Sustain Update – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 02 Oct 2025 11:48:46 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ไทย ปรับเป้า NET ZERO เร็วขึ้น 15 ปี จาก 2065 เป็น 2050: ภาครัฐ-เอกชน พร้อมแค่ไหน? https://thestandard.co/thailand-net-zero-2065-to-2050/ Thu, 02 Oct 2025 11:48:46 +0000 https://thestandard.co/?p=1125800

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า การประ […]

The post ไทย ปรับเป้า NET ZERO เร็วขึ้น 15 ปี จาก 2065 เป็น 2050: ภาครัฐ-เอกชน พร้อมแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า การประกาศนโยบายปรับเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 เป็นปี 2050 ของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ซึ่งจะเขย่าอนาคตอุตสาหกรรมไทย

 

โดยในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการตั้งเป้าให้ไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 จากเดิมที่มีเป้าหมายจะบรรลุ Net Zero ในปี 2065 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเชิงนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของไทย นับตั้งแต่ได้มีการตั้งเป้าหมาย Net Zero อย่างเป็นทางการกับประชาคมโลกในปี 2021

 

โดยการปรับเป้า Net Zero ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปีนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะเขย่าอนาคตของอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากภาครัฐของไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่า “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในโลกอนาคต”

 

ทำไมต้องเร่ง ?

 

SCB EIC ประเมินว่าการตั้งเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ของภาครัฐ จะช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยปรับตัวได้เท่าทันกับจังหวะก้าวของโลก โดยหากไทยยังคงเป้าหมายเดิมไว้ในปี 2065 จะทำให้ไทยบรรลุ Net Zero ช้ากว่า 111 ประเทศถึง 15 ปี และเสี่ยงหลุดจากวงจรการค้าโลกในอนาคต

 

เนื่องจากประเทศและบริษัทต่าง ๆ ที่มีเป้า Net Zero 2050 มีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการเฉพาะจากประเทศและบริษัทที่มีเป้าหมาย Net Zero ไม่ช้าไปกว่าเป้าหมายที่ประเทศหรือบริษัทของตนเองกำหนดไว้

 

SCB EIC ระบุว่านโยบาย Net Zero 2050 ของรัฐบาลใหม่ สอดคล้องกับข้อเสนอจากงานศึกษาของ SCB EIC ในปี 2024 ซึ่งเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคเอกชนไทยให้เท่าทันโลก

 

อย่างไรก็ตาม การมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องไปอีกในช่วง 25 ปีข้างหน้า โดยภาคเอกชนเพียงลำพังจะไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน จนนำไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ

 

ทั้งนี้แม้เป้าหมายใหม่จะถือเป็นความก้าวหน้า แต่ในระดับโลก ไทยเพียงแค่ “กลับเข้าสู่มาตรฐานสากล” เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป และเวียดนาม ที่ได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero 2050 ไปก่อนแล้ว

 

ใครได้ประโยชน์ ?

 

SCB EIC ประเมินว่านโยบาย Net Zero 2050 จะทำให้อุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีแนวโน้มเติบโต จากความต้องการใช้สินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้น ได้แก่

 

1) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดเช่น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แผงโซลาร์

2) กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาทิ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์

3) กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของรถไฟฟ้า เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สถานีชาร์จ

4) กลุ่มอุตสาหกรรมจัดการของเสีย อาทิ ธุรกิจรีไซเคิล ธุรกิจจัดการขยะและน้ำเสีย

5) กลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุฐานชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ

6) กลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ เช่น ไฮโดเจน เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)

7) กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS)

 

โดย SCB EIC ระบุว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่ จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย New S-Curve ที่รัฐบาลไทยกำลังให้การส่งเสริมอยู่แล้ว ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและผู้บริโภค

 

ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับยกเว้นภาษีนิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี หรือผู้ซื้อรถไฟฟ้าจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 50,000 – 100,000 บาท เป็นต้น

 

ใครต้องเร่งปรับตัว?

 

อย่างไรก็ตาม SCB EIC ระบุว่า ในทางตรงกันข้าม อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากในประเทศให้เปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปี ก่อนประกาศนโยบาย Net Zero 2050

 

ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยได้เผชิญแรงกดดันจากคู่ค้าในตลาดโลกให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero เร็วกว่าเป้าประเทศ 15 ปีอยู่แล้ว ซึ่งนโยบาย Net Zero 2050 จะเพิ่มแรงกดดันจากฝั่งในประเทศ

 

โดยมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐจะเร่งทยอยออกมา เช่น การตั้งเป้าหมายรับซื้อพลังงานหมุนเวียน การเก็บภาษีคาร์บอน และการบังคับใช้ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System : ETS) จะสร้างแรงกดดันให้อุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงต้องเร่งปรับตัวเร็วขึ้นกว่าเดิม 15 ปี ไม่ว่าจะเป็น

 

  • อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ,โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • เคมีภัณฑ์, วัสดุก่อสร้าง (เหล็ก ซีเมนต์)
  • อะลูมิเนียม, ขนส่ง และรถยนต์สันดาปภายใน (รถน้ำมัน)

 

โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ SCB EIC มองว่าจะยังสามารถเติบโตต่อได้ หากสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางในการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

 

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ ในไทยได้มีความพยายามในการปรับตัวบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในไทย มีการตั้งเป้าบรรลุ Net Zero 2050 หรือแม้แต่กลุ่ม ปตท. ก็ได้มีการประกาศเป้าหมาย Net Zero 2050 เช่นเดียวกัน โดยได้มีแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและเริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว

 

ดังนั้น โจทย์ต่อไปคือการเร่งผลักดันให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กต้องปรับตัวเพื่อเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นพร้อม ๆ กันด้วย

 

ผู้ประกอบการต้องทำอะไร ?

 

สำหรับผู้ประกอบการ SCB EIC แนะนำว่าต้องเริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากเป้า Net Zero 2050 แรงกดดันจากทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

โดยผู้ประกอบการสามารถเริ่มต้นได้ผ่านการดำเนินการ 5 ขั้นตอน ดังนี้

 

1) ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ขั้นตอนนี้จะทำให้ผู้ประกอบการทราบว่าจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมไหนในการดำเนินธุรกิจ

 

2) ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติหรือมาตรฐานของอุตสาหกรรม โดยมาตรฐาน SBTi (Science Based Targets initatives) เป็นมาตรฐานการตั้งเป้าหมาย Net Zero ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในระดับสากล

 

3) ค้นหาเทคโนโลยีและกลยุทธ์ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยต้องประเมินความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้

 

4) ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการสร้างกลไกในองค์กรที่จะช่วยให้การดำเนินการตามแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบรรลุผล เช่น การกำหนดค่าตอบแทนของผู้บริหารให้ยึดโยงกับผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร

 

5) ติดตาม ประเมินและรายงานผลการดำเนินงานต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ทราบถึงความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ SCB EIC ยังเสนอว่า ผู้ประกอบการควรแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองหาโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของ 7 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตมากขึ้นดังที่กล่าวไปตอนต้น หรือการใช้ประโยชน์จากแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green finance) หรือเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition finance) เพื่อสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การผลิตสินค้าเกษตรคาร์บอนต่ำ หรือ โรงแรมสีเขียว เป็นต้น

 

ภาครัฐต้องทำอะไรเพิ่ม ?

 

ในขณะเดียวกัน SCB EIC เสนอว่าภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนปรับพฤติกรรมสู่เส้นทางลดคาร์บอนโดยมาตรการภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ระยะเวลาและต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ในที่สุด ซึ่งมาตรการสนับสนุนสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วน ดังนี้

 

ส่วนแรก คือ การออกมาตรการสร้างแรงจูงใจสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่มีความพร้อมด้านทรัพยากรแต่ขาดแรงจูงใจในการปรับตัว ตัวอย่างเช่น การเพิ่มเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การลดการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นต้น

 

ส่วนที่สอง คือ การออกมาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้ประกอบการหรือผู้บริโภคที่ขาดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการปรับพฤติกรรม เช่น การให้องค์ความรู้ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบการที่ขาดแคลนเงินลงทุน หรือการสนับสนุนเงินทุนแก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำไปปรับปรุงบ้านพักให้สามารถประหยัดการใช้พลังงานมากขึ้น เป็นต้น

 

Net Zero 2050 ทางรอดเศรษฐกิจไทย

 

กล่าวโดยสรุป นโยบาย Net Zero 2050 คือ ยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะมาตรฐานคาร์บอนต่ำจะกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการค้าโลกในอนาคต ประเทศและธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันจะถูกกีดกันออกจากห่วงโซ่อุปทานและสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ

 

ขณะที่ผู้ประกอบการที่เริ่มลงมือวันนี้จะได้เปรียบทั้งในด้านการเข้าถึงตลาดใหม่ แหล่งเงินทุนสีเขียว และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ในทางกลับกัน ผู้ที่รออาจต้องเผชิญต้นทุนการปรับตัวที่สูงขึ้นและความเสี่ยงในการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ดังนั้น การบรรลุ Net Zero 2050 จึงไม่ใช่แค่เป้าหมายของภาครัฐ แต่เป็น “เกมใหม่” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันเล่น

 

โดยภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจนและครอบคลุม เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขณะที่ภาคธุรกิจต้องมองการลดคาร์บอนเป็นกลยุทธ์หลัก ไม่ใช่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ เพราะในโลกอนาคต ผู้ที่ปรับตัวได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะในเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง

The post ไทย ปรับเป้า NET ZERO เร็วขึ้น 15 ปี จาก 2065 เป็น 2050: ภาครัฐ-เอกชน พร้อมแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
เจาะลึกวิสัยทัศน์ Krungsri MUFG Business Forum ‘80 ปี กรุงศรี’ กับกลยุทธ์สู่ ‘ความยั่งยืน’ ในศตวรรษใหม่ https://thestandard.co/krungsri-mufg-business-forum/ Sun, 10 Aug 2025 08:41:55 +0000 https://thestandard.co/?p=1105942

จากงานสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี Krungsri MUFG Business […]

The post เจาะลึกวิสัยทัศน์ Krungsri MUFG Business Forum ‘80 ปี กรุงศรี’ กับกลยุทธ์สู่ ‘ความยั่งยืน’ ในศตวรรษใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>

จากงานสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี Krungsri MUFG Business Forum: Driving to Sustainable Future ซึ่งจัดขึ้นโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้ยังเป็นวาระพิเศษในโอกาสครบรอบ 80 ปีของธนาคาร ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงการเดินทางอันยาวนานและความสำเร็จที่ผ่านมา

 

งานนี้ไม่เพียงแต่รวบรวมผู้นำทางเศรษฐกิจและการเงินมาแบ่งปันมุมมองเชิงลึกเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่สะท้อนถึงพันธกิจระยะยาวของทั้งกรุงศรีและ MUFG (Mitsubishi UFJ Financial Group) ในการสนับสนุนลูกค้าและร่วมผลักดันความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยสู่ศตวรรษใหม่

 

MUFG ชี้ไทยคือตลาดเชิงกลยุทธ์หัวใจของเอเชีย

 

ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางปี 2567-2569 ของ MUFG การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นเป้าหมายสำคัญ โดย คาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการ MUFG เปิดเผยถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกรุงศรีในฐานะ ‘พันธมิตรเหมือนคนในครอบครัว’ อย่างน่าสนใจ โดยเปิดเผยข้อมูลว่า กำไรหลักของ MUFG ทั่วโลกมาจากธุรกิจนอกประเทศถึง 60% ซึ่งในจำนวนนี้ 45% มาจากภูมิภาคเอเชีย และที่สำคัญ ครึ่งหนึ่งของธุรกิจในเอเชีย มาจากธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งก็คือ ประเทศไทย ตัวเลขเชิงกำไรนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทอันทรงอิทธิพลของตลาดไทยต่อการเติบโตระดับโลกของ MUFG อย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม MUFG มองว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างหลายประการ ทั้งสังคมผู้สูงวัย, หนี้ครัวเรือนสูง, การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation) และการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งโอกาสการเติบโตจะเกิดขึ้นจาก 3 การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญดังนี้

 

1. Green Transformation (GT): การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว

 

MUFG ไม่ได้ใช้นโยบายแบบ ‘ถอนการลงทุน’ (No Divestment) แต่เลือกที่จะ ‘มีส่วนร่วม’ (Engagement) กับลูกค้าในอุตสาหกรรมที่ยังมีการปล่อยคาร์บอนสูง เพื่อจัดหาเงินทุนที่จำเป็น (Transition Finance) และทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Carbon Neutral)

 

“ที่เราคิดเช่นนี้ เพราะเรามองว่า แต่ละประเทศมีบริบทที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับการแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ” คาเนทสุกุ มิเกะ กล่าว

 

2. Digital Transformation (DX): การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

 

MUFG มองเห็นโอกาสในการลงทุนระยะยาวด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น Data Center และ AI ซึ่งเป็นสิ่งที่ MUFG มีความเชี่ยวชาญในด้าน Project Finance โดยมองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงบริการทางการเงินแก่ประชากรในวงกว้างขึ้น

 

3. Industrial Transformation (IX): การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

 

ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและกฎระเบียบใหม่ๆ ทำให้การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและการควบรวมกิจการ (M&A) เป็นสิ่งจำเป็น MUFG ได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับโลกและความร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Morgan Stanley เพื่อให้คำปรึกษาและจับคู่ธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย

 

นอกจากนี้ MUFG ยังมองว่า กรณีภาษีตอบโต้ซึ่งเป็นนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่ปัจจัยวิกฤตที่สำคัญมากนักต่อการตัดสินใจลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างประเทศ (FDI) ในประเทศไทย แต่ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากกว่าคือแนวโน้มเศรษฐกิจ นโยบายอุตสาหกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งจากฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและหลากหลาย หากใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้า ประเทศไทยจะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุน

 

เคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

 

กรุงศรีตอกย้ำพันธกิจ ESG เป็น DNA องค์กร

 

ทางด้านเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้ย้ำถึงพันธกิจด้าน ESG ที่เป็นหัวใจหรือ ‘DNA ขององค์กร’ โดยไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์เท่านั้น โดยกรุงศรีได้นำเสนอผลงานที่โดดเด่นใน 3 มิติหลัก ได้แก่

 

1. การลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงานขององค์กร

 

กรุงศรีมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 และได้รายงานความคืบหน้าในปี 2024 ว่าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงได้เกือบ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากการลงทุนในระบบปรับอากาศ, การใช้รถยนต์ไฟฟ้า, และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

 

2. การเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance)

 

จากเป้าหมายเดิมที่ 250,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 ปัจจุบันกรุงศรีสามารถบรรลุยอดเงินสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนได้แล้วกว่า 220,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะถึงเป้าหมายในเร็วๆ นี้ พร้อมพิจารณาที่จะปรับเป้าหมายใหม่ให้สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม

 

3. การให้ความรู้และสร้างความตระหนัก

 

นอกจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินแล้ว กรุงศรียังเน้นการให้ความรู้ด้าน ESG โดยเฉพาะแก่ลูกค้ากลุ่ม SME ผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น ESG Academy และ ESG Award เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างยั่งยืน

 

ท้ายที่สุด ทั้ง MUFG และกรุงศรี ได้ย้ำถึงพันธกิจร่วมกันว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่สำคัญ และทั้งสองสถาบันการเงินจะเดินหน้าทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างมีสุขภาพดีของเศรษฐกิจไทย พร้อมเติบโตเคียงข้างสังคมและลูกค้าชาวไทยสู่ศตวรรษที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน

The post เจาะลึกวิสัยทัศน์ Krungsri MUFG Business Forum ‘80 ปี กรุงศรี’ กับกลยุทธ์สู่ ‘ความยั่งยืน’ ในศตวรรษใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ชี้ Global Compact กุญแจสู่โลกที่ยั่งยืน พลิกวิกฤต ‘3D’ สร้างสันติภาพและการเติบโต https://thestandard.co/suphachai-global-compact-3d/ Tue, 29 Jul 2025 05:37:52 +0000 https://thestandard.co/?p=1101159

ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญกับ ‘Breaking Point’ และความคืบหน้ […]

The post ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ชี้ Global Compact กุญแจสู่โลกที่ยั่งยืน พลิกวิกฤต ‘3D’ สร้างสันติภาพและการเติบโต appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญกับ ‘Breaking Point’ และความคืบหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของ UN Global Compact ที่ยังคงเป็นความท้าทาย ศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่าย Global Compact แห่งประเทศไทย (GCNT) กลับมองว่า ‘นี่คือโอกาสครั้งสำคัญสำหรับการเรียนรู้และปรับตัว’ โดยศุภชัยได้นำเสนอแนวคิดเชิงรุกในการรับมือกับความท้าทายหลัก 3 ประการ หรือ ‘3D’ ที่จะเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า พร้อมเน้นย้ำถึงบทบาทของ Global Compact ในการสร้างสันติภาพและความยั่งยืนสำหรับทุกภาคส่วน

 

‘3D’ แห่งความท้าทายที่โลกต้องเผชิญ

 

ศุภชัย เจียรวนนท์ ได้สรุปความท้าทายหลัก 3 ประการที่โลกกำลังเผชิญ ซึ่งเป็นปัญหาที่รวบรวมมาจาก 17 เป้าหมาย SDG อันเป็นรากฐานสำคัญที่นักธุรกิจและผู้กำหนดนโยบายควรจับตามอง:

 

  • Digitalization: การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่มีศักยภาพมหาศาลในการขับเคลื่อนการพัฒนา แต่ก็แฝงด้วยความเสี่ยงหากถูกใช้ในทางที่ผิด
  • Deglobalization: การเมืองระดับโลกกำลังนำไปสู่การแบ่งขั้วอำนาจ สร้างความท้าทายในการสร้างความร่วมมือระดับสากลเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่แตกแยก
  • Decarbonization: ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาวะเรือนกระจกที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตมนุษย์และระบบนิเวศ

 

Global Compact สร้าง ‘ความไว้ใจ’ แก้วิกฤตความขัดแย้ง

 

เมื่อกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งและสงครามทั่วโลก ซึ่งเชื่อมโยงกับ SDG ข้อที่ 16 (สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง) ศุภชัยเน้นย้ำถึงหลักการสำคัญคือ ‘ความไว้ใจ’ (Trust) โดยเสนอแนวทางแก้ไขที่ต้องเริ่มจากการเจรจาอย่างจริงใจของทุกฝ่าย การสร้าง Governance ที่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก และการแบ่งปันทรัพยากรเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรม

 

“ความเกลียดชังหรือความกลัว ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความเกลียดชัง แต่ต้องแก้ไขด้วยการหันหน้าเข้าหากันและมีความเข้าใจกัน” ศุภชัยกล่าว พร้อมเสริมว่า การนำ ‘Pain Point’ ของทุกฝ่ายมาหารือและจัดการร่วมกัน จะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยยกตัวอย่างการหยุดยิงที่เกิดขึ้น ซึ่งช่วยให้ประชาชนจำนวนมากสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

 

เขาเสนอว่า การสร้าง ‘Governance’ ที่ให้ความสำคัญกับประชาชนและการเจรจาอย่างจริงใจ เป็นจุดตั้งต้นของการออกแบบระบบโลกใหม่ พร้อมยกตัวอย่างกรณี ‘การหยุดยิง’ ที่แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตคนในพื้นที่ขัดแย้ง

 

Private Sector: ตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืน

 

ศุภชัยเชื่อว่า ภาคเอกชนไม่ใช่แค่ฟันเฟืองทางเศรษฐกิจ แต่คือ ‘Catalyst’ แห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่อง ESG Reporting ที่กำลังเป็นภาษากลางใหม่ของธุรกิจทั่วโลก

 

โดยปัจจุบันกว่า 70% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยจัดทำรายงาน ESG แล้ว แต่สิ่งที่ต้องเร่งคือการขยายสู่บริษัทนอกตลาด เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบระบบ (systemic change) ทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน “ESG ไม่ใช่แค่รายงาน แต่คือเครื่องมือของความเข้าใจร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนให้ ‘การเติบโต’ ไปพร้อมกับ ‘ความรับผิดชอบ’

 

ปลดล็อกการศึกษา และลดคอร์รัปชัน ด้วยเทคโนโลยี

 

ในด้านการศึกษา ศุภชัยมองว่าระบบการศึกษาควรเน้นการประยุกต์ใช้และการแก้ปัญหาจริง โดยเสนอแนวคิด ‘Learning Center’ ที่เชื่อมโยงกับการแก้ไขปัญหา 17 SDG เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้เชิงเศรษฐกิจ คุณธรรม และจริยธรรมไปพร้อมกัน ภาคเอกชนพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้ เพื่อบ่มเพาะเยาวชนที่มี Growth Mindset และวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน

 

สำหรับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ศุภชัยประเมินว่า ‘Indirect Economy’ หรือเศรษฐกิจใต้ดินของไทยอาจสูงถึง 50% ของ GDP เขาเสนอให้ใช้ Digitalization และ AI เป็นทางออก การสร้าง Digital ID และการเปลี่ยนผ่านสู่ Cashless Society จะนำมาซึ่ง Transparency หรือความโปร่งใส ทำให้ทุกธุรกรรมตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งจะช่วยลดการคอร์รัปชันและการใช้ชื่อเสียงในทางที่ผิดลงอย่างมาก

 

ศุภชัยทิ้งท้ายด้วยวิสัยทัศน์ ‘Forward Faster Together’ โดยเน้นย้ำว่า การตั้งเป้าหมายและการลงมือปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ แม้ในอดีตภาคเอกชนอาจมองว่าการลงทุนด้านความยั่งยืนไม่คุ้มทุน แต่ปัจจุบันเกือบทุกเรื่องพิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่า และหลายอย่างยังช่วยลดต้นทุนด้วย กลไกตลาดจะขับเคลื่อนให้สินค้าและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ 17 SDG มีความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และเมื่อภาคเอกชนร่วมมือกันขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรม การบรรลุเป้าหมาย SDG ซึ่งเป็น ‘Win-Win’ โดยไม่มีผู้แพ้ จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การแข่งขันเป็นเพียงกระบวนการเรียนรู้ เป้าหมายที่แท้จริงคือการอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

The post ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ชี้ Global Compact กุญแจสู่โลกที่ยั่งยืน พลิกวิกฤต ‘3D’ สร้างสันติภาพและการเติบโต appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘บ้านปู’ เผยภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันสิ่งแวดล้อม หนุน 5 เทรนด์พลังงาน ที่องค์กรธุรกิจควรจับตา https://thestandard.co/banpu-5-energy-trends/ Fri, 11 Jul 2025 10:28:05 +0000 https://thestandard.co/?p=1095499

บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ชี้ความขัดแย้งด้ […]

The post ‘บ้านปู’ เผยภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันสิ่งแวดล้อม หนุน 5 เทรนด์พลังงาน ที่องค์กรธุรกิจควรจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>

บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ชี้ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเปลี่ยนเกมพลังงาน หนุนทุกภาคส่วนเร่งสร้างระบบพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมเผย 5 เทรนด์พลังงาน สำคัญที่องค์กรธุรกิจควรจับตา

 


 

1. ความมั่นคงทางพลังงาน ปัจจัยสำคัญผลักดันการลงทุนทั่วโลก

 

รายงานล่าสุดจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า “ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security)” กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้การลงทุนด้านพลังงานทั่วโลกในปี 2025 พุ่งสูงถึง 3.3 ล้านล้านดอลลาร์

 

โดยแบ่งเป็นการลงทุนในพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน รวมมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ ระบบโครงข่ายไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์

 

ท่ามกลางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและความกังวลด้านความ
มั่นคงทางพลังงาน ภาครัฐและภาคธุรกิจทั่วโลกจึงเร่งวางแผนรับมือความเสี่ยงรอบด้านผ่านการลงทุนที่สมดุลทั้งในพลังงานดั้งเดิมและพลังงานสะอาดเพื่อรักษาความต่อเนื่องในการใช้

 

ไฟฟ้าสร้างความมั่นใจว่าจะมีไฟฟ้าที่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานภายในประเทศอย่างยั่งยืนพร้อมเสริมความมั่นคงทางธุรกิจและเศรษฐกิจระดับประเทศในระยะยาว

 


 

2. เทคโนโลยี Co-firing ทางเลือกสู่เป้าหมายลดคาร์บอน

 

ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนยังคงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักที่ช่วยให้เรามีไฟฟ้าใช้อย่างต่อเนื่อง รองรับการใช้ชีวิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด เทคโนโลยี Co-firing คือ การนำเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวล (Biomass), ไฮโดรเจน (Hydrogen) และแอมโมเนีย (Ammonia) มาใช้ร่วมกับเชื้อเพลิงหลักอย่างฟอสซิลในโรงไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน

 

โดยหลายประเทศให้ความสนใจและเริ่มทดลองใช้งานจริงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น จีนได้กำหนดให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ผ่านการปรับปรุงหรือสร้างใหม่ต้องสามารถผสมชีวมวลหรือแอมโมเนียไม่น้อยกว่า 10% ภายในปี 2027

 

ในปี 2023 ตามแผนปฏิบัติการ “Low-Carbon Transformation of Coal Power Plants (2024–2027)” ด้านไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) ได้มีการวางแผนใช้ไฮโดรเจนเริ่มต้นที่ 5% ผสมกับก๊าซธรรมชาติ นำร่องใช้ในโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2030-2037 ซึ่งเทคโนโลยี Co-firing กำลังเปลี่ยนโฉมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแบบเดิมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 


 

3. Data Centers โตดันดีมานด์ไฟฟ้าพุ่ง พลังงานหมุนเวียน หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์

 

พลังงานหมุนเวียนเติบโตต่อเนื่องเพื่อตอบรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจดิจิทัลและศูนย์ข้อมูล (Data Centers) โดยองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าภายในปี 2030 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็นประมาณ 945 เทราวัตต์-ชั่วโมง

 

โดยกลุ่มยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Amazon Web Services ได้ตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในศูนย์ข้อมูล ภายในปี 2025

 

ขณะที่ Microsoft และ Google Cloud ได้ขยายความมุ่งมั่นไปสู่การใช้พลังงานที่ปราศจากคาร์บอน (Carbon-Free Energy หรือ CFE) ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในปี 2030

 

อย่างไรก็ตาม พลังงานความร้อนยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า

 

โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พลังงานหมุนเวียนไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Precedence Research คาดว่า ตลาดโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทั่วโลกจะมีมูลค่า 1.56 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 และจะเติบโตถึง 2.13 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2034

 

นอกจากนี้ เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage: BESS) กำลังมีบทบาทสำคัญในการสำรองและจ่ายไฟฟ้ากลับสู่ระบบในช่วงที่ไม่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทำให้บริหารความต้องการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

โดยตลาด BESS ในเอเชียแปซิฟิกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 14.67 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2033 สะท้อนว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานยังคงต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างพลังงานความร้อน พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า

 


 

4. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) เทคโนโลยีพลังงานสะอาด

 

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR คือ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใช้ความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิชชัน (Nuclear Fission) ในการผลิตไฟฟ้า โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ การบริหารจัดการวัสดุกัมมันตรังสีใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ และการออกแบบที่ส่งเสริมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ด้วยระบบระบายความร้อนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเครื่องปฏิกรณ์ถูกออกแบบให้เป็นโมดูลขนาดเล็กช่วยลดระยะเวลาก่อสร้างและติดตั้งจาก 5-6 ปี เหลือเพียง 3-4 ปี

 

โดยมีกำลังผลิตสูงสุดถึง 300 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องโดยไม่ปล่อย CO₂ ปัจจุบันหลายประเทศอยู่ระหว่างพัฒนาและทดลองการใช้งาน เช่น จีน มีโครงการ ACP100 หรือ Linglong One กำลังการผลิตประมาณ 125 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่มณฑลไห่หนาน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2026

 

ขณะที่ในสหรัฐฯ ได้อนุมัติแบบเครื่องปฏิกรณ์ SMR ขนาด 77 เมกะวัตต์ของ NuScale Power

 

สำหรับไทย ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP2024) ได้มีการบรรจุแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 2 แห่ง ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 300 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต เทคโนโลยี SMR จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าจับตามองในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว

 


 

5. Grid Modernization อัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาดและทันสมัยยิ่งขึ้น

 

Grid Modernization คือ การปรับปรุงระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น พลังงานหมุนเวียน และตอบโจทย์การใช้พลังงานในอนาคต

 

โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการโหลดไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ช่วยลดการปล่อย CO₂ และรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม

 

ในเอเชียแปซิฟิก ตลาด Grid Modernization คาดว่าจะเติบโตจาก 12.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็นกว่า 51.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2032

 

ขณะที่สหรัฐฯ ดำเนินโครงการ Grid Resilience and Innovation Partnerships (GRIP) มูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงข่ายไฟฟ้าในการรับมือกับสภาพอากาศที่ผันผวน

 

ส่วนจีนมีการประกาศแผนลงทุนในระบบโครงข่ายไฟฟ้ามูลค่าสูงถึง 800 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 เพื่อรองรับความต้องการไฟที่เพิ่มขึ้นและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

 

อนาคตพลังงานกำลังขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างระบบพลังงานที่มั่นคง ยืดหยุ่น และลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจทั่วโลก ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานใน 8 ประเทศทั่วโลก BPP มุ่งมั่นผลิตและพัฒนาพลังงานคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงด้านพลังงาน

 

ภาพ: zhongguo/Getty Images

The post ‘บ้านปู’ เผยภูมิรัฐศาสตร์และแรงกดดันสิ่งแวดล้อม หนุน 5 เทรนด์พลังงาน ที่องค์กรธุรกิจควรจับตา appeared first on THE STANDARD.

]]>
รมว.คมนาคม สหรัฐฯ เตือนทั่วโลกเตรียมตัว Climate Change ทำเครื่องบินตกหลุมอากาศเพิ่มขึ้น https://thestandard.co/climate-change-and-air-turbulence/ Mon, 27 May 2024 04:13:12 +0000 https://thestandard.co/?p=937901 เครื่องบิน ตกหลุมอากาศ

พีต บุตติเจจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐอเมริกา แส […]

The post รมว.คมนาคม สหรัฐฯ เตือนทั่วโลกเตรียมตัว Climate Change ทำเครื่องบินตกหลุมอากาศเพิ่มขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครื่องบิน ตกหลุมอากาศ

พีต บุตติเจจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐอเมริกา แสดงความเห็นกึ่งคำเตือนระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการ Face the Nation ทางสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 พฤษภาคม) ระบุว่า สายการบินรวมถึงท่าอากาศยานทั่วโลกจำเป็นต้องยกเครื่องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ หลังการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศเพิ่มจำนวนมากขึ้น

 

ความเห็นดังกล่าวของบุตติเจจถือเป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าล่าสุดที่ต้องการตอกย้ำให้ทั่วโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบเลวร้ายของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น โดยบุตติเจจกล่าวว่า ความเป็นจริงในขณะนี้ก็คือ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นกับโลกแล้วในแง่ของการคมนาคมขนส่ง พร้อมประเมินว่า ความวุ่นวายจะยังคง “ส่งผลกระทบต่อนักเดินทางชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางภายในประเทศหรือเดินทางไปต่างประเทศก็ตาม”

 

บุตติเจจระบุว่า จนถึงขณะนี้โลกได้เห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมในแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดคลื่นความร้อนในระดับที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ทางสถิติ จนอาจคุกคามสายเคเบิลของระบบขนส่งมวลชนในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแปซิฟิก ไปจนถึงฤดูกาลของเฮอริเคนที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่นับรวมข้อบ่งชี้ต่างๆ ที่ตอกย้ำว่าความปั่นป่วนรุนแรงของสภาพภูมิอากาศทำให้หลุมอากาศ (Turbulence) เพิ่มขึ้นประมาณ 15%

 

คำเตือนนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Geophysical Research Letters เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของ CAT (Clear Air Turbulence) คือความปั่นป่วนในอากาศแจ่มใส ระหว่างปี 1979-2020 โดยมีความปั่นป่วน ‘รุนแรงหรือมากขึ้น’ ซึ่งเป็นประเภท CAT ที่แข็งแกร่งที่สุด เพิ่มขึ้น 55% บ่อยครั้งเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือในช่วงเวลาดังกล่าว

 

ทั้งนี้ CAT เป็นภาวะปั่นป่วนที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งเตือนใดๆ ที่มองเห็นได้ ซึ่งตามปกติแล้วลักษณะเมฆบนท้องฟ้าจะช่วยส่งสัญญาณให้นักบินรู้ว่าบริเวณนั้นๆ จะมีสภาพอากาศปั่นป่วนอย่างไร ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงหรือบินผ่านเข้าไปในเมฆชนิดนั้น แต่ในกรณีของ CAT คือกรณีที่บินอยู่ในบริเวณที่ไม่มีก้อนเมฆปรากฏอยู่เลย แต่เครื่องบินได้รับการกระแทกหรือราวกับถูกจับโยน

 

บุตติเจจชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นและเพิ่มจำนวนความถี่มากขึ้น ทำให้ประเทศต่างๆ รวมถึงสหรัฐฯ จำเป็นต้องเร่งวางนโยบาย และพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้ทันกับการรับมือสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

 

ความเห็นของบุตติเจจยังมีขึ้นหลังจากที่มีรายงานว่าหลายเที่ยวบินในสหรัฐฯ และทั่วโลก เผชิญกับความเสียหายรุนแรงจากการตกหลุมอากาศในปีนี้ โดยล่าสุดก็คือสายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินระหว่างโดฮา-ดับลิน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 พฤษภาคม) ซึ่งทำให้มีผู้โดยสารบาดเจ็บทั้งหมด 12 ราย และสายการบิน Singapore Airlines ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บ 30 ราย เสียชีวิต 1 ราย

 

แม้จะมีโอกาสน้อยมากที่การตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงระดับที่ Singapore Airlines ประสบ แต่บุตติเจจก็ชี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตระหนักว่าหลุมอากาศสามารถเกิดขึ้นได้ และบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ซึ่งขณะนี้มีระเบียบปฏิบัติและรูปแบบสำหรับสิ่งต่างๆ เช่น วิธีที่นักบินที่เผชิญกับความวุ่นวายสามารถแจ้งเตือนผู้ที่อาจเข้ามาในเส้นทางได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเจ้าตัวกลับเห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระเบียบการประเมินใหม่ เนื่องจากความเป็นจริงของโลกในเวลานี้ก็คือหลุมอากาศเป็นสิ่งที่มีแนวโน้มว่าต้องเผชิญบ่อยขึ้น และต้องเผชิญในลักษณะที่รุนแรงกว่าเดิม ซึ่งหมายรวมถึงบรรดาสายการบิน ผู้ผลิตเครื่องบิน และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ที่จำเป็นต้องยกเครื่องมาตรการความปลอดภัยของตนเอง

 

ทั้งนี้มีรายงานว่า ทีมผู้บริหารของทาง Boeing บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติอเมริกัน มีกำหนดเข้าพบหารือกับ Federal Aviation Administration ในวันพฤหัสบดีนี้ (30 พฤษภาคม) เพื่อนำเสนอแผนการปรับปรุงการควบคุมคุณภาพ หลังเครื่องบิน Boeing ของทางสายการบินประสบปัญหาด้านความปลอดภัย จนทำให้มีการยื่นร้องเรียนมากมาย

 

อ้างอิง:

The post รมว.คมนาคม สหรัฐฯ เตือนทั่วโลกเตรียมตัว Climate Change ทำเครื่องบินตกหลุมอากาศเพิ่มขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายงานแห่งชาติเผย ภาวะโลกร้อน-โลกรวน ทำภาคอีสานเสี่ยงน้ำท่วม-ภัยแล้ง-ขาดอาหาร https://thestandard.co/risks-to-the-northeastern-from-global-chaos/ Tue, 07 May 2024 09:45:42 +0000 https://thestandard.co/?p=930758

รายงานแห่งชาติฉบับที่ 4 (Fourth National Communication: […]

The post รายงานแห่งชาติเผย ภาวะโลกร้อน-โลกรวน ทำภาคอีสานเสี่ยงน้ำท่วม-ภัยแล้ง-ขาดอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>

รายงานแห่งชาติฉบับที่ 4 (Fourth National Communication: NC4) จัดทำโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ  (UNDP) ซึ่งสนับสนุนโดยกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะนครราชสีมาเสี่ยงภัยพิบัติหนักทั้งวิกฤตน้ำท่วม ภัยแล้ง และส่งผลให้เกิดภาวะเสี่ยงขาดสารอาหารตามมา เพราะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นและสภาพอากาศที่แปรปรวนมากขึ้น ส่งผลให้ปศุสัตว์เครียดหรือตาย และพืชพันธุ์ต่างๆ ขาดน้ำ ขณะที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เสี่ยงได้รับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด โดยเฉพาะในมิติการตั้งถิ่นฐาน

 

รายงาน NC4 ประเมินความเสี่ยงของไทยต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนำภัยพิบัติ 3 ประเภทที่จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ ความร้อน ภัยแล้ง และน้ำท่วม ไปประเมินผลกระทบใน 6 ด้านคือ ภาคการจัดการทรัพยากรน้ำ, ภาคการท่องเที่ยว, ภาคสาธารณสุข, ภาคเกษตรและภาคความมั่นคงทางอาหาร, ภาคทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคการตั้งถิ่นฐานและความปลอดภัยของมนุษย์ โดยประเมินความเสี่ยงระยะยาวจากข้อมูล 4 ช่วงเวลาคือ ปี 1970-2005, 2016-2035, 2046-2065 และ 2081-2099 

 

รายงานฉบับนี้ยังอ้างถึงข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในปี 2018 โดยชี้ว่าภาคพลังงานปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด (69.06%), ภาคเกษตรกรรม (15.69%), ภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (10.77%) และภาคของเสีย (4.88%) โดยด้านเกษตรกรรม โลกร้อนส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยตรง ทั้งยังคาดการณ์ว่าในช่วงปี 2011-2045 ผลกระทบสะสมต่อภาคเกษตรสามารถสร้างความเสียหายรวมเป็นมูลค่ารวมสูง 17,912-83,826 ล้านบาทต่อปี  

 

รายงาน NC4 ยังระบุว่า หากมองถึงระดับท้องถิ่นจากแผนที่ความเสี่ยงของประเทศไทย ที่ประเมินความเสี่ยงต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภัยธรรมชาติยังสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในเชิงภูมิภาค เนื่องจากจังหวัดได้รับการจัดอันดับว่าเสี่ยงภัยความร้อนสูงสุด 7 จังหวัดล้วนอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งสิ้น ได้แก่ นครราชสีมา, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์, ขอนแก่น, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และร้อยเอ็ด

 

นอกจากนี้รายงานยังชี้ว่า ยิ่งเมืองใหญ่ ยิ่งประชากรเยอะ ยิ่งเสี่ยงได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน โดยคาดการณ์ว่าในปี 2040 ประชากรไทย 74.3% จะอาศัยอยู่ในเมือง และจะเหลือประชากรเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศเสี่ยงส่งผลให้ระบบประปาหยุดชะงัก กระทบที่อยู่อาศัย และบริการสาธารณะซึ่งจะส่งผลต่อคนในเมืองนับล้านคน โดยจังหวัดที่เสี่ยงสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครราชสีมา สมุทรปราการ และขอนแก่น นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีคนอยู่อาศัยมากที่สุดในประเทศไทยถึง 5.4 ล้านคน ยังเป็นจังหวัดที่เสี่ยงสูงสุดทั้งภัยความร้อน ภัยแล้ง และน้ำท่วม 

 

แฟ้มภาพ: Witsawat.S / Shutterstock

อ้างอิง: UNDP ประเทศไทย

The post รายงานแห่งชาติเผย ภาวะโลกร้อน-โลกรวน ทำภาคอีสานเสี่ยงน้ำท่วม-ภัยแล้ง-ขาดอาหาร appeared first on THE STANDARD.

]]>
มนุษยชาติมีเวลาอีกแค่ 5 ปี ก่อนเผชิญวิกฤตโลกรวนที่ไม่อาจย้อนกลับ https://thestandard.co/humanity-5-years-away-from-irreversible-global-crisis/ Thu, 02 May 2024 10:31:16 +0000 https://thestandard.co/?p=929283 วิกฤตโลกรวน

โลกมีเวลาอีกเพียงราว 5 ปี ในการป้องกันผลกระทบที่ไม่อาจแ […]

The post มนุษยชาติมีเวลาอีกแค่ 5 ปี ก่อนเผชิญวิกฤตโลกรวนที่ไม่อาจย้อนกลับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิกฤตโลกรวน

โลกมีเวลาอีกเพียงราว 5 ปี ในการป้องกันผลกระทบที่ไม่อาจแก้ไขได้จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

 

Climate Clock หรือนาฬิกาสภาพอากาศ เปิดตัวในเดือนกันยายน 2020 มีความสูง 4 ชั้น เหนือย่าน Union Square ของนิวยอร์กในย่านใจกลางเมืองแมนฮัตตัน โดยเกิดจากการสร้างสรรค์ของกลุ่มศิลปิน นักเขียน และนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกัน ได้แก่ กัน โกแลน (Gan Golan), แอนดรูว์ บอยด์ (Andrew Boyd), เคที เพย์ตัน ฮอฟสตัดเตอร์ (Katie Peyton Hofstadter) และ เอเดรียน คาร์เพนเตอร์ (Adrian Carpenter) โดยมีเป้าหมายเพื่อ ‘เตือนโลกทุกวันว่าเราใกล้จะถึงจุดอันตรายแล้ว’ ขณะที่ เกรตา ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดนก็มีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้ช่วงแรกๆ ด้วย

 

ตัวเลขบนนาฬิกาแสดงให้เห็นว่าโลกเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน ก่อนที่อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดที่ผลกระทบเลวร้ายที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ‘ไม่อาจย้อนกลับได้’

 

ข้อมูลในนาฬิกาสภาพอากาศอ้างอิงจากสถาบันวิจัยสภาพอากาศ Mercator Research Institute on Global Commons and Climate Change (MCC) ไม่ได้นับถอยหลังวันที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่เป็นการประเมินว่าจะมีเวลาเหลืออีกเท่าใด ก่อนที่มนุษย์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากพอที่จะกระตุ้นให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งปัจจุบันประเมินว่าอยู่ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2029

 

ข้อมูลปี 2023 ระบุว่า โลกมีอุณหภูมิร้อนกว่ายุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณ 1.48 องศาเซลเซียส เนื่องจากการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดคลื่นความร้อน ไฟป่า พายุ และระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และเป็นเหตุผลที่ผู้นำโลกต้องตกลงร่วมกันในข้อตกลงปารีส เพื่อป้องกันไม่ให้โลกร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่

 

ทั้งนี้ เว็บไซต์นาฬิกา https://climateclock.world/ ยังแสดง Lifeline หรือเส้นชีวิตที่สามารถทำให้โลกจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียสได้ โดยแบ่งเป็น 6 ด้าน ดังนี้

 

  1. พลังงานหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบันพลังงานทั่วโลกที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนอยู่ที่ 12.5% และกำลังเพิ่มขึ้น แต่ยังเร็วไม่มากพอ ซึ่งผู้สร้างนาฬิกายังเรียกร้องให้นานาชาติดำเนินการแข่งกับเวลาในการลดการแพร่กระจายก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ซึ่งยังไม่มีรัฐบาลประเทศใดในโลกเต็มใจที่จะทำ

 

  1. การรักษาพื้นที่อาศัยของชนพื้นเมือง ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ที่สำคัญต่อความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติของโลก

 

  1. Loss and Damage ความสูญเสียและความเสียหายจากภาวะโลกรวน โดย Loss คือมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไป ส่วน Damage คือความเสียหายต่อทรัพย์สินในเชิงกายภาพ

 

  1. กองทุนภูมิอากาศสีเขียว หรือ Green Climate Fund (GCF) เป็นกลไกทางการเงินภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) จัดตั้งขึ้นโดย 194 ประเทศ ในปี 2013 เพื่อส่งเสริมประเทศกำลังพัฒนาให้ตอบสนองต่อความท้าทายที่มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบันมีคำมั่นสัญญาที่ได้รับการยืนยันแล้วมูลค่ารวม 9.52 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

 

  1. ความเท่าเทียมทางเพศ ในธรรมาภิบาลแห่งชาติเป็นวิธีแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ โดยปัจจุบันเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่เป็นตัวแทนในรัฐสภาของประเทศทั้งหมดคือ 26.5% การเคลื่อนไหวของสตรีและการเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศทั่วโลกมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็น 50% ความต้องการบรรลุความเท่าเทียมทางเพศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการเจรจาและข้อตกลงทั้งหมด เพื่อต่อสู้กับผลกระทบด้านลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

  1. การถอนการลงทุนด้านเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนำแรงกดดันทางเศรษฐกิจมาสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมก๊าซและน้ำมัน และส่งเสริมให้นักลงทุนปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่ยุติธรรมไปสู่พลังงานหมุนเวียน

 

 

ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร

อ้างอิง:

The post มนุษยชาติมีเวลาอีกแค่ 5 ปี ก่อนเผชิญวิกฤตโลกรวนที่ไม่อาจย้อนกลับ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Eco-Curious รายการ Sustain ที่ชวนคนมารักษ์โลกทุกวัน ไม่เฉพาะวัน Earth Day https://thestandard.co/life/eco-curious/ Mon, 22 Apr 2024 09:52:56 +0000 https://thestandard.co/?post_type=life&p=925428

วันที่ 22 เมษายนของทุกปี คือ ‘Earth Day’ หรือ ‘วันคุ้มค […]

The post Eco-Curious รายการ Sustain ที่ชวนคนมารักษ์โลกทุกวัน ไม่เฉพาะวัน Earth Day appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันที่ 22 เมษายนของทุกปี คือ ‘Earth Day’ หรือ ‘วันคุ้มครองโลก’ วันที่มีขึ้นเพื่อให้พวกเราตื่นรู้และตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับวันยิ่งถูกทำลายมากเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็น ขยะล้นเมือง ฝุ่นควัน การตัดไม้ทำลายป่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ฯลฯ พานให้เกิดโลกร้อนไปจนถึงโลกรวน ประเทศที่ไม่เคยหนาวก็หนาว ประเทศไม่เคยร้อนก็ร้อน ดูอย่างไทยเราสภาพอากาศก็ร้อนขึ้นทุกวันจนทะลุปรอท ออกแดดทีผิวแทบไหม้ 

 

ใครที่ติดตาม THE STANDARD LIFE คงเคยเห็นรายการ Eco-Curious ผ่านหูผ่านตามาบ้าง รายการนี้เป็นรายการใหม่ที่ LIFE อยากพาผู้อ่านของเราไปซอกแซกดูมุม Sustain ของแบรนด์ต่างๆ ที่ทำให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะเรื่องรักษ์โลก หรือความยั่งยืน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว 

 

เราไม่อยากให้ผู้คนรักษ์โลกแค่ในวัน Earth Day แต่อยากให้ทุกคนรู้สึกว่าเรื่อง Sustain ไม่ใช่เรื่องยากและสนุก Eco-Curious ออกอากาศทุกวันพุธที่ 1 กับ 3 ของเดือน ตอนนี้มีให้ชมเป็นคลิปสั้นแนวตั้งแล้ว 3 ตอน รวมถึงบทความด้วย สามารถตามไปดูได้ตามลิงก์ด้านล่าง 

 

ส่วนใครมีเรื่อง Sustain ที่สนุก อยากบอกต่อหรือนำเสนอเรา คอมเมนต์บอกได้เช่นกัน

 


 

 

Eco-Curious EP.1

 

REVERB by Gadhouse เปลี่ยนขยะเหลือใช้เป็นเครื่องเล่นไวนิลรักษ์โลก

 

หลายคนอาจรู้จัก ‘REVERB by Gadhouse: Repurpose Collective’ ผ่านงาน BKKDW2024 คอลเล็กชันเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ Gadhouse พัฒนาขึ้น โดยใช้สิ่งของเหลือใช้จากโรงงานและผลิตผลทางการเกษตรมา Upcycle ให้กลายเป็นโปรดักต์ใหม่ที่ทั้งรักษ์โลก ใช้งานได้จริง และยังช่วยให้คุณภาพเสียงจากเครื่องเล่นดีกว่าเดิมด้วย 

 

จุดเริ่มต้นของ REVERB คืออะไร แล้วช่วยรักษ์โลกอย่างไรได้บ้าง ตามไปหาคำตอบกันได้ใน Eco-Curious รายการที่จะพาไปซอกแซกดูมุม Sustain ของแบรนด์ต่างๆ ที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น กับตอนแรก REVERB by Gadhouse 

 

บทความ: https://thestandard.co/life/reverb-by-gadhouse

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by THE STANDARD LIFE (@thestandard.life)

 

 


 

 

Eco-Curious EP.2

 

CAKE มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหลักแสน เช่าได้ในราคาหลักร้อย

 

CAKE มอเตอร์ไซค์ยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับโลกและผู้คนในสังคม รถสองล้อเกรดพรีเมียม ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ไม่ปล่อยมลพิษทั้งกลิ่นและเสียง แถมยังทิ้ง Carbon Footprint ในการผลิตน้อยกว่าโทรทัศน์ 43 นิ้วเครื่องเดียวเสียอีก

 

จุดเริ่มต้นของ CAKE คืออะไร แล้วช่วยรักษ์โลกได้อย่างไรบ้าง ติดตามได้ใน Eco-Curious รายการที่จะพาไปซอกแซกดูมุม Sustain ของแบรนด์ต่างๆ ที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น กับ EP.2 CAKE มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหลักแสน เช่าได้ในราคาหลักร้อย

 

บทความ: https://thestandard.co/life/cake-electric-motorcycle-can-be-rented

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by THE STANDARD LIFE (@thestandard.life)

 

 


 

 

Eco-Curious EP.3

 

Bounce Burger เบอร์เกอร์สุดล้ำ ทำจากเนื้อจิ้งหรีด

 

ใครจะคิดว่าแค่การกินเบอร์เกอร์ 1 ครั้ง จะมีส่วนช่วยโลกลดการก๊าซเรือนกระจกได้ Bounce Burger เป็นร้านเบอร์เกอร์ลับๆ ย่านปรีดี พนมยงค์ ที่ใช้วัตถุดิบลับอย่างจิ้งหรีด เนื้อสัตว์จำพวกแมลงมาเป็นส่วนประกอบของเบอร์เกอร์ นอกจากโปรตีนสูงจนถูกเรียกว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดแห่งอนาคต การเลี้ยงจิ้งหรีดยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซมีเทน ซึ่งร้ายแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปริมาณมาก

 

จุดเริ่มต้นของ Bounce Burger คืออะไร แล้วช่วยรักษ์โลกได้อย่างไรบ้าง ติดตามได้ใน Eco-Curious รายการที่จะพาไปซอกแซกดูมุม Sustain ของแบรนด์ต่างๆ ที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น กับ EP.3 Bounce Burger เบอร์เกอร์สุดล้ำ ทำจากเนื้อจิ้งหรีด

 

บทความ: https://thestandard.co/life/bounce-burger-cricket-burger

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by THE STANDARD LIFE (@thestandard.life)

 

 

ภาพ: Shutterstock

The post Eco-Curious รายการ Sustain ที่ชวนคนมารักษ์โลกทุกวัน ไม่เฉพาะวัน Earth Day appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายงาน UN ชี้ ไทย-อาเซียนเป็นแหล่งทิ้งขยะผิดกฎหมายของโลก https://thestandard.co/thailand-worlds-illegal-waste/ Sat, 06 Apr 2024 10:01:33 +0000 https://thestandard.co/?p=920336 แหล่งทิ้งขยะผิดกฎหมาย ของ โลก

รายงานล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญาก […]

The post รายงาน UN ชี้ ไทย-อาเซียนเป็นแหล่งทิ้งขยะผิดกฎหมายของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
แหล่งทิ้งขยะผิดกฎหมาย ของ โลก

รายงานล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ชี้ว่า ไทยและประเทศเพื่อนบ้านในย่านอาเซียนเป็นแหล่งทิ้งขยะผิดกฎหมายของโลก ซึ่งส่วนใหญ่ลักลอบนำเข้าจากตลาดมืดและอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายในการดำเนินการ

 

รายงานระบุว่า ประเทศผู้นำเข้าหลักในภูมิภาคนี้ ได้แก่ ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดย ‘ขยะพลาสติก’ ถือเป็นหนึ่งในขยะที่ถูกขนส่งมากที่สุดทั่วโลกช่วงปี 2017-2022 โดยขณะนี้มีปริมาณมากเกือบ 43 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังไม่นับรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะปนเปื้อนอีกจำนวนมาก

 

มลพิษจากขยะพลาสติกเป็นปัญหาระดับโลกที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการดำรงชีวิต รวมถึงภาคเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะปัญหา ‘ไมโครพลาสติก’ ที่สามารถตกค้างในระบบทางเดินหายใจและห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิตได้

 

รายงาน UN ฉบับนี้ยังเผยอีกว่าภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะมีความเสี่ยงสูงต่อการทุจริตคอร์รัปชัน เนื่องจากกลุ่มผลประโยชน์จะแสวงหาโอกาสด้วยการติดสินบนเจ้าพนักงาน ปลอมแปลงเอกสาร ขัดขวางการตรวจสอบและฝ่าฝืนข้อบังคับต่างๆ

 

การติดตามเส้นทางขยะผิดกฎหมายที่มีลักษณะ ‘ข้ามชาติ’ ถือเป็นความท้าทายอย่างมากในปัจจุบัน เพราะมักจะอาศัยช่องโหว่ต่างๆ หลากหลายวิธีในการลักลอบนำเข้าขยะพิษผิดกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะขนย้ายมาจากประเทศต้นทางในแถบยุโรป โดยสถิติระหว่างปี 2017-2022 สหภาพยุโรป (EU) มีส่วนสนับสนุนการค้าขยะพลาสติกเกือบครึ่งหนึ่งของโลก

 

โดยขณะนี้อาเซียนนำเข้าขยะโลหะ กระดาษ และขยะพลาสติกมากกว่า 100 ล้านตัน ซึ่งมีมูลค่าสูงเกือบ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และปริมาณขยะที่นำเข้าก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี

 

รายงานยังระบุว่า ในประเทศไทยขยะบางประเภทไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทางการ ผู้ลักลอบจึงเลือกที่จะติดฉลากว่าเป็น ‘สินค้าใช้แล้ว’ เพื่อนำขยะผ่านข้ามแดน มากกว่าที่จะปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ขณะที่ในเวียดนาม ขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้จะถูกติดฉลากว่าเป็น ‘พลาสติกรีไซเคิล’ เพื่อลักลอบนำขยะเข้าประเทศ

 

ธุรกิจการค้าขยะข้ามชาติมักถูกมองว่าเป็นการก่ออาชญากรรมที่ให้ผลกำไรสูงและมีความเสี่ยงต่ำ ส่วนใหญ่ขยะเหล่านี้มักจะถูกส่งจากประเทศที่มีรายได้สูงไปยังประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง และเมื่อขยะมาถึงประเทศปลายทางก็มักจะถูกฝังกลบ เผาในที่โล่ง หรือจัดเก็บในสถานที่ผิดกฎหมาย ซึ่งก่ออันตรายให้กับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์อย่างมาก

 

ข้อมูลล่าสุดจากกลุ่มธนาคารโลกคาดการณ์ว่าปริมาณขยะทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 70% จากปี 2018 เป็น 3.4 พันล้านตันต่อปีภายในปี 2050

 

แฟ้มภาพ: Neenawat Khenyothaa / Shutterstock

อ้างอิง:

The post รายงาน UN ชี้ ไทย-อาเซียนเป็นแหล่งทิ้งขยะผิดกฎหมายของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
WHO ประเมิน ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพราะมลพิษทางอากาศ สูงถึง 7 ล้านคนทั่วโลก https://thestandard.co/who-premature-deaths-air-pollution/ Mon, 25 Mar 2024 09:44:13 +0000 https://thestandard.co/?p=915241 ผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร มลพิษทางอากาศ

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า ในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้ […]

The post WHO ประเมิน ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพราะมลพิษทางอากาศ สูงถึง 7 ล้านคนทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร มลพิษทางอากาศ

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า ในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพราะ มลพิษทางอากาศ สูงถึง 7 ล้านคน โดยประชากรโลกเกือบ 99% เผชิญปัญหาคุณภาพอากาศย่ำแย่กว่าเกณฑ์มาตรฐานของ WHO ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

 

โดยผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจำนวนไม่น้อยเกี่ยวข้องกับ ‘ฝุ่นละอองขนาดเล็ก’ (Particulate Matter) โดยเฉพาะ PM2.5 ซึ่งมีส่วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหัวใจ มะเร็งปอด รวมถึงโรคทางเดินหายใจที่รุนแรงและเรื้อรัง ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของวิกฤตฝุ่นมาจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร ทั้งจากฝีมือมนุษย์และเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

 

WHO ระบุว่า เมื่อเดือนเมษายน 2022 ความเข้มข้นของฝุ่นละออง PM2.5 ในไทยสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานของ WHO ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ WHO ยังเคยประเมินว่า ยอดผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศในไทยพุ่งสูงกว่า 33,000 คนในปี 2016

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล

อ้างอิง:

The post WHO ประเมิน ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพราะมลพิษทางอากาศ สูงถึง 7 ล้านคนทั่วโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>