Sugar Ray – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Thu, 24 Aug 2023 01:07:44 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Ray Cocktail & Bite บาร์ญี่ปุ่นที่ให้คุณดื่มด่ำสิ่งตรงหน้ามากกว่าหลังบาร์ https://thestandard.co/life/ray-cocktail-and-bite Fri, 07 Jul 2023 15:40:12 +0000 https://thestandard.co/?p=813937 Ray Cocktail & Bite

หลังจากเปิด Rimshot ไปได้ไม่นานนัก นี่คืออีกหนึ่งโปรเจก […]

The post Ray Cocktail & Bite บาร์ญี่ปุ่นที่ให้คุณดื่มด่ำสิ่งตรงหน้ามากกว่าหลังบาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Ray Cocktail & Bite

หลังจากเปิด Rimshot ไปได้ไม่นานนัก นี่คืออีกหนึ่งโปรเจกต์ล่าสุดของเครือ Sugar Ray ที่มาสั่นสะเทือนวงการบาร์และค็อกเทลอีกครั้งกับ Ray Cocktail & Bite บาร์ที่ใส่ความญี่ปุ่นในค็อกเทล และให้ผู้คนดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าสิ่งที่อยู่หลังบาร์

 

Ray Cocktail & Bite

 

The Vibe

ทางเข้าบาร์อาจดูลึกลับเล็กน้อยเพราะอยู่ตรงช่องทางเดินระหว่างสองตึก เมื่อผลักประตูเข้ามาก็จะพบกับบาร์เป็นสิ่งแรก จุดเด่นของ Ray คือบาร์ลักษณะทรงกลม 2 บาร์ทับซ้อนกันโดยมีเคาน์เตอร์คั่นตรงกลาง และเก้าอี้นั่งล้อมบาร์กลมทั้งสอง

 

 

 

เมื่อสั่งค็อกเทล บาร์เทนเดอร์จะทำดริงก์ที่เคาน์เตอร์กลางร้าน และเมื่อมิกซ์เรียบร้อยค่อยยกมาเสิร์ฟให้เราตรงหน้า จะไม่มีการผสมบนโต๊ะบาร์ต่อหน้าแขก เนื่องจากต้องการให้ผู้มาเยือนจดจ่อกับดริงก์และอาหารมากกว่าขั้นตอนการครีเอตค็อกเทล

 

 

ทั้งนี้ยังมีที่นั่งเป็นมุมโซฟารอบนอกบาร์ โซนไพรเวตข้างประตูทางเข้า และอีกมุมที่อยู่ข้างครัวกึ่งเปิดด้านในร้าน

 

 

 

The Taste

ค็อกเทลเชื่อมือทีมงาน Sugar Ray ได้เลย เพราะมีคอนเซปต์ มีเรื่องราว และทุกส่วนผสมที่ใช้ก็ไปได้ดีกับดริงก์ทั้งหมด ค็อกเทลที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากความเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นที่มาที่ไป ตัวสปิริตในค็อกเทล ส่วนผสมต่างๆ ในแก้ว หรือแม้แต่รสชาติคุ้นลิ้นที่เราเคยกินมาก่อน

 

ทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นจะอยู่ในดริงก์ทุกแก้ว และแน่นอนว่าบรรยากาศก็ช่วยชูโรงเสริมรสให้กับดริงก์ด้วย นั่งไปสักพักคุณอาจได้ยินเพลงสไตล์ City Pop ฟังฮิตติดหูจนต้องจิบแล้วเคาะนิ้วตามจังหวะเลยล่ะ

 

 

ค็อกเทลที่นี่แบ่งเป็น 3 หมวด หมวดแรก Simple จะออกแนวสดชื่นดื่มง่าย หมวดถัดมา Sophisticated รสชาติจะซับซ้อนกว่าค็อกเทลปกติ อาจมีสิ่งที่เราคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย และบางแก้วก็ชวนให้เราจินตนาการไปไกล แต่สั่งแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน และหมวดสุดท้าย Japanese Classics เป็นเครื่องดื่มที่ได้แรงบันดาลใจจาก Tokyo Cocktail Book

 

 

 

เราแนะนำให้เริ่มจากหมวดแรกก่อน เบาไปหาหนัก Haru Santo Highball (400 บาท) จินค็อกเทลอินฟิวส์กับเปลือกไม้หอม Palo Santo กับคราฟต์โซดารสชิโอะซากุระที่บาร์ทำเอง ซึ่งได้มาจากการดองดอกซากุระในน้ำเกลือ และไม่ได้มีเพียงจินกับโซดาเท่านั้น แต่ยังได้เหล้าพีชมาเชื่อมรสชาติให้กลมขึ้น แก้วนี้นอกจากจะให้รสเปรี้ยวหวานและความซ่าสดชื่นแล้ว ยังมีรสเค็มเล็กน้อยมาช่วยสมดุลรสชาติอีกด้วย

 

 

ขยับมาที่ค็อกเทลรส Savory ขึ้นมาหน่อย Potato & Cheese (440 บาท) แก้วนี้เบสด้วย Peated Whisky ซึ่งมีเอกลักษณ์ในเรื่องของกลิ่นควันจางๆ กับสปิริตอีกตัวคือ โชจู (Shochu) ซึ่งเป็นเหล้าสีใสที่ได้จากการหมักมันม่วงญี่ปุ่นอินฟิวส์กับพาร์เมซานชีส เติมรสชาติให้จิบง่ายขึ้นด้วยคอร์เดียลมันม่วง ก่อนเสิร์ฟจะขูดชีสโรยหน้าค็อกเทลจนทั่ว แล้วเบิร์นไฟให้ชีสละลายติดก้อนน้ำแข็งและผิวหน้าของดริงก์เพื่อความหอมและรสชาติที่ซับซ้อน จิบทีละนิดเพื่อความอร่อยจะได้อยู่ไปนานๆ

 

 

มาถึงค็อกเทลในหมวด Sophisticated หลายคนอาจจะคุ้นเมนู Irish Coffee กันบ้างแล้ว ครั้งนี้มาลองอะไรที่มันทวิสต์กันบ้าง Natsu Coffee (400 บาท) ยังคงวนเวียนกับโชจูซึ่งเป็นเบสสปิริต ผสมน้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดงรสเข้มข้น กาแฟโคลด์บรูว์แล้วท็อปด้วยครีมนมถั่วเหลืองโรยข้าวพอง สัมผัสชั้นล่างเย็นเจี๊ยบ ส่วนด้านบนอุ่นๆ แต่ให้กินพร้อมกันทุกเลเยอร์เพื่อความฟิน

 

 

เอาใจคอเนโกรนีกับ Dorayaki Negroni (400 บาท) ลองนึกภาพเนโกรนีรสโดรายากิกับโดรายากิรสเนโกรนี ดริงก์นี้ผสมผสานเอกลักษณ์ของสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน จินถั่วแดง เวอร์มุธงาดำ อามาโรบิตเทอร์กลิ่นโฮจิฉะคาเคานิบส์ เบลนด์กลิ่นอายญี่ปุ่นให้อยู่ในคลาสสิกค็อกเทลจนได้เป็นโมเดิร์นค็อกเทลที่รสอร่อยจนขอบอกต่อ อย่าลืมกัดโดรายากิจิ๋วตามเข้าไปด้วยล่ะ

 

 

นอกเหนือจากค็อกเทล อาหารก็จริงจังและมีตัวเลือกหลากหลายไม่แพ้กัน ตามคอนเซปต์ที่ชัดเจนตั้งแต่ชื่อร้านว่าเป็น Cocktail & Bite อาหารที่นี่จึงเป็นได้ทั้งของกินเล่น กับแกล้ม ไปจนถึงดินเนอร์ก็ยังได้

 

Raw Tuna (850 บาท) ถึงจะดูเหมือนทูน่าซาชิมิธรรมดา แต่ที่ Ray คัดเฉพาะเนื้อแดง Senaka ซึ่งเป็นส่วนที่อร่อยที่สุดของทูน่า สไลซ์ชิ้นหนาพอดีคำวางสลับกับแอปเปิ้ลเขียวฝานบาง กินกับซอสเผ็ดสไตล์จีนกับดิปโคโชแดง (Red Kosho)

 

 

หรือจะเปลี่ยนจากทูน่ามาลอง Sugi Ceviche (320 บาท) เซวิเชปลาช่อนทะเล รสจี๊ดจ๊าดด้วยน้ำส้มยูซุที่คลุกเคล้ากับเนื้อปลา โรยหอมเจียว หอมดอง และพริกฮาลาเปโญ คีบกินเพลินจนต้องสั่งเบิลแน่นอน

 

 

Grilled Beef Tongue (600 บาท) อีกหนึ่งกับแกล้มยอดฮิตของคนญี่ปุ่น ลิ้นวัวย่างปลายผิวไหม้เล็กน้อย โรยดอกเกลือ จิ้มกินกับหัวไชเท้าพอนสึและวาซาบิ กินเล่นก็เวิร์ก กินแกล้มค็อกเทลก็ยิ่งเพลิน

 

 

สูงสุดกลับสู่สามัญ Fried Chicken (300 บาท) กับแกล้มสากลที่ไม่ว่าจะชาติไหนก็นิยมสั่งมาแกล้มเครื่องดื่ม สะโพกไก่ไร้กระดูกชุบแป้งทอดจนกรอบนอกนุ่มใน กินกับซอสฮันนี่มัสตาร์ดที่กองอยู่ก้นถ้วย คลุกให้เข้ากันแล้วแย่งกันคีบได้เลย

 

 

Good for

นักจิบ ก๊วนเพื่อนฝูง หรือใครที่กำลังหาบาร์บรรยากาศดีๆ พร้อมค็อกเทลรสเยี่ยม หรือจะมา One Drink & Go Home ลองโทรมาจองโต๊ะกันได้ เราไม่แนะนำให้ Walk-in เพราะคิวค่อนข้างแน่น

 

 

Ray Cocktail & Bite

Open: ทุกวัน 18.30-01.30 น.

Address: The Salil Hotel Riverside Bangkok, 2052/7-9 ซอยเจริญกรุง 72/1

Tel: 09 6669 2996

Budget: 500-1,000 บาท

Website: https://www.instagram.com/ray.cocktailandbite

Map: 

 

The post Ray Cocktail & Bite บาร์ญี่ปุ่นที่ให้คุณดื่มด่ำสิ่งตรงหน้ามากกว่าหลังบาร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Sugar Ray บาร์ลับที่มัดใจคุณด้วยวิสกี้และค็อกเทลแก้วเด็ด https://thestandard.co/sugarraybkk/ https://thestandard.co/sugarraybkk/#respond Fri, 29 Jun 2018 04:16:13 +0000 https://thestandard.co/?p=102295

ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อ Suga […]

The post Sugar Ray บาร์ลับที่มัดใจคุณด้วยวิสกี้และค็อกเทลแก้วเด็ด appeared first on THE STANDARD.

]]>

ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อ Sugar Ray You’ve Just Been Poisoned เนื่องจากสมัยนั้นบาร์ที่สแตนด์อโลนยังมีไม่มาก แถมตัวเลือกเครื่องดื่มก็ยังไม่หลากหลายเท่าปัจจุบัน การมีบาร์คุณภาพดีๆ ที่ไม่ได้อยู่ในโรงแรมห้าดาวจึงนับเป็นสวรรค์ของนักดื่ม ณ เวลานั้น Sugar Ray วางตัวชัดเจนว่า ‘บาร์ไม่จำเป็นต้องเปิดทุกวัน’ พวกเขาจึงเปิดร้านแค่สัปดาห์ละสามครั้ง ซึ่งในทางธุรกิจมันแทบเป็นไปไม่ได้ที่บาร์แห่งนี้จะทำเงินงอกงาม

 

แต่ Sugar Ray ก็ยังยืดหยัดอยู่ได้แม้ไม่กำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน เหตุเพราะหนึ่งในหุ้นส่วนคนสำคัญอย่างคุณเติร์ก-สิทธานต์ สงวนกุล วางจุดเริ่มต้นของ Sugar Ray ด้วยแพสชันที่มีให้การดื่ม แน่นอนว่าสำหรับลูกค้าแล้ว การที่เจ้าของธุรกิจทำงานด้วยแพสชันย่อมหมายถึงผลกำไร เพราะมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเมื่อเข้าไปใช้บริการ  

 

“ตอนทำ Sugar Ray มันออร์แกนิกมาก ไม่เคยมีประชุม ไม่เคยตั้งเป้ายอดขายหรือลดต้นทุน ผมไม่สนใจกำไรตราบใดที่มันไม่ขาดทุน ผมโฟกัสที่แพสชันอย่างเดียว” คุณเติร์กกล่าว

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลังให้กำเนิดน้องชายและน้องสาวอย่างบาร์ Q&A และ Thaipioka ถึงจุดหนึ่งเขาอยากหันกลับมากรูมมิ่งลูกคนแรกอย่าง Sugar Ray ให้เติบโตไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น เมื่อตัดสินใจแล้ว คุณเติร์กจึงย้ายจากถิ่นฐานเก่าย่านเอกมัยมายังสุขุมวิทซอย 24 พร้อมทีมงานชุดเดิม คอนเซปต์เดิม แต่ขยายเวลาทำการเป็น 6 วันต่อสัปดาห์

 

 

The Vibe

เตือนไว้ก่อนว่าทางเข้าสถานที่แห่งนี้อาจหาไม่ง่ายนัก สามารถเข้าได้สองทางระหว่างทะลุมาจาก OCTO Seafood Bar หรือเข้าทางซอยก่อนถึงร้านอาหารดังกล่าว ให้สังเกตประตูด้านขวามือที่ไม่มีป้ายชื่อร้านใดๆ แต่มีหนุ่มน้อยใส่หมวกยืนต้อนรับอยู่ (ซึ่งไม่รู้ว่าทางร้านจะยกออกไปเมื่อไร)

 

สังเกตประตูทางเข้าซ้ายมือ

 

และเมื่อเปิดประตูเข้ามาด้านในคุณจะพบกับห้องลับที่เปรียบเสมือนห้องใต้ดินของ Gentlemen’s club โดดเด่นด้วยวิสกี้ จิน และรัมนับร้อยขวด ตั้งเรียงรายอยู่หลังบาร์ ในขณะที่เคาน์เตอร์หินอ่อนสีเข้มยาวจรดผนัง โซฟาหนังสีดำขลับ และผนังปูนเปลือย สะท้อนให้เห็นถึงคาแรกเตอร์ของร้านที่มีความนิ่ง น้อย ทว่าหนักแน่น ไม่ต่างจากซิงเกิลมอลต์ชั้นดีที่ไม่ต้องการสิ่งใดปรุงแต่งเพิ่มเติม ปล่อยให้รสชาติที่บ่มเพาะมาอย่างยาวนาน ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวแทนคำพูดนับล้าน

 

 

นอกจากงานดีไซน์แล้ว ที่นี่ยังให้ความสำคัญกับระบบเสียง เจ้าของร้านเน้นย้ำว่าที่นี่เพลงต้องดี หากเป็นวันธรรมดาทางร้านจะเปิดแนวแจ๊ซจากแผ่นไวนิล ส่วนวันศุกร์ได้ DJ Jedi มาเปิดแผ่นตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีหนึ่ง ในขณะที่วันเสาร์สนุกกับ old school หรือ japanese soul จาก DJ Toru ที่ขึ้นเล่นเวลาเดียวกัน

 

The Drinks

คุณเติร์กกล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่าเขาอยากให้คนมาที่นี่แล้วรู้สึกผ่อนคลายในฟีลลิ่ง แต่ซีเรียสในแง่โปรดักส์และเครื่องดื่ม ลำพังแค่วิสกี้ที่มีกว่าร้อยขวดก็น่าทึ่งมากพอ เพราะมีทั้งขวดหายาก ขวดที่ไม่คิดว่าบาร์ไหนจะกล้าสต็อก รวมถึงขวดที่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าสั่งด้วย (แพงที่สุดตอนนี้อยู่ที่แก้วละ 10,000 บาท) รับรองว่าคอวิสกี้มาแล้วไม่ผิดหวัง

 

ส่วนเมนูค็อกเทลนั้นปรับเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้จำเจ พวกคลาสสิกค็อกเทลอย่าง Negroni, Old Fashioned หรือ Mojito มียืนพื้นอยู่แล้ว ส่วนค็อกเทลโลกใหม่คิดค้นโดยคุณต่อ-วิภพ จินาพันธ์ ผู้ประจำอยู่หลังบาร์ของ Sugar Ray มาตั้งแต่เริ่มต้น

 

คุณต่อ-วิภพ จินาพันธ์

 

วันนั้นเรามีโอกาสได้ลอง Elixir #1 (380 บาท) ดัดแปลงมาจากค็อกเทลคลาสสิกอย่าง Corpse Reviver No.2 ซึ่งเป็นเครื่องดื่มประเภท pick me up แก้แฮง ดื่มแล้วสดชื่น ถึงขั้นมีคนขนานนามว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ช่วยปลุกชีพให้คนตาย หรือไม่ก็แรงขนาดที่คนปกติน็อกได้เลย ในขณะที่ Elixir แปลว่ายาอายุวัฒนะ ช่วยมอบกำลังวังชา นอกจากส่วนผสมอย่าง Bianco vermouth, Absinthe และ Cointreau แล้ว ทางร้านจึงนำจินไปอินฟิวส์กับโสมเกาหลี ก่อนท็อปด้านบนเพื่อเสริมกลิ่นหอม มอบสัมผัสของสมุนไพรชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสของผลไม้เปรี้ยวสดชื่นซับซ้อนกันอยู่ นับเป็นแก้วที่แรง หอม สดชื่น หลากคาแรกเตอร์เอามากๆ   

 

Elixir #1 (380 บาท)

 

แก้วถัดมา East Coast Boulevard (420 บาท) เป็นอีกตัวที่ดัดแปลงจากคลาสสิกค็อกเทลอย่าง Boulevardier คล้ายเนโกรนีที่ผสมจิน คัมปารี และเรดเวอร์มุท แต่เปลี่ยนมาใช้อเมริกันวิสกี้ เบอร์เบิน หรือไรย์วิสกี้ ความพิเศษอยู่ที่คุณต่อต้องการดันให้เหล้ารองอย่างคัมปารีเป็นตัวเอก จึงนำมาอินฟิวส์กับชาเครื่องเทศแถบอินเดียหรือปากีสถาน เช่น ซินนามอน ขิง ฯลฯ แต้มด้วยช็อกโกเลตและเกรปฟรุตบิตเตอร์ เพื่อเสริมมิติให้ค็อกเทลคลาสสิกนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น ไม่ได้มีเพียงรสหวานหรือขมอย่างเดียว เพิ่มความสนุกให้ผู้ดื่มด้วยแรกจิบที่ออกขม แต่เมื่อลิ้มรสที่สองจะได้ความหวานแทรกเข้ามา  

 

East Coast Boulevard (420 บาท)

 

แก้วที่สามในค่ำคืนได้แก่ Un Poco Loco (420 บาท) ที่เป็นภาษาสเปนแปลว่า a little bit crazy สาเหตุที่ทางร้านตั้งชื่อนี้เพราะแก้วนี้เป็นค็อกเทลที่ดื่มง่ายมากแต่มีความแรงในตัว ดื่มแล้วเมาไม่รู้เรื่อง เนื่องจากดีกรีแอลกอฮอล์แรงไม่แพ้ old fashioned ให้สัมผัสคล้ายมาการิต้าโยเกิร์ตมะม่วง แต่เติม amaro ซึ่งเป็นเหล้าอิตาลีที่มีรสชาติขม อมหวาน เผ็ดเครื่องเทศ แก้วนี้จึงหอมนัวดื่มง่าย ลงคอเร็ว เหล้าไม่โดด แต่จับได้ว่าแรงเอาเรื่อง  

 

Un Poco Loco (420 บาท)

 

ใครเป็นแฟนขาประจำ Sugar Ray น่าจะพอจำแก้วนี้กันได้ เพราะได้รับความนิยมถึงขั้นกลับมาอยู่ในเมนูอีกครั้ง Born & Raise (350 บาท) เน้นส่วนผสมที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยและเอเชีย เช่น จินที่นำไปอินฟิวส์กับชาไทย ส้มแมนดาริน น้ำเชื่อมใบเตย และน้ำมะนาว ซึ่งเป็นส่วนผสมเรียบง่ายที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ให้ความรู้สึกถึงชาไทยที่ดื่มแล้วสดชื่น หวานอ่อนๆ หอมกลิ่นกุหลาบมอญ ใครว่าแก้วบนดื่มง่ายแล้ว เจอจินชาไทยแก้วนี้เข้าไปก็ดื่มเพลินหมดแก้วได้เหมือนกัน

 

Born & Raise (350 บาท)

 

หากว่าค็อกเทลในเมนูยังไม่ถูกใจ หรือเดินเข้าร้านแบบไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี แนะนำให้ถามบาร์เทนเดอร์หน้าบาร์ได้เลย เพราะที่นี่สามารถครีเอตรสชาติตามเทสต์ที่คุณชอบ ไม่ว่าจะค็อกเทลเปรี้ยวอมหวาน ขอเข้มๆ ได้รสเหล้า หรือหากมีสูตรประจำตัวก็สามารถบอกทางร้านได้ เพราะคุณต่อกระซิบมาแล้วว่า ขอเพียงให้คุณพอใจ ที่นี่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง  

 

Sugar Ray You’ve Just Been Poisoned  

Open: เปิดทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่ 19.00-02.00 น. ปิดวันจันทร์

Address: 88 สุขุมวิท 24 ด้านใน Octo Seafood Bar

Budget: ราคาเริ่มต้น 330 บาท

Contact: โทร. 09 4417 9898  

Page: www.facebook.com/sugarraybkk

Map: 

 

 

The post Sugar Ray บาร์ลับที่มัดใจคุณด้วยวิสกี้และค็อกเทลแก้วเด็ด appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/sugarraybkk/feed/ 0