Social Enterprise – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 22 Nov 2022 07:33:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 สร้างธุรกิจ Social Enterprise อย่างไรให้ ‘กำไรก็ได้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ดี’ บทเรียนล้ำค่าจากโครงการ ‘Accelerate Impact with PRUKSA’ [ADVERTORIAL] https://thestandard.co/accelerate-impact-with-pruksa/ Tue, 22 Nov 2022 07:30:43 +0000 https://thestandard.co/?p=711028

โมเดลธุรกิจแบบ Social Enterprise หรือ SE ที่มุ่งแก้ไขปั […]

The post สร้างธุรกิจ Social Enterprise อย่างไรให้ ‘กำไรก็ได้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ดี’ บทเรียนล้ำค่าจากโครงการ ‘Accelerate Impact with PRUKSA’ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>

โมเดลธุรกิจแบบ Social Enterprise หรือ SE ที่มุ่งแก้ไขปัญหาสังคมหรือสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องใหม่ และไอเดียเจ๋งๆ จากความตั้งใจดีของคนทำธุรกิจมากมายที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเมืองไทย เพราะโมเดลนี้ใช้ ‘ใจ’ อย่างเดียวไม่พอ ต้องสร้างผลกำไรได้พอที่จะทำให้กิจการเจริญเติบโตต่อไปได้

 

 

โดยธรรมชาติของธุรกิจ SE มักเริ่มต้นจากคนทำธุรกิจมองเห็น ‘ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม’ ที่อยากจะแก้ แม้หลายองค์กรจะยืนกรานว่าธุรกิจ SE ไม่ได้เอากำไรเป็นตัวตั้ง และควรต้องตั้งเป้าหมายในการแก้ปัญหาสังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่ในมุมมองของ อุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ‘ใจเพื่อสังคม’ และ ‘กำไร’ ควรคิดและเดินหน้าไปพร้อมกัน

 

 

‘พฤกษา’ คือตัวอย่างที่ดี นับตั้งแต่ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งพฤกษาในปี 2536 ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในราคามิตรภาพได้ จนถึงวันนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 พฤกษายังคงดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจที่จะร่วมสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนและสร้างโอกาสที่ดีให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

 

“ถ้าพฤกษาทำได้ ธุรกิจที่ต้องการสร้างคุณค่าให้สังคมและสร้างธุรกิจให้ยั่งยืนเหมือนที่พฤกษาทำมาตลอด 30 ปีก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรที่ไม่ใช่แค่การมอบเงินบริจาค เพราะเราต้องการส่งเสริมธุรกิจให้สามารถสร้างคุณค่าให้กับสังคมและมีความยั่งยืนต่อไป” อุเทนกล่าว

 

นำไปสู่จุดเริ่มต้นของ ‘Accelerate Impact with PRUKSA’ โครงการที่เฟ้นหาธุรกิจมาร่วมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม พร้อมสร้างกำไรให้องค์กร สร้างความยั่งยืนให้ตัวเองได้ด้วย โดยที่พฤกษาจะสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยทรัพยากรที่มี ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน คำปรึกษาด้านธุรกิจ สนับสนุนผู้ประกอบการไทย และเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณไม่ต้องเริ่มต้นด้วยการนับศูนย์ 

 

โดยมีข้อกำหนดที่ว่า บริษัทที่เข้าร่วมโครงการได้ต้องมี Double Profit ธุรกิจคุณต้องทำกำไรและต้องทำเพื่อสังคม ถ้าไม่มี 2 สิ่งนี้แสดงว่าความคิดการทำเพื่อสังคมของคุณผิด

 

 

บริษัทแบบไหนที่พฤกษาเฟ้นหา

อุเทนอธิบายต่อว่า ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise ที่มองหา นอกจากจะมีพันธกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ตามมติขององค์การสหประชาชาติแล้ว ยังต้องมีเป้าหมาย Double Bottom Lines ควบคู่กันทั้งสองด้าน คือ

 

  • ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ ด้วยการสร้างและเสริมทักษะที่จำเป็นต่อโอกาสทางการงาน เพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาให้สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพเทียบเท่ากัน หรือเพื่อแก้ไขปัญหาทักษะที่ไม่ตรงกับงาน การพัฒนาทักษะเดิม (Upskill) และการเพิ่มเติมทักษะใหม่ (Reskill) รวมทั้งการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ เพื่อลดช่องว่างของรายได้ให้กับประชาชนทุกคน 
  • การสร้างสังคมและที่อยู่อาศัยแบบยั่งยืน หรือวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสังคมผู้สูงวัย ครอบคลุมเรื่องความปลอดภัย ยืดหยุ่น และยั่งยืนสำหรับผู้สูงอายุ และยังต้องสร้างนวัตกรรมเชิงรุกด้านการดูแลผู้สูงวัย เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยมีจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิตได้ หรือ Renewed Purpose in Life

 

“เรามีคณะกรรมการภายในของพฤกษา และเชิญคณะกรรมการภายนอกมาช่วยคัดกรอง เพราะนอกจากกฎเกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้น เรายังดูด้วยว่าบริษัทนั้นๆ มีนวัตกรรม บริการ สินค้า หรือแนวทางการแก้ปัญหาที่ชัดเจนหรือไม่ ที่สำคัญคือต้องดำเนินการไปแล้ว ไม่ใช่แค่เขียนแผนธุรกิจมาขอเงินลงทุน ต้องลงมือทำจริง ประเด็นต่อมาคือ ต้องเป็นบริษัทที่มุ่งหวังสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ เพราะถ้าทำแล้วขาดทุน เท่ากับว่าบริษัทคุณไม่มีความยั่งยืนในการให้บริการต่อ ก็ยังไม่เข้าเกณฑ์ Social Enterprise ที่เราต้องการสนับสนุน สุดท้ายคือดูว่าเขามีใจที่จะช่วยเหลือสังคมจริงหรือเปล่า หรือต้องการสร้างให้ตัวเองประสบความสำเร็จเป็นยูนิคอร์น เข้าตลาดแล้วขายหุ้นทิ้ง แต่ไม่มีใจในการสร้างธุรกิจเพื่อสังคม เราก็ไม่เลือก

 

“สิ่งสำคัญคือโครงการนี้ทุกบริษัทที่ได้เงินสนับสนุนถือเป็นเงินให้เปล่า เพราะไม่มีข้อผูกมัดว่าจะต้องผูกขาดอะไรกับทางพฤกษา และไม่จำเป็นว่าบริษัทจะต้องจดทะเบียนเป็น Social Enterprise ขอให้สิ่งที่ทำเป็นกิจกรรมเพื่อ Social Enterprise เป็นธุรกิจเพื่อสังคมจริง”  

 

 

ทำไมโมเดลดี แต่ไปไม่ถึงฝัน?


เมื่อถามว่าอะไรคือจุดอ่อนของธุรกิจ SE ที่ส่วนใหญ่ไปมาถึงฝัน อุเทนมองว่า หลายคนมีใจที่จะทำเพื่อสังคม แต่ลืมคิดถึง Profit Model “ในเชิงของนวัตกรรมผู้ประกอบการต้องคิดให้ครบ ซึ่งประเทศไทยยังคุ้นเคยกับแนวคิดที่ว่าธุรกิจ SE ขึ้นอยู่กับการระดมเงินบริจาค โครงการนี้เราต้องการให้ผู้ประกอบการมีแนวคิดที่ถูกต้อง วันเปิดโครงการจึงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนธุรกิจ และธุรกิจ SE ที่ประสบความสำเร็จมาร่วมแชร์แนวคิดและประสบการณ์

 

“ผมเชื่อว่าทุกคนที่ตัดสินใจทำธุรกิจ SE มีความตั้งใจดีที่อยากจะช่วยเหลือสังคม แต่โมเดลที่ทำกำไรได้และทำกำไรเลยมันไม่มี ดังนั้นพฤกษาจึงมีทีมที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญมาช่วยเทรน รวมถึงทีมของพฤกษาเองที่จะมีส่วนร่วมในการช่วยคิด ช่วยทำ และผลักดันให้เขาประสบความสำเร็จ บางธุรกิจอาจจะกำลังคนไม่พอ Know-How ไม่ถึงหรือไม่สามารถเข้าตลาดได้ เราก็เข้าไปช่วย”

 

แมตช์ผู้เชี่ยวชาญและคำแนะนำให้ตรงกับธุรกิจ


5 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าร่วมกิจกรรม Boot Camp ‘ค่ายอุ่นเครื่องสตาร์ทอัพ’ โปรแกรมพัฒนาธุรกิจอย่างจริงจังเป็นเวลา 3 เดือน ได้เวิร์กช็อปการนำเสนอแผนธุรกิจโชว์เคสอย่างมืออาชีพ และเงินสนับสนุนขั้นต่ำทีมละ 6 แสนบาท 

 

“เพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาไปต่อได้จริง เราจะเตรียมผู้เชี่ยวชาญที่แมตช์กับธุรกิจของเขา เช่น ถ้าธุรกิจเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพก็จะดึงผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลวิมุตมาช่วย ถ้าเกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยก็จะดึงคนของพฤกษามา หลักๆ คือต้องดูความต้องการของบริษัทนั้นๆ หรือถ้าเขาทำแผนธุรกิจแล้วติดปัญหาเรื่องการขยายตลาด เราก็จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมาช่วย เพื่อให้เขาไประดมทุนกับบริษัทข้างนอกได้

 

“เรายังมีตัวช่วยอีกหลายอย่างที่จะมาซัพพอร์ต เช่น ถ้าบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา Data Scientist หรือ AI ต้องใช้ เราก็มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมซัพพอร์ต ใครต้องการใช้โซเชียลหรือเข้าถึงตลาดเราก็มีแพลตฟอร์มที่พฤกษาลงทุน แล้วดึงพันธมิตรและคนที่มีองค์ความรู้เรื่องนี้ของพฤกษาไปช่วยเขาทำตลาด เรียกได้ว่าบริษัทที่ได้รับคัดเลือกจะได้มาใช้ Know-How และ Tool ของพฤกษา เพื่อให้เขาต่อยอดธุรกิจได้ทันที”  


เงินสนับสนุนเพิ่มเติมจาก ‘ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์’ และโอกาสรับเงินลงทุนเพิ่มเติมจากพฤกษา ภายใต้ Corporate Venture Capital (CVC) 

นอกจากเงินสนับสนุนขั้นต่ำทีมละ 6 แสนบาท บริษัทที่ได้รับเลือกยังมีโอกาสได้รับเงินทุนสนับสนุนเพิ่มเติมจาก ‘ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์’

 

“เมื่อนำคอนเซปต์โครงการไปเล่าให้คุณทองมาฟัง ท่านก็ชอบมาก และขอนำเงินกองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ ซึ่งเป็นกองทุนส่วนตัวเข้าร่วมโครงการนี้ด้วยเพื่อสมทบทุนเพิ่มเติม ที่ผ่านมาทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ดำเนินการมอบทุนสนับสนุนกิจกรรมการพัฒนาเพื่อสังคม 3 ด้าน คือ ศาสนา การศึกษา และพัฒนาสังคม ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 13 แล้ว ซึ่งจุดเริ่มต้นของกองทุนก็มาจากความต้องการที่จะตอบแทนสังคม

  

“แต่ถ้าบริษัทไหนต้องการเติบโตต่อและมีกรอบการทำธุรกิจที่เข้าเกณฑ์กับกรอบการลงทุนของ Corporate Venture Capital (CVC) ก็อาจได้เงินสนับสนุนเพิ่มเติม”

 

CVC เป็นกองทุนที่พฤกษาจัดตั้งขึ้นด้วยงบ 3,500 ล้านบาท โดยเน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพ 3 ด้าน คือ อสังหา (Prop Tech), สุขภาพ (Health Tech) และสิ่งแวดล้อม โดยต้องเกี่ยวโยงกับธุรกิจของพฤกษา อาทิ ‘Naluri’ สตาร์ทอัพด้าน Health Tech ที่พัฒนาแอปพลิเคชันการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ด้วยเทคโนโลยีการดูแลตัวบุคคลแบบครบถ้วน หรือ ‘AMILI’ สตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ที่มีเทคโนโลยีชีวภาพด้านจุลชีพในลำไส้ที่มีความแม่นยำมากที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังต่อยอดนำเทคโนโลยีมาใช้ ยกระดับบริการของโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์

 

 

สังคมจะดีกว่านี้ ถ้าทุกคนมาร่วมด้วยช่วยกันทำ

ท้ายที่สุดสิ่งที่พฤกษาคาดหวังจากการทำโครงการ Accelerate Impact with PRUKSA ไม่ใช่เรื่องของการต่อยอดธุรกิจอย่างแน่นอน เพราะอย่างที่อุเทนเน้นย้ำตลอดการสัมภาษณว่าไม่มีการผูกมัด แค่อยากเห็นธุรกิจที่มีปณิธานเดียวกันทำมันได้สำเร็จ 

 

“มากไปกว่านั้นเราก็อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ ในสังคมด้วย ก็หวังว่าในมุมของผู้ประกอบการโครงการนี้จะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้การธุรกิจ SE

 

“แต่สำหรับพฤกษา โครงการนี้จะสร้างคุณค่าใหม่ให้กับองค์กร เพราะเราอยากจะปลูกฝังให้พนักงานพฤกษาเห็นว่า ทุกคนสามารถสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้ ด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตัวเอง เขาสามารถมีส่วนร่วมช่วยเหลือโครงการได้ พอเขาเริ่มลงมือทำ เขาจะเข้าใจทันทีว่ายังมีอีกหลายอย่างที่สร้างคุณค่าให้กับสังคมได้ ไม่ใช่แค่การบริจาคเงิน

 

“เหนือสิ่งอื่นใด พฤกษาอยากชวนบริษัทอื่นๆ มาช่วยกัน เพราะเชื่อว่าคนทำดีแต่เข้าถึงทรัพยากรไม่เท่ากับบริษัทใหญ่ๆ กำลังต้องการความช่วยเหลือ พฤกษาอยากส่งเสริมบริษัทเหล่านั้นให้อยู่ต่อและทำความดีให้กับสังคม สิ่งที่เราทำเป็นอีกหนึ่งวิธีที่แสดงให้เห็นว่าเราสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้หลายวิธี ถ้าองค์กรใหญ่ๆ ช่วยกัน เชื่อว่าธุรกิจ SE ในเมืองไทยจะเกิดขึ้นได้อีกมากมาย”

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่เว็บไซต์ pruksaimpact.com

The post สร้างธุรกิจ Social Enterprise อย่างไรให้ ‘กำไรก็ได้ สังคมและสิ่งแวดล้อมก็ดี’ บทเรียนล้ำค่าจากโครงการ ‘Accelerate Impact with PRUKSA’ [ADVERTORIAL] appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘เชฟแคร์ส’ จับมือ ‘เจ๊ไฝ’ เชฟสตรีทฟู้ดมิชลิน ส่งเมนู ‘ฟูซิลีผัดขี้เมาไก่’ เจาะกลุ่ม Premium Chilled Ready Meal ในโปรเจกต์ Social Enterprise กำไร 100% นำกลับคืนสู่สังคม [PR NEWS] https://thestandard.co/chef-cares-ready-meal/ Fri, 12 Nov 2021 06:00:38 +0000 https://thestandard.co/?p=557338 Chef Cares Ready Meal

‘แคร์ทุกคำ แคร์ทุกคน’ สโลแกนที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่ […]

The post ‘เชฟแคร์ส’ จับมือ ‘เจ๊ไฝ’ เชฟสตรีทฟู้ดมิชลิน ส่งเมนู ‘ฟูซิลีผัดขี้เมาไก่’ เจาะกลุ่ม Premium Chilled Ready Meal ในโปรเจกต์ Social Enterprise กำไร 100% นำกลับคืนสู่สังคม [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Chef Cares Ready Meal

‘แคร์ทุกคำ แคร์ทุกคน’ สโลแกนที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคมผ่านอาหารรสเลิศของ Chef Cares Ready Meal ที่จับมือกับสุดยอดเชฟระดับประเทศสร้างสรรค์เมนูอาหารสุขภาพพร้อมรับประทานกลุ่มพรีเมียมในราคาประหยัด โดยกำไร 100% จะถูกนำกลับคืนสู่สังคม ภายใต้โปรเจกต์ Social Enterprise ในโครงการเชฟแคร์สของบริษัท เชฟแคร์ส โปรเจกต์ จำกัด

 

 

เบื้องหลังโปรเจกต์น้ำดีที่ว่านี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก ‘โครงการกล่องอาหาร’ ก่อนจะต่อยอดไปสู่การจัดตั้ง ‘มูลนิธิเชฟแคร์ส’ เพื่อประโยชน์ของสังคมอย่างยั่งยืน และพัฒนาสู่การเป็นผู้ผลิตแบรนด์ ‘เชฟแคร์ส’ อาหารสุขภาพพร้อมรับประทาน ส่งมอบความอร่อย สะอาด ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนการไปกับวัตถุดิบอาหารชั้นเยี่ยมผ่านฝีมือของบรรดาเชฟที่ได้รับรางวัลระดับโลก โดยกำไร 100% มอบกลับคืนสู่สังคมนำไปใช้ในการดำเนินโครงการสานฝันปั้นเชฟและโครงการสาธารณกุศลอื่นๆ อีกมากมายภายใต้มูลนิธิเชฟแคร์ส 

 

ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า “โลกหลังโควิดจะทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อาทิ รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป ปัจจุบันผู้คนสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เที่ยวไปทำงานไปก็ยังได้ นั่นทำให้เห็นว่า เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ การท่องเที่ยวจะกลับมาเฟื่องฟู และหนึ่งในความสุขของผู้คนคือการเสาะหาอาหารอร่อยๆ กินแล้วต้องมีความสุข และอาชีพเชฟจะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่จะทำให้ผู้คนมีความสุขด้วยอาหาร” 

 

ธนินท์ยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาเครือ CP มองหาแนวทางร่วมมือกับเชฟ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนวัตถุดิบคุณภาพจากเครือซีพีเอฟ เพื่อสร้างสรรค์มื้ออาหารของ Chef Cares Ready Meal หรือการเปิดโอกาสให้เชฟสามารถเข้าใช้งานในศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ หรือ CPF RD Center อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารมาตรฐานระดับโลก มีโรงงานต้นแบบ (Pilot Plant) ที่สามารถผลิตนวัตกรรมอาหารจากงานวิจัยเพื่อทดลองตลาดได้ทันที เพื่อให้เชฟสามารถรังสรรค์เมนูอาหารที่สด สะอาด และปลอดภัย มอบให้แก่ผู้บริโภค

 

“เครือเจริญโภคภัณฑ์เชื่อว่า การบริโภคอาหารนับจากนี้ต่อไป อาหารอร่อย สด สะอาด ไม่พอ ต้องปลอดภัยด้วย เราในฐานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก มีหน้าที่ผลิตวัตถุดิบคุณภาพที่สด สะอาด และปลอดภัย และการผนึกกำลังกับเชฟทั่วไทยจะเป็นก้าวสำคัญในการช่วยสร้างสรรค์มื้ออาหารที่ทำให้ทุกคนมีความสุขและสุขภาพที่ดีจากอาหารที่รับประทาน” ธนินท์กล่าว 

 

Chef Cares Ready Meal

 

ด้าน มาริษา เจียรวนนท์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเชฟแคร์ส และประธานบริษัท เชฟแคร์ส โปรเจกต์ จำกัด เปิดเผยว่า การจัดตั้งมูลนิธิเชฟแคร์ส นอกเหนือจากพันธกิจในการร่วมมือกับเชฟระดับโลกเพื่อให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพดีขึ้น ผ่านศาสตร์และศิลป์ในการทำอาหารมาช่วยตอบแทนสังคม ยังต้องการให้มูลนิธิฯ สามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน เพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือสังคมได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนสอดคล้องตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิฯ

 

“ที่ผ่านมาได้ผลิตเมนูอาหารพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์ Chef Cares Ready Meal สู่ตลาดไปแล้วทั้งสิ้น 6 เมนู รวมทั้งสิ้น 1.7 ล้านกล่อง รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการจำหน่าย 100% นำกลับคืนสู่สังคม ผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้มูลนิธิเชฟแคร์ส เช่น โครงการ Chef Cares Dream Academy – สานฝันปั้นเชฟ ที่ให้โอกาสเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสได้เรียนรู้ ฝึกงานจริงกับเชฟ เพื่อสั่งสมประสบการณ์ ตลอดจนนำไปช่วยสนับสนุนโครงการสาธารณกุศลอื่นๆ ซึ่งเป็นความภูมิใจของมูลนิธิเชฟแคร์สในการมีบทบาททั้งสนับสนุนวงการอาหารไทยและช่วยเหลือสังคมไปพร้อมกัน” 

 

ล่าสุด เชฟแคร์ส โปรเจกต์ จับมือกับ ‘เจ๊ไฝ’ เชฟสตรีทฟู้ดมิชลินชื่อดัง รังสรรค์เมนูใหม่ ‘ฟูซิลีผัดขี้เมาไก่’ โดยตั้งราคาจำหน่ายเพียงกล่องละ 69 บาท แน่นอนว่ากำไรทั้งหมดที่ได้จากการจำหน่ายจะนำไปบริจาคและสร้างประโยชน์ให้กับคนไทยและสังคมไทยต่อไป

 

Chef Cares Ready Meal

 

พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา รองประธานกรรมการ มูลนิธิเชฟแคร์ส เล่าถึงแนวคิดในการเปิดตัวเมนู ‘ฟูซิลีผัดขี้เมาไก่’ ก็เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ให้รู้สึกเหมือนได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านเจ๊ไฝจริงๆ และยังเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงเมนูคุณภาพที่หลากหลาย

 

“ปัจจุบันนี้ตลาดอาหารพร้อมรับประทานกำลังขยายตัวต่อเนื่อง ผู้บริโภคก็เริ่มหันมาใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีมากขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดของแบรนด์เชฟแคร์สที่เน้นเจาะกลุ่มผู้ที่ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพและคุณภาพของอาหาร ทั้งยังสามารถรับประทานได้ทุกที่ทุกเวลาในราคาที่เข้าถึงได้เพียงกล่องละ 69 บาท วางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven รวมถึงช่องทาง ALL Online App คาดว่าเมนูของเจ๊ไฝจะช่วยส่งเสริมให้ตลาดอาหารพร้อมรับประทานในกลุ่ม Premium Chilled Ready Meal คึกคักและเติบโตขึ้นตามเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน”  

 

พีรธนยังกล่าวถึงทิศทางในอนาคตที่จะขยายช่องทางจำหน่ายเมนูเชฟแคร์สไปตลาดต่างประเทศ เพื่อให้คนทั่วโลกได้ลิ้มลองเมนูไทยและนานาชาติ รสชาติฝีมือเชฟจากประเทศไทย และสร้างรายได้เพื่อนำมาดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป 

 

พูนเพิ่ม ไพทยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชฟแคร์ส โปรเจกต์ จำกัด ยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของมูลค่าตลาดอาหารพร้อมรับประทานของประเทศไทยว่า กลุ่ม Premium Chilled Ready Meal เติบโตอย่างต่อเนื่อง แบรนด์เชฟแคร์สยังสามารถเจาะกลุ่มผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่ม พร้อมตั้งเป้าออกเมนูใหม่ๆ เฉลี่ยปีละ 8 เมนู เน้นความหลากหลายทั้งอาหารไทย อาหารไทยฟิวชัน อาหารเอเชีย และอาหารนานาชาติอื่นๆ โดยยังคงคุณค่าทางโภชนาการ ที่สำคัญรังสรรค์โดยเชฟชั้นนำระดับประเทศและระดับโลก

 

“ปลายปีนี้เชฟแคร์สมีแผนจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารแช่แข็งจาก 3 เมนูสุดฮิตของเชฟแคร์ส ได้แก่ ไก่ทิกกามาซาลา ข้าวหุงขมิ้น, สปาเกตตีซอสเขียวหวาน อกไก่ และหมี่ซั่วหมู ซอสปักกิ่ง เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายไปถึงผู้บริโภคได้ทั่วถึงมากขึ้น โดยช่วงแรกจะเริ่มจากการวางจำหน่ายที่โลตัสก่อน จากนั้นจะเริ่มขยายไปตามโมเดิร์นเทรดและซูเปอร์มาร์เก็ตต่อไป” พูนเพิ่มกล่าว  

 

Chef Cares Ready Meal

 

‘ฟูซิลีผัดขี้เมาไก่’ เมนูเพื่อคนที่คุณรักปรุงด้วยรักจาก ‘เจ๊ไฝ’ สุดยอดเชฟสตรีทฟู้ดชื่อดังระดับโลก

สำหรับนักชิมอย่างเราๆ ที่เฝ้ารอจะได้ลิ้มรสฝีมือเจ๊ไฝสักครั้ง ต่อไปนี้ก็อร่อยได้บ่อยเท่าที่ต้องการแล้ว โดยเมนูฟูซิลีผัดขี้เมาไก่นี้ เจ๊ไฝ-สุภิญญา จันสุตะ สุดยอดเชฟสตรีทฟู้ดชื่อดังระดับโลก ต้องการสร้างสรรค์เมนูที่ให้ความรู้สึกเหมือนแม่ทำกับข้าวอร่อยให้ลูกหรือคนที่รักกิน กลายเป็นแนวคิดเมนูเพื่อคนที่คุณรัก โดยเลือกฟูซิลีผัดขี้เมาไก่ เพราะเป็นเมนูที่รับประทานง่ายทั้งคนไทยและต่างชาติ อีกทั้งรสชาติจัดจ้านอันเป็นเอกลักษณ์ของเมนูยังถูกปากคนไทย รับประกันว่ากินแล้วจะติดใจ เพราะสูตรของเจ๊ไฝคือการตำพริกแกงที่ได้รสชาติ เจือด้วยกะปิหอม และเลือกใช้ไก่เบญจา เนื้อไก่ระดับพรีเมียม รวมทั้งเส้นฟูซิลีนำเข้าจากอิตาลี กลายเป็นเมนูสุขภาพที่มาพร้อมคุณภาพในราคาที่ใครก็เข้าถึงได้

 

Chef Cares Ready Meal

 

การมีส่วนร่วมสร้างสรรค์มื้ออาหารของเจ๊ไฝใน Chef Cares Ready Meal นอกจากจะทำให้คนไทยได้สัมผัสกับรสชาติอาหารจากเชฟระดับโลกอย่างง่ายดายแล้ว เจ๊ไฝยังบอกว่า ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบสิ่งดีๆ คืนให้กับสังคมอีกด้วย

 

“เราเห็นถึงสิ่งที่โครงการนี้ทำมาตลอด ตั้งแต่การใช้วัตถุดิบที่ดี มีคุณภาพ ปรุงอาหารคุณภาพให้กับผู้บริโภค ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราตั้งใจและยึดถือมาโดยตลอด ด้วยใจที่อยากให้ผู้บริโภคได้ร่วมอิ่มท้องและอิ่มใจไปด้วยกัน แต่ที่ภูมิใจคือเขานำรายได้กลับคืนสู่สังคม จึงถือเป็นการได้ทำดีตอบแทนสังคมและแผ่นดินที่ทำให้เรามีวันนี้ จึงขอชวนคนไทยทุกคนเชื่อใจเจ๊ไฝ ได้ลองชิมเมนูของเชฟแคร์สซึ่งมีคุณภาพ ผู้บริโภคจะไม่ผิดหวังกับรสชาติแน่นอน” เจ๊ไฝกล่าว

 

อิ่มอร่อยกับเมนู ‘ฟูซิลีผัดขี้เมาไก่’ ฝีมือ ‘เจ๊ไฝ’ เชฟสตรีทฟู้ดมิชลิน ในราคากล่องละ 69 บาท ได้แล้ววันนี้ที่ 7-Eleven, ALL Online App และแมคโคร (บางสาขา) 

The post ‘เชฟแคร์ส’ จับมือ ‘เจ๊ไฝ’ เชฟสตรีทฟู้ดมิชลิน ส่งเมนู ‘ฟูซิลีผัดขี้เมาไก่’ เจาะกลุ่ม Premium Chilled Ready Meal ในโปรเจกต์ Social Enterprise กำไร 100% นำกลับคืนสู่สังคม [PR NEWS] appeared first on THE STANDARD.

]]>
Social Enterprise โมเดลธุรกิจอีกหนึ่ง ‘ทางเลือก’ ที่จะนำไปสู่ ‘ทางรอดที่ยั่งยืน’ ของสังคมไทยในยุคโควิด-19 [Advertorial] https://thestandard.co/social-enterprise-2/ Thu, 03 Sep 2020 11:10:42 +0000 https://thestandard.co/?p=394117

ในยุคที่คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจปัญหาของสังคมและสิ่งแวดล้อม […]

The post Social Enterprise โมเดลธุรกิจอีกหนึ่ง ‘ทางเลือก’ ที่จะนำไปสู่ ‘ทางรอดที่ยั่งยืน’ ของสังคมไทยในยุคโควิด-19 [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

ในยุคที่คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจปัญหาของสังคมและสิ่งแวดล้อม และการดำเนินธุรกิจไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการสร้างกำไรเพียงอย่างเดียว แนวการทำธุรกิจแบบ SE (Social Enterprise) หรือกิจการเพื่อสังคม จึงเข้ามามีบทบาทในภาคธุรกิจ และเป็นที่สนใจมากขึ้น เพราะ Business Model ของ SE อยู่ภายใต้เป้าหมายที่ว่า กิจการสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคมได้ในหลากหลายมิติ และเฉพาะเจาะจงตามประเด็นปัญหาและโอกาสที่ผู้ประกอบการมองเห็น ขณะที่ต้องสร้างผลกำไรได้มากพอที่จะทำให้กิจการเจริญเติบโตต่อไปได้

 

 

ในต่างประเทศ SE ก็เป็นโมเดลธุรกิจที่มีมานาน และเป็นเทรนด์ที่ผู้ประกอบธุรกิจสนใจ หากย้อนดูจุดเริ่มต้น SE ส่วนใหญ่ก็ล้วนเติบโตมาจากเมล็ดพันธุ์เดียวกันคือ มุ่งหวังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม แต่สิ่งที่ได้กลับมาควบคู่กันคือความยั่งยืนและการเติบโตของธุรกิจ และความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจของประเทศ เช่น Rags2Riches (R2R) กิจการเพื่อสังคมที่จับมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังของฟิลิปปินส์ นำเศษพรมในชุมชนแออัดผนวกกับฝืมือของคนในชุมชนมาผลิต จนกลายมาเป็นแฟชั่นระดับไฮเอนด์ สามารถช่วยผู้หญิงในชุมชนกว่า 900 คน ให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ขยายสาขาไปแล้วถึง 50 สาขา ในหลายประเทศ หรือ READ International คือ SE ที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการขาดโอกาสในการเรียนของเด็กแอฟริกา ด้วยการทำแพลตฟอร์มเพื่อรับบริจาคหนังสือและจำหน่ายในออนไลน์ จนถึงวันนี้ READ International สามารถสร้างห้องสมุดในแอฟริกาได้แล้วมากถึง 55 แห่ง บริจาคหนังสือและขายไปแล้วถึง 1.3 ล้านเล่ม   

 

 

มองกลับมาที่ประเทศไทย รายได้ของกิจการเพื่อสังคมเมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศไทย อาจจะดูน้อยนิด แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือ กิจการเพื่อสังคมก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการกระจายรายได้คืนกลับสู่สังคม หรือการเพิ่มจำนวนการจ้างงานในชุมชน ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยกำลังประสบภาวะถดถอยจากสถานการณ์โควิด-19 การดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดยิ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้น SE จึงเป็นแนวทางการทำธุรกิจที่มีแววจะกลายมาเป็นธุรกิจ ‘ทางเลือก’ เพื่อจะนำไปสู่ ‘ทางรอดที่ยั่งยืน’ ให้กับคนไทยในช่วงเวลาเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนเริ่มตื่นตัวกันแล้วว่า ในโลกยุคโควิด-19 ที่อะไรๆ ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ง่ายๆ อีกแล้ว ‘ความยั่งยืน’ คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ

 

แม้ Social Enterprise จะเป็นโมเดลธุรกิจที่ต้องใช้เงิน ใช้เวลา และใช้ความตั้งใจ อย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีหลายองค์กรที่เดินหน้าผลักดันความยั่งยืนนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยตลอดมา บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรเอกชนรายแรกๆ ที่เล็งเห็นความสำคัญของกิจการเพื่อสังคม และให้การสนับสนุนต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี ผ่านโครงการ Banpu Champions for Change  

 

จากโครงการ ‘Banpu Champions for Change’ สู่โครงการ ‘UpImpact by Banpu Champions for Change’ ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคมในยุค Never Normal  

พันธสัญญาในการดำเนินธุรกิจของบ้านปูฯ ที่ว่า ‘พลังบ้านปู สู่พลังงานที่ยั่งยืน’ สมฤดี ชัยมงคล ซีอีโอ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยิ่งเราอยู่บนโลกแห่งความไม่แน่นอนแบบ Never Normal บ้านปูฯ ยิ่งเชื่อว่า การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสังคม       ลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม และดำเนินกิจการอย่างเป็นธรรม จะทำให้เศรษฐกิจและสังคมเติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG (Environment – Social – Governance)”

    

 

DNA แห่งความมุ่งมั่นของบ้านปูฯ และความเชื่อที่ว่า ‘พลังความรู้คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา’ สะท้อนให้เห็นผ่านการสนับสนุน SE ในฐานะผู้บ่มเพาะ (Incubator) อย่างจริงจัง บ้านปูฯ จึงพร้อมที่จะส่งต่อพลังนี้ไปยังผู้ประกอบการ SE หรือคนรุ่นใหม่ที่สนใจ ผ่านโครงการ UpImpact by Banpu Champions for Change เติมพลังขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคมในยุค Never Normal เพื่อเสริมทักษะในการดำเนินธุรกิจ (Upskilling) ให้ผู้ประกอบการ SE พร้อมรับความท้าทายและความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เป็นแนวคิดที่เหมาะเจาะลงตัวกับการทำธุรกิจในยุคที่ธุรกิจ SE กำลังทวีบทบาทสำคัญมากขึ้นในแง่ของการเพิ่มมูลค่าของสินค้าพื้นถิ่น การสร้างงานในชุมชน รวมถึงการสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่สังคมมวลรวม เน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ประกอบการ ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย   

 

จากประสบการณ์บทเรียนกว่า 10 ปี ในการขับเคลื่อนกิจการเพื่อสังคมผ่านโครงการ Banpu Champions for Change ของบ้านปูฯ และ ChangeFusion องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรภายใต้มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ต่างมุ่งมั่นเสริมสร้างระบบนิเวศของกิจการเพื่อสังคมในไทยให้สมบูรณ์ ครั้งนี้นานาความรู้ เคล็ดลับ และประสบการณ์ จะถูกจับมาถ่ายทอดเพื่อสร้างทักษะใหม่ที่ผู้ประกอบการ SE ในยุค New Normal จำเป็นต้องมี บุคคลทั่วไปที่สนใจแนวทางการทำธุรกิจ SE ก็สามารถเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ในโครงการ UpImpact by Banpu Champions for Change ได้เช่นกัน   

 

 

มีอะไรน่าสนใจในบทเรียนพร้อมเสิร์ฟและย่อยง่าย สำหรับผู้ประกอบการ SE และบุคคลทั่วไปที่สนใจ

Session 1

  • SE จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจไทยในยุค Never Normal ได้อย่างไร
  • ไขข้อข้องใจทุกประการ อาทิ เทรนด์ SE ในโลกยุค Never Normal เป็นเช่นไร
  • มีอะไรอีกบ้างที่จะช่วยให้ธุรกิจ SE สร้างกำไรและความยั่งยืนไปพร้อมกัน
  • คิดแบบไหนที่จะทำให้ธุรกิจรอดในโลกที่มีความท้าทายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

 

หาคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจในหัวข้อ ‘จุดประกายการทำธุรกิจเพื่อทางรอดที่ยั่งยืน’ ร่วมเสวนาโดย  

 

  • ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ดร.เอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ที่ปรึกษาด้านแบรนด์ที่มีชื่อเสียง, ผู้แต่งหนังสือ อัจฉริยะการตลาด และเจ้าของเพจ ‘อัจฉริยะการตลาด’
  • คุณธิษณา ธิติศักดิ์สกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Noburo FinTech Startup ที่ให้บริการสินเชื่อแก่พนักงานบริษัท 

 

Session 2

  • จะลงมือทำธุรกิจ SE ให้ประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร? 
  • อุปสรรคหน้าตาเป็นแบบไหน 
  • ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเขาทำอะไรกัน 

 

ค้นหาคำตอบได้ในหัวข้อ ‘เปลี่ยนเพื่อสู้ ปรับเพื่อรอด ต่อยอด SE’ จากประสบการณ์ตรงของผู้ประกอบการธุรกิจ SE ที่จะมาแชร์ทุกเรื่องพร้อม How to ที่ปรับใช้ได้จริง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องฝ่าวิกฤตโควิด-19 ร่วมเสวนาโดย

 

  • คุณสมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้ง Local Alike ธุรกิจการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน 
  • คุณอมรพล หุวะนันทน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Moreloop สตาร์ทอัพรับซื้อผ้าสต๊อกด้วยแพลตฟอร์มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
  • คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ ผู้ร่วมก่อตั้ง Locall เดลิเวอรีช่วยร้านชุมชนประตูผีที่เข้าไม่ถึงแอปฯ ให้มีรายได้ 

 

มาร่วมเติมพลังขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคมในยุค Never Normal ด้วยกันในโครงการ UpImpact by Banpu Champions for Change ในวันที่ 10 กันยายน 2563 เวลา 14.00-16.00 น. ณ Glowfish Sathorn อาคารสาธรธานี 2 เชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS สถานีช่องนนทรี ทางออกที่ 2

 

ลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/UpImpact-by-Banpu-Champions-for-Change  

 

ย้ำอีกครั้ง งานนี้เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมได้ (*จำกัดให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมงานในสถานที่ได้เพียง 50 คน ผ่านการลงทะเบียนแบบ First Come First Serve) หรือเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทาง Facebook: Banpu Champions for Change หรือทาง Zoom Meeting 

 

สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/banpuchampions/

The post Social Enterprise โมเดลธุรกิจอีกหนึ่ง ‘ทางเลือก’ ที่จะนำไปสู่ ‘ทางรอดที่ยั่งยืน’ ของสังคมไทยในยุคโควิด-19 [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
ดอยตุงแถลงเปิดตัว Doi Tung Plus, The Social Enterprise Store ผลักดันแบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคม https://thestandard.co/doi-tung-plus/ https://thestandard.co/doi-tung-plus/#respond Tue, 10 Jul 2018 08:25:20 +0000 https://thestandard.co/?p=105831

ดอยตุงจับมือกับองค์กร Social Enterprise อื่นๆ อีก 10 แห […]

The post ดอยตุงแถลงเปิดตัว Doi Tung Plus, The Social Enterprise Store ผลักดันแบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>

ดอยตุงจับมือกับองค์กร Social Enterprise อื่นๆ อีก 10 แห่ง และเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างเครือข่ายโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมขึ้นในชื่อโครงการว่า Doi Tung Plus, The Social Enterprise Store

 

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์เพื่อสังคมอย่างดอยตุง ร่วมมือกับอีก 10 องค์กรธุรกิจเพื่อสังคม เปิดตัวโครงการ Doi Tung Plus, The Social Enterprise Store เพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภค

 

 

ดอยตุงเป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมาอย่างยาวนาน ว่าโดดเด่นในฐานะแบรนด์เพื่อสังคมที่สามารถพัฒนาสินค้าและคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนและสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งหัตถกรรม แมกคาเดเมีย เกษตรและท่องเที่ยว รวมถึงกาแฟที่หลายๆ คนรู้จักเป็นอย่างดี

 

ล่าสุด ดอยตุงได้จับมือกับองค์กร Social Enterprise อื่นๆ อีก 10 แห่ง และเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างเครือข่ายโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมขึ้นในชื่อโครงการว่า Doi Tung Plus, The Social Enterprise Store

 

 

ม.ล. ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง กล่าวถึงโครงการนี้ว่า “เป็นโครงการที่พัฒนาต่อยอดและขยายผลในการส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม ให้มีพื้นที่ในการขยายตลาดการค้าการลงทุน โดยเน้นการสร้างงานให้ชุมชนมีรายได้อย่างยั่งยืน สามารถต่อยอดธุรกิจจากท้องถิ่นสู่ชุมชนเมืองไปจนถึงระดับภูมิภาค”

 

 

สำหรับภาพรวมของโครงการคือ การคัดเลือกธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งเบื้องต้นมี 10 แห่ง (ไม่รวมดอยตุงเองซึ่งเป็นแกนหลัก) ที่อยู่ในเกณฑ์การประเมินธุรกิจเพื่อสังคมของมูลนิธิเข้าร่วมโครงการ และจะมีการขยายตลาดไปยังสำนักงานออฟฟิศในแหล่งชุมชน เป็นช่องทางจัดจำหน่ายและเกิดการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำมากขึ้น ซึ่งสามารถขยายผลได้ต่อไป ทั้งในแง่โมเดลธุรกิจและภาคสังคมเอง

 

ด้าน ‘หน้าร้าน’ ของ Doi Tung Plus, The Social Enterprise Store นั้นถูกออกแบบมาให้เป็นบูธสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก และสามารถรองรับต่อสินค้าในโครงการ โดยมีการถอดประกอบได้ เพื่อนำไปจัดตั้งใช้งานใน 10 พื้นที่ออฟฟิศ โดย ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ผู้ออกแบบได้ให้คำนิยามไว้เบื้องต้นว่าเป็น Mobile Store

 

 

บรรยากาศในงานแถลงนั้น นอกจากการร่วมพูดคุยกับ ม.ล. ดิศปนัดดา ดิศกุล และ ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร นักออกแบบและเจ้าของ บจ.คิด คิดแล้ว ยังมี ภญ.ดร. สุภาภรณ์ ปิติพร เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ฯ และ พรธิดา วงศ์ภัทรกุล ผู้ร่วมก่อตั้งสยามออร์แกนิคมาพูดคุยบนเวที รวมถึงผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในโครงการ ที่มาร่วมพูดคุยผ่านบูธตัวอย่างที่ถูกจัดแสดงในงานแก่ผู้เข้าร่วมอีกด้วย

 

สำหรับธุรกิจเพื่อสังคมทั้ง 10 แห่ง ที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ได้แก่

 

  1. ๑4๑ (หนึ่งสี่หนึ่ง) ผลิตภัณฑ์ของใช้และของเล่น DIY ในแนวคิด Slow Play
  2. อภัยภูเบศร เครื่องสำอาง ยาสมุนไพร และบริการสุขภาพโดยแพทย์แผนไทย
  3. โคโคบอร์ด สินค้าที่ผลิตจากไม้อัดเศษวัสดุทางเกษตร
  4. แจสเบอร์รี (Siam Organic) ผลิตภัณฑ์ข้าวและชาอินทรีย์
  5. วิสาหกิจเพื่อสังคมวานีตา ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้และอาหารที่มีเอกลักษณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้
  6. มีวนา ผลิตภัณฑ์กาแฟอาราบิก้าอินทรีย์ใต้ป่า
  7. Socialgiver Online Platform จำหน่าย GiveCard สำหรับใช้ในร้านอาหาร และโรงแรมต่างๆ
  8. Local Alike แพ็กเกจการท่องเที่ยวแบบ Community-Based (Voucher)
  9. วิสาหกิจชุมชนชีววิถีตำบลบ้านน้ำเกี๋ยน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสมุนไพร
  10. Folkcharm เครื่องแต่งกายและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากผ้าฝ้าย

 

 

โดยทั้ง 10 องค์กร ที่ได้ออกบูธจัดจำหน่ายนั้น ถูกคาดหวังให้เป็นต้นแบบธุรกิจและแรงบันดาลใจเพื่อสังคมสำหรับชุมชนอื่นๆ ในการสร้างมาตรฐานสินค้าและบริการเพื่อสังคม ส่งผลให้ชุมชนมีรายได้นำไปพัฒนาตนเอง และมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

 

อ้างอิง:

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์

The post ดอยตุงแถลงเปิดตัว Doi Tung Plus, The Social Enterprise Store ผลักดันแบรนด์ธุรกิจเพื่อสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/doi-tung-plus/feed/ 0
กินดื่มเที่ยวก็ทำดีได้ ผ่านดีลพิเศษจาก Socialgiver แอปดีๆ ที่ช่วยเหลือสังคม https://thestandard.co/socialgiver-social-enterprise-application/ https://thestandard.co/socialgiver-social-enterprise-application/#respond Fri, 20 Apr 2018 06:34:39 +0000 https://thestandard.co/?p=85253

หากเราบอกคุณว่าสามารถช่วยเหลือสังคมได้ผ่านการกิน ดื่ม เ […]

The post กินดื่มเที่ยวก็ทำดีได้ ผ่านดีลพิเศษจาก Socialgiver แอปดีๆ ที่ช่วยเหลือสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>

หากเราบอกคุณว่าสามารถช่วยเหลือสังคมได้ผ่านการกิน ดื่ม เที่ยวในแบบที่เราชอบ แถมยังได้ส่วนลดราคาพิเศษ และมั่นใจได้ว่ากำไรทั้งหมดจากการช้อปของเราถูกนำไปช่วยเหลือโครงการเพื่อสังคมดีๆ จะสนใจกันไหม?

 

มาร่วมโครงการช่วยเหลือน้องๆ ชาวเขาให้ได้เรียนหนังสือกันเถอะ

 

โซเชียลกีฟเวอร์ (Socialgiver) ทำได้ เพราะนี่คือกิจการเพิ่มสังคม (Social Enterprise) ระดับที่คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งของไทยมาแล้วจากการแข่งขัน Chivas The Venture ที่ไปแข่งต่อระดับโลกเมื่อปี 2015 ซึ่งถือเป็นแคมเปญยักษ์ระดับโลกที่เฟ้นหาสุดยอดนักธุรกิจผู้มีแนวคิดสร้างสิ่งดีๆ เพื่อสังคมจากทั่วโลกที่สนับสนุนให้ทุกคนทำความดี หันมาใส่ใจสังคมกันมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องลำบากลำบน หรือถ่อร่างไปไหนไกล เพราะโลกอยู่ในมือคุณแล้ว ขอเพียงแค่หยิบสมาร์ทโฟน แล้วกดเลือกช้อปดีลราคาพิเศษผ่านทางแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของ Socialgiver ไม่ว่าจะเป็นบริการต่างๆ ร้านอาหาร ฟิตเนส ดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมสนุกๆ

 

(บน) มุมสวยๆ น่าถ่ายภาพที่ The Slate,

(ล่าง) ดำน้ำชมโลกใต้ทะเลกับ Love Andaman กันไหม

 

นอกเหนือจากร้านอาหารดีๆ และสปาน่าไปต่างๆ แล้ว เราว่าที่น่าสนใจสุดๆ คือดีลท่องเที่ยว โรงแรมหรือรีสอร์ตหรูซึ่งเห็นแล้วต้องรีบกดจอง อาทิ The Slate รีสอร์ตในภูเก็ตที่ขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบโดยศิลปินดังอย่าง บิล เบนส์ลีย์ (Bill Bensley) หรือทัวร์ดำน้ำ 1 วันเต็มๆ ที่เกาะรอก หรือหมู่เกาะสุรินทร์กับทีม Love Andaman เป็นต้นที่ไม่ควรพลาด กระทั่งการพักผ่อนบนวิลล่าลอยน้ำแสนสงบที่เมืองกาญจน์ที่ The FloatHouse River Kwai ก็สามารถช่วยเหลือแมวและสุนัขข้างถนนได้ เป็นต้น

 

หน้าตาของแอปพลิเคชัน Socialgiver

 

ราคาที่เราต้องจ่ายนั้นถูกกว่ามูลค่าจริงของสินค้า เพราะเงินส่วนที่เหลือจะถูกนำไปมอบให้กับโครงการกุศลต่างๆ (ซึ่งเน้นโครงการเล็กๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักและยังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก) โดยหากคุณอยากเลือกโครงการที่ต้องการช่วยเหลือเองก็สามารถทำได้ด้วยการเลือกช่องฟิลเตอร์ เพื่อเลือกพื้นที่และโครงการที่ต้องการได้เช่นกัน

 

(บน) เที่ยวและไหว้พระรอบเกาะรัตนโกสินทร์ด้วยรถตุ๊กตุ๊กก็สามารถช่วยเหลือเด็กผู้พิการได้,

(ล่าง) อิ่มอร่อยกับอาหารทะเลสดๆ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ป่า

 

นอกจากนั้นคุณยังสามารถช้อป GiveCard ได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบ ไม่จำกัดแค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น เพราะยังมีจังหวัดอื่นอีก อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต กาญจนบุรี และกระบี่ ซึ่งกิจกรรมหรือสินค้าที่เราสนใจจะนำเงินไปมอบให้โครงการเพื่อสังคมที่แตกต่างกันนั่นเอง และที่น่าสนคือสามารถซื้อมอบให้กับคนใกล้ตัวให้ร่วมทำดีพร้อมกับปรนเปรอตัวเองและสนุกไปพร้อมกันได้อีกด้วย

 

แอปพลิเคชันดีๆ แบบนี้ควรรีบหาโหลดมาใช้ เพราะนอกจากจะได้ดีลราคาพิเศษแล้ว ยังได้ทำความดีเพื่อสังคมไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

 

Cover Photo: Courtesy of The FloatHouse River Kwai

Photos: Courtesy of Socialgiver

The post กินดื่มเที่ยวก็ทำดีได้ ผ่านดีลพิเศษจาก Socialgiver แอปดีๆ ที่ช่วยเหลือสังคม appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/socialgiver-social-enterprise-application/feed/ 0