Tata Harper – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 28 Feb 2024 06:23:13 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 8 เหตุผลที่ทำให้ Tata Harper เป็นสกินแคร์สะอาดและไม่ทำร้ายโลก https://thestandard.co/life/tata-harper-skincare-2 Wed, 28 Feb 2024 06:22:27 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=905223 Tata Harper

Tata Harper Skincare ไม่เพียงแต่เป็นชื่อที่โดดเด่นในวงก […]

The post 8 เหตุผลที่ทำให้ Tata Harper เป็นสกินแคร์สะอาดและไม่ทำร้ายโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tata Harper

Tata Harper Skincare ไม่เพียงแต่เป็นชื่อที่โดดเด่นในวงการคลีนบิวตี้และสกินแคร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและการให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ Day 1 ด้วยแนวคิดและการดำเนินงานที่ Tata Harper Skincare ได้กำหนดมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมความงาม ที่ไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้ใช้ในระยะยาว และคำนึงถึงความยั่งยืนของโลกที่เราอาศัยอยู่ด้วย ต่อไปนี้คือ 8 เหตุผลที่ทำให้ Tata Harper Skincare ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบรนด์รักษ์โลกและปลอดสารพิษ 100%

 

Tata Harper

 

Tata Harper Skincare ก่อตั้งเมื่อปี 2010 จากแรงบันดาลใจที่ต้องการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสุขภาพ ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ที่ปลูกและเก็บเกี่ยวจากฟาร์มของตนเองในรัฐเวอร์มอนต์ รวมทั้งไม่ผ่านการใช้สารเคมีหรือ GMO แต่อย่างใด

 

 

ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองจาก Ecocert ซึ่งเป็นองค์กรที่มีมาตรฐานสูงแห่งหนึ่งของโลก สำหรับการตรวจสอบส่วนผสมที่ใช้ในธุรกิจความงาม เพื่อรับประกันความปลอดภัยและคุณภาพ

 

 

Tata Harper Skincare ใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต และใช้วัสดุรีไซเคิล เช่น กระดาษและขวดแก้ว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

แบรนด์มีทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ทุ่มเทในการวิจัยและพัฒนาสูตรที่ไม่เพียงแต่ปลอดภัย แต่ยังให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งพิสูจน์ได้จริง

 

 

Tata Harper Skincare ยืนยันการเป็นแบรนด์ที่ไม่ทดลองกับสัตว์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความเป็นธรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งมีชีวิต

 

 

Tata Harper เน้นว่าเป้าหมายของเธอไม่เพียงแค่ทำให้ผิวของผู้บริโภคสวยงามและสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสร้างคุณภาพชีวิตโดยรวมผ่านผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้ดีและปลอดภัย

 

 

 

ภาพ: Courtesy of Tata Harper Skincare

อ้างอิง:

The post 8 เหตุผลที่ทำให้ Tata Harper เป็นสกินแคร์สะอาดและไม่ทำร้ายโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
Tata Harper Skincare https://thestandard.co/life/tata-harper-skincare Wed, 15 Mar 2023 04:04:35 +0000 https://thestandard.co/?p=763100

  What is it?  Tata Harper Skincare ก่อตั้งโด […]

The post Tata Harper Skincare appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

What is it? 

Tata Harper Skincare ก่อตั้งโดย Tata Harper เมื่อปี 2010 เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในแง่มุมความเป็นคลีนบิวตี้ ที่เจ้าของอย่าง Tata Harper เปลี่ยนแพสชันของตัวเองที่พ่อเลี้ยงของเธอเป็นมะเร็ง ทำให้เธอตระหนักว่าผลิตภัณฑ์ในโลกนี้ช่างอันตราย และผลิตภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพความงามจริงๆ ก็หายากเหลือเกิน จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความหรูหรา ทั้งยังมาจากธรรมชาติ 100% ด้วย Tata Harper ลงทุนสร้างฟาร์มขนาดใหญ่ถึง 1,200 เอเคอร์ในรัฐเวอร์มอนต์ ซึ่งใช้เป็นสถานที่เพาะปลูกวัตถุดิบหลายอย่างที่นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ของ Tata Harper Skincare เอง เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุดิบและส่วนผสมจากธรรมชาติไม่ผ่านการใช้สารเคมีใดๆ

 

 

สิ่งสำคัญที่ทำให้ Tata Harper Skincare แตกต่างจากแบรนด์ความงามสายคลีนบิวตี้อื่นๆ คือการวิจัยและพัฒนาอย่างครอบคลุมในแต่ละผลิตภัณฑ์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะของแบรนด์ตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อสร้างสูตรที่ไม่เพียงแต่ปราศจากสารเคมีอันตราย แต่ยังให้ผลลัพธ์ที่แท้จริง ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมาจากส่วนผสมจากธรรมชาติและปลอดสารพิษ 100% ทั้งยังยึดมั่นในการรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็น Cruelty Free ด้วย 

 

 

The Ingredients 

ส่วนผสม 100% ของแบรนด์ Tata Harper Skincare ปราศจากสารเคมี ไม่มีฟิลเลอร์ รวมถึงไม่มีส่วนผสมที่เป็น GMO ด้วย การเพาะปลูกส่วนผสมทั้งสมุนไพร ดอกไม้ และผลไม้นั้นไม่ใช้สารเคมีแม้แต่ชนิดเดียว นอกจากนี้ Tata Harper Skincare ยังได้รับการรับรองส่วนผสมที่ใช้จาก Ecocert ซึ่งเป็นบริษัทที่มีกฎเข้มงวดมากในฝรั่งเศสในการตรวจสอบส่วนผสมที่ใช้ในธุรกิจความงาม ความยิ่งใหญ่ของ Ecocert เรียกได้ว่าเชื่อถือได้และมีมาตรฐานในระดับสากล 

 

 

The Sustainability Efforts  

บริษัทธุรกิจของแบรนด์ Tata Harper Skincare ได้ชื่อว่าเป็น Eco-Friendly ตั้งแต่ก่อตั้ง ด้วยอุดมการณ์ของ Tata Harper ที่มุ่งมั่นเรื่องสิ่งแวดล้อม เธอได้ซื้อพลังงานทดแทนจากรัฐเวอร์มอนต์เพื่อทำการผลิตสินค้า เช่น กระดาษรีไซเคิล และขวดแก้วรีไซเคิลสำหรับใช้ในแบรนด์ของตัวเอง 

 

 

The Product Range

ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของ Tata Harper Skincare คือ 

 

  • Regenerating Cleanser เด่นเรื่องทำความสะอาดและผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสสุขภาพดี เหมาะสำหรับผิวที่มีปัญหาหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือมีสิวอุดตัน 
  • Repairative Moisturizer มอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นเป็นพิเศษเพื่อผิวที่แห้งกร้าน เหมาะสำหรับฤดูหนาว หรือใครที่อยู่ในสภาพอากาศแห้ง หรือคนผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำก็ใช้ได้ดี 
  • Rejuvenating Serum เซรั่มชะลอวัย ด้วยเทคโนโลยีไมโครสมูทติ้งสำหรับป้องกันสัญญาณแห่งวัย โดยเฉพาะพวกเส้นริ้วรอยที่เหี่ยวย่น หรือการสูญเสียความกระชับ ขาดความความยืดหยุ่น และมีความแห้งกร้าน เซรั่มตัวนี้ได้รับความนิยมมาก 

 

ภาพ: Tata Harper Skincare / Instagram

อ้างอิง:  

The post Tata Harper Skincare appeared first on THE STANDARD.

]]>
แบรนด์ความงามปรับตัวอย่างไรเพื่อช่วยรักษ์โลก และคุณก็ทำได้เช่นกัน https://thestandard.co/beauty-environmental-impact-sustainability/ Tue, 28 May 2019 09:01:12 +0000 https://thestandard.co/?p=254743

จากปัญหาฝุ่นพิษและมลภาวะซึ่งกระทบทั้งความงาม สุขภาพกายแ […]

The post แบรนด์ความงามปรับตัวอย่างไรเพื่อช่วยรักษ์โลก และคุณก็ทำได้เช่นกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากปัญหาฝุ่นพิษและมลภาวะซึ่งกระทบทั้งความงาม สุขภาพกายและใจที่ผ่านมา น่าจะทำให้หลายคนตระหนักได้แล้วว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด เราจึงอยากชวนผู้อ่าน THE STANDARD มาสำรวจแนวทางรักษ์โลกในแวดวงความงาม พร้อมทบทวนดูว่าในแต่ละวันเราจะช่วยดูแลโลกได้อย่างไรบ้าง เพราะอย่างน้อยจุดเริ่มต้นเล็กๆ ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้

 

ในโลกความงามที่ฉากหน้าเราพูดถึงและสัมผัสแต่เรื่องสวยๆ งามๆ นั้น หารู้ไม่ว่าหลังม่านนั้นกลับมีส่วนสร้างมลภาวะและขยะให้แก่โลกใบนี้ และดึงดูดทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ไม่น้อย

 

Photo: Into the Gloss

 

องค์กร Zero Waste รายงานว่าแต่ละปีอุตสาหกรรมความงามสร้างขยะจากแพ็กเกจจิ้งต่างๆ ออกมามากกว่า 1.2 แสนล้านชิ้น แถมส่วนใหญ่ยังเป็นขยะที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ทว่าโชคดีที่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ แบรนด์ความงามไม่ว่าจะเล็ก ใหญ่ แมส ลักชัวรี ตลอดจนสายธรรมชาติ หรือสายวิทยาศาสตร์ ต่างกำลังมุ่งดำเนินการรักษ์โลกอย่างยั่งยืนและจริงจังกว่าที่เราคิด

 

นอกจากการออกแคมเปญรณรงค์สร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคอย่างการสะสมขวดเปล่าเพื่อนำมาแลกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือออกไอเท็มพิเศษที่นำรายได้ไปสมทบทุนองค์กรสิ่งแวดล้อมแล้ว เบื้องหลังนั้นแต่ละแบรนด์ใส่ใจตั้งแต่การเลือกเฟ้นวัตถุดิบ ส่วนผสมที่มีที่มาที่ไปโปร่งใส ไม่เป็นสารอันตราย ปลูกหมุนเวียน และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การใช้แพ็กเกจจิ้งที่รีไซเคิลได้หรือย่อยสลายเองได้ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สะอาดขึ้น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้น้ำน้อยลง และหันมาใช้พลังงานทางเลือกจากลมและแสงแดดแทน เป็นต้นว่าเมื่อการลดน้ำหนักผลิตภัณฑ์จะช่วยลดน้ำหนักการขนส่งได้ นั่นหมายถึงลดปริมาณเชื้อเพลิงที่ต้องใช้ ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง

 

 

Photo: Lush

 

หลายแบรนด์จึงมุ่งเน้นจุดนี้ และแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับลักชัวรีแบรนด์ที่มักใช้บรรจุภัณฑ์แก้วหรือโลหะหนักๆ เพื่อตอกย้ำความหรูหรา มีราคา ทว่าแบรนด์ดังอย่าง Guerlain ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าน้ำหนักไม่ใช่ปัญหา เพราะไลน์ Orchidee Imperiale โฉมใหม่นั้นปรับบรรจุภัณฑ์หลักให้เบาลง หรือ Dior ที่เน้นความหรูหราก็ปรับบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์บางชิ้นในไลน์ L’Or de Vie, Prestige, Capture Totale ให้เป็นแบบแบบรีฟิลได้ ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ นั้นก็งดการใช้กระดาษกันกระแทกด้านในอีกชั้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการใช้กระดาษ รักษาปริมาณต้นไม้แล้ว ยังส่งผลให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยามขนส่งไปได้กว่าครึ่ง

 

ในแง่ของผู้บริโภคก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Mintel องค์กรสำรวจเทรนด์ทั่วโลก สรุปไว้ว่ากระแสความงามแบบรักษ์โลกนั้นสอดคล้องไปกับพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภควัยมิลเลนเนียลที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พวกเขาปรารถนาที่จะทำให้โลกดีขึ้น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และมีแนวโน้มสนับสนุนแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โปร่งใส มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจมากกว่า

 

“ผู้บริโภคยุคนี้เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย แบรนด์จึงต้องเปิดเผยเข้าไว้ เพราะคนที่ใส่ใจจริงๆ ตั้งแต่ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์มักจะหาข้อมูล บางคนคิดมาเลยว่าใช้เสร็จแล้วสิ่งนั้นจะกลายเป็นขยะแบบไหน” โรเวนา เบิร์ด ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Lush ผลิตภัณฑ์ความงามจากธรรมชาติให้ความเห็น

 

Photo: Psychologies.co.uk

 

ถึงจุดนี้ สำหรับสาวกบิวตี้ชาวไทยที่อยากจะเบนเข็มมาสวยรักษ์โลกบ้าง โรเวนาแนะนำทิปส์เบื้องต้นว่าให้เริ่มจากการปรับทัศนคติก่อน “ถ้าทุกคนคิดที่จะดูแลโลกเหมือนที่เราหมั่นดูแลผิวของเรา โลกจะต้องน่าอยู่ขึ้นแน่ๆ”

 

นอกจากนี้ลองเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว เช่น ควรลดการใช้ผลิตภัณฑ์แบบครั้งเดียวทิ้ง มองหาผลิตภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ ใช้ได้หลายครั้ง หรือทำหน้าที่ได้หลายอย่างในชิ้นเดียว จากนั้นค่อยขยับไปถึงการหาข้อมูล หัดอ่านฉลาก ศึกษาตราต่างๆ ที่ช่วยรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะได้เก็บเป็นข้อมูลเวลาเลือกซื้อ และอย่าลืมสนับสนุนแบรนด์ที่ทำดี จะได้เป็นกำลังใจให้ผู้ผลิตด้วย

 

ผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเหล่านี้ช่วยโลกอย่างไรบ้าง ไปดูกัน

หลังจากไปค้นข้อมูลมาบ้างแล้ว เราขอแนะนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของแบรนด์ที่มีมาตรการรักษ์โลกต่อไปนี้ไว้เป็นไอเดียการจับจ่ายผลิตภัณฑ์ความงามครั้งหน้า รับรองว่าคุณจะภูมิใจกับก้าวเล็กๆ ที่ได้มีส่วนช่วยโลกสีเขียวของเรา

 

 

1. Aveda แบรนด์ความงามแรกๆ ที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานลมในการผลิตทั้งหมด นอกจากนี้ยังเป็นผู้ซื้อส่วนผสมออร์แกนิกรายใหญ่ของโลก และแพ็กเกจจิ้งส่วนใหญ่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล รวมถึงแต่ละปีจะมีแคมเปญ Light The Way ออกเทียนหอมรุ่นพิเศษที่นำรายได้ไปสนับสนุนองค์กรที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

 

2. Amore Pacific เครือความงามยักษ์ใหญ่สัญชาติเกาหลี เจ้าของแบรนด์ เช่น Sulwhasoo, Innisfree, Mamonde วางมาตรการผลิตพร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มานานนับสิบปี แถมยังสร้างสวนพืชออร์แกนิก Osulloc Tea Garden ที่เกาะเชจู ซึ่งสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศได้ถึง 900 ตันต่อปี หรืออย่างแบรนด์ Innisfree จะมีการรีไซเคิลแพ็กเกจจิ้งผ่าน Empty Bottle Recycling Campaign โดยกระตุ้นให้ผู้ซื้อนำขวดเปล่ามาคืนที่ร้าน

 

3. Neal’s Yard Remedies ใช้บรรจุภัณฑ์ขวดแก้วสีน้ำเงินที่รีไซเคิลได้ และขวดแบบพลาสติกที่รีไซเคิลได้ 100% เช่นกัน ทั้งยังมีแคมเปญลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง

 

4. Tata Harper ใช้บรรจุภัณฑ์แก้วแบบรีไซเคิลได้ และใช้หมึกย่อยสลายได้ตามธรรมชาติแบบ Soy Ink หรือหมึกถั่วเหลืองบนฉลาก เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม โดยกระดาษที่พิมพ์ด้วยหมึกธรรมชาตินี้จะนำไปรีไซเคิลได้ถึง 80% ในขณะที่หมึกเคมีทั่วไปจะรีไซเคิลได้เพียง 30%

 

5. Davines แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผมที่นอกจากจะใช้ส่วนผสมธรรมชาติแล้วยังเปลี่ยนมาใช้พลังงานทางเลือกในการผลิตด้วย เพื่อลดปริมาณขยะและก๊าซเรือนกระจก

 

 

6. Clean แบรนด์น้ำหอมจากส่วนผสมธรรมชาติที่ได้มาโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ผลิตโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และบรรจุภัณฑ์ทำจากวัสดุที่รีไซเคิลได้

 

7. The Body Shop แบรนด์ที่ริเริ่มการจัดหาส่วนผสมอย่างเป็นธรรม ไม่ทำการทดลองในสัตว์ และใช้แพ็กเกจจิ้งรีไซเคิลได้ ล่าสุดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งอย่างมาสก์ชีตนั้น ทางแบรนด์เลือกใช้มาสก์แบบ Veocel มารังสรรค์เป็น Youth Concentrate Sheet Mask แผ่นมาสก์หน้าแบบธรรมชาติที่ย่อยสลายเองได้ และทำด้วยไม้จากป่าที่มีการปลูกทดแทนได้ หลังจากใช้แผ่นมาสก์นี้แล้วสามารถทิ้งในถังหมักที่บ้านร่วมกับขยะอินทรีย์อื่นๆ ได้ เพราะจะย่อยสลายเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

 

8. Kiehl’s นอกจากสนับสนุนการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ และมีผลิตภัณฑ์บางรุ่นที่รีไซเคิลและย่อยสลายเองได้แล้วนั้น ยังสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหัดรีไซเคิลผ่านนโยบายสะสมขวดเปล่าแล้วนำมาแลกสินค้าขนาดเดินทางไปใช้

 

9. YSL แบรนด์ความงามสุดหรูบอกว่าแม้หรูหราก็ช่วยรักษ์โลกได้ โดยเริ่มนำรีฟิลมาใช้ในผลิตภัณฑ์ Or Rouge La Crème ที่มาในกระปุกแก้ว ใช้ได้ยาวนาน เพราะเมื่อใช้หมดก็ซื้อเฉพาะรีฟิลที่บรรจุครีมมาเปลี่ยน

 

10. Yves Rocher เริ่มปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เป็นแบบรีฟิลมากขึ้นเพื่อลดการใช้พลาสติกและสร้างขยะ เช่น เจลล้างมือแบบซองรีฟิล เมื่อเทียบกับการซื้อขวดใหม่แล้วจะช่วยลดการใช้พลาสติกในการผลิตได้กว่า 77%

 

 

11. Jurlique นอกจากเพาะปลูกส่วนผสมแบบ Biodynamic ที่ไร้สารเคมีและใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลแล้ว ยังตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2020 จะลดการปล่อยก๊าซเสีย ลดการใช้น้ำ และลดการสร้างขยะให้ได้อีก 20%

 

12. Bulldog กรูมมิ่งแบรนด์ของหนุ่มๆ ใช้พลาสติกทางเลือกที่ทำจากน้ำตาลอ้อย ซึ่งย่อยสลายได้ง่ายและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมาทำแพ็กเกจจิ้ง

 

13. Panpuri แบรนด์ไทยที่ประกาศมุ่งไปทาง Clean Beauty นำร่องด้วย Zero List รายการสารต้องห้ามกว่า 2,300 รายการซึ่งทางแบรนด์จะไม่ใช้ในผลิตภัณฑ์ เพราะเกรงว่าจะส่งผลร้ายต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ตัวแพ็กเกจจิ้งยังรีไซเคิลได้ กล่องทำจากกระดาษที่ได้จากไม้ที่ปลูกแบบทดแทน และข้อมูลต่างๆ พิมพ์ด้วยหมึก Soy Ink เท่านั้น

 

14. Lush ผลิตภัณฑ์สายธรรมชาติ เน้นคัดสรรวัตถุดิบจากฟาร์มที่เพาะปลูกแบบหมุนเวียนและซื้อขายอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ 35% ของผลิตภัณฑ์จะเป็น Naked Packaging คือไม่ห่อหุ้มเลย และเวลาซื้อจะใช้ผืนผ้าหรือแผ่นกระดาษรีไซเคิลห่อไป เช่น สบู่ก้อน มาสก์ แชมพูแบบแท่ง ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ใช้บรรจุภัณฑ์แบบรีไซเคิลได้

 

15. Burt’s Bees ลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ เน้นกระบวนการผลิตที่ประหยัดพลังงาน และใช้ระบบออสโมซิสเพื่อนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ตั้งแต่ปี 2010 รวมทั้งแต่ละปีจะมีแคมเปญระดมเงินทุนเพื่อปกป้องผึ้งและส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน

 

 

ภาพประกอบ: Preawwoo

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

 

 

 

The post แบรนด์ความงามปรับตัวอย่างไรเพื่อช่วยรักษ์โลก และคุณก็ทำได้เช่นกัน appeared first on THE STANDARD.

]]>