Soft Loan – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 26 Jul 2024 05:23:12 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 มีแนวโน้มดีขึ้น! คลังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 เป็นโต 2.7% จาก 2.4% ชี้ยังไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต https://thestandard.co/thailand-gdp-forecast-2024-uprise/ Fri, 26 Jul 2024 05:23:12 +0000 https://thestandard.co/?p=963180 GDP

เผ่าภูมิเผย GDP ไทยมีโอกาสขยายตัว 3% ในปีนี้ หลังคลังปร […]

The post มีแนวโน้มดีขึ้น! คลังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 เป็นโต 2.7% จาก 2.4% ชี้ยังไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต appeared first on THE STANDARD.

]]>
GDP

เผ่าภูมิเผย GDP ไทยมีโอกาสขยายตัว 3% ในปีนี้ หลังคลังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 เป็น 2.7% จาก 2.4% ซึ่งยังไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต สาเหตุจากท่องเที่ยว ส่งออก และการเบิกจ่ายภาครัฐ ‘ดีกว่าคาด’ ประเมิน GDPไตรมาส 2 มีโอกาสโตแรงทะลุ 2%

 

วันนี้ (26 กรกฎาคม) เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 3% เนื่องจากรัฐบาลกำลังทำงานอย่างเต็มที่ และมาตรการต่างๆ ที่ออกไปแล้วบางส่วนยังไม่มีผลหรือลงไปสู่เศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) มูลค่า 1 แสนล้านบาท และมาตรการทางภาษีต่างๆ ที่จะเข้าไปดูแลและดึงดูดการลงทุนต่างๆ รวมทั้งการเร่งรัดการเบิกจ่ายรัฐบาล

 

โดยในการแถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะขยายตัวที่ 2.7% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.2-3.2%) ขยายตัวจากปี 2566 ที่ขยาย 1.9% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นสำคัญ

 

ทั้งนี้ ผลประมาณการดังกล่าวไม่ได้นับรวมผลจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่คาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ 1.2-1.8% ตลอดทั้งโครงการ

 

เปิดสาเหตุปรับขึ้น GDP ปี 2567

 

โดยผลประมาณการ GDPล่าสุดนี้ได้ ‘ปรับเพิ่มขึ้น’ เมื่อเทียบกับผลประมาณการเมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ 2.4% เนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

 

  1. การส่งออกสินค้ามีสัญญาณขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญที่มีแนวโน้มว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 3.2%
  2. จำนวนและรายได้ที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่าที่คาดการณ์ สะท้อนผลตอบรับที่ดีจากมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวของภาครัฐ
  3. การเบิกจ่ายภาครัฐที่ดีกว่าที่คาดการณ์จากการเตรียมความพร้อมเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ และมีทิศทางเร่งขึ้นต่อเนื่องในช่วงท้ายของปีงบประมาณ 2567

 

คลังคาด GDP ไตรมาสที่ 2 ขยายตัวทะลุ 2%

 

ขณะที่ พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค. ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้น สะท้อนได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง (Real VAT) ขยายตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส และนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

โดยภายใต้ประมาณการปัจจุบัน สศค. ระบุว่า GDPในไตรมาส 2 น่าจะออกมาดีกว่าไตรมาสแรก และมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่า 2% หลังจากไตรมาสที่ 1 ขยายตัวเพียง 1.5%

 

จับตา 5 ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลัง

 

อย่างไรก็ตาม พรชัยแนะว่ายังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่

 

  1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัดและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป เช่น สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา และความกังวลเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้เกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์หลังมีการซ้อมรบของกองทัพเรือจีนและรัสเซียในบริเวณดังกล่าว
  2. ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลัก และปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
  3. ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาและทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
  4. การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเฉพาะประเทศจีนจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์
  5. ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่จะบั่นทอนการใช้จ่ายในระยะต่อไป

 

เปิดปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงที่เหลือของปี

 

  1. การใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายจ่ายลงทุนที่ต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายในทุกหน่วยงาน
  2. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ประเทศ โดยเฉพาะในช่วง High Season
  3. การเร่งรัดการลงทุนของโครงการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ 8 ด้านภายใต้กรอบนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาล

The post มีแนวโน้มดีขึ้น! คลังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 2567 เป็นโต 2.7% จาก 2.4% ชี้ยังไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต appeared first on THE STANDARD.

]]>
โครงการสินเชื่อ Soft Loan ธปท. เพื่อการปรับตัว จาก ‘ธนาคารออมสิน’ สินเชื่อที่เกิดขึ้นมาเพื่อให้ ‘ธุรกิจ’ ปรับตัวกับโลก New Normal [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/bot-soft-loan-campaign/ Fri, 03 Feb 2023 06:00:07 +0000 https://thestandard.co/?p=741865 Soft Loan ธปท.

New Normal หรือความปกติใหม่ กลายเป็นคำที่มาแรงอย่างมากห […]

The post โครงการสินเชื่อ Soft Loan ธปท. เพื่อการปรับตัว จาก ‘ธนาคารออมสิน’ สินเชื่อที่เกิดขึ้นมาเพื่อให้ ‘ธุรกิจ’ ปรับตัวกับโลก New Normal [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Soft Loan ธปท.

New Normal หรือความปกติใหม่ กลายเป็นคำที่มาแรงอย่างมากหลังจากการระบาดของโรคโควิด ที่ได้เข้ามาเป็นปัจจัย ‘เร่ง’ ให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงทำให้โลกดิจิทัลกลายเป็น New Normal ในชีวิตประจำวัน

 

ข้อมูลจาก Nielsen ระบุว่า ช่วงสถานการณ์โควิดส่งผลให้ผู้บริโภคคุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ผู้บริโภคใช้โซเชียลมีเดียเเละแอปพลิเคชันเเชตเป็นช่องทางหลักเพื่อรับข่าวสารมากขึ้น

 

สิ่งที่น่าสนใจคือ สถานการณ์โควิดได้ทำให้ธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น จึงมีธุรกิจมากมายที่ตัดสินใจลงทุนเพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับโลกออนไลน์มากขึ้น

 

ไม่เพียงแต่การใช้เทคโนโลยีเท่านั้น สิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกสินค้าและแบรนด์ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์โควิดทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

 

มีการสำรวจพบว่าร้อยละ 43 ของผู้บริโภคชาวอเมริกันที่เปลี่ยนแบรนด์ในช่วงสถานการณ์โควิดได้ระบุสาเหตุการเปลี่ยนแบรนด์ไว้ว่าเกี่ยวกับเป้าหมายหรือความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กร (Purpose Driven) โดยผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z และ Millennials (ร้อยละ 42) มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแบรนด์ด้วยสาเหตุนี้มากกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่นที่มีอายุมากกว่า

 

ด้วยเหตุนี้ McKinsey & Company จึงได้ระบุว่า ผลจาก New Normal ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวในยุคหลังโควิดใน 5 ด้านด้วยกัน คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า (Resolve) การปรับธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นทันต่อสถานการณ์ (Resilience) การกลับไปดำเนินธุรกิจตามปกติอีกครั้ง (Return) การคิดใหม่ (Reimagination) และการปฏิรูปเพื่อก้าวสู่อนาคตที่ดีกว่า (Reform)

 

ในวงเสวนาออนไลน์ ‘New Normal ปรับไลฟ์สไตล์ภายหลังวิกฤต COVID-19’ ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ‘รวิศ หาญอุตสาหะ’ ซีอีโอบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ในวิกฤตโควิดนี้ไม่เพียงทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความสำคัญและความจำเป็นของการทำหรือไม่ทำอะไรแล้ว

 

สิ่งสำคัญคือยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ ปรับตัวเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซมากขึ้น ติดต่อลูกค้า B2B (Business-to-Business) กันมากขึ้นด้วยออนไลน์ สามารถสั่งของ เช็กสต๊อกผ่านระบบดิจิทัล เพียงแค่ระบบหลังบ้านต้องเชื่อมต่อข้อมูลกันเท่านั้นเอง ทำให้ธุรกิจมีความโปร่งใสมากขึ้น

 

“ดังนั้นเครื่องมือสำคัญที่จะนำพาเราออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ เทคโนโลยีดิจิทัลและ Mindset ของคนในองค์กร”

 

แต่การปรับตัวนอกจากจะเกิดขึ้นจากกลยุทธ์ภายในองค์กรแล้ว การมีทุนทรัพย์ที่เพียงพอก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะจะเป็นการนำเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มาช่วยให้การปรับตัวเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น

 

เพื่อเสริมศักยภาพให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืนและปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่ถูกเร่งตัวขึ้น ‘ธนาคารออมสิน’ จึงได้มี ‘โครงการสินเชื่อ Soft Loan ธปท. เพื่อการปรับตัว’ ขึ้นมา

 

Soft Loan ธปท.

 

สินเชื่อนี้เหมาะกับใคร? คำตอบคือ ธุรกิจที่อยากลงทุน ปรับปรุง หรือพัฒนา ในเรื่องของเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนระบบหรือกระบวนการต่างๆ ที่เป็นการเสริมศักยภาพธุรกิจให้สามารถแข่งขันและดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยสอดรับกับบริบทโลกใหม่ (New Normal) ดังนี้

 

  • กระแสดิจิทัลเทคโนโลยี เช่น การติดตั้งระบบซื้อขายผ่าน Online Marketing หรือการติดตั้งระบบเส้นทางและ QR Code ในการคัดแยกพัสดุหรือขนส่ง (Smart Logistic) ฯลฯ
  • การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) หรือการติดตั้งระบบการจัดการขยะ ฯลฯ
  • นวัตกรรมแห่งโลกอนาคต เช่น การทำ Smart Farming หรือการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชแทนเนื้อสัตว์ (Plant-based Food) ฯลฯ

 

โดยจุดเด่นของสินเชื่อดังกล่าวประกอบด้วย

 

  • ดอกเบี้ยคงที่ 2.00%* 2 ปีแรก (*อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก ร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยรัฐบาลจะชำระดอกเบี้ย 6 เดือนแรก นับแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสินเชื่องวดแรกของการยื่นขอกู้ยืมเงินจาก ธปท.)
  • วงเงินสูงสุด 150 ล้านบาท
  • ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี
  • ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 2 ปี

 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

 

ผู้ที่สนใจสามารถยื่นได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 9 เมษายน 2566 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด โดยสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ http://bit.ly/3vXWZFJ

 

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.gsb.or.th หรือ Facebook: GSB Society

 

อ้างอิง:

The post โครงการสินเชื่อ Soft Loan ธปท. เพื่อการปรับตัว จาก ‘ธนาคารออมสิน’ สินเชื่อที่เกิดขึ้นมาเพื่อให้ ‘ธุรกิจ’ ปรับตัวกับโลก New Normal [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
พร้อมรับการท่องเที่ยวฟื้นกับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ Soft Loan Re-Open จาก ‘ธนาคารออมสิน’ ด้วยดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 1.99%* [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/gsb-soft-loan-re-open/ Wed, 18 Jan 2023 08:00:41 +0000 https://thestandard.co/?p=737855

เป็นที่น่ายินดีว่าจนถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2565 ข้อมูลจาก […]

The post พร้อมรับการท่องเที่ยวฟื้นกับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ Soft Loan Re-Open จาก ‘ธนาคารออมสิน’ ด้วยดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 1.99%* [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

เป็นที่น่ายินดีว่าจนถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2565 ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย 11,049,769 คนแล้ว ชี้ให้เห็นว่าการท่องเที่ยวของบ้านเรากำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว 

 

คาดว่าในปี 2566 ยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีถึง 11.5 ล้านคน เมื่อรวมกับการท่องเที่ยวในประเทศ 175 ล้านคนต่อครั้ง จะทำให้มีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท 

 

ขณะที่ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ตั้งแต่ที่ประเทศไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยแล้วเฉลี่ยวันละ 60,000-70,000 คน โดยกลุ่มหลักเป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อินเดีย และขณะนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวรัสเซียเข้ามาวันละประมาณ 5,000 คน 

 

โดยเป้าหมายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ปี 2566 ททท. ได้คาดการณ์ว่าจะทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาในอัตราร้อยละ 80 ของปี 2562 ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวที่ร้อยละ 50 ของปี 2562 หรือประมาณ 20 ล้านคน

 

และเป็นที่น่ายินดีว่าวิจัยของสำนักข่าว BBC (BBC News Research) เผยว่า จากการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนของนักท่องเที่ยวที่วางแผนจะเดินทางจากอเมริกาเหนือและยุโรป ไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งร้อยละ 57.4 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลกที่ตั้งใจจะเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มจะมาไทยมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค 

 

โดยชาวยุโรปเกือบ 4 ใน 5 ที่วางแผนจะไปเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วางแผนที่จะเดินทางภายใน 6 เดือนข้างหน้า และให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและความยั่งยืน โดยร้อยละ 91 ของผู้เดินทางมองหาวัฒนธรรมและมรดกที่เป็นเอกลักษณ์ในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องการ และร้อยละ 72 ของผู้เดินทางให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ส่งผลกระทบน้อยที่สุดในระดับท้องถิ่น

 

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้การท่องเที่ยวของบ้านเรากำลังฟื้นตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ในเมื่อนักท่องเที่ยวมาแล้ว ทำอย่างไรจะสามารถดึงดูดพวกเขาได้

 

สิ่งสำคัญคือการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์กับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ต้องพัฒนาห้องพักให้ทันสมัย ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ต้องเตรียมพร้อม

 

แต่ด้วยการระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา อาจจะทำให้ผู้ประกอบการหลายๆ รายไม่มีทุนทรัพย์ในการปรับปรุงธุรกิจเป็นของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ‘ธนาคารออมสิน’ จึงได้เปิดตัวโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) Re-Open ธุรกิจโรงแรม และ Supply Chain ของโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์/อัตลักษณ์ท้องถิ่น

 

 

โครงการดังกล่าวสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม, Supply Chain ของโรงแรม, ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์/อัตลักษณ์ท้องถิ่น เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการปรับปรุง ซ่อมแซมสถานประกอบกิจการ หรือลงทุนในอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบกิจการ เพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทย

 

จุดเด่นของโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย 

 

  • ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 1.99%*
  • วงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาท (กรณี บสย. ค้ำเต็มวงเงิน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท)
  • ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 2 ปี (กรณีกู้เพื่อปรับปรุง ซ่อมแซมสถานประกอบกิจการ ลงทุนในอุปกรณ์ต่างๆ)
  • ผ่อนได้นานสูงสุด 10 ปี

 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

 

ผู้ที่สนใจสามารถยื่นได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2566 หรือจนกว่าวงเงินโครงการจะหมด และสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ https://www.gsb.or.th/gsb_smes/softloan-reopen/ 

 

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center 1115 และติตตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ได้ที่ www.gsb.or.th หรือ Facebook: GSB Society

 

อ้างอิง:

The post พร้อมรับการท่องเที่ยวฟื้นกับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ Soft Loan Re-Open จาก ‘ธนาคารออมสิน’ ด้วยดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 1.99%* [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดอกเบี้ยนโยบาย เป็นขาขึ้นแล้ว ดอกเบี้ยธนาคารจะเป็นเช่นไร https://thestandard.co/rising-interest-policy/ Mon, 15 Aug 2022 14:32:26 +0000 https://thestandard.co/?p=667370 ดอกเบี้ยธนาคาร

บทความใน THE STANDARD WEALTH ฉบับที่แล้ว เราได้กล่าวว่า […]

The post ดอกเบี้ยนโยบาย เป็นขาขึ้นแล้ว ดอกเบี้ยธนาคารจะเป็นเช่นไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดอกเบี้ยธนาคาร

บทความใน THE STANDARD WEALTH ฉบับที่แล้ว เราได้กล่าวว่ายุคแห่งการเติบโตต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลกหมดลงแล้ว ขอต้อนรับสู่ยุคใหม่ที่จะ ‘ผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และงุนงง’ (Volatility, Uncertainty, Complexity and Ambiguity: VUCA)

 

ถ้าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ยุค VUCA เศรษฐกิจไทยก็คงจะเข้ายุคดอกเบี้ยขาขึ้น ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี เป็น 0.75% ต่อปี เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


เรามองว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นอย่างต่อเนื่องของไทย โดยดอกเบี้ยอาจขึ้นไปอยู่ถึง 2% ในปลายปีหน้า ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอาจปรับขึ้นไม่ได้มากเท่า

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และนัยต่อเศรษฐกิจไทย รวมถึงการบริหารการเงินในระยะต่อไปจะเป็นเช่นไร หาคำตอบได้ในบทความนี้

 

หากมองในภาพใหญ่จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมานโยบายการเงินการคลัง โดยเฉพาะนโยบายดอกเบี้ยเป็นตัวสนับสนุนเศรษฐกิจระดับหนึ่ง โดยระดับดอกเบี้ยตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา ต่ำกว่าการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP Growth) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่การระบาดใหญ่ในไตรมาส 2/2020 ที่มาตรการล็อกดาวน์ทำให้เศรษฐกิจหดตัวถึงกว่า 12.3% เครื่องยนต์เศรษฐกิจหดตัวหมด ทั้งการบริโภค ลงทุน และส่งออก ทางภาครัฐได้เข้าช่วยเหลือโดยใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคลงทุนบ้าง

 

แต่ผลบวกของมาตรการจะไม่เห็นทั้งหมดในทันที โดยในฝั่งของมาตรการการคลัง มาตรการการให้เงินอุดหนุน เช่น ‘เราไม่ทิ้งกัน’ ในช่วงการระบาดรอบแรก และ ‘ม.33 เรารักกัน’ ในช่วงการระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลตา ในช่วงไตรมาส 3/2021 นั้น ทำให้ประชาชนมีเงินออมมากขึ้น และพร้อมที่จะนำมาจับจ่ายเมื่อมีการเปิดเศรษฐกิจขึ้น (ซึ่งก็คือในช่วงปัจจุบัน)

 

ในขณะที่มาตรการผ่อนคลายและ Soft Loan ที่ได้ทำตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2020 และในช่วงไตรมาส 3/2021 นั้น ทำให้สินเชื่อขยายตัวถึง 10.8% และ 8.9% ตามลำดับ แต่กว่าที่เศรษฐกิจในประเทศจะฟื้นตัวจริง (วัดจากการบริโภคลงทุนที่เป็นส่วนทำให้เศรษฐกิจขยายตัว) ก็เป็นในช่วงไตรมาส 1/2022 ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่ากว่าที่มาตรการการเงินการคลังจะส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอาจใช้เวลาถึง 6-18 เดือน

 

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อเริ่มมีทิศทางชะลอลงในระยะหลัง โดยล่าสุดการขยายตัวของสินเชื่อคงค้างของไทยอยู่ที่ประมาณ 4.01% ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 8.9% ในช่วงไตรมาส 3/2021 ซึ่งหากพิจารณาในเชิง Momentum เศรษฐกิจแล้ว สินเชื่อที่ชะลอลงก็จะทำให้ Momentum ของเศรษฐกิจในประเทศชะลอลงใน 6-18 เดือนข้างหน้า

 

ดังนั้นเราจึงเห็นด้วยกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยจึงต้องเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ Momentum การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุด หรือที่ผู้ว่าการฯ ธปท. เรียกว่า ‘Smooth Takeoff’

 

ด้วยภาพเช่นนี้ เราจึงคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยนโยบาย ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ และดอกเบี้ยเงินกู้ จะต้องมีการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและลดหลั่นกัน โดยเราเชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายน่าจะปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 4 ครั้งในปีหน้า ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายไปจบที่ 2% ในปลายปี 2023 โดยสมมติฐานนี้ขึ้นอยู่กับว่าไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกรุนแรงในปี 2023 จนทำให้ ธปท. ต้องปรับลดดอกเบี้ย

 

ในขณะที่ปัจจัยที่สำคัญในการปรับดอกเบี้ยอย่างเงินเฟ้อนั้น เราคาดว่าเงินเฟ้อไทยจะค่อยๆ ลดระดับลงไปอยู่ที่ประมาณ 5% ในปลายปีนี้ จากระดับสูงที่ 7.6% ในเดือนกรกฎาคม ทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 6.1% ขณะที่ในปี 2022 นั้น เงินเฟ้อจะลดลงต่อจากประมาณ 4.4% ในไตรมาสแรกมาอยู่ที่ 2.2% ในไตรมาสที่ 4 ทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 3.3%

 

เมื่อภาพเป็นเช่นนั้น ดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้น โดยในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากนั้น ด้วยสภาพคล่องในระบบธนาคารที่ยังมีอยู่มาก เห็นได้จากการขยายตัวของเงินฝากที่สูงกว่าการขยายตัวของสินเชื่อ ทำให้ธนาคารไม่น่าจะต้องรีบระดมเงินเพื่อนำมาเก็บไว้ เพราะจะมีต้นทุนสูง ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำไปอีกกว่า 8-12 เดือน

 

ในฝั่งดอกเบี้ยเงินกู้นั้น จากการศึกษาของเราในช่วง 4 วัฏจักรหลัง จะพบว่าการขึ้นของดอกเบี้ย Minimum Lending Rate (MLR) หรือดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี จะเริ่มต้นช้าเร็วกว่าดอกเบี้ยนโยบาย (Repurchase Rate: RP) ขึ้นอยู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยในยุคปี 2004 ที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว การขึ้นของดอกเบี้ย MLR ครั้งแรกนั้นช้ากว่าดอกเบี้ย RP กว่า 13 เดือน รวมถึงขนาดของการขึ้นที่น้อยกว่าด้วย (RP ขึ้นทั้งหมด 375 bps แต่ MLR ขึ้นเพียง 200 bps) แต่ใน 2 วัฏจักรหลัง (ปี 2008 และ 2010) ดอกเบี้ย MLR ปรับขึ้นก่อนดอกเบี้ย RP 1-2 เดือน ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจตึงตัวและความต้องการสินเชื่อมีมากจนธนาคารต้องขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนที่ ธปท. จะปรับขึ้นด้วยซ้ำ แต่ขนาดของการขึ้นดอกเบี้ย MLR ก็ยังจะน้อยกว่า RP

 

ฉะนั้นในวัฏจักรนี้เราจึงเชื่อว่าหากดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น 150 bps ไปจบที่ 2% โดยเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเงินกู้ MLR น่าจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 เดือนนับจากนี้ และอัตราที่ปรับขึ้นก็อาจจะน้อยกว่าที่ประมาณ 20 bps โดยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน (ALCO) ของ 4 ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่จะเป็นหัวหอกเป็นสำคัญ และในท้ายที่สุดแล้ว เราเชื่อว่าดอกเบี้ย MLR อาจปรับขึ้นทั้งหมดประมาณ 100 bps ทำให้ MLR ไปจบที่ประมาณ 6.25% ในท้ายวัฏจักรนี้จาก 5.25% ในปัจจุบัน

 

สำหรับประชาชนทั่วไปที่มีเงินกู้นั้น จะต้องมีภาระเพิ่มขึ้นเท่าไร คำตอบคือหากคิดอย่างง่าย โดยมีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลากู้เงิน 10 ปี ดอกเบี้ย 4% แล้วนั้น จะมีภาระจ่ายค่างวดเดือนละประมาณ 1 หมื่นบาท หากดอกเบี้ยขึ้นเป็น 5% ภาระจ่ายค่างวดจะประมาณ 500 บาทต่องวด หรือกล่าวอย่างง่ายว่า หากดอกเบี้ยขึ้น 1% ผู้กู้จะมีภาระจ่ายค่างวดเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากยอดเดิม

 

ดังนั้นแม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายในภาพใหญ่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่มีหนี้สินก็จะต้องมีภาระเพิ่มขึ้นอยู่ดี ซึ่งภาระที่เพิ่มขึ้นก็จะไปเบียดบังการใช้จ่ายหรือเก็บออมในระยะต่อไป

 

การเริ่มลดระดับการก่อหนี้ใหม่ หรือหากจำเป็นก็ควรล็อกดอกเบี้ยยาว ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในยุคดอกเบี้ยขาขึ้นต่อจากนี้ไป

The post ดอกเบี้ยนโยบาย เป็นขาขึ้นแล้ว ดอกเบี้ยธนาคารจะเป็นเช่นไร appeared first on THE STANDARD.

]]>
ออมสิน อาสา ‘คลายหนัก…ให้เป็นเบา’ จัดโครงการสินเชื่อ Soft Loan สำหรับ SMEs ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ดอกเบี้ยต่ำเพียง 3.99% https://thestandard.co/gsb-soft-loan/ Fri, 01 Oct 2021 08:30:48 +0000 https://thestandard.co/?p=538551

เมื่อโควิดแพร่ระบาดไม่หยุด และไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อ […]

The post ออมสิน อาสา ‘คลายหนัก…ให้เป็นเบา’ จัดโครงการสินเชื่อ Soft Loan สำหรับ SMEs ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ดอกเบี้ยต่ำเพียง 3.99% appeared first on THE STANDARD.

]]>

เมื่อโควิดแพร่ระบาดไม่หยุด และไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร มาตรการล็อกดาวน์ทั้งในและนอกประเทศ ปิดเส้นทางการเดินทาง ส่งผลกระทบหนักต่อผู้ประกอบการ SMEs ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเป็นอันหยุดชะงัก 

 

ด้วยความเข้าใจและห่วงใยสถานการณ์ ธนาคารออมสินไม่อาจเพิกเฉย จึงอาสาจัด ‘โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อ SMEs ท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง’ คลายหนัก…ให้เป็นเบา เพื่อธุรกิจเราต้องเดินต่อไป ท่องเที่ยวไม่ซบเซา เพราะเรายังเดินหน้า ด้วยวงเงินกู้สูง ดอกเบี้ยต่ำ ให้กับผู้ประกอบการภาคธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องกันอย่างทั่วถึงถ้วนหน้า 

 

พร้อมขยายระยะเวลาการปล่อยสินเชื่อออกไปถึง 30 ธันวาคม 2564 อีกด้วย 

 

คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ

  • ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน
  • ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และ Supply Chain ไม่น้อยกว่า 2 ปี เช่น ร้านอาหาร, ธุรกิจสปา, นวดแผนไทย, รถรับจ้างนำเที่ยว, เกสต์เฮาส์, โฮสเทล ฯลฯ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของโควิด 

 

ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจสามารถลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อได้ผ่านทาง https://www.gsb.or.th/gsb_smes/prsmestrv/  หรือติดต่อกับธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ


Soft Loan ‘คลายหนัก…ให้เป็นเบา เพื่อธุรกิจเราต้องเดินต่อไป ท่องเที่ยวไม่ซบเซา เพราะเรายังเดินหน้า’ 

 

เพราะออมสินเข้าใจ หัวอกธุรกิจไทยด้วยกัน

 

รายละเอียดเพิ่มเติม www.gsb.or.th

 

 


ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth

Instagram: instagram.com/thestandardwealth

Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

The post ออมสิน อาสา ‘คลายหนัก…ให้เป็นเบา’ จัดโครงการสินเชื่อ Soft Loan สำหรับ SMEs ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ดอกเบี้ยต่ำเพียง 3.99% appeared first on THE STANDARD.

]]>
นายกฯ รับข้อเสนอกลุ่มศิลปินและเครือข่าย ช่วยเหลือให้เข้าถึง Soft Loan ถกเปิดโรงหนัง-ผ่อนปรนถ่ายภาพยนตร์ https://thestandard.co/prime-minister-accepts-artist-group-proposals-soft-loan/ Thu, 16 Sep 2021 11:41:18 +0000 https://thestandard.co/?p=537403

วันนี้ (16 กันยายน) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ห้อง PMOC ชั้ […]

The post นายกฯ รับข้อเสนอกลุ่มศิลปินและเครือข่าย ช่วยเหลือให้เข้าถึง Soft Loan ถกเปิดโรงหนัง-ผ่อนปรนถ่ายภาพยนตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

วันนี้ (16 กันยายน) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกลาโหม เป็นประธานการประชุมร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และกลุ่มศิลปิน เพื่อหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับกลุ่มศิลปินพื้นบ้าน กลุ่มศิลปินแห่งชาติ ศิลปินศิลปากร กลุ่มเครือข่ายอุตสาหกรรมบันเทิง โรงงาน และภาพยนตร์ และภาคเอกชน กว่า 40 องค์กร 

 

ภายหลังการประชุม ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมีความเห็นใจศิลปินพื้นบ้าน บุคลากรด้านศิลปวัฒนธรรม และผู้อยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ที่ผ่านมารัฐบาลมีการช่วยเหลือเยียวยาผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 33, 39 และ 40 การลดภาษีต่างๆ 

 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังห่วงใยกลุ่มศิลปินบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด เนื่องจากข้อมูลตกหล่น จึงขอให้กระทรวงวัฒนธรรมเร่งประสาน รวบรวมรายชื่อและจำนวนบุคคลให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อภาครัฐจะได้จัดสรรทั้งวัคซีนรวมทั้งชุดตรวจ ATK ให้เหมาะสม ขณะเดียวกันก็จะได้ให้มีการขึ้นทะเบียนเพื่อให้เข้าถึงการเยียวยาของรัฐบาล และยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งในเครือข่ายของกลุ่มศิลปินทุกแขนงด้วย 

 

ธนกรกล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอเกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เช่น การเปิดโรงภาพยนตร์ มหรสพ การผ่อนปรนให้กองถ่ายภาพยนตร์สามารถถ่ายทำได้ โดยจะมอบหมายให้ ศบค. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข พิจารณามาตรการรองรับ ป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรค โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง จะต้องมีท้องถิ่นเข้าดูแลการถ่ายทำในพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมกลุ่มของคนมากเกินไป ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ ศิลปะในท้องถิ่น และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ในการนำศิลปวัฒนธรรมต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ ละครไทย หนังไทย เป็นที่นิยมในต่างประเทศ เพราะวัฒนธรรมไทยเป็นที่ชื่นชมและเป็นเอกลักษณ์ เมื่อรวมกับความคิดสร้างสรรค์ ฝีมือคนไทย และความสามารถจัดการเชิงธุรกิจอย่างเป็นระบบ จะปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจสร้างสรรค์สู่เวทีโลก ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยจะให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด 

 

ธนกรยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานเครือข่าย/กลุ่มศิลปิน เพื่อจัดทำข้อมูลให้ครอบคลุมและชัดเจน มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากมาตรการลดภาษี การช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึง Soft Loan แหล่งเงินทุน จากงบประมาณที่มีเหลืออยู่จาก พ.ร.ก.กู้เงิน โดยจะได้มีการนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

The post นายกฯ รับข้อเสนอกลุ่มศิลปินและเครือข่าย ช่วยเหลือให้เข้าถึง Soft Loan ถกเปิดโรงหนัง-ผ่อนปรนถ่ายภาพยนตร์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เมื่อ ‘ซอฟต์โลน’ ภาครัฐยังไม่มา ‘ธุรกิจสายการบิน’ จึงแก้ปัญหาด้วยการ ‘ลดเงินเดือนพนักงาน’ มีตั้งแต่ 10% ไปจนถึงไม่จ่ายเลย ให้ไปพึ่งประกันสังคมแทน https://thestandard.co/airline-business-staff-salary-reduction/ Thu, 05 Aug 2021 10:14:40 +0000 https://thestandard.co/?p=521889 สายการบิน

ความล้มเหลวในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิดในประเทศไท […]

The post เมื่อ ‘ซอฟต์โลน’ ภาครัฐยังไม่มา ‘ธุรกิจสายการบิน’ จึงแก้ปัญหาด้วยการ ‘ลดเงินเดือนพนักงาน’ มีตั้งแต่ 10% ไปจนถึงไม่จ่ายเลย ให้ไปพึ่งประกันสังคมแทน appeared first on THE STANDARD.

]]>
สายการบิน

ความล้มเหลวในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิดในประเทศไทย ทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ต้องออกคำสั่งขยายระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์ออกไปอีก 14 วัน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 2 สิงหาคม 2564 โดยจะประเมินอีกครั้งในวันที่ 18 สิงหาคม หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นอาจจะขยายต่อไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 และยังมีการขยายพื้นที่สีแดงเข้มเพิ่มเป็น 29 จังหวัดจากเดิม 13 จังหวัด เพื่อจำกัดการเดินทาง ออกนอกเคหสถานในช่วงเวลา 21.00-04.00 น.

 

จากคำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบทำให้ธุรกิจสายการบินของไทย ที่ให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศต้องประกาศยกเลิกการให้บริการเป็นการชั่วคราว เนื่องจากฐานปฏิบัติการบินหลักของสายการบินไทยส่วนใหญ่อยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ล้วนตั้งอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้มที่ถูกประกาศเคอร์ฟิวจำกัดเวลาการเดินทาง ซ้ำเติมฐานะสายการบินให้ย่ำแย่ลงไปอีก ขณะที่มาตรการขอความช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อรักษาสภาพการจ้างงานพนักงานจำนวน 2 หมื่นคนจนถึงสิ้นปี 2564 วงเงิน 5,000 ล้านบาท จากกระทรวงการคลังของ 7 สายการบิน คือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส, สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์, สายการบินไทยสมายล์, สายการบินนกแอร์, สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท ภายใต้สมาคมสายการบินประเทศไทย ก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแล แม้ว่าจะยื่นข้อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563

 

ล่าสุดสายการบินต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ช่วยเหลือตัวเองเพื่อประคองธุรกิจและต่อชีวิตพนักงานให้ไปต่อได้ ในช่วงที่รอคอยความหวังว่ารัฐบาลอาจจะประกาศผ่อนคลายมาตรการปลดล็อกดาวน์ในเร็วๆ นี้ ด้วยการยอมถอยสุดซอย ประกาศหยุดบินชั่วคราว สั่งพักงานพนักงาน 1 เดือน พร้อมกับงัดมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรช่วงที่หยุดบินออกมาใช้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ มาดูกันว่าแต่ละสายการบินหาทางรอดอย่างไร

 

สายการบินไทยแอร์เอเชีย ประกาศปิดกิจการชั่วคราวเป็นเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2564 ขอเลื่อนเเละเเบ่งจ่ายเงินเดือนพนักงานทั้งหมด  สำหรับเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม โดยในเดือนกรกฎาคมผู้บริหารระดับสูงและพนักงานระดับผู้จัดการจะถูกเลื่อนการจ่ายเงินเดือนไปเป็นเดือนกันยายน ส่วนพนักงานระดับปฏิบัติการจะถูกปรับลดเงินเดือนเหลือ 50% และเลื่อนการจ่าย 50% ที่เหลือไปในเดือนกันยายน ส่วนพนักงานที่ไม่ได้ปฏิบัติงานถูกเลื่อนการจ่ายเงิน 25% ไปในเดือนกันยายน

 

ส่วนในเดือนสิงหาคมให้พนักงานหยุดปฏิบัติงาน 100% โดยจะงดการจ่ายเงินเดือนทั้งหมด เพื่อให้พนักงานเข้าสู่เงื่อนไขได้รับสิทธิจากมาตรการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด 9 ประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ซึ่งจะทำให้พนักงานมีสิทธิได้รับเงินเยียวยา 2 ส่วนจากประกันสังคม คือ เงินชดเชย 50% ของค่าจ้าง สูงสุด 7,500 บาท และเงินชดเชยเพิ่มเติมอีก 2,500 บาทต่อคน หวังให้เป็นเงินประทังชีวิตให้กับพนักงานในช่วง 1 เดือน

 

ด้านสายการบินนกแอร์ วุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นกแอร์จำเป็นต้องประกาศหยุดทำการบินชั่วคราวเช่นกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป เพื่อให้พนักงานเข้าสู่เงื่อนไขได้รับสิทธิจากมาตรการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 เช่นเดียวกัน โดยคาดหวังว่าในเดือนกันยายนนกแอร์จะกลับมาทำการบินและจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ตามปกติ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดคลี่คลาย

 

สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ อัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ออกมาสื่อสารกับพนักงานชัดเจนว่า สายการบินจำเป็นต้องหยุดบินชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป จากเหตุสุดวิสัยตามมาตรการของรัฐที่สั่งห้ามบินพื้นที่สีแดงเข้ม   

 

โดยในเดือนสิงหาคมได้ประกาศให้พนักงานระดับปฏิบัติการหยุดปฏิบัติหน้าที่ 100 % เพื่อให้พนักงานเข้าสู่เงื่อนไขได้รับสิทธิจากมาตรการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 เช่นเดียวกัน ส่วนพนักงานระดับบริหารนั้น สายการบินได้ประกาศปรับลดเงินเดือนในเดือนสิงหาคมลงเฉลี่ย 10-60% ลดหลั่นตามระดับ โดยพนักงานระดับสูงจะถูกปรับลดเงินเดือนมากกว่าระดับที่ต่ำกว่า 

 

สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ตัดสินใจประกาศหยุดทำการบินชั่วคราวถึงวันที่ 10 สิงหาคมเช่นกัน ยกเว้นเที่ยวบินเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ-สมุย ที่รองรับผู้โดยสารที่ต่อเครื่องมาจากต่างประเทศ และเส้นทางระหว่างสมุย-ภูเก็ต ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการนำร่องเปิดประเทศ (Sandbox) ของภาครัฐ  

 

แต่ยังมีการจ่ายเงินเดือนพนักงานตามปกติในช่วงที่หยุดทำการบิน และยังคงใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายองค์กรตามมาตรการเดิมที่ประกาศใช้มาต้นปี 2563 เช่น ขอความร่วมมือจากผู้บริหารและพนักงานในการลางานโดยไม่รับค่าจ้างจำนวน 10-30 วัน ปรับลดเงินเดือนของผู้บริหาร 50% เป็นต้น 

 

สายการบินไทยสมายล์ ได้ประกาศหยุดทำการบินชั่วคราวทุกเส้นทางเช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 3-19 สิงหาคม 2564 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่มีมาตรการหยุดจ่ายเงินในเดือนสิงหาคมเหมือนสายการบินอื่นๆ โดยยังคงใช้มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายเดิมของสายการบินที่ออกมาบังคับใช้เมื่อปีก่อน คือมีการปรับลดเงินเดือนพนักงานที่มีเงินเดือนเกินกว่า 3 หมื่นบาทในอัตรา 10-60% ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2563 และจะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม 2564

  

ขณะที่สายการบินไทย ซึ่งอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ ปัจจุบันไม่ได้ทำการบินเส้นทางในประเทศอยู่แล้ว ได้ใช้ยาแรงบรรเทาภาระต้นทุนธุรกิจไปก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยการประกาศให้พนักงานลาหยุดโดยไม่รับเงินเดือนค่าจ้าง เป็นระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 1 ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 30 มิถุนายน 2565

 

มาตรการหยุดบินและการหยุดจ่ายเงินเดือนพนักงานชั่วคราวของแต่ละสายการบินในขณะนี้ อาจช่วยพยุงให้สายการบินยังไม่ต้องปิดกิจการ และยังไม่ต้องทำการปลดพนักงานในอุตสาหกรรมกว่า 2 หมื่นชีวิตได้ แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นเพียง 1 เดือนเท่านั้น 

 

แต่ในระยะยาวหากรัฐบาลยังคงมาตรการล็อกดาวน์ออกไปเรื่อยๆ คงได้เห็นสายการบินต้องล้มหายตายจากไปไม่มากก็น้อย ซึ่งก่อนหน้านี้สมาคมสายการบินประเทศไทยออกมาประกาศว่า ถ้าล็อกดาวน์เกิน 3 เดือน สายการบินสัญชาติไทยไทยคงสูญพันธ์กันไปบ้างแน่นอน

 

The post เมื่อ ‘ซอฟต์โลน’ ภาครัฐยังไม่มา ‘ธุรกิจสายการบิน’ จึงแก้ปัญหาด้วยการ ‘ลดเงินเดือนพนักงาน’ มีตั้งแต่ 10% ไปจนถึงไม่จ่ายเลย ให้ไปพึ่งประกันสังคมแทน appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘นกแอร์’ ร่อนหนังสือถึงรัฐมนตรีคลัง ขอ ‘Soft Loan 1 พันล้านบาท’ หวังต่อลมหายใจให้ธุรกิจ ย้ำ! ไม่ก่อให้เกิดหนี้เสีย https://thestandard.co/nok-request-soft-loan-1-billion-baht/ Wed, 04 Aug 2021 05:03:27 +0000 https://thestandard.co/?p=521248 นกแอร์

วานนี้ (3 สิงหาคม) ดร.วุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าท […]

The post ‘นกแอร์’ ร่อนหนังสือถึงรัฐมนตรีคลัง ขอ ‘Soft Loan 1 พันล้านบาท’ หวังต่อลมหายใจให้ธุรกิจ ย้ำ! ไม่ก่อให้เกิดหนี้เสีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
นกแอร์

วานนี้ (3 สิงหาคม) ดร.วุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดยังคงทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและมิอาจคาดการณ์ระยะเวลาสิ้นสุดได้ 

 

อีกทั้งการประกาศระงับการบินชั่วคราวในเส้นทางการบินภายในประเทศ เพื่อจำกัดการเดินทางของผู้โดยสารเข้า-ออกพื้นที่ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มีผลตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป การขยายระยะเวลาล็อกดาวน์อีก 14 วัน และเพิ่มขยายพื้นที่แดงเข้มเป็น 29 จังหวัด ตามคำสั่ง ศบค. และประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย นำมาซึ่งความเสียหายอย่างแสนสาหัสต่อผู้ประกอบการในธุรกิจการบิน และอาจส่งผลให้สายการบินไม่สามารถดำเนินธุรกิจการบินต่อไป รวมถึงไม่สามารถรักษาสถานะการจ้างงานของพนักงานในบริษัท และอาจต้องปิดตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

แม้กระทรวงการคลังได้ให้นโยบายแก่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในธุรกิจการบินที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด แต่ขณะนี้ ‘นกแอร์’ ซึ่งได้ร้องขอความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด 

 

“ในการนี้ บริษัทฯ จึงใคร่ขอความอนุเคราะห์ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) แบบปลอดหลักทรัพย์ค้ำประกันให้กับบริษัทฯ วงเงิน 1 พันล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ย 2% เป็นเวลา 60 เดือน เริ่มชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในวันที่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป”

 

หรือพิจารณามาตรการสินเชื่ออื่นๆ เพื่อให้ทุกสายการบินสัญชาติไทยได้รับการช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน ไม่เพียงแค่สายการบินใดสายการบินหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ทุกสายการบินสามารถแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรม ส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชนในระยะยาว

 

แม่ทัพนกแอร์ย้ำว่า สินเชื่อดังกล่าวจะช่วยให้นกแอร์ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สามารถเพิ่มสภาพคล่องและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน โดยบริษัทจะปรับปรุงโครงสร้างราคาตั๋วโดยสารให้เหมาะสมกับต้นทุนและค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มรายได้และขีดความสามารถในการชำระหนี้ได้ตลอดระยะเวลาของสินเชื่อ โดยไม่ก่อให้เกิดหนี้เสีย

 

ก่อนหน้านี้สมาคมสายการบินประเทศไทยได้ออกมาแถลงเพื่อ Soft Loan จากรัฐ ด้วยวงเงิน 5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดวงเงินจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นไป 2.4 หมื่นล้านบาท ต่อมาช่วงต้นปี 2564 ได้ปรับลดลงเหลือ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยมีการระบุว่า วงเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้รักษาการจ้างงานพนักงาน 20,000 กว่าคน

 

ล่าสุดเช้าวันนี้ (4 สิงหาคม) พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายกสมาคมสายการบินประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ที่ระบุว่า สมาคมฯ ยังคงไม่ได้รับการอนุมัติเงินกู้เพื่อรักษาสภาพการจ้างงานจากรัฐบาลแต่อย่างใด 

 

“ทราบว่าผ่านความเห็นชอบในหลักการจากสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ติดอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้สอดคล้องกับธุรกิจสายการบิน ซึ่งต้องขอความอนุเคราะห์จากรัฐบาลช่วยเหลือในการพิจารณาเร่งรัดแก้ไขข้อกำหนดโดยเร็วที่สุดต่อไป”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

The post ‘นกแอร์’ ร่อนหนังสือถึงรัฐมนตรีคลัง ขอ ‘Soft Loan 1 พันล้านบาท’ หวังต่อลมหายใจให้ธุรกิจ ย้ำ! ไม่ก่อให้เกิดหนี้เสีย appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชมคลิป: ‘7 สายการบิน’ ทวงถามซอฟต์โลนภาครัฐ หวังต่อลมหายใจ | Morning Wealth 22 กรกฎาคม 2564 https://thestandard.co/morning-wealth-22072021/ Thu, 22 Jul 2021 01:37:45 +0000 https://thestandard.co/?p=515671

ส่องสถานการณ์สมาคมสายการบินประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วย 7 […]

The post ชมคลิป: ‘7 สายการบิน’ ทวงถามซอฟต์โลนภาครัฐ หวังต่อลมหายใจ | Morning Wealth 22 กรกฎาคม 2564 appeared first on THE STANDARD.

]]>
  • ส่องสถานการณ์สมาคมสายการบินประเทศไทย ซึ่งประกอบไปด้วย 7 สายการบิน วอนรัฐบาลขอ Soft Loan 5,000 ล้าน เพื่อรักษาการจ้างงาน ต่อ ‘ลมหายใจเฮือกสุดท้าย’ ของธุรกิจสายการบินประเทศไทย
  • ธปท. เตรียมออกประกาศให้สถาบันการเงินทบทวนการคิดค่าธรรมเนียม 300 รายการ ในไตรมาสนี้ ให้สมเหตุสมผลและเป็นธรรมมากขึ้น รายละเอียดจะเป็นอย่างไร
  • ‘จับธีมเด็ดถูกทาง สร้างโอกาสพอร์ตเติบโต’ โดยเฉพาะธีมเทคโนโลยี มุมมองต่อการลงทุนในธีมนี้เป็นอย่างไร แนะนำการลงทุนกับ นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์

 

ติดตาม รายการ Morning Wealth วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 7.00-8.00 . ทาง Facebook และ YouTube ของ THE STANDARD WEALTH

 

อัปเดตข่าวสารจากสำนักข่าวเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการลงทุน โดยทีมข่าว THE STANDARD ได้ที่ https://thestandard.co/wealth/

The post ชมคลิป: ‘7 สายการบิน’ ทวงถามซอฟต์โลนภาครัฐ หวังต่อลมหายใจ | Morning Wealth 22 กรกฎาคม 2564 appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ไทยแอร์เอเชีย’ เร่งหาสภาพคล่องหล่อเลี้ยงธุรกิจช่วงล็อกดาวน์ ย้ำยังรอความหวังซอฟต์โลนจากภาครัฐอยู่ ส่วนดีลขายหุ้นกู้แปลงสภาพจบเดือนหน้า https://thestandard.co/thai-airasia-finding-cashflow-for-feeding-their-business-during-lockdown/ Wed, 21 Jul 2021 09:22:26 +0000 https://thestandard.co/?p=515432 thai airasia

เป็นเวลาเกือบ 20 เดือนแล้ว นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรค […]

The post ‘ไทยแอร์เอเชีย’ เร่งหาสภาพคล่องหล่อเลี้ยงธุรกิจช่วงล็อกดาวน์ ย้ำยังรอความหวังซอฟต์โลนจากภาครัฐอยู่ ส่วนดีลขายหุ้นกู้แปลงสภาพจบเดือนหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
thai airasia

เป็นเวลาเกือบ 20 เดือนแล้ว นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและหนักหน่วงสุดจากวิกฤตครั้งนี้ แต่ยังไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลเลย คือ ธุรกิจสายการบิน 

 

แม้ว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการในธุรกิจนี้จะเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐมาตลอด ผ่านการขอให้ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เพื่อหล่อเลี้ยงธุรกิจ ประคับประคองการจ้างงาน แต่ในช่วงที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากภาครัฐเลย 

 

“เรายังรอความหวังเรื่องซอฟต์โลน ซึ่งอยากได้ความชัดเจนว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย อยากได้คำตอบแบบชัดๆ ไม่ใช่เงียบหายไปเลย เพราะเราจะได้จัดการปัญหาได้ถูก” ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.แอร์เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ซึ่งเขาเชื่อว่า “วันนี้รัฐบาลคงต้องช่วยเหลือเราแล้ว เพราะเขาเป็นคงสั่งให้เราหยุดทำการบิน” 

 

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ธรรศพลฐ์ยอมรับว่าผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้พอสมควร เป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิดว่าโรคนี้จะกลับมาระบาดใหม่อย่างรุนแรงจนรัฐบาลต้องสั่งล็อกดาวน์อีกครั้ง และครั้งนี้รัฐบาลก็สั่งให้เราหยุดบิน โดยที่ไม่รู้จะลากยาวไปอีกเท่าไร แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัทโดยตรง

 

“เรื่องสภาพคล่องมีปัญหาแน่นอนอยู่แล้ว เราคงต้องคุยกับแบงก์ หรือกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ว่า พอจะช่วยอะไรได้ก่อนบ้าง คงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก่อน เพราะเราก็ไม่คิดว่าจะต้องมาหยุดบินแบบนี้”

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องปัญหาสภาพคล่องแม้จะมีแน่นอน แต่อาจจะเป็นเพียงชั่วคราวในช่วงนี้ เพราะก่อนหน้านี้บริษัทได้พยายามหาทางแก้ไปบ้างแล้ว โดยการหากลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาช่วย รวมทั้งการปรับแผนนำเอา บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด (TAA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย AAV เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแทน AAV

 

ธรรศพลฐ์กล่าวยืนยันว่า ดีลดังกล่าวยังคงเป็นไปตามแผนเดิม เพียงแต่ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้บ้าง โดยในส่วนของผู้ถือหุ้นใหม่ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพของบริษัทมูลค่า 3.15 พันล้านบาทนั้น น่าจะจบได้ภายในเดือนหน้า ส่วนเรื่องการนำหุ้น TAA ขาย IPO เข้าจดทะเบียนแทน AAV ตอนนี้อยู่ระหว่างปรึกษากับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ปีนี้ 

 

“ตอนที่เราทำดีลนี้ เราก็เชื่อว่าสภาพคล่องใหม่ที่จะเข้ามาเพียงพออย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าการล็อกดาวน์จะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครคาดเดาได้ ดังนั้นเรื่องซอฟต์โลนเราก็ยังรอความหวังอยู่”

The post ‘ไทยแอร์เอเชีย’ เร่งหาสภาพคล่องหล่อเลี้ยงธุรกิจช่วงล็อกดาวน์ ย้ำยังรอความหวังซอฟต์โลนจากภาครัฐอยู่ ส่วนดีลขายหุ้นกู้แปลงสภาพจบเดือนหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>