Thailand – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sat, 30 Aug 2025 03:25:55 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ic! berlin เผย ‘ไทย’ คือตลาดอันดับ 2 ของโลก ได้อานิสงส์จากกระแส ‘Quiet Luxury’ ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันในยุคเศรษฐกิจซบ https://thestandard.co/ic-berlin-quiet-luxury-strategy/ Sat, 30 Aug 2025 03:25:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1113457 ic-berlin-quiet-luxury-strategy

เศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้มีความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่ […]

The post ic! berlin เผย ‘ไทย’ คือตลาดอันดับ 2 ของโลก ได้อานิสงส์จากกระแส ‘Quiet Luxury’ ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันในยุคเศรษฐกิจซบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ic-berlin-quiet-luxury-strategy

เศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้มีความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าลักชัวรีหลายประเภท อาทิ กระเป๋าและเสื้อผ้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ท่ามกลางความผันผวนนี้ กระแส ‘Quiet Luxury’ หรือความหรูหราแบบเรียบง่ายที่ไม่เน้นการแสดงโลโก้ กลับกลายเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ทำให้แบรนด์แว่นตา ic! berlin จากเยอรมนีได้รับผลกระทบน้อยกว่าแบรนด์หรูประเภทอื่นแม้อยู่ในตลาดนี้เช่นกัน

 

ดาวิเด ลุนกี้ ผู้จัดการทั่วไปของ ic! berlin ประเทศเยอรมัน ให้ภาพรวมว่า ic! berlin มีตลาดที่แข็งแกร่งในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา และในเอเชีย ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุด และกำลังขยายตลาดในตะวันออกกลาง

 

ภาพความสำเร็จที่สวนกระแสนี้เห็นได้ชัดเจนที่สุดในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดที่มียอดขาย ic! berlin สูงเป็นอันดับสองของโลกในเชิงปริมาณ รองจากเยอรมนีเท่านั้น โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากความแข็งแกร่งของการทำตลาดที่สม่ำเสมอ, ความเข้าใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น, การใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ไม่พบในประเทศอื่น และการจัดกิจกรรมที่สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค

 

เมื่อมองมาที่ตลาดไทย ประพันธ์ ผดุงเกียรติสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย กล่าวว่า แม้ว่าไทยจะเผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ท้าทายและกำลังซื้อที่ลดลงจากปัจจัยต่างๆ แต่ ic! berlin กลับได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในบริษัท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแผนการตลาดที่ยั่งยืนตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา

 

สำหรับภาพรวมตลาดแว่นตาในประเทศไทยมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท โดย ic! berlin มีจุดขายประมาณ 170 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยพาร์ทเนอร์ และมีร้านค้าแบรนด์โดยตรง 3 แห่ง 

 

ยอดขายของ ic! berlin ในไทยปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะลดลง 20-30% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับภาพรวมของ อายลิ้งค์ วิชั่น ที่ประเมินว่าจะมียอดขายลดลง 25-30% จากยอดรวมประมาณ 3,000 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยผลกระทบมาจากเรื่องกำลังซื้อเป็นหลัก

 

ประพันธ์ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคไทยว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยเปลี่ยนกรอบแว่นตาประมาณ 2-3 ปีต่อครั้ง และแว่นกันแดดประมาณ 1-2 ปีต่อครั้ง โดยในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี สินค้าแฟชั่นจะได้รับผลกระทบก่อน เพราะผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์

 

จากพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ ic! berlin อยู่ในช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไปจนถึงประมาณ 70 ปี โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงอายุ 30-40 ปี ซึ่งมีกำลังซื้อและอำนาจในการใช้จ่ายสูงสุด ราคาขายปลีกของกรอบแว่นตา ic! berlin อยู่ที่ประมาณ 16,000 บาท (ไม่รวมเลนส์) และบางรุ่นอาจสูงถึง 23,000-25,000 บาท

 

และหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่สร้างความสำเร็จในไทยคือการใช้แบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยล่าสุดได้ต่อสัญญากับ หมาก – ปริญ สุภารัตน์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ประพันธ์ ระบุว่าการใช้ ‘โลคัล แบรนด์แอมบาสเดอร์’ ประสบความสำเร็จเกินคาดในการสร้างยอดขายและการรับรู้ในวงกว้าง

 

นอกจากการสร้างความต่อเนื่องผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง อายลิ้งค์ วิชั่น ได้เปิดตัวแว่นตาสองคอลเลกชันใหม่พร้อมกัน ได้แก่ คอลเลกชันที่ร่วมมือกับ Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG รุ่นที่ 6 และคอลเลกชันหลัก Fall/Winter 25/26

 

สำหรับทิศทางในอนาคต ic! berlin  มีการวางแผนเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ โดยดาวิเด กล่าวว่า Marcolin ซึ่งเข้าซื้อกิจการ ic! berlin ในปี 2023 มีเป้าหมายในการรีแบรนด์และวางตำแหน่งใหม่ เพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่เป็นสากลและสอดคล้องกันทั่วโลก รวมถึงการสื่อสารถึงความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์

 

การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการรีแบรนด์ครั้งแรกที่ทำอย่างเป็นระบบในรอบ 25-30 ปี ในอดีตแบรนด์เคยผูกติดกับภาพลักษณ์เบอร์ลิน เยอรมนี ซึ่งดูแข็งแกร่งและมีความเป็น ‘วิศวะกรรม’ แต่ปัจจุบันต้องการหลีกหนีภาพลักษณ์ดังกล่าวเพื่อสร้างความเป็นแบรนด์ลักซ์ชูรีระดับนานาชาติ

 

ขณะที่ประพันธ์ เผยแผนการตลาดในประเทศไทยอีก 3-5 ปีข้างหน้า ว่าจะมีการเปลี่ยนแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ เพื่อรีเฟรชแบรนด์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยจะเลือกผู้ชายที่อายุน้อยกว่า หมาก-ปริญ ซึ่งปัจจุบันสัญญาจะหมดลงในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมปีหน้า แอมบาสเดอร์คนใหม่จะต้องเป็นดาราหรือนักร้องที่มีภาพลักษณ์สะท้อนถึงความหรูหรา ยั่งยืน และความเป็น Quiet Luxury

 

นอกจากนี้ Marcolin จะเข้ามากำกับดูแลกระบวนการถ่ายทำแคมเปญและการเลือก KOL หรืออินฟลูเอนเซอร์อย่างใกล้ชิด โดยเน้นผู้ที่เป็นผู้นำในกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น สถาปนิก มากกว่าอินฟลูเอนเซอร์แฟชั่นทั่วไป

 

แผนอื่นๆ ได้แก่ การรีเฟรชจุดขายหน้าร้านทุกแห่งด้วยดิสเพลย์ใหม่ที่ออกแบบจากต่างประเทศ เพื่อให้ได้ภาพลักษณ์ที่ตรงกับมาตรฐานเดียวกัน และเพิ่มจำนวนร้าน ic! berlin Shop ให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายจะเปิดเพิ่ม 2 จุดในปีหน้า รวมเป็น 5 จุด ซึ่งสถานที่ตั้งของร้านควรอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ระดับนานาชาติ

 

ในส่วนของงบประมาณการตลาดสำหรับ ic! berlin โดยเฉพาะในปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเพิ่มการโปรโมทแบรนด์แอมบาสเดอร์และแคมเปญสุดท้ายกับ หมาก-ปริญ

The post ic! berlin เผย ‘ไทย’ คือตลาดอันดับ 2 ของโลก ได้อานิสงส์จากกระแส ‘Quiet Luxury’ ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันในยุคเศรษฐกิจซบ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ในวันที่ไทยยังนิ่ง? 50 ปีหลังไฟสงคราม เวียดนามเดินหน้าสู่ ‘เสือเศรษฐกิจเอเชีย’ ด้วยแผนปฏิรูปประเทศครั้งประวัติศาสตร์ https://thestandard.co/vietnam-economic-powerhouse/ Fri, 29 Aug 2025 13:18:44 +0000 https://thestandard.co/?p=1113362 vietnam-economic-powerhouse

หัวข้อในเนื้อหานี้   การปฏิวัติมหัศจรรย์ เมื่อถึงเ […]

The post ในวันที่ไทยยังนิ่ง? 50 ปีหลังไฟสงคราม เวียดนามเดินหน้าสู่ ‘เสือเศรษฐกิจเอเชีย’ ด้วยแผนปฏิรูปประเทศครั้งประวัติศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
vietnam-economic-powerhouse

 

รูปถ่ายของเด็กผู้หญิงตัวนิดเดียววิ่งร้องไห้กระจองอแงในร่างกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ถูกเพลิงนรกจากระเบิดนาปาล์มที่ปูพรมถล่มหมู่บ้านของเธอที่ได้รับการขนานนามภาพว่า ‘Napalm Girl’ คือภาพจำที่แสนเจ็บปวดที่ชัดเจนที่สุดจากสงครามเวียดนามที่แสนโหดร้าย

 

แต่จากวันแห่งความมืดมนอนธการ เวลาผ่านล่วงมาถึง 50 ปีแล้ว ถึงภาพความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นแม้จะไม่มีวันถูกลบเลือน แต่เวียดนามเดินทางมาไกลแสนไกลแล้วจากวันนั้น

 

หลักฐานคือความเจริญที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วของพวกเขา โดยในปี 2024 อัตราการเจริญเติบโตของจีดีพีเวียดนามสูงกว่าในปี 1994 หรือ 30 ปีที่แล้วถึง 51 เท่า และเป็นชาติในอาเซียน (ASEAN) ที่มีอัตราการเติบโตของจีดีพีสูงที่สุด

 

สูตรไม่ลับของความสำเร็จในระดับพลิกโชคชะตาของชาติคือนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ ‘โด่ยเหมย’ (Doi Moi) ซึ่งถูกเสนอให้มีการใช้ตั้งแต่ปี 1986 และต้องใช้เวลาเกือบสิบปีกว่าความพยายามนั้นจะลงรากฝังลึกเป็นไม้ใหญ่ที่เริ่มผลิดอกออกผลเป็นความกินดีอยู่ดีของคนในชาติ

 

อย่างไรก็ดีเวลานี้เวียดนามไม่คิดที่จะหยุดแค่นี้ พวกเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการก้าว ไม่สิ บางทีต้องเรียกว่าการทะยานในแบบของชาติที่มีความทะเยอทะยานทางเศรษฐกิจ

 

จากโด่ยเหมยที่เป็นความมหัศจรรย์ครั้งแรกในวันนั้น เวียดนามกำลังจะสร้างความมหัศจรรย์ครั้งใหม่เพื่อการเป็น ‘เสือเศรษฐกิจ’ ตัวใหม่ของเอเชีย

 

 เวียดนาม เสือเศรษฐกิจใหม่

 

การปฏิวัติมหัศจรรย์

 

ในงานเลี้ยงฉลองที่นครโฮจิมินห์เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา โต เลิม (To Lam) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ

 

“ขอให้เราได้ก่อร่างสร้างตัวจากจิตวิญญาณของชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1975 และคุณค่ากับชัยชนะตลอด 40 ปีที่ผ่านมาภายใต้โด่ยเหมย”

 

คำว่าโด่ยเหมยมีความหมายว่า ‘การปฏิรูป’ หรือ ‘นวัตกรรม’ ซึ่งเป็นนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ถอดแบบมาจากนโยบายของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ประเทศจีนในยุคของเติ้งเสี่ยวผิง พญามังกรผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้นโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจนำทางประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 1978

 

สำหรับเวียดนาม นโยบายโด่ย เหมย ถูกประกาศเป็นครั้งแรกในการประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 6 ในปี 1986 และได้เริ่มอย่างจริงจังในยุคของนายกรัฐมนตรี หวอ วัน เกียต (Vo Van Kiet) ในระหว่างปี 1991-1997 ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่ง

 

แม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานถึง 40 ปีจากก้าวแรก และ 50 ปีจากวันที่ไม่มีคำว่าเวียดนามเหนือและใต้ก็ตาม

 

เมื่อถึงเวลาโด่ยเหมยจะผลิบานเอง

 

จากประเทศที่เจ็บปวดและบอบช้ำจากสงคราม เวียดนามค่อยๆพลิกฟื้นผืนดินทุกตารางของประเทศ ผ่านการค่อยๆเปิดประตูทีละบาน เริ่มจากการยกเลิกการคว่ำบาตรสินค้าเวียดนามของสหรัฐอเมริกาในปี 1994 ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่ต่างอะไรจากการเปิดประตูและกล่าวคำว่า ‘ซินจ่าว’ (สวัสดี) ต้อนรับการหลั่งไหลของทุนจากชาติตะวันตก

 

ก่อนที่เวียดนามจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในชาติสมาชิกของอาเซียนในปี 1995 ทำให้ได้สิทธิ์ในการเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (WTO) ในปี 2007 และการตั้งโรงงานขนาดยักษ์ของ Samsung เพื่อผลิตโทรศัพท์มือถือในปี 2009 ซึ่งใช้เงินลงทุนมากถึง 2.32 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.56 แสนล้านบาท)

 

และนับจากปี 2010 เป็นต้นมาเวียดนามได้กลายเป็นชาติผู้ผลิตที่สำคัญของโลกจากการที่แรงงานในประเทศจีนมีค่าแรงที่สูง จนเวียดนามเป็นผู้นำของเทรนด์ ‘China Plus 1’  ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ Samsung เท่านั้นที่เข้ามา แต่รวมถึง Apple ที่นับจากปี 2012 เป็นต้นมีการจ้างซัพพลายเออร์จากเวียดนามมากถึง 35 รายในปัจจุบัน ซึ่งมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่าไทยที่มีซัพพลายเออร์ 24 ราย

 

ขณะที่ภาคการส่งออกของเวียดนามมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ และจีน สองชาติมหาอำนาจ โดยเวียดนามส่งออกสินค้าไปจีนในปี 2024 ด้วยอัตราที่เติบโตจากปี 2012 ถึง 4 เท่า ซึ่งสูงกว่าไทยหรือมาเลเซีย

 

ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นชาติที่เวียดนามทำรายได้จากการส่งออกสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งนั้นในปี 2024 มีการเติบโตจากปี 2012 มากถึง 6 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติในยุคของประธานาธิบดี บารัค โอบามา (2009-2017) และทำให้เป็นชาติที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลกต่อจากจีน, สหภาพยุโรป และเม็กซิโก

 

ถึงอย่างนั้นเวียดนามกลับไม่ได้มัวแต่หลงใหลและชื่นชมกับความสวยงามทางตัวเลขเศรษฐกิจ

 

ในทางตรงกันข้ามพวกเขาตระหนักว่านี่คือโอกาสสำคัญที่จะนำพาชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

 

ยุคสมัยใหม่กำลังจะมาถึงแล้ว

 

 เวียดนาม เสือเศรษฐกิจใหม่

ภาพ : AFP PHOTO/HOANG DINH Nam / AFP PHOTO / HOANG DINH NAM

 

ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์

 

โต เลิม ประกาศในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงเส้นทางต่อไปที่เวียดนามจะก้าวเดิน หมุดหมายใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศหลังจากผ่านพ้นการรวมชาติมาครบ 50 ปี และ 40 ปีของการปฏิรูปโด่ยเหมย

 

“เวียดนามกำลังเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของชาติ” คำประกาศจากผู้นำสร้างความฮึกเหิมให้แก่คนในชาติได้อย่างมาก 

 

ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ (Era of National Rise) นั้นคาดว่าจะมีการเปิดฉากในช่วงการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งชาติครั้งที่ 14 ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงต้นปี 2026 ที่กำลังจะถึงนี้ โดยที่มีเป้าหมายหลายประการด้วยกัน

 

เริ่มจากอย่างแรกคือการทำให้ประชาชนมั่งมี ประเทศชาติมั่นคง รักษาไว้ซึ่งระบอบสังคมนิยม และยืนหยัดทัดเทียมชาติมหาอำนาจของโลกในทวีปทั้ง 5 ให้ได้

 

ภายในปี 2030 ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พวกเขาจะต้องเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีความก้าวหน้าทางภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ปากท้องของประชาชนต้องดี ต้องมีรายได้ปานกลางระดับสูง 

 

ภายในปี 2045 ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งประเทศเวียดนาม พวกเขาจะต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ประชากรมีรายได้สูง

 

นี่คือความทะเยอทะยานที่น่ายกย่อง เพียงแต่เวียดนามเองก็ตระหนักดีว่าการจะไปให้ถึงจุดหมายนี้ไม่ง่าย มีสิ่งที่พวกเขาต้องทำอีกมากมาย 

 

หนึ่งในนั้นคือการตัดสินใจที่สำคัญและทำได้ยากยิ่ง เพราะพวกเขาต้องรื้อบ้านใหม่ในระดับ ‘โครงสร้าง’

 

 เวียดนาม เสือเศรษฐกิจใหม่

 

หากคิดจะบินขึ้นฟ้า

 

“เราต้องไม่ปล่อยให้หน่วยงานรัฐกลายเป็นที่หลบภัยของคนขี้เกียจ” คือคำประกาศกร้าวของ เหงียน ฮวา บินห์ (Nguyen Hoa Binh) รองนายกรัฐมนตรีแห่งเวียดนามในการประชุมกระทรวงมหาดไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว

 

ปัญหาของเวียดนามไม่ต่างจากอีกหลายประเทศที่ระบบราชการที่ควรจะเป็นระบบในการขับเคลื่อนประเทศกลับมีส่วนในการฉุดรั้งไม่ให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็นเพราะมีข้าราชการ คนทำงานที่มากเกินไป และไม่ได้ทำงานกันอย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นองค์กรที่มีความอุ้ยอ้ายเทอะทะ และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเรื่องปัญหาคอร์รัปชั่นที่เป็นมะเร็งกัดกินประเทศ

 

หากคิดจะบินขึ้นฟ้า ใยจะมาห่วงสัมภาระข้าวของที่ไม่จำเป็นกัน

 

การปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จึงเกิดขึ้น โดยจะมีการลดจำนวนกระทรวงและหน่วยงานรัฐ พร้อมปลดข้าราชการกว่า 1 แสนคน มุ่งกำจัดระบบราชการที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค

 

หน่วยงานระดับกระทรวงในเวียดนามจะลดลงจาก 19 กระทรวงเหลือเพียง 14 กระทรวง และ 3 องค์กรเทียบเท่าระดับกระทรวง ขณะที่หน่วยการปกครองระดับจังหวัดจะถูกควบรวมและปรับลดจาก 63 หน่วย เหลือเพียง 34 หน่วย หรือเทียบง่ายๆคือจะจาก 63 จังหวัดจะเหลือแค่ 34 จังหวัดเท่านั้นโดยมีแค่จังหวัดสำคัญ 11 แห่งที่คงสถานะเดิม เช่น ฮานอย, โฮจิมินห์, เว้, ฮอยอัน

 

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากแผนการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่นี้คือการที่จะมีข้าราชการและคนทำงานจำนวนมากที่ตกงานในระดับแสนคน ไม่นับในเรื่องของความสับสนวุ่นวายของการปฏิบัติงานที่ต้องปรับเข้ากับโครงสร้างการทำงานแบบใหม่

 

แต่ทั้งหมดก็เพื่อการก้าวไปสู่อนาคตข้างหน้า ที่เวียดนามไม่หวังจะก้าวเดิน แต่ต้องการจะทะยานไปให้ไกลกว่าชาติอื่นในอาเซียน

 

‘ซิลิคอนเบย์-ฮับการเงิน’ ที่ดานัง

 

อีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของเวียดนามคือการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของเมืองสำคัญใหม่

 

ดานัง เมืองตากอากาศริมทะเลในฝันที่หลายคนที่อยากจะไปเยือนและมีโอกาสได้เหยียบหาดทรายขาวละเอียด (และสะพานมือสีทอง) สักครั้งกำลังจะถูกพัฒนาให้ไปในรูปโฉมใหม่สู่การเป็นเมืองที่เป็นทั้งศูนย์กลางเทคโนโลยี การค้า และการเงินแห่งใหม่ไม่ใช่แค่ของประเทศ แต่เป็นของภูมิภาคเลยทีเดียว (อ่านเพิ่มเติม ดานังทุ่มสุดตัวปั้น ‘Silicon Bay’ สร้างแล็บ 2 พันล้าน-ดึงบริษัทชิประดับโลก พร้อมเสนอยกเว้นภาษี 5 ปีดึงคนเก่ง ปูทางฮับ ‘การเงิน-การค้า-เทคโนโลยี’ ของเวียดนาม

เรื่องนี้เลือง เหวียน มินห์ เจียต ประธานคณะกรรมการประชาชนเมืองดานัง ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Nikkei Asia ถึงแผนการจัดตั้งศูนย์กลางการเงินระหว่างประเทศ (IFC) เพื่อดึงดูดเงินทุนมาสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดย IFC ของดานังจะมุ่งเน้นไปที่การเงินสีเขียว (green finance) ฟินเทค และสินทรัพย์ดิจิทัล

 

โดยมี ‘หัวใจ’ 2 ดวงในแผนการนี้

 

หัวใจดวงแรกอยู่ที่ศูนย์กลางการเงินสำนักงานใหญ่ในโครงการ Danang Software Park 2 ซึ่งเป็นอาคารสูง 22 ชั้น พร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนเพิ่มเติมบนคาบสมุทรเซินจ่า และยังมีการสำรวจความเป็นไปได้ในการสร้างเกาะเทียมในอ่าวดานังอีกด้วย

 

และเพื่อเมืองสามารถส่งเสริมเศรษฐกิจที่เปิดกว้างมากขึ้น โดยผสมผสานทั้งการผลิต อีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกัน ดานังจึงได้รับอนุมัติให้จัดตั้งเขตการค้าเสรี (FTZ) แห่งแรกของเวียดนาม บนพื้นที่เกือบ 1,900 เฮกตาร์ ซึ่งจะช่วยให้

 

หัวใจอีกดวงคือ Software Park 2 พื้นที่ขนาด 93,000 ตารางเมตร ที่ถูกจัดสรรไว้สำหรับบริษัทในอุตสาหกรรม AI และเซมิคอนดักเตอร์โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันมหาศาลเพื่อให้ดานัง กลายเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี 

 

จากเมืองชายหาด ดานังจะเป็น ‘Silicon Bay’ โดยเวียดนามเองก็กำลังลงทุนสร้างห้องปฏิบัติการประดิษฐ์ (Fabrication lab) มูลค่าเกือบ 70 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.27 พันล้านบาท) และศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศ

 

เพื่อสร้างแรงดึงดูดใจที่รุนแรง ดานัง เป็นเมืองแรกในเวียดนามที่เสนอยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลา 5 ปีสำหรับบุคลากรในภาคเซมิคอนดักเตอร์และ AI รวมถึงการมอบเงินสนับสนุนพิเศษสำหรับนักวิทยาศาสตร์, เงินรางวัลสำหรับสิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยี และการสนับสนุนที่พัก

 

นอกจากนี้ยังมีการเร่งสร้างบุคลากรขึ้นเพื่อรองรับงานจำนวนมากในอนาคตโดยในปีที่แล้วมหาวิทยาลัย 19 แห่งในเมืองได้เปิดรับนักศึกษาในสาขาเซมิคอนดักเตอร์ถึง 600 คน และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 1,000 คนในปี 2025 ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนบริษัทในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าจากปี 2023

 

สิ่งเหล่านี้จะทำให้เวียดนามมีอาวุธครบมือมากขึ้นในเรื่องเศรษฐกิจ และไม่หวังพึ่งพาแค่เรื่องของการส่งออก การลงทุนจากต่างชาติ ไปจนถึงการท่องเที่ยวเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป

 

 เวียดนาม เสือเศรษฐกิจใหม่

 

ยักษ์ 250 ตน

 

เป้าหมายที่ท้าทายในระยะสั้นของเวียดนามยังมีเรื่องของการทำให้ตัวเลขจีดีพีของประเทศไปให้ถึง 8% ในปี 2025 และทะยานไปให้ถึงเลข ‘2 หลัก’ ในปี 2026

 

เรื่องนี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก และนั่นนำมาสู่การประกาศเดินหน้าลงทุนครั้งใหญ่ของรัฐบาลในโครงการขนาดยักษ์ที่เรียกว่า ‘เมกะโปรเจกต์’ ด้วยจำนวนเงินมากถึง 1.28 ล้านล้านดอง หรือกว่า 1.6. ล้านล้านบาท

 

จำนวนโครงการที่จะมีการลงทุนอยู่ที่ราว 250 โครงการซึ่งแบ่งออกเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการตัดถนน การขยายเส้นทางรถไฟ ระบบรถไฟ โดยเฉพาะโครงการสำคัญอย่างสะพาน Rach Mieu 2 ที่จะเชื่อมการเดินทางในตอนใต้ของประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ยังมีการสร้างสนามบินแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดด่งนายทางตอนใต้ของประเทศเพื่อทดแทนสนามบินแห่งเดิมในนครโฮจิมินห์ โดยคาดว่าจะเปิดใช้ภายในสิ้นปี 2025 นี้ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ซึ่งจะเป็นการลงทุนของทั้งของรัฐบาลเองและแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศด้วย

 

ในด้านเทคโนโลยียังมีการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) แห่งใหม่ของบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ Viettel ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญที่การพัฒนาอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย เซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และศูนย์ข้อมูล

 

เมกะโปรเจกต์เหล่านี้จะไม่ใช่เป็นเพียงแค่แรงผลักดันที่สำคัญของเวียดนาม แต่ยังดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามามากยิ่งขึ้นด้วย

 

ความท้าทายสู่เสือเศรษฐกิจเอเชีย

 

สุดท้ายเป้าหมายใหญ่ของเวียดนามคือการไปสู่การเป็น ‘เสือเศรษฐกิจ’ ตัวใหม่ของเอเชียให้ได้ภายในปี 2045 ที่ประเทศต้องเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีรายได้สูงอยู่ดีกินดี

 

อย่างไรก็ดีการจะไปให้ถึงจุดนั้นเองเวียดนามต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมาก เพราะการทำนั้นยากกว่าแค่การพูดเสมอ

 

ในเดือนเมษายน IMF ได้มีการปรับการคาดการณ์เกี่ยวกับการเติบโตของจีดีพีเวียดนามภายในเดือนตุลาคมปีนี้จาก 6.1% ลงมาที่ 5.2% ซึ่งแม้จะสูงกว่าจีดีพีของไทยที่คาดว่าจะเติบโตที่ 1.2% มาก แต่ก็ยังห่างไกลจาก 8% ที่เวียดนามตั้งเป้าหมายเอาไว้

 

ขณะที่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต แม้เวียดนามจะถูกมองว่าเป็นรายใหญ่ของโลกแต่ปัญหาที่ถูกคาดว่ากำลังจะมาถึงและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือการติดกับดักรายได้ปานกลาง โดย The Economist (ซึ่งถูกทางการเวียดนามแบนในเวลาต่อมา) คาดว่าภายในปี 2029 ค่าแรงของเวียดนามที่เคยเป็นแรงจูงใจสำคัญจะเพิ่มไปถึง 49% ทำให้ค่าแรงสูงขึ้นแต่ยังขาดความช่ำชองทางเทคโนโลยีทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้ามูลค่าสูงได้

 

ปัญหาอื่นๆ ยังมีอีกไม่น้อย เช่น การเริ่มขาดแคลนแรงงานจากชนบท และแรงงานที่ศึกษาในมหาวิทยาลัยมีเพียงแค่ 10% ของแรงงานทั้งหมด หรือแม้กระทั่ง ‘ภาษีทรัมป์’ มาตรการภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา ที่คาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตในระยะยาวของประเทศถึง 2.5% 

 

อย่างไรก็ดี ด้วยเสถียรภาพทางการเมือง และความมุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุทธการเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่รัฐบาลเวียดนามประกาศทำให้เป็นที่จับตามองของนานาประเทศ ไม่เพียงแต่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะไทยซึ่งกำลังถูกมองว่าโดนเวียดนามแซงไปเรียบร้อยแล้วหลังประเทศชะงักงันมาร่วม 20 ปี แต่รวมถึงนานาประเทศที่เริ่มสนใจและมองเวียดนามในมุมที่แตกต่างไปจากเดิม

 

ที่แน่ๆ คือเวียดนามเป็นชาตินักสู้ ผู้กลับมาจากความเจ็บปวดเจียนตายได้อย่างน่ามหัศจรรย์จากสงครามเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

 

ควันไฟ รอยเลือด คราบน้ำตา การสูญเสียในวันนั้นอาจจางลงแล้ว แต่มันยังเป็นพลังสำคัญในการไปสู่ความฝันที่จะเปลี่ยนเวียดนามให้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

 

ไม่ว่าในปี 2035 และ 2045 พวกเขาจะไปถึงจุดไหน จะทำได้อย่างที่ฝันไว้หรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าอย่างน้อยถ้าตั้งใจแล้วมันต้องดีกว่าในปี 2025 อย่างแน่นอน



ภาพปก : danefromspain / Getty Images

 

อ้างอิง:

 

The post ในวันที่ไทยยังนิ่ง? 50 ปีหลังไฟสงคราม เวียดนามเดินหน้าสู่ ‘เสือเศรษฐกิจเอเชีย’ ด้วยแผนปฏิรูปประเทศครั้งประวัติศาสตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ในสายตาทรัมป์ ไทยและกัมพูชา ใครสำคัญกว่ากัน ? https://thestandard.co/trump-thailand-cambodia-role/ Sat, 16 Aug 2025 09:36:25 +0000 https://thestandard.co/?p=1108112 trump-thailand-cambodia-role

หัวข้อในเนื้อหานี้ ประเด็นแรก กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตา […]

The post ในสายตาทรัมป์ ไทยและกัมพูชา ใครสำคัญกว่ากัน ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
trump-thailand-cambodia-role

หัวข้อในเนื้อหานี้


 

ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงยื่นมือเข้ามามีบทบาทในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ สหรัฐฯ คาดหวังผลประโยชน์อะไรกันแน่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เข้ามาเล่นบท ‘นายใหญ่’ สั่งการและข่มขู่ด้วยมาตรการภาษีสุดโหด เพื่อให้ทั้งคู่หยุดยิง 

 

นอกจากจะทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเป็น ‘ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ’ ตามที่ทรัมป์ประกาศยกย่องตัวเอง (รางวัลโนเบลสันติภาพคือ ความฝันใหญ่ของทรัมป์) แท้จริงแล้ว จะมี ‘เหตุผลอื่น’ แอบแฝงอยู่อีกหรือไม่ กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตาทรัมป์ และโดยเปรียบเทียบแล้ว ไทยยังคงมีความสำคัญเหมือนเดิมหรือไม่ บทความนี้จะมาวิเคราะห์ในแต่ละประเด็น ดังนี้

 

ประเด็นแรก กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตาทรัมป์

 

เมื่อมองผ่านเลนส์ภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันอิทธิพลกับจีน กัมพูชามีความสำคัญมากขึ้นในสายตาของทรัมป์ ที่ผ่านมากัมพูชามีความใกล้ชิดกับจีนอย่างแนบแน่น และแม้ว่ากัมพูชาจะเป็นรัฐขนาดเล็ก หากแต่มีทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์อ่าวไทย สามารถใช้เป็นจุดรองรับกำลังเรือและเชื่อมระบบขนส่งไปทะเลจีนใต้ รวมทั้งการเป็นแหล่งพลังงานทางทะเล สำหรับทรัมป์จะเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงมากกว่าประเด็นประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน จึงมีนโยบายต่อกัมพูชาที่แตกต่างกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยก่อนหน้า

 

จีนเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและด้านพลังงานในกัมพูชาหลายโครงการ รวมทั้งท่าเรือเรียมที่สามารถใช้เป็นฐานทัพเรือในการใช้ควบคุมเส้นทางเดินเรือ และใช้เพื่อปฏิบัติการทางทหารในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ จึงมองว่าการลงทุนของจีนในกัมพูชาเหล่านี้จะนำไปสู่ ‘การครอบงำเชิงโครงสร้าง’ (Structural Dominance) ของจีนในภูมิภาค หากปล่อยให้จีนครอบงำกัมพูชาเต็มที่ จะทำให้จีนมีฐานทัพหรือศูนย์ปฏิบัติการทางทหารในอ่าวไทย ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และพันธมิตร

 

การเข้าหากัมพูชาของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นการเจาะฐานอิทธิพลของจีน เพื่อลดความเสี่ยงและสกัดกั้นไม่ให้จีนผูกขาดจุดยุทธศาสตร์ด้านทะเลและพลังงานในภูมิภาคนี้

 

นอกจากนี้ แม้ว่ากัมพูชาจะเป็นแหล่งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เหตุผลที่ทรัมป์ยังคงสร้างสัมพันธ์กับกัมพูชา เนื่องจากผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจมีน้ำหนักมากกว่าปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทรัมป์จึงเลือกจัดการแต่ละปัญหาแบบ ‘แยกส่วน’ ออกจากประเด็นการเมืองและความมั่นคง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ ตราบใดที่กัมพูชายังมีคุณค่าทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ทรัมป์ก็พร้อมที่จะคบหาด้วย แม้ภาพลักษณ์ของกัมพูชาในบางมิติจะเป็นลบ

 

ทรัมป์มองว่า การยกระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นเรื่อง ‘เกมใหญ่’ ระหว่างมหาอำนาจ ส่วนประเด็นประชาธิปไตย รวมถึงสิทธิมนุษยชนหรือปัญหาสแกมเมอร์ ถือเป็นเพียง ‘เกมย่อย’ ที่จัดการได้ในภายหลัง

 

ประเด็นที่สอง ยุทธศาสตร์การดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก

 

ภัยคุกคามอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ คือ ‘จีน’ สหรัฐฯ จึงใช้แนวทาง ‘การทูตปิดล้อม’ (Encirclement Diplomacy) ผ่านการสร้างเครือข่ายพันธมิตรปิดล้อมจีน เพื่อโดดเดี่ยวจีนหรือจำกัดอิทธิพลของจีน และความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในครั้งนี้เช่นกัน ก็เพื่อดึงกัมพูชาออกจากการครอบงำของจีน

 

การเดินเกมของทรัมป์เพื่อดึงกัมพูชาออกจากวงโคจรของจีน ด้วยการใช้ ‘ยุทธศาสตร์การดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก’ (หรือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียพันธมิตร) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองและการทหารที่มุ่งลดทอนอำนาจของคู่แข่ง โดยการโน้มน้าวหรือบีบให้พันธมิตรของฝ่ายคู่แข่งสลับขั้วเปลี่ยนข้าง กลยุทธ์นี้อาจจะดำเนินการได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับบริบทและสถานการณ์ ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การสงครามจิตวิทยา การที่สหรัฐฯ เข้าใกล้กัมพูชาที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดจีน ก็เพื่อส่งสัญญาณว่า จีนไม่สามารถผูกขาดอิทธิพลในกัมพูชาได้อีกต่อไป

 

รัฐบาลทรัมป์พร้อมที่จะ ‘ทำดีล’ (Deal-Making) ผ่านเครื่องมือทางการค้าและความมั่นคง เพื่อที่จะดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก ในกรณีของกัมพูชา ทรัมป์ใช้วิธีการข่มขู่ว่าจะไม่เจรจาภาษีด้วย หากไม่ยอมหยุดยิงกับไทย และเมื่อกัมพูชายอมหยุดยิง ทรัมป์ก็ให้รางวัลด้วยการลดอัตราภาษีลงจากร้อยละ 49 เหลือร้อยละ 19 และทรัมป์ก็อาจจะแถมรางวัลพิเศษให้กัมพูชา เช่น การให้ความช่วยเหลือทางทหาร จากการที่กัมพูชาเป็น “เด็กดีและอวยเก่ง” ด้วยการเสนอชื่อทรัมป์เข้ารับรางวัลโนเบลสันติภาพ และการขึ้นภาพสรรเสริญเยินยอทรัมป์ติดบิลบอร์ดใหญ่ทั่วกรุงพนมเปญ

 

การที่ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชา ยังสะท้อนนัยเชิงสัญลักษณ์ว่า กัมพูชาจะไม่ถูกสหรัฐฯ เมินอีกต่อไป จากเดิมที่กัมพูชาถูกจัดอยู่ใน ‘วงนอก’ เพราะความใกล้ชิดจีน และทรัมป์ยังต้องการส่งสารตรงไปยังปักกิ่ง เพื่อให้เห็นว่า สหรัฐฯ พร้อมลงเล่นในเขตอิทธิพลของจีน

 

รมต.กลาโหมของสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชาในช่วงเวลาที่กัมพูชาจะเปิดฐานทัพเรือเรียม เพื่อให้เรือรบสหรัฐฯ เดินทางเข้าเทียบท่าเป็นครั้งแรก สหรัฐฯ และกัมพูชาอาจจะตกลงทำความร่วมมือทางทหารในรูปแบบต่างๆ ทั้งการฝึกร่วม การฝึกเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงการให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้กัมพูชามีทางเลือกอื่นนอกจากจีน/ลดการผูกขาดของจีน

 

นอกจากนี้ ในวาระครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตสหรัฐฯ-กัมพูชา ยังมีกิจกรรมต่างๆ ระหว่างกองทัพกัมพูชาและสหรัฐฯ ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย เช่น คณะผู้แทนกองทัพกัมพูชา นำโดย ฮุน มานิต (น้องชายฮุน มาเนต) เดินทางไปเยือนกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (United States Indo-Pacific Command : USINDOPACOM) เป็นต้น

 

ประเด็นที่สาม การเดินเกมปรับดุลอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล

 

ในมุมมองด้านความมั่นคง พื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเลมักจะเป็นสมรภูมิแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การขยับของสหรัฐฯ ผ่านการผูกสัมพันธ์กับกัมพูชามากขึ้น จึงเป็น ‘การปรับดุลอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล’ (Balance of Influence in Strategic Littoral Zones) และสะท้อนว่า มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะไม่ยอมปล่อยให้พื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเลอย่างอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ตกอยู่ในอิทธิพลของจีนแต่เพียงฝ่ายเดียว 

 

โดยเฉพาะฐานทัพเรือเรียม ในจังหวัดพระสีหนุ นอกจากจะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชาแล้วยังเป็นหนึ่งในหมากสำคัญในเกมภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การที่จีนมาช่วยกัมพูชาพัฒนาท่าเรือแห่งนี้ ย่อมส่งผลกระทบระยะยาวต่อความมั่นคง และดุลอำนาจในภูมิภาค

 

รัฐบาลทรัมป์จึงเลือกกัมพูชาเป็น ‘ฐานยุทธศาสตร์ใหม่’ ของสหรัฐฯ ในอินโดจีน เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ด้านความมั่นคง ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาภายใต้ฮุน มาเนต ก็พร้อมตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ (ยอมหักหลังจีน สลับขั้วมาคบกับสหรัฐฯ)

 

การขยับของมหาอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล จึงมีกัมพูชาเป็น ‘ตัวแปร สำคัญ’ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ทรัพยากรธรรมชาติ และเสรีภาพในการเดินเรืออีกด้วย

 

ข้อน่ากังวลคือ พื้นที่ Strategic Littoral Zones เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเปราะบางสูง การรักษาดุลอำนาจในพื้นที่ทางทะเลนี้ จำเป็นต้องอาศัยความสมดุลระหว่าง ‘การป้องปราม’ (Deterrence) และ ‘ความร่วมมือ’ (Cooperation) และควรใช้กฎหมายระหว่างประเทศและ ‘การทูตพหุภาคี’ เป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความขัดแย้ง แน่นอนว่า ความสำเร็จของการบริหารพื้นที่ Littoral อย่างยั่งยืนจะเป็นปัจจัยชี้วัดเสถียรภาพของระเบียบโลกในอนาคตด้วย

 

ที่สำคัญ สหรัฐฯ อาจจะเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนกัมพูชาในการอ้างสิทธิ์ทางทะเลซ้อนทับ เกาะกูดไทย-กัมพูชา หรือการสนับสนุนกัมพูชา (ในทางลับ) ผ่านกลไกกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การยื่นฟ้องต่อศาลระหว่างประเทศ

 

ประเด็นที่สี่ แหล่งพลังงาน คือ ‘ตัวแปร’ ในเกมภูมิรัฐศาสตร์อ่าวไทย

 

ในยุคทรัมป์ พลังงานและความมั่นคงถูกมองเป็นเรื่องเดียวกัน แหล่งพลังงานในอ่าวไทย ทำให้กัมพูชามีความสำคัญในสายตาของสหรัฐฯ การควบคุมแหล่งพลังงานหรือเส้นทางการขนส่งพลังงานสามารถสร้างอำนาจต่อรองและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ พลังงาน คือ “อาวุธในศตวรรษที่ 21” เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ประเทศใดที่ควบคุมพลังงานได้ มักมีอำนาจต่อรองสูง การแย่งชิงพลังงานจึงเป็น ‘แกนกลาง’ ของความขัดแย้งในหลายครั้ง

 

ที่ผ่านมา บริษัทพลังงานของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก สนใจเข้ามาลงทุนสำรวจและผลิตพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย–กัมพูชา (Overlapping Claims Area – OCA) ที่มีพื้นที่ทับซ้อนกว่า 27,960 ตารางกิโลเมตร และมีการประเมินว่า เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาการเจรจาเขตแดนฯ ทรัมป์จึงมองว่า หากไทย–กัมพูชาเจรจากันได้สำเร็จ จะเปิดโอกาสให้บริษัทสำรวจพลังงานของอเมริกันเข้ามาแข่งขันกับบริษัทของจีนได้มากขึ้น

 

โดยเฉพาะรัฐบาลทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นอย่างมาก และเน้นนโยบาย ‘Energy Dominance’ ทำให้มองว่า หากสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงทรัพยากรพลังงานในอ่าวไทย โดยมีฝ่ายกัมพูชามาเป็นพวก หรืออาจจะเสนอดีลแบบ 3 ฝ่าย (ไทย–กัมพูชา–สหรัฐฯ) เพื่อเร่งการพัฒนาร่วมกัน ก็จะลดโอกาสที่จีนจะเข้ามาผูกขาดแหล่งพลังงานในอ่าวไทยนี้ลงด้วย

 

ประเด็นสุดท้าย ความสำคัญของไทยจะลดลงในสายตาสหรัฐฯ หรือไม่

 

ในมุมมองทรัมป์ ไทยคือพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ ในฐานะ Major Non-NATO Ally มีการทำสนธิสัญญาพันธมิตร (Treaty Ally) และมีความร่วมมือทางการทหาร และการฝึกร่วม Cobra Gold มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น รัฐบาลทรัมป์อาจจะมองว่า ไทยมี ‘ความมั่นคง’ ในการอยู่ฝั่งสหรัฐฯ อยู่แล้ว ไทยไม่น่าจะ ‘หลุดมือ’ ไปอยู่ฝั่งจีนอย่างเต็มตัว สหรัฐฯ จึงไม่จำเป็นต้องทุ่มเทให้มากเท่าพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จีนมีอิทธิพลสูงอย่างกัมพูชา การเข้าใกล้กัมพูชา จึงเป็นการมุ่งเจาะ ‘ฐานอิทธิพลของจีน’ มากกว่าการที่กัมพูชาจะมาแทนที่ความสำคัญของไทย

 

อย่างไรก็ดี ทรัมป์ชอบที่จะทำดีลในแต่ละเรื่องเพื่อผลประโยชน์ (Transactional Diplomacy) มากกว่าจะเน้นรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวแบบผูกพัน ถ้าฝ่ายกัมพูชามีข้อเสนอการทำดีลที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนสหรัฐฯ อย่างชัดเจน (เช่น การให้ผลประโยชน์สหรัฐฯ มากกว่าจีน หรือการเปิดให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้ฐานทัพในกัมพูชา) รัฐบาลทรัมป์ก็พร้อมจัด Priority ให้ความสำคัญกับกัมพูชาเป็นอันดับต้น แม้จะมีความเสี่ยงที่จะกระทบความสัมพันธ์กับไทยในระยะยาว สำหรับทรัมป์ เป้าหมายหลัก คือ การดึงกัมพูชาออกจากจีน มากกว่าที่จะกังวลเรื่องความรู้สึกของไทย

 

โดยสรุป สหรัฐเข้ามามีบทบาทแฝงในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ด้านต่างๆ ของตัวเอง และใช้กัมพูชาเป็น ‘ตัวแปร’ เพื่อการแข่งขันอิทธิพลกับจีนในภูมิภาค สำหรับทรัมป์ กัมพูชาไม่ใช่เป็นเพียงรัฐขนาดเล็ก แต่จะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง การทหาร และแหล่งพลังงานทางทะเล ทางฝ่ายกัมพูชาก็เดินเกมเสี่ยงยอมหักจีน เพื่อเอาใจทรัมป์ สะท้อนว่า ความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับกัมพูชาน่าจะใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และพร้อมทำดีลในรูปแบบต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของกันและกัน ทำให้น่านน้ำอ่าวไทยและแหล่งพลังงานในทะเล จะทวีความสำคัญในสมรภูมิของภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลก

 

นอกจากนี้ นัยสำคัญจากการที่ รมต.กลาโหมของสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชา หลังจากที่ได้ผลักดันการหยุดยิงผ่านแรงกดดันทางการค้า อาจจะมีการ ‘ต่อยอด’ บทบาทเพื่อสันติภาพ ไปสู่การสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับกัมพูชา และเพื่อส่งสัญญาณถึงประเทศอื่นๆ ว่า การเข้าใกล้สหรัฐฯ สามารถให้ ‘ผลลัพธ์ที่จับต้องได้’ ทั้งในมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็กที่อยู่ในวงอิทธิพลจีนนั่นเอง

The post ในสายตาทรัมป์ ไทยและกัมพูชา ใครสำคัญกว่ากัน ? appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธาชี้ กัมพูชาเสี่ยงกว่าไทยปมภาษีสหรัฐฯ แนะสองฝ่ายหันหน้าเจรจา อย่าเอาเศรษฐกิจมาเสี่ยง https://thestandard.co/pita-economy-warning/ Mon, 28 Jul 2025 05:08:11 +0000 https://thestandard.co/?p=1100862 pita

วานนี้ (27 กรกฎาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค […]

The post พิธาชี้ กัมพูชาเสี่ยงกว่าไทยปมภาษีสหรัฐฯ แนะสองฝ่ายหันหน้าเจรจา อย่าเอาเศรษฐกิจมาเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>
pita

วานนี้ (27 กรกฎาคม) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่าน LinkedIn ระบุว่า จากการตรวจสอบความถูกต้องอย่างรวดเร็ว พบว่า

 

กัมพูชา

 

  • ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา: ประมาณ 12.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ค.ศ. 2024) 
  • GDP (ราคาตลาดปัจจุบัน): ประมาณ 46.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
  • การส่งออกของสหรัฐฯ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ GDP: = 27%

 

ประเทศไทย 

 

  • ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา: ประมาณ 55.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ค.ศ. 2024) 
  • GDP (ราคาตลาดปัจจุบัน): ประมาณ 546.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ 
  • การส่งออกของสหรัฐฯ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ GDP: = 10%

 

กัมพูชาส่งออกมูลค่า 12,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 27% ของ GDP ขณะที่ไทยส่งออกมูลค่า 55,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 10% ของ GDP

 

กัมพูชาเผชิญความเสี่ยงมากกว่าไทยในเรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ

 

รัฐบาลอาจเลือกที่จะทำสงคราม แต่ภาคเอกชนและแรงงานต่างหากที่ต้องรับผลกรรม ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเปราะบาง เรายอมเสี่ยงกับการสูญเสียเศรษฐกิจเกือบหนึ่งในสี่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรจริงหรือ

 

“นี่คือสงครามที่เราไม่อาจยอมรับได้ และไม่ควรถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้เราเลือกสันติภาพด้วยสำนึก ไม่ใช่เพียงเพราะเราถูกบังคับ ลดระดับความตึงเครียดและเจรจากัน” พิธาทิ้งท้าย

The post พิธาชี้ กัมพูชาเสี่ยงกว่าไทยปมภาษีสหรัฐฯ แนะสองฝ่ายหันหน้าเจรจา อย่าเอาเศรษฐกิจมาเสี่ยง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ฮุน มาเนตเตรียมเจรจากับฝ่ายไทยที่มาเลเซีย สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง-ผู้แทนจีนเข้าร่วม https://thestandard.co/hun-manet-ceasefire-talks/ Mon, 28 Jul 2025 02:55:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1100782 hun-manet-ceasefire-talks

ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาระบุว่า วันนี้ (28 กรกฎาคม […]

The post ฮุน มาเนตเตรียมเจรจากับฝ่ายไทยที่มาเลเซีย สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง-ผู้แทนจีนเข้าร่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
hun-manet-ceasefire-talks

ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาระบุว่า วันนี้ (28 กรกฎาคม) เขาจะเป็นผู้นำคณะผู้แทนกัมพูชาเข้าร่วมการประชุมพิเศษที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงาน ร่วมกับสหรัฐอเมริกา ที่เสนอตัวเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีผู้แทนจากจีนเข้าร่วมการเจรจาในครั้งนี้ด้วย 

 

จุดประสงค์ของการประชุมครั้งนี้คือ การบรรลุข้อตกลงยุติการยิงทันที ตามข้อเสนอแนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งผู้นำของทั้งกัมพูชาและไทยต่างเห็นพ้องถึงแนวทางดังกล่าว 

 

ฮุน มาเนตยังได้แสดงความขอบคุณต่อ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน 2025 ที่ได้มีบทบาทเป็นแกนนำในการประสานงานจัดการประชุมครั้งนี้

 

ทางด้าน มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า กัมพูชาและประเทศไทยมีกำหนดจะเริ่มการเจรจาระดับสูงที่ประเทศมาเลเซีย โดยเน้นย้ำถึงเป้าหมายเพื่อบรรลุการหยุดยิงโดยทันที 

 

ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่อยู่ในมาเลเซียจะช่วยสนับสนุนความพยายามในการสร้างสันติภาพครั้งนี้ ทั้งทรัมป์และรูบิโอยังคงมีส่วนร่วมในการพูดคุยกับคู่เจรจาของแต่ละประเทศ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดยิ่ง โดยสหรัฐฯ ต้องการให้ความขัดแย้งนี้ยุติโดยเร็ว

 

ภาพ: Hun Manet / Facebook

 

อ้างอิง: 

The post ฮุน มาเนตเตรียมเจรจากับฝ่ายไทยที่มาเลเซีย สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง-ผู้แทนจีนเข้าร่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Royal Thai Armed Forces has released a detailed timeline of yesterday’s border clashes with Cambodia, indicating that Cambodian forces initiated attacks in the early morning with rockets and artillery, resulting in 14 fatalities. https://thestandard.co/thai-cambodia-border-clash-casualties-violation/ Fri, 25 Jul 2025 10:18:12 +0000 https://thestandard.co/?p=1099986 thai-cambodia-border-clash-casualties-violation

July 25, 2025 – The Royal Thai Armed Forces has release […]

The post The Royal Thai Armed Forces has released a detailed timeline of yesterday’s border clashes with Cambodia, indicating that Cambodian forces initiated attacks in the early morning with rockets and artillery, resulting in 14 fatalities. appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-cambodia-border-clash-casualties-violation

July 25, 2025 – The Royal Thai Armed Forces has released a detailed timeline of yesterday’s border clashes with Cambodia, indicating that Cambodian forces initiated attacks in the early morning with rockets and artillery, resulting in 14 fatalities.

 

According to a summary report from the Department of Border Affairs, Major General Witthaya Laithomya, spokesperson for the Royal Thai Armed Forces Headquarters, stated that on July 24, 2025, clashes occurred at multiple points along the border between Thai and Cambodian forces. These engagements led to casualties among both civilians and military personnel, as well as damage to civilian property.

 

Key events unfolded as follows:

 

7:45 AM: Suranaree Task Force detected a Cambodian unmanned aerial vehicle (UAV) intruding into Thai airspace near Ta Muen Thom Temple. Subsequently, six armed Cambodian soldiers were seen approaching the barbed wire fence. Thai forces attempted negotiations to prevent engagement.

 

8:20 AM: Cambodian forces opened fire with small arms on a Thai operational base near Ta Muen Thom Temple, injuring 2 Thai soldiers.

 

9:30 AM: Cambodian forces fired a BM-21 rocket from Khao Laem, impacting Ban Khuen Lek in Buriram province, injuring 1 civilian. A rocket warhead was also found in a residential area of Phanom Dong Rak district, Surin province, resulting in 1 civilian fatality.

 

9:45 AM: More BM-21 rockets were fired into the Border Area Development Center in Kab Choeng district, Surin province.

 

10:00–10:22 AM: BM-21 rockets were detected impacting Moo Pa Base, Padung Base, and Hill 500 in Ubon Ratchathani province. Artillery shells also struck Pha Mor E Daeng, Chuk Ta, and nearby military bases, injuring 7 Thai soldiers.

 

10:28–10:40 AM: Continuous attacks were reported from the Cambodian side, with BM-21 multiple rocket launchers targeting Maria Base and Ban Phon Thong, Dom Pradit sub-district, Nam Yuen district, Ubon Ratchathani province, damaging 1 civilian home.

 

10:48–11:00 AM: Three BM-21 rockets landed in the vicinity of Moo Pa Base and a PTT gas station in Ban Phue, Kantharalak district, Sisaket province, causing damage to private businesses. 9 civilians were killed and 14 injured.

 

11:02 AM–12:21 PM: Heavy weapon clashes and shelling continued in the border areas of Buriram, Surin, and Ubon Ratchathani provinces, with some projectiles landing in residential areas and civilian homes.

 

Initial Damage Summary (As of 9:00 PM, July 24, 2025, according to the Ministry of Public Health)

 

Civilians:
Killed: 13
Seriously Injured: 7
Moderately Injured: 13
Lightly Injured: 12
Total: 45

 

Military Personnel:
Killed: 1
Seriously Injured: 6
Moderately Injured: 5
Lightly Injured: 3
Total: 15

 

The Royal Thai Armed Forces stated that Cambodia’s actions in attacking civilian areas constitute a violation of international humanitarian law, which dictates that military attacks must only target military objectives.

 

The Royal Thai Armed Forces strongly urges Cambodia to cease these actions that violate humanitarian principles and reaffirms that Thailand adheres to the rule of law and the values of universal humanitarianism, while maintaining its resolute commitment to defending national sovereignty.

The post The Royal Thai Armed Forces has released a detailed timeline of yesterday’s border clashes with Cambodia, indicating that Cambodian forces initiated attacks in the early morning with rockets and artillery, resulting in 14 fatalities. appeared first on THE STANDARD.

]]>
Thailand Sends Letter to UN over Escalating Dispute with Cambodia https://thestandard.co/thailand-un-letter-cambodia-attack/ Fri, 25 Jul 2025 09:15:06 +0000 https://thestandard.co/?p=1099955 thailand-un-letter-cambodia-attack

THE STANDARD has obtained a document sent by the Perman […]

The post Thailand Sends Letter to UN over Escalating Dispute with Cambodia appeared first on THE STANDARD.

]]>
thailand-un-letter-cambodia-attack

THE STANDARD has obtained a document sent by the Permanent Mission of Thailand to the United Nations (UN) to diplomats from over a hundred UN member states. The document clarifies Thailand’s stance regarding the ongoing conflict between Thailand and Cambodia as follows:

 

The Permanent Mission of Thailand to the United Nations presents its compliments to the Permanent Missions and Permanent Observer Missions to the United Nations and has the honour to inform the latter on the grave situation affecting the sovereignty and territorial integrity of Thailand as a result of Cambodia’s act of military aggression as follows:

 

1. On 16 and 23 July 2025, Thai army personnels, while conducting a routine patrol along an established route within Thailand’s territory, stepped on PMN-2 landmines. As a result, two soldiers sustained severe injuries, leading to permanent disability while the remaining were seriously injured. All of these PMN-2 landmines found were in new conditions, still with clearly visible markings. Evidence suggest that these landmines were newly planted. As a State Party to the Anti-Personnel Mine Ban Convention, Thailand has dutifully submitted her annual transparency reports on the implementation of the obligations under the Convention in accordance with article 7. The reports documented that Thailand completed the destruction of all its stockpile of anti-personnel mines in 2003, and subsequently destroyed all mines retained for training and research purposes in 2019. In contrast, Cambodia’s latest report indicates that, as of 31 December 2024, Cambodia continues to retain PMN-2 landmines.

 

2.  On 24 July 2025, at 08.20 hrs. Cambodian soldiers opened fire on a Thai military base at Ta Muen Thom in Surin Province of Thailand, resulting in the immediate injury of two Thai soldiers.

 

Shortly after, Cambodian troops launched indiscriminate attacks on Thai territory across four provinces of Buriram, Surin, Si Sa Ket and Ubon Ratchathani. These aggressive, indiscriminate and unlawful acts against Thai civilians have caused serious harms and led to the tragic loss of innocent civilian lives, including women and children. Civilian infrastructure, including a hospital and a school, also sustained significant damages. As of 14.00 hrs. on 24 July 2025, the attacks had resulted in 11 deaths and 24 injuries, 8 of which are in critical conditions. More than 102,000 residents have been evacuated from their homes.

 

3. These series of unprovoked armed attacks initiated by the Cambodian Armed Forces constitute a clear violation of Article 2(4) of the Charter of the United Nations, the principles of good neighbourliness and peaceful coexistence between States. Thailand has exercised utmost restraint against Cambodia’s premeditated armed attacks and is compelled to exercise its inherent right of self-defence pursuant to Article 51 of the Charter of the United Nations. The self-defence measures taken by Thailand are strictly limited in scope, proportionate to the threats and directed solely at neutralizing the imminent danger posed by Cambodian Armed Forces.

 

4. Thailand further strongly condemns Cambodia’s indiscriminate attacks against civilians, civilian objects, and public facilities, particularly hospitals, which constitute a flagrant violation of the Geneva Conventions of 1949, specifically Article 18 of the First Geneva Convention (Wounded and sick III. Protection of hospitals) and Article 19 of the Fourth Geneva Convention (Protection of medical units and establishments). Such inhumane acts have caused human suffering and hardship to innocent civilians.

 

5. Thailand remains firmly committed to the peaceful settlement of disputes and categorically rejects the use of force as a means to resolve international disputes. We call upon the international community to urge Cambodia to immediately cease its hostilities and resume dialogue in good faith. Thailand also reaffirms its readiness to engage through established bilateral mechanisms, including the Joint Boundary Commission, which is scheduled to take place in early September 2025, to resolve any outstanding differences.

 

The Permanent Mission of Thailand to the United Nations avails itself of this opportunity to renew to the Permanent Missions and Permanent Observer Missions to the United Nations the assurances of its highest consideration.

The post Thailand Sends Letter to UN over Escalating Dispute with Cambodia appeared first on THE STANDARD.

]]>
Cambodian Forces Opened Fire at Ta Muean Thom Temple (English Version) https://thestandard.co/thai-army-border-clash-ta-muean-thom/ Thu, 24 Jul 2025 11:41:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1099453 thai-army-border-clash-ta-muean-thom

BANGKOK, THAILAND – The Royal Thai Army has released a […]

The post Cambodian Forces Opened Fire at Ta Muean Thom Temple (English Version) appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai-army-border-clash-ta-muean-thom

BANGKOK, THAILAND – The Royal Thai Army has released a statement detailing its account of a border incident that occurred today, July 24, reporting that Cambodian forces initiated an engagement near the Ta Muean Thom Temple.

 

According to the Thai Army’s report, the timeline of events is as follows:

 

 

At approximately 7:35 AM, a special task force unit responsible for the area reported hearing a Cambodian unmanned aerial vehicle (UAV) circling near the Ta Muean Thom Temple. The report notes that while the drone was not visually confirmed, its sound was clearly audible.

 

Subsequently, the army states that Cambodian forces were observed moving weapons to a position in front of the barbed wire barrier. The report alleges that six Cambodian soldiers, who were fully armed and equipped with RPGs, approached the barbed wire near a Thai operational base. According to the statement, Thai forces attempted to de-escalate the situation through verbal communication while maintaining high alert along the border.

 

However, the Thai Army’s report concludes that at approximately 8:20 AM, Cambodian forces opened fire towards an area opposite the eastern side of a Thai operational base near the temple, at a distance of about 200 meters.

 

Relevant units of the Royal Thai Army are closely monitoring the situation. The army has stated that further updates will be provided as more information becomes available.

 

The post Cambodian Forces Opened Fire at Ta Muean Thom Temple (English Version) appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยชี้แจงเวทีมรดกโลก ปัดข้อกล่าวหา ‘วัดภูม่านฟ้า’ ลอกเลียน ‘นครวัด’ เชื่อ กัมพูชาหยิบยกประเด็นขึ้นถกมีการเมืองแอบแฝง https://thestandard.co/phumanfa-temple-dispute/ Fri, 11 Jul 2025 08:24:10 +0000 https://thestandard.co/?p=1095445 phumanfa-temple-dispute

วันนี้ (11 กรกฎาคม) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ […]

The post ไทยชี้แจงเวทีมรดกโลก ปัดข้อกล่าวหา ‘วัดภูม่านฟ้า’ ลอกเลียน ‘นครวัด’ เชื่อ กัมพูชาหยิบยกประเด็นขึ้นถกมีการเมืองแอบแฝง appeared first on THE STANDARD.

]]>
phumanfa-temple-dispute

วันนี้ (11 กรกฎาคม) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยแพร่คำแถลงการณ์ ระบุว่า วานนี้ (10 กรกฎาคม) ตามเวลา ณ กรุงปารีส ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 47 ซึ่งเป็นการประชุมในวันที่ 5 

 

ช่วงบ่ายของการประชุมที่เป็นการพิจารณารายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก มีการพิจารณาวาระเกี่ยวกับแหล่งมรดกโลก ปราสาทนครวัด กรณีที่กัมพูชา โดย เฟือง สกุณา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปกรรมกัมพูชา ได้กล่าวถ้อยแถลงโดยหยิบยกประเด็น ‘วัดภูม่านฟ้า’ กล่าวหาว่า เป็นการลอกเลียนแบบนครวัด ทำลายคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่งมรดกโลก ปราสาทนครวัด และเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อแหล่งมรดกโลก กัมพูชาจึงเรียกร้องให้ยูเนสโกและองค์การที่ปรึกษาตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของไทย

 

จากนั้น สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้กล่าวถ้อยแถลงโต้ตอบว่า ในเบื้องต้นไม่ประสงค์ที่จะโต้ตอบ แต่จำเป็นที่ต้องชี้แจงทำความเข้าใจต่อที่ประชุมในประเด็นเรื่อง ‘วัดภูม่านฟ้า’ ที่ฝ่ายกัมพูชาหยิบยก ว่าราชอาณาจักรไทยเชื่อมั่นว่ามรดกทางวัฒนธรรมควรเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน มิใช่นำมาซึ่งความแบ่งแยก 

      

ฝ่ายไทยรู้สึกประหลาดใจและผิดหวังต่อคำกล่าวของหัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชา ว่า การก่อสร้าง ‘วัดภูม่านฟ้า’ เป็นการลอกเลียนแบบปราสาทนครวัด และเห็นว่าเวทีมรดกโลกเป็นเวทีที่ไม่เหมาะสมที่จะหยิบยกประเด็นดังกล่าว 

       

อีกทั้งยังมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่แอบแฝง โดย ‘วัดภูม่านฟ้า’ เป็นวัดในพุทธศาสนาที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากศิลปะและสถาปัตยกรรมจากแหล่งโบราณสถานต่างๆ ในประเทศไทย 

 

ดังนั้น จึงไม่ใช่การลอกเลียนแบบปราสาทนครวัด แต่อย่างไรก็ตาม ไทยพร้อมที่จะปรึกษาหารือร่วมกับกัมพูชาในประเด็นดังกล่าว รวมถึงประเด็นอื่นๆ บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้นำของไทยและกัมพูชาได้ตกลงที่จะจัดคณะทำงานร่วมในประเด็นนี้ 

 

นอกจากนี้ คณะผู้แทนไทยทราบว่าคณะผู้แทนกัมพูชามีความพยายามในการล็อบบี้คณะผู้แทนหลายๆ ประเทศในประเด็นนี้ รวมถึงมีความพยายามอย่างสูงที่จะผลักดันประเด็นนี้กับยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลก แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่างใด ซึ่งฝ่ายต่างๆ เห็นว่าเป็นประเด็นที่ควรมีการหารือในระดับทวิภาคีมากกว่าที่จะมาหยิบยกในเวทีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก 

 

อนึ่ง หลังจากที่หัวหน้าคณะกัมพูชากล่าวถ้อยแถลง ฝ่ายกัมพูชาได้มีการลงข่าวบนเฟซบุ๊กโดยทันที

 

 

 

The post ไทยชี้แจงเวทีมรดกโลก ปัดข้อกล่าวหา ‘วัดภูม่านฟ้า’ ลอกเลียน ‘นครวัด’ เชื่อ กัมพูชาหยิบยกประเด็นขึ้นถกมีการเมืองแอบแฝง appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยโต้กัมพูชา ทำการเมืองแอบแฝงเวทีโลก ปมกล่าวหาไทยสร้างวัดเลียนแบบนครวัด https://thestandard.co/unesco-thai-cambodia-dispute/ Fri, 11 Jul 2025 08:07:16 +0000 https://thestandard.co/?p=1095432 unesco-thai-cambodia-dispute

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม (ตามเวลา ณ กรุงปารีส) การประชุมค […]

The post ไทยโต้กัมพูชา ทำการเมืองแอบแฝงเวทีโลก ปมกล่าวหาไทยสร้างวัดเลียนแบบนครวัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
unesco-thai-cambodia-dispute

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม (ตามเวลา ณ กรุงปารีส) การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก หรือ ยูเนสโก สมัยสามัญครั้งที่ 47 ที่เป็นการประชุมวันที่ 5  ในช่วงบ่ายของการประชุมที่เป็นการพิจารณารายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก ภูมิภาคเอเชียเเละแปซิฟิก  ซึ่งมีการพิจารณาวาระเกี่ยวกับแหล่งมรดกโลก ปราสาทนครวัด

 

กรณีที่กัมพูชา โดยเฟือง สกุณา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและศิลปกรรมกัมพูชา ได้กล่าวถ้อยแถลงโดยหยิบยกประเด็นวัดภูม่านฟ้าโดยกล่าวหาว่า เป็นการลอกเลียนแบบนครวัดนั้น ซึ่งเป็นการทำลายคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่งมรดกโลก ปราสาทนครวัด และเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่อันตรายต่อแหล่งมรดกโลก กัมพูชาจึงเรียกร้องให้ยูเนสโกและองค์การที่ปรึกษาตรวจสอบการกระทำดังกล่าวของไทย

 

จากนั้นสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้กล่าวถ้อยแถลงโต้ตอบว่า ในเบื้องต้นไม่ประสงค์ที่จะโต้ตอบแต่จำเป็นที่ต้องชี้แจงทำความเข้าใจต่อที่ประชุมในประเด็นเรื่องวัดภูม่านฟ้าที่ฝ่ายกัมพูชาหยิบยก ว่าราชอาณาจักรไทยเชื่อมั่นว่ามรดกทางวัฒนธรรมควรเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน มิใช่นำมาซึ่งความแบ่งแยก และฝ่ายไทยรู้สึกประหลาดใจและผิดหวังต่อคำกล่าวของหัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชาว่าการก่อสร้างวัดภูม่านฟ้าเป็นการลอกเลียนแบบปราสาทนครวัด และเห็นว่าเวทีมรดกโลกเป็นเวทีที่ไม่เหมาะสมที่จะหยิบยกประเด็นดังกล่าว 

 

อีกทั้งยังมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่แอบแฝง โดยวัดภูม่านฟ้าเป็นวัดในพุทธศาสนาที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมในพุทธศาสนาที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากศิลปะและสถาปัตยกรรมจากแหล่งโบราณสถานต่างๆ ในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่ใช่การลอกเลียนแบบปราสาทนครวัด แต่อย่างไรก็ตามไทยพร้อมที่จะปรึกษาหารือร่วมกับกัมพูชาในประเด็นดังกล่าว รวมถึงประเด็นอื่นๆ บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้นำของไทยและกัมพูชาได้ตกลงที่จะจัดคณะทำงานร่วมในประเด็นนี้ 

 

นอกจากนี้ คณะผู้แทนไทยทราบว่าคณะผู้แทนกัมพูชามีความพยายามในการล็อบบี้ คณะผู้แทนหลายๆ ประเทศในประเด็นนี้ รวมถึง มีความพยายามอย่างสูงที่จะผลักดันประเด็นนี้กับยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลก แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่างใด ซึ่งฝ่ายต่างๆ เห็นว่าเป็นประเด็นที่ควรมีการหารือในระดับทวิภาคีมากกว่าที่จะมาหยิบยกในเวทีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก อนึ่งหลังจากที่หัวหน้าคณะกัมพูชากล่าวถ้อยแถลง ฝ่ายกัมพูชาได้มีการลงข่าวในเฟซบุ๊กโดยทันที

The post ไทยโต้กัมพูชา ทำการเมืองแอบแฝงเวทีโลก ปมกล่าวหาไทยสร้างวัดเลียนแบบนครวัด appeared first on THE STANDARD.

]]>