Toyota Motor – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 18 Oct 2024 06:07:09 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ประธาน Toyota Motor ชี้ การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าอาจทำคนตกงานกว่า 5.5 ล้านคนในญี่ปุ่น https://thestandard.co/akio-toyota-motor-ev-transition-unemployed/ Fri, 18 Oct 2024 06:07:09 +0000 https://thestandard.co/?p=997580 Toyota Motor

Akio Toyoda ประธานบริษัท Toyota Motor ออกมาเตือนว่า การ […]

The post ประธาน Toyota Motor ชี้ การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าอาจทำคนตกงานกว่า 5.5 ล้านคนในญี่ปุ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
Toyota Motor

Akio Toyoda ประธานบริษัท Toyota Motor ออกมาเตือนว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มรูปแบบ อาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียตำแหน่งงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานที่มีทักษะใน ‘งานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์’

 

ประธาน Toyota Motor กล่าวว่า “มีคน 5.5 ล้านคนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในญี่ปุ่น ในจำนวนนี้ มีคนที่ทำงานเกี่ยวกับเครื่องยนต์มาเป็นเวลานาน หากรถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นทางเลือกเดียว รวมถึงสำหรับซัพพลายเออร์ของเรา งานของคนเหล่านี้ก็จะหายไป”

 

Toyota ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก มีท่าทีที่ระมัดระวังในการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้ามากกว่าผู้ผลิตรายอื่น โดยเลือกใช้กลยุทธ์ ‘หลายทางเลือก’ (Multi-Pathway) ในการลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งรวมถึงการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริด การเพิ่มรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน และการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ

 

ย้อนไปในเดือนมกราคม Toyoda เคยระบุว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็นสัดส่วนสูงสุดเพียง 30% ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก ส่วนที่เหลือจะเป็นรถยนต์ไฮบริด รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง

 

อย่างไรก็ตาม Toyota มีความล่าช้าในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายอื่นๆ และเพิ่งประกาศเลื่อนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการจ้างงาน และความเชื่อมั่นว่ารถยนต์ไฮบริดและรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่นๆ ยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาด

 

อ้างอิง:

The post ประธาน Toyota Motor ชี้ การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าอาจทำคนตกงานกว่า 5.5 ล้านคนในญี่ปุ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เทียบฟอร์ม 10 บริษัทผู้ยิ่งใหญ่หลังซับไพรม์กับปัจจุบัน https://thestandard.co/top-10-companies-performance/ Sun, 25 Aug 2024 03:08:05 +0000 https://thestandard.co/?p=975097

ภายในระยะเวลา 16 ปี หลังจากวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐ […]

The post เทียบฟอร์ม 10 บริษัทผู้ยิ่งใหญ่หลังซับไพรม์กับปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

ภายในระยะเวลา 16 ปี หลังจากวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบกับตลาดการลงทุนไปทั่วโลก ภาพบริษัทและอุตสาหกรรมที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้นำ’ ในตลาดโลกก็เปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้มาจากวิกฤตการเงินเพียงปัจจัยเดียว แต่มีปัจจัยการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทกับบริษัท ทำให้สามารถไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปได้ โดยเราเห็นได้จากการที่บริษัทเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลกับตลาดหุ้นมากขึ้น

 

THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวมข้อมูลรายได้บริษัท 10 อันดับแรกของโลกระหว่างปี 2008 จากข้อมูลของ CNN Global 500 กับปี 2024* จาก Investopedia เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและเทรนด์ในตลาดระหว่าง 16 ปีที่แล้วกับในช่วงเวลาปัจจุบัน

 

สำหรับในช่วงปี 2008 บริษัทที่กอบโกยรายได้มากที่สุดคือยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่าง Walmart ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะแหล่งค้าปลีกที่มีสินค้าแบบ ‘สากกะเบือยันเรือรบ’ เนื่องจากความหลากหลายของสินค้าที่มีจำหน่ายอยู่ในห้างของ Walmart ทำให้ในปีนั้นบริษัทมียอดขายทั้งหมดรวม 3.79 แสนล้านบาท

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจของปี 2008 คือการที่บริษัท 10 อันดับแรกของโลกส่วนมากเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น Exxon Mobil, Royal Dutch Shell, BP, Chevron, TotalEnergies และ ConocoPhillips รวมกันมากถึง 6 ราย โดยสาเหตุที่ธุรกิจกลุ่มพลังงานทำได้ดี ณ เวลานั้นเป็นเพราะราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แตะระดับ 147 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทน้ำมันสามารถทำเงินมหาศาลเป็นผลพลอยได้กับนักลงทุนในบริษัทเหล่านั้นด้วย

 

นอกจากนี้บริษัทที่เหลือมีกลุ่มยานยนต์ 2 ราย คือ Toyota Motor และ General Motors กับอีกหนึ่งสถาบันการเงินสัญชาติเนเธอร์แลนด์อย่าง ING Group ที่เผชิญกับผลกระทบระหว่างวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

 

ขยับมากันที่ปี 2024 บริษัทที่ยังครองเบอร์หนึ่งรายได้สูงสุดคือยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเจ้าเดิม Walmart ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีร้านค้าครอบคลุมจนชาวอเมริกันกว่า 90% สามารถเข้าถึงศูนย์การค้าได้ในรัศมี 16 กิโลเมตร รวมถึง Walmart ได้ขยายสาขาไปทั่วโลก พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์เพิ่มช่องทางออนไลน์การเข้าถึงของลูกค้าที่มากขึ้น

 

ในส่วนของบริษัทเทคโนโลยี Amazon และ Apple ผงาดขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 และ 6 ตามลำดับ จากความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใช้เวลาส่วนใหญ่หรือแม้แต่ซื้อของบนออนไลน์แพลตฟอร์มมากกว่าในช่วงปี 2008

 

หลายบริษัทที่ขยับเข้ามาอยู่ในลิสต์ 10 อันดับแรกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้เพียงแค่ Exxon Mobil ที่รั้งท้ายจนเกือบจะหลุดออกจากลิสต์ แต่ที่น่าสนใจคือสองบริษัทพลังงานในลิสต์เป็นบริษัทจากจีน สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของจีนในเวทีโลก

 

ในฝั่งของมุมมองการลงทุน Amazon และ Apple สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 4,233% และ 3,257% ตามลำดับ ในระหว่างปลายปี 2008 จนถึงช่วงกลางปี 2024* ถือเป็นสองบริษัทบิ๊กเทคที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าวแม้ว่าจะไม่ใช่บริษัทที่สร้างรายมากที่สุดก็ตาม การปรับตัวขึ้นในอัตราเร่งที่ก้าวกระโดดของ Amazon และ Apple รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ ทำให้เม็ดเงินพอร์ตของนักลงทุนหลายคนเติบโตแบบก้าวกระโดดไปด้วย สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

การปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับกระแสโลกเป็นสิ่งสำคัญมาก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา จากการที่บริษัทพลังงานผู้เคยครองตลาดกำลังค่อยๆ ถูกชิงตำแหน่งโดยบริษัทเทคโนโลยี

 

ดังนั้นการรู้ให้เท่าทันแนวโน้มตลาดและปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นหัวใจสำคัญให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน และไม่พลาดโอกาสการเติบโตท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้

 

สำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนเกาะกระแสไปกับการเติบโตของธุรกิจใหม่ผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF Onshore Fund) หรือกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรง (Direct Offshore Fund) ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุนในสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์ในต่างประเทศ (Offshore Investment) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมกับ UOB หรือติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking

 

 

*หมายเหตุ: ข้อมูลของปี 2024 จาก Investopedia จะใช้เทคนิคการดูรายได้ย้อนหลัง 12 เดือน เป็นข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน 2023 – มิถุนายน 2024

 

อ้างอิง:

 

UOB_Privilege-Banking

The post เทียบฟอร์ม 10 บริษัทผู้ยิ่งใหญ่หลังซับไพรม์กับปัจจุบัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: มาร์เก็ตแคป Toyota ร่วง เซ่นปมปลอมผลทดสอบความปลอดภัย | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-10062024-3/ Mon, 10 Jun 2024 06:36:03 +0000 https://thestandard.co/?p=943475

นักลงทุนกังวลหลังจาก Toyota Motor ถูกตรวจสอบพบปัญหาการท […]

The post ชมคลิป: มาร์เก็ตแคป Toyota ร่วง เซ่นปมปลอมผลทดสอบความปลอดภัย | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักลงทุนกังวลหลังจาก Toyota Motor ถูกตรวจสอบพบปัญหาการทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ไม่ตรงตามมาตรฐานของรัฐบาลญี่ปุ่น ทำราคาหุ้นลดลงต่อเนื่อง 3 วันติด จนกระทบต่อมูลค่าหุ้นลดลงประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: มาร์เก็ตแคป Toyota ร่วง เซ่นปมปลอมผลทดสอบความปลอดภัย | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปมปลอมแปลงผลทดสอบความปลอดภัย Toyota กระทบมูลค่าหุ้นมาร์เก็ตแคปลดลง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงผู้นำองค์กรไร้ศักยภาพ https://thestandard.co/toyotas-market-cap-drops-by-18-billion/ Sat, 08 Jun 2024 05:16:15 +0000 https://thestandard.co/?p=942783

เรื่องอื้อฉาวของ Toyota ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก หลังถูกต […]

The post ปมปลอมแปลงผลทดสอบความปลอดภัย Toyota กระทบมูลค่าหุ้นมาร์เก็ตแคปลดลง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงผู้นำองค์กรไร้ศักยภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>

เรื่องอื้อฉาวของ Toyota ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก หลังถูกตรวจสอบแล้วพบปัญหาการทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ไม่ตรงตามมาตรฐานของรัฐบาลญี่ปุ่น ส่งผลให้มูลค่าหุ้นลดลงประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงการทำงานของผู้นำองค์กรที่ไร้ศักยภาพ

 

Nikkei Asia รายงานว่า หลังจาก Toyota Motor ถูกตรวจสอบแล้วพบปัญหาการทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ไม่ตรงตามมาตรฐานของรัฐบาลญี่ปุ่น ล่าสุดส่งผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นลดลงประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนหลังราคาหุ้นลดลงต่อเนื่อง 3 วันติด

 

ขณะเดียวกันบริษัทสั่งระงับผลิตรถยนต์รุ่น Yaris Cross และอีกสองรุ่นอย่าง Corolla Fielder และ Corolla Axio เป็นการชั่วคราว ซึ่งจากเดิมในแต่ละรุ่นมีการผลิตประมาณ 130,000 คันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วน 1% เท่านั้นถ้าเทียบกับจำนวนการผลิตรถยนต์ทั่วโลกทั้งหมดอยู่ที่ 10 ล้านคัน

 

คาดว่าการระงับการขายบางรุ่นชั่วคราวจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของ Toyota ที่มียอดขายอยู่ที่ 9 พันล้านเยนต่อเดือนลดลง รวมถึงกำไรด้วยเช่นกัน โดยปีนี้บริษัทได้คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 4.3 ล้านล้านเยน

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า บริษัทต้องเตรียมชี้แจงกับผู้ถือหุ้นในวันประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่จะจัดขึ้นในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ให้ได้ และความเคลื่อนไหวอีกด้านหนึ่งบริษัทตัวแทนที่ให้บริการผู้ถือหุ้นสถาบัน ISS และ Glass Lewis ในอเมริกาแนะนำให้นักลงทุนลงคะแนนเสียงคัดค้านการแต่งตั้ง อากิโอะ โตโยดะ ขึ้นเป็นซีอีโอ Toyota อีกครั้ง

 

เนื่องจากความผิดพลาดดังกล่าวไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ที่ผ่านมาบริษัทในเครือ Toyota อย่าง Hino Motors, Daihatsu Motor และผู้ผลิตรถยก Toyota Industries ก็เคยพบปัญหาการทดสอบความปลอดภัย สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของผู้นำองค์กรที่ไร้ศักยภาพมาอย่างยาวนาน และต่อจากนี้บริษัทจะต้องมีการกำกับและแก้ไขปัญหาการทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ให้ตรงตามกฎหมายที่วางไว้อย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กระทบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ตามมา

 

อย่างไรก็ตาม การลดลงของมูลค่าหุ้นมาร์เก็ตแคป ทำให้ Toyota มีมูลค่าทิ้งห่างจาก Tesla มากขึ้นไปอีก หลังจากได้ผงาดขึ้นมาครองฐานะผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลกในเดือนกรกฎาคม 2020 แต่ตอนนี้ความต้องการรถยนต์ EV เริ่มชะลอตัวลง ก็ต้องจับตาดูว่า Toyota จะกลับขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดได้หรือไม่

 

อ้างอิง:

The post ปมปลอมแปลงผลทดสอบความปลอดภัย Toyota กระทบมูลค่าหุ้นมาร์เก็ตแคปลดลง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงผู้นำองค์กรไร้ศักยภาพ appeared first on THE STANDARD.

]]>
งานเข้าอีกรอบ Toyota เตรียมเรียกคืนรถยนต์กว่า 1.2 ล้านคันในสหรัฐฯ เหตุพบข้อบกพร่องที่อาจทำให้ถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน https://thestandard.co/toyota-recalls-1-2-million-cars/ Thu, 21 Dec 2023 07:36:48 +0000 https://thestandard.co/?p=879410 Toyota Motor

Toyota Motor ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ประกาศเรี […]

The post งานเข้าอีกรอบ Toyota เตรียมเรียกคืนรถยนต์กว่า 1.2 ล้านคันในสหรัฐฯ เหตุพบข้อบกพร่องที่อาจทำให้ถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Toyota Motor

Toyota Motor ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ประกาศเรียกคืนรถยนต์จำนวน 1.2 ล้านคันในสหรัฐฯ หลังพบความบกพร่องที่อาจทำให้ถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน โดยการเรียกคืนดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจาก Daihatsu Motor บริษัทในเครือ เพิ่งประกาศระงับการจัดส่งรถยนต์ทั้งหมดทั้งในญี่ปุ่นและตลาดต่างประเทศ 

 

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า การเรียกคืน Toyota Motor จะครอบคลุมรถยนต์รุ่นปี 2020-2022 ได้แก่ Avalon, Camry, Corolla, RAV4, Lexus รุ่น ES250, ES300H, ES350, RX350 Highlander, Sienna Hybrid ทั้งนี้ สาเหตุมาจากระบบเซ็นเซอร์ Occupant Classification System หรือ OCS ไม่ทำงาน โดยการเรียกคืนรถยนต์ดังกล่าวเป็นการเรียกคืนรถยนต์กว่า 1 ล้านคันในสหรัฐฯ

 

รายงานข่าวระบุอีกว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว Toyota ได้เรียกคืนรถยนต์รุ่น RAV4 จำนวน 3,500 คันในสหรัฐฯ เนื่องจากกังวลว่าอาจเกิดความบกพร่องของระบบภายใน ซึ่งอาจส่งผลให้ตัวเซ็นเซอร์ OCS ตรวจจับผู้โดยสารได้ไม่แม่นยำ

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 


 

ด้านสำนักงานความปลอดภัยด้านการคมนาคมบนทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ (NHTSA) กล่าวว่า ถุงลมนิรภัยด้านหน้าช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่า 50,000 รายในสหรัฐในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา  

 

แต่ในบางกรณีอาจถึงแก่ชีวิตได้ เช่น เด็ก ผู้ใหญ่ที่ตัวเล็ก และผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดเข็มขัด หากอยู่ใกล้กับถุงลมนิรภัยมากเกินไปเซ็นเซอร์อาจลัดวงจร เมื่อถุงลมพองตัวจึงไม่สามารถใช้งานเพื่อป้องกันการชนในบางประเภทได้

 

ทั้งนี้ การเรียกคืนดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจาก Daihatsu Motor ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Toyota Motor  ออกมาประกาศวานนี้ (20 ธันวาคม) ว่าจะระงับการจัดส่งรถยนต์ทั้งหมดทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ หลังการสอบสวนด้านความปลอดภัยพบปัญหาในรถทั้งหมดประมาณ 64 รุ่น ซึ่งรวมถึงรถ 22 รุ่นที่จำหน่ายภายใต้แบรนด์ Toyota ด้วย

 

อ้างอิง: 

The post งานเข้าอีกรอบ Toyota เตรียมเรียกคืนรถยนต์กว่า 1.2 ล้านคันในสหรัฐฯ เหตุพบข้อบกพร่องที่อาจทำให้ถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Toyota Motor ไปต่อไม่รอแล้ว! เริ่มทดสอบรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในออสเตรเลีย โดยถือเป็นครั้งแรกที่ทดสอบบนถนนสาธารณะก่อนนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต https://thestandard.co/toyota-trials-hydrogen-australia/ Mon, 13 Nov 2023 08:24:58 +0000 https://thestandard.co/?p=865167

Toyota Motor ไปต่อไม่รอแล้ว! เริ่มทดสอบรถยนต์พลังงานไฮโ […]

The post Toyota Motor ไปต่อไม่รอแล้ว! เริ่มทดสอบรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในออสเตรเลีย โดยถือเป็นครั้งแรกที่ทดสอบบนถนนสาธารณะก่อนนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>

Toyota Motor ไปต่อไม่รอแล้ว! เริ่มทดสอบรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในออสเตรเลีย โดยถือเป็นครั้งแรกที่ทดสอบบนถนนสาธารณะก่อนนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลออสเตรเลียที่ผลักดันให้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงพลังงานทางเลือกหลัก และบรรจุในแผนระดับชาติ ล่าสุดทุ่มเงินลงทุนมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เปลี่ยนผ่านพลังงานเดิมเป็นประเทศผู้ผลิตและจัดหาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนส่งออกไปทั่วโลก

 

สำนักข่าว The Japan Times รายงานว่า Toyota Motor ออกมาระบุว่าบริษัทเริ่มดำเนินการทดสอบรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮโดรเจนในออสเตรเลียแล้ว โดยการทดลองครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมครั้งแรกของผู้ผลิตรถยนต์บนถนนสาธารณะอย่างเป็นทางการ

 

ทั้งนี้ การทดลองจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมจนถึงเดือนมกราคม โดยการนำเอารถตู้ดัดแปลงพิเศษจากรุ่น Hiace ของ Toyota ทดสอบโดยบริษัทก่อสร้างและการรักษาความปลอดภัยของท้องถิ่นในเมลเบิร์น เพื่อประเมินการทำงานของเครื่องยนต์และทดสอบความทนทานของรถยนต์ไฮโดรเจนบนท้องถนน

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ Toyota มีนโยบายผลักดันการใช้ก๊าซไฮโดรเจนเป็นทางเลือกที่สะอาดกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้นำรถยนต์เครื่องยนต์ไฮโดรเจนเหลวเข้าร่วมการแข่งขันทดสอบความอึดของระบบที่มีถึง 24 ชั่วโมงในการแข่งขันที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ Toyota เป็นรถยนต์คันแรกที่สามารถผ่านการทดสอบ

 

นอกจากนี้ Toyota Motor ยังระบุในแถลงการณ์อีกว่า ขณะที่การทดสอบรถยนต์ Hiace (Toyota Hiace) ในออสเตรเลียนั้นถือเป็นรถตู้เกรดพรีเมียมยอดนิยมซึ่งได้ทำการตลาดมายาวนานหลายปี และ Toyota มองว่าอนาคตจะทดสอบเทคโนโลยีเครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่ได้รับการพัฒนาจากมอเตอร์สปอร์ตให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เพื่อเร่งปรับสู่ตลาดเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ

 

โดยรถยนต์ไฮโดรเจนที่ใช้ในเชิงพาณิชย์อยู่แล้วนั้นใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า และรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮโดรเจนนั้นมีข้อได้เปรียบ โดยได้พัฒนาชิ้นส่วนที่ไม่แตกต่างไปจากการใช้งานด้วยเครื่องยนต์เบนซิน

 

ออสเตรเลียมุ่งพัฒนาประเทศผู้ผลิตและจัดหาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนของโลก

 

สำหรับออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีไฮโดรเจนอุดมสมบูรณ์ และรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงพลังงานทางเลือกหลัก โดยรัฐบาลทุ่มเงินทุนโดยตรงมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เพื่อการพัฒนาทั้งเป็นผู้ผลิตและจัดหาอุตสาหกรรมไฮโดรเจน

 

นอกจากนั้นออสเตรเลียยังถือเป็นประเทศแรกที่จัดทำยุทธศาสตร์ไฮโดรเจนระดับชาติขึ้นในปี 2019 ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้ออสเตรเลียเป็นประเทศผู้ส่งออกไฮโดรเจนชั้นนำของโลกในปี 2030

 

ซึ่งล่าสุดจะเห็นการลงทุนที่มีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตอนใต้ของซิดนีย์ที่บรรดาโรงงานเหล็กขนาดใหญ่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจของออสเตรเลีย เปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ามาเป็นการใช้ทรัพยากรใหม่อย่างไฮโดรเจนเพิ่มมากขึ้น

 

หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยบางแห่งที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ซึ่งได้ดัดแปลงอาคารขนาด 8,000 ตารางเมตร เพื่อผลิตเครื่องอิเล็กโทรไลเซอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำ ที่มีทั้งการผลิตเพื่อส่งออกและเพื่อพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับใช้ในภาคอุตสาหกรรมในประเทศ

 

อ้างอิง:

The post Toyota Motor ไปต่อไม่รอแล้ว! เริ่มทดสอบรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนในออสเตรเลีย โดยถือเป็นครั้งแรกที่ทดสอบบนถนนสาธารณะก่อนนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
สหภาพแรงงานสร้างแรงกดดันให้ ‘Toyota Motor’ ขึ้นเงินค่าจ้างให้พนักงานในโรงงานอเมริกาสูงถึง 9% พร้อมเพิ่มวันหยุดให้อีกด้วย https://thestandard.co/toyota-motor-hire-workers-with-9-percents-more-wages-and-holidays/ Sat, 04 Nov 2023 03:29:11 +0000 https://thestandard.co/?p=862363 Toyota Motor

ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานที่นัดกันหยุดงาน สร […]

The post สหภาพแรงงานสร้างแรงกดดันให้ ‘Toyota Motor’ ขึ้นเงินค่าจ้างให้พนักงานในโรงงานอเมริกาสูงถึง 9% พร้อมเพิ่มวันหยุดให้อีกด้วย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Toyota Motor

ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานที่นัดกันหยุดงาน สร้างแรงกดดันให้กับธุรกิจรายใหญ่ ทำให้ ‘Toyota Motor’ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น เตรียมปรับขึ้นเงินค่าจ้างให้พนักงานในโรงงานอเมริกาสูงถึง 9% พร้อมเพิ่มวันหยุดให้ด้วย 

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นโยบายดังกล่าวของ Toyota Motor ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายใหญ่ เตรียมปรับขึ้นเงินค่าจ้างประมาณ 9% ต่อชั่วโมง ให้กับพนักงานในกระบวนการผลิต

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

เบื้องต้นจะใช้ในโรงงานบางแห่งเท่านั้น ซึ่งจะทำให้พนักงานได้รับค่าตอบแทนสูงสุด หรือมีรายได้มากกว่า 34 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1,209 บาทต่อชั่วโมง 

 

สำหรับการปรับขึ้นค่าจ้างจะเริ่มประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม 2024 และประมาณ 4 ปี อัตรารายได้ของพนักงานจะก้าวขึ้นไปสู่ระดับการจ่ายค่าจ้างรายชั่วโมงสูงสุด

 

“บริษัทเราให้ความสำคัญกับพนักงานมาเป็นอันดับหนึ่ง และมีการทบทวนนโยบายค่าตอบแทนอยู่เป็นระยะๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมรถยนต์” Chris Reynolds รองประธานบริหารของ Toyota Motor ในอเมริกากล่าว 

 

ทั้งนี้ การปรับขึ้นเงินค่าจ้างเกิดขึ้นหลังจากสหภาพแรงงาน United Auto Workers โดยมีทั้ง GM, Ford Motor และ Stellantis นัดกันหยุดงานประท้วงการขึ้นค่าจ้าง โดยใช้เวลานานกว่า 40 วัน ซึ่งมีผลต่อความเสียหายทางธุรกิจอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2023 สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2024 บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 3.95 ล้านล้านเยน (2.6 หมื่นล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 61.1% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จะเพิ่มขึ้น 15.7%

 

สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของการขายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทพยายามเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาด 

 

อ้างอิง:

The post สหภาพแรงงานสร้างแรงกดดันให้ ‘Toyota Motor’ ขึ้นเงินค่าจ้างให้พนักงานในโรงงานอเมริกาสูงถึง 9% พร้อมเพิ่มวันหยุดให้อีกด้วย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Toyota กำลังบุกตลาดไฮบริด? งัดกลยุทธ์ใหม่ ขออินเดียลดภาษีรถยนต์ไฮบริด 21% โดยให้เหตุผลว่าปล่อยมลพิษน้อย และตอบโจทย์ไม่แพ้ EV https://thestandard.co/toyota-lobbies-india-cut-hybrid-car-taxes/ Tue, 24 Oct 2023 00:47:34 +0000 https://thestandard.co/?p=857656 รถยนต์ไฮบริด

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Toyota Motor ผู้ผลิตรถยนต์ส […]

The post Toyota กำลังบุกตลาดไฮบริด? งัดกลยุทธ์ใหม่ ขออินเดียลดภาษีรถยนต์ไฮบริด 21% โดยให้เหตุผลว่าปล่อยมลพิษน้อย และตอบโจทย์ไม่แพ้ EV appeared first on THE STANDARD.

]]>
รถยนต์ไฮบริด

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า Toyota Motor ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น และผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกกำลังวางแผนขยายกำลังการผลิตรถยนต์ไฮบริดในตลาดอินเดีย หลังพบอัตราการใช้ไฮบริดเพิ่มขึ้นในอินเดีย ซึ่งอาจสวนทางนโยบายรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ที่กำลังมุ่งเน้นนโยบายไปที่การผลักดันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยที่ผ่านมาได้เสนอเงินทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการกระตุ้นให้บริษัทรถยนต์และบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในประเทศให้มากขึ้น

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันอินเดียเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพียง 5% ในขณะที่ภาษีรถยนต์ไฮบริดสูงถึง 43% ซึ่งต่ำกว่าภาษีสำหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินไม่มากนัก อยู่ที่ 48% ดังนั้น Toyota จึงเสนอว่า เนื่องจากรถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยมมากขึ้น การเก็บภาษีที่ต่างกันไม่มากที่ 5% เมื่อเทียบกับรถยนต์เบนซินนั้นอาจไม่เหมาะสม และเมื่อพิจารณาการใช้รถยนต์ไฮบริดก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่าไม่แพ้ EV

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 


 

Toyota ยังระบุในข้อเสนออีกว่า ส่วนต่างภาษีของรถยนต์เบนซินควรอยู่ที่ 11% สำหรับรุ่นไฮบริด และ 14% สำหรับรุ่น Flex Hybrid ซึ่งเท่ากับอัตราภาษี 37% สำหรับรถไฮบริด และ 34% สำหรับรถไฮบริดแบบยืดหยุ่น ซึ่งควรจัดเก็บในอัตราที่ลดลง 14% และ 21% ตามลำดับให้เหมาะสม 

 

เพิ่มความหลากหลายทั้งไฮบริด EV ไฮโดรเจน

สำหรับตลาดอินเดีย Toyota ไฮบริดได้รับความนิยมในรุ่น Prius แต่ต้องเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างระหว่างจากนักลงทุนและกลุ่มที่สนับสนุนสภาพภูมิอากาศที่ยังคงสนับสนุนรถยนต์ไฮบริด 

 

ซึ่งส่วนนี้ Toyota กล่าวว่า เวลานี้ไฮบริดอาจเหมาะกับตลาดอินเดียมากกว่า เพราะตลาดรถยนต์ EV ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พร้อมมากนัก

 

“วิธีที่ดีที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน คือการใช้พลังงานทางเลือก ทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานทดแทน ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด และปัจจุบัน Toyota เองก็พัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน เราจำเป็นต้องใช้แนวทางหลากหลาย เพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”

 

นอกจากนี้ ภายใต้ข้อเสนอข้างต้น Toyota ยังขอให้รัฐบาลอินเดียสนับสนุนผู้ซื้อรถยนต์ไฮบริด โดยนำมาตรการภาครัฐมาจูงใจให้ส่วนลดแก่ผู้ซื้อด้วย เพราะขณะนี้มาตรการดังกล่าวมีให้เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เท่านั้น

 

อ้างอิง: 

The post Toyota กำลังบุกตลาดไฮบริด? งัดกลยุทธ์ใหม่ ขออินเดียลดภาษีรถยนต์ไฮบริด 21% โดยให้เหตุผลว่าปล่อยมลพิษน้อย และตอบโจทย์ไม่แพ้ EV appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: Toyota ประกาศขึ้นค่าแรงพนักงาน ใหญ่สุดในรอบ 20 ปี ครอบคลุมถึงโบนัส | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-23022023-4/ Thu, 23 Feb 2023 06:00:33 +0000 https://thestandard.co/?p=754355

โตโยต้า มอเตอร์ส ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เ […]

The post ชมคลิป: Toyota ประกาศขึ้นค่าแรงพนักงาน ใหญ่สุดในรอบ 20 ปี ครอบคลุมถึงโบนัส | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>

โตโยต้า มอเตอร์ส ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เตรียมปรับขึ้นเงินเดือนพนักงาน โดยถือเป็นการปรับขึ้นค่าแรงครั้งใหญ่ที่สุดของโตโยต้าในรอบ 20 ปี ซึ่งครอบคลุมถึงค่าแรงขั้นต่ำและโบนัสด้วย รายละเอียดติดตามได้ในไฮไลต์นี้

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: Toyota ประกาศขึ้นค่าแรงพนักงาน ใหญ่สุดในรอบ 20 ปี ครอบคลุมถึงโบนัส | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
Toyota Motor ขายรถได้ 10.5 ล้านคันในปี 2022 ป้องกันตำแหน่งบริษัทที่มียอดขายมากที่สุดในโลกปีที่ 3 ติดต่อกัน https://thestandard.co/toyota-motor-cars-sold-2022/ Mon, 30 Jan 2023 08:19:33 +0000 https://thestandard.co/?p=743648

Toyota Motor รายงานยอดขายรถยนต์ได้ 10.5 ล้านคันในปี 202 […]

The post Toyota Motor ขายรถได้ 10.5 ล้านคันในปี 2022 ป้องกันตำแหน่งบริษัทที่มียอดขายมากที่สุดในโลกปีที่ 3 ติดต่อกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

Toyota Motor รายงานยอดขายรถยนต์ได้ 10.5 ล้านคันในปี 2022 ทำให้สามารถป้องกันตำแหน่งบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายสูงที่สุดของโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันได้เป็นผลสำเร็จ

 

ทิศทางของยักษ์จากญี่ปุ่นถือว่าสวนทางกับ Volkswagen คู่แข่งจากเยอรมนีที่มียอดขายลดลง 7% ในปีที่แล้วเหลือ 8.3 ล้านคัน ซึ่งเป็นระดับการส่งมอบที่ต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี อันมีสาเหตุมาจากการปิดเมืองในจีนและสงครามในยูเครน ทำให้ซัพพลายเชนหยุดชะงัก

 

กระนั้นสิ่งที่ทั้ง Toyota และ Volkswagen ตลอดจนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ต้องเผชิญก็คืออุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอลงและความกังวลเกี่ยวกับความอยากซื้อรถยนต์ใหม่ที่ลดลงได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนทำให้บริษัทต่างๆ กำลังปลดพนักงาน เพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

อย่างไรก็ตาม Toyota ยังคงกล่าวว่า ไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้มากพอที่จะย่นระยะเวลาการส่งมอบ หลังลูกค้าหลายรายบอกว่าต้องรอรถเป็นเดือนหรือเป็นปีสำหรับรถบางรุ่น

 

ในปีงบประมาณใหม่ที่เริ่มต้นเดือนเมษายน 2023 Toyota ตั้งเป้าหมายการผลิตไว้มากถึง 10.6 ล้านคัน โดยมีข้อแม้ว่าการจัดส่งจริงอาจลดลง 10% หากไม่สามารถจัดหาชิ้นส่วนได้เพียงพอ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์

 

Toyota กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ 86 ปี เพราะการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติ

 

แต่ยักษ์จากแดนซามูไรกล่าวว่า ยังเชื่อมั่นในความจำเป็นของการกระจายเดิมพันไปยังเทคโนโลยีต่างๆ ตั้งแต่แบตเตอรี่ รถยนต์ไฮบริด ไฮโดรเจน และเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม เพื่อให้บริการลูกค้าและประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตหลังการใช้น้ำมันเบนซิน

 

อ้างอิง:

The post Toyota Motor ขายรถได้ 10.5 ล้านคันในปี 2022 ป้องกันตำแหน่งบริษัทที่มียอดขายมากที่สุดในโลกปีที่ 3 ติดต่อกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>