ต่อปี
  • อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลด 0.25% จาก 7.03% เหลือ 6.78% ต่อปี

 

“ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่แม้จะยังคงขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ แต่ยังเผชิญความท้าทายหลายด้านซึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้นน่าจะเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ และกลุ่มเปราะบาง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของธนาคารที่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น ลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการรายเล็กที่ยังคงเผชิญภาระต้นทุนทางการเงินสูงท่ามกลางรายได้ที่ฟื้นตัวช้า”

 

“ธนาคารเชื่อมั่นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่อง และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจและครัวเรือน อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว และธนาคารพร้อมทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ช่วยให้ลูกค้าของธนาคารมีความยืดหยุ่นทางการเงิน เพื่อต่อยอดการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างยั่งยืน”

 

กรุงศรีปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% มีผลวันที่ 18 สิงหาคม 2568

 

วันนี้ (14 สิงหาคม) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระของลูกค้าทั้งในภาคธุรกิจและรายย่อย

 

กรุงศรีปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้

 

  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ปรับลดลงจาก 7.000% เป็น 6.750%
  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate หรือ MOR) ปรับลดลงจาก 6.975% เป็น 6.725%
  • อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate หรือ MRR) ปรับลดลงจาก 7.120% เป็น 6.870%

 

เคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ ลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง”

 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางที่กรุงศรีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ สะท้อนถึงความห่วงใยและความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม

 

ทีทีบี ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกกลุ่ม 0.25% ต่อปี มีผล 15 ส.ค.นี้

 

ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกกลุ่ม 0.25% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 สอดคล้องกับมติ กนง. ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและบรรเทาภาระลูกหนี้ ให้สามารถตั้งรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จากผลกระทบของนโยบายการค้าโลก ปัญหาสภาพคล่องและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังคงเพิ่มขึ้น 

 

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบี พร้อมอยู่เคียงข้างและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกสถานการณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่สภาพเศรษฐกิจเปราะบางจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ อาทิ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ ผลพวงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่รายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวลง เพื่อเป็นการสอดรับกับมติ กนง. ที่ต้องการช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย กระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของลูกค้าและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้ ทีทีบี จึงได้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปีเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่รายย่อย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย MLR, MOR และ MRR โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 

 

นอกจากความช่วยเหลือด้านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารยังคงตอกย้ำปีแห่งการช่วยเหลือลูกหนี้สนับสนุนลูกค้าสินเชื่อเพิ่มเติมผ่านโปรแกรม “ทีทีบี ผ่อนดี.. มีรางวัล” ที่ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีประวัติผ่อนดี ซึ่งถือเป็นลูกค้าอีกกลุ่มที่สำคัญและยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือ โดยโปรแกรมนี้ให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทั้งคนผ่อนดีที่มีบ้าน มีรถ และกลุ่มพนักงานเงินเดือนที่มีสินเชื่อบุคคล ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรมนี้เพิ่มขึ้น 

 

ทั้งนี้ ทีทีบี ยังพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนมีความมุ่งมั่นส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถจัดการภาระหนี้ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนผ่านโซลูชันรวบหนี้ โซลูชันโอนยอดหนี้ โครงการคุณสู้ เราช่วย ควบคู่กับแนะนำการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อการจัดการหนี้ที่สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระคืน ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ตามเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งมั่นทำให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต

The post SCB KBank BAY ttb พาเหรดหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ตามมติ กนง. appeared first on THE STANDARD.

]]>
เช็กเลย! รวมมาตรการช่วยเหลือจาก ‘แบงก์พาณิชย์’ ช่วยลูกค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมภาคเหนือ https://thestandard.co/banks-disaster-relief/ Mon, 28 Jul 2025 03:30:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1100814 banks-disaster-relief

ธนาคารต่างๆ รวมถึง ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนา […]

The post เช็กเลย! รวมมาตรการช่วยเหลือจาก ‘แบงก์พาณิชย์’ ช่วยลูกค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมภาคเหนือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
banks-disaster-relief

ธนาคารต่างๆ รวมถึง ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) และธนาคารกสิกรไทย ได้ประกาศใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และอุทกภัยในภาคเหนือ โดยมุ่งเน้นการลดภาระทางการเงินและเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประสบภัย

 

ธนาคารกรุงไทย

 

ธนาคารกรุงไทยมุ่งเน้นการลดภาระทางการเงินและเพิ่มสภาพคล่องสำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

  • มาตรการแบ่งเบาภาระลูกค้าสินเชื่อปัจจุบัน:
    • สินเชื่อบ้านและสินเชื่อธุรกิจ SSME: ลดค่างวด 75% เป็นเวลา 1 ปี พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 0% นาน 3 เดือนแรก และคงที่ 2.5% ต่อปี นาน 33 เดือน (รวม 3 ปี)
    • สินเชื่อส่วนบุคคล: ลดค่างวด 75% เป็นเวลา 1 ปี พร้อมลดดอกเบี้ยเหลือ 4.5% ต่อปี (คงที่) นาน 3 ปี
    • สินเชื่อธุรกิจ SME: มาตรการที่ยืดหยุ่น เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย, การลดค่างวด, พักชำระเงินต้น, ชำระเฉพาะดอกเบี้ย, พักชำระเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยบางส่วน, การขยายระยะเวลาสัญญา หรือการปรับตารางผ่อนชำระหนี้ โดยพิจารณาเป็นรายกรณี
  • มาตรการสำหรับสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการและซ่อมแซมบ้าน:
    • สินเชื่อบ้าน Top up, สินเชื่อบ้านแลกเงิน และสินเชื่อธุรกิจ SSME (Term Loan): ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือนแรก และคงที่ 2.5% ต่อปี นาน 33 เดือน (รวม 3 ปี) สำหรับสินเชื่อบ้านจะได้รับฟรีค่าประเมินและค่าจดจำนอง
    • สินเชื่อส่วนบุคคล (Term Loan): ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี นาน 3 ปี
    • สินเชื่อธุรกิจ SME (Term Loan): ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี ดอกเบี้ย 3.5% ต่อปี นาน 2 ปีแรก หลังจากนั้น MLR-1% ต่อปี

 

ธนาคารไทยพาณิชย์

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ออกมาตรการช่วยเหลือที่ครอบคลุมทั้งลูกค้าบุคคล, ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ และลูกค้าผู้ประกอบการ SME ทั้งในรูปแบบการพักชำระหนี้และสินเชื่อพิเศษเพื่อการซ่อมแซมและฟื้นฟูกิจการ

  • กลุ่มลูกค้าบุคคล และกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ:
  • สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย:
        • สำหรับลูกค้าปัจจุบัน: สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash) พักชำระเงินต้นนาน 3 เดือน
        • สำหรับลูกค้าใหม่: สินเชื่อบ้านได้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมบ้าน (สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้าน (Home Loan Top Up) หรือ สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash Top Up)) ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และอาคารพาณิชย์
      • สินเชื่อรถยนต์: สำหรับลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถพักชำระหนี้สูงสุด 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี)
  • สินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME):
        • สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการปัจจุบัน: พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน และสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการ ดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.5% ต่อปี นาน 24 เดือน ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี
        • สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการที่ต้องการขอสินเชื่อใหม่ (ยอดขายไม่เกิน 75 ล้านบาทต่อปี):สามารถขอสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) โดยมีเงื่อนไข ดังนี้: อัตราดอกเบี้ยคงที่เริ่มต้น 3.5% ต่อปี ในช่วง 24 เดือนแรก, ค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อ (Front-End Fee) 1%, ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี, วงเงินสูงสุด 40 ล้านบาทต่อราย (รวมวงเงินจากทุกสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ), ใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน, ลูกค้าต้องนำเงินกู้ไปใช้เพื่อฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น ไม่สามารถนำไปชำระหนี้เดิม หรือ Refinance, และต้องยื่นเอกสารแสดงความเสียหายหรือผลกระทบจากสถานการณ์ประกอบการพิจารณา
  • ลูกค้าผู้ประกอบการ SME:
    • ธนาคารมีโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ผ่าน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย
      • พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 6 เดือน
      • พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 3 เดือน
      • เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว วงเงินสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม และไม่เกิน 10 ล้านบาท
      • วงเงินกู้สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซม หรือซื้อทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายของกิจการ สูงสุด 20% ของวงเงินเดิม ไม่เกิน 10 ล้านบาท

 


 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

 

กรุงศรีออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทั้งบุคคลและธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยฉับพลันจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” และสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดน

  • ลูกค้าสินเชื่อบุคคล, สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อ SME รายย่อย:
      • ลดค่างวด ครอบคลุมดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละเดือน สูงสุดระยะเวลา 6 เดือน หรือ
      • พักชำระเงินต้น (ชำระเพียงดอกเบี้ย) สูงสุดระยะเวลา 3 เดือน
  • ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SME:
      • ลดค่างวด ครอบคลุมดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละเดือน สูงสุดระยะเวลา 6 เดือน หรือ
      • พักชำระเงินต้น (ชำระเพียงดอกเบี้ย) สูงสุดระยะเวลา 6 เดือน
  • ลูกค้าสินเชื่อกรุงศรี ออโต้:
      • พักชำระค่างวด เป็นระยะเวลา 3 เดือน
  • ลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์:
    • มาตรการที่ 1: พักชำระหนี้ นานสูงสุด 2 รอบบัญชี สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยพักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 2 รอบบัญชี ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน 2568 โดยระหว่างเข้าร่วมมาตรการพักชำระดังกล่าว ดอกเบี้ยยังคงคำนวณตามอัตราปกติแบบลดต้นลดดอก
    • มาตรการที่ 2: ปรับลดยอดผ่อนชำระรายเดือน ด้วยการขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระ (ปรับปรุงโครงสร้างหนี้) (ทั้งนี้ ไม่รวมลูกค้าที่ได้รับการช่วยเหลือในมาตรการอื่นสูงสุดอยู่แล้ว)

 

ทีเอ็มบีธนชาต (ttb)

 

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ออกมาตรการ “ตั้งหลัก” เร่งด่วน ที่ครอบคลุม เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน รวมทั้งเพิ่มสภาพคล่องให้ทั้งลูกค้าบุคคล ผู้ประกอบการธุรกิจและ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และสถานการณ์อุทกภัยฉับพลันจากอิทธิพลของพายุ “วิภา”

  • มาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อ เพื่อแบ่งเบาภาระ:
      • ลูกค้าสินเชื่อบ้าน: สามารถขอพักชำระเงินต้นได้ นาน 3 เดือน ชำระคืนแต่ดอกเบี้ยเท่านั้น หรือขอวงเงินกู้เพิ่ม เพื่อซ่อมแซมบ้าน ด้วยบัตรกดเงินสด ทีทีบี บ้านแลกเงิน ดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือนแรก กรณีลูกค้าถือบัตรกดเงินสด ทีทีบี บ้านแลกเงินอยู่แล้ว ทำรายการเบิกใช้เงินสดผ่านตู้ ATM หรือแอป ttb touch ดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือนแรกได้ทันที
      • ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์: สามารถขอพักชำระค่างวดได้ นาน 3 เดือน
      • ลูกค้าสินเชื่อบุคคล / บัตรเครดิต: สามารถขอพักชำระหนี้ได้ นาน 2 รอบบัญชี
      • ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ หรือสินเชื่อ SME:
        • ประเภทสินเชื่อระยะยาว: จะได้รับการพิจารณาชำระแบบปลอดเงินต้น เป็นเวลาสูงสุด 6 เดือน
        • ประเภทสินเชื่อหมุนเวียน: จะได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้นสูงสุด 6 เดือน
        • ประเภทสินเชื่อเช่าซื้อธุรกิจ: จะได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาชำระคืน หรือปรับลดยอดผ่อนชำระลงสูงสุด 70% ของยอดผ่อนชำระเดิม นาน 6 เดือน
      • สำหรับลูกค้า SME ที่ต้องการซ่อมแซมสถานประกอบการ: ไม่ว่าจะเป็นด้วยอุทกภัยหรือสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถขอสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูกิจการเพื่อ SME ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 3.5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี และชำระแบบปลอดเงินต้นนานสูงสุด 12 เดือน โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
  • มาตรการความคุ้มครอง สำหรับลูกค้าที่มีประกัน:
    • ลูกค้าสินเชื่อบ้าน: ที่มีความคุ้มครองประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย และได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม กรณีเป็นลูกค้าสินเชื่อบ้านทีทีบี และทีเอ็มบี (เดิม) สามารถรับความคุ้มครองได้โดยอัตโนมัติ ภายใต้เงื่อนไขการมอบ “ประกันฟรี” หรือลูกค้าที่ซื้อประกันภัยโดยตรงกับธนชาตประกันภัย รับความคุ้มครอง
    • ลูกค้าประกันชีวิต / ประกันภัย: กรณีเป็นลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในชายแดนไทย-กัมพูชา หรือลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
    • ลูกค้าธุรกิจทุกราย: ที่มีประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ประเภทสรรพภัย ประเภทอัคคีภัย ขยายภัยน้ำท่วม กับ ทีทีบี โบรกเกอร์ รับความคุ้มครอง ความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม ตามกรมธรรม์กำหนด
    • ลูกค้าที่มีประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน และประกันภัยรถยนต์: กับ ทีทีบี โบรกเกอร์ รับความคุ้มครอง ตามกรมธรรม์กำหนด

 

ธนาคารกสิกรไทย

 

ธนาคารกสิกรไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา และอุทกภัยในภาคเหนือที่เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ด้วยมาตรการพักชำระเงินต้น ผ่อนเฉพาะดอกเบี้ย และสินเชื่ออื่น ๆ เพื่อซ่อมแซมบ้านและสถานประกอบการ

  • มาตรการช่วยเหลือลูกค้าบุคคล:
      • สินเชื่อบ้านกสิกรไทย: พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน
      • สินเชื่อบ้านกู้เพิ่มได้เพื่อซ่อมแซมบ้าน: อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน
      • บัตรเครดิตกสิกรไทย สินเชื่อเงินด่วน Xpress Loan และบัตรเงินด่วน Xpress Cash: พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน
      • สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์: ปรับลดยอดผ่อนชำระรายเดือนสูงสุด 50% ระยะเวลา 3 เดือน และขยายระยะเวลาผ่อนชำระ 3 เดือน
  • มาตรการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจ:
    • วงเงินสินเชื่อเดิม: พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน
    • สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมสถานประกอบการ: ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี ดอกเบี้ย 3.5% ใน 2 ปีแรก โดยให้พักชำระเงินต้น จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย สูงสุด 3 เดือน

The post เช็กเลย! รวมมาตรการช่วยเหลือจาก ‘แบงก์พาณิชย์’ ช่วยลูกค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมภาคเหนือ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ttb ห่วงหายนะภาษี 36% กระทบเศรษฐกิจไทย 1.23 ล้านล้านบาท ชี้ ‘ยอมลดภาษีให้สหรัฐฯ’ มีผลกระทบ ‘น้อยกว่า’ https://thestandard.co/ttb-warns-on-36-percent-us-tariff/ Thu, 17 Jul 2025 09:03:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1097399 ttb ภาษีสหรัฐฯ

วันนี้ (17 กรกฎาคม) ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริห […]

The post ttb ห่วงหายนะภาษี 36% กระทบเศรษฐกิจไทย 1.23 ล้านล้านบาท ชี้ ‘ยอมลดภาษีให้สหรัฐฯ’ มีผลกระทบ ‘น้อยกว่า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ttb ภาษีสหรัฐฯ

วันนี้ (17 กรกฎาคม) ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook โดยแสดงความคิดเห็นว่า การโดนภาษี reciprocal tariff ในอัตรา 36% ของสหรัฐฯ จะกระทบไทยรุนแรงแบบลูกโซ่ ทั้งอุตสาหกรรม แรงงาน และการลงทุน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.23 ล้านล้านบาท ขณะที่การลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สร้างผลกระทบต่อรายได้รัฐเพียงเล็กน้อย แต่ได้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและสังคมกลับมามากกว่า

 

ขณะที่ การยอมสารภาพ ผ่านการให้ภาษีสหรัฐฯ ในอัตรา 0% และยกเลิกโควตานำเข้า จะสร้างผลกระทบน้อยกว่า และแม้มีผู้เสียผลประโยชน์ แต่โดยรวมแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยดำดิ่งไปมากกว่านี้ และจะส่งผลบวกในระยะยาว

 

ปิติยังตั้งข้อสังเกตว่า ไทยอาจกำลังเผชิญภาวะ ‘ความลำบากใจของนักโทษ’ (Prisoner’s Dilemma) เมื่อเพื่อน (เวียดนาม และอินโดนีเซีย) ชิงสารภาพ (เพื่อให้โดนภาษีที่ต่ำกว่า)

 

ทำไมภาษี 36% จึงเป็นหายนะ กระทบเศรษฐกิจไทย 1.23 ล้านล้านบาท?

 

ปิติระบุอีกว่า อัตราภาษี 36% จะเป็นความหายนะของประเทศไทย โดยอธิบายถึงผลกระทบ ดังนี้

 

ผลกระทบทางตรงที่จะเกิดขึ้นทันที

  • ผลกระทบต่อสินค้าส่งออก (1st Order Impact): หากสินค้าส่งออกหลักของไทยไปยังสหรัฐฯ เช่น อิเล็กทรอนิกส์, ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องประดับ และยาง ถูกเรียกเก็บภาษี 36% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม (20%) และอินโดนีเซีย (19%) ไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากหลายประเทศ
  • ผลกระทบต่อซัพพลายเชนในประเทศ (2nd Order Impact): สินค้าส่งออกเหล่านี้มีซัพพลายเชนในประเทศที่ซับซ้อน เช่น เซมิคอนดักเตอร์, ยาง, และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรงงานและผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก คาดว่าจะทำให้สูญเสียรายได้ในอุตสาหกรรมรวมกันถึง 497,000 ล้านบาท จากผลกระทบทางอ้อมในซัพพลายเชน
  • ผลกระทบต่อแรงงานและการบริโภค (3rd Order Impact): การประเมินชี้ว่าจะมีแรงงานสูญหายกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2028 ส่วนใหญ่ในภาคการผลิต เช่น ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, และยาง การว่างงานและรายได้ที่ลดลงจะส่งผลให้การบริโภคในประเทศลดลงตามไปด้วย เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคในวงกว้าง

 

ผลกระทบในระยะกลางและระยะยาว

  • สูญเสียความสามารถในการแข่งขันระยะยาว: เนื่องจากประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) หากไทยถูกตั้งภาษี 36% ขณะที่คู่แข่งได้รับอัตราที่ดีกว่า ไทยจะตกอันดับในห่วงโซ่การผลิตโลก และอาจถูกมองว่าเป็น ‘ประเทศที่เสี่ยง’ สำหรับการลงทุน
  • การดึงดูด FDI ลดลง: ไทยจะเสียเปรียบมากขึ้นในการแข่งขันดึงดูด FDI โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียดนามที่มี FDI เพิ่มสูงกว่าไทยถึง 15 เท่าตั้งแต่ปี 2015 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, และอาหารแปรรูป ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทย อาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้รับสิทธิภาษีที่ดีกว่าจากสหรัฐฯ

 

ทำไมการยอมลดภาษีให้สหรัฐฯ หรือ ‘สารภาพตาม’ จึงเป็นทางออก?

 

ปิติชี้ว่า ผลกระทบจากการ ‘ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ’ จริงๆ แล้ว ‘มีน้อย’ และอาจเป็นผลดีด้วยซ้ำ โดยอธิบายถึงผลกระทบทางลบที่จำกัด และผลบวกที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้

 

ผลกระทบทางลบที่จำกัด

  • หากไทยยกเว้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ทั้งหมด จะสูญเสียรายได้จากภาษีเพียง 35,900 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นเพียง 0.2% ของรายได้ภาครัฐ เท่านั้น
  • สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีภาษีนำเข้าต่ำอยู่แล้ว และมีปริมาณการนำเข้าไม่สูงนัก จึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

 

ผลบวกที่อาจเกิดขึ้น

  • ลดต้นทุนอาหารสัตว์และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: การนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ที่มีราคาถูกกว่าเมียนมาและลาวถึง 14% จะช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ลงถึง 60,000 ล้านบาท ทำให้สินค้าแปรรูปของไทย เช่น ไก่ หมู และอาหารสัตว์เลี้ยง แข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดโลก นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงจูงใจในการปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูง ลดปัญหา PM2.5 จากการเผาในภาคเหนือและจากประเทศเพื่อนบ้าน
  • นำเข้ายาและเวชภัณฑ์ราคาถูกลง: การที่สินค้ากลุ่มยาและเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ มีราคาถูกลง อาจส่งผลดีต่อสวัสดิการของรัฐและการรักษาโรค โดยไม่กระทบผู้ผลิตในประเทศ เนื่องจากยังผลิตสินค้าคนละกลุ่ม

 

“ขอเป็นกำลังใจให้ทีมเจรจาสามารถก้าวข้ามผลประโยชน์และการสูญเสียเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ในองค์รวมของประเทศชาติ” ปิติกล่าวทิ้งท้าย

The post ttb ห่วงหายนะภาษี 36% กระทบเศรษฐกิจไทย 1.23 ล้านล้านบาท ชี้ ‘ยอมลดภาษีให้สหรัฐฯ’ มีผลกระทบ ‘น้อยกว่า’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ttb ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ต่อปี มีผล 16 พ.ค. นี้ สอดคล้องมติ กนง. https://thestandard.co/ttb-loan-interest-cut-0-15-percent/ Thu, 15 May 2025 12:12:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1074757 ttb ดอกเบี้ย

ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูง […]

The post ttb ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ต่อปี มีผล 16 พ.ค. นี้ สอดคล้องมติ กนง. appeared first on THE STANDARD.

]]>
ttb ดอกเบี้ย

ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ต่อปี สอดคล้องกับมติ กนง. เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้ารายย่อย ผู้ประกอบการ SME และลูกค้าธุรกิจ สามารถตั้งรับกับเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบการค้าโลก

 

วันนี้ (15 พฤษภาคม) ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบี มีความห่วงใยลูกค้าสินเชื่อทุกกลุ่ม จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยลดภาระทางการเงินของลูกค้าและเพิ่มสภาพคล่อง ให้สามารถตั้งรับกับเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับลดลง

 

โดยธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงทุกประเภท ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย MOR ลดลง 0.15% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ย MLR ลดลง 0.10% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ย MRR ลดลง 0.05% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

 

ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ บัญชี ทีทีบี โนฟิกซ์ สูงสุด 0.40% ต่อปี

 

ทั้งนี้ ธนาคารยังเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องการออมภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เพื่อช่วยเหลือผู้ฝากรายย่อยให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการออมเงินในช่วงนี้ ธนาคารพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ บัญชี ทีทีบี โนฟิกซ์ สูงสุด 0.40% ต่อปี ซึ่งเป็นบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ที่จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนและถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความกังวลเรื่องสภาพคล่อง มีผลวันที่ 1 มิถุนายน 2568

 

เปิดมาตรการช่วยลูกหนี้

 

พร้อมกันนี้ ทีทีบีได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ลดภาระหนี้ผ่านโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ช่วยลดดอกเบี้ยเหลือ 0% และลดค่างวดผ่อนตลอด 3 ปี โดยได้ขยายช่วงเวลาการลงทะเบียนไปสิ้นสุด 30 มิถุนายน 2568 

 

ล่าสุด ธนาคารยังมีโปรแกรม ‘ทีทีบี ผ่อนดี มีรางวัล’ ที่ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีประวัติผ่อนดี ถือเป็นลูกค้าอีกกลุ่มที่สำคัญและยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือ โดยโปรแกรมนี้ช่วยเหลือครอบคลุมทั้งคนผ่อนดีที่มีบ้าน มีรถ และกลุ่มพนักงานเงินเดือนที่มีสินเชื่อบุคคล ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรมนี้เพิ่มขึ้น

The post ttb ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ต่อปี มีผล 16 พ.ค. นี้ สอดคล้องมติ กนง. appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ทีทีบี’ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 5 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป https://thestandard.co/ttb-loan-interest-rate-cut/ Tue, 04 Mar 2025 11:45:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1048479 ttb-loan-interest-rate-cut

ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูง […]

The post ‘ทีทีบี’ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 5 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ttb-loan-interest-rate-cut

ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติ กนง. พร้อมย้ำดูแลลูกค้าภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)

 

วันนี้ (4 มีนาคม) ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า จากการที่เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวไม่สูงนัก อันเนื่องมาจากปัจจัยท้าทายทางด้านเศรษฐกิจจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ทางการค้า รวมถึงการตีตลาดของสินค้าจากต่างประเทศ อีกทั้งลูกค้ารายย่อยยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทีทีบีมีความห่วงใยลูกค้าทุกกลุ่ม จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.25% เหลือ 2.00% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินของลูกค้าและเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป  

 

ทั้งนี้ ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย MOR ลดลง 0.25% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ย MLR และอัตราดอกเบี้ย MRR ลดลง 0.10% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

 

ทีทีบีพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ตลอดจนมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถจัดการภาระหนี้ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนผ่านโซลูชันรวบหนี้ และโซลูชันโอนยอดหนี้เพื่อให้ดอกเบี้ยต่ำลง ช่วยลดภาระดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่อง ควบคู่กับแนะนำการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อการจัดการหนี้ที่สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระคืนอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ตามเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งมั่นทำให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต

The post ‘ทีทีบี’ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% มีผล 5 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
ttb มุ่งสร้างอนาคตยั่งยืนผ่านโมเดล B+ESG https://thestandard.co/ttb-b-esg-sustainable-future/ Tue, 25 Feb 2025 12:01:45 +0000 https://thestandard.co/?p=1045276

เรื่องความยั่งยืน (Sustainability) เรื่อง ESG เป็นสิ่งท […]

The post ttb มุ่งสร้างอนาคตยั่งยืนผ่านโมเดล B+ESG appeared first on THE STANDARD.

]]>

เรื่องความยั่งยืน (Sustainability) เรื่อง ESG เป็นสิ่งที่สังคมไทยพูดกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานแล้ว โดย ‘ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ttb’ เปิดเผยมุมมองกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สิ่งสำคัญต่อจากนี้คือการแปลความยั่งยืนจากนามธรรมให้เป็นรูปธรรม ซึ่งเปรียบไปก็เหมือนกับการกำหนดกรอบการดำเนินธุรกิจ

 

ในปัจจุบัน เรื่องการสร้างความยั่งยืนเปรียบได้ว่าเป็น A Must-Do Task ระดับโลก แต่ทุกวันนี้เราได้เห็นการให้ความสำคัญเรื่องของสิ่งแวดล้อม หรือ E (Environment) อย่างชัดเจนที่สุด เพราะว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่างไรก็ตาม ในมิติของการสร้างสังคมแข็งแกร่ง (Social) และการสร้างบรรษัทภิบาลที่ดี (Governance) ก็สำคัญ และต้องได้รับการพัฒนาที่เร่งด่วนเช่นกัน

 

และจากโจทย์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน “ความท้าทายที่สุดของทุกภาคส่วนในการใช้หลัก ESG ก็คือการทำแผนปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์ได้จริง”

 

B+ESG คืออะไร?

 

B+ESG คือแผนปฏิบัติที่ผสานธุรกิจและความยั่งยืนให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยแนวคิด B+ESG ของ ttb มีพื้นฐานบน 4 ด้านสำคัญคือ

 

  • ความยั่งยืนทางธุรกิจ (Business Sustainability)
  • ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)
  • ความยั่งยืนด้านสังคม (Social Sustainability)
  • บรรษัทภิบาลและจริยธรรมทางธุรกิจ (Corporate Governance & Business Ethics)

 

เดินหน้า Make REAL Change

 

ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ttb มีเป้าหมายหลักที่ชัดเจน คือการมุ่งสู่การเป็น The Bank of Financial Well-being เพื่อลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร และคนไทยทั้งประเทศ พร้อมเดินหน้าสร้าง Inclusive Growth เติบโตร่วมกัน ทั้งลูกค้า คู่ค้า และสังคม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

การจะไปสู่เป้าหมายนี้ได้ “ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในระยะเวลาอันสั้น” เพราะธนาคารต้องสร้างการเปลี่ยนแปลง หรือ Make REAL Change ให้เกิดขึ้นกับทุก Stakeholder อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันนี้ ttb สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้แล้ว

 

โดยโครงการที่ ttb ดำเนินการภายใต้แนวคิด B+ESG เพื่อมุ่งสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน คือ

 

  • การสนับสนุน SME: ttb ให้ความช่วยเหลือและส่งเสริม SME ผ่านการให้เข้าถึงโอกาสทางการเงินและความรู้ทางการเงิน เพื่อช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้เติบโตอย่างยั่งยืน

 

  • บริการรวบหนี้ (Debt Consolidation) เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระลูกค้าด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพิ่มสภาพคล่อง โดยในปี 2567 ธนาคารช่วยลูกค้ารวบหนี้ไปแล้วกว่า 37,000 ราย เป็นวงเงินกว่า 12,900 ล้านบาท และช่วยแบ่งเบาภาระดอกเบี้ยให้ลูกค้าแล้วทั้งสิ้น 2,100 ล้านบาท (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567)

 

  • สินเชื่อเพื่อความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนลูกค้าธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย ttb ได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนไปแล้ว 54,000 ล้านบาท รวมทั้งให้คำปรึกษาและช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

 

โครงการเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ttb ในการสร้างการเติบโตที่ทั่วถึง โดยให้การสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอย่างเหมาะสม

 

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการ ทีเอ็มบีธนชาต

 

ความท้าทายและโอกาส

 

ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ความท้าทายของ ttb ในการดำเนินกรอบ B+ESG ก็คือการปรับให้เข้ากับบริบทไทย ซึ่งต้องปรับให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมของลูกค้าและธุรกิจไทย รวมถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพราะในการจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากลูกค้าและภาคธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

 

“แม้ว่าแนวทาง B+ESG จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน แต่ก็มีความท้าทายในการปรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปรับใช้กับกลุ่มลูกค้าและธุรกิจไทย อย่างไรก็ตาม ttb เชื่อมั่นว่าด้วยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจะสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุมได้ในที่สุด”

 

ประธานกรรมการ กล่าวส่งท้ายว่า หากโมเดล B+ESG สำเร็จตามแผน ttb มองเห็นภาพเศรษฐกิจไทยที่มีความเข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้น โดยมีการเติบโตที่ครอบคลุมและเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเป็นเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ ttb เติบโตไปด้วยกันกับลูกค้า และจะเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืนสำหรับทุก Stakeholder หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

The post ttb มุ่งสร้างอนาคตยั่งยืนผ่านโมเดล B+ESG appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทีทีบี พันธมิตรที่เข้าใจและตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างเข้าใจ ด้วยโซลูชันทางการเงิน ที่ออกแบบเพื่อรับมือความเสี่ยง และความท้าทายต่าง ๆ ในโลกการค้าปัจจุบันเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/ttb-international-trade-solutions-sustainable-growth/ Tue, 18 Feb 2025 05:00:57 +0000 https://thestandard.co/?p=1040642 ทีทีบี

ถึงแม้ปัญหาเงินเฟ้อในหลายประเทศจะเริ่มผ่อนคลายลง ท่าทีก […]

The post ทีทีบี พันธมิตรที่เข้าใจและตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างเข้าใจ ด้วยโซลูชันทางการเงิน ที่ออกแบบเพื่อรับมือความเสี่ยง และความท้าทายต่าง ๆ ในโลกการค้าปัจจุบันเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทีทีบี

ถึงแม้ปัญหาเงินเฟ้อในหลายประเทศจะเริ่มผ่อนคลายลง ท่าทีการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกับจีน ยังคงส่งผลกระทบต่อความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการวางแผนทางการเงินและการจัดการต้นทุนของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ภาวะการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลงจากนโยบายกีดกันการค้า รวมถึงความอ่อนแรงของประเทศคู่ค้าและการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายในแต่ละอุตสาหกรรม

 

อย่างไรก็ตาม ทีทีบีเชื่อว่าการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน รวมถึงการบริหารความเสี่ยงของค่าเงินที่ดี มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยบริหารเงินขารับ ขาจ่าย ทั้งธุรกรรมในประเทศแลระหว่างประเทศบนระบบเดียวที่สะดวกและปลอดภัย ช่วยจัดการงานหลังบ้านให้ผู้ประกอบการ ทำให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลกเพิ่มขึ้น

 

บุษรัตน์ เบญจรงคกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต เผยว่า “ในทุกอุตสาหกรรมมีความท้าทายในการทำธุรกิจที่แตกต่างกันไป ดังนั้นทางธนาคารพร้อมส่งมอบโซลูชันทางการเงินที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นตัวช่วยสำหรับลูกค้าธุรกิจนำเข้าส่งออกในการรับมือกับความเสี่ยงรอบด้านของการค้าระหว่างประเทศ รองรับโอกาสในการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน

 

 

ทีทีบี พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจของลูกค้า จึงให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก เพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ครบ จบในที่เดียว” บุษรัตน์ได้อธิบายพร้อมยกตัวอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทีทีบีพัฒนาโซลูชันทางการเงินสำหรับทั้ง Ecosystem ด้วยเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเคมีภัณฑ์ ที่มีการค้ากับ ASEAN+ และมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของการค้าระหว่างประเทศของไทย โดยเริ่มต้นที่โซลูชันการบริหารความเสี่ยงค่าเงินผ่าน ttb local currency เพื่อลดการพึ่งพิงเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่ผันผวนสูง และนำเสนอบัญชี ttb multi-currency account (MCA) ที่รองรับการค้าในหลายประเทศด้วยเลขบัญชีเดียวได้ครอบคลุมถึง 11 สกุลเงิน ช่วยลดความยุ่งยากและป้องกันความผิดพลาดสำหรับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ โซลูชันทั้งหมดอยู่บน ttb business one แพลตฟอร์มที่รองรับธุรกรรมทั้งในประเทศ-ระหว่างประเทศ ครบ จบในที่เดียว ซึ่งช่วยดูแลตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงหลังบ้าน รวมถึงการจัดการข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ผู้ประกอบการมีเวลามากขึ้นในการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ ๆ

 

ในกลุ่มธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ ทีทีบีได้พัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ครอบคลุมทั้งธุรกรรมในประเทศและระหว่างประเทศ รองรับการบริหารจัดการเงินของทั้งโรงเรียน บุคลากร และผู้ปกครอง เพื่อให้ง่ายกับการบริหารจัดการในที่เดียว นอกจากนี้บุคลากรชาวต่างชาติสามารถใช้บริการทางการเงินแบบครบวงจรผ่านแอปพลิเคชัน ttb touch เช่น สวัสดิการเงินกู้ราคาพิเศษ ประกันอุบัติเหตุ และการโอนเงินระหว่างประเทศแบบปลายทางรับเงินเต็มจำนวน นอกจากนี้ยังให้คำปรึกษาการลงทุนสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการวางแผนการศึกษาของบุตรหลานในต่างประเทศอย่างครบวงจร

 

ความพยายามที่จะพัฒนาโซลูชันทางการเงินแบบครบองค์รวมของทีทีบีอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งในด้านการขยายธุรกิจและการบริหารจัดการการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเฉพาะของแต่ละกลุ่มธุรกิจได้อย่างครบถ้วนและตรงจุด

 

“โซลูชันทางการเงินเพื่อตอบโจทย์แต่ละธุรกิจได้อย่างตรงจุด”

 

บทสรุปสั้น ๆ ของบุษรัตน์ หลังจากยกเคสอุตสาหกรรมที่ทีทีบีเข้าไปช่วยซัพพอร์ตและขับเคลื่อนธุรกิจผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายตอบโจทย์ที่ต่างไปในแต่ละอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น

 

  • ttb local currency solution เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้นำเข้า-ส่งออก ด้วยบริการจัดการธุรกรรมผ่านสกุลเงินท้องถิ่น ครอบคลุมเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยกว่า 52% เช่น สกุลเงินหยวน รูปีอินเดีย ริงกิตมาเลเซีย และรูเปียห์อินโดนีเซีย โดยมี 3 สกุลเงินใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ ดองเวียดนาม (VND) วอนเกาหลี (KRW) และเปโซฟิลิปปินส์ (PHP) ทางทีทีบีแนะนำลูกค้าให้เปลี่ยนมาใช้สกุลเงินท้องถิ่นแทนการใช้สกุลดอลลาร์สหรัฐที่มีความผันผวนสูงมาก เนื่องจากสกุลเงินท้องถิ่นมีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับเงินบาท ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนการค้าขายกับต่างประเทศ 
  • ttb multi-currency account (MCA) บัญชีสำหรับบริหารหลายสกุลเงิน โดย 1 บัญชีรองรับได้ถึง 11 สกุลเงิน รวมถึงเงินบาท เพื่อลูกค้าธุรกิจนำเข้าและส่งออก ด้วยการบริหารจัดการเงินสกุลหลักและสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศคู่ค้า ในบัญชีเดียว ลดความยุ่งยากที่ต้องเปิดหลายบัญชี สามารถใช้ซื้อ ขาย รับ จ่าย ทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านธนาคารดิจิทัลเพื่อโลกธุรกิจ ttb business one ที่ออกแบบให้รองรับระบบหลังบ้านของผู้ประกอบการได้แบบง่าย ๆ ช่วยให้ลูกค้าธุรกิจสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้สะดวก ครบจบ ในที่เดียว
  • ttb wealth products and services ผลิตภัณฑ์และบริการด้านเงินฝากและการลงทุน เช่น ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าของธุรกิจ เพื่อต่อยอดเงินส่วนตัวและเงินของธุรกิจให้งอกเงย ด้วยความเสี่ยงต่ำ คุ้มครองเงินต้น เลือกลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้

 

ทีทีบี

 

“ทีทีบีมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ท่ามกลางความเสี่ยงและความท้าทายรอบด้าน ให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านธนาคารดิจิทัล ttb business one เหมือนมีธนาคารอยู่ใกล้ตัว และที่ขาดไม่ได้เลยคือ เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญในหลากหลายอุตสาหกรรมมาเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าธุรกิจ เพื่อพร้อมรับมือกับความเสี่ยงในภาวะที่ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์จึงมีความจำเป็น ด้วยโซลูชันทางการเงินแบบครบวงจรดังกล่าว และล่าสุด ทีทีบีได้รับรางวัล Best in Treasury and Working Capital-SMEs in Thailand จาก The Asset Triple A Treasury Awards 2024 ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าเราเป็นธนาคารที่มีความเข้าใจลูกค้า และพร้อมสนับสนุนธุรกิจไทยขับเคลื่อนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนที่แท้จริง” บุษรัตน์กล่าว

The post ทีทีบี พันธมิตรที่เข้าใจและตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจการค้าระหว่างประเทศในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างเข้าใจ ด้วยโซลูชันทางการเงิน ที่ออกแบบเพื่อรับมือความเสี่ยง และความท้าทายต่าง ๆ ในโลกการค้าปัจจุบันเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทีทีบี คอลแลบ Disney เปิดตัวบัตรเครดิต-เดบิตลายการ์ตูนดัง ดึงคนรุ่นใหม่ มั่นใจยอดใช้จ่ายปีนี้โต 25% https://thestandard.co/ttb-disney-credit-card-launch/ Fri, 14 Feb 2025 05:51:49 +0000 https://thestandard.co/?p=1041768 บัตรเครดิตและเดบิต ทีทีบี ดิสนีย์ 20 ลายคาแรกเตอร์จาก Disney Pixar Marvel และ Star Wars

ทีทีบี คอลแลบ Disney เปิดตัวลายบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ม […]

The post ทีทีบี คอลแลบ Disney เปิดตัวบัตรเครดิต-เดบิตลายการ์ตูนดัง ดึงคนรุ่นใหม่ มั่นใจยอดใช้จ่ายปีนี้โต 25% appeared first on THE STANDARD.

]]>
บัตรเครดิตและเดบิต ทีทีบี ดิสนีย์ 20 ลายคาแรกเตอร์จาก Disney Pixar Marvel และ Star Wars

ทีทีบี คอลแลบ Disney เปิดตัวลายบัตรเครดิตและบัตรเดบิต มั่นใจดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นลูกค้าได้เพิ่มขึ้น ย้ำไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ แต่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตยังโต 25% พร้อมเดินหน้าชิงส่วนแบ่งตลาดบัตรเครดิตหวังขึ้นอันดับ 4 จากเดิมอยู่อันดับ 6 

 

“Disney เป็นบริษัทเก่าแก่อายุ 100 ปี มีคาแรกเตอร์ทั้งการ์ตูน ภาพยนตร์ สวนสนุก และมีฐานแฟนคลับทั่วโลก ทีทีบี จึงจับมือกับ Disney เปิดตัวบัตรเครดิตและบัตร เดบิต ‘ทีทีบี ดิสนีย์’ ภายใต้แคมเปญ ชีวิตทุกวันอัศจรรย์ได้จริง เราเชื่อว่ากลยุทธ์ ดังกล่าวจะประสบการณ์ใหม่ๆ และช่วยดึงคนเข้ามาเป็นลูกค้าของเราได้เพิ่มขึ้น” ฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือทีทีบี กล่าว

 

สิ่งที่น่าสนใจของแคมเปญทีทีบี ดิสนีย์ จะมีลวดลายหน้าบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ให้เลือก 20 ลาย จากตัวการ์ตูน เริ่มตั้งแต่ Disney, Pixar, Marvel and Star Wars Characters เช่น Mickey & Friends, Disney Princess Heroines, Elsa จาก Frozen, Buzz Lightyear จาก Toy Story, Marvel Super Heroes พร้อม e-Slip หลากหลายธีมลายที่เป็น Limited Edition คาแรกเตอร์ Captain America และ Brave New World

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ฐากรกล่าวต่อไปว่า กลยุทธ์ของทีทีบี พยายามรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ ไปพร้อมกับขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้จับมือกับพันธมิตรพัฒนาแคมเปญร่วมกันมาเป็นระยะๆ 

 

ทั้งนี้ การร่วมมือกับ Disney จะช่วยให้ธนาคารได้ลูกค้าได้ตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน ครอบครัว คู่รัก รวมถึงสูงวัยด้วยเช่นกัน และคาดว่าในปีนี้จะมีลูกค้าสนใจเปิดบัตรเดบิตจำนวน 725,000 ใบ และบัตรเครดิตจำนวน 300,000 ใบ

 

ปัจจุบันทีทีบีมีฐานลูกค้าบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.5 ล้านใบ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามียอดบัตรใหม่เติบโตเพิ่มขึ้น 8 แสนใบ และยอดใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 25% ถือว่าเติบโตสูงสุดในตลาดทั้งในแง่ฐานลูกค้าและยอดใช้จ่าย ส่วนบัตรเดบิตปัจจุบันมีฐานลูกค้าอยู่ที่ 2.6 ล้านใบ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีลูกค้าเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านใบ 

 

แน่นอนว่าการที่ธนาคารคอลแลบกับ Disney จะทำให้ลูกค้าทั้งบัตรเครดิตและเดบิตเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทเราต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่เฉลี่ย 1 ล้านใบต่อปี มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% และในช่วง 3 ปีข้างหน้าตั้ง เป้าชิงส่วนแบ่งตลาด ขึ้นเป็นอันดับ 4 ในตลาดบัตรเครดิต จากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 6 

 

สุดท้ายแล้วไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี แต่ภาพการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต (Spending) ยังขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาขยายตัวอยู่ที่ 6-7% เช่นเดียวกับทีทีบีที่สามารถเติบโตได้ 25% และประเมินว่าปีนี้ตัวเลขการเติบโตจะยังอยู่ใกล้เคียงกัน

The post ทีทีบี คอลแลบ Disney เปิดตัวบัตรเครดิต-เดบิตลายการ์ตูนดัง ดึงคนรุ่นใหม่ มั่นใจยอดใช้จ่ายปีนี้โต 25% appeared first on THE STANDARD.

]]>