THE STANDARD ECONOMIC FORUM – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 29 Nov 2024 07:19:39 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 รวมภาพพลังของคนรุ่นใหม่สู่ความหวังของประเทศไทยในอนาคต https://thestandard.co/thai-youth-future-power/ Fri, 29 Nov 2024 08:00:34 +0000 https://thestandard.co/?p=1013206 Young Leaders Dialogue

ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 มีเวที Young Lea […]

The post รวมภาพพลังของคนรุ่นใหม่สู่ความหวังของประเทศไทยในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
Young Leaders Dialogue

ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 มีเวที Young Leaders Dialogue ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มาแลกเปลี่ยนมุมมองและไอเดียเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า ปีนี้เราได้ฟังเรื่องราวที่น่าสนใจ ทั้งการเมืองของคนรุ่นใหม่ แนวคิดการพัฒนาเมืองที่ตอบโจทย์ยุคสมัย การเสริมทักษะแรงงาน และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และนวัตกรรม นอกจากนี้ยังได้เห็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามามีส่วนร่วมในงานกันอย่างล้นหลาม

 

📱ขอบคุณ OPPO Find X8 Series สมาร์ทโฟนมาตรฐานแฟลกชิปที่เหนือกว่า ที่เก็บภาพไฟแห่งความหวังและการระดมสมองสุดเข้มข้นของคนรุ่นใหม่ไว้ได้อย่างคมชัด

 

Young Leaders Dialogue Young Leaders Dialogue

 


 

🔥Rerun Ticket โอกาสสุดท้ายของงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 🔥

 

ซื้อบัตรรับชมออนไลน์สุดคุ้ม! ราคาพิเศษเพียง 990.- https://bit.ly/tsef2024UDRerunVT

🎟เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 – 18 พฤษภาคม 2568

⚡เปิดให้เข้ารับชมนานถึง 6 เดือนเต็ม!

⚡พร้อมรับสรุปเนื้อหา Key Takeaway ทุกหัวข้อ

⚡ชมออนไลน์สะดวกจากเว็บไซต์ อยู่ที่ไหนก็ดูได้

⚡เก็บครบประเด็นเศรษฐกิจแห่งอนาคต 3 วันเต็ม กว่า 30 เซสชัน

⚡ ฟังผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจากทุกแวดวงของไทย เศรษฐกิจ / ภูมิรัฐศาสตร์ / AI / EV

The post รวมภาพพลังของคนรุ่นใหม่สู่ความหวังของประเทศไทยในอนาคต appeared first on THE STANDARD.

]]>
จับภาพทุกโมเมนต์แห่งการเปลี่ยนแปลง! https://thestandard.co/moments-of-change/ Wed, 27 Nov 2024 07:00:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1013006 การเปลี่ยนแปลง

แม้แสงจะน้อย แต่ OPPO ก็สามารถเก็บทุกช่วงเวลาสำคัญของ T […]

The post จับภาพทุกโมเมนต์แห่งการเปลี่ยนแปลง! appeared first on THE STANDARD.

]]>
การเปลี่ยนแปลง

แม้แสงจะน้อย แต่ OPPO ก็สามารถเก็บทุกช่วงเวลาสำคัญของ THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 บน Main Stage ที่เต็มไปด้วยผู้นำระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญมากมาย และผู้ชมจากหลากหลายสายอาชีพ ที่มุ่งมั่นพร้อมเข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลง ตลอด 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

📱✨ด้วยเทคโนโลยีของ OPPO Find X8 Series สมาร์ทโฟนมาตรฐานแฟลกชิปที่เหนือกว่า ทำให้ทุกภาพที่ถ่ายในสภาพแสงน้อยยังคงคมชัดและเต็มไปด้วยรายละเอียด ทำให้ไม่พลาดทุกโมเมนต์ที่สำคัญ

 

การเปลี่ยนแปลง

 


 

🔥Rerun Ticket โอกาสสุดท้ายของงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024🔥

 

ซื้อบัตรรับชมออนไลน์สุดคุ้ม! ราคาพิเศษเพียง 990.- https://bit.ly/tsef2024UDRerunVT

🎟เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 – 18 พฤษภาคม 2568

⚡เปิดให้เข้ารับชมนานถึง 6 เดือนเต็ม!

⚡พร้อมรับสรุปเนื้อหา Key Takeaway ทุกหัวข้อ

⚡ชมออนไลน์สะดวกจากเว็บไซต์ อยู่ที่ไหนก็ดูได้

⚡เก็บครบประเด็นเศรษฐกิจแห่งอนาคต 3 วันเต็ม กว่า 30 เซสชัน

⚡ ฟังผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจากทุกแวดวงของไทย เศรษฐกิจ / ภูมิรัฐศาสตร์ / AI / EV

The post จับภาพทุกโมเมนต์แห่งการเปลี่ยนแปลง! appeared first on THE STANDARD.

]]>
Forecast 10 อนาคตโลกจากผู้นำไทย ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 https://thestandard.co/10-global-futures-from-thai-leaders/ Tue, 26 Nov 2024 06:21:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1012816

‘โลกใหม่’ หน้าตาเป็นแบบไหน อนาคตมีอะไรรอเราอยู่?   […]

The post Forecast 10 อนาคตโลกจากผู้นำไทย ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>

‘โลกใหม่’ หน้าตาเป็นแบบไหน อนาคตมีอะไรรอเราอยู่?

 

ชวนสำรวจ 10 อนาคตของโลกจากผู้นำไทย สกัดประเด็นเข้มข้นที่จะทำให้คุณรับมือกับปี 2025 ได้ดียิ่งขึ้น จากงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024: BRAVE NEW WORLD เศรษฐกิจไทย ไล่กวดโลกใหม่ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อ 13-15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 


 

 

1. โลกที่หนีไม่พ้นสงคราม (Geopolitics)

 

ท่ามกลางสมรภูมิโลกที่แตกเป็นเศษเสี้ยว จากสถานการณ์ความตึงเครียดของสองมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา-จีน, สงครามรัสเซีย-ยูเครน, สงครามตะวันออกกลาง หรือความขัดแย้งที่ขยายขอบเขตบริเวณทะเลจีนใต้ หรือใกล้บ้านเราอย่างเมียนมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอาจต้องอยู่ในสภาวะนี้ไปอีกนาน

 

แล้วไทยควรวางตัวอย่างไร?

 

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเชีย เสนอ 5 การนำทัพในพายุภูมิรัฐศาสตร์โลก 2025 ดังนี้

 

  • รู้ทันความเปลี่ยนแปลง: เทคโนโลยี, เศรษฐกิจ, การศึกษา
  • รู้ทันความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์โลก
  • มีหลักการ แต่ไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับประเทศใด
  • เป็นสะพานเชื่อมในเรื่องที่ไทยมีศักยภาพ
  • กวาดสัญญาณอนาคต (Future Foresight)

 

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยนเรศวร เผยมุมมองว่า

 

ผู้นำไทยต้องเข้าใจภูมิทัศน์การเมืองโลกและมิติการแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่ เพื่อเชื่อมต่อได้อย่างสมดุล ขณะเดียวกันต้องมีอิสระในการกำหนดนโยบาย โดยไม่สร้างเงื่อนไขให้กับตัวเองจนต้องเลือกข้าง

 

นอกจากนี้ผู้นำไทยต้องจัดวางประเทศในแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกได้อย่างเหมาะสม ส่งเสริมความเข้มแข็งของอาเซียนเพื่อสร้างแต้มต่อ และควรมีบทบาทต่อสงครามในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาซึ่งอาจไม่จบลงง่าย

 

ท้ายที่สุดคือผู้นำไทยต้องไม่หนีจอเรดาร์โลก และกล้าที่จะเดินไปกับกระแสโลกในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้

 


 

 

2. โลกที่เทคโนโลยีเป็นตัวตัดสิน (AI & Technology)

 

AI ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด

 

ในอนาคตอันใกล้ประเทศไทยจะเผชิญกับปัญหาประชากรวัยแรงงานลดลง การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต จึงเป็นเหมือนทางรอดสำหรับประเทศไทย ทั้งในมิติของการเพิ่มประสิทธิภาพ ผลผลิต และสร้างนวัตกรรม

 

ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอแนวทางการวางยุทธศาสตร์ AI ของไทยว่า ภาครัฐควรมอง AI เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่นโยบายด้านเทคโนโลยี โดยต้องผลักดันให้เกิด Smart Adoption เพื่อใช้ AI อย่างสร้างสรรค์ ปลอดภัย และทั่วถึง

 

ทั้งนี้ การออกกฎหมาย AI เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องสร้าง AI Literacy เพื่อให้คนรู้เท่าทันความเสี่ยงในการใช้งาน AI รวมทั้ง เดินหน้าสร้าง Ecosystem ที่ดีเพื่อให้ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ สามารถ ‘สร้างปัญญา’ ให้กับคนได้ทุกคน

 

นอกจากนี้ ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร และ กสิมะ ธารพิพิธชัย ยังร่วมเสนอแนวทางที่ไทยควรเร่งผลักดัน พร้อมกับ ดร.สันติธาร บนเวทีเสวนา ‘AI Roadmap for Thailand ยุทธศาสตร์ AI ไทย’ ดังนี้

 

1) AI for Education and Education for AI: ใช้ AI ช่วยพัฒนาการศึกษาไทย ให้คนมีทักษะพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงในโลกใหม่ และใช้การศึกษาช่วยคิดว่าจะอยู่ร่วมกับ AI ได้อย่างไรในอนาคต

 

2) AI-Ready Human and Human-Ready AI: ไทยต้องสร้างคนที่ใช้ AI ได้อย่างเข้าใจและรู้เท่าทัน ต้องออกแบบกระบวนการใหม่ในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อใช้งาน AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และพัฒนาบุคลากรที่ความเชี่ยวชาญที่สามารถนำเทคโนโลยีมา Localize ได้

 

3.) Sovereign AI หรือ AI แห่งชาติ คือสิ่งสำคัญที่ไทยควรมีเพื่อสร้างคงอัตลักษณ์ทางภาษา หรือวัฒนธรรมของประเทศ รวมทั้งสร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในเวทีโลกได้

 


 

 

3. โลกที่ผู้นำไทยต้องมีจุดยืน (Thai Politics)

 

ในยุคสมัยที่ไทยกำลังเผชิญกับพายุวิกฤตโลก ท่ามกลางมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยคลื่นลมแห่งความไม่แน่นอน ‘ผู้นำไทย’ ต้องยืนหยัดเป็นเสาหลักเพื่อนำพาประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

 

และนี่คือ 3 จุดยืนที่ผู้นำไทยควรมี

 

1) ยืนหยัดในประชาธิปไตย

ถือเป็น ‘กระดุมเม็ดแรก’ ในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากหลักการประชาธิปไตยที่ส่งเสริมเสรีภาพ สิทธิของประชาชน และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

2) ยึดมั่นในหลักนิติธรรม (Rule of Law)

ผู้นำต้องสร้างความมั่นใจ ไม่ว่าประชาชนหรือผู้มีอำนาจใดๆ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และการตัดสินใจทางการเมืองต้องยึดตามกรอบของกฎหมาย เพื่อป้องกันการทุจริตและการใช้อำนาจในทางที่ผิด

 

3) ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

สิ่งสุดท้ายจำเป็นที่สุดคือการยืนหยัดในจุดยืนทางการเมืองโดยไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันที่สำคัญ ต้องกล้าปฏิรูประบบที่ล้าหลังและเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างมั่นคง

 


 

 

4. โลกรวนป่วนเศรษฐกิจ (Climate Adaptation)

 

โลกรวนจะไม่เพียงป่วนชีวิตประจำวัน ให้เราเผชิญกับฝนที่กระหน่ำผิดฤดูกาล หรืออากาศร้อนรุนแรงถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังกระทบไปถึงเศรษฐกิจ และสังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้ อาทิ เพิ่มต้นทุนทางธุรกิจของภาคอุตสาหกรรม สร้างความเสียหายต่อการท่องเที่ยว และพืชผลทางการเกษตร นอกจากนี้ยังซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างปัญหาหนี้ครัวเรือนไปจนถึงสังคมสูงวัย

 

ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เผยในเซสชัน ‘Staying Ahead with Climate Change Adaptation รับมือโลกรวนอย่างไรให้เท่าทัน’ ว่า “แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% เมื่อเทียบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลก แต่ไทยจัดว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงอันดับต้นๆ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก”

 

พร้อมเสนอทางแก้ เมื่อโลกรวนไม่รอเราอีกต่อไป ไทยควรรับมือด้วย 3 ข้อนี้

 

1) มากกว่า ‘ตระหนัก’ คือ ‘ตระหนก’ รู้

ไทยควรเดินหน้าให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเรื่องโลกรวน อันเป็นทักษะสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะอีก 3-5 ปีข้างหน้าผลกระทบจะชัดเจน

 

2) ร่างแผนบูรณาการระดับประเทศ (Integrated Plan)

ไทยต้องมีแผนรับมือที่ผนวกรวมเข้ากับยุทธศาสตร์ระดับชาติ และนำไปปฏิบัติจริงได้ ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ

 

3) Climate Adaptation คือกุญแจสำคัญ

นอกจากมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก (Climate Mitigation) ผ่านการออกกฎเกณฑ์และกติกา อาทิ CBAM, Net Zero และอีกมากมาย ไทยควรให้ความสำคัญกับ Climate Adaptation โดยกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมพัฒนาแนวทางรับมือที่ตอบโจทย์ในบริบทของแต่ละพื้นที่

 


 

 

5. โลกที่ทักษะใกล้หมดอายุ (Education 4.0)

 

ทั้งการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ได้พลิกวิถีชีวิตและการทำงานของผู้คนทั่วโลกไปตลอดกาล หรือปัญหาทักษะแรงงานไม่ตอบโจทย์ความต้องการตลาด (Skill Mismatch) ไปจนถึงการขาดแคลนแรงงานที่เราต้องเจอในอนาคตอันใกล้ เพราะประชากรวัยทำงานที่ลดลง

 

ข้อมูลจาก กสศ. ร่วมกับ World Bank เผยว่า เด็กและแรงงานไทยมีทักษะทุนชีวิต (Foundational Skills) ทั้ง 3 ด้านต่ำกว่าเกณฑ์ และมีแนวโน้มต่ำลง 1. ทักษะการรู้หนังสือการอ่าน 2. ทักษะด้านทุนดิจิทัล 3. ทักษะทางด้านอารมณ์และการเข้าสังคม สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิโรงเรียนวันเสาร์ ประเทศ ระบุ

 

พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน ให้ความเห็นว่า การที่จะอัปสกิลทักษะคนไทยให้ทันกับความท้าทายใหม่ๆ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เรียน

 

เริ่มต้นจากรัฐเป็นผู้ประสานและจัดการระบบคอร์สเรียน เปิดโอกาสให้เอกชนพัฒนาคอร์สเรียนที่หลากหลาย และแจกคูปองหรือเครดิตให้กับผู้เรียนได้เลือกคอร์สพัฒนาตนเองตามความต้องการ นอกจากนี้รัฐอาจเสนอค่าเสียเวลาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนหันมาพัฒนาทักษะใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น

 

สูตรนี้ทำสำเร็จแล้วในประเทศอินโดนีเซีย จากข้อมูลพบว่า หากรัฐเป็นผู้ดำเนินการฝึกอบรมทักษะแรงงานเองจะทำให้เกิดความล่าช้า และสามารถปรับทักษะแรงงานได้เพียง 890,000 คนต่อปี แต่เมื่อเปลี่ยนบทบาทของรัฐเป็นผู้ประสานงาน และให้เอกชนเข้ามาแข่งขันกันพัฒนาคอร์สเรียน โครงการนี้สามารถปรับทักษะแรงงานได้มากถึง 5.9 ล้านคนต่อปี

 


 

 

6. โลกที่พลังงานต้องเปลี่ยนผ่าน (Energy Transition)

 

ปัจจุบันไทยกำลังเร่งปฏิรูปพลังงานสีเขียวหรือพลังงานสะอาด เพื่อให้ทันกับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งล่าช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์และเวียดนาม ที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2050

 

เป้ายิ่งไกล ไทยยิ่งเสี่ยง

 

การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดไม่เพียงมีความสำคัญต่อ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และการเสริมศักยภาพให้เศรษฐกิจเติบโตในระยะยาว โดยเฉพาะกับการลงทุนใน Data Center ซึ่งมีความต้องการในการใช้พลังงานสะอาดเป็นอย่างมาก

 

ปัญหาอยู่ที่อะไร

 

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ฉายภาพว่า ปัจจุบันไทยเผชิญกับปัญหา 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าสูงเกินความต้องการ การประเมินพลังงานสะอาดซึ่งมีแนวโน้มจะลดต้นทุนลงได้อีกและลดต่ำเกินไป รวมทั้งโครงสร้างตลาดไฟฟ้าของไทยที่ยังยึดติดกับระบบผู้ซื้อรายเดียว

 

ไทยจะเปลี่ยนผ่านพลังงานได้อย่างไร

 

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เสนอในมุมมองของภาคพลังงานว่า กลุ่ม ปตท. พัฒนาการใช้เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และพิจารณาพลังงานไฮโดรเจน เพื่อช่วยลดคาร์บอนและรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานยั่งยืนในอนาคต

 

ด้าน ดร.สมเกียรติ เสนอ 4 ทางแก้ไข ได้แก่

 

  1. คาดการณ์การใช้ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับ GDP จริง และเร่งแผนอนุรักษ์พลังงาน

 

  1. ขยายการใช้พลังงานสะอาด ด้วยโซลาร์ แบตเตอรี่ และไมโครกริด พร้อมแก้กฎการติดตั้งแผงโซลาร์

 

  1. เปิดเสรีตลาดไฟฟ้าโดยใช้ Net Metering คิดค่าไฟตามการใช้จริง และให้ราคายุติธรรมสำหรับไฟที่ขายกลับ

 

  1. เปลี่ยนบทบาทรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าเป็นผู้ให้บริการส่งไฟ พร้อมวางไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟในอาเซียน

 


 

 

7. โลกที่นักลงทุนอาจลืมไทย (Investment)

 

ประเทศไทยเดินอยู่บนเส้นทางเดิมมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังยึดโยงกับอุตสาหกรรมดั้งเดิม ขณะเดียวกันปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 89.6% ของ GDP ได้กลายเป็นแรงฉุดสำคัญต่อการลงทุนและการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศ

 

Jeep Kline, Founder & Managing Partner, Raisewell Ventures and Professional Faculty, UC Berkeley ชี้ชัดในเซสชัน ‘Investing in Change: Impact Venture Capital in the New Era เปลี่ยนประเทศไทยด้วยการลงทุน Impact Investment’ ว่า ไทยต้องวางกลยุทธ์เล่นเกมระยะยาวมากกว่าสนใจผลประโยชน์ระยะสั้น เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

 

พร้อมชี้เป้า 3 อุตสาหกรรมหลักที่ไทยควรเร่งพัฒนา ได้แก่

 

  • Climate Tech ส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียวที่เป็นจุดแข็งของไทย เช่น การเกษตร อาหาร รถยนต์ไฟฟ้า หรือวัสดุยั่งยืน
  • Manufacturing and Supply Chain Tech ใช้ AI เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยุคใหม่
  • Health Equity ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโดยใช้เทคโนโลยีเป็นสะพานเชื่อม เพื่อส่งเสริม SDGs ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ

 

นอกจากนี้ Jeep Kline ยังเสนอให้ไทยใช้ยุทธศาสตร์ ‘One SEA’ พัฒนาศักยภาพตลาดในระดับภูมิภาคอาเซียนแทนการพัฒนาแบบแยกประเทศ เพื่อดึงดูดนักลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นในบทบาทผู้นำระดับโลก

 

ด้าน นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน บรรยายในเซสชัน ‘Boosting Investments, Bolstering Growth: BOI’s Strategic Blueprint ขับเคลื่อนการลงทุนไทย ให้เติบโตบนเวทีโลก ด้วยยุทธศาสตร์ BOI’ ว่า ยุทธศาสตร์ BOI จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยสะท้อนตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในไทยที่ส่งสัญญาณบวกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่ามากกว่า 7 แสนล้านบาท

 

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ การปรับตัววันนี้จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือความจำเป็น หากสำเร็จเป้าหมาย GDP เติบโต 5-6% ต่อปี จะกลายเป็นจริง แต่หากล้มเหลวการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกอาจบีบบังคับเราจนไม่มีโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเองอีกต่อไป

 


 

 

8. โลกที่เดิมพันด้วยเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor)

 

หลังดีล Data Center ของบริษัทระดับโลกที่มาร่วมลงทุนในไทยในปี 2024 นับเป็นสัญญาณที่ดีว่า อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อาจเป็นโอกาสทองของประเทศไทยในยุคดิจิทัล

 

แต่ในเกมที่เราเข้ามาเล่นช้ากว่าเพื่อน ไทยจำเป็นต้องเล่นให้ฉลาดกว่า

 

ในเซสชัน Semiconductor Strategy: Thailand’s Path to Tech Leadership รศ. ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ รองศาสตราจารย์ ศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า

 

กระดุมเม็ดแรกที่ไทยต้องติดให้ถูกคือต้องรู้ว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์หน้าตาเป็นอย่างไร ไทยมีจุดแข็งอะไร และยังขาดอะไร ที่สำคัญคือประเทศไทยต้องมีแผน National Semiconductor Strategy ที่จะกำหนดทิศทางและวางนโยบายที่ชัดเจน

 

ด้าน ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ว่า แม้ที่ผ่านมาเราจะอยู่ในโซนรับจ้างผลิตตั้งแต่แผงวงจร (PCB) ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่หากวันนี้เราจะเปลี่ยนเกม ไทยควรยกระดับตัวเองสู่ High Value Zone แทนที่จะยึดติดกับเทคโนโลยีโลกเก่า

 

เช่น พัฒนาด้านที่ตัวเองมีศักยภาพจะไปถึงอย่าง Design หรือ Sensor & Communication และ Power Management (Silicon Carbide) ส่วนการเปิดพื้นที่ให้ต่างชาติมาลงทุนยังเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญและนำทุนเข้าสู่ประเทศ

 

หรืออีกแนวทางคือโฟกัสที่การออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งใช้ทุนและทรัพยากรคนไม่มาก หากแต่รัฐต้องสร้าง Ecosystem เพื่อดึงดูดคนเก่งจากทั่วโลกเข้ามาช่วยพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์บริบทไทย

 


 

 

9. โลกที่การค้าหดตัวลง (Geoeconomics)

 

‘ภูมิเศรษฐศาสตร์’ (Geoeconomics) กลายเป็นสิ่งที่ผู้นำทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะเรากำลังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดของสองมหาอำนาจที่มีผลกับเศรษฐกิจโลกและไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน หรือเทคโนโลยี

 

ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยในการกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Geoeconomics 2025: Mapping the Future of Economic Power เปิดแผนที่อำนาจเศรษฐกิจปี 2025 ว่า

 

การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจชัดเจนขึ้นทุกขณะ ในขณะที่จีนพยายามขยายอิทธิพลผ่านกลุ่ม BRICS และโครงการ Belt and Road Initiative สหรัฐอเมริกาก็ตอบโต้ด้วยกรอบความร่วมมือ IPEF พร้อมกับนโยบายการค้าเชิงปกป้องที่เข้มงวดขึ้น หรือนโยบาย ‘America First’ ของว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนถึง 60% และประเทศอื่นๆ อีก 10-20%

 

ประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมากต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วและชาญฉลาด โดยปานปรีย์เสนอมุมมองส่วนตัวว่า ไทยควรวางตัวเป็นกลางอย่างมีกลยุทธ์ หรือที่เรียกว่า Strategic Neutrality เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไทยควรเดินหน้าต่อคือ

 

  • การเปิดโอกาสด้านการท่องเที่ยวด้วยการทำฟรีวีซ่าจาก 93 ประเทศรวมจีนและอินเดีย

 

  • เร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านส่งออก

 

  • การเจรจาเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ Digital Economy และเซมิคอนดักเตอร์กับสหรัฐฯ

 

  • พัฒนามาตรฐานให้สอดคล้องกับระดับสากล เพื่อดึงดูดคู่ค้าและโอกาสจากทั่วโลก

 


 

 

10. โลกที่เศรษฐกิจโตช้า (Economic Uncertainty)

 

โลกหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการอบล่าสุด เต็มไปด้วยความผันผวน ท่ามกลางสถานการณ์คริปโตที่นิวไฮเป็นประวัติการณ์ หรือความหวั่นวิตกจากการขึ้นกำแพงภาษีจีน และการกีดกันทางค้าในหลายประเทศที่ทั่วโลกต่างกังวล

 

เราต้องอยู่กับโลกที่ ‘ความไม่แน่นอน’ คือ ‘ความแน่นอน’ แบบนี้ไปอีกนาน

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพใหญ่ในเซสชัน ‘Economic Outlook 2025 ทิศทางเศรษฐกิจมหภาคปี 2025’ ว่า ถ้าอยากจะมองภาพเศรษฐกิจไทยเพื่อเตรียมการในโลก BRAVE NEW WORLD ภายใต้ โดนัลด์ ทรัมป์ 4 ปีข้างหน้า เราจะต้องรู้ว่าทรัมป์จะทำอะไร จะกระทบไทยอย่างไร และไทยต้องปรับตัวอย่างไร โดยโจทย์ใหญ่ที่เราต้องแก้คือ ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยกลับมาโตได้อีกครั้ง และหาทางรับมือกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน

 

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวบนเวที ‘Navigating Economic Challenges: The Future of Fiscal Policy ฝ่าพายุเศรษฐกิจไทยด้วยนโยบายการคลัง’ ว่า ไทยมีสภาพคล่องสูงแต่ขาดการลงทุน เหมือนเศรษฐีที่ฐานะดีแต่ไม่เห็นอนาคต เพราะไม่มีทิศทางชัดเจน หากยังใช้เทคโนโลยีแบบเดิม ไม่ปรับปรุงเครื่องจักรหรือการผลิต ในระยะยาวจะรับมือไม่ไหว รัฐบาลจึงเร่งสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และลดต้นทุนพลังงาน หรือผลักดัน Entertainment Complex เพื่อดึงดูดนักลงทุน

 

ขณะที่ ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยบนเวที ‘Unlocking Economic Capabilities for Future Growthพลิกขีดความสามารถเศรษฐกิจสู่การเติบโตใหม่’ ว่า 10 ปีที่ผ่านมาไทยเติบโตต่ำสุดในภูมิภาค และเมื่อมองไปข้างหน้า การคาดการณ์ยังคงต่ำจากหลายปัจจัย ดังนั้นนโยบายการคลังและนโยบายการเงินไม่พอ แต่ต้องมีนโยบายปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพิ่ม โดยเสนอแนวทาง 5 ข้อ ได้แก่

 

  1. แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
  2. ผันเศรษฐกิจนอกระบบสู่ในระบบ
  3. เร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
  4. เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ
  5. เติมเครื่องมือช่วย SMEs ให้ปรับตัว

 

📍เข้าใจและรับมือกับโลกใหม่ทั้งหมดนี้ให้อยู่หมัดด้วยบัตรชมย้อนหลังงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 🔥ใบเดียวเก็บครบทุกเวทีในงาน ให้ ‘โลกใหม่’ อยู่ในมือคุณ

 

ซื้อบัตรได้แล้วในราคาเพียง 990.- คลิก https://bit.ly/tsef2024RTAAF10

The post Forecast 10 อนาคตโลกจากผู้นำไทย ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: คลื่นมรสุมภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจโลก ไทยจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร | DECODING THE WORLD #10 https://thestandard.co/decoding-the-world-10/ Sat, 23 Nov 2024 11:00:36 +0000 https://thestandard.co/?p=1012023

สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งสงครา […]

The post ชมคลิป: คลื่นมรสุมภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจโลก ไทยจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร | DECODING THE WORLD #10 appeared first on THE STANDARD.

]]>

สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งสงคราม ความขัดแย้ง และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ ที่มีโอกาสจะตึงเครียดมากยิ่งขึ้นในยุครัฐบาลทรัมป์ 2.0

 

ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024: BRAVE NEW WORLD เศรษฐกิจไทย ไล่กวดโลกใหม่ ที่ผ่านมา มีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายแวดวงร่วมถอดบทเรียนและให้แนวทางที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทย ในการเดินเรือฝ่ามรสุมเกมอำนาจโลก ท่ามกลางโจทย์สำคัญคือ “ไทยจะก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ และเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างไร?” ร่วมถอดรหัสไปพร้อมกันใน DECODING THE WORLD: ถอดรหัสโลก

The post ชมคลิป: คลื่นมรสุมภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจโลก ไทยจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร | DECODING THE WORLD #10 appeared first on THE STANDARD.

]]>
3 โจทย์ใหญ่ด้าน AI พลิกโฉมประเทศไทย https://thestandard.co/thailand-ai-transformation-key-challenges/ Thu, 21 Nov 2024 01:11:32 +0000 https://thestandard.co/?p=1010962 AI

ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร Postdoctoral Researcher at MIT Medi […]

The post 3 โจทย์ใหญ่ด้าน AI พลิกโฉมประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
AI

ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร Postdoctoral Researcher at MIT Media Lab / Co-director of Advancing Human-AI Interaction Initiative กล่าวบรรยายในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 บนเวที Cyborg Psychology: Designing Human-AI Systems for Human Flourishing จิตวิทยาไซบอร์ก: การออกแบบระบบมนุษย์ – AI เพื่อความรุ่งเรืองของมนุษย์ ซึ่งโจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีการพัฒนาด้าน AI ที่เท่าทันโลก 

 

โดยกล่าวถึง 3 ประเด็นสำคัญที่ควรตระหนักในการผลักดันเทคโนโลยี AI ดังนี้ 

 

  1. Invent 

พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยงานวิจัยของ ดร.พัทน์ ศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI จาก 3 ปัจจัยดังนี้  

  • Wisdom ทำอย่างไรให้มนุษย์ใช้ AI ได้ฉลาดขึ้น 
  • Wonder ทำอย่างไรให้มนุษย์สงสัยใคร่รู้ มีจินตนาการ มีแรงบันดาลใจ และทำให้ชีวิตมีความหมาย 
  • Well-being ทำอย่างไรให้มนุษย์มีสุขภาพกายและใจที่ดีจากการใช้งาน AI 

 

ยกตัวอย่าง AI ที่สามารถสร้างอนาคตของมนุษย์คือ Future U ที่สามารถคุยกับตัวเองในอนาคตได้ โดยใช้ Language Model มารวมกับ Large Human Model ผลคือหลังจากที่คุยกับตัวเองช่วยให้เขาสะท้อนตัวตนของตัวเองและมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้น เป็นปัจจัยที่นำไปสู่การตัดสินใจในด้านอื่นๆ ได้ดีขึ้น เช่น ด้านการศึกษาและการเงิน 

 

  1. Investigest

การพิจารณาและตรวจสอบความเสี่ยงของ AI เมื่อ AI เป็นเพื่อนเรา คุยกับเราได้ อาจทำให้มนุษย์เสพติดจนเป็นอันตรายถึงชีวิต ยกตัวอย่างเช่น กรณีข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เด็กชายคนหนึ่งจบชีวิตตัวเองจากการมีแฟนเป็น AI เนื่องจากทนอยู่บนโลกจริงไม่ไหว โดย AI แนะนำให้จบชีวิตเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน 

 

คำถามคือเราจะป้องกันอย่างไร 

 

จากงานวิจัยของ ดร.พัทน์ ที่ศึกษาปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และ AI ด้านบวกและลบ จึงได้ข้อสรุปว่าต้องออกแบบ Target Policy ระหว่างมนุษย์และ AI 

 

  1. Inspire

การสร้างจินตนาการด้าน AI เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง ซึ่งออกแบบให้คนไทยดีไซน์ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ขึ้น เช่น หนังไซไฟหรือเรื่องราววิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยจินตนาการ 

 

The post 3 โจทย์ใหญ่ด้าน AI พลิกโฉมประเทศไทย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Rerun Ticket 990.- ดูได้นานถึง 6 เดือนเต็ม! เปิดจำหน่ายบัตร และรับชมย้อนหลังได้แล้ววันนี้! https://thestandard.co/the-standard-economic-forum-2024-rerun-ticket/ Wed, 20 Nov 2024 00:45:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1010567 Rerun Ticket

🔥Rerun Ticket รับชมย้อนหลังได้มากกว่า 30 เซสชัน🔥 กดบัตร […]

The post Rerun Ticket 990.- ดูได้นานถึง 6 เดือนเต็ม! เปิดจำหน่ายบัตร และรับชมย้อนหลังได้แล้ววันนี้! appeared first on THE STANDARD.

]]>
Rerun Ticket

🔥Rerun Ticket รับชมย้อนหลังได้มากกว่า 30 เซสชัน🔥

กดบัตรวันนี้ดูได้เลย!

 

🌟ตามทันเทรนด์โลกด้วยบัตรใบเดียว พร้อมรับ Key Takeaway สรุปเนื้อหาทุกหัวข้อ

✅ ทิศทางเศรษฐกิจมหภาค

✅ อ่านเกมภูมิรัฐศาสตร์

✅ กลยุทธ์คว้าโอกาสในยุค AI

✅ สำรวจอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งโลก EV และเซมิคอนดักเตอร์

✅ วิเคราะห์การเมืองปี 2025

 

👤เวทีที่รวมผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจากทุกแวดวงของไทย

☑ ตัวจริงด้านเศรษฐกิจ

เช่น พิชัย ชุณหวชิร, ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล, ดร.วิรไท สันติประภพ, ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์, ขัตติยา อินทรวิชัย, ผยง ศรีวณิช

 

☑ ตัวจริงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง

เช่น ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข, ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย, ปานปรีย์ พหิทธานุกร, ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร, สรกล อดุลยานนท์

 

☑ ตัวจริงด้าน AI และเทคโนโลยี

เช่น ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์, ดร.สันติธาร เสถียรไทย, กสิมะ ธารพิพิธชัย, ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์

 

🎟สุดคุ้ม! ด้วยบัตรแค่ใบเดียว

⚡ดูย้อนหลังได้นานถึง 6 เดือนเต็ม

⚡พร้อมรับสรุปเนื้อหา Key Takeaway ทุกหัวข้อ

⚡ชมออนไลน์สะดวกจากเว็บไซต์ อยู่ที่ไหนก็ดูได้

 

https://bit.ly/tsef2024RerunTFT

The post Rerun Ticket 990.- ดูได้นานถึง 6 เดือนเต็ม! เปิดจำหน่ายบัตร และรับชมย้อนหลังได้แล้ววันนี้! appeared first on THE STANDARD.

]]>
“Made in China ขายไม่ได้ แต่ Made in Thailand ยังขายได้อยู่ แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้แข่งขันกับโลกได้” https://thestandard.co/thailand-manufacturing-transformation/ Tue, 19 Nov 2024 12:00:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1010378

ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ ก […]

The post “Made in China ขายไม่ได้ แต่ Made in Thailand ยังขายได้อยู่ แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้แข่งขันกับโลกได้” appeared first on THE STANDARD.

]]>

ศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด, THE EM DISTRICT และ Bangkok Mall และรองประธานกรรมการ บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด พูดถึงกลยุทธ์การท่องเที่ยวไทยสำหรับการแข่งขันในโลกยุคใหม่ บนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 บนเวที Reshaping Thai Tourism: A Winning Strategy for Global Competitiveness ปฏิรูปการท่องเที่ยวไทย: กลยุทธ์สู่การแข่งขันระดับโลก

 

หลังการแพร่ระบาดของโควิด ภูมิทัศน์โลกเปลี่ยนแปลงไปในหลายมิติ ทั้งในด้านของสงครามร้อน ภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า จึงทำให้แนวคิดโลกที่เคยเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างโลกาภิวัตน์สิ้นสุดลง

 

โดยผลกระทบระหว่างสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้ประเทศมีความจำเป็นที่จะยกระดับกำลังการผลิต และนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีเพื่อที่จะแข่งขันกับประเทศทางฝั่งโลกตะวันตก ทำให้มีความสามารถผลิตสินค้าราคาถูกจำนวนมาก และสินค้าเทคโนโลยีอย่าง EV และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แต่กลับไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศฝั่งตะวันตกได้

 

ศุภลักษณ์ อัมพุช กล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศที่มีความเป็นกลางไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสในการแทรกตัวขึ้นมาเพื่อคว้าโอกาสท่ามกลางความปั่นป่วนของโลกในครั้งนี้ โดยมองว่าประเทศไทยต้องทำ 5 สิ่งคือ

 

1. Trade Center

 

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของเธอมองว่าทางรอดของประเทศไทยไม่ใช่การเปลี่ยนอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกดังเช่นประเทศอื่นๆ ในอาเซียน แต่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็น Trade Center ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

โดยมีฮ่องกงและดูไบเป็นโมเดล จากการที่มีการยกเว้นภาษีในการนำเข้าสินค้า และขายให้กับนักท่องเที่ยวจากการที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากกว่า 30 ล้านคนต่อปี

 

2. Infrastructure and Logistic Hub

 

เพื่อที่จะส่งเสริมการเป็น Trade Center ประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องเป็น Logistic Hub ในการกระจายและขนส่งสินค้าของภูมิภาคนี้ ทั้งทางเรือ ทางอากาศ และทางบก อีกทั้งยังเป็นการดึงดูดให้คนเดินทางมายังประเทศไทยให้เยอะมากขึ้น และสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากในทางภูมิศาสตร์ประเทศไทยอยู่ตรงกลางระหว่างประเทศสำคัญต่างๆ ทั้งประเทศอินเดีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และจีน

 

3. Aviation Hub 

 

จากประเด็นทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ฮ่องกงได้รับผลกระทบในเรื่องการเดินทาง ในปัจจุบันประเทศไทยจึงต้องแข่งขันกับสิงคโปร์ในการเป็น Aviation Hub โดยการขยายสนามบินสุวรรณภูมิทั้งในส่วนของรันเวย์และอาคารผู้โดยสาร โดยต้องตั้งเป้าให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี หรือแม้แต่การเพิ่มจำนวนสนามบินอย่างการสร้างสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินอันดามัน เพื่อแข่งขันกับสิงคโปร์ที่จะมีการขยายสนามบินชางงีให้แล้วเสร็จในปี 2030

 

4. Entertainment Complex 

 

ยกระดับประเทศไทยให้มีศูนย์ให้ความบันเทิงครบวงจรตั้งแต่ Shopping Paradise, Food Destination, Entertainment and Attraction, MICE, Festival, Ecotourism และ Cruise Line โดยที่ต้องมีการยกระดับ Start-up และ SMEs ให้สามารถทำงานได้แบบ O2O ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์

 

และการสร้าง Entertainment Complex ที่มีโมเดลจากสิงคโปร์ โดยมีส่วนประกอบของคาสิโน, ศูนย์การค้า, ฮอลล์คอนเสิร์ต และความบันเทิงอื่นๆ ที่สามารถมอบประโยชน์ให้กับธุรกิจรายย่อย และเป็นจุดดึงดูดหลักของประเทศไทย

 

5. Artificial Attraction and Regional Office 

 

ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องสร้างการเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ นอกเหนือจากการใช้แหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติ อย่างเช่นการจัดคอนเสิร์ต Taylor Swift ของสิงคโปร์ และการเป็นศูนย์กลางการตั้งสำนักงานขององค์กรระดับโลก

 

โดยสุดท้ายการที่จะทำให้ทั้ง 5 สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ ทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีการเสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อสามารถต่อภาพจิ๊กซอว์ทั้ง 5 เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยแข่งขันกับโลกได้ในอนาคต

 


 

🔥Rerun Ticket โอกาสสุดท้ายของงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024🔥

 

ซื้อบัตรรับชมออนไลน์สุดคุ้ม! ราคาพิเศษเพียง 990.- https://bit.ly/tsef2024UDRerunVT

🎟เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 – 18 พฤษภาคม 2568

⚡เปิดให้เข้ารับชมนานถึง 6 เดือนเต็ม!

⚡พร้อมรับสรุปเนื้อหา Key Takeaway ทุกหัวข้อ

⚡ชมออนไลน์สะดวกจากเว็บไซต์ อยู่ที่ไหนก็ดูได้

⚡เก็บครบประเด็นเศรษฐกิจแห่งอนาคต 3 วันเต็ม กว่า 30 เซสชัน

⚡ฟังผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจากทุกแวดวงของไทย เศรษฐกิจ / ภูมิรัฐศาสตร์ / AI / EV

The post “Made in China ขายไม่ได้ แต่ Made in Thailand ยังขายได้อยู่ แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้แข่งขันกับโลกได้” appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.สมเกียรติ แนะ 4 ทางออก ‘ปลดล็อก’ ไฟฟ้าสีเขียว ชี้ อย่าปล่อยผู้ขายไฟกำหนดอนาคตประเทศ https://thestandard.co/thestandardeconomicforum2024-somkiat-tangkitvanich/ Mon, 18 Nov 2024 12:00:15 +0000 https://thestandard.co/?p=1010067 สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพั […]

The post ดร.สมเกียรติ แนะ 4 ทางออก ‘ปลดล็อก’ ไฟฟ้าสีเขียว ชี้ อย่าปล่อยผู้ขายไฟกำหนดอนาคตประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ขึ้นกล่าวสปีชในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ในหัวข้อ Unlocking Thailand’s Energy Transition ปลดล็อกประเทศไทยสู่ยุคพลังงานยั่งยืน โดยระบุว่า การปรับเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำจะต้องปลดล็อกภาคพลังงานให้ได้

 

แม้รัฐบาลไทยหลายรัฐบาลจะพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างจริงจัง แต่เงื่อนไขสำคัญของไทยที่ยังไม่ปลดล็อกคือ ‘ไทยต้องมีพลังงานสะอาด’ 

 

เป้าหมายไทย ‘ช้ากว่า’ เป้าหมายโลก

 

ดร.สมเกียรติ ชี้ว่า เป้าหมายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของไทยดูเหมือนจะช้ากว่าเป้าหมายของนักลงทุนโดยทั่วไป โดยเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตั้งไว้ไกลมาก ไกลถึงปี 2065 และมีเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 ซึ่งช้ากว่าประเทศส่วนใหญ่ในประชาคมโลก โดยเฉพาะแถบยุโรป รวมถึงอีกหลายประเทศในอาเซียน ขณะที่นักลงทุนต้องการใช้พลังงานสะอาดภายในระยะเวลาที่เร็วกว่านั้น

 

เป้าไฟฟ้า ‘ช้ากว่า’ เป้าประเทศ

 

ดร.สมเกียรติ อธิบายว่า ถ้าไปดูแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ปี 2024 จะพบว่า ยากที่จะทำได้ เพราะไม่มีการปฏิรูปตลาดไฟฟ้าเลย ถ้าไม่มีการปฏิรูปไฟฟ้าก็จะลดคาร์บอนได้ยาก โดยเกือบครึ่งหนึ่งของการปล่อยคาร์บอนในไทยมาจากสาขาภาคผลิตพลังงาน (47%) บางส่วนมาจากภาคขนส่ง (22%) ภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ

 

วิธีการลดคาร์บอนส่วนใหญ่ของประเทศต่างๆ คือ การเปลี่ยนทุกอย่างให้ใช้ระบบไฟฟ้า แล้วค่อยไปจัดการส่วนที่ไม่สามารถไปแปลงเป็นไฟฟ้าได้ ถ้าไทยต้องการบรรลุเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 ไทยต้องมีไฟฟ้าสะอาดราว 74% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก และยากที่จะเป็นไปได้หากไทยไม่มีการปฏิรูปไฟฟ้า นอกจากราคาพลังงานจะสูงแล้ว ต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยก็จะสู้ประเทศอื่นๆ ไม่ได้อีกด้วย

 

ถ้าไม่ปฏิรูปไฟฟ้า เราจะพากันตายหมด

 

ดร.สมเกียรติ ยังระบุอีกว่า ถ้าเราดูร่างแผน PDP 2024 จะพบว่า 1. ไทยยังคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินจริงมาตลอด 28 ปี ทำให้จ่ายค่าไฟให้โรงไฟฟ้าที่ไม่เดินเครื่องมา 16 ปี โดยที่ไทยยังไม่เคยทำแผนอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจัง ทำให้มีไฟฟ้าสำรองเกิน 30% ซึ่งปกติอยู่ที่ราว 15% ก็เพียงพอแล้ว นี่คือสาเหตุที่ทำให้ไฟฟ้าของไทยดูมั่นคง แต่ทำลายความมั่งคั่ง และต่อไปจะทำลายความยั่งยืนด้วย

 

  1. แผนดังกล่าวประเมินพลังงานสะอาดต่ำเกินไป เพราะพลังงานสะอาดโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ สามารถมีต้นทุนลดลงได้อีก 90% และมีแนวโน้มจะลดต้นทุนลงได้อีกในอนาคต เช่น รัฐบาลจีนที่อุดหนุดการผลิตแผงโซลาร์จนทำให้มีราคาถูก ยิ่งผลิตเยอะก็ยิ่งราคาถูก และแบตเตอรี่ก็มีแนวโน้มที่จะราคาถูกลงด้วยเช่นกัน

 

  1. โครงสร้างตลาดไฟฟ้าของไทยยึดติดกับระบบผู้ซื้อรายเดียว โดยมีผู้ผลิตรายใหญ่คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กับผู้ผลิตที่ต้องขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งระบบนี้จะอยู่กับไทยต่อไปอีก 13 ปีข้างหน้า ดร.สมเกียรติ เน้นย้ำว่า ถ้าเรายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเราก็จะไม่มั่นคง ไม่มั่งคั่ง และไม่ยั่งยืน

 

นอกจากนี้ ไทยมีแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีกในช่วง 12 ปี (2028-2036) จะยิ่งทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าใหญ่เกินกว่าความต้องการการใช้ ไฟฟ้ามีราคาแพง และเมื่อไทยสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซที่ต้องใช้ต่อไปอีกระยะยาว ก็แปลว่าช่องว่างของพลังงานทางเลือกที่จะเข้ามาสู่ระบบก็จะยิ่งลดแคบลง และอาจก่อให้เกิดความไม่ยั่งยืนทางพลังงาน

 

ปรับทิศทางไฟฟ้าไทย เดินให้ถูกทาง

 

สิ่งสำคัญคือคนไทยต้องรู้ว่าเราเดินต่อไปแบบนี้ไม่ได้ การปล่อยให้ผู้ขายไฟฟ้ามากำหนดอนาคตของประเทศไทยบนต้นทุนของประชาชนและธุรกิจต่างๆ ไม่สมควรเป็นสิ่งที่เรายอมรับอีกต่อไป

 

โดย ดร.สมเกียรติ เสนอแนะทางออกเพื่อปลดล็อกและปรับทิศทางไฟฟ้าไทย 4 เรื่องใหญ่ๆ คือ 

 

  1. ปรับคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสม โดยคาดการณ์ GDP ให้สมจริง และเร่งแผนอนุรักษ์พลังงาน

 

  1. ใช้พลังงานสะอาดเต็มศักยภาพ โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้โซลาร์และแบตเตอรี่ รวมถึงพัฒนาระบบไมโครกริด-สมาร์ทกริด และแก้กฎระเบียบต่างๆ ในการติดตั้งแผงโซลาร์

 

  1. ต้องเปิดเสรีตลาดซื้อขายไฟฟ้า ใช้ระบบ Net Metering ที่ช่วยคำนวณค่าไฟฟ้าและหน่วยไฟฟ้าที่ใช้ตามจริง จากการผลิตไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์หักลบกับไฟที่ใช้จากการไฟฟ้า อีกทั้งเมื่อติดแผงโซลาร์และผลิตไฟฟ้าเองได้ เวลาขายกลับต้องได้ราคาดี และเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรง 

 

  1. ช่วยรัฐวิสาหกิจไฟฟ้า หาโมเดลธุรกิจใหม่ โดยออกแบบให้เขากลายเป็น ‘ผู้บริการรับ-ส่งไฟฟ้า’ ไปยังแหล่งที่ต้องการใช้ไฟฟ้า โดยให้คำนวณค่าขนส่งที่เหมาะสม และสามารถต่อยอดให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายไฟฟ้าของอาเซียนได้

 

นี่คือโฉมหน้าใหม่ โอกาสใหม่ ที่ไทยต้องปลดล็อก เพื่อให้เศรษฐกิจของเราเดินหน้าต่อไปได้

 


 

🔥Rerun Ticket โอกาสสุดท้ายของงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024🔥

 

ซื้อบัตรรับชมออนไลน์สุดคุ้ม! ราคาพิเศษเพียง 990.- https://bit.ly/tsef2024UDRerunVT

🎟เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 – 18 พฤษภาคม 2568

⚡เปิดให้เข้ารับชมนานถึง 6 เดือนเต็ม!

⚡พร้อมรับสรุปเนื้อหา Key Takeaway ทุกหัวข้อ

⚡ชมออนไลน์สะดวกจากเว็บไซต์ อยู่ที่ไหนก็ดูได้

⚡เก็บครบประเด็นเศรษฐกิจแห่งอนาคต 3 วันเต็ม กว่า 30 เซสชัน

⚡ ฟังผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจากทุกแวดวงของไทย เศรษฐกิจ / ภูมิรัฐศาสตร์ / AI / EV

The post ดร.สมเกียรติ แนะ 4 ทางออก ‘ปลดล็อก’ ไฟฟ้าสีเขียว ชี้ อย่าปล่อยผู้ขายไฟกำหนดอนาคตประเทศ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดร.วิรไท ชี้ว่าไทยต้องสร้างแผนรับมือโลกรวนแบบบูรณาการ มุ่งลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับตัวรับผลกระทบ https://thestandard.co/thestandardeconomicforum2024-veerathai-santiprabhob/ Mon, 18 Nov 2024 10:11:09 +0000 https://thestandard.co/?p=1010050 วิรไท สันติประภพ

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในงาน THE STANDARD EC […]

The post ดร.วิรไท ชี้ว่าไทยต้องสร้างแผนรับมือโลกรวนแบบบูรณาการ มุ่งลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับตัวรับผลกระทบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิรไท สันติประภพ

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024: BRAVE NEW WORLD เศรษฐกิจไทย ไล่กวดโลกใหม่ ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมเวทีเสวนาหัวข้อ ‘Staying Ahead with Climate Change Adaptation รับมือโลกรวนอย่างไรให้เท่าทัน’ โดยชี้ถึงทิศทางการรับมือภาวะโลกรวนของไทยว่าต้องมุ่งเน้นการสร้างแผนรับมือแบบบูรณาการ (Integrated Plan) และต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง

 

โดยสิ่งสำคัญสำหรับแผนรับมือภาวะโลกรวนแบบบูรณาการ นอกจากการ Mitigation หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย Net Zero และบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกรวน ยังต้องมี Adaptation หรือการปรับตัวเพื่อป้องกันและรับมือผลกระทบจากภาวะโลกรวน เพราะไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

 

ในส่วนของ Adaptation นั้น ดร.วิรไท กล่าวว่าจำเป็นต้องอาศัยบริบทท้องถิ่นเยอะ ซึ่งกรณีของไทยคือไม่ค่อยมีการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง และการดำเนินการต่างๆ เพื่อรับมือภาวะโลกรวนจะเป็นการตัดสินใจแบบบนลงล่าง (Top Down)

 

โดยเขาชี้ว่าหน่วยงานรัฐทั้งหมดต้องให้ความสำคัญต่อการคำนึงถึง Adaptation ในการดำเนินมาตรการต่างๆ ว่าจะมีผลต่อการปรับตัวรับมือภาวะโลกรวนอย่างไร เช่น การพัฒนาพันธุ์พืชอย่างไรให้ทนต่อภัยแล้ง หรือการพัฒนาระบบชลประทานอย่างไรให้รับมือปรากฏการณ์ Rain Bomb หรือฝนตกที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน

 

นอกจากแผนดำเนินการแล้ว อีกสิ่งสำคัญคือการคำนวณงบประมาณ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถจัดสรรทรัพยากรสำหรับการรับมือภาวะโลกรวนได้อย่างเท่าทันและเพียงพอ โดยจะต้องมีการลงทุนสูงมากทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อให้มีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ที่ประเทศต้องการสำหรับรองรับแผนดำเนินการเหล่านี้

 

อย่างไรก็ตาม ดร.วิรไท ชี้ว่าเราต้องกล้ายอมรับความจริงว่าการดำเนินการเกี่ยวกับแผนปรับตัวรับมือภาวะโลกรวนของไทยนั้นช้ากว่าประเทศอื่นๆ เป็นสิบปี

 

“เราต้องกล้ายอมรับความเป็นจริงว่าวันนี้เราช้าไปเป็นสิบปีถ้าเทียบกับประเทศอื่น ประเทศระดับการพัฒนาใกล้เคียงหรือด้อยกว่าเราเขามีแผนปรับตัวรับมือโลกรวนที่ไปไกลกว่าเรามาก และนำไปสู่การปฏิบัติจริง”

 

ส่วนการทำให้เกิดการปฏิบัติจริงนั้น เขาเน้นย้ำสิ่งสำคัญคือการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ

 

“โลกรวนไม่ได้มีทางออกหรือทางแก้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง จะต้องประสานงานข้ามกระทรวง ระหว่างรัฐบาลกลางไปสู่ท้องถิ่นและชุมชน ต้องทำให้เกิดการประสานงานระหว่างภาครัฐและเอกชน”


 

🔥Rerun Ticket โอกาสสุดท้ายของงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024🔥

 

ซื้อบัตรรับชมออนไลน์สุดคุ้ม! ราคาพิเศษเพียง 990.- https://bit.ly/tsef2024UDRerunVT

🎟เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 – 18 พฤษภาคม 2568

⚡เปิดให้เข้ารับชมนานถึง 6 เดือนเต็ม!

⚡พร้อมรับสรุปเนื้อหา Key Takeaway ทุกหัวข้อ

⚡ชมออนไลน์สะดวกจากเว็บไซต์ อยู่ที่ไหนก็ดูได้

⚡เก็บครบประเด็นเศรษฐกิจแห่งอนาคต 3 วันเต็ม กว่า 30 เซสชัน

⚡ ฟังผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจากทุกแวดวงของไทย เศรษฐกิจ / ภูมิรัฐศาสตร์ / AI / EV

The post ดร.วิรไท ชี้ว่าไทยต้องสร้างแผนรับมือโลกรวนแบบบูรณาการ มุ่งลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับตัวรับผลกระทบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปานปรีย์เปิดแผนที่อำนาจเศรษฐกิจปี 2025 ไทยอยู่ตรงไหนและควรกำหนดยุทธศาสตร์อย่างไร https://thestandard.co/economic-power-2025-thailand-strategy/ Sun, 17 Nov 2024 11:59:43 +0000 https://thestandard.co/?p=1009827 ปานปรีย์

ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรี […]

The post ปานปรีย์เปิดแผนที่อำนาจเศรษฐกิจปี 2025 ไทยอยู่ตรงไหนและควรกำหนดยุทธศาสตร์อย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ปานปรีย์

ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Geoeconomics 2025: Mapping the Future of Economic Power เปิดแผนที่อำนาจเศรษฐกิจปี 2025 ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024: BRAVE NEW WORLD เศรษฐกิจไทย ไล่กวดโลกใหม่ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

โดยปานปรีย์แบ่งปันและแลกเปลี่ยนมุมมองด้านภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบัน รวมทั้งเสนอแนวทางการรับมือและการเตรียมพร้อม เพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2025 ที่ใกล้จะมาถึง

 

ทีมงาน THE STANDARD ถอดความสปีชนี้แบบคำต่อคำ

 

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งโรคระบาด ปัญหา Global Warming รวมทั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งใน Geoeconomics ความตึงเครียดของสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนก็สร้างผลกระทบภาพรวมในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน หรือเทคโนโลยี ที่มีผลกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงส่งผลให้เราต้องมาเข้าใจสิ่งนี้ นั่นคือแผนที่อำนาจเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

 

เริ่มกันที่จีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจฝั่งเอเชียที่เชื่อมต่อกับประเทศอื่นในหลายมิติ ทั้งด้านการเมืองอย่าง BRICS และโครงการต่างๆ เช่น Belt and Road Initiative เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งนโยบาย BRICS ก็ค่อนข้างจะมีความชัดเจนในการลดการพึ่งพาจากชาติตะวันตก ในปีนี้เจ้าภาพการประชุมอย่างรัสเซียถึงกับมีข้อเสนอ De-dollarization กับกลุ่มประเทศสมาชิก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง

 

 

จะเห็นว่าประเทศที่ประชากรมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกต่างอยู่ใน BRICS เป็นจำนวนมาก และไทยกำลังสมัครเข้าเป็นสมาชิกในนั้น ในแง่ความสัมพันธ์กับไทย จีนยังเป็นคู่ค้าสำคัญของเรา และประเทศในอาเซียนตามข้อตกลง RCEP ที่ทำให้การค้าหมุนเวียนของเราในอาเซียนมีสภาพคล่องสูงมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น จีนยังพยายามขยายอำนาจทางเศรษฐกิจผ่านโครงการ Belt and Road Initiative โดยการสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งเพื่อเติบโตในภูมิภาค

 

 

แต่ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง Belt and Road Initiative อาจเป็นการสร้างภาระหนี้ให้กับประเทศในระยะยาวด้วย โดยหากมีภาระหนี้กับจีน ประเทศนั้นๆ จะต้องสำรองหยวนมากขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นคือ De-dollarization รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับจีนที่เป็นโรงงานของโลกในการส่งสินค้าสู่ตลาดโลกอย่างรวดเร็ว

 

พอหันกลับมามองสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจขั้วเดิมก็ปรับตัวสู้กับการเติบโตและการขยายอิทธิพลของจีนในฐานะผู้นำระเบียบโลก หรือ World Order อย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน

 

 

นอกจากสหรัฐฯ จะรวมกลุ่มกับ OECD ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมในหมู่ประเทศสมาชิกของตนแล้ว โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญที่มากขึ้นของกลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย จึงริเริ่มกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นั่นก็คือ IPEF หรือ Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity เพื่อสร้างความได้เปรียบในภูมิภาคที่สำคัญนี้ โดยเฉพาะขณะที่ผมดำรงตำแหน่ง ผมพูดคุยและสื่อสารกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ จึงเข้าใจได้ว่าทำไมพื้นที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญมาก

 

 

ผมอยากให้ทุกท่านลองมองโลกอีกด้านหนึ่งของแผนที่ หากจีนอยู่ซ้าย สหรัฐฯ อยู่ขวา IPEF คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งทางด้านธุรกิจและความมั่นคง โดยล้อมรอบจีนในเกือบทุกด้าน เราจึงต้องวางตัวบนเวทีโลกให้เหมาะสม เนื่องด้วยอำนาจของทั้งสองด้านต่างมีเราเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ ที่ผมต้องพูดแบบนี้ เพราะจากประสบการณ์ของผม ก่อนหน้านี้โลกของเรามองเศรษฐกิจเหนือการเมือง ในยุคหนึ่งที่จีนเริ่มเปิดประเทศเพราะรู้ว่าการค้านั้นสำคัญ ทุกประเทศต่างเปิดรับและยอมรับเข้า WTO ถึงแม้ว่าจีนจะยังคงมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็ตาม

 

แต่เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาจะใช้ Geoeconomics นำ Geopolitics เช่น กลับมาทำสงครามการค้า โดยตั้งกำแพงภาษีเพื่อกีดกันสินค้าจากบางประเทศ ลามไปถึงมาตรการสกัดกั้นบริษัททุนเทคโนโลยีขั้นสูงจากจีน โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ หน่วยประมวลผลควอนตัม และปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เราเรียกว่า AI จากโลกยุคใหม่ที่เคยเป็น Free Trade หรือการค้าเสรี เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก จาก Globalization จึงกลับกลายเป็น Deglobalization มากขึ้นทุกวัน

 

 

จากภาพนี้กลุ่มประเทศ OECD เป็นสีน้ำเงิน และ BRICS เป็นสีแดง ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่มีการทับซ้อนของประเทศเลย นี่คือฉากทัศน์ของโลกในปัจจุบัน และถ้ามองตามข้อตกลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน การไหลเวียนของเงินทุน หรือการพัฒนาเทคโนโลยีและพันธมิตรต่างๆ ที่ทับซ้อนกันอยู่ สีเหล่านั้นจะเหลื่อมกันในบางพื้นที่ และเราเป็นหนึ่งในนั้น ท่ามกลางข้อเสนอจากทุกฝ่าย สิ่งสำคัญที่เราต้องมองคือแล้วไทยควรทำอย่างไร

 

 

เรื่องที่จะนำเสนอนี้เป็นมุมมองส่วนตัวของผม ในฐานะคนที่ทำงานด้านเศรษฐกิจและเคยดำรงตำแหน่งในด้านการต่างประเทศมาก่อน จึงขอพูดเรื่องนี้ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดในปัจจุบัน

 

ส่วนตัวผมมองว่าเราควรบริหารความสัมพันธ์อย่างมียุทธศาสตร์ นั่นคือสิ่งที่ผมยึดมาตลอดการทำงานตลอด 8 เดือน และมองไปในอนาคตข้างหน้าด้วย ที่การบริหารงานภาคเศรษฐกิจจะมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เราเรียกว่า Strategic Neutrality หรือการวางตัวเป็นกลางอย่างมีกลยุทธ์ ถ้าเป็นกลางเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องขยับคุยกับใครก็เป็นกลางได้ แต่ความได้เปรียบทางการค้าหรือโอกาสต่างๆ ก็อาจหายไป เพราะชาติอื่นมองว่าเราไม่ชัดเจน ยิ่งในยุคที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ การที่เราสามารถรับโอกาสได้จากทุกฝ่าย ค้าขายได้กับทุกทาง จะทำให้เรามีความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน เพราะในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน หากต้องการจะเติบโต เราจำเป็นจะต้องมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกมาก รวมทั้งเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันกับตลาดโลกไปพร้อมๆ กัน

 

 

เราต้องเปิดโอกาสให้มากที่สุดทั้งระดับประเทศและภาคเอกชน เพราะแต่ละคนมีคู่ค้าที่ไม่เหมือนกัน หากเราส่งออกไปที่ใดที่หนึ่งแล้วมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นจากการเลือกข้างในระดับชาติ เราควรต้องป้องกันความเสี่ยงโดยการกระจายการค้าไปหลายที่หรือมีความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ก่อน เพื่อให้เรามีโอกาสมากขึ้น

 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เช่น การเปิดโอกาสด้านการท่องเที่ยวด้วยการทำฟรีวีซ่าจาก 93 ประเทศรวมจีนและอินเดีย เพิ่มรายได้ให้กับเศรษฐกิจในประเทศ, การเจรจาเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ Digital Economy และเซมิคอนดักเตอร์กับสหรัฐฯ ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้เรามีโอกาสกับการลงทุนต่างประเทศ เช่น Google และ NVIDIA ที่เริ่มมาลงทุนในไทยมากขึ้น หากเราเดินหน้าต่อทางด้าน FTA กับประเทศในยุโรปและสหราชอาณาจักร เราจะแข่งขันเรื่องการส่งออกได้อย่างสูสีกับเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามมากขึ้น ส่งผลให้ GDP ของเราจะสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

แต่เราจะสร้างโอกาสไม่ได้เลยถ้าเรากับคู่ค้ามีมาตรฐานต่างกัน เพราะแต่ละประเทศไม่ได้มองเพียงแค่สินค้าหรือต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่ยังรวมไปถึงความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อม สิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา และสิทธิมนุษยชน ซึ่งหากเรามีความสัมพันธ์ที่ดี สามารถแสดงให้โลกเห็นได้ว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นจริงๆ เช่น กรณีการจับตัวประกันชาวไทยของฮามาส ซึ่งเราก็สามารถเจรจาให้ยอมปล่อยตัวประกัน รวมถึงอพยพชาวไทยกลับมาได้โดยความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งได้รับความชื่นชมจากประเทศฝั่งที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก หรือแม้กระทั่งการช่วยเหลือทางด้านมนุษยชนกับชาวเมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากสงครามก็เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคือตัวอย่างของการสร้างโอกาสการเติบโตร่วมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะในโลกที่เกิดการแบ่งขั้ว เราต้องสร้างดุลยภาพ ไม่พึ่งพาใครมากเกินไป เพราะไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าใครจะเป็นผู้วาง World Order ของทศวรรษหน้า

 

 

ประเด็นสุดท้ายที่ผมขอกล่าวถึงคือผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าทรัมป์ชนะการเลือกตั้งและจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป

 

การที่ทรัมป์ 2.0 ขึ้นเป็นประธานาธิบดีจากนโยบาย America First เศรษฐกิจโลกจะเกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ด้วยการแข่งขันทางการค้าระหว่างมหาอำนาจคือสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจะทวีความเข้มข้นไปอีก รวมทั้งประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐฯ ด้วย ในฐานะที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 และได้ดุลการค้า เป็นไปได้ว่าจะถูกตั้งกำแพงภาษีเช่นกัน เราจึงต้องติดตามภาษีของแต่ละประเภทสินค้าของเราให้ดี และพร้อมเจรจาเพื่อคงความได้เปรียบด้านการค้าของไทยในอนาคต

 

ส่วนการแบ่งขั้วหรือที่เราเรียกกันว่า Decoupling จากสหรัฐฯ ต่อจีน รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะถอดถอนจีนจาก MFN ที่มีการปฏิบัติต่อคู่ค้าอย่างเท่าเทียมกันนั้น อาจเกิดประโยชน์กับไทย เพราะฐานการผลิตและการลงทุนจะย้ายออกจากจีน ซึ่งจะมีหลายอุตสาหกรรมที่มีโอกาส ได้แก่ รถยนต์, คอมพิวเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์, เครื่องดื่ม รวมทั้งภาคเกษตรด้วย

 

แต่ไม่ได้แปลว่าโอกาสนี้จะเกิดประโยชน์กับเราแน่นอน เพราะนโยบายหลักของทรัมป์มีความเชื่อว่ามี Free Trade ได้จะต้อง Fair Trade ก่อน ทุกประเทศอาจต้องปรับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ใหม่ทั้งหมด เพราะแนวโน้มการเจรจาจะเปลี่ยนรูปแบบจากพหุภาคีเป็นเลือกเจรจาเป็นคู่และ Mini Trade Agreement แทน เดิมมี IPEF ก็อาจยกเลิก เหมือนที่เคยถอนตัวจาก CPTPP มาก่อนแล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้เจรจาการค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญอย่างไม่เคยมีมาก่อน เราต้องพร้อมทั้งยุทธศาสตร์และประสิทธิภาพ เพื่อชิงจังหวะของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เพื่อประเทศไทย

 

มาถึงตรงนี้ผมขอสรุปว่า ในปีที่กำลังจะมาถึงนี้โลกจะยังคงมีความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พวกเราจะต้องเตรียมพร้อมไว้ทั้งเชิงรับและเชิงรุก การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมียุทธศาสตร์จะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ผมมองว่าควรเปิดโอกาสให้ตัวเอง ไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง คุยได้ทุกฝ่าย เข้าได้ทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดสงครามหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าการค้าจะเป็นเช่นไร เราจะต้องเดินต่อไปให้ได้

The post ปานปรีย์เปิดแผนที่อำนาจเศรษฐกิจปี 2025 ไทยอยู่ตรงไหนและควรกำหนดยุทธศาสตร์อย่างไร appeared first on THE STANDARD.

]]>