S&P – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 14 Jun 2024 00:51:17 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 วิเคราะห์ท่าที Fitch และ S&P เห็นด้วยหรือไม่? หลัง Moody’s หั่นแนวโน้มอันดับเครดิตจีนครั้งแรกในรอบ 6 ปี https://thestandard.co/fitch-s-and-p-moodys-china/ Wed, 06 Dec 2023 08:16:52 +0000 https://thestandard.co/?p=873961

วิเคราะห์ท่าทีบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ 3 แห […]

The post วิเคราะห์ท่าที Fitch และ S&P เห็นด้วยหรือไม่? หลัง Moody’s หั่นแนวโน้มอันดับเครดิตจีนครั้งแรกในรอบ 6 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>

วิเคราะห์ท่าทีบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ 3 แห่ง (Big Three) ได้แก่ S&P Global Ratings (S&P), Moody’s และ Fitch Ratings มีท่าทีอย่างไรต่อ ‘จีน’ หลัง Moody’s หั่นแนวโน้มอันดับเครดิตประเทศ (Outlook) จีนจากระดับ ‘คงที่’ (Stable) ไปสู่ระดับ ‘ติดลบ’ (Negative) เนื่องจากกังวลว่าปริมาณหนี้มหาศาลในรัฐบาลท้องถิ่นจีนและวิกฤตในตลาดอสังหาริมทรัพย์จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในระยะกลางและระยะยาว

 

ตามการรวบรวมข้อมูลของ THE STANDARD WEALTH พบว่า ณ วันที่ 6 ธันวาคม บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ 3 แห่ง จัดอันดับเครดิตประเทศจีนอยู่ที่ระดับลง (Investment Grade) ดังนี้

 

  • Moody’s Investors Service จัดอันดับเครดิตประเทศจีนอยู่ที่ A1 ปรับแนวโน้มเป็น Negative ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2023
  • S&P จัดอันดับเครดิตประเทศจีนอยู่ที่ A+ โดยมีแนวโน้ม Stable ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2017
  • Fitch Ratings จัดอันดับเครดิตประเทศจีนอยู่ที่ A+ โดยมีแนวโน้ม Stable ตั้งแต่ 5 พฤศจิกายน 2007

 

 

S&P ยืนยันคงอันดับเครดิตจีน เตือน GDP อาจโตต่ำกว่า 3% หากวิกฤตอสังหาขยายตัว

 

วันนี้ (6 ธันวาคม) S&P Global Ratings ยืนยันว่า อันดับเครดิตประเทศจีนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง อยู่ที่ระดับ A+ ส่วนแนวโน้มอยู่ที่ ‘คงที่’

 

“เรายืนยันว่าอันดับเครดิตระยะยาวของจีนอยู่ที่ A+ ตามการประกาศครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมิถุนายนด้วยแนวโน้มที่คงที่ และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเรื่องนี้” S&P กล่าวกับ Reuters

 

อย่างไรก็ตาม จากรายงานของ S&P Global Ratings เมื่อเดือนตุลาคมกล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอาจลดลงต่ำกว่า 3% ในปี 2024 หากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์รุนแรงขึ้น

 

ใน Downside Scenario ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในปี 2024 อาจลดลงถึง 25% จากปี 2022 เหลือประมาณ 10 ล้านล้านหยวน โดย S&P ประมาณการว่าสิ่งนี้จะทำให้การเติบโตของ Real GDP ของจีนลดลงเหลือ 2.9% ในปี 2024

 

เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์คิดเป็นประมาณ 13% ของ GDP จีนในทางตรง ส่วนในทางอ้อมคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% โดยวิกฤตภาคอสังหายังอาจสร้างผลกระทบแบบโดมิโนต่อระบบการเงินและรัฐบาลท้องถิ่นได้ด้วย

 

Fitch มองปัญหา LGFV จ่อดีขึ้นในปี 2024

 

นอกจากนี้ Fitch Ratings ยังมองว่า Local Government Financing Vehicles (LGFV) ซึ่งเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจ ที่รัฐบาลท้องถิ่นจีนจัดตั้งขึ้นมาเพื่อลงทุนพัฒนาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระ (Default) ลดลงในปี 2024 

 

เนื่องจาก LGFV คาดว่าจะมีขีดความสามารถในการชำระหนี้และจัดหาเงินทุนให้กับโครงการภาครัฐในปี 2567 ‘มากขึ้น’ เนื่องจากรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น และการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางคาดว่าจะดีขึ้น 

 

อย่างไรก็ตาม Sherry Zhao ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการคลังระหว่างประเทศจาก Fitch ยังเตือนว่า เศรษฐกิจภูมิภาคที่อ่อนแออาจเผชิญกับการฟื้นตัวที่ชะลอตัวลง รวมไปถึงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ตึงตัวยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ เพื่อลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของ LGFV เมื่อเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศจีนจึงได้ออกพันธบัตรรีไฟแนนซ์พิเศษเพื่อชำระหนี้ มูลค่าทั่วประเทศรวม 5.5 ล้านล้านหยวน หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของพันธบัตร LGFV ที่มีครบกำหนดภายในสิ้นปี 2024 (ตามการประมาณการของ S&P)

 

โดยเมืองที่มีหนี้สูง เช่น มองโกเลียในยูนนาน และกุ้ยโจว ได้ออกพันธบัตรรีไฟแนนซ์มากขึ้น เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางตุ้ง ซึ่งยังไม่ได้ประกาศแผนการออกพันธบัตรรีไฟแนนซ์

 

Fitch จับตาระดับหนี้ภาคธุรกิจและธนาคารของจีน

 

เมื่อเดือนสิงหาคมผ่านมา James McCormack หัวหน้าฝ่ายอันดับเครดิตประเทศระดับโลก (Global Head of Sovereigns) จาก Fitch Ratings กล่าวว่า อาจพิจารณาทบทวนอันดับเครดิตประเทศของจีน ซึ่งอยู่ที่ระดับ A+ อีกครั้ง

 

“หากจีนขยายงบดุล (Balance Sheet) เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ เราอาจพิจารณาใหม่อีกครั้ง เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP อยู่ในระดับสูงเล็กน้อยสำหรับเครดิต A” James McCormack กล่าวกับ Bloomberg TV พร้อมทั้งเตือนอีกว่า การเพิ่มขึ้นของหนี้สินในภาคธุรกิจและการธนาคารอาจถูกโอนเป็นหนี้รัฐบาล อย่างไรก็ตาม McCormack ยังมองว่าจากหลักฐานล่าสุดไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น

 

อ้างอิง: 

The post วิเคราะห์ท่าที Fitch และ S&P เห็นด้วยหรือไม่? หลัง Moody’s หั่นแนวโน้มอันดับเครดิตจีนครั้งแรกในรอบ 6 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: Fund Flow ไหลออกไม่หยุด Bond Yield ไทยพุ่งนิวไฮในรอบ 9 ปี รับมืออย่างไร | THE STANDARD WEALTH https://thestandard.co/morning-wealth-06102023-2/ Fri, 06 Oct 2023 04:23:18 +0000 https://thestandard.co/?p=851316 รายการ Morning Wealth 6 ตุลาคม 2566

ประเมินความเสี่ยง Fund Flow ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยก […]

The post ชมคลิป: Fund Flow ไหลออกไม่หยุด Bond Yield ไทยพุ่งนิวไฮในรอบ 9 ปี รับมืออย่างไร | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายการ Morning Wealth 6 ตุลาคม 2566

ประเมินความเสี่ยง Fund Flow ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยกับตลาดหุ้นไทยไม่หยุด รับมืออย่างไร พูดคุยกับ กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: Fund Flow ไหลออกไม่หยุด Bond Yield ไทยพุ่งนิวไฮในรอบ 9 ปี รับมืออย่างไร | THE STANDARD WEALTH appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ต่างชาติทิ้งบอนด์ หลัง ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ เททะลุ 9 หมื่นล้านบาท | Morning Wealth 6 ต.ค. 2566 https://thestandard.co/morning-wealth-06102023/ Fri, 06 Oct 2023 00:24:00 +0000 https://thestandard.co/?p=851229 รายการ Morning Wealth 6 ตุลาคม 2566

วิเคราะห์ Fund Flow ไหลออกไม่หยุด-บอนด์ยีลด์ไทยพุ่งนิวไ […]

The post ชมคลิป: ต่างชาติทิ้งบอนด์ หลัง ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ เททะลุ 9 หมื่นล้านบาท | Morning Wealth 6 ต.ค. 2566 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รายการ Morning Wealth 6 ตุลาคม 2566

วิเคราะห์ Fund Flow ไหลออกไม่หยุด-บอนด์ยีลด์ไทยพุ่งนิวไฮรอบ 9 ปี รับมืออย่างไร พูดคุยกับ กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)

 

S&P ออกคำเตือนบริษัทใน Emerging Market ช่วงปี 67-70 เสี่ยงเบี้ยวหนี้ 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี รายละเอียดเป็นอย่างไร

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ เวลา 7.00-8.00 ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ต่างชาติทิ้งบอนด์ หลัง ‘เศรษฐา’ นั่งนายกฯ เททะลุ 9 หมื่นล้านบาท | Morning Wealth 6 ต.ค. 2566 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Ratings Agencies เตือน! รัฐบาลนานาประเทศอาจถูกลดอันดับเครดิต หากไม่สามารถจัดการต้นทุนการดูแลผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นได้ https://thestandard.co/ageing-populations-already-hitting-governments/ Thu, 18 May 2023 05:37:29 +0000 https://thestandard.co/?p=792180 Ratings Agencies

บริษัทจัดอันดับเครดิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Moody’s, S& […]

The post Ratings Agencies เตือน! รัฐบาลนานาประเทศอาจถูกลดอันดับเครดิต หากไม่สามารถจัดการต้นทุนการดูแลผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Ratings Agencies

บริษัทจัดอันดับเครดิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Moody’s, S&P และ Fitch ต่างก็เตือนว่า ลักษณะประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปในหลายประเทศ เช่น การมีอัตราการเกิดต่ำ และมีอัตราการตายที่ชะลอตัวลง กำลังกระทบอันดับเครดิตของรัฐบาลแล้ว

 

พร้อมทั้งเตือนว่า หากไม่มีการปฏิรูปในวงกว้าง การปรับลดอันดับเครดิตอาจทำให้ภาระทางการคลังของแต่ละประเทศสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น

 

ปัจจุบันธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารแห่งอังกฤษ (BOE) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุด นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน ซึ่งนับเป็นการเพิ่มต้นทุนการชำระหนี้ของรัฐบาลด้วย

 

Edward Parker หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกด้านอันดับเครดิตและความน่าเชื่อถือของ Fitch ซึ่งเพิ่งปรับลดอันดับเครดิตของฝรั่งเศสไปเมื่อเดือนที่แล้ว กล่าวว่า ปัญหาด้านประชากรกำลังเร่งด่วนมากขึ้น พร้อมเตือนว่าวาระการปฏิรูปของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง อาจหยุดชะงัก

 

ปัญหานี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มพันธบัตรรัฐบาลในสหภาพยุโรป โดยตามรายงานของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) แสดงให้เห็นว่า สัดส่วนของประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเพิ่มขึ้นจาก 20% ในปัจจุบันเป็น 30% ภายในปี 2050 เช่นเดียวกับในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

 

Marko Mrsnik หัวหน้านักวิเคราะห์ของ S&P Global Ratings กล่าวเสริมว่า จากการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของ S&P พบว่า ต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นเพียง 1% จะเพิ่มอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของญี่ปุ่น อิตาลี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาประมาณ 40-60% ภายในปี 2060

 

“นั่นเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมาก และบอกเป็นนัยถึงการปฏิรูป เพื่อจัดการกับแรงกดดันด้านอายุหรือการปฏิรูปการคลังอื่นๆ ซึ่งน่าจะมีความจำเป็นมากขึ้น หากหนี้ของภาครัฐยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป” Mrsnik กล่าว

 

เมื่อเดือนมกราคม S&P กล่าวว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกจะถูกปรับลดอันดับสู่ ‘ระดับขยะ’ ภายในปี 2060 เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 1 ใน 3 หากไม่มีการดำเนินมาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายของประชากรสูงอายุ

 

ประมาณการของ S&P ยังระบุว่า หากไม่มีการปฏิรูปนโยบายการคลังที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ อาจทำให้รัฐบาลขาดดุล 9.1% ของ GDP ภายในปี 2060 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 2.4% ในปี 2025 โดย S&P ยังคาดการณ์ด้วยว่า ต้นทุนเงินบำนาญจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 4.5% ของ GDP ภายในปี 2060 และแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ 

 

“ยิ่งรัฐบาลชะลอการดำเนินการออกไปนานเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น” Parker กล่าว พร้อมเตือนอีกว่า หลายประเทศในเอเชียมีแนวโน้มเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้น เนื่องจากแรงกดดันด้านประชากรศาสตร์ โดยเฉพาะ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และจีน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง: 

The post Ratings Agencies เตือน! รัฐบาลนานาประเทศอาจถูกลดอันดับเครดิต หากไม่สามารถจัดการต้นทุนการดูแลผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นได้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
S&P หั่นเครดิต ‘First Republic Bank’ อีกรอบ นักวิเคราะห์ชี้หุ้นกลุ่มแบงก์ยังเสี่ยงถูกเทขายต่อสัปดาห์นี้ https://thestandard.co/sp-lowers-first-republic-bank-rating/ Mon, 20 Mar 2023 02:07:21 +0000 https://thestandard.co/?p=765422 S&P

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า S&P Global บริษัทจัดอัน […]

The post S&P หั่นเครดิต ‘First Republic Bank’ อีกรอบ นักวิเคราะห์ชี้หุ้นกลุ่มแบงก์ยังเสี่ยงถูกเทขายต่อสัปดาห์นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
S&P

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า S&P Global บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของสหรัฐฯ ประกาศปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของ First Republic Bank จาก BB+ เป็น B+ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม โดยนับเป็นการหั่นเครดิตเป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันพุธที่ 15 มีนาคม S&P Global เพิ่งจะหั่นเครดิตของ First Republic Bank แบงก์จาก A- เป็น BB+ อย่างไรก็ตามทาง S&P Global ยังคงมุมมองเครดิตของธนาคารเป็น CreditWatch Negative ที่การดำเนินธุรกิจของธนาคารมีมุมมองเป็นลบ ทำให้ธุรกิจโดยรวมยังคงไม่สดใสมากนัก

 

สำหรับการปรับลดเครดิตความน่าเชื่อถือครั้งนี้ มีขึ้นท่ามกลางความพยายามในการหาทางแก้ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นกับทาง First Republic Bank ด้วยการที่บรรดาธนาคารรายใหญ่ในวอลล์สตรีทรวมตัวอัดฉีดเงินช่วยเหลือมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในรูปเงินฝาก เพื่อให้ธนาคารเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงเวลาที่กำลังเร่งหาผู้ซื้อเพื่อเข้ารับช่วงบริหารต่อ โดยทางหน่วยงานกำกับดูแลหวังว่าการจัดการทั้งหมดจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในระบบธนาคารในวงกว้าง

 

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งยังมองว่าความวุ่นวายในอุตสาหกรรมการธนาคารไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงเท่ากับวิกฤตการเงินที่ทำให้เกิดภาวะถดถอยครั้งใหญ่ในช่วงปี 2007-2009 แต่ผลกระทบก็อาจมีโอกาสรุนแรงจนไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ Silicon Valley Bank และ Signature Bank ล่มอย่างต่อเนื่อง จนรัฐบาลกลางต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ ทำให้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกังวลว่าจะเกิดโดมิโนในอุตสาหกรรมการธนาคารจนกระจายเป็นวงกว้างในที่สุด 

 

กระนั้น รายงานระบุว่า แนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ค่อนข้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดย เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เร่งหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อนลงความเห็นตรงกันว่า ต้องมีแพ็กเกจช่วยเหลือเพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตเลวร้ายลง แต่การควักเงินภาษีรัฐไปช่วยอาจไม่สะดวก และทำให้เยลเลนหันหน้าเข้าหาแบงก์ใหญ่ทั้งหลาย รวมถึง เจมี ไดมอน ซีอีโอของ JPMorgan Chase & Co. ในการหาทางออกสำหรับกรณีของ First Republic Bank จนกลายเป็นความร่วมมือของ 11 ธนาคารรายใหญ่ที่ให้เงินอัดฉีดในที่สุด

 

รายงานระบุว่า การช่วยเหลือดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันภาวะ Bank Run แต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงความเปราะบางต่อความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาของธนาคารเหล่านี้ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้นักวิเคราะห์จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s หั่นอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของระบบธนาคารของสหรัฐฯ เป็นลบ

 

ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารรายใหญ่จะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจช่วยกันลงขัน แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสามารถจัดการยุติวิกฤตของ First Republic Bank ได้แล้ว โดยหุ้นของธนาคารร่วงลงมากกว่า 30% ในวันศุกร์ที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากธนาคารลดการจ่ายเงินปันผลประจำปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการช่วยเหลือ และเมื่อย้อนไปทั้งสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าหุ้นของธนาคารลดลงเกือบ 70% โดยนักวิเคราะห์ของ Keefe, Bruyette & Woods กล่าวว่าการช่วยเหลือและการลดเงินปันผล ‘สร้างมุมมองที่น่ากลัวสำหรับทั้งบริษัทและผู้ถือหุ้น’

 

ผลลัพธ์ที่ตามมา แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือแล้ว ทำให้บรรดานักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารตลอดสัปดาห์ และมีแนวโน้มว่าจะเทขายอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ โดยความเสียหายส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ธนาคารขนาดเล็กในภูมิภาค เช่น Zions Bank, Fifth Third, Huntington Bank และ Comerica ความกังวลในวงกว้างคือธนาคารในภูมิภาคขนาดเล็กซึ่งถือหุ้นในคลังและหลักทรัพย์ค้ำประกันจำนวนมาก อาจถูกนักลงทุนบังคับให้ประเมินมูลค่าพอร์ตตราสารหนี้ใหม่


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


อ้างอิง: 

The post S&P หั่นเครดิต ‘First Republic Bank’ อีกรอบ นักวิเคราะห์ชี้หุ้นกลุ่มแบงก์ยังเสี่ยงถูกเทขายต่อสัปดาห์นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
S&P เผย กิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ลดลงต่ำในรอบหลายเดือน ส่งสัญญาณโลกเสี่ยงชะลอตัว https://thestandard.co/sp-economic-activity/ Wed, 24 Aug 2022 08:48:02 +0000 https://thestandard.co/?p=671346 S&P Global

S&P Global บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดัง เผ […]

The post S&P เผย กิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ลดลงต่ำในรอบหลายเดือน ส่งสัญญาณโลกเสี่ยงชะลอตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
S&P Global

S&P Global บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดัง เผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของทวีปยุโรป เดือนสิงหาคม พบว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวลดจากระดับ 49.9 ในเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ 49.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน

 

โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงในยุโรปเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากปัญหาเงินเฟ้อที่กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค และปัญหาสงครามในยูเครนที่มีผลต่อห่วงโซ่การผลิต ขณะเดียวกันยุโรปกำลังเผชิญกับปัญหาราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนเรื่องก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย

 

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Gazprom บริษัทผู้ผลิตก๊าซของรัสเซีย ได้ออกมาประกาศว่า จะหยุดส่งก๊าซธรรมชาติผ่านท่อ Nord Stream เพื่อซ่อมบำรุงเป็นเวลา 3 วัน ทำให้ราคาก๊าซในยุโรปปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสร้างความกังวลว่ายุโรปอาจเผชิญกับการขาดแคลนพลังงานในช่วงฤดูหนาว

 

ข้อมูลของ S&P ล่าสุดระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในยุโรปปรับลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ภาคบริการหลีกเลี่ยงการหดตัวอย่างหวุดหวิด โดยภาคการผลิตและบริการต่างเผชิญกับคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลง และยังมีแนวโน้มว่าคำสั่งซื้อในในเดือนต่อๆ ไปจะยังคงอ่อนแอ โดยมีรายงานว่า โรงงานหลายแห่งมีสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นจากยอดขายที่ตกลง

 

“ปริมาณสินค้าคงเหลือจำนวนมากบ่งชี้ว่า โอกาสที่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมจะปรับตัวดีขึ้นในเร็วๆ นี้คงเป็นเรื่องยาก” แอนดรูว์ ฮาร์เกอร์ นักเศรษฐศาสตร์จาก S&P Global กล่าว

 

ทั้งนี้ หากแยกดูเป็นรายประเทศจะพบว่า PMI ของเยอรมนี ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 ขณะที่ PMI ของฝรั่งเศส ปรับลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิดระลอกแรก 

 

Barclays ธนาคารชื่อดังในอังกฤษ ประเมินว่า เศรษฐกิจในยูโรโซนจะยังขยายตัวได้ในไตรมาสนี้ แต่จะหดตัวในไตรมาสที่ 4 และไตรมาสแรกของปีหน้า ขณะเดียวกันยังมองว่า เศรษฐกิจยุโรปมีโอกาสจะถดถอยรุนแรงขึ้นจากปัญหาความไม่แน่นอนเรื่องก๊าซธรรมชาติ

 

นอกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของยุโรปที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงแล้ว ผลสำรวจของ S&P ยังพบว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นและออสเตรเลียก็ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกนับจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเช่นกัน ซึ่งเมื่อนำข้อมูลจากทั้งสองส่วนมารวมกัน ก็จะทำให้ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงมากขึ้น

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post S&P เผย กิจกรรมทางเศรษฐกิจในยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ลดลงต่ำในรอบหลายเดือน ส่งสัญญาณโลกเสี่ยงชะลอตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักลงทุนเมินตัวเลขเงินเฟ้อพุ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ‘S&P 500’ ทำนิวไฮ https://thestandard.co/rising-inflation-wall-street-close-positive/ Fri, 11 Jun 2021 01:50:18 +0000 https://thestandard.co/?p=498895 เงินเฟ้อ

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ เมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา (10 ม […]

The post นักลงทุนเมินตัวเลขเงินเฟ้อพุ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ‘S&P 500’ ทำนิวไฮ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เงินเฟ้อ

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ เมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา (10 มิถุนายน) ปิดตลาดปรับตัวในแดนบวก ขานรับข่าวดีที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 376,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 15 เดือน และเมินตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี เนื่องจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์เชื่อว่าเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นการพุ่งขึ้นเพียงชั่วคราว

 

ทั้งนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.10 จุด หรือ 0.06% ปิดที่ 34,466.24 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 19.63 จุด หรือ 0.47%  ปิดที่ 4,239.18 จุด ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 108.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 14,020.33 จุด โดยมีหุ้นในกลุ่มสุขภาพและเทคโนโลยีมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด

 

ความเคลื่อนไหวของตลาดมีขึ้นหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พบปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนเมษายน ขณะที่ดัชนี CPI ในอัตรารายปีพุ่งขึ้นถึง 5.0% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2008

 

แม้ตัวเลขเงินเฟ้อจะพุ่งสูงจนน่าหวั่นใจ แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า ตัวเลขเงินเฟ้อถูกบิดเบือนจากการเปรียบเทียบกับตัวเลขฐานที่ต่ำผิดปกติในปีที่แล้ว ซึ่งขณะนั้นราคาสินค้าได้ทรุดตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และจากการประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

 

ในส่วนของราคาน้ำมันขยับปรับขึ้นจนใกล้แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ความต้องการบริโภคพลังงานจะเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังฟื้นตัวกลับมาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19

 

โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 33 เซนต์ ปิดที่ 70.29 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ด้านน้ำมันดิบเบรนต์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ ปิดที่ 72.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 

ด้านราคาทองคำ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลใจ และตัดสินใจหันไปถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ และทำให้ราคาทองคำในวันพฤหัสบดี (10 มิถุนายน) ปิดบวกเล็กน้อย โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 90 เซนต์ ปิดที่ 1,896.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล 

อ้างอิง:

The post นักลงทุนเมินตัวเลขเงินเฟ้อพุ่ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ‘S&P 500’ ทำนิวไฮ appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักลงทุนเมินคำเตือน ‘ฟองสบู่’ ยังคงไล่ซื้อหุ้นคึกคัก ดันดัชนี S&P 500 พุ่งแรงสุดในรอบ 90 ปี https://thestandard.co/investors-dismissed-the-warning-bubble/ Mon, 22 Feb 2021 01:47:08 +0000 https://thestandard.co/?p=457081 นักลงทุนเมินคำเตือน ‘ฟองสบู่’ ยังคงไล่ซื้อหุ้นคึกคัก ดันดัชนี S&P 500 พุ่งแรงสุดในรอบ 90 ปี

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า นักลงทุนชาวอเมริกันในห้วง […]

The post นักลงทุนเมินคำเตือน ‘ฟองสบู่’ ยังคงไล่ซื้อหุ้นคึกคัก ดันดัชนี S&P 500 พุ่งแรงสุดในรอบ 90 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
นักลงทุนเมินคำเตือน ‘ฟองสบู่’ ยังคงไล่ซื้อหุ้นคึกคัก ดันดัชนี S&P 500 พุ่งแรงสุดในรอบ 90 ปี

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า นักลงทุนชาวอเมริกันในห้วงเวลานี้ต่างให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าเดิม เห็นได้จากบรรดาเม็ดเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ ขณะที่เหล่าเฮดจ์ฟันด์ต่างก็เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดก็ไม่น้อยหน้า ก้าวเข้ามาเป็นผู้ซื้อคืนหุ้นรายใหญ่ด้วยสัดส่วนการซื้อคืนที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า

 

แม้ว่าความเคลื่อนไหวของทิศทางการลงทุนดังกล่าวจะแสดงให้เห็นสัญญาณความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภายใต้มาตรการกระตุ้นของรัฐบาลและความหวังในเรื่องวัคซีน แต่ขณะเดียวกัน การแห่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ในลักษณะดังกล่าว ยังเป็นสัญญาณเตือนอันตรายถึงสภาวะฟองสบู่อีกทางหนึ่งด้วย

 

บลูมเบิร์ก Bloomberg รายงานว่า ดัชนี S&P 500 ขณะนี้ขยับปรับขึ้นถึง 75% จากเดือนมีนาคมปีที่แล้ว กลายเป็นการขยับปรับขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในวงจรของตลาดกระทิง (ตลาดขาขึ้น) นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 หรือราวๆ 90 ปี

 

ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดของภาวะตลาดหมีครั้งล่าสุด วงจรขาขึ้นในขณะนี้เพิ่งมีอายุเพียง 11 เดือนเท่านั้น แต่อัตราความเร็วในการขยับขึ้นกลับแซงหน้าวงจรตลาดกระทิงครั้งก่อนหน้า อย่างน้อยก็ 3 ครั้ง ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขณะที่นักลงทุนมองว่าตลาดจะยังคงขยับปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ อัตราความเร็วดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์มองว่า ภาวะขาขึ้นน่าจะเข้าสู่ช่วงตอนปลายและใกล้ขยับลงได้แล้ว ซึ่งบางรายเห็นว่าอาจไม่รุนแรงถึงระดับที่จะเกิดฟองสบู่ แต่ก็เป็นธงแดงที่สมควรต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน

 

กระนั้น ข้อมูลจากสถาบันการเงินช้้นนำหลายแห่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับแสดงให้เห็นตัวเลขปริมาณเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในระดับสูงสุดทุบสถิติ เป็นการเข้ามาเก็งกำไรในปริมาณที่มากกว่าช่วงวิกฤตดอตคอม แถมสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงมากขึ้น เมื่อบริษัทเอกชนในตลาดทำตัวเป็นนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทตนเอง โดยใน Earning Season นี้ มีการประกาศซื้อคืนหุ้นเฉลี่ย 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ทำสถิติสูงสดนับตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งบริษัทเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มักจะเข้ามาในช่วงตอนปลายของตลาดกระทิง ที่จะทำให้ตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะการปรับฐานอีกครั้ง

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

The post นักลงทุนเมินคำเตือน ‘ฟองสบู่’ ยังคงไล่ซื้อหุ้นคึกคัก ดันดัชนี S&P 500 พุ่งแรงสุดในรอบ 90 ปี appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เงินบาท’ เปิดทรงตัวในระดับ 30.19 ต่อดอลลาร์ กูรูแนะจับตาทุนเคลื่อนย้ายส่อกดดันตลาดหุ้นโลกผันผวน https://thestandard.co/the-baht-opened-to-stabilize-at-30-19-per-dollar/ Fri, 04 Dec 2020 01:50:32 +0000 https://thestandard.co/?p=428452 ‘เงินบาท’ เปิดทรงตัวในระดับ 30.19 ต่อดอลลาร์ กูรูแนะจับตาทุนเคลื่อนย้ายส่อกดดันตลาดหุ้นโลกผันผวน

จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส Chief Investmen […]

The post ‘เงินบาท’ เปิดทรงตัวในระดับ 30.19 ต่อดอลลาร์ กูรูแนะจับตาทุนเคลื่อนย้ายส่อกดดันตลาดหุ้นโลกผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เงินบาท’ เปิดทรงตัวในระดับ 30.19 ต่อดอลลาร์ กูรูแนะจับตาทุนเคลื่อนย้ายส่อกดดันตลาดหุ้นโลกผันผวน

จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส Chief Investment Office บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS CIO) กล่าวว่า เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (4 ธันวาคม) ที่ 30.19 บาทต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน โดยกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 30.10-30.30 บาทต่อดอลลาร์

 

ตลาดการเงินเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงคืนที่ผ่านมาเห็นได้จากดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลง 0.1% และดัชนี STOXX 600 ของยุโรปที่ปิดไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงราคาน้ำมันดิบและทองคำที่ปรับตัวขึ้น 0.5-0.8% สะท้อนภาพการอ่อนค่าของดอลลาร์และความเชื่อว่ากลุ่ม OPEC+ จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตในอนาคต

 

ส่วนฝั่งเศรษฐกิจ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานใหม่ในสหรัฐฯ (U.S. Initial Jobless Claims) ปรับตัวลงมากกว่าคาด 6.6 หมื่นตำแหน่งมาที่ระดับ 7.12 แสนตำแหน่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 

 

อย่างไรก็ดี ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (U.S. ISM Services Index) กลับปรับตัวลงมาที่ระดับ 55.9 จุดเช่นกัน จึงทำให้นักลงทุนไม่วางใจในภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 

ด้านตลาดเงินดัชนีดอลลาร์ทยอยปรับตัวลงต่อ 0.5% โดยกลับเป็นสกุลเงินหลักอย่างเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่แข็งค่ามากที่สุด ขณะที่บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุสิบปีปรับตัวลง 0.02% มาที่ 0.92% สะท้อนภาพนักลงทุนที่ระวังตัวเพื่อรอการประกาศตัวเลขตลาดแรงงานในสหรัฐฯ คืนนี้

 

ส่วนเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมีทั้งแรงซื้อดอลลาร์ของนักลงทุนในประเทศสลับกับแรงขายของผู้ส่งออก อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงรอดูกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเป็นหลัก เชื่อว่าจุดเปลี่ยนจะอยู่ที่ตลาดหุ้นโลก ซึ่งมีโอกาสผันผวนในช่วงที่เหลือของเดือนธันวาคม

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post ‘เงินบาท’ เปิดทรงตัวในระดับ 30.19 ต่อดอลลาร์ กูรูแนะจับตาทุนเคลื่อนย้ายส่อกดดันตลาดหุ้นโลกผันผวน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Morning Brief I 4 ธันวาคม 2563 https://thestandard.co/morning-brief-04-12-2020/ Fri, 04 Dec 2020 01:44:03 +0000 https://thestandard.co/?p=428442 Morning Brief (4 ธ.ค. 2563)

  Credit Suisse แนะรอซื้อหุ้นหลังเดือนธันวาคม Jona […]

The post Morning Brief I 4 ธันวาคม 2563 appeared first on THE STANDARD.

]]>
Morning Brief (4 ธ.ค. 2563)

Morning Brief (4 ธ.ค. 2563)

 

Credit Suisse แนะรอซื้อหุ้นหลังเดือนธันวาคม


Jonathan Golub หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากบริษัทบริหารความมั่งคั่งชื่อดังจากสวิตเซอร์แลนด์ได้ออกมาเตือนว่า “ถ้าใครคิดจะใส่เงินเข้ามาในตลาดหุ้นตอนนี้ อยากแนะนำว่าให้รอหลังเดือนธันวาคมจะดีกว่า ในอนาคตอันใกล้นี้จะมีปัจจัยเชิงลบจากการขายหุ้นในช่วงคริสต์มาส ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องจับตา รวมไปถึงสัญญาณของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของผู้มาลงทะเบียนว่างงานด้วย สำหรับปี 2021 ไวรัสน่าจะไม่ใช่ปัญหาแล้ว” โดย Golub ได้วางเป้าหมายของดัชนี S&P 500 ไว้ที่ 4,050 จุด หรือราว 10% จากปัจจุบัน และยังเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีจะยังได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่อเนื่อง

 

Barclays มอง S&P 500 แตะ 4,000 จุดในปีหน้า


หัวหน้าฝ่ายวิจัยทางเศรษฐกิจของธนาคารรายใหญ่จากอังกฤษมีมุมมองว่า GDP โลกของปี 2021 จะเติบโตได้ราว +5.6% เมื่อเทียบกับปี 2020 ประเทศส่วนใหญ่ในฝั่งตะวันตกจะเข้าสู่สภาวะ ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2021 ตัวเลขเงินเฟ้อจะมีการขยายตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งไม่มากพอที่จะทำให้ธนาคารกลางต่างๆ เริ่มปรับดอกเบี้ยขึ้น ตลาดแรงงานจะมีการฟื้นตัวขึ้น แต่ตัวเลขอัตราการว่างงานจะยังอยู่ในระดับสูง สุดท้ายได้คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 จะแตะระดับ 4,000 จุด ดัชนี STOXX 600 จะทำจุดสูงสุดใหม่ และผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ราว 1.25% ในปี 2021

 

Pfizer เตรียมวางแผนกระจายวัคซีนในปีนี้ใหม่ เนื่องจากเจอปัญหาเกี่ยวกับระบบห่วงโซ่อุปทาน


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในภาพรวม โดยดัชนี S&P 500 เป็นเพียงดัชนีเดียวที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากดัชนีหลัก ทั้ง 3 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่ดี โดยเฉพาะตัวเลขผู้มาลงทะเบียนว่างงานครั้งแรกที่น้อยกว่าที่คาด และตัวเลข PMI ภาคบริการที่ยังขยายตัวได้ดี แต่ตลาดต้องมาเจอกับปัจจัยกดดันในช่วงท้ายตลาด

 

โดยมีข่าวว่าทางบริษัท Pfizer กำลังวางแผนในการกระจายวัคซีนในปีนี้ใหม่เนื่องจากเจอปัญหาเกี่ยวกับระบบห่วงโซ่อุปทาน ดัชนี Dow Jones ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เด่นที่สุดแต่ยังไม่สามารถปิดที่ระดับเหนือ 30,000 จุดได้ โดยปิดไปที่ 29,996 จุด

 

Xiaomi ตั้งเป้าขึ้นอันดับ 2 ตลาดสมาร์ทโฟนในด้านผู้ส่งมอบเครื่อง


ดัชนี Hang Seng TECH Index เพิ่มขึ้น 91.94 จุด หรือ 1.17% กลุ่มเทคโนโลยีกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้น Xiaomi ที่มีแผนจะเติบโตในปี 2021

 

ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ Xiaomi ตั้งเป้าจะขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกในแง่ของจำนวนเครื่องส่งมอบ โดยหวังจะแซง Huawei และ Apple ให้ได้ภายในปี 2021 และเชื่อว่าจะสามารถทำได้ด้วย โดยตั้งเป้าส่งมอบเครื่องในปี 2021 ที่ 240 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าตัวเลขยอดส่งมอบของ iPhone ที่อยู่ที่ราว 200 ล้านเครื่องต่อปี

 

‘เงินวอน’ เกาหลีใต้แข็งค่าสุดในรอบ 30 ปี จากเงินทุนไหลเข้า


ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ KOSPI เพิ่มขึ้น 20.32 จุด หรือ 0.76% ดัชนีของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เป็นวันที่ 3 ติดต่อกันเช่นเดียวกับตลาดหุ้นญี่ปุ่น แต่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้โดดเด่นกว่ามาก ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวเพิ่มขึ้นยังคงเป็นปัจจัยเดิมๆ นั่นคือ 1. หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง 2. นักลงทุนต่างชาติยังเข้าซื้อสุทธิเพิ่มเติมอีก 193 ล้านดอลลาร์ 3. สภาเกาหลีใต้มีมติเพิ่มรายจ่ายในงบประมาณปีหน้าที่ 1,990 ล้านดอลลาร์ จากแผนเดิมเพื่อช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาด

 

ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ 1. ค่าเงินวอนแข็งค่าที่สุดในรอบ 30 เดือน จากกระแสเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาที่ตลาด หลังมีข่าวด้านบวกเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนและค่าเงินดอลลาร์ที่ตกต่ำต่อเนื่อง 2. จากการแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนหลายประเทศ รวมถึงในเกาหลีใต้ หันมาใช้บริการออนไลน์ในด้านต่างๆ มากขึ้น รวมถึงบริการจากทางธนาคาร ส่งผลให้ธนาคารส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้เริ่มผลักดันนโยบาย ‘เกษียณก่อนกำหนด’ กันมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนของธนาคาร 

 

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post Morning Brief I 4 ธันวาคม 2563 appeared first on THE STANDARD.

]]>