SMEs – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 14 Dec 2025 03:47:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 บสย. เปิดผลดำเนินงาน 11 เดือน ยอดค้ำประกัน 3.58 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสินเชื่อ SMEs หดตัว https://thestandard.co/tcg-performance-2568-35billion-guarantee/ Sun, 14 Dec 2025 03:47:33 +0000 https://thestandard.co/?p=1154449 บสย. เปิดผลดำเนินงาน 11 เดือน ยอดค้ำประกัน 3.58 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสินเชื่อ SMEs หดตัว

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รายงานผลด […]

The post บสย. เปิดผลดำเนินงาน 11 เดือน ยอดค้ำประกัน 3.58 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสินเชื่อ SMEs หดตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
บสย. เปิดผลดำเนินงาน 11 เดือน ยอดค้ำประกัน 3.58 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสินเชื่อ SMEs หดตัว

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รายงานผลดำเนินงานช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 มียอดค้ำประกันสินเชื่อรวม 35,781 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ บสย. ดำเนินการเอง 51% และโครงการตามมาตรการภาครัฐ 49%

 

การค้ำประกันดังกล่าวก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 46,635 ล้านบาท ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 45,337 ราย และช่วยรักษาการจ้างงานกว่า 467,000 ตำแหน่ง โดยคิดเป็นมูลค่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการค้ำประกันกว่า 147,776 ล้านบาท

 

สิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. ระบุว่า โครงสร้างการค้ำประกันในปีนี้ยังคงกระจุกตัวในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย โดย 85% เป็น Micro SMEs และกว่า 70% เป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยใช้บริการค้ำประกันมาก่อน สะท้อนข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจขนาดเล็กในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

 

โครงการรัฐยังเป็นแรงหลัก พยุงการปล่อยสินเชื่อ

 

สำหรับโครงการค้ำประกันตามมาตรการรัฐ PGS 11 ‘บสย. SMEs ยั่งยืน’ ตั้งแต่เปิดโครงการในเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2568 มียอดค้ำประกันสะสม 46,147 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 66,821 ราย

 

ขณะที่โครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ ภายใต้มาตรการ ‘กระบะพี่ มีคลังค้ำ’ ทั้งรถใหม่และรถมือสอง มียอดค้ำประกันรวม 1,106 ล้านบาท ช่วยให้ SMEs เข้าถึงรถเชิงพาณิชย์ 1,662 คัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ บสย. ขยายการค้ำประกันไปยังสินเชื่อประเภทนี้

 

ในเชิงโครงสร้างธุรกิจ สัดส่วนการค้ำประกันสูงสุดยังอยู่ในภาคบริการ 33.2% รองลงมาคืออาหารและเครื่องดื่ม 10.3% และภาคเกษตรกรรม 7.9% รวมกันคิดเป็นกว่า 51% ของยอดค้ำประกันทั้งหมด

 

เดินหน้าแก้หนี้ ควบคู่การปล่อยค้ำประกันใหม่

 

ด้านการจัดการหนี้ บสย. รายงานว่า ตั้งแต่เริ่มมาตรการ ‘บสย. พร้อมช่วย’ หรือมาตรการ 3 สี ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน สามารถช่วยลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมแล้ว 23,664 ราย คิดเป็นมูลหนี้สะสม 15,439 ล้านบาท

 

เฉพาะช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ มีการปรับโครงสร้างหนี้ 5,250 ราย มูลหนี้ 3,588 ล้านบาท และสามารถช่วยลูกหนี้ปลดหนี้ได้ 882 ราย ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งเป็นลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีเงินต้นไม่เกิน 200,000 บาท

 

สินเชื่อ SMEs ยังหดตัว รัฐใช้กลไกค้ำประกันเสริมสภาพคล่อง

 

สิทธิกร ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านเครดิต ส่งผลให้สินเชื่อ SMEs ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังหดตัวต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2568 หดตัว -1% จากปีก่อน และเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5

 

ขณะที่สินเชื่อ SMEs หดตัวแรงขึ้นเป็น -4% จาก -3.3% ในไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความระมัดระวังของสถาบันการเงินต่อความเสี่ยงด้านเครดิตและปัญหาเชิงโครงสร้างของ SMEs

 

ภายใต้บริบทดังกล่าว คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 เห็นชอบมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ ‘บสย. Quick Big Win’ วงเงินค้ำประกันรวม 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและลดภาระความเสี่ยงของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ SMEs

 

ปี 2569 โฟกัสบทบาท ‘กลไกค้ำประกัน’ มากกว่าปริมาณ

 

สำหรับทิศทางปี 2569 บสย. ระบุว่าจะมุ่งปรับบทบาทจากการขยายปริมาณการค้ำประกัน ไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพเชิงโครงสร้าง ทั้งการใช้ข้อมูลเครดิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม และการแก้หนี้ลูกหนี้รายย่อยควบคู่กัน เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกเสริมระบบสินเชื่อ มากกว่าการทดแทนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ โดยกำหนดแนวทางดำเนินงานหลัก 4 ด้าน ได้แก่

 

1. การบูรณาการข้อมูล TCG Score ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามนโยบายกระทรวงการคลัง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ SMEs รายย่อยที่มีข้อจำกัดด้านเครดิต สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น และมีต้นทุนทางการเงินสอดคล้องกับระดับความเสี่ยง

 

2. การยกระดับสำนักงานเขต บสย. ทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ ให้ทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมโยงทางการเงิน ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อคัดกรองข้อมูลผู้ประกอบการ และส่งต่อไปยังสถาบันการเงินที่เหมาะสม

 

3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อแบบเฉพาะกลุ่ม (Specific Segment Guarantee) จากเดิมที่แบ่งตามกลุ่มลูกค้า 5 กลุ่ม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของ SMEs ในแต่ละภาคธุรกิจได้ตรงจุดมากขึ้น

 

4. การเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลมแล้ว และมีเงินต้นไม่เกิน 200,000 บาท ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” เพื่อช่วยให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบการเงินได้ในระยะยาว

The post บสย. เปิดผลดำเนินงาน 11 เดือน ยอดค้ำประกัน 3.58 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสินเชื่อ SMEs หดตัว appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติ มั่นใจ GDP ไตรมาส 4 โตใกล้เคียง 1% ยันศึกษาคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ควบคู่ฟื้นฟูน้ำท่วม https://thestandard.co/ekniti-gdp-khon-la-khrueng-flood/ Tue, 02 Dec 2025 10:46:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1150727 เอกนิติ มั่นใจ GDP ไตรมาส 4 โตใกล้เคียง 1% ยันศึกษา คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ควบคู่ฟื้นฟูน้ำท่วม

รมว.คลัง มั่นใจเศรษฐกิจไตรมาส 4 โตใกล้เคียง 1% ได้ แม้เ […]

The post เอกนิติ มั่นใจ GDP ไตรมาส 4 โตใกล้เคียง 1% ยันศึกษาคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ควบคู่ฟื้นฟูน้ำท่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติ มั่นใจ GDP ไตรมาส 4 โตใกล้เคียง 1% ยันศึกษา คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ควบคู่ฟื้นฟูน้ำท่วม

รมว.คลัง มั่นใจเศรษฐกิจไตรมาส 4 โตใกล้เคียง 1% ได้ แม้เผชิญภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ ยันศึกษาโครงการ คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ควบคู่กับมาตรการฟื้นฟูเยียวยา ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ชี้ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพียง 0.1% เท่านั้น

 

วันนี้ (2 ธันวาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ยังสามารถเติบโตใกล้เคียงระดับ 1% ได้ แม้เผชิญภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ประมาณการแนวโน้มการขยายตัวของ GDP ไตรมาส 4 ไว้ที่ 0.6%

 

ดร.เอกนิติระบุว่า ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น และระยะยาวที่ได้เริ่มดำเนินการมาแล้ว คาดว่าจะช่วยหนุน GDP ไตรมาส 4 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานที่ 0.3% ได้อีก 0.3-0.4% ซึ่งรวมกันแล้ว สูงกว่าตัวเลขการเติบโต 0.6% ของสภาพัฒน์

 

โดย ดร.เอกนิติได้ยกตัวอย่างถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่ง พลัส และมาตรการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่ SMEs จำนวน 20,000 ราย เป็นเงิน 60,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพากร ตลอดจนการดำเนินมาตรการปล่อยสินเชื่อเติมสภาพคล่องให้ SMEs วงเงิน 217,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้บางส่วนในไตรมาส 4

 

สำหรับผลกระทบของอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ดร.เอกนิติ ชี้ว่าตามการประเมินของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พบว่า ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพียง 0.1% เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของ GDP 20 ล้านล้านบาท

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนถือว่าใหญ่มาก ดังนั้น รัฐบาลจึงเร่งออกมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อเยียวยา ฟื้นฟู และชุบชีวิต ให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด

 

ยันศึกษาคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ควบคู่ฟื้นฟูน้ำท่วม

 

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจะยังคงดำเนินมาตรการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ และโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 อยู่หรือไม่ ท่ามกลางความเสียหายของอุทกภัย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องแบ่งงบกลางบางส่วนไปกับการเยียวยาฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบ

 

ทางด้าน ดร.เอกนิติ ตอบว่า อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบนโยบายให้กระทรวงการคลังศึกษา แต่ยอมรับว่างบประมาณมีอยู่อย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังกำลังศึกษานโยบายควบคู่กันไปกับการฟื้นฟูเยียวยา และจะมีการแจ้งให้ทราบอีกทีหากมีความคืบหน้า

The post เอกนิติ มั่นใจ GDP ไตรมาส 4 โตใกล้เคียง 1% ยันศึกษาคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ควบคู่ฟื้นฟูน้ำท่วม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. เคาะ 3 แพ็กเกจใหญ่ ช่วยเสริมสภาพคล่อง-ลดต้นทุน กับ SME คาดช่วยหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36% https://thestandard.co/cabinet-3-big-sme-packages/ Tue, 02 Dec 2025 08:30:58 +0000 https://thestandard.co/?p=1150644 ครม. เคาะ 3 แพ็กเกจใหญ่ ช่วยเสริมสภาพคล่อง-ลดต้นทุน กับ SME คาดช่วยหนุน GDP โตเพิ่มอีก 0.36%

ครม. ไฟเขียว 3 แพ็กเกจใหญ่ ช่วย SME เสริมสภาพคล่อง-เพิ่ […]

The post ครม. เคาะ 3 แพ็กเกจใหญ่ ช่วยเสริมสภาพคล่อง-ลดต้นทุน กับ SME คาดช่วยหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ครม. เคาะ 3 แพ็กเกจใหญ่ ช่วยเสริมสภาพคล่อง-ลดต้นทุน กับ SME คาดช่วยหนุน GDP โตเพิ่มอีก 0.36%

ครม. ไฟเขียว 3 แพ็กเกจใหญ่ ช่วย SME เสริมสภาพคล่อง-เพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันที่เป็นธรรม-สร้างโอกาส เพิ่มศักยภาพ วงเงินรวม 3.27 แสนล้าน คาดหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36%

 

วันนี้ (2 ธันวาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ภายใต้เสาหลักที่ 3 ของนโยบาย ‘Quick Big Win’

 

แบ่งเป็น 3 แพ็กเกจสำคัญ ได้แก่ 1) การเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุน 2) เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม และ 3) สร้างโอกาส เพิ่มศักยภาพ

 

แพ็กเกจเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุน SME

 

ดร.เอกนิติ ระบุว่า SMEs ไทย ถือเป็นหัวใจสำคัญของภาคธุรกิจในประเทศ เพราะคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของผู้ประกอบการในประเทศ แต่การเข้าถึงสินเชื่อยังคงมีจำกัด เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ จึงทำให้สภาพคล่องในเศรษฐกิจหดตัวเรื่อยมา

 

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงอนุมัติการเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้ SMEs ด้วยมาตรการด้านการเงิน ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 7 แห่ง ดังนี้

 

1.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อ ‘SMEs Quick Big Win’ วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก แบ่งเป็น 3 โครงการย่อย ได้แก่

 

(1) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Go Big สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป

 

(2) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Smart Win สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs)

 

(3) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs Quick LG สำหรับผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง หรือจัดซื้อหรือจัดจ้างของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ รับคำขอค้ำประกันสินเชื่อได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569

 

นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 11 ที่ยังคงมีวงเงินเหลืออยู่ ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569

 

2. ธนาคารออมสิน ดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB พลิกฟื้นธุรกิจไทย วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจ รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนเพื่อการปรับตัวและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยธนาคารออมสินสนับสนุนแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ

 

สำหรับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อไปปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่

 

(1) โครงการสินเชื่อกรณีเสริมสภาพคล่อง (Mitigation) ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2569

 

(2) โครงการสินเชื่อกรณีสร้างพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย (Reinvent Thailand) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาคเอกชน โดยให้ภาคเอกชนประกอบด้วยสมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขของการขอสินเชื่อ และประเภทธุรกิจเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายในReinvent Thailand

 

(3) โครงการสินเชื่อกรณีปรับตัวเพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจ (Transformation)

 

(4) โครงการสินเชื่อกรณีพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว (Tourism) โดยโครงการ Reinvent Thailand โครงการ Transformation และโครงการ Tourism สามารถรับคำขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2570

 

3. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ดำเนินโครงการสินเชื่อสำหรับภาคการเกษตร วงเงินรวม 80,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการเกษตร ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่

 

(1) โครงการสินเชื่อไทยยั่งยืน (ชุมชนสร้างไทย ระยะที่ 3) วงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท

 

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อ SME ไทยไชโย วงเงินสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท

 

โดยทั้ง 2 โครงการรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2571

 

4. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมผู้ประกอบการ Micro SMEs วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท และผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป วงเงินรายละไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569

 

5. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ดำเนินโครงการประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการส่งออกด้วยอัตราเบี้ยประกันพิเศษ และโครงการสินเชื่อ EXIM Expand Shield สำหรับสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการส่งออก วงเงินสินเชื่อ 12,000 ล้านบาท

 

6. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (i-Bank) ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการมุสลิม วงเงินรวม 3,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าฮาลาลส่งออกหรือผู้ผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ฮาลาล

 

7. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ วงเงินรวม 2,000 ล้านบาท สำหรับการปลูกสร้าง ซื้อ ซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง หรือต่อเติม ปรับปรุงซ่อมแซม และเพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการบ้านจัดสรรในภูมิภาค สำหรับปลูกสร้างอาคารและสาธารณูปโภค

 

แพ็กเกจเสริมประสิทธิภาพและการแข่งขันที่เป็นธรรม

 

1. กรมสรรพากร ดำเนินโครงการพี่ช่วยน้อง โดยให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ช่วยสนับสนุนทรัพยากรและเทคโนโลยีให้แก่บริษัทใน Supply Chain เพื่อให้ปรับตัวเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะได้รับการคืนภาษีเร็ว และสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่ามีผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 1,500 ราย เข้าร่วมโครงการ และคาดว่าจะได้รับคืนภาษีเร็วขึ้น 1,700 ล้านบาทต่อปี

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงกระบวนการคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลจากส่วนกลางแบบ Fast Track ซึ่งจะทำให้ SMEs เกือบ 20,000 ราย จำนวน 60,000 ล้านบาท ให้ได้รับคืนภาษีเร็วขึ้นภายในสิ้นปี 2568 และในอนาคตจะมีการพิจารณาเชื่อมโยงระบบ PromptBiz กับการให้สินเชื่อ Supply Chain Financing ซึ่งจะทำให้ SMEs ใน Supply Chain มีโอกาสได้รับสินเชื่อมากยิ่งขึ้น

 

2. กรมศุลกากร ดำเนินมาตรการยกเลิกการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า (De Minimis Value : DMV) เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยในประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เสียภาษีถูกต้อง ให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้

 

นอกจากนั้นรัฐบาลยังเพิ่มโอกาสให้ SMEs ผ่านมาตรการอื่น ๆ เช่น

 

กรมบัญชีกลาง ดำเนินมาตรการสนับสนุนคู่ค้าภาครัฐโดยการให้สินเชื่อกับคู่ค้าภาครัฐผ่านระบบ PromptBiz ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังทดลองให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Government Procurement : e-GP) และข้อมูลการเบิกจ่ายเงินจากระบบ New GFMIS Thai เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ ประกอบกับจะมีการโอนสิทธิการรับเงินให้กับธนาคารหรือบุคคลที่ 3 ได้

 

กระบวนการเหล่านี้ จะทำให้ SMEs และผู้ประกอบการคู่ค้าภาครัฐสามารถเข้าถึงสินเชื่อ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องได้ง่ายขึ้นและมีแนวทางการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการ SMEs สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยกำหนดให้มีการให้แต้มต่อทางด้านราคาเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) อีก 5% สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีรายรับไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปีบัญชี และได้รับอนุมัติให้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ จากระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงและแข่งขันในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้

 

แพ็กเกจสร้างโอกาส เพิ่มศักยภาพ ตั้ง E-commerce Platform ของคนไทย

 

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้ง E-commerce Platform ของประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยมี E-commerce Platform เป็นของคนไทยเอง เพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อน และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการค้าหรือให้บริการผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐานของระบบเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวและดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วนในทุกมิติ และเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็วทันการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวสามารถกลับมาดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติโดยเร็ว

 

ดร.เอกนิติทิ้งท้ายว่า มาตรการเหล่านี้จะช่วย SMEs 107,000 ราย เติมสภาพคล่อง เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ 270,000 ล้านบาท และช่วยดัน GDP ปี 2569 เพิ่มขึ้นอีก 0.36%

The post ครม. เคาะ 3 แพ็กเกจใหญ่ ช่วยเสริมสภาพคล่อง-ลดต้นทุน กับ SME คาดช่วยหนุน GDP ปี 69 โตเพิ่มอีก 0.36% appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประกาศพักหนี้ช่วย SME อัดสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน กู้วิกฤตน้ำท่วมใต้ https://thestandard.co/sme-flood-debt-0-percent-loan/ Sat, 29 Nov 2025 07:57:04 +0000 https://thestandard.co/?p=1149532 ประกาศพักหนี้ช่วย SME อัดสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน กู้วิกฤตน้ำท่วม ใต้

‘ธนกร’ ประกาศ ‘พักหนี้-ดีพร้อม’ ยกต้น : ยกดอก อัตโนมัติ […]

The post ประกาศพักหนี้ช่วย SME อัดสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน กู้วิกฤตน้ำท่วมใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ประกาศพักหนี้ช่วย SME อัดสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน กู้วิกฤตน้ำท่วม ใต้

‘ธนกร’ ประกาศ ‘พักหนี้-ดีพร้อม’ ยกต้น : ยกดอก อัตโนมัติ 4 เดือน ช่วยลูกหนี้ SME น้ำท่วมภาคใต้ เร่งเพิ่มสภาพคล่องผ่านสินเชื่อ ‘เงินง่าย ฟื้นใต้ ช่วยภัยพิบัติ’ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน

 

วันที่ 29 พ.ย. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ขานรับนโยบายเร่งด่วนของ ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ‘การบรรเทา ฟื้นฟู และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรม’ หรือสินเชื่อ ‘เงินง่าย ฟื้นใต้ ช่วยภัยพิบัติ’ เพื่อให้ความช่วยเหลือ และลดภาระด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ในพื้นที่ภาคใต้ผ่านเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย หรือดีพร้อมเปย์ (DIPROM Pay)

 

โดยลูกหนี้ชั้นดีรายเดิมจะได้รับการพักชำระหนี้อัตโนมัติทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ไม่เกิน 4 เดือน

 

  • ลดภาระค่างวดผ่อนชำระรายเดือนและขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้ไม่เกิน 2 ป
  • ส่วนลูกหนี้รายใหม่สามารถกู้วงเงินได้ รายละไม่เกิน 5 แสนบาท ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
  • พักชำระหนี้อัตโนมัติ 3 เดือน

 

ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว สั่งการให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน และในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย จึงออกมาตรการเร่งด่วนผ่าน ‘มาตรการบรรเทา ฟื้นฟู และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรม’ กรอบวงเงินล็อตแรก 50 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ เพื่อมุ่งช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของเงินทุนหมุนเวียนฯ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติ

 

  • กรณีฉุกเฉินให้ได้รับการผ่อนผันการชำระหนี้ลดอัตราดอกเบี้ย ให้สิทธิรีไฟแนนซ์ (Refinance)
  • ลูกค้ารายใหม่ยังสามารถยื่นขอสินเชื่อ ‘เงินง่าย ฟื้นใต้ ช่วยภัยพิบัติ’ ภายใต้มาตรการดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูกิจการ และทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย หรือเสริมสภาพคล่อง ในการดำเนินธุรกิจให้มีโอกาสฟื้นตัวในการประกอบอาชีพ หรือธุรกิจต่อไป

 

ณัฏฐิญา กล่าวต่อว่า สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือต้องอยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัยและเป็นลูกหนี้เงินทุนหมุนเวียนฯ ชั้นดี รายเดิม หรือมีประวัติการค้างชำระ
ไม่เกิน 1 ปี จะได้รับสิทธิ ดังนี้

 

1. พักชำระหนี้อัตโนมัติ ไม่เกิน 4 เดือน และยกดอกเบี้ยระหว่าง 4 เดือนนี้ ให้ลูกหนี้โดยไม่ต้องชำระคืนภายหลัง

 

2. ลดค่างวดผ่อนชำระรายเดือน ร้อยละ 50 ตามสัญญาเดิม เป็นระยะเวลา 4 เดือน

 

3. สามารถขอขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ได้ไม่เกิน 2 ปี โดยรวมแล้วต้องไม่เกินระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเดิม

 

4. สามารถขอรีไฟแนนซ์เงินกู้ (Refinance) โดยวงเงินกู้ใหม่จะต้องไม่เกินวงเงินกู้เดิม ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบและต้องการเสริมสภาพคล่อง ยังสามารถยื่นขอรับสินเชื่อ ‘เงินง่าย ฟื้นใต้ ช่วยภัยพิบัติ’ โดย ดีพร้อม มีมาตรการพิเศษเพื่อการบรรเทา ฟื้นฟู และให้ความช่วยเหลือฯ ผ่านวงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อราย/กิจการ ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 2 ปี ปลอดดอกเบี้ยเดือนที่ 1 – 6 และเดือนที่ 7 – 24 อัตราดอกเบี้ยพิเศษแบบขั้นบันได ไม่เกินร้อยละ 6 ต่อปี พร้อมสิทธิการพักชำระหนี้อัตโนมัติ ไม่เกิน 3 เดือน

 

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถยื่นคำขอได้ด้วยตนเอง หรือส่งคำขอทางไปรษณีย์มาที่ กลุ่มบริหารเงินทุน สำนักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ชั้น 4 ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2430 6865 – 66 ต่อ 1051 หรือ DIPROM Center 1-11 ที่ประจำอยู่ในแต่ละเขตพื้นที่รับผิดชอบ

The post ประกาศพักหนี้ช่วย SME อัดสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน กู้วิกฤตน้ำท่วมใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ https://thestandard.co/ktb-ttb-scb-help-southern-flood/ Mon, 24 Nov 2025 11:55:07 +0000 https://thestandard.co/?p=1146931 KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้

จากสถานการณ์ฝนตกหนักและอุทกภัยในภาคใต้ (รวม 10 จังหวัด […]

The post KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้

จากสถานการณ์ฝนตกหนักและอุทกภัยในภาคใต้ (รวม 10 จังหวัด เช่น สงขลา, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพย์สินและการดำรงชีพของประชาชนและ SME เป็นวงกว้าง ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่ กรุงไทย, ทีทีบี , และไทยพาณิชย์ ได้เร่งออกมาตรการทางการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเต็มที่

 

เอกชัย เตชะวิริยะกุล ประธานผู้บริหาร Risk ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลันทั้งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และอีกหลายจังหวัดในภาคใต้ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน การประกอบอาชีพ และการดำรงชีพของลูกค้า ประชาชนเป็นวงกว้าง

 

ธนาคารกรุงไทยได้ออกมาตรการทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ครอบคลุมการลดภาระทางการเงิน ทั้งปรับลดค่างวดการผ่อนชำระ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการให้วงเงินฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องในการดำรงชีพ รวมถึงการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย

 

มาตรการแบ่งเบาภาระลูกค้าสินเชื่อปัจจุบัน

 

1. สินเชื่อบ้าน สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SSME (Term Loan) ลดค่างวดลง 75% ของค่างวดปัจจุบันนาน 1 ปี และลดดอกเบี้ยเป็น 0% ต่อปี นาน 3 เดือน หลังจากนั้น ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ต่อปี นาน 33 เดือน (รวมระยะเวลาดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี)

 

2. สินเชื่อบุคคล (Term Loan) ลดค่างวดลง 75% ของค่างวดปัจจุบัน นาน 1 ปี และ ลดดอกเบี้ยเป็น ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี นาน 3 ปี

 

3. สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME ให้ความช่วยเหลือครอบคลุม ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย ลดค่างวดการชำระหนี้ พักชำระเงินต้น ชำระเฉพาะดอกเบี้ย หรือพักชำระเงินต้น และ/หรือ พักชำระดอกเบี้ยบางส่วน ขยายระยะเวลาสัญญา/ปรับตารางผ่อนชำระหนี้ เป็นต้น โดยเงื่อนไขและเกณฑ์การพิจารณาลูกค้าแต่ละรายเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งธนาคารจะพิจารณาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพื่อลดภาระทางการเงิน และสะท้อนภาวะเศรษฐกิจและรายได้ของลูกค้าที่น่าจะฟื้นตัวในอนาคต

 

KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ 1

 

มาตรการสินเชื่อเพื่อกู้ซ่อมบ้าน / กู้ฟื้นฟูกิจการ สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ขอวงเงินเพิ่มเติม หรือลูกค้าใหม่

 

1. สินเชื่อบ้าน Top up สินเชื่อบ้านแลกเงิน และ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SSME (Term Loan) ดอกเบี้ยคงที่ 0% ต่อปี นาน 3 เดือน หลังจากนั้น ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ต่อปี นาน 33 เดือน (รวมระยะเวลา ดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี กรณีสินเชื่อบ้าน ฟรีค่าประเมินและค่าจดจำนอง)

 

2. สินเชื่อบุคคล (Term Loan) ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี นาน 3 ปี

 

3. สินเชื่อธุรกิจ SME (Term Loan) ระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี หลังจากนั้น MLR-1% ต่อปี

 

ธนาคารกรุงไทย ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมเคียงข้างให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง เพื่อให้พี่น้องผู้ประสบภัยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว สำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์เข้าร่วมมาตรการความช่วยเหลือของธนาคาร สามารถติดต่อได้ที่ ธนาคารทุกสาขา หรือ สาขาที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 – วันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

 

ทีทีบี ออกมาตรการ ‘ตั้งหลัก’

 

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ธนาคารมีความห่วงใยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ทรัพย์สิน และสถานประกอบธุรกิจ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จึงได้ออกมาตรการ ‘ตั้งหลัก’ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน หวังให้ลูกค้าสามารถฟื้นตัว กลับมาตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปสู่การมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 2568 – 31 ม.ค. 2569 โดยมีรายละเอียดของมาตรการดังนี้

 

มาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อ เพื่อแบ่งเบาภาระ

 

1. ลูกค้าสินเชื่อบ้าน สามารถขอพักชำระเงินต้นได้ นาน 3 เดือน (ชำระคืนแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียว) หรือ ขอวงเงินกู้เพิ่ม เพื่อซ่อมแซมบ้าน ด้วยบัตรกดเงินสด ทีทีบี บ้านแลกเงิน ดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือนแรก (กรณีลูกค้าที่มีบัตรกดเงินสด ทีทีบี บ้านแลกเงินอยู่แล้ว สามารถทำรายการเบิกใช้เงินสดได้ ผ่านตู้ ATM หรือแอป ttb touch ดอกเบี้ย 0% นาน 2 เดือนแรก โดยต้องลงทะเบียนก่อน)

 

2. ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถขอพักชำระค่างวดได้ นาน 3 เดือน ลูกค้าสินเชื่อบุคคล / บัตรเครดิต สามารถขอพักชำระหนี้ได้ นาน 2 รอบบัญชี โดยยังคิดดอกเบี้ยตามปกติ

 

3. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ หรือสินเชื่อ SME ประเภทสินเชื่อระยะยาว จะได้รับการพิจารณาชำระแบบปลอดเงินต้น เป็นระยะเวลาสูงสุด 6 เดือน หรือ ประเภทสินเชื่อหมุนเวียน จะได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้นสูงสุด 6 เดือน หรือ ประเภทสินเชื่อเช่าซื้อธุรกิจ จะได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาชำระคืน หรือปรับลดยอดผ่อนชำระลงสูงสุด 70% ของยอดผ่อนชำระเดิม นาน 6 เดือน

 

KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ 2

 

ช่องทางการติดต่อธนาคาร

 

  • ลูกค้าบุคคล: สอบถามความช่วยเหลือ ติดต่อคุณ Yindee ผ่าน ttb touch หรือ ทีทีบี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร 1428 และสาขาของทีทีบี
  • ลูกค้าธุรกิจ: ติดต่อเจ้าหน้าที่บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจของท่าน หรือศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีทีบี เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม โทร. 0 2643 7000 (วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8:00 – 20:00 น.) ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดธนาคาร

 

มาตรการความคุ้มครอง สำหรับลูกค้าที่มีประกัน

 

ลูกค้าสินเชื่อบ้าน ที่มีความคุ้มครองประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย และได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม กรณีเป็นลูกค้าสินเชื่อบ้านทีทีบี และทีเอ็มบี (เดิม) สามารถรับความคุ้มครองได้โดยอัตโนมัติ ภายใต้เงื่อนไขการมอบ “ประกันฟรี” แจ้งเคลมผ่าน ชับบ์สามัคคีประกันภัย โทร. 0 2611 4425

 

ลูกค้าประกันภัย ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ติดต่อ บริษัทผู้รับประกันภัย ได้ที่

 

  • ธนชาตประกันภัย โทร. 1519
  • ชับบ์สามัคคีประกันภัย โทร. 1758
  • เมืองไทยประกันภัย โทร. 1484
  • อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย โทร. 1292
  • แอลเอ็มจีประกันภัย โทร. 1790
  • แอกซ่าประกันภัย โทร. 0 2118 8111
  • วิริยะประกันภัย โทร. 1557

 

ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยที่อยู่อาศัย และลูกค้าบัญชี ttb all free ที่ได้รับความคุ้มครองอุบัติเหตุจากการคงเงินฝากตามเงื่อนไข ติดต่อ ธนชาตประกันภัย โทร. 1519

 

ลูกค้าธุรกิจที่มีประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ติดต่อ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย โทร. 1292 สามารถตรวจสอบความคุ้มครองได้ที่ “เมนูประกัน” ในแอป ttb touch

 

ไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ รวมทั้งพื้นที่ประสบอุทกภัยจังหวัดอื่นที่ได้รับผลกระทบ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยให้ความช่วยเหลือทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการและลูกค้าผู้ประกอบการ SME ทั้งมาตรการพักชำระและสินเชื่อพิเศษเพื่อซ่อมแซมบ้านและกิจการอย่างเต็มที่

 

โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

กลุ่มลูกค้าบุคคล และกลุ่มลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ ประกอบด้วย

 

1. สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

สำหรับลูกค้าปัจจุบัน – สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย
สำหรับลูกค้าใหม่ – สินเชื่อบ้านได้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมบ้าน (สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้าน (Home Loan Top Up) หรือ สินเชื่อบ้านได้เพิ่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อบ้านคือเงิน (My Home My Cash Top Up)) ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และ อาคารพาณิชย์

 

2. สินเชื่อรถยนต์

สำหรับลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ สามารถพักชำระหนี้สูงสุดนาน 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี)

 

3. สินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME)

สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการปัจจุบัน พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 3 เดือน พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย

 

KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ 3

 

ลูกค้าสามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร SCB Call Center โทร 02-777-7777 ได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568

 

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME ธนาคารมีโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม ผ่าน 4 มาตรการหลัก ประกอบด้วย 1) พักชำระเงินต้นสูงสุดนาน 6 เดือน 2) พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสูงสุดนาน 3 เดือน 3) เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว วงเงินสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม และไม่เกิน 10 ล้านบาท 4) วงเงินกู้สำหรับปรับปรุง ซ่อมแซม หรือซื้อทดแทนทรัพย์สินที่เสียหายของกิจการ สูงสุด 20% ของวงเงินเดิม ไม่เกิน 10 ล้านบาท

 

ลูกค้าผู้ประกอบการ SME สามารถติดต่อขอเข้าร่วมโครงการได้ที่เจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ และ SCB Business Call Center โทร 02-722-2222 ได้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 – 31 ธันวาคม 2568

The post KTB-TTB-SCB เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหาดใหญ่ และภาคใต้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครดิตบูโร หวังแบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ https://thestandard.co/credit-bureau-bot-utility-credit/ Mon, 24 Nov 2025 10:36:31 +0000 https://thestandard.co/?p=1146905 เครดิตบูโร หวัง แบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ

วันนี้ (24 พ.ย.2568) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ […]

The post เครดิตบูโร หวังแบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เครดิตบูโร หวัง แบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ

วันนี้ (24 พ.ย.2568) สุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้เล่าถึงความท้าทายที่พบเจอตลอดช่วงการทำงานที่เครดิตบูโร ในงานสัมมนาข้อมูลเครดิต หัวข้อ ข้อมูลเครดิตพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ โดยเปิดเผยว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมา มีการถกเถียงถึงความเหมาะสมของการนำประวัติชำระค่าน้ำ ค่าไฟ เข้าระบบเครดิตบูโร โดยปัญหาอยู่ที่การตีความกฎหมายว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็น ‘สินเชื่อ’ หรือไม่ แม้จะมีการผลักดันประเด็นนี้มาอย่างยาวนาน แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านเลยไป การไม่มีข้อมูลสาธารณูปโภคในระบบเครดิตบูโร ก็วกกลับมาเป็นปัญหาในการให้สินเชื่อ

 

เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ มีการตีความกฎหมายอย่างกว้างเกี่ยวกับคำว่า ‘เครดิต’ โดยมองว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นข้อมูลเครดิต เนื่องจากเป็นการให้คนใช้ไฟฟ้าก่อนแล้วจ่ายทีหลัง ซึ่งเป็นการให้สินเชื่อรูปแบบหนึ่ง ถือเป็นข้อมูลที่ช่วยในการวิเคราะห์สินเชื่อ

 

“สปิริตของกฎหมายเครดิตบูโร คือ เก็บข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อ รู้จักตัวตนของลูกหนี้ ดังนั้นจึงต้องยึดหลักสปิริตของกฎหมาย ไม่ตีความอย่างแคบ แต่ต้องตีความให้ทำงานได้” สุรพล กล่าว

 

ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้คนที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ได้ตีความกฎหมาย เพื่อให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่อจากนี้ สามารถอยู่ได้อย่างปกติสุข

 

นอกจากนี้ ยังติดขัดอุปสรรคด้านระบบการเปิดเผยข้อมูล โดยปกติเมื่อประชาชนไปยื่นขอสินเชื่อในแอปพลิเคชันธนาคาร โดยให้ความยินยอมใช้ข้อมูลประวัติสาธารณูปโภคเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อ สาธารณูปโภคจะเข้ารหัสข้อมูล (encryption) ส่งต่อมาที่เครดิตบูโร ซึ่งเป็นตัวกลาง นำส่งข้อมูลแบบเข้ารหัสให้กับสถาบันการเงิน เครดิตบูโรจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ซึ่งมีผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเลขา ต้องผลักดันและเห็นชอบในเรื่องนี้ เพื่อให้ข้อมูลเครดิตประเทศไทยทัดเทียมสากล

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกฎหมายยังไม่ได้กำหนดให้องค์กรหรือนิติบุคคลใดต้องนำส่งข้อมูลประวัติการชำระค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าน้ำ-ค่าไฟ รวมทั้งค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้บริษัทข้อมูลเครดิต ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ประชาชนสามารถใช้ ประวัติการใช้และชำระค่าน้ำ-ค่าไฟ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการสมัครสินเชื่อได้ ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ

 

เครดิตบูโรหวัง ค้ำประกันสินเชื่อ ต่อชีวิต SME

 

สำหรับความคืบหน้าโครงการสนับสนุนสินเชื่อ SME สุรพล กล่าวว่าทางเครดิตบูโร ได้นำส่งข้อมูลเครดิตของ SME ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งมีอยู่จำนวนอยู่ 280,000 บริษัท มูลหนี้รวม 300,000-400,000 ล้านบาท เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในออกแบบกลไกการค้ำประกันสินเชื่อรูปแบบใหม่ โดยคาดว่าโครงสร้างจะมีความ simplify กว่ากลไกของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า

 

ทั้งนี้รายละเอียดโครงการต้องติดตามแถลงการณ์จากทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติอีกที

 

สุรพล แสดงกังวล ต่อสถานการณ์หนี้ SME ซึ่งเดิมทีเป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว ประกอบกับความเข้มงวดการพิจารณาให้สินเชื่อของสถาบันการเงินในปัจจุบัน จึงต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะกลุ่ม Super Micro ที่หนี้เสีย (NPL) มีสัดส่วนสูงมากถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม สะท้อนว่ายิ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก ยิ่งมีขนาดหนี้เสียสูง หากไม่มีมาตรการออกมาช่วยเหลืออย่างจริงจัง จะยิ่งฉุดรั้งให้สถานการณ์หนี้ SME แย่ลง

The post เครดิตบูโร หวังแบงก์ชาติ ไฟเขียว ส่งประวัติจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เข้าระบบเครดิต เพิ่มโอกาสคนได้สินเชื่อ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติมั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เร่งคลอดแพ็กเกจเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปีนี้ https://thestandard.co/ekniti-trade-talks-continue-package/ Fri, 21 Nov 2025 08:03:21 +0000 https://thestandard.co/?p=1145855 เอกนิติ มั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เร่งคลอด แพ็กเกจเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปีนี้

ดร.เอกนิติ มั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เผยออกนโย […]

The post เอกนิติมั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เร่งคลอดแพ็กเกจเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกนิติ มั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เร่งคลอด แพ็กเกจเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปีนี้

ดร.เอกนิติ มั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เผยออกนโยบายสำเร็จได้เกินครึ่งแล้ว จ่อเร่งคลอดมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้เสร็จทัน ภายในสิ้นปีนี้ ย้ำแผนขึ้น VAT เพื่อเพิ่มฐานะการคลัง ไม่อยากให้มองเป็นประเด็นการเมือง

 

วันนี้ (21 พฤศจิกายน) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากมีการยุบสภาเกิดขึ้นจริง การเจรจาการค้าระหว่างประเทศยังสามารถดำเนินต่อได้ ในฐานะรัฐบาลรักษาการณ์ พร้อมย้ำว่า จะดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆ ต่อไป และตั้งใจให้ทุกมาตรการเสร็จทันภายในเดือนธันวาคม

 

การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า พร้อมยุบสภาทันทีในวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 หรือในวันที่ 12 ธันวาคม หากมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจากพรรคฝ่ายค้าน

 

เจรจาการค้าต่อได้แม้ยุบสภา

 

ดร.เอกนิติ ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์เพื่อเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ในเรื่องการเจรจาการค้าได้มีการหารือกับ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับแผนการเจรจามาโดยตลอด

 

พร้อมระบุว่า สิ่งที่คณะทำงานพยายามผลักดัน คือ การรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทย ควบคู่กับการหาตลาดใหม่ ทั้งในรูปแบบ ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และ ข้อตกลงทวิภาคี (Bilateral Agreement) กับประเทศต่างๆ

 

ดร.เอกนิติกล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าเจรจาการค้าอย่างต่อเนื่อง กับทั้งตลาดเก่า เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับ 1 ที่สำคัญของไทย และครอบคลุมถึง 18% ของการส่งออก ควบคู่กับการหาตลาดใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสขยายตลาดออกไป

 

ทั้งนี้ หากมีการยุบสภาเกิดขึ้น ดร.เอกนิติ ระบุว่า แม้คณะทำงานจะไม่สามารถขออนุมัติสนธิสัญญาใดๆ ได้ อย่างไรก็ตาม การเจรจายังคงสามารถดำเนินการต่อไปได้ในฐานะรัฐบาลรักษาการณ์

 

เร่งคลอดทุกแพ็กเกจ เสร็จในเดือนธันวาคม

 

ในด้านผลกระทบต่อนโยบายทางเศรษฐกิจหากมีการยุบสภา ทางดร.เอกนิติ กล่าวว่า ปัจจุบันได้มีการออกมาตรการทางเศรษฐกิจไปแล้วมากกว่าครึ่ง นับตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงาน พร้อมกล่าวว่า “จะทำไปทุกวันจนกว่าจะไม่สามารถทำต่อได้ ซึ่งจะพยายามทำให้ทุกมาตรการเสร็จภายในเดือนธันวาคม”

 

สำหรับมาตรการใหม่ๆ ซึ่งจะมีการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ข้างหน้า (วันที่ 25 พฤศจิกายน) จะประกอบด้วย มาตรการปลดล็อกการลงทุน BOI Fast Pass เพื่อช่วยให้ โครงการลงทุนมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาท ทั้ง 60 โครงการ สามารถเริ่มโครงการได้ หลังจากที่ต้องติดขัดในขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆ ทั้งในด้านสาธารณูปโภค และขั้นตอนการขอใบอนุญาตแรงงาน

 

นอกจากนี้ ยังมีโครงการส่งเสริมการออม Individual Saving Account (ISA) หรือบัญชีการออมส่วนบุคคล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์จากนี้ โดยโครงการดังกล่าว จะช่วยให้ประชาชน สามารถเลือกรูปแบบการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีตามความเสี่ยงที่ต้องการได้เอง แทนกองทุนรูปแบบเดิมที่อาจมีการบิดเบือนตลาด

 

ขณะที่โครงการ ‘ซื้อหนี้’ เกษตรกร โดยให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ขึ้นมาเอง เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในภาคการเกษตรราว 1 แสนราย คิดเป็นมูลหนี้ราว 7-8 พันล้านบาท

 

ดร.เอกนิติกล่าวว่า โครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติหลักการแล้ว โดยตัวโครงการจะอยู่ภายใต้อำนาจของ ธ.ก.ส. ซึ่งสามารถดำเนินการได้เลย โดยไม่ต้องผ่านที่ประชุมครม. อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติระบุว่า อาจมีการเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ได้ หากแหล่งเงินของโครงการจำเป็นต้องอาศัยมติของที่ประชุม ครม.

 

ส่วนมาตรการคืนเงินบางส่วนเป็นเงินออมให้กับผู้ที่ซื้อสลากดิจิทัล L6 (สลากหกหลักแบบดิจิทัล) แต่ไม่ถูกรางวัล ดร.เอกนิติ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว

 

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.เอกนิติยังกล่าวถึง แพ็กเกจสนับสนุน ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ซึ่งประกอบด้วย 3 แพ็กเกจหลัก ได้แก่ แพ็กเกจสนับสนุนด้านการเงิน แพ็กเกจสนับสนุนด้านภาษี และแพ็กเกจสนับสนุนการซื้อสินค้าไทยโดยกล่าวรายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีการเร่งรัดคืนภาษีให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งมียอดเงินคงค้างในระบบสรรพากรราว 40,000 ล้านบาท แต่มีข้อแม้ต้องทำผ่านระบบดิจิทัล

 

ชี้ขึ้น VAT เพิ่มฐานะการคลัง

 

สำหรับแผนปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากระดับ 7% เป็น 8.5% โดยจะเริ่มในปี 2571 ภายใต้เงื่อนไขเศรษฐกิจไทยกลับมาโตเต็มศักยภาพ ดร.เอกนิติ ย้ำว่า แผนดังกล่าวมาจาก แผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework : MTFF) ฉบับใหม่ สำหรับปีงบประมาณ 2570-2573 ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. ไปเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

ดร.เอกนิติ ระบุว่า แผนการคลังระยะปานกลาง มีเป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับเพิ่มความมั่นคงให้กับฐานะการคลัง ซึ่งมีทั้งการขึ้นภาษีและลดภาษี โดยปัจจุบัน กำลังอยู่ระหว่างศึกษาแผนลดหย่อนภาษีให้มนุษย์เงินเดือนและผู้มีรายได้ระดับล่างให้มากขึ้น ควบคู่กับการปรับลดค่าลดหย่อนผู้มีรายได้สูง

 

ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ ระบุด้วยว่า แผนการคลังระยะปานกลาง ตั้งใจทำให้ฐานะการคลังไทยมั่นคง และไม่อยากให้จับเป็นประเด็นการเมือง เพราะในการสร้างฐานะการคลังที่มั่นคง ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแผนที่ชัดเจน

 

“ถ้าเราไม่สามารถทำให้ฐานะการคลังเรามั่นคง ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมสำหรับ Building For The Future ประเทศไทยอาจยิ่งแย่กว่านี้” ดร.เอกนิติกล่าว

The post เอกนิติมั่นใจ เจรจาการค้าต่อได้ แม้ยุบสภา เร่งคลอดแพ็กเกจเศรษฐกิจ ภายในสิ้นปีนี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
SME ของทอดพันล้าน: เมื่อ ย่อย-ย่อม-กลาง ของเราไม่เท่ากัน https://thestandard.co/opinion-billion-fried-food-sme/ Mon, 17 Nov 2025 06:57:17 +0000 https://thestandard.co/?p=1144097 SME ของทอดพันล้าน: เมื่อ ย่อย-ย่อม-กลาง ของเราไม่เท่ากัน

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กระแสหนึ่งในแวดวงธุรกิจ คือกรณ […]

The post SME ของทอดพันล้าน: เมื่อ ย่อย-ย่อม-กลาง ของเราไม่เท่ากัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
SME ของทอดพันล้าน: เมื่อ ย่อย-ย่อม-กลาง ของเราไม่เท่ากัน

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กระแสหนึ่งในแวดวงธุรกิจ คือกรณีที่คุณพีช พชร จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด ผู้เป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์มันฝรั่งทอดปรุงรส Potato Corner และกาแฟ UNO Coffee ได้ร่วมเล่าประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้สำเร็จ บนเวที ‘Thai SMEs Reshape 2026 ทางรอด SMEs ไทย’ ในงาน BITKUB SUMMIT 2025 แม้ความสำเร็จของ Potato Corner รวมถึงแบรนด์ไทยอื่นๆ ที่ถูกเลือกร่วมเสวนาจะเป็น Case Study ให้ SME รายอื่นๆ ได้ศึกษา แต่หลายฝ่ายมองว่า แบรนด์เหล่านี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและไม่ติดหล่มความเป็น SMEs เพราะมี ‘แต้มต่อ’ บางอย่างที่ทำตามได้ยาก บทความนี้พาทำความเข้าใจเรื่อง SMEs ลักษณะเฉพาะของแบรนด์ในกระแส และการถอดบทเรียนเชิงธุรกิจด้วย ‘เศรษฐศาสตร์’

 

คำว่า SMEs (Small and Medium Enterprises) หมายความถึงวิสาหกิจที่มีขนาดกลาง-เล็ก มีรายได้และพนักงานน้อย ซึ่งมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ในการวัดนั้นแตกต่างแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กำหนดขนาดของ SMEs ไว้ 3 ขนาด ได้แก่ วิสาหกิจรายย่อย (Micro) วิสาหกิจขนาดย่อม (Small) และวิสาหกิจขนาดกลาง (Medium)

 

เกณฑ์ที่ใช้แบ่งประกอบด้วย ‘รายได้’ และ ‘การจ้างงาน’ ที่แตกต่างกัน ตามประเภทอุตสาหกรรม/ธุรกิจ จากรายงานสถานการณ์ SME ปี 2568 เผยแพร่โดย สสว. พบว่า ในปี พ.ศ. 2567 จำนวน SME มีทั้งสิ้น 3.27 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมดของไทย

 

  • โดยกว่า 2.75 ล้านรายเป็นวิสาหกิจรายย่อย
  • ขณะที่อีก 4.55 แสนรายเป็นวิสาหกิจขนาดย่อม
  • และ 5 หมื่นรายเป็นวิสาหกิจขนาดกลาง

 

ในภาพรวม SMEs มีการจ้างงานกว่า 19 ล้านคน คิดเป็นกว่า 50% ของแรงงานไทยทั้งหมด ทั้งนี้ กว่า 40% ของ SME อยู่ในภาคบริการและกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพมหานคร

 

SMEs มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก จากข้อมูลของ สสว. พบว่า ในปี พ.ศ. 2567 GDP ที่มาจาก SMEs มีมูลค่าคิดเป็น 34.9% ของ GDP ไทยทั้งหมด นอกจากนั้น มูลค่าดังกล่าวยังขยายตัวอยู่ที่ 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP จากบริษัทขนาดใหญ่และค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ ที่เติบโต 2.2% และ 2.5% ตามลำดับ

 

แม้ SMEs จะเติบโตได้ดี แต่เมื่อเกิดวิกฤต วิสาหกิจกลุ่มนี้มักได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ยกตัวอย่างในช่วงที่มีการระบาดของโรค COVID-19 เมื่อปี พ.ศ. 2563 นั้น GDP จาก SMEs หดตัวรุนแรงกว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่ เรื่องนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของวิสาหกิจขนาดเล็กที่มีเงินทุนต่ำ สายพานสั้น ช่องทางในการเพิ่มกระแสเงินสดมีจำกัด และต้องการการช่วยเหลือจากภาครัฐมากกว่าวิสาหกิจกลุ่มอื่นๆ

 

แน่นอนว่าธุรกิจที่ถูกเลือกให้เป็น Case Study ของงาน BITKUB ในปีนี้ สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับ SME รายอื่นๆ ได้ แต่บทเรียนความสำเร็จที่ถอดออกมาอาจมีประโยชน์จำกัดเพราะมีปัจจัยอื่นๆ ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างกรณีของ Potato Corner และแบรนด์อื่นๆ ที่ยอดขายเติบโตมาพร้อมๆ กับกำไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากการลงทุนลงแรงในการพัฒนาสินค้าและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ความสำเร็จของธุรกิจไทยเป็นเรื่องน่ายินดี แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคงไม่ใช่ทุกธุรกิจที่สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างแบรนด์ที่ถูกเลือกมา

 

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า บริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2559 ด้วยเงินทุน 6 ล้านบาท ประเภทธุรกิจคือการบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จากงบกำไรขาดทุน พบว่า รายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 8.64 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2559 มาเป็น 414.98 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2563 และในปี พ.ศ. 2567 รายได้รวมอยู่ที่ 790.52 ล้านบาท

 

เมื่อพิจารณานิยาม SMEs ของ สสว. จะพบว่า บริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด นั้น เริ่มต้นจากการเป็นวิสาหกิจขนาดย่อม (มีรายได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2559) และเป็นวิสาหกิจขนาดกลาง ในปี พ.ศ. 2560 – 2561

 

ทั้งนี้ หลังจากปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา บริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด ไม่ใช่ SMEs อีกต่อไป เพราะมีรายได้ต่อปีเกิน 300 ล้านบาท

 

เมื่อดูความสามารถในการทำกำไร ผ่านตัวแปรพื้นฐานอย่างอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) และอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) พบว่ามีค่าสูงกว่าบริษัทมหาชน อาทิ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา และเอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป หรือในกรณีของสุกี้ตี๋น้อย มีบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เป็นเจ้าของ จัดตั้งเป็นนิติบุคคลเมื่อปี พ.ศ. 2562 ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 118 ล้านบาท ประเภทธุรกิจอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับ บริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด มีรายได้รวมเกิน 300 ล้านบาทนับตั้งแต่ปีแรกที่จัดตั้ง และมีรายได้รวมในปี พ.ศ. 2567 กว่า 7 พันล้านบาท

 

ในกรณีของ Potato Corner นั้น เป็นการซื้อสิทธิ์มาจากต่างประเทศ และคิดค้น ต่อยอด พัฒนาสูตรจนถูกปากใครหลายคนและสามารถขยายสาขาไปยังห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง แต่การที่ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการทำกำไรสูง สามารถจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังและสามารถในการพัฒนาสูตรหรือทำ R&D ได้นั้นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล mindset ที่กล้าที่จะเสี่ยง (และยอมรับและจัดการความเสี่ยง) รวมถึงการมีหุ้นส่วนเป็นดาราที่มีชื่อเสียง เรื่องพวกนี้เป็นแต้มต่อที่ SMEs อื่นๆ อาจเลียนแบบได้ยาก

 

ในกรณีของสุกี้ตี๋น้อยนั้น การทำราคาได้ดีคือผลลัพธ์ของ economy of scale ในด้านต้นทุน ทำให้สามารถเจาะเข้าไปแข่งขันในตลาดที่มีคู่แข่งรายเดิมได้ เมื่อเราดูข้อมูลงบการเงินของนิติบุคคล โดยเจาะลึกเฉพาะสาขา TSIC 26101 ซึ่งเป็นสาขาธุรกิจเดียวกับบริษัทเจ้าของ Potato Corner นั้น พบว่า ในปี พ.ศ. 2556 รายได้เฉลี่ยของวิสาหกิจขนาดใหญ่ อยู่ที่ 1.67 พันล้านบาท ขณะที่รายได้เฉลี่ยของวิสาหกิจกลุ่ม SME อยู่ที่ 7.97 ล้านบาท

 

ธุรกิจกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ผลกระทบไม่เท่ากัน แม้รายได้เฉลี่ยของวิสาหกิจทั้ง 2 ประเภทในปี พ.ศ. 2567 จะยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนหน้าการระบาดของโรคโควิด-19 แต่วิสาหกิจ SMEs ในสาขา TSIC 26101 มีอาการ ‘ซึมยาว’ กล่าวคือ รายได้เฉลี่ยในปี พ.ศ. 2567 ยังคงน้อยกว่าปี 2562 ถึง 11.54% ขณะที่วิสาหกิจขนาดใหญ่นั้นมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและรายได้เฉลี่ยน้อยกว่าปี 2562 เพียง 0.59%

 

ยิ่งไปกว่านั้น หนี้สินเฉลี่ยของวิสาหกิจขนาดใหญ่ต่ำกว่าต้นทุนขายเฉลี่ยและรายได้เฉลี่ยค่อนข้างมาก ขณะที่หนี้สินของ SMEs มีระดับใกล้เคียง/มากกว่ารายได้เฉลี่ย โดยเฉพาะช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 เรื่องนี้สะท้อนถึงอาการ ‘ติดหล่ม’ ของกลุ่ม SMEs ในเซกเตอร์บริการอาหาร

 

วิสาหกิจขนาดเล็กที่เล็กในทุกมิติ ทั้งเรื่องของเงินทุน ทรัพยากร เทคโนโลยี/เครื่องจักร องค์ความรู้ในการผลิต ทักษะด้านการตลาด/branding รวมถึง connection ที่น้อย ส่งผลให้ความสามารถในการขยายตัวต่ำ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีโอกาส (และเวลา) ในการลองผิดลองถูกและเรียนรู้จากการผิดพลาด (Learning by doing) เพราะหากพลาดแล้วก็ต้องออกจากตลาดเลยเพราะเงินทุนหมด ประโยชน์ที่ได้จากการรับชม-รับฟังประสบการณ์ของบริษัทที่เล็กเพียงชั่วคราวอย่างบริษัท ร็อค พีซี จำกัด หรือบริษัทที่ไม่เคยเล็กเลยอย่างตี๋น้อย คงจะเป็นการปลุกใจชั่วครู่-แรงฮึดชั่วคราว ที่ไม่ทันกลับบ้านก็อาจจะมลายหายไป

 

แล้วอะไรที่จะนำพาให้ SME ของไทยอยู่รอด ในเมื่อต้นทุนของเราไม่เท่ากัน คำตอบคงหนีไม่พ้นนโยบายการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ จาก ‘แผนการส่งเสริม SME ฉบับล่าสุด (ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2566 – 2570)’ ที่แบ่งประเด็นสำคัญในการให้การสนับสนุน SME ออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

 

  • การสร้างความเติบโตครอบคลุมทุกกลุ่ม SME (Inclusive Growth)
  • การสร้างการเติบโตแบบมุ่งเป้า (Targeted Growth) สำหรับกลุ่ม SME ที่มีศักยภาพสูง และ
  • การพัฒนาสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ SME ทั้งระบบ เช่น โครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมาย กฎระเบียบ และเทคโนโลยี

 

ซึ่งดูเหมือนว่า เป้าหมายในการพัฒนาจะมุ่งเน้นไปที่การยกระดับพื้นฐานของทุก SME ให้สูงขึ้น และเพิ่มเติมโดยการเจาะเป้าหมายในบางกลุ่มเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อการวัดผลทางเศรษฐกิจ

 

อย่างไรก็ตาม จากรายงานฯ ดูเหมือนว่า ปัญหา ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ ของไทย ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในระดับประชากรเท่านั้น เพราะสำหรับในมุมธุรกิจ SME ก็พบว่า มีเพียงผู้ประกอบการ SME ที่มีความพร้อมเพียงพอซึ่งส่วนมากมักเป็น SMEs ขนาดย่อม หรือ ขนาดกลาง ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากนโยบายของรัฐ ในขณะที่ SME รายย่อย ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ยังคงห่างไกลจากความช่วยเหลือด้วยความไม่พร้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะแรงงาน เงินทุน และ เทคโนโลยี ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้นับได้ว่าเป็น ‘กลุ่มเปราะบาง’ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐที่แท้จริง

 

จากความแตกต่างที่ปรากฏ นโยบายแบบ ‘One Size Fits All’ คงไม่ใช่ทางออกที่ดี นโยบายของภาครัฐควรมีพื้นฐานจากการตระหนักว่า “SME เหมือนกัน แต่ SME ไม่เท่ากัน’ โดยแบ่งแยกประเภทนโยบายในการสนับสนุน SME แต่ละลักษณะให้ชัดเจน ยึดหลัก ‘ความเป็นธรรม’ (Equity) ≥ ‘ความเท่าเทียม’ (Equality) ≥ ‘ประสิทธิภาพ’ (Efficiency)”

 

ตัวอย่างเช่น กลุ่ม SME ขนาดกลาง ที่มีกำลังมากพอในการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเอง รัฐควรให้การสนับสนุนในด้านการทำวิจัยและพัฒนา การปรับกฎระเบียบต่างๆ เพื่อลดต้นทุนทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการสนับสนุนการส่งออก ขยายตลาดที่มีศักยภาพ ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และมุ่งพัฒนามาตรฐานสินค้า เพื่อเอื้ออำนวยให้ธุรกิจกลุ่มนี้ต่อยอดต่อไปได้ สำหรับ กลุ่ม SME ขนาดย่อม การสนับสนุนให้ใช้ Digital technology เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างจริงจังแต่ค่อยเป็นค่อยไป การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต รวมถึงการฝึกอบรมให้กับพนักงาน/เจ้าหน้าที่ อาจเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากกว่า ในขณะที่กลุ่ม SME ขนาดเล็ก อาจต้องการการสนับสนุนในระดับพื้นฐาน โดยเริ่มจากการให้ความช่วยเหลือเชิงรุก (ที่ปรึกษาถึงพื้นที่) เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ระบบบัญชีพร้อมใช้ และ พื้นฐาน Digital ฉบับจับมือทำ

 

คุณพีช พชร บอกกับผู้ร่วมงานว่า ช่วงเวลานี้คือโอกาสทองของ SMEs แต่เมื่อดูจากรายงานสถานการณ์ SME เดือนกันยายน 2568 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี โดยองค์ประกอบของดัชนี จำนวน 5 ตัวจาก 6 ตัวปรับตัวลดลงจากเดือนสิงหาคม (เช่น คำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต และการลงทุน) ขณะที่องค์ประกอบที่ไม่ลดคือการจ้างงาน เรื่องนี้สะท้อนว่า SMEs คนอื่นๆ ไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกพลังบวกเฉกเช่นที่ธุรกิจของคุณพีชเผชิญ การมองวิกฤตเป็นโอกาสคือคำพูดของผู้ที่มีทางไป แต่ในหลายครั้ง วิกฤตก็ยังคงเป็นวิกฤต

 

ท้ายสุดนี้ ในมุมมองของเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องราวของสังคมอย่างใกล้ชิด จริงอยู่กับคำพูดสร้างแรงบันดาลใจที่กล่าวว่า ‘SMEs ไทย เป็นช่วงขาขึ้น’ นั้นช่างดูสวยหรู แต่คำกล่าวนี้ไม่อาจทำให้สังคมเชื่อมั่นได้ จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามมากมายตามมา – เมื่อโลกของธุรกิจคือการทำสงครามการแข่งขัน ประเทศจะเลือกช่วยใครก่อนระหว่าง ‘ผู้แข็งแกร่งที่พร้อมไปต่อ’ กับ ‘ผู้อ่อนแอที่รอการสนับสนุน’ หรือ แท้จริงแล้วในสังคมนี้อาจมีเพียง ‘ผู้แข็งแกร่ง’ เท่านั้นที่อยู่รอด

 

ภาพ: aluxum/Getty Images

The post SME ของทอดพันล้าน: เมื่อ ย่อย-ย่อม-กลาง ของเราไม่เท่ากัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก https://thestandard.co/wealth-in-depth-clean-air-act/ Thu, 13 Nov 2025 03:46:02 +0000 https://thestandard.co/?p=1142762 หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก

ร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ เสี่ยงชะงัก เมื่อวุฒิสภาอาจยืดเ […]

The post หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก

ร่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ เสี่ยงชะงัก เมื่อวุฒิสภาอาจยืดเวลา ขณะที่กลุ่มทุน ภาคเอกชน (กกร.) ออกมาแสดงจุดยืน โดยย้ำว่า ‘ไม่คัดค้าน’ เห็นด้วยในหลักการด้านสิ่งแวดล้อม แต่มีบางประเด็นภาคธุรกิจต้องใช้เวลาปรับตัว ชี้กฎหมายบางฉบับซ้ำซ้อน เสี่ยงเพิ่มภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

 

กลายเป็นประเด็นร้อนถึงร่างพระราชบัญญัติ ‘อากาศสะอาด’ (พ.ร.บ.อากาศสะอาด) ที่ประชาชนทั่วประเทศเฝ้ารอ อาจไม่ทันบังคับใช้ภายในปี 2569 หลังมีแนวโน้มว่าการพิจารณาในชั้นวุฒิสภาจะถูก ‘ประวิงเวลา’ ซึ่งอาจไม่แล้วเสร็จก่อนยุบสภา นั่นหมายความว่า

 

‘กระบวนการทั้งหมดอาจต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากไม่ทันกำหนด’ ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชนต่อกฎหมายที่มุ่งจัดการปัญหาฝุ่นพิษและมลภาวะทางอากาศ

 

หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก 1

 

ด้านคณะกรรมาธิการฯ ที่ผลักดันร่างกฎหมายนี้ จึงออกมาเรียกร้องให้วุฒิสภา ‘ฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่’ ที่สนับสนุน พร้อมเตือนว่าความล่าช้าในการพิจารณาอาจหมายถึงการที่คนไทยต้อง ‘สูดฝุ่นพิษ’ ต่อไปอีกหลายปี

 

บทความนี้ชวนวิเคราะห์ ‘มุมมอง’ ความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ในวันนี้ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนทั้งในแวดวงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม หลังจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และวุฒิสภาเห็นชอบในวาระแรก แต่จนถึงขณะนี้ กระบวนการกลับ ‘ชะลอตัว’ จนหลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า เสียงของกลุ่มทุนจะดังยิ่งกว่าเสียงของประชาชนทั้งประเทศหรือไม่?

 

‘กกร.’ มอง พ.ร.บ. 3 ฉบับ ‘แรงงาน-โรงงาน-อากาศสะอาด’ ห่วงเพิ่มต้นทุน-ลดความสามารถแข่งขัน

 

วันที่ 12 พ.ย. คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่

 

  • ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ. …
  • ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …
  • ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ.

 

โดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร่างกฎหมายแรงงานใหม่ทั้ง 3 ฉบับขาดการประเมินผลกระทบ (RIA) อย่างรอบด้าน และอาจสร้างภาระต่อนายจ้าง โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ทั้งเพิ่มต้นทุนจ้างงาน ลดความยืดหยุ่นของแรงงาน และกระทบต่อการจ้างงานในระบบ ภาคเอกชนเห็นด้วยในหลักการสิ่งแวดล้อม แต่กฎหมายยังซ้ำซ้อน และควรดำเนินการด้านให้ตรงจุด เช่น การเผาไร่ข้าวโพด

 

หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก 2

 

ย้ำ ‘เห็นด้วย’ หลักการ ‘ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ แต่ขอปรับให้ไม่ซ้ำซ้อน

 

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ระบุถึงความกังวล พ.ร.บ.อากาศสะอาด ว่า กกร. สนับสนุนแนวทางยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อม มาตรการลดคาร์บอน และลดฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอด

 

แต่กังวลว่าร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้อาจซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม เช่น พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม และ พ.ร.บ.โรงงาน ซึ่งอาจมีประเด็นทับซ้อน ควรปรับให้ชัดเจน โดยที่ผ่านมาภาคเอกชนก็มีส่วนร่วมในการพยายามลดคาร์บอนในโรงงานตลอดจนมาตรการสิ่งแวดล้อม ไม่เคยละเลยประเด็นนี้

 

ชี้อาจทับซ้อนกับกฎหมายเดิม ย้ำจุดยืน 4 ข้อเสนอ

 

1. เพิ่มผู้แทนภาคเอกชนในคณะกรรมการระดับชาติและจังหวัด เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจริงเพราะที่ผ่านมามีส่วนร่วมน้อยมาก

 

2. ใช้มาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น ลดภาษีหรือสนับสนุนเงินกู้ แทนการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าปล่อยอากาศ ซึ่งกกร. เห็นว่า ‘เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์’ ในร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. อาจทับซ้อนกับกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น เชื้อเพลิงส่งเงินกองทุนน้ำมัน 1-5 บาท/ลิตร ภาษีสรรพสามิต 5-6 บาทต่อลิตร

 

3. ทบทวนโครงสร้าง ‘กองทุนอากาศสะอาด’ ให้มีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นไปได้จริง

 

4. อัตราโทษและบทกำหนดโทษ กกร. สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อผู้ฝ่าฝืน แต่ร่างกฎหมายฯ ฉบับนี้มีการกำหนดอัตราโทษสูงกว่าฉบับอื่นๆ ที่สภาผู้แทนราษฎรเคยรับหลักการทั้งโทษแพ่งและโทษอาญา อาทิ การกำหนดโทษทางอาญา

 

แม้ว่าจะเกิดจากความประมาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานอากาศสะอาดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินร้อยล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน

 

โดยเฉพาะในกรณีการกระทำโดยประมาท ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่ให้กำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง กกร. จึงเสนอให้ทบทวนระดับโทษให้สมดุลกับมาตรฐานสากล และควรมีระยะเวลาการปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้จริง

 

กกร. เน้นว่ากฎหมายควร ‘ไม่ซ้ำซ้อน-ไม่เพิ่มภาระ-รักษาสมดุลสิ่งแวดล้อมกับเศรษฐกิจ’ และต้องผ่านการประเมินผลกระทบ RIA ที่เป็นมาตรฐานสากล

 

ห่วง ‘ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน’ ซ้ำเติมต้นทุน ชี้เพิ่มโทษอาญาควรมีข้อมูลรองรับ

 

ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น กกร. แสดงความกังวลต่อร่างกฎหมายโรงงานฉบับใหม่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา โดยเห็นว่าหลายมาตรการอาจลดความสามารถ ในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย เช่น

 

  • การรื้อฟื้นระบบใบอนุญาตโรงงานแบบมีอายุ ซึ่งขัดต่อแนวทาง Ease of Doing Business และเสี่ยงเปิดช่องทุจริต
  • การกำหนด ‘โรงงานควบคุมพิเศษ’ ควรจำกัดเฉพาะโรงงานเสี่ยงสูงเท่านั้น
  • การเพิ่มโทษอาญาควรมีข้อมูลรองรับและสัดส่วนเหมาะสม
  • การเปิดให้ประชาชนเข้าสังเกตการณ์โรงงานอาจกระทบความลับทางการค้า
  • การบังคับทำประกันภัยอาจเพิ่มภาระ SMEs เนื่องจากตลาดประกันในประเทศยังไม่พร้อม

 

กกร. เสนอให้ภาครัฐเน้น ‘การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เข้มแข็ง’ แทนการออกกฎหมายเพิ่ม และให้จัดทำ การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (Cost-Benefit Analysis) อย่างรอบคอบ

 

เกรียงไกร ย้ำว่า “กฎหมายควรแก้ปัญหาได้จริง ไม่สร้างภาระเกินจำเป็น และไม่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน เราเห็นด้วยในหลักการ แต่วิธีการยังไม่ใช่

 

ทั้งนี้ หากร่างผ่านตัวเลขผลกระทบทางตรง เชิงเศรษฐกิจอาจยังประเมินยาก แต่จะบั่นทอนการ ‘ดึงดูดเม็ดเงินลงทุน FDI’ ทำให้หันไปลงทุนเวียดนาม หรือคู่แข่งแทน”

 

ฟังเสียงสะท้อนภาคประชาชน

 

ขณะที่ตัวแทนภาคประชาชนให้ความเห็นว่า ปัญหามลพิษทางอากาศไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็น ‘ภัยเงียบ’ ต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และมะเร็งปอด

 

ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด จึงควรเป็นกฎหมายสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ด้วยการกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษอย่างเป็นระบบ และส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงอากาศที่ปลอดภัย

 

หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก 3

 

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด กล่าวกับ ‘THE STANDARD WEALTH’ ว่า กรณีที่ภาคเอกชน ระบุว่า ไม่มีตัวแทนภาคเอกชน นั้น ไม่เป็นความจริง

 

โดยก่อนหน้านี้มีการหารือร่วมกันทุกฝ่าย ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) และเชิญผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทุกคนไม่มีใครคัดค้านการมี ‘กองทุนอากาศสะอาด’ และไม่มีท่านใดขอสงวนคำแปรญัตติ

 

โดยมติในวันนั้นมีประชาชนจำนวน 2,602 คน ที่ลงความเห็นว่ากองทุนอากาศสะอาดเป็นสิ่งจำเป็นในร่าง พ.ร.บ. ถึง 93%

 

“หากภาคเอกชนมองว่า กฎหมายซ้ำซ้อน สามารถใช้กองทุนสิ่งแวดล้อมเดิมได้ แต่จริง ๆ ประเด็นนี้คณะกรรมาธิการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญได้หารือกันหลายครั้ง และพบว่า กองทุนสิ่งแวดล้อมปัจจุบันมีจุดอ่อนหลายด้าน และท้ายสุดคณะกรรมาธิการเกือบทั้งหมดเห็นว่า ควรมีกองทุนอากาศสะอาดเฉพาะ”

 

รศ.ดร.วิษณุ กล่าวย้ำว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม การตัดกองทุนอากาศสะอาด ซึ่งเป็นหัวใจของการใช้เครื่องมือ และมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ออกจะทำให้กฎหมายไม่สามารถแก้ปัญหามลพิษ ทางอากาศได้จริง

 

เนื่องจาก ‘ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย’ (Polluter Pays Principle) จะไม่เกิดขึ้นตามหลักการสากลที่ประเทศที่เป็นแบบอย่างที่ดีปรับใช้ จะไม่สามารถช่วยเหลือผู้ก่อมลพิษให้เปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและอากาศสะอาดได้จริง และจะไม่มีรายได้หมุนเวียนมาแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

 

นอกจากนี้ อนาคตหากไทยจะเข้าร่วม OECD ก็หลีกหนีไม่พ้นกฎหมายนี้ ซึ่งทั่วโลกอย่างสหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ต่างเอาจริงเอาจังเรื่องอากาศสะอาด

 

อีกทั้งมองว่า จะส่งผลดีต่อ กลุ่มโรงแรม ธุรกิจท่องเที่ยว และเปิดรับอุตสาหกรรมใหม่อย่าง Wellness ได้มากยิ่งขึ้น บวกกับเทรนด์โลกที่มุ่งสู่สิ่งแวดล้อม โลกบีบให้ทุกประเทศมุ่งสู่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.นี้ยิ่งมีแต่ผลดีต่อภาพลักษณ์ และเศรษฐกิจไทย มหาศาล

 

หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก 4

 

ห่วงสัญญาณ พ.ร.บ.ถูก ‘เตะถ่วง’ การเมืองเปลี่ยนอาจเริ่มนับหนึ่งใหม่

 

ทั้งนี้ ที่น่าจับตาคือ ความล่าช้าในกระบวนการพิจารณากฎหมาย ว่าหลังการประชุมนัดแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่มีสัญญาณน่ากังวลว่ากระบวนการอาจถูก ‘เตะถ่วง’

 

เนื่องจากตามปกติร่างกฎหมายที่เข้าสู่วุฒิสภาจะมีกำหนดพิจารณา 30 วัน และสามารถขยายได้อีก 30 วัน หากมีความจำเป็น แต่ในการประชุมนัดแรกกลับมีการหารือถึงการ ‘ขยายเวลา’ ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มพิจารณาอย่างจริงจัง พร้อมทั้งกำหนดให้ประชุมเพียงสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งน่าจะไม่สามารถพิจารณากฎหมายกว่า 300 มาตราได้ทันกำหนด

 

“ช่วงเวลาปิดสมัยประชุมของรัฐสภาซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม จะไม่นับรวมอยู่ในกรอบเวลา 30 วัน ทำให้กระบวนการพิจารณาเลื่อนยาวไปถึงวันที่ 2 มกราคม 2569”

 

หากมีการขยายเวลาเพิ่มอีก 30 วัน จะลากไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่รัฐบาลเคยระบุว่าวันช้าที่สุดที่จะยุบสภา คือ 29 มกราคม ซึ่งหมายความว่า หากกฎหมายไม่เสร็จทันในช่วงดังกล่าว จะต้องกลับไป ‘เริ่มต้นใหม่’ ทั้งหมด

 

ทั้งนี้ คาดหวังว่า ถ้าจะให้ทันก่อนยุบสภาในวันที่ 29 มกราคม อย่างน้อยต้องพิจารณาให้จบภายในกลางเดือนธันวาคม

 

“แต่ดูจากท่าทีตอนนี้ ยังไม่เห็นความพยายามเร่งรัด จึงน่ากังวลว่าอาจเป็นการถ่วงเวลาคำถามที่ตามมาคือ แล้วสุขภาพประชาชนใครรับผิดชอบ 65 ล้านคน ถ้าฝุ่นกลับมา แล้วกฎหมายตกไป แล้วต้องรออีกปี 2 ปี เท่ากับว่าต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ท้ายที่สุด ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ต้องฝากความหวังที่วุฒิสภา ที่สำคัญคือ นโยบายรัฐบาล และการเมือง จะมองไปในทิศทางไหนต่อไป”

 

รู้จัก พ.ร.บ.อากาศสะอาด คืออะไร?

 

สำหรับ พระราชบัญญัติอากาศสะอาด เป็นร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพอากาศของประเทศไทย โดยการควบคุมและลดมลพิษจากต้นทาง โดยเฉพาะจากผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า และกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือฝุ่นพิษสู่ชั้นบรรยากาศ

 

หากร่างกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับใช้ จะนับเป็น กฎหมายฉบับแรกของไทยที่มุ่งจัดการคุณภาพอากาศโดยเฉพาะ

 

หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก 5

 

เป้าหมายสำคัญของกฎหมาย

 

  1. กำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศระดับชาติ เพื่อให้หน่วยงานรัฐและเอกชนต้องดำเนินงานตามเกณฑ์เดียวกัน
  2. บังคับให้ผู้ก่อมลพิษลดการปล่อยก๊าซและฝุ่นพิษ โดยมีทั้งมาตรการควบคุมและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
  3. จัดตั้งองค์กรใหม่ดูแลคุณภาพอากาศโดยเฉพาะ เพื่อบริหาร จัดการ และติดตามผลในระยะยาว
  4. ส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงอากาศบริสุทธิ์ ถือเป็นการยกระดับสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของคนไทย

 

จุดเริ่มต้นของร่างกฎหมาย

 

  • ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ถูกเสนอเข้าสู่สภา ตั้งแต่ปี 2564

 

  • มีทั้งหมด 7 ฉบับ จากหลายฝ่าย ทั้งจาก
    • พรรคการเมือง (5 ฉบับ)
    • ภาคประชาสังคม เช่น เครือข่ายอากาศสะอาด Thai CAN (1 ฉบับ)
    • คณะรัฐมนตรี (1 ฉบับ)

 

  • แต่ละฉบับมีแนวทางต่างกัน เช่น
    • การกำหนดค่าปรับสำหรับผู้ก่อมลพิษ
    • การห้ามการเผาในภาคเกษตร
    • การควบคุมสินค้านำเข้า-ส่งออกที่ก่อมลพิษ

 

เพื่อหลอมรวมให้เป็นกฎหมายเดียวกัน สภาผู้แทนราษฎรจึงตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด เมื่อปี 2566 เพื่อพิจารณาและปรับเนื้อหาให้ครอบคลุมทุกฝ่าย

 

ทำไม พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงสำคัญ?

 

เนื่องจาก ประเทศไทยยังไม่มี ‘กฎหมายเฉพาะ’ ที่ควบคุมคุณภาพอากาศในระดับประเทศ ทำให้การจัดการฝุ่น PM2.5 และมลพิษทางอากาศยังแยกส่วนและขาดอำนาจบังคับที่ชัดเจน

 

พ.ร.บ.อากาศสะอาด จึงมองว่านี่อาจเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ที่จะทำให้การจัดการปัญหามลพิษเป็นระบบ มีความรับผิดชอบชัดเจน และสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม

 

หลังจากนี้ต้องติดตามว่าพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะผ่านร่างหรือไม่ จะเดินหน้าอย่างไรให้มีจุดร่วมในทิศทางเดียวกัน ท่ามกลางมุมมองที่เห็นต่างของทุกฝ่าย

 

ภาพ: CHANAKARN LAOSARAKHAM / Getty image

The post หรือ ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ อาจเป็นแค่อากาศ ทำไมเสี่ยงชะงัก? ถูกเตะถ่วง กลุ่มทุนเบรก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยจ่อเก็บ ‘ภาษีสินค้านำเข้า’ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 ม.ค. 2569 ‘นักช้อป-ผู้ประกอบการ’ กระทบแค่ไหน? https://thestandard.co/wealth-in-depth-e-commerce-import-tax/ Thu, 13 Nov 2025 02:07:23 +0000 https://thestandard.co/?p=1142728 ไทยจ่อเก็บ ‘ภาษีสินค้านำเข้า’ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 ม.ค. 2569 ‘นักช้อป-ผู้ประกอบการ’ กระทบแค่ไหน?

กรมศุลกากรเพิ่งประกาศเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟ […]

The post ไทยจ่อเก็บ ‘ภาษีสินค้านำเข้า’ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 ม.ค. 2569 ‘นักช้อป-ผู้ประกอบการ’ กระทบแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>
ไทยจ่อเก็บ ‘ภาษีสินค้านำเข้า’ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 ม.ค. 2569 ‘นักช้อป-ผู้ประกอบการ’ กระทบแค่ไหน?

กรมศุลกากรเพิ่งประกาศเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ (e-commerce) ตั้งแต่ 1 บาทแรก จากเดิมที่ยกเว้นให้สินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างความเป็นธรรมและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ SME ไทย ท่ามกลางภาวะที่สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย พร้อมคาดว่า จะเพิ่มรายได้เข้ารัฐ 3,000 ล้านบาทต่อปี

 

เจาะเหตุผลทำไม ‘ศุลกากร’ เลิกเก็บภาษี De minimis

 

โดยพันธ์ทอง ลอยกุลอนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth โดยเปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวว่า เป็นไปตามนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยสั่งการมายังศุลกากร ให้หา “มาตรการช่วย SME ไทยให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้า ที่นำเข้าโดยตรงจากต่างประเทศได้”

 

พันธ์ทองยังอธิบายว่า แต่เดิม ไทยไม่มีการเก็บภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ไม่ว่าจะเป็นอากร ศุลกากร หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพราะผู้คนเพียงส่งของชิ้นเล็กๆ แก่กันไปมา และอาจเป็นของขวัญในบางครั้ง ซึ่งประเทศอื่นๆ ในโลก ล้วนยกเว้นภาษีในลักษณะเดียวกันนี้ เรียกว่า De minimis

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเติบโตอย่างมหาศาลของ E-Commerce ที่มีการค้าขายเพิ่มขึ้นจากหลักแสนชิ้นต่อปี มาเป็น 100 ล้านชิ้นต่อปีในปัจจุบัน ทำให้การขายสินค้าจากผู้ประกอบการต่างประเทศสามารถส่งเข้ามาในประเทศไทยได้เลย

 

“ดังนั้น การคงภาษี De minimis ไว้จึงทำให้ไม่มีผู้ประกอบการในไทยรายใดได้รับประโยชน์เลย เนื่องจากสินค้าสามารถผลิตโดยตรงจากต่างประเทศ และส่งตรงถึงมือผู้บริโภคได้เลยโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง (ยี่ปั๊ว) และร้านค้าปลีก (ซาปั๊ว)” พันธ์ทองกล่าว

 

แม้ในปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจะหันมาเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากสินค้านำเข้าชิ้นเล็กแล้วก็ตาม แต่ด้วยอัตราเพียง 7% ทำให้ราคาสินค้านำเข้าบนแพลตฟอร์มยังคงมีราคา ‘ถูกกว่า’ อยู่ จึงเป็นเหตุผลให้กรมศุลกากรออกมาตรการ เพื่อสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ค้าบนแพลตฟอร์มที่อยู่ในต่างประเทศ กับผู้ประกอบการไทยที่เสียภาษีถูกต้อง

 

สำหรับผลกระทบต่อผู้บริโภค พันธ์ทองมองว่า แม้ผู้บริโภคอาจจะได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการไทยจะสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าจากต่างประเทศจะใกล้เคียงกันมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมระหว่างผู้ค้าออนไลน์ในประเทศและต่างประเทศ

 

นอกจากนี้ ขณะเดียวกัน สินค้าในประเทศยังมีข้อได้เปรียบด้านระยะเวลารอสินค้า โดยใช้เวลาเพียง 1 วัน ขณะที่สินค้านำเข้า ผู้บริโภคต้องรอสินค้าราว 3-4 วัน

 

เปิดแนวทางเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท

 

พันธ์ทอง เปิดเผยต่อว่า การใช้แนวทางภาษีสินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ในช่วงแรก จะเก็บภาษีในอัตราตามพิกัดของสินค้าชนิดนั้นๆ เช่น 0%, 5%, 10% และ 25% เป็นต้น ตามกฎหมายปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า อาจจะเก็บในอัตราเดียวกัน (Flat Rate) กับสินค้าทุกรายการ เช่น 10% หรือ 15% กับสินค้าทั้งหมด

 

โดยมีวิธีการคือ จะให้แพลตฟอร์ม E-Commerce สำแดงมาว่า สินค้าที่นำเข้ามามีอะไรบ้าง และมีมูลค่าเท่าไหร่ และถูกเรียกเก็บอากรเท่าไร จากนั้น ศุลกากรจะสุ่มตรวจเช็ก ตรวจสอบความตรงกันของข้อมูล (Reconcile) กับของที่เข้ามายังประเทศเรา มาที่สนามบิน มาที่ชายแดนระหว่างนำเข้า

 

‘ศุลกากร’ เผยรายการสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท ที่เตรียมโดนเก็บภาษีเพิ่ม

 

พันธ์ทองกล่าวต่อว่า สินค้าต่ำกว่า 1,500 บาทส่วนใหญ่ที่นำเข้ามาในประเทศไทย มีประเภทหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า กระเป๋า เคสโทรศัพท์ ของทำด้วยพลาสติก

 

คาดเลิกเก็บ De minimis เพิ่มรายได้ภาษีราว 3,000 ล้านบาทต่อปี

 

พร้อมทั้งระบุว่า จากการประเมินเบื้องต้น โดยอิงจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท ของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เมื่อสมมติค่าเฉลี่ยพิกัดศุลกากรของสินค้าไว้ที่ 10% อย่างน้อย คาดว่า รัฐจะมีรายได้ศุลกากร 3,000 ล้านบาท บนสมมติฐาน การบริโภคคงที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูแนวโน้ม 5 ปีย้อนหลัง พันธ์ทองชี้ว่า การนำเข้าสินค้าชิ้นเล็กมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี

 

เปิดผลหารือแพลตฟอร์มออนไลน์

 

นอกจากนี้ พันธ์ทอง ยังกล่าวถึงผลการหารือกับแพลตฟอร์ม E-Commerce รายใหญ่ เช่น Shopee และ Lazada ว่า แพลตฟอร์มต่างๆ ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยกรมศุลกากรได้มีข้อเสนอไปหลักๆ ดังนี้

 

1. ขอให้ยุติการขายสินค้าที่ห้ามนำเข้า หรือต้องใช้ใบอนุญาตนำเข้า หรือสินค้าผิดกฎหมาย เช่น สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และบุหรี่ไฟฟ้า เข้ามาในประเทศไทย โดยให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกับ Amazon ที่มีการระบุว่าสินค้าใดที่ “ไม่สามารถจัดส่งมายังประเทศไทยได้” (Not Ship to Thailand)

 

2. ขอข้อมูลจากแพลตฟอร์มโดยตรง เพื่อให้ทราบจำนวนสินค้าที่ส่งเข้ามา มูลค่าการนำเข้า และสามารถตรวจสอบความสอดคล้องกับข้อมูลที่ผู้ขนส่งสำแดงไว้ (Reconcile) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสในระบบ

 

พันธ์ทองยังอธิบายว่า “ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรบุหรี่ไฟฟ้าได้กว่า 5 ล้านชิ้น ของละเมิดลิขสิทธิ์กว่า 5 แสนชิ้น และสินค้าที่ไม่มีใบอนุญาต มอก. อีกเป็นล้านชิ้น ผมจึงมีแนวคิดว่า ถ้าไม่มีการขายในแพลตฟอร์ม ก็จะไม่เกิดการสำแดงเท็จและการลักลอบนำเข้าตามมา เพื่อที่ให้กรมศุลกากรไปโฟกัสกับสินค้าที่เป็นอันตรายกว่าได้เช่น ยาเสพติด”

 

พันธ์ทองระบุเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาจะต้องเริ่มจากต้นทาง โดยกรมศุลกากรได้ขอความร่วมมือให้แพลตฟอร์มระงับการขายสินค้าควบคุมมาประเทศไทยจนกว่าผู้ประกอบการรายนั้นจะได้รับใบอนุญาตที่ถูกต้องจากหน่วยงานไทย เช่น มอก. หรือ อย. เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จและลักลอบนำเข้า ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถมุ่งเน้นการตรวจสอบสินค้าประเภทอื่น เช่น ยาเสพติด ได้มากขึ้น

 

KResearch มองยกเลิก ‘De minimis’ มีแนวโน้มทำให้สินค้าแพงขึ้น

 

ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า การยกเลิกภาษี De Minimis ซึ่งจะเปิดทางให้กรมศุลกากรสามารถเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ตั้งแต่ 1 บาทแรก จากเดิมที่ยกเว้นให้สินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาทนั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้ราคาสินค้า ที่ซื้อขายบนแพลตฟอร์มอาจ ‘แพงขึ้น’ อย่างไรก็ตาม ความเร็วและขนาดในการปรับขึ้นราคาขึ้นอยู่กับว่าผู้นำเข้าจะสามารถรับภาระต้นทุนไว้ได้นานแค่ไหน นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ ดังนี้

 

(1) อัตราภาษีนำเข้าที่สินค้าแต่ละชนิดจะโดนเรียกเก็บ

 

(2) ข้อตกลงทางการค้า (Free Trade Agreement: FTA) ที่ไทยมีกับประเทศต่างๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น สินค้านำเข้าจากประเทศจีนจะมีอัตราเป็น 0% อยู่แล้ว เนื่องจาก ไทยมีกรอบ FTA China-ASEAN ร่วมกับจีน ดังนั้น หากสินค้านำเข้ารายการใดก็ตาม ที่ไทยไม่มี FTA ด้วยหรือไม่มี Certificate of Origin ก็จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ร่วมกับ VAT อีก 7%

 

(3) กลไกการส่งผ่านราคา จากผู้นำเข้าหรือผู้ขาย ซึ่งเป็นผู้แบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค โดยณัฐพรมองว่า การส่งผ่านภาระภาษีนี้จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนของสินค้า และการแข่งขันในตลาดด้วย เนื่องจากแต่ละรายการสินค้าก็มีโครงสร้างราคาที่แตกต่างกันไป

 

ดังนั้น หากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศยังมีราคา ‘ถูกกว่า’ สินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างมาก ผู้นำเข้ามีโอกาสที่จะผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้ไปให้ผู้บริโภคได้เต็มที่ ตัวอย่างเช่น “สมมติว่า ถ้าเสื้อผ้านำเข้าจากจีน มีราคา 100 บาทต่อหน่วย แต่สินค้าใกล้เคียงกันที่มีการผลิตและขายในไทย มีราคา 200 บาทต่อหน่วย ในกรณีเช่นนี้ ผู้นำเข้าสามารถผลักภาระภาษีให้ผู้บริโภคได้เต็มที่ และยังคงรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ตามเดิม” ณัฐพรกล่าว

 

สะท้อนว่า หากผู้บริโภคมีทางเลือกอื่น เช่น สินค้าในประเทศคุณภาพดีกว่าและส่วนต่างราคาไม่มาก คนก็อาจจะเลือกซื้อสินค้าในประเทศแทน

 

ประเทศคู่ค้ารายใดของไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด?

 

ณัฐพรกล่าวว่า เมื่อพิจารณาว่า ประเทศคู่ค้ารายใดของไทยจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็น่าจะเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าพวกชิ้นเล็กๆ ราคาต่ำๆ มาไทยจำนวนมาก เช่น จีน และฮ่องกง ซึ่งถ้าหากดูตัวเลขการนำเข้าของไทยแต่ละรายการ ก็จะเห็นเลยว่า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ (Home Appliance) เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้า รองเท้า ล้วนมีการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไทย (อาเซียน) มี FTA กับจีน ดังนั้นหากเป็นการนำเข้าทางเรือ หรือการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งต้องมี Certificate of Origin เพื่อยืนยันแหล่งกำเนิดสินค้าว่า มาจากประเทศจีน ซึ่งส่วนนี้จะเป็นสินค้าที่ผ่านระบบศุลกากรเต็มรูปแบบ จะได้การยกเว้นภาษี (Waive) ภายใต้กรอบ FTA

 

ขณะที่ สินค้าที่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่แน่ใจว่าจะมีเอกสารยืนยันเหมือนกันหรือไม่ หากไม่มีเอกสารยืนยัน ก็จะถูกเรียกเก็บภาษีตามอัตรา MFN

 

ขณะที่ พันธ์ทอง ลอยกุลอนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร อธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ไทยจะมี FTA กับหลายประเทศ แต่สินค้าในรูปแบบพัสดุ (Parcel) จะไม่ได้รับการเว้นภาษีในส่วนของ FTA เพราะไม่มีใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) จากประเทศคู่ค้า

 

มาตรการนี้ช่วยสกัดการทะลักของสินค้าชิ้นเล็กๆ ได้หรือไม่?

 

ณัฐพรมองว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ ‘พอช่วยลดการทะลักของสินค้าชิ้นเล็กๆ ได้’ เพราะว่า สินค้าชิ้นเล็กที่ส่งมาทาง E-Commerce อาจไม่มีกระบวนการ Certificate of Origin เนื่องจากไม่คุ้มที่จะทำ เพราะสินค้าราคาถูกมาก แต่หลังจากนี้ เมื่อมาตรการนี้มีผลก็ต้องโดนภาษีแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ณัฐพรมองว่า “จีนยังมีจุดแข็งตรงที่สามารถทำราคาได้ถูก และมี Economy of Scale แบบที่ไม่มีประเทศใดสามารถทำได้ ดังนั้น ต่อให้ถูกเรียกเก็บภาษี แต่ถ้าสินค้ามีต้นทุนต่ำจริงๆ จีนก็ยังสามารถแข่งขันได้อยู่ และอาจไม่ได้เสียเปรียบขนาดนั้น ขึ้นอยู่กับต้นทุนและคุณภาพ”

 

มาตรการนี้เป็นการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือไม่?

 

ณัฐพร พร้อมทั้งกล่าวว่า การยกเลิก de minimis ไม่ใช่มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) เพราะมาตรการ AD มุ่งเป้าไปที่บางประเทศหรือบางบริษัทโดยเฉพาะที่ขายสินค้าราคาต่ำกว่าต้นทุน แต่การเก็บภาษีตามกฎ de minimis นี้ ใช้กับทุกประเทศ (apply to all)

 

นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ไม่ขัดหลักการ MFN (Most Favored Nation) ขององค์กรการค้าโลก (WTO) ที่ว่าด้วยการไม่เลือกปฏิบัติเช่นกัน เนื่องจาก ไทยจะเก็บภาษีแบบเท่าเทียม ไม่ว่าจะนำเข้าจากส่วนใดในโลก ก็จะเจอกฎแบบเดียวกันหมด

 

เชื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

 

ณัฐพร กล่าวว่า อย่างน้อยๆ มาตรการนี้ก็เป็นความพยายามที่จะทำให้การแข่งขันอยู่บนสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน (Level of Playing Field) หรือมีการแข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการไทยหายใจคล่องขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ณัฐพร มองว่าต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการไทยจะไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่สินค้าที่ผู้ประกอบการไทยแข่งด้วยจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น

 

สำหรับผลต่อการจ้างงาน ณัฐพรกล่าวว่า ไกลเกินไปที่จะประเมินได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีหลายปัจจัย (Factor) ให้ต้องพิจารณา ทั้งราคา และการแข่งขัน ซึ่งหากสินค้านำเข้าบางรายการยังมีราคาถูกอยู่ แม้จะมีการส่งผ่านภาระภาษีไปยังผู้บริโภคแล้ว ก็จะไม่ได้ช่วยภาคการผลิตมากนัก อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการไทย ยังพอหายใจหายคอคล่องขึ้น

 

Shopee พร้อมหนุนกรมศุลกากร เผยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นคนไทย!

 

Shopee ประเทศไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า จะมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดเล็กของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ช่วยเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง (MSMEs) ในประเทศให้สามารถเติบโตบนโลกออนไลน์ได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากผู้ขายส่วนใหญ่บนแพลตฟอร์มของ Shopee เป็นผู้ประกอบการไทยในกลุ่ม MSMEs

 

Shopee กล่าวย้ำอีกว่า จะสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในประเทศ รวมถึงการดำเนินมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันระหว่าง Shopee และภาครัฐในการส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านความร่วมมือและการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกฎระเบียบ
Shopee ยังคงให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกรมศุลกากร เพื่อให้การดำเนินมาตรการดังกล่าวบนแพลตฟอร์มเป็นไปอย่างราบรื่นและทันเวลา

 

“เรามองว่านโยบายนี้เป็น ‘โอกาส’ ให้ผู้ขายไทยมีความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้น และเรากำลังขยายโครงการพัฒนาผู้ขาย (Seller Development Programs) เพื่อช่วยผู้ผลิตและผู้ประกอบการท้องถิ่นให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน” Shopee ระบุ

 

Shopee กล่าวอีกว่า โดยที่ผ่านมาเราสนับสนุน SMEs ไทยผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่

 

  • โปรแกรมอัปสกิลผู้ขายไทย (เวิร์กช็อปและคอร์สออนไลน์ด้านการตั้งราคา ภาษี / นโยบาย / การตลาดเนื้อหา)
  • การผลักดันแคมเปญสินค้าไทย โดยร่วมกับหน่วยงานรัฐต่างๆ ตลอดทั้งปี เพื่อเพิ่มการมองเห็นสินค้าไทยบนแพลตฟอร์ม
  • การยกระดับความเชื่อมั่นสินค้าไทย โดยร่วมมือกับหน่วยงาน เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการกำกับคุณภาพ มาตรฐาน และพัฒนาระบบตรวจจับสินค้าละเมิด
  • โอกาสส่งออกผ่านโปรแกรม Shopee Global Sales (ชื่อเดิม Shopee International Platform) ซึ่งช่วยให้ร้านค้าในไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังลูกค้าต่างประเทศได้สะดวกขึ้น โดย Shopee ช่วยสร้างและดูแลร้านค้า บริหารจัดการคำสั่งซื้อ การจัดส่งสินค้า รวมถึงสนับสนุน การใช้เครื่องมือ และฟีเจอร์การตลาด บนแพลตฟอร์มช้อปปี้ในต่างประเทศ เพื่อขยายตลาดให้ผู้ประกอบการไทย

The post ไทยจ่อเก็บ ‘ภาษีสินค้านำเข้า’ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่ 1 บาทแรก เริ่ม 1 ม.ค. 2569 ‘นักช้อป-ผู้ประกอบการ’ กระทบแค่ไหน? appeared first on THE STANDARD.

]]>