Skyscraper – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Wed, 11 Apr 2018 10:41:28 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ดเวย์น จอห์นสัน ชีวิตที่พลิกจากนักเลง นักกีฬา นักมวยปล้ำ สู่หนึ่งในนักแสดงรายได้สูงสุดของโลก https://thestandard.co/dwayne-johnson/ https://thestandard.co/dwayne-johnson/#respond Wed, 11 Apr 2018 10:41:28 +0000 https://thestandard.co/?p=83571

แทบจะกลายเป็นธรรมเนียมในช่วงปีหลังๆ ที่เราจะได้เห็นหน้า […]

The post ดเวย์น จอห์นสัน ชีวิตที่พลิกจากนักเลง นักกีฬา นักมวยปล้ำ สู่หนึ่งในนักแสดงรายได้สูงสุดของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

แทบจะกลายเป็นธรรมเนียมในช่วงปีหลังๆ ที่เราจะได้เห็นหน้าดุๆ และกล้ามล่ำๆ ของ ดเวย์น จอห์นสัน อดีตนักมวยปล้ำชื่อดังเจ้าของฉายา ‘เดอะ ร็อก’ ที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงปีละ 2-3 เรื่องเป็นอย่างต่ำ

 

จากจุดเริ่มต้นในปี 2001 กับบทบาทในเรื่อง The Mummy Returns เพียงไม่กี่นาที เขาค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์และรอโอกาสที่เหมาะสมอยู่เกือบ 10 ปี กว่าจะได้แจ้งเกิดแบบจริงๆ กับบท เจ้าหน้าที่ฮ็อบส์ ใน Fast Five หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหยุดเขาได้อีกต่อไป และกลายเป็นนักแสดงที่มีรายได้มากที่สุดในโลกในปี 2016 ได้สำเร็จ

 

เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่ Rampage หนังเรื่องล่าสุดของเขากำลังจะเข้าฉายในวันที่ 12 เมษายนนี้ THE STANDARD ขอพาทุกคนย้อนไปดูเส้นทางตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาขึ้นมาดูโลก กว่าจะกลายมาเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตของเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง และเส้นทางเหล่านั้นก็ได้บอกให้พวกเรารู้ว่าภายใต้มัดกล้ามเหล่านั้น ไม่เคยมีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดาย

 

ร็อกกี้ จอห์นสัน และปีเตอร์ มายเวีย คุณพ่อและคุณตาของดเวย์น จอห์นสัน
Photo: amazingorfunny.blogspot.com

 

พันธุกรรมมวยปล้ำเข้มข้นรุ่นที่ 3

วันที่ 2 พฤษภาคม 1972 หนุ่มน้อยผู้มีอนาคตเป็นนักมวยปล้ำระดับตำนานได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก พร้อมกับชื่อ ดเวย์น ดักลาส จอห์นสัน เป็นลูกคนชายคนเดียวของ ร็อกกี้ จอห์นสัน ผู้ได้รับฉายา Soul Man มีดีกรีเป็นนักมวยปล้ำแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่คว้าแชมป์แบบแท็กทีมมาครองได้สำเร็จ

 

และถ้าย้อนไปอีกหนึ่งเจเนอเรชัน คุณตาของเขา ปีเตอร์ มายเวีย ก็เป็นนักมวยปล้ำเชื้อสายซามัว คุณยายลีอา มายเวีย ก็เป็นถึงโปรโมเตอร์หญิงชื่อดังแห่งวงการมวยปล้ำ และยังมีความสนิทสนมกับครอบครัวอานัวอี (ครอบครัวชาวอเมริกัน-ซามัวที่ยึดกีฬามวยปล้ำเป็นอาชีพ) ทำให้เด็กชายดเวย์นเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ช่วยหล่อหลอมความเป็นนักสู้แบบอัตโนมัติ

 

เด็กชายดเวย์น

Photo: menstrait.com

 

ยากจน นักเลงหัวไม้ และจุดเริ่มต้นชีวิตนักกีฬา

เนื่องจากความนิยมในกีฬามวยปล้ำยังไม่แพร่หลาย ทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวนักมวยปล้ำไม่ได้ดีอย่างที่คิด ถึงขนาดถูกไล่ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่มาแล้ว เขาต้องย้ายที่อยู่เพื่อตามคุณพ่อไปแข่งในที่ต่างๆ และพ่อก็ไม่ได้มีเวลาดูแลเขามากนัก ทำให้เด็กชายดเวย์นในวัย 14 ปีเริ่มคิดที่จะดูแลตัวเองและแม่ด้วยการรวมกลุ่มเพื่อนออกตระเวนฉกชิงวิ่งราวเพื่อนำทรัพย์เหล่านั้นไปขาย จนการขึ้นโรงขึ้นศาลกลายเป็นเรื่องปกติในเวลานั้น

 

Photo: broscience.co

 

จนกระทั่งอายุ 16 ปี ประตูแห่งโอกาสบานแรกเริ่มเปิดออก อาจจะด้วยยีนของนักกีฬามวยปล้ำที่อัดแน่นอยู่ในตัว ทำให้ร่างกายของเขาพัฒนานำเพื่อนๆ ไปไกลด้วยส่วนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว และน้ำหนัก 225 ปอนด์ จนกระทั่งคุณครูประจำโรงเรียนเห็นแววและชวนให้เขาเริ่มเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอล ด้วยนิสัยก้าวร้าวดุดันและร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักอเมริกันฟุตบอลดาวรุ่งที่น่าจับมองในเวลานั้นทันที

 

ดเวย์นเมื่อตอนสวมหมายเลข 94 อยู่ทีม Miami Hurricanes
Photo: www.cbssports.com

 

เขาตัดสินใจเข้าร่วมทีม Miami Hurricanes ของมหาวิทยาลัยไมอามี ในตำแหน่ง Defensive Lineman พร้อมกับสถิติแท็กเกิลสำเร็จ 77 ครั้งในการลงสนาม 39 เกม และพาทีมคว้าแชมป์ระดับประเทศในปี 1991 ได้สำเร็จ

 

เส้นทางในสนามหญ้าของเขาดูเหมือนสดใส แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ ทำให้เขาไม่ได้ไปต่อในการดราฟต์ตัวผู้เล่นศึกคนชนคน NFL และต้องไปเล่นให้ทีม Calgary Stampede ที่ประเทศแคนาดา ใช้เวลาเพียง 2 เดือน ก่อนจะได้รับคำตอบว่าความฝันของเขาในวงการอเมริกันฟุตบอลจบลงเพียงเท่านี้

 

ท่า Rock Bottom และ People’s Elbow
Photo: www.thesun.co.uk

 

สร้างตำนาน The People’s Champ หนึ่งในนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ช่วงที่เขาหันหลังให้กับอาชีพนักอเมริกันฟุตบอล เป็นเวลาเดียวกับที่พ่อของเขาประกาศหันหลังให้กับวงการมวยปล้ำ ตอนนั้นดเวย์นได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง โดยมี ร็อกกี้ จอห์นสัน ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดให้และผลักดันเขาเข้าสู่วงการมวยปล้ำอย่างเต็มตัวด้วยฉายา ‘ร็อกกี้ มายเวีย’ ที่ได้จากการเอาชื่อของพ่อและตาของเขามารวมกัน

 

Photo: www.thesun.co.uk

 

ดเวย์นในวัย 26 ปี ใช้เวลาไม่นานก็ครองใจแฟนมวยปล้ำทั้งโลกได้สำเร็จ และคว้าแชมป์ WWE (World Wrestling Entertainment) เป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้น (ก่อนจะถูก บร็อก เลสเนอร์ ทำลายสถิติด้วยอายุ 25 ปี)

 

ด้วยทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง บุคลิกที่น่าจดจำ (ทำหน้าถมึงทึงและเลิกคิ้วขวาข้างเดียว) มีท่าไม้ตายเฉพาะตัวอย่าง Rock Bottom และ People’s Elbow (ท่าศอกมหาชนที่เด็กผู้ชายในยุคนั้นต้องเคยเลียนแบบแน่นอน) รวมทั้งทักษะการเอ็นเตอร์เทนคนดูที่เร้าใจ ทำให้เขาได้รับฉายา The People’s Champ มาครองได้อย่างรวดเร็ว

 

ตลอดระยะเวลา 9 ปีในอาชีพมวยปล้ำของดเวย์น เขาเคยเป็นแชมป์โลก 9 สมัย โดยคว้าแชมป์โลกของ WWE มาได้ 7 สมัย และคว้าแชมป์โลก WCW (World Championship Wrestling) มาได้ 2 สมัย รวมไปถึงแชมป์อื่นๆ ได้แก่ แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล 2 สมัย, แชมป์โลกแท็กทีมของ WWE 5 สมัย และเป็นผู้ชนะใน The Royal Rumble ในปี 2000

 

Photo: The Mummy Returns

 

The Mummy Returns ใบเบิกทางสู่วงการฮอลลีวูด

ในปี 2001 เขาได้รับเชิญให้เล่นหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง The Mummy Returns ในบท สกอร์เปียนคิง บอสใหญ่ตัวที่สุดท้ายที่มีเวลาปรากฏตัวแค่ไม่กี่นาที แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้แฟนๆ เรียกร้องอยากเห็นเขาได้รับบทนำอย่างเต็มตัวในเรื่องต่อๆ ไป

 

จนในปี 2002 เขาได้กลับมาแบบเต็มตัวอีกครั้งกับหนังเรื่อง The Scorpion King ที่เป็นภาคสปินออฟจาก The Mummy Returns ว่าด้วยการต่อสู้ของเมธาอุส นักรบผู้เก่งกาจ ก่อนที่จะต้องคำสาปและกลายมาเป็น ‘ราชาแมงป่อง’ อย่างที่ได้เห็นกัน โดยในเรื่องนี้ดเวย์นได้รับค่าตัวมากถึง 5.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ในเวลานั้น

 

Photo: The Scorpion King

 

หลังจากนั้นเขาก็รับงานแสดงสลับกับงานนักกีฬามวยปล้ำมาตลอด แต่เนื่องจากฤดูกาล ‘ปล้ำ’ กินเวลามากถึง 8-9 เดือนต่อหนึ่งปี ตัวเขาจึงไม่มีเวลาไปแสดงหนังมากนัก ทำให้ในเวลา 4 ปี เขามีผลงานภาพยนตร์แค่ Longshot และ The Rundown ซึ่งก็ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จเท่าไรนัก

 

จนกระทั่งเขาได้เล่นหนังเรื่อง Walking Tall หรือไอ้ก้านยาว ภาพที่เขาถือไม้หน้าสามไล่ฟาดคู่ต่อสู้เป็นว่าเล่นทำให้คนเริ่มจดจำเขาในฐานะนักแสดงขึ้นมาบ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจยุติบทบาทนักมวยปล้ำอย่างเป็นทางการในปี 2004 (ไม่นับการรับเชิญให้กลับไปร่วมสังเวียนบ้างเป็นครั้งคราวในเวลาต่อมา)

 

Photo: Faster

 

จาก Driver สู่ Fast Five และขึ้นแท่นเป็นนักแสดงที่มีรายได้มากที่สุดในปี 2016

เมื่อหันหลังให้กับสังเวียนมวยปล้ำ เขามีหนังให้เล่นไม่ขาดสายทั้ง Be Cool (2005), Doom (2005), Southland Tales (2006), Gridiron Gang (2006), Reno 911!: Miami (2007), The Game Plan (2007), Get Smart (2008), Race to Witch Mountain (2009), Tooth Fairy (2010), The Other Guys (2010) ฯลฯ ซึ่งส่วนมากจะเป็นหนังเกรดบี หรือหนังที่ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าไร ทำให้คนยังไม่ยอมรับเขาในฐานะนักแสดงมากนัก

 

จนกระทั่งได้รับบท ‘คนขับรถ’ ในหนังเรื่อง Faster ที่ทำให้คนมองเห็นออร่าเมื่อได้แสดงคู่กับรถยนต์และความเร็ว จนนำไปสู่บท ลุค ฮ็อบส์ ศัตรูคู่รักของ โดมินิก โทเรตโต ใน Fast Five (2011) ที่เขาเพิ่มค่าตัวไปถึง 32.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่ามากที่สุดในเรื่อง มากกว่าเพื่อนนักแสดงอย่าง วิน ดีเซล และพอล วอล์กเกอร์ ที่ได้รับค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

 

หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นขาประจำของหนังแอ็กชันที่มีแต่คนต้องการตัว และเข้าสู่ช่วงพีกของอาชีพนักแสดงในปี 2013 ที่มีภาพยนตร์ 5 เรื่องเข้าฉาย ตั้งแต่หนังเล็กๆ 3 เรื่องอย่าง Snitch, Empire State, Pain & Gain ไปจนถึงหนังฟอร์มใหญ่อีก 2 เรื่องคือ G.I. Joe: Retaliation และ Fast & Furious 6 ขึ้นแท่นเป็นนักแสดงนำชายที่ทำรายได้ในปี 2013 สูงสุดเป็นอันดับที่ 5 (การจัดอันดับของนิตยสาร Forbes) ด้วยตัวเลขรายได้ที่สูงถึง 46 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

Photo: Fast Five

 

ในปี 2015 เขาก็ยังได้รับบทบาทต่อเนื่องใน Furious 7 และ San Andreas ที่ถือว่าทำได้ดีมากในการแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้คนเดียว

 

กระทั่งในปี 2016 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes ก็ได้ยกให้เขาเป็นนักแสดงนำชายที่มีรายได้มากที่สุดในโลกกับจำนวนเงิน 64.5 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการแสดงเรื่อง Central Intelligence, Baywatch และ The Fate of the Furious (รายได้จากเรื่อง San Andreas ก็ถูกนำมานับในครั้งนี้ด้วย) ทำสถิติขึ้นนำอันดับ 2 อย่าง แจ็คกี้ ชาน ที่ทำไป 61 ล้านเหรียญสหรัฐ และแมตต์ เดมอน ที่ทำไป 55 ล้านเหรียญสหรัฐ  

 

ในปี 2017 เขาได้เล่นหนังอย่าง Jumanji: Welcome to the Jungle (รายได้เรื่องนี้ไม่ถูกนับรวมในปี 2016) อันดับของเขาตกลงมาอยู่ที่อันดับ 2 กับจำนวนเงิน 65 ล้านเหรียญสหรัฐ เสียตำแหน่งให้กับ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก ที่ทำรายได้ไปถึง 68 ล้านเหรียญสหรัฐ จากหนังเรื่อง Daddy’s Home 2 และหนังใหญ่อีก 2 เรื่องคือ Transformers: The Last Knight และ All the Money in the World ไปอย่างน่าเสียดาย

 

Photo: Rampage

 

หนัง 3 เรื่องของดเวย์นในปี 2018

ในปีนี้ ดเวย์น จอห์นสัน มีผลงานภาพยนตร์ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ Rampage (ได้ค่าตัวประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ) หนังฟอร์มยักษ์ที่กำลังจะเข้าฉายในวันที่ 12 เมษายน ตัวหนังได้แรงบันดาลใจจากป๊อปคัลเจอร์ในยุค 80s โดยยืมคาแรกเตอร์ของลิงยักษ์ จอร์จ, กิ้งก่ายักษ์ ลิซซี่ และหมาป่ายักษ์ ราล์ฟ จากเกมถล่มเมืองสุดฮิตอย่าง Rampage มาใช้ในการดำเนินเรื่อง โดยดเวย์นจะได้รับบท เดวิส โอโคเย แกนนำไปสู่การต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากบรรดาสัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นจากการทดลอง ความพิเศษในครั้งนี้คือเจ้าจอร์จ กอริลล่าผู้แสนดุร้ายในอดีตจะกลายมาเป็นผู้ที่จับมือมนุษย์เพื่อปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ให้ได้

 

เรื่องที่สองคือ Skyscraper ที่มีกำหนดฉายในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ ตัวเนื้อเรื่องยังไม่มีการเปิดเผยมากนัก แต่หลักๆ เขาจะได้รับบทเป็นหัวหน้าทีมช่วยเหลือตัวประกันแห่ง FBI ที่มีภารกิจช่วยเหลือผู้คน รวมทั้งครอบครัวที่ติดอยู่ในตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศจีน โดยมี ‘เปลวเพลิง’ ที่โหมกระหน่ำเป็นเสมือนอาชญากรตัวร้ายที่จับทุกคนเป็นตัวประกัน

 

ส่วนเรื่องที่ 3 คาดว่าเราน่าจะได้ดูกันในช่วงปลายปีคือ Fighting with My Family ที่ดเวย์นจะได้สวมบทรับเชิญในหนังชีวประวัติของ ซาเรยา-เจด เบวิส นักมวยปล้ำหญิงชื่อดังแห่ง WWE ที่เติบโตมาในครอบครัวนักมวยปล้ำเช่นเดียวกันกับเขา

 

โปรเจกต์ที่รอเขาอยู่ในอนาคต

ดเวย์นยังมีงานรออยู่อีกหลายโปรเจกต์ โดยมีภาพยนตร์ 2 เรื่องคือ San Andreas 2 และ Jumanji 2 กับโปรเจกต์เล็กที่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนอย่าง The Janson Directive, Jungle Cruise, Doc Savage, Big Trouble in Little China, Red Notice

 

 

แต่ที่เราตื่นเต้นที่สุดคือโปรเจกต์ Hobbs And Shaw ภาคสปินออฟของแฟรนไชส์ Fast & Furious ที่เราจะได้เห็นการซัดกันแบบเต็มๆ ระหว่างสองคู่ปรับตลอดกาล ทั้งเจ้าหน้าที่ฮ็อบส์ และเด็กการ์ด ชอว์ (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) คาดว่าน่าจะได้ดูกันในปี 2019

 

อีกหนึ่งโปรเจกต์คือการก้าวเข้าสู่จักรวาล DC เป็นครั้งแรกของดเวย์น กับบทบาท แบล็ก อดัม วายร้ายที่เรามีโอกาสได้เห็นทั้งหนังเดี่ยวของเขา และโปรเจกต์ Suicide Squad 2 ร่วมกับเหล่าแอนติฮีโร่สุดแสบทั้งหลายไปพร้อมกันด้วย

 

อ้างอิง:

The post ดเวย์น จอห์นสัน ชีวิตที่พลิกจากนักเลง นักกีฬา นักมวยปล้ำ สู่หนึ่งในนักแสดงรายได้สูงสุดของโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/dwayne-johnson/feed/ 0
บู๊กันสนั่นโรงกับ 7 หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ต้อนรับช่วงเทศกาลหนังฤดูร้อน [Advertorial] https://thestandard.co/7-action-movies-summer-film-festival/ https://thestandard.co/7-action-movies-summer-film-festival/#respond Wed, 28 Mar 2018 08:45:40 +0000 https://thestandard.co/?p=79722

กลายเป็นธรรมเนียมของการดูหนังไปแล้ว เมื่อจบฤดูกาลดูหนัง […]

The post บู๊กันสนั่นโรงกับ 7 หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ต้อนรับช่วงเทศกาลหนังฤดูร้อน [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>

กลายเป็นธรรมเนียมของการดูหนังไปแล้ว เมื่อจบฤดูกาลดูหนังยากๆ ลึกซึ้ง ที่ตบเท้าเข้าชิงรางวัลออสการ์ในช่วงต้นปี แล้วจะต้องตบท้ายด้วยของหวานกับหนังฟอร์มยักษ์สนุกๆ ดูสะใจที่จะตามติดกันมาเป็นขบวนอีกเช่นกัน

 

และในปีนี้ก็ถือว่าเป็นโชคดีของแฟนหนัง เพราะเต็มไปด้วยหนังแอ็กชันทั้งภาคเดียวและภาคต่อที่น่าสนใจมาให้ดูกันอย่างจุใจ และคนดูอย่างพวกเราก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เตรียมเงินให้พร้อมแล้วเข้าไปชมอรรถรสจัดๆ ที่หนังจัดให้ก็พอแล้ว

 

 

Ready Player One

ผู้กำกับ: สตีเวน สปีลเบิร์ก

เข้าฉาย: 29 มีนาคม 2561

 

นี่คือหนังแนวดิสโทเปียโลกอนาคตอันแสนวุ่นวายที่น่าสนใจด้วยเหตุผลหลายประการ หนึ่ง คือเป็นผลงานกำกับของพ่อมดแห่งฮอลลีวูดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เราคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้มากความ สอง นี่คือหนังที่สะท้อนสังคมในยุคปัจจุบันได้อย่างสมจริง เพราะตัวเอกในเรื่อง (และอีกหลายๆ คน) เลือกที่จะหลีกหนีความวุ่นวายเข้าไปผจญภัยในโลกออนไลน์เสมือนจริงด้วยเครื่อง VR สุดล้ำ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากคนยุคปัจจุบันที่หลีกหนีความวุ่นวายจากชีวิตจริงเข้าไปอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต และสาม นี่คือหนังที่รวมสุดยอดป๊อป คัลเจอร์ จากยุค 80-90 มาเอาใจชาวเนิร์ดยุคนั้นแบบจุใจ เราจะได้เห็นสิ่งของจากแอนิเมชันและภาพยนตร์ดังๆ มาเข้าฉาก ตั้งแต่มอเตอร์ไซต์จาก Akira, หุ่นยักษ์ The Iron Giant, การต่อสู้ล้ำๆ ใน Tron ไปจนถึงรถเก๋งย้อนเวลาจาก Back to the Future

 

 

Rampage

ผู้กำกับ: แบรด เพย์ตัน

เข้าฉาย: 12 เมษายน 2561

 

อีกหนึ่งเรื่องที่ถูกสร้างโดยได้แรงบันดาลใจจากป๊อป คัลเจอร์ ในยุค 80 โดยยืมคาแรกเตอร์ของลิงยักษ์จอร์จ กิ้งก่ายักษ์ลิซซี่ และราล์ฟหมาป่ายักษ์ จากเกมถล่มเมืองสุดฮิตอย่าง Rampage ที่จะกลับมาสร้างความตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง โดยมี ดเวย์น จอห์นสัน หรือ The Rock ที่กำลังติดลมบนเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดในเวลานี้มาเป็นแกนนำไปสู่การต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากบรรดาสัตว์ประหลาดที่เกิดขึ้นจากการทดลอง ความพิเศษในครั้งนี้คือเจ้าจอร์จกอริลลาผู้แสนดุร้ายในอดีต คราวนี้จะกลายมาเป็นผู้ที่จับมือมนุษย์เพื่อปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ให้ได้

 

 

Avenger: Infinity War

ผู้กำกับ: แอนโทนี รุสโซ และ โจ รุสโซ

เข้าฉาย: 25 เมษายน 2561

 

คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงถ้าจะบอกว่า Avenger: Infinity War คือหนังที่มีคนรอดูมากที่สุดในปี 2018 เพราะนี่คือการรวบรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่จากจักรวาลมาร์เวลมาไว้ในเรื่องเดียวกันมากที่สุดตั้งแต่แฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่นี้เริ่มต้นขึ้นมา โดยคราวนี้สมรภูมิรบจะย้ายไปที่ประเทศวากานดาของราชาเสือดำ Black Panther เพื่อปกป้องหนึ่งใน Infinity Stone จากตัวร้ายที่ขึ้นชื่อว่าทรงพลังที่สุดในจักรวาลอย่างธานอส และถ้าผู้เชี่ยวชาญด้านหนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลหลายคนคาดการณ์ไม่ผิด เราอาจจะต้องบอกลาหนึ่งในตัวละครสำคัญของทีม The Avengers ในภาคนี้ด้วย

 

 

Deadpool 2

ผู้กำกับ: เดวิด ลีตช์

เข้าฉาย: 17 พฤษภาคม 2561

 

ถ้า Avenger: Infinity War คือหนังที่รวมซูเปอร์เอาไว้มากที่สุด Deadpool 2 ก็คือการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของแอนตี้ฮีโร่ที่กวนที่สุดในจักรวาล ภาคต่อของฮีโร่ที่ไม่เพียงต่อสู้กับเหล่าตัวร้าย แต่ยังไม่วายที่จะจิกกัดเสียดสีทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้อย่างออกรส และยังกวนไปถึงตัวอย่างหนังที่แทบไม่ได้บอกเนื้อเรื่องอะไรให้กับคนดูเลย นอกจากความเชื่องช้าของการเปลี่ยนชุดฮีโร่ในตู้โทรศัพท์ที่ทำให้ออกมาช่วยชายแก่ที่ถูกปล้นไม่ทัน แต่เชื่อเถอะว่าการดู Deadpool นั้นไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องอะไรมากหรอก เพราะแค่เข้าไปดูความวายป่วงที่แอนตี้ฮีโร่คนนี้สร้างขึ้นก็สนุกเกินพอแล้ว

 

 

Jurassic World: Fallen Kingdom

ผู้กำกับ: เจ.เอ. บาโยนา

เข้าฉาย: 7 มิถุนายน 2561

 

ถึงแม้ว่าไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์จากโลกไปหลายพันล้านปีแล้วก็ตาม แต่ความคลาสสิกของสัตว์โลกล้านปีก็ยังทำให้ Jurassic World: Fallen Kingdom คือหนังแฟรนไชส์ที่ยังทำเงินได้อย่างมหาศาลมาจนถึงทุกวันนี้ โดยความน่าสนใจของภาคนี้อยู่ที่ ภารกิจหลักของมนุษย์ทุกคนไม่ใช่แค่ ‘วิ่งหนี’ ไดโนเสาร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการปกป้องและ ‘อพยพ’ เหล่าไดโนเสาร์ที่ต้องหนีตายเพื่อรักษาชีวิตจากการระเบิดของภูเขาไฟยักษ์โดยกลุ่ม ‘ผู้พิทักษ์ไดโนเสาร์’ แทน

 

 

Skyscraper

ผู้กำกับ: รอว์สัน เอ็ม. เทอร์เบอร์

เข้าฉาย: 12 กรกฎาคม 2561

 

เป็นครั้งที่สองของปีที่คนดูจะได้เห็นกล้ามแขนล่ำๆ ของ ดเวย์น จอห์นสัน หลังจากไปร่วมปกป้องโลกกับลิงยักษ์คู่ใจใน Rampage คราวนี้เขาต้องรับบทเป็นหัวหน้าทีมช่วยเหลือตัวประกันแห่ง FBI ที่มีภารกิจช่วยเหลือผู้คนรวมทั้งคนในครอบครัวที่ติดอยู่ในตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศจีน โดยมี ‘เปลวเพลิง’ ที่โหมกระหน่ำเป็นเสมือนอาชญากรตัวร้ายที่จับทุกคนเป็นตัวประกัน

 

 

Mission Impossible: Fallout

ผู้กำกับ: คริสโตเฟอร์ แม็กควอรี

เข้าฉาย: 26 กรกฎาคม 2561

 

หลังพาตัวเองไปเจ็บตัวในเรื่อง The Mummy ไปเมื่อปีที่แล้ว คราวนี้ ทอม ครูซ ขอหนีจากการตามล่าในทะเลทราย กลับมาปีนตึกขึ้นเฮลิคอปเตอร์ในบทบาท อีธาน ฮันต์ สายลับจอมโลดโผนจากหน่วย MI6 ที่เขาคุ้นเคยและทำได้ดีที่สุดอีกครั้ง และจะเป็นการกลับมาที่ดิบและดุมากกว่าที่เคย ถึงแม้ว่าล่าสุดยังไม่มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องย่ออย่างเป็นทางการ แต่อย่างน้อยแฟนหนัง Mission Impossible ก็พออุ่นใจได้เพราะมีการรวมตัวละครอันเป็นที่รักและชังจากภาคก่อนๆ มารียูเนี่ยนกันแบบจุใจและบู๊สนั่นจออีกแน่นอน

 

SF Movie Club Card มี 4 ลายให้เลือกสะสม

 

และเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับกระเป๋าสตางค์ของคนรักหนังมากนัก เราขอแนะนำตัวช่วยที่จะเพิ่มความคุ้มค่าในการดูหนังทุกเรื่องทุกรสชาติให้กับทุกคน ด้วยการสมัครสมาชิก SF Movie Club Card บัตรใบเดียวที่ทำให้คอหนังได้ทั้งความบันเทิงและอิ่มอร่อย โดยใช้จ่ายผ่านบัตรได้ทั้งการจองตั๋วภาพยนตร์ไปจนถึงการซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากเคาน์เตอร์หน้าโรง มีไฮไลต์เด็ดอยู่ที่ General Member คือยิ่งดูมาก ยิ่งลดมาก เพียงแค่ดูหนังครบ 5 เรื่องขึ้นไป SF จะปรับระดับสมาชิกของคุณเป็น Silver เมื่อครบ 12 เรื่องจะเป็น Gold และเมื่อดูหนังครบ 18 เรื่องจะเป็น Platinum ตามลำดับโดยอัตโนมัติ เพื่อรับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษที่เพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่เข้าโรง

 

สมัครได้แล้ววันนี้ที่โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ ทุกสาขา ดูรายละเอียดบัตรเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/2ueJrJg      

The post บู๊กันสนั่นโรงกับ 7 หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ต้อนรับช่วงเทศกาลหนังฤดูร้อน [Advertorial] appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/7-action-movies-summer-film-festival/feed/ 0
เด็กน้อยช่วยชีวิตน้องชายด้วยการทำ CPR ที่จำมาจากหนัง The Rock! https://thestandard.co/the-rock-boy/ https://thestandard.co/the-rock-boy/#respond Mon, 28 Aug 2017 13:58:38 +0000 https://thestandard.co/?p=22857

     ใครจะไปรู้ว่าการดูภาพยนตร์มีประโยชน […]

The post เด็กน้อยช่วยชีวิตน้องชายด้วยการทำ CPR ที่จำมาจากหนัง The Rock! appeared first on THE STANDARD.

]]>

     ใครจะไปรู้ว่าการดูภาพยนตร์มีประโยชน์ถึงขั้นช่วยชีวิตคนได้

     เมื่อเด็กชายอายุเพียง 10 ขวบ Jacob O’Connor ผู้ชื่นชอบภาพยนตร์แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์ ‘San Andreas’ เป็นชีวิตจิตใจจนจดจำซีนในหนังได้ เขาเลียนแบบการช่วยชีวิตคนของนักแสดงนำ ‘The Rock’ หรือ Dwayne Johnson และช่วยชีวิตน้องชายวัย 2 ขวบของตัวเองจากการจมน้ำได้

 

 

     เด็กชาย Jacob O’Connor ที่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลน้องชายวัย 2 ขวบที่นอนอยู่ในบ้าน แต่เขากลับพบประตูบานเลื่อนถูกเปิดทิ้งไว้ เมื่อรีบวิ่งไปที่สระว่ายน้ำของบ้าน เขาพบรองเท้าของน้องชาย Dylan ลอยอยู่ในสระ ก่อนที่จะพบร่างของดีแลนจมน้ำอยู่ จาค็อบรีบอุ้มน้องขึ้นมา และนึกถึงซีนจากหนัง San Andreas ที่เขาเพิ่งดูเมื่ออาทิตย์ก่อนทันที

     ในภาพยนตร์ San Andreas เล่าเหตุการณ์ของภัยทางธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ คาแรกเตอร์ของ Ray ที่รับบทโดย Dwayne Johnson อุ้มลูกสาวที่จมน้ำ และช่วยชีวิตเธอด้วยการทำ CPR จนทำให้เด็กสาวในเรื่องรอดชีวิต จาค็อบจดจำซีนนั้นได้อย่างดี เขาจึงเลียนแบบวิธีการทำ CPR ของ The Rock เพื่อช่วยชีวิตน้องชาย

 

Photo: www.washingtonpost.com

 

     จาค็อบให้สัมภาษณ์กับ The Washington Post ว่า เมื่อเกิดเรื่อง ซีนจากหนัง San Adreas ก็โผล่เข้ามาในหัว เขาจึงรีบกดหน้าอกน้องชายทันที จาค็อบออกแรงกดแล้วกดอีก จนกระทั่งเสียงหัวใจของดีแลนดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสำลักน้ำออกมา ซึ่งก็ทำให้น้องชายของเขารอดชีวิต ฟื้นตัวกลับสู่สภาพปกติหลังเกิดเหตุการณ์ฝันร้ายนี้ขึ้น และตัวจาค็อบเองก็กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในโลกอินเทอร์เน็ตชั่วข้ามคืน

 

 

     หลังจากที่แม่ของจาค็อบ และดีแลน Christa O’Connor ให้ข้อมูลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น C&G Newspapers ข่าวของหนูน้อยฮีโร่คนนี้ก็ถูกตีพิมพ์ไปทั่วสหรัฐอเมริกา และถูกแชร์ทั่วอินเทอร์เน็ตเช่นเดียวกัน ฝ่าย The Rock หรือ Dwayne Johnson ที่ทราบข่าวก็ออกมาเขียนชื่นชมจาค็อบผ่านทางทวิตเตอร์ของเขา เขาทั้งชื่นชมตัวหนุ่มน้อยจาค็อบ และยังขอบคุณสื่อต่างๆ ที่นำเสนอข่าวที่ดีและสร้างแรงบันดาลใจ จนทำให้ครอบครัว O’Conner ได้รับความสนใจจากสำนักข่าว และรายการทีวีมากมาย รวมทั้ง Good Morning America และ Ellen DeGeneres

     นอกจากนี้ The Rock ยังโพสต์วิดีโอลงในอินสตาแกรมส่วนตัวของเขาเพื่อชื่นชมการกระทำของจาค็อบ และชวนครอบครัว O’Connor มาที่เมืองแวนคูเวอร์ เพื่อเยี่ยมชมกองถ่าย ‘Skyscraper’ ที่จะฉายในปี 2018 อีกด้วย นอกจากนี้ The Rock ยังชวนพวกเขามา Meet & Greet แบบส่วนตัว และยังเปรียบเทียบกองถ่ายของเขาว่าเป็น ‘Willy Wonka and the Chocolate Factory’ สำหรับเด็กๆ อีกด้วย ถือว่าเป็นรางวัลที่ฮีโร่วัย 10 ขวบคู่ควรแก่การได้รับจริงๆ 🙂

 

https://www.instagram.com/p/BYPUss4FmE6/

 

The post เด็กน้อยช่วยชีวิตน้องชายด้วยการทำ CPR ที่จำมาจากหนัง The Rock! appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/the-rock-boy/feed/ 0