Sharing Economy – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Fri, 28 Dec 2018 06:08:33 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Xiaozhu ผู้ให้บริการแบบเดียวกับ Airbnb ในจีน เตรียมนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้ยกระดับความปลอดภัย https://thestandard.co/chinese-home-sharing-site-xiaozhu-roll-out-facial-recognition-enabled/ https://thestandard.co/chinese-home-sharing-site-xiaozhu-roll-out-facial-recognition-enabled/#respond Fri, 28 Dec 2018 06:06:11 +0000 https://thestandard.co/?p=172306

Xiaozhu ผู้ให้บริการให้เช่าที่พักแบบ Sharing Economy ใน […]

The post Xiaozhu ผู้ให้บริการแบบเดียวกับ Airbnb ในจีน เตรียมนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้ยกระดับความปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>

Xiaozhu ผู้ให้บริการให้เช่าที่พักแบบ Sharing Economy ในประเทศจีน (โมเดลคล้ายกับ Airbnb) เตรียมนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าเข้ามาใช้ระบุตัวตนผู้เข้าพัก, เช็กอินเข้าที่พัก เพื่อเสริมมาตรการความปลอดภัยของผู้ให้เช่า โดยอิงข้อมูลจากแบล็กลิสต์บัญชีผู้ใช้งานที่ไม่น่าไว้ใจ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นซอฟต์แวร์จากอาลีบาบา (Alibaba) อีคอมเมิร์ซที่เพิ่งลงทุนใน Xiaozhu ไป 300 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

เบื้องต้นคาดการณ์ว่าการนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้กับที่พักของ Xiaozhu ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการทดสอบในระยะแรก โดย 80% ของบ้านที่เข้าร่วมแพลตฟอร์ม Sharing Economy ในเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน จะได้เข้าร่วมโครงการไพลอตนี้ในปีหน้า พร้อมติดตั้งระบบความปลอดภัยอื่นๆ เช่น ระบบตรวจจับควันและแก๊ซ, สัญญาณป้องกันขโมยในอพาร์ตเมนต์

 

เคลวิน เฉิน ฉี ผู้บริหาร Xiaozhu กล่าวว่า “ไม่กี่ปีที่แล้ว สิ่งที่เรากังวลคือคนอาจจะไม่ต้องการแชร์บ้านของพวกเขากับคนแปลกหน้า แต่ตอนนี้ ธุรกิจนี้กำลังยกระดับขึ้นมาเป็นภาคอุตสาหกรรม ฉะนั้นเราจึงต้องดำเนินการอย่างจริงจังมากขึ้น (แก้ไขมาตรการรักษาความปลอดภัย) เพื่อลดข้อกังวลของทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

 

ทั้งนี้สื่อท้องถิ่นอย่าง South China Morning Post เชื่อว่า แผนยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยของ Xiaozhu สอดคล้องกับแผนการควบคุมธุรกิจ Sharing Economy ให้เช่าที่พักด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของรัฐ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มณฑลเจ้อเจียงได้ออกกฎข้อบังคับให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเช่าที่พักทั้งระยะยาวและระยะสั้นต้องยื่นข้อมูลให้เช่าอพาร์ตเมนต์ ชื่อผู้ให้เช่า และชื่อแขกที่เข้าพักกับหน่วยงานความมั่นคงท้องถิ่น เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคมเป็นต้นไป

 

ขณะที่ธุรกิจ Sharing Economy ประเภทอื่นอย่าง Didi ก็เริ่มนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าเข้ามาทยอยใช้งานแล้วเหมือนกันด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เกิดคดีสะเทือนขวัญคนขับลักพาตัวผู้โดยสารหญิงวัย 21 ปีไปข่มขืนก่อนลงมือฆาตกรรม

 

ปัจจุบัน Xiaozhu มีผู้ใช้บริการแบบแอ็กทีฟยูสเซอร์ที่ 500,000 ราย โดยเมื่อปีที่แล้วรายงานจากจีนระบุว่า พลเมืองจีนกว่า 78 ล้านรายทั่วประเทศที่เป็นทั้งผู้ให้เช่าและแขกผู้เข้าพัก มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ผลักดันให้ธุรกิจ Sharing Economy ให้เช่าที่พักมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 14,500 ล้านหยวน โดยคาดการณ์กันว่ามูลค่าตลาดในปี 2020 จะเพิ่มเป็น 50,000 ล้านหยวนภายในปี 2020 ได้ไม่ยาก

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post Xiaozhu ผู้ให้บริการแบบเดียวกับ Airbnb ในจีน เตรียมนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้ามาใช้ยกระดับความปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/chinese-home-sharing-site-xiaozhu-roll-out-facial-recognition-enabled/feed/ 0
Airbnb เตรียมดีไซน์ต้นแบบที่พักอาศัยคอนเซปต์ Sharing Homes เริ่มปีหน้า https://thestandard.co/airbnb-sharing-homes/ https://thestandard.co/airbnb-sharing-homes/#respond Fri, 30 Nov 2018 05:45:42 +0000 https://thestandard.co/?p=156339

ดูเหมือนว่า Airbnb ผู้ให้บริการ Sharing Economy ในกลุ่ม […]

The post Airbnb เตรียมดีไซน์ต้นแบบที่พักอาศัยคอนเซปต์ Sharing Homes เริ่มปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>

ดูเหมือนว่า Airbnb ผู้ให้บริการ Sharing Economy ในกลุ่มที่พักอาศัยจะปิ๊งไอเดียต่อยอดธุรกิจของตัวเองแล้ว เมื่อทีมผู้บริหารได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Fast Company ว่าเตรียมจะออกแบบบ้านและที่พักอาศัยในคอนเซปต์ Sharing Homes ในชื่อ ‘Backyard’ เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป

 

Airbnb ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2008 หรือ 10 ปีที่แล้ว เป็นผู้ให้บริการ Sharing Economy กลุ่มให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบ Peer-to-Peer รับหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มจัดหาผู้ให้เช่าที่พักและผู้เช่าที่พัก ปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก วัดจากการประเมินมูลค่าของบริษัทโดย Forbes ซึ่งเชื่อว่าอาจจะสูงถึง 38,000 เหรียญสหรัฐ, รายรับรวมของบริษัทเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมาที่ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ​ (ประมาณ 85,560 ล้านบาท), การขยายพื้นที่บริการครอบคลุมในหลายๆ ประเทศ และความพร้อมของบริษัทที่เปรยไว้ว่าอาจจะนำ Airbnb เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2019

 

แต่เพราะองค์กรใดก็ตามที่หวังพึ่งรายได้จากผลิตภัณฑ์หรือบริการเพียงช่องทางเดียว และไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา ก็อาจจะทำให้องค์กรเหล่านั้นเติบโตได้ไม่ยั่งยืน โจ เกบเบีย ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทจึงตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า ‘นวัตกรรมต่อไปของ Airbnb ควรจะเป็นอะไร’

 

จากคำถามในใจของโจ จึงนำไปสู่โปรเจกต์ใหม่ในปี 2019 ของ Airbnb อย่าง Backyard ที่เชื่อกันว่าจะเป็นการดีไซน์ต้นแบบที่พักอาศัยแนว Sharing Homes โดยโจย้ำว่าจะไม่ใช่การสร้างบ้าน แต่เป็นการเปลี่ยนแนวคิดของมันเสียใหม่ ไม่ใช่การออกแบบเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการออกแบบระบบที่สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง

 

“Backyard คือการสำรวจว่าอาคารสิ่งปลูกสร้างสามารถใช้ประโยชน์จากเทคนิคการก่อสร้างที่ซับซ้อน เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ รวมถึงข้อมูลเชิงลึกจากชุมชนของ Airbnb ได้อย่างไร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเจ้าของที่พักและผู้เช่าที่พักอาศัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”

 

มาร์ก วิลสัน นักเขียน Fast Company ที่มีโอกาสได้คุยกับโจ เกบเบีย บอกว่า แม้เจ้าตัวจะยังไม่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่แน่ชัดของ Backyard แต่ก็พอจะอนุมานได้เบื้องต้นว่าโปรเจกต์นี้จะเป็นการออกแบบพื้นที่สำหรับการใช้งานร่วมกัน เป็นที่พักอาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้เช่าแต่ละราย รวมถึงอาจจะเป็นช่องทางลงทุนสำหรับผู้ที่อยากลองทำธุรกิจให้เช่าที่พัก

 

เมื่อถามถึงแผนการดำเนินการทางธุรกิจ โจบอกว่าอยากเห็น Backyard เติบโตในระดับที่เทียบเท่ากับ Airbnb เหมือนกัน “เรากำลังเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพของ Backyard พวกเราสนใจในการสำรวจคิดหาโอกาสการทำสิ่งต่างๆ ในเชิงการทรานส์ฟอร์ม คล้ายๆ กับที่ Airbnb ได้ทำตอนที่เริ่มกิจการ”

 

ทั้งนี้ คาดการณ์เอาไว้ว่าเราน่าจะได้เห็นทีมพัฒนาโปรเจกต์ Backyard เริ่มทดสอบโครงการในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2019 เป็นต้นไป (กันยายนถึงธันวาคม)

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

The post Airbnb เตรียมดีไซน์ต้นแบบที่พักอาศัยคอนเซปต์ Sharing Homes เริ่มปีหน้า appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/airbnb-sharing-homes/feed/ 0
เปิดใจลุงเนวิน: โชคดีที่เลิกเล่นการเมือง กับความสุขในวันที่ได้ตอบแทนบุรีรัมย์บ้านเกิด https://thestandard.co/newin-chidchob/ https://thestandard.co/newin-chidchob/#respond Fri, 07 Sep 2018 01:54:23 +0000 https://thestandard.co/?p=119515

มากกว่าหนึ่งทศวรรษที่ ‘เนวิน ชิดชอบ’ เจนจัดอยู่ในเวทีกา […]

The post เปิดใจลุงเนวิน: โชคดีที่เลิกเล่นการเมือง กับความสุขในวันที่ได้ตอบแทนบุรีรัมย์บ้านเกิด appeared first on THE STANDARD.

]]>

มากกว่าหนึ่งทศวรรษที่ ‘เนวิน ชิดชอบ’ เจนจัดอยู่ในเวทีการเมือง และเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้วเช่นกันที่เขาประกาศตัวลงจากเวที แต่ไม่ได้หายไปจากหน้าสื่อ ด้วยหน้าที่บริหารทีมฟุตบอลและพัฒนาบุรีรัมย์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะส่งเสริมการท่องเที่ยวยังคงถูกพูดถึงเรื่อยมา

 

วันนี้กับปีที่ 9 ของการสร้างบุรีรัมย์ และยังเป็นปีที่ 2 ที่ได้รับการเหลียวแลจาก ‘อำนาจรัฐ’ เข้ามาส่งเสริมการท่องเที่ยว

 

แม้จะได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าอำนาจรัฐ แต่ ‘ลุงเนวิน’ ก็เห็นอีกด้านของอำนาจรัฐที่ลิดรอนสิทธิในการทำมาหากินโดยสุจริตของประชาชน เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง

 

ทำให้วันนี้ข้อเสนอทางการเมืองของลุงเนวินคือ Sharing Economy ซึ่งมาจากประสบการณ์ที่ต้องเตรียมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาชมโมโตจีพี (MotoGP) บวกกับการที่ภาครัฐส่งเสริมให้บุรีรัมย์เป็น 1 ใน 12 เมืองรอง เมืองท่องเที่ยวต้องห้ามพลาด

 

ทว่าบุรีรัมย์ที่มีไฟลต์บินต่อวันถึง 10 ไฟลต์ แต่นักท่องเที่ยวกลับต้องเจอกับแท็กซี่รองรับเพียง 15 คัน ตลอดจนทั้ง 12 เมืองรองทั่วไทยต่างก็ขาดบริการขนส่งสาธารณะที่เพียงพอ

 

นำมาสู่ข้อเสนอการเปิดโอกาสให้ Grab และ Uber สามารถเกิดได้ง่ายและแพร่หลายขึ้น ต่อเนื่องถึงที่พัก ห้องเช่า ทำอย่างไรถึงจะดึงศักยภาพของประชาชนเจ้าของจังหวัดให้ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวแบบ win-win

 

“รัฐบาลรู้จักคำว่า Airbnb ไหม นึกออกไหม” เป็นอีกคำถามดังๆ จากลุงเนวินวันนี้ ที่ส่งตรงถึงผู้ถืออำนาจรัฐ

 

“ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” คลายกฎหมายที่เป็นอุปสรรคคือส่วนหนึ่งของข้อเสนอลดอำนาจรัฐจากลุงเนวินถึง ‘ลุงตู่’

 

และนี่คือ เนวิน ชิดชอบ เจ้าของสโลแกนที่หลายคนบอกว่า หากได้ชิดจะยิ่งชอบ ซึ่งเปิดใจกับ THE STANDARD ในรอบหลายปีที่ว่างเว้นจากการให้สัมภาษณ์แบบเดี่ยวๆ มานาน

 

Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP

 

เปิดตัวตน เนวิน ชิดชอบ จากปากเนวิน

ถ้าต้องการรู้ว่าใครสักคนเป็นคนแบบไหน ถ้าฟังจากคนอื่นพูดถึงคนคนนั้นเราอาจเลือกที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้

 

ขณะที่การฟังเจ้าตัวพูดถึงตัวเองก็ดูจะเป็นเรื่องประหลาดไปในที เพราะทุกคนล้วนแต่เลือกที่จะพูดถึงข้อดีของตัวเอง

 

แต่ถึงกระนั้นการให้ใครสักคนนิยามตัวเองย่อมเป็นเครื่องพันธนาการตัวเขาถึงข้อเท็จจริงบางอย่าง ที่สามารถใช้ชั่งน้ำหนักตัวตนคนคนนั้นได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

 

เนวิน ชิดชอบ นิยามตัวเองจากปากของตัวเองว่า

 

“ถ้าคอการเมืองก็บอกว่าเราเป็นนักการเมืองเจ้าเล่ห์ นักการเมืองที่น่ารังเกียจ คนที่แม่ง โอ้โห คบไม่ได้ คนเนรคุณ อะไรสารพัดล่ะ ไอ้ที่ไม่ดีทั้งหมดคือเนวิน ในคอการเมือง ในพาร์ตการเมือง นี่คือเนวิน แต่ถ้าเป็นแฟนฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผมก็เป็นความหวัง ความศรัทธา อะไรที่เป็นความสุขของแฟนฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด”

 

โชคดีเลิกเล่นการเมือง ลูกร้องไห้เพื่อนไม่คบ พ่อเป็นเสื้อแดง

นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 เขายังมีบทบาททางการเมืองร่วมกับพรรคพลังประชาชน แต่ในงานวันเกิดของเนวินเมื่อปี 2555 ที่บ้านบุรีรัมย์ เขาได้ประกาศชัดเจนว่า ‘ขอวางมือทางการเมือง’ และขอตั้งเป้าหมายการใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข

 

โดยจะให้เวลากับฟุตบอล 70% และมอเตอร์ไซค์ 30% และเนวินก็เดินหน้าพัฒนาทีมฟุตบอลและจังหวัดบุรีรัมย์แบบก้าวกระโดด สำเร็จเสร็จสม ทั้งแชมป์และเมืองใหญ่ที่มีอะไรให้ผู้คนต้องมาเยือน

 

การตัดสินใจแขวนนวมลงจากเวทีการเมืองของเนวิน เขาบอกว่านับเป็น ‘โชคดี’

 

“วันที่ตัดสินใจ พวกลูกๆ ไปเรียนหนังสือ แล้วบ้านเมืองตอนนั้นกีฬาสีกำลังวุ่นวาย”

 

เนวินบอกว่าตัวเองเคยคิดไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าจะเลิกเล่นการเมือง รีไทร์ตัวเองในวัย 55 ปี แต่การรัฐประหารโดย คมช. ที่นำโดย บิ๊กบัง พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน มีส่วนทำให้เขาต้องเลิกเล่นการเมืองเร็วขึ้น

 

“โอ้โห แม่ง กูอยู่คนเดียว หาคนคุยด้วยก็ไม่ได้ ไม่เจอใคร 10 วัน 11 คืน ไม่รู้จะได้กลับบ้านหรือเปล่า แต่ก็รอดมาถึงทุกวันนี้ได้ แต่มันก็ทำให้เราได้คิดอะไรเยอะ แล้วก็พอโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ก็ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้บ๊ายบายกับการเมืองเลย”

 

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญ เพราะเหตุผลหลักที่ทำให้เนวินตัดสินใจเลิกเล่นการเมืองก็คือ ‘ครอบครัว’ เมื่อลูกไปโรงเรียนแล้วกลับมาร้องไห้ บอกว่าไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว

 

“ผมถามลูกว่า เกิดอะไรลูก ได้คำตอบว่าเพื่อนที่โรงเรียนพักเที่ยงไม่ยอมเล่นด้วย เพราะพ่อเป็นเสื้อแดง หนูเสื้อเหลือง แล้วถ้ามันระบาดไปถึงเด็กที่เรียนอยู่ ประมาณ Year 3 Year 4 เนี่ย คนเป็นพ่อเป็นแม่รู้สึกอย่างไร ไม่ไหวนะบ้านเมือง ผมบอกตัวเองกูไม่เอาแล้ว มันไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าครอบครัวหรอก ถ้าของแค่นี้เรายังให้ลูกเราไม่ได้ ความสุขแค่นี้เราให้ลูกเราไม่ได้ เราปกป้องลูกเราไม่ได้ จะมีปากมาบอกว่ามึงเป็นนักการเมือง เล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน จะรักษาประโยชน์ ตอแหลทั้งหมด เพราะขนาดลูกมึงยังดูแลไม่ได้ ไม่รู้จักที่จะให้เขาเลย แล้วจะให้คนอื่นได้อย่างไร”

 

 

ถ้ามีคนมาชวนหวนคืนการเมือง เนวินตอบชัด ‘ไม่ไป’ ขอเป็นแค่ ‘ลุงเนวิน’

จับเข่าคุยกับเนวินถึงชีวิตการเมืองในวันแขวนนวม ก็ยากที่จะไม่ถามถึงอนาคตการเมืองของประเทศนี้ในฐานะคนที่เจนจัดอยู่บนเวทีมาอย่างโชกโชน

 

“ไม่รู้” คือคำตอบจากปากของเขา เมื่อถามถึงอนาคตการเลือกตั้งของไทยที่เลื่อนไปเลื่อนมา

 

“ไม่ไป” คือคำยืนยันแทบจะทันทีถึงสถานะตัวเองที่จะไม่ขอเกี่ยวข้องกับการเมืองอีก

 

“มานั่งคุยกัน มาถามกัน ไม่ต้องมาตั้งหรอก คนเราไม่ต้องมีตำแหน่งถึงจะทำงานได้ วันนี้ผมสร้างบุรีรัมย์มา 9 ปี ผมเป็นแค่ลุงเนวิน ผมไม่ได้เป็นท่านรัฐมนตรี เป็นห่าเหวอะไร เอาแค่นี้” เนวินตอบชัดๆ ขึ้นอีก

 

 

9 ปีสู่การทำให้ 800 ล้านคนทั่วโลกรู้จักบุรีรัมย์ ไทยแลนด์

ตลอด 9 ปีของการสร้างทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยการนำระบบบริหารจัดการสโมสรฟุตบอลอาชีพเข้ามาใช้กับบริษัท จนสามารถพัฒนาและคว้าแชมป์ลีกได้ทุกถ้วย

 

เท่านั้นยังไม่พอ ในปี 2557 เนวินประกาศพัฒนาเมืองบุรีรัมย์สู่เมืองกีฬามาตรฐานโลก สร้างสนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ลั่นวาจาขอยกระดับเมืองบุรีรัมย์สู่การเป็นมหานครแห่งกีฬาระดับโลก

 

ปี 2561 เดือนตุลาคมที่กำลังจะถึงนี้ ไทยกำลังจะมีอีเวนต์ใหญ่ระดับโลกอย่างโมโตจีพี ที่เป็นอีกหนึ่งความฝันของเนวิน ชิดชอบ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นที่บุรีรัมย์ และทำให้คนกว่า 800 ล้านคนรู้จัก ‘บุรีรัมย์ ไทยแลนด์’

 

“อีเวนต์ในโลกนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หนึ่งคือฟุตบอลโลก 3 พันล้านคนที่ดู ยิ่งใหญ่มาก รัสเซียเจ้าภาพลงทุนเป็นแสนล้าน อีเวนต์ที่ใหญ่อันดับสองก็คือโอลิมปิก ที่คนดูเยอะที่สุด อันดับสามคือโมโตจีพี”

 

เนวินบอกว่าคนดูโมโตจีพีมากกว่าฟอร์มูลาวัน “รู้ไหมทำไมมันมากกว่าเยอะ เพราะคนดูฟอร์มูลาวันดูครั้งเดียว แค่ครั้งหนึ่งในชีวิต เหมือนหมาเห็นเครื่องบิน กูไม่มีโอกาสได้ขึ้นหรอก แต่โมโตจีพีมันจับต้องได้มากกว่า”

 

“แล้วเราชอบโดยส่วนตัว มีแพสชันกับมันอยู่แล้ว เราก็ประกาศว่า ครั้งหนึ่งสร้างเสร็จ สนามนี้จะต้องแข่งฟอร์มูลาวันหรือโมโตจีพีให้ได้ ครั้งหนึ่งในชีวิต นี่คือความตั้งใจ ความมุ่งมั่นในการสร้างเซอร์กิตหนึ่งเซอร์กิตขึ้นมา

 

“มันไม่ใช่ความสำเร็จของผม แต่เป็นสิ่งที่เราอยากตอบแทนเมืองนี้ ถ้าถามว่า เฮ้ย เราทำทุกอย่างมาใน 8-9 ปี ถามว่าความสำเร็จทั้งหมดมันคืออะไร ความสำเร็จทั้งหมดก็คือมันพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้พระเจ้าจะไม่มีทะเลให้กับบุรีรัมย์ ไม่มีภูเขาให้กับบุรีรัมย์ แต่เราก็สามารถทำให้เมืองของเรากลายเป็นหนึ่งใน destination ของประเทศนี้ได้ แล้วมันก็เป็นหนึ่งใน destination ของโลก สำหรับวงการมอเตอร์สปอร์ต”

 

Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP

 

พี่ได้ตอบแทนเมืองนี้แล้ว ไม่ว่าจะเคยทำอะไรไว้

ความสำเร็จของเนวิน นอกจากตัวตนของเขาที่เป็นคนมีพลังมหาศาล ผนวกกับอภิมหาคอนเน็กชัน ความน่าสนใจของสิ่งที่เขาลงมือทำมาจาก Creative บวกกับ Sharing Economy นั่นคือสองอย่างที่เนวินบอกว่านำพาเขาและบุรีรัมย์มาจนถึงวันนี้

 

“เพื่อทำให้คนบุรีรัมย์ได้ประโยชน์ นั่นคือ Sharing Economy เราทำให้ทุกคนเดินเข้ามาจับมือกัน แล้วช่วยกันทำ เราเริ่มตั้งแต่วันที่ไม่ถึง 5 แสนคน วันนี้เรามี 3 ล้านคน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็เข้ามาบอกว่าเป็น 12 เมืองต้องห้ามพลาด ก็ไม่เป็นไร ก็ขอบคุณ 7 ปีที่ไม่เห็น ปีที่ 8 มาเห็น ก็โอเคแล้ว ก็ทำให้เมืองมันยิ่งโตขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น และมันก็ทำให้ปีที่ 9 มันได้โมโตจีพีมา ถามว่ามันได้อะไรมาบ้าง ผมเชื่อว่าวันนี้มีคนไม่ต่ำกว่า 800 ล้านคนรู้จักบุรีรัมย์ ไทยแลนด์ พี่ถามคำเถอะ การที่เราจะทำให้คน 800 ล้านคนรู้จักโปรดักต์สักตัวหนึ่งมันต้องทำขนาดไหน”

 

เนวินบอกว่าวันนี้เขาทำสำเร็จ คนบุรีรัมย์ทำสำเร็จ โปรดักต์ที่ชื่อ ‘บุรีรัมย์ ไทยแลนด์’ เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก

 

“นี่คือสิ่งที่พี่ตอบแทนเมืองนี้ ไม่ว่าพี่จะเคยทำดี ทำถูก ทำผิด บาปกรรมอะไรไว้กับเมืองนี้ก็ตามแต่ อย่างน้อยที่สุดพี่ก็ได้ตอบแทนเมืองนี้แล้ว ทำให้มีคนไม่น้อยกว่า 800 ล้านคนรู้จักเมืองนี้ และมาถึงวันนี้ก็ทำให้คนไม่น้อยกว่า 3 ล้านคนมาเที่ยวเมืองนี้ในแต่ละปี คิดง่ายๆ คนหนึ่งมาใช้เงิน 3,000 บาทพอ อย่าไปพูดถึงจำนวนเงินเยอะแยะ ซึ่งจริงๆ เขาใช้เยอะกว่านี้ ปีหนึ่งก็มีเงินจากการท่องเที่ยวหลายพันล้าน มันไม่ได้เข้ากระเป๋าพี่

 

“คนบุรีรัมย์ทำด้วยตัวเอง ก้มหน้าก้มตา ภาคเอกชนกับประชาชนจับมือกันทำด้วยความเชื่อในสิ่งที่ผมทำ ผมทำให้ทุกคนเห็นว่า เฮ้ย ที่ทำทั้งหมดเนี่ยไม่ใช่เพื่อให้นายเนวินคนเดียว แต่เพื่อทุกคน”

 

Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP

 

ต้องให้ประชาชนทำมาหากินยั่งยืนและต่อเนื่องด้วย Sharing Economy

ข้อเสนอของเนวินเพื่อให้อนาคตไทยสามารถเดินไปด้วยความยั่งยืนและต่อเนื่องคือ ลดอำนาจรัฐ แก้ไขกฎหมายที่จำกัดการทำมาหากิน คือคำตอบเพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของเมืองท่องเที่ยว

 

“หลายเมืองมันประสบความสำเร็จมาแล้วมันก็อยู่ได้ไม่ยั่งยืน เป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนไปเที่ยวสักพักแล้วไม่ไปเที่ยว รู้ไหมสาเหตุสำคัญที่มันไม่ยั่งยืนสาเหตุเกิดจากอะไร

 

“อำนาจรัฐนี่แหละ อำนาจรัฐทำให้เกิดการผูกขาดของผลประโยชน์ที่เกิดจากการเป็นเมืองท่องเที่ยว อำนาจรัฐทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพของประชาชนในเมืองท่องเที่ยว”

 

เนวินบอกว่ารัฐออกกฎห้ามเยอะแยะไปหมด แทนที่จะเป็นเรื่องการอำนวยความสะดวก กลับกลายเป็นการไปฉุดความต่อเนื่องของการพัฒนาไว้

 

“เยอะแยะไปหมดเลย แล้วพอรายได้จากการท่องเที่ยวมันไปตกกับนายทุน เช่นเมืองเกือบทุกเมือง ประชาชนไม่มีความรู้สึกมีส่วนร่วมกับนักท่องเที่ยว ไม่ได้เทกแคร์ปกป้องนักเที่ยวเที่ยวเพราะอะไร เพราะกูไม่ได้อะไร กูได้น้อยมาก กูไม่ใช่เจ้าของโรงแรม เจ้าของภัตตาคาร กูไม่ใช่เจ้าของบริษัทรถให้เช่า แล้วกูจะต้องไปเดือดร้อนอะไร มีแต่พวกนี้มาเที่ยวแล้วทำให้ทรัพยากรในบ้านเมืองถูกใช้โดยที่เขาไม่ได้อะไร ทีนี้อำนาจรัฐไปเป็นปัญหาแล้วทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน วันนี้สิ่งที่ตั้งใจและรักษาเมืองนี้ให้เติบโตและยั่งยืน มันต้องหาวิธีที่จะทำยังไงที่จะลดอำนาจรัฐ แล้วก็เพิ่มอำนาจประชาชน”

 

การลดอำนาจรัฐในแบบฉบับของเนวิน คือการลดอำนาจรัฐที่ไปลิดรอนสิทธิการทำมาหากินของประชาชนโดยสุจริต

 

“เมืองบุรีรัมย์วันนี้มีโรงแรม 5,000 ห้องภายใน 8 ปี มันก็ยังไม่เพียงพอหรอกสำหรับการไปรับโมโตจีพีหรืออีเวนต์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างบุรีรัมย์มาราธอนหรืออะไร แต่ว่า แล้วทำอย่างไรถ้าเราอยากให้คนมาเที่ยวมาก 10 ล้านคนต่อปี ต้องสร้างโรงแรมอีกหรือ มันไม่ใช่ไง วันนี้รัฐบาลรู้หรือเปล่าว่าโฮมสเตย์น่ะชาวบ้านเขามีเต็มไปหมดเลย

 

“รัฐบาลรู้จักคำว่า Airbnb ไหม นึกออกไหม คนบุรีรัมย์ 1 ล้าน 6 แสนคน โดยเฉลี่ยมีบ้าน หลังคาหนึ่ง 5 คน ก็มีบ้าน 3 แสนหลัง เอาว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของเขา 3 หมื่นหลัง มนุษย์ทุกคน คนอยู่ต่างจังหวัด หนึ่ง จะต้องมีบ้านสวน อยู่ท้ายนาบ้าง หรือว่าบางคน บ้านสร้างไว้ 4 ห้องนอน ตัวเอง 2 คนตายายอยู่ 2 ห้องนอน เหลืออีก 2 ห้องนอน เฮ้ย ทำไมไม่ให้เขาเช่า วันนี้ที่มีปัญหาไม่ใช่แค่บุรีรัมย์ โมโตจีพีมา โรงแรมเต็มหมดแล้ว เต็มไปถึงสุรินทร์ ไปถึงโคราช ถึงมหาสารคาม เต็มไปถึงร้อยเอ็ด แล้วนักท่องเที่ยวที่มาเขาจะไปพักที่ไหน ทั้งที่มันมีที่พัก ก็คือถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจว่าพวกแบ็กแพ็ก นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมานอนเกสต์เฮาส์เท่าไร มานอนโฮมสเตย์เท่าไร แล้วมาผ่านระบบ Airbnb เท่าไร แต่วันนี้ คนพวกนี้ที่มา ผู้ให้บริการทำผิดกฎหมายหมดเลย วันดีคืนดีพี่ไม่มีทางที่จะไปทำงานสร้างผลงาน พี่ก็ไปเที่ยวไล่จับเขา ทั้งๆ ที่บ้านก็บ้านกู ห้องก็ห้องกู

 

“นี่มันอาชีพสุจริตหรือเปล่า มันผิดแค่ระเบียบ คืออำนาจรัฐที่ไปเขียนเรื่อง พ.ร.บ. โรงแรมฯ ไว้เท่านั้น ถ้าแก้ได้ ชาวบ้านเขาก็จะมีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ คนที่ผ่อนคอนโดฯ อยู่ในกรุงเทพฯ ก็เอาคอนโดฯ ให้คนเช่า ก็จะเอารายได้มาผ่อน”

 

Photo: Lillian SUWANRUMPHA / AFP

 

ข้อเสนอของเนวินคือการทำให้เรื่องเหล่านี้ถูกกฎหมาย และให้ประชาชนสามารถทำมาหากินได้อย่างสุจริต ไม่ไปผูกขาดอยู่ที่นายทุน ขณะที่รัฐพยายามส่งเสริมอาชีพ แต่กลับลืมดูกฎหมายที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถทำมาหากินได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

 

“รัฐบาล ขอโทษนะครับ ไม่ต้องไปจัดโครงการส่งเสริมอาชีพ อบรมทำนู่นทำนี่ให้มันเสียเงิน แค่แก้ พ.ร.บ. โรงแรมฯ นิดเดียว ทุกคนที่เขามีห้องว่างให้เช่า มีบ้านให้เช่า เขาก็จะหารายได้ได้ เหมือนกัน บุรีรัมย์คนไปเที่ยว เดี๋ยวนี้มีไฟลต์บินวันละ 10 ไฟลต์แล้ว ไป 5 กลับ 5 ไปถึงปั๊บแท็กซี่มีอยู่ 15 คัน รถไฟไม่มี รถไฟใต้ดิน รถไฟฟ้าก็ไม่มี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยส่งเสริมไปเที่ยวเมืองรอง ไม่ใช่แค่บุรีรัมย์ แต่ทุกเมืองในประเทศไทย ไม่มีบริการสาธารณะ แล้วเห็น Grab ไหม เห็น Uber ไหม วันนี้มันผิดกฎหมาย แต่เห็นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ออฟฟิศไหม พอเลิกงานเขาไม่กลับบ้าน คนที่สมัครเป็นสมาชิก Grab ไว้ รอดูลูกค้าเรียกเข้ามา เพื่อที่จะกลับในเส้นทางที่ตัวเองกลับบ้าน แล้วก็ไปรับผู้โดยสาร ได้เงิน 150-200 บาท แล้วก็กลับบ้าน ได้เงินมาไว้ผ่อนรถอีก

 

“คุณแค่ลดอำนาจรัฐด้วยการแก้กฎหมายโรงแรม ลดอำนาจรัฐด้วยการแก้ พ.ร.บ. ขนส่งฯ คุณก็เปิดให้มันมี Grab เปิดให้มี Airbnb ซะ ไอ้นี่มันคือ Sharing Economy คุณมัวแต่รักษาเจ้าของโรงแรม คุณมัวแต่รักษาเจ๊เกียว แล้วชาวบ้านเขาไม่ได้ประโยชน์ ไม่ต้องเสียงบอบรมอาชีพให้เขาหรอก เสียเวลา เสียเงิน งบประมาณรัฐก็ไม่ต้องใช้หรอก แค่แก้กฎหมายแบบนี้ นี่แค่ผมยกตัวอย่าง นี่คือส่วนหนึ่งของการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน”

 

ปีนี้ เนวิน ชิดชอบ จะมีอายุครบ 60 ปี เท่ากับวัยเกษียณอายุของคนทำงาน หากใช้วิธีคำนวณการนับอายุแบบราชการ แต่เชื่อเหลือเกินว่าเนวินจะยังไม่ยุติการทำงานแต่เพียงเท่านี้

 

เมื่ออายุไม่ใช่อุปสรรค พละกำลังยังไปไหว เราอาจจะได้เห็นบุรีรัมย์ก้าวไปอีกขั้นเรื่อยๆ แต่ที่ไม่ก้าวไปไหนและไม่ไปแน่นอน คือบทบาททางการเมืองที่เขาประกาศเกษียณอายุตัวเองอย่างถาวรนั่นเอง

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

The post เปิดใจลุงเนวิน: โชคดีที่เลิกเล่นการเมือง กับความสุขในวันที่ได้ตอบแทนบุรีรัมย์บ้านเกิด appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/newin-chidchob/feed/ 0
“เรารู้วิธีว่าจะสร้างยูนิคอร์นได้อย่างไร” มองโลกของสตาร์ทอัพผ่านสายตา Peng T. Ong แห่ง Monk’s Hill Ventures https://thestandard.co/peng-t-ong-monks-hill-ventures/ https://thestandard.co/peng-t-ong-monks-hill-ventures/#respond Fri, 13 Jul 2018 10:14:26 +0000 https://thestandard.co/?p=106941

นักรบทางเศรษฐกิจในยุค 4.0 ที่แต่ละประเทศต่างคาดหวังในขณ […]

The post “เรารู้วิธีว่าจะสร้างยูนิคอร์นได้อย่างไร” มองโลกของสตาร์ทอัพผ่านสายตา Peng T. Ong แห่ง Monk’s Hill Ventures appeared first on THE STANDARD.

]]>

นักรบทางเศรษฐกิจในยุค 4.0 ที่แต่ละประเทศต่างคาดหวังในขณะนี้คือบรรดาสตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นและขยายตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป้าหมายสำคัญคือการผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่าง Uber ที่เปลี่ยนโลกของ Sharing Economy มาแล้ว

 

แต่โลกแห่งความจริง ไม่มีอะไรง่ายเลย

 

สำนักข่าว THE STANDARD พบกับ เผิง ที. อ่อง (Peng T. Ong) ผู้ประกอบการต่อเนื่อง (Serial Entrepreneur) ผู้กว้างขวางในซิลิคอนแวลลีย์ในฐานะ Managing Partner ของ Monk’s Hill Ventures ซึ่งลงทุนและปลุกปั้นสตาร์ทอัพในอาเซียน เล่าถึงประสบการณ์ มุมมอง และคำเตือนบางเรื่องที่คนในโลกธุรกิจควรจะหยุดอ่าน และทบทวนความคิดจากบทสัมภาษณ์นี้

 

 

ตลาดของเราใหญ่พอจริงหรือเปล่า? คำถามง่ายๆ ที่ยากจะตอบ

 

“คุณไม่มีทางสร้างยูนิคอร์นได้ในเวลาแค่ปีเดียวหรอก ในเมื่อสตาร์ทอัพมีจำนวนมากขนาดนี้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลา 5-6 ปี ดูที่ผ่านมาสิ จะมีสักกี่บริษัทที่มีมูลค่าเป็นพันล้านดอลลาร์ภายในแค่ 5-6 ปี แต่ก่อนนี่เป็นไปไม่ได้เลย”

 

เผิงเล่าว่าตอนนี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนมีบริษัทที่เรียกได้ว่า ‘ยูนิคอร์น’ จริงๆ อยู่ 10 แบรนด์เท่านั้น และยังไม่มียูนิคอร์นสัญชาติไทยแต่อย่างใด สิ่งที่สำคัญคือหลายสตาร์ทอัพในอาเซียนเริ่มต้นธุรกิจมานานแล้ว และจังหวะในการทำธุรกิจในช่วงที่คู่แข่งยังน้อยทำให้โอกาสประสบความสำเร็จยังมีอยู่มาก ซึ่งต่างจากปัจจุบัน

 

“สำหรับประเทศไทยถ้าเทียบกับอินโดนีเซียแล้ว เราน่าจะช้ากว่าเขา 2-3 ปีได้  ระบบนิเวศ (ecosystem) ของที่นั่นเขาลงทุนล่วงหน้าไปเยอะแล้ว ตอนนี้สตาร์ทอัพในอินโดนีเซียก็รู้ทิศทางและวัฏจักรของธุรกิจพอสมควร ”

 

เผิงชี้ว่านโยบายของภาครัฐมีผลอย่างมากต่อการเกิดขึ้นและเติบโตของสตาร์ทอัพ ซึ่งไทยอาจจะทำเรื่องนี้ช้าไปหน่อยเมื่อเทียบกับอินโดนีเซียหรือมาเลเซีย บางประเภทธุรกิจที่มีเจ้าตลาดที่แข็งแรงมากแล้วอย่าง Ride Hailing ก็ถือว่าช้าเกินไปที่จะแข่งขัน เพราะในอาเซียน Grab ที่ทำตลาดอย่างหนัก ยังไม่นับรวม Go-Jek ด้วย แต่ก็ยังมีโอกาสสำหรับธุรกิจอื่นอยู่

 

“การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสตาร์ทอัพอาเซียนยังเป็นเรื่องใหญ่ มีช่องว่าง (Lending Gap) อยู่ถึง 50% ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถ้าเทียบกับประเทศจีน ซึ่งเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้ หรืออย่างญี่ปุ่นที่ดอกเบี้ยเป็นศูนย์หรือติดลบ ก็ผลักดันให้คนปล่อยกู้กันเยอะ ดังนั้น ไทย อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ ยังมีทุนสำหรับคนตัวเล็กๆ อยู่น้อย อาจเพราะไม่มีฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะบอกว่าใครที่ต้องการมันบ้าง และคนที่ต้องการจะเข้าถึงอย่างไร ถ้าไม่มีข้อมูลเราก็จะไม่รู้อะไรเลย”

 

 

นอกจากนี้เขายังมองการเติบโตอย่างบ้าคลั่งของอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีผลต่อธุรกิจโลจิสติกส์ให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่สำคัญยังเป็นเรื่องการบริหารจัดการข้อมูล (Data) ถ้ามีข้อมูลไม่มากพอหรือวิเคราะห์ไม่ดีพอก็จะใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

 

“ถ้าผมมีกระเป๋าที่ต้องจัดส่งสัก 5 พันใบใน 5 พันจุดจัดส่ง แทนที่ผมจะต้องไปส่งถึงมือ 5 พันคน ผมมีข้อมูลที่เชื่อมโยงกันกับคนอื่น ผมก็สร้างจุดกระจายสินค้าไปให้คนอื่นจัดส่งต่อในแต่ละพื้นที่ของตัวเอง หลักการนี้ง่ายมาก การสร้างคุณค่าไม่ได้เกิดจากรถหรือถนน เกิดจากข้อมูลนี่ล่ะ”

 

ในฐานะนักลงทุน เผิงก็ยอมรับว่าไม่สามารถการันตีได้ว่าทุกดีลจะประสบความสำเร็จ เขาเพียงแต่แนะนำว่าที่ผ่านมาค่าเฉลี่ยจากสิ่งที่เขาลงทุนมาเป็นอย่างไรบ้าง เป้าหมายของนักลงทุนทุกคนคือกำไรเป็นกอบเป็นกำจากทุกดีล แต่นักลงทุนที่เก๋าพอก็รู้ดีว่าทุกการลงทุนก็เสี่ยงที่จะรุ่งและร่วง

 

“Monk’s Hill คือ Venture Capital ที่เน้นลงทุนใน Tech Company ซึ่งบริษัทเหล่านั้นต้องใช้เทคโนโลยีที่สร้างความแตกต่างทางธุรกิจ ไม่ใช่บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีอย่างเข้มข้นอย่างเดียว เราลงทุนทั้งฟินเทค โลจิสติกส์ด้วย”

 

Monk’s Hill จะไม่ลงทุนในสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มต้น และยังไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าธุรกิจของตนจะสร้างรายได้ได้อย่างไร เผิงจะเลือกธุรกิจที่มีแนวทางของตนเอง มีความสามารถในการสร้างรายได้แล้ว และพร้อมที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งจะเป็นจังหวะที่ดีลเกิดขึ้น

 

“ช่วงแรกของการทำธุรกิจคือการสร้างเครื่องยนต์ในการทำเงิน (Sales Engine) เราต้องรู้ทิศทางของมันว่ามีศักยภาพแค่ไหน มีคำถามเป็นล้านให้เราต้องตอบ เมื่อเริ่มต้น คุณไม่รู้หรอกว่าคุณต้องจ่ายเท่าไร หมดไปกับอะไรบ้าง ดังนั้นผมจะไม่ลงทุน อัดเงินเข้าไปในวันที่คุณยังไม่รู้เลยว่าจะทำเงินยังไง ก่อนที่คุณจะเข้าใจวิธีการทำธุรกิจ คุณต้องลองทำมันดูก่อน มีบริษัทจำนวนมากมาไม่ถึงจุดนี้ ”

 

 

ขณะนี้ Monk’s Hill เข้าลงทุนในบริษัท 17 แห่งทั่วอาเซียนแล้ว ซึ่งมีทั้งสตาร์ทอัพในเวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย เผิงเชื่อในศักยภาพของตลาดนี้ แต่สิ่งที่สำคัญคือในแต่ละประเทศของอาเซียนไม่มีที่ใดที่ขนาดตลาดใหญ่มากพอที่สตาร์ทอัพจะอยู่ได้โดยไม่ต้องขยายธุรกิจออกไปในต่างประเทศ

 

“สิ่งที่อาเซียนต่างกับจีนคือ ตลาดของจีนใหญ่มาก มี Venture Capital มากมายที่พร้อมลงทุน แต่ไม่ใช่กับอาเซียน เพราะ Venture Capital อยู่ไม่ได้จากการลงทุนในสตาร์ทอัพเพียงประเทศเดียว แต่ละตลาดยังไม่ใหญ่พอ กระทั่งในอินโดนีเซียเองก็ตาม อย่าง Go-Jek ก็ต้องขยายไปที่อื่น Traveloka ก็เหมือนกัน”

 

เผิงเน้นย้ำว่าขนาดของตลาดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าตลาดของธุรกิจค่อนข้างเฉพาะหรือไม่ใหญ่พอ ก็เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนจะมาเสี่ยงด้วย เพราะประเมินว่าผลตอบแทนอย่างไรก็ไม่คุ้มค่า  

 

“ผมเพิ่งไปเวียดนามมา คุยกับสตาร์ทอัพ 3-4 ราย มีศักยภาพมากเลย พวกเขาเรียนรู้เยอะมาก มีเวียดเกียว (ผู้ที่มีเชื้อชาติเวียดนามที่เติบโตในต่างประเทศ มีความรู้ความสามารถ ซึ่งขณะนี้ทางการเวียดนามประกาศให้คนเหล่านี้กลับมาช่วยกันสร้างชาติ) ที่ทำงานในซิลิคอนแวลลีย์ และตอนนี้พวกเขาก็กลับมาทำธุรกิจที่บ้านเกิด อย่างผู้บริหารสูงสุดด้านไอทีของ Uber นี่ก็คนเวียดนามนะ และพวกเขาก็เอาความรู้ที่มีกลับมาพัฒนาธุรกิจ”

 

สิ่งที่แตกต่างระหว่างสตาร์ทอัพไทยและเวียดนามในมุมของเผิง หากมองเผินๆ จะดูคล้ายกัน แต่คนเวียดนามจะมีตัวตนในซิลิคอนแวลลีย์มากกว่าคนไทย คนเหล่านี้มีเครือข่ายระดับโลกที่ช่วยเชื่อมโยง และเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจได้มากกว่า ขณะนี้ก็มีคนไทยที่มีความสามารถที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศทยอยกลับบ้านมาเช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี

 

“เวลาสร้างบริษัท คุณต้องมองตลาดทั้งภูมิภาคหรือไม่ก็ทั้งโลกไปเลยว่าจะทำอย่างไร มันไม่ง่าย เราต้องเรียนรู้ ต้องเจอกับคนให้เยอะ สำหรับ Venture Capital เองก็ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า คุณทำธุรกิจนี้ทำไม เพราะคู่แข่งขององค์กรตั้ง Venture Capital เราก็เลยต้องทำด้วยเพื่อให้มีเหมือนกันหรือ Venture Capital ต้องแน่ใจว่าการลงทุนของเขาจะนำนวัตกรรมกลับมาสู่องค์กรและต้องทำเงินด้วย มี Corporate Venture Capital (CVC) หลายที่มากที่ไม่เป็นอิสระจากองค์กรแม่และถูกครอบงำ ซึ่งไม่ดีเลย”

 

เผิงมองเรื่องนี้ได้ขาดและ ‘เก๋า’ สมกับที่เป็นนักลงทุนระดับโลกจริงๆ

 

ในฐานะผู้ที่สร้างธุรกิจจนประสบความสำเร็จมามากมาย เป็นที่ยอมรับในวงการธุรกิจ รู้จักกับบุคคลระดับโลก จึงเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาว่าผู้ชายคนนี้ยังจะต้องการอะไรอีกในชีวิตนี้ คำตอบของเผิงน่าฟังทีเดียว

 

“คนเราจะอายุยืนได้สักเท่าไร 100 ปีได้ไหม แล้วมันหมายถึงอะไร แค่อยู่และตายไปอย่างนั้นหรอ เราต้องหาเป้าประสงค์ (Purpose) ของชีวิตให้เจอ ทุกครั้งที่เราคิดถึงมัน เชื่อเถอะ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเรา แต่หมายถึงคนอื่นๆ ด้วยทั้งครอบครัว คนในสังคม ในโลกนี้ สิ่งนี้สำคัญมาก ผมโชคดี ผมคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ยังหนุ่มๆ สิ่งที่ผมตั้งใจทำและจะทำต่อคือทำให้โลกนี้ดีขึ้นในแนวทางของผม วิธีที่ผมทำได้ ลองดูบางโซลูชันที่สตาร์ทอัพช่วย SMEs เป็นล้านแห่งให้เข้าถึงแหล่งเงินได้สิ มันก็คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ หมายถึงชีวิตคนหลายนล้านคนจะดีขึ้น นี่ล่ะ ผู้ประกอบการที่แท้จริงจึงประสบความสำเร็จ เพราะเขาสนใจสิ่งที่มากกว่าการหาเงิน”

 

เรื่องบางเรื่องเงินก็ซื้อไม่ได้

เพราะมันไม่ได้มีไว้ขายตั้งแต่แรก

The post “เรารู้วิธีว่าจะสร้างยูนิคอร์นได้อย่างไร” มองโลกของสตาร์ทอัพผ่านสายตา Peng T. Ong แห่ง Monk’s Hill Ventures appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/peng-t-ong-monks-hill-ventures/feed/ 0
ปารีสเอาจริง! จ่อเอาผิด Airbnb หากเพิกเฉย ไม่สั่งปิดห้องพักละเมิดกฎหมาย https://thestandard.co/paris-threatens-airbnb-to-court/ https://thestandard.co/paris-threatens-airbnb-to-court/#respond Tue, 12 Dec 2017 06:57:37 +0000 https://thestandard.co/?p=54556

การขัดต่อกฎระเบียบท้องถิ่นถือเป็นปัญหาที่กวนใจผู้ให้บริ […]

The post ปารีสเอาจริง! จ่อเอาผิด Airbnb หากเพิกเฉย ไม่สั่งปิดห้องพักละเมิดกฎหมาย appeared first on THE STANDARD.

]]>

การขัดต่อกฎระเบียบท้องถิ่นถือเป็นปัญหาที่กวนใจผู้ให้บริการ sharing economy ทั่วโลก ล่าสุดผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเปิดเช่าห้องพัก ‘Airbnb’ กำลังเผชิญปัญหาดังกล่าวในประเทศฝรั่งเศส หลังกรุงปารีสประกาศเตรียมเอาผิด หากไม่ถอดห้องพักที่ไม่ได้รับการรับรองตามกฎหมายออกจากระบบ

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม ตามเวลาท้องถิ่นประเทศฝรั่งเศส สำนักข่าว AFP รายงานว่า แอนน์ ฮิดาลโก นายกเทศมนตรีประจำกรุงปารีส เตรียมดำเนินการทางกฎหมายเพื่อฟ้องศาลเอาผิด Airbnb หากไม่ยอมปลดห้องพักที่เจ้าของไม่ได้ลงทะเบียนไว้กับเมืองออกจากระบบ โดยนอกจาก Airbnb แล้ว ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเปิดเช่าห้องพักรูปแบบที่ใกล้เคียงกันอย่าง HomeAway, Paris Attitude, Sejourning และ Windu ก็จ่อถูกลงดาบด้วย

 

กฎการลงทะเบียนห้องพักในปารีสตัวล่าสุดนี้เพิ่งถูกบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยต้องการให้เจ้าของห้องพักที่ประกอบธุรกิจให้เช่า-ยืมมาดำเนินการลงทะเบียนกับกรุงปารีส เพื่อที่ทางการจะสามารถตรวจสอบได้ว่าห้องพักดังกล่าวจะไม่ถูกเช่าอยู่อาศัยเกินกว่า 120 วันต่อปี ซึ่งเป็นลิมิตสูงสุดสำหรับบุคคลที่อยู่อาศัยนอกสถานพักพิงหลัก

 

เอียน บรอสซัต รองนายกเทศมนตรีกรุงปารีส ผู้มีอำนาจดูแลในส่วนงานการเคหะ (Housing) เปิดเผยกับ AFP ว่า ปัจจุบันมีเจ้าของห้องพักที่ดำเนินกิจการในลักษณะนี้เข้ามาลงทะเบียนกับทางการราว 11,000 ห้องพัก ซึ่งในจำนวนนี้นับเป็นแค่ 1 ใน 5 เท่าของอสังหาริมทรัพย์ที่ประกอบกิจการให้เช่า-ยืมทั้งหมด “พวกเขาสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้หากเคารพต่อข้อระเบียบและกฎหมาย”

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Airbnb ประสบปัญหาการทำธุรกิจในฝรั่งเศส เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนธันวาคมก็เพิ่งถูกสั่งดำเนินการตรวจสอบช่องทางการทำธุรกรรมที่อาจเข้าข่ายการเลี่ยงเสียภาษี โดยเพิ่งจะได้รับบทสรุปในช่วงเช้ามืดวันนี้ว่า Airbnb จะต้องใช้ช่องทางทำธุรกรรมผ่านประเทศฝรั่งเศสเพื่อเสียภาษี ก่อนที่เงินรายได้จะเข้ากระเป๋าบริษัท

 

อ้างอิง: AFP

The post ปารีสเอาจริง! จ่อเอาผิด Airbnb หากเพิกเฉย ไม่สั่งปิดห้องพักละเมิดกฎหมาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/paris-threatens-airbnb-to-court/feed/ 0
ผลสำรวจเผยบริการรถร่วมเดินทางแก้รถติดได้ 60% อูเบอร์หนุนคนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น https://thestandard.co/uber-reduce-trafficjam/ https://thestandard.co/uber-reduce-trafficjam/#respond Tue, 07 Nov 2017 12:56:40 +0000 https://thestandard.co/?p=41448

     จากการเก็บข้อมูลโดย TomTom บริษัทผู […]

The post ผลสำรวจเผยบริการรถร่วมเดินทางแก้รถติดได้ 60% อูเบอร์หนุนคนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>

     จากการเก็บข้อมูลโดย TomTom บริษัทผู้พัฒนาระบบนำทาง GPS ในเนเธอร์แลนด์พบว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีอัตราการจราจรสะสมหนาแน่นสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีระดับอัตราความหนาแน่นเฉลี่ยอยู่ที่ 61% ขณะที่อัตราความหนาแน่นบนท้องถนนในช่วงพีกตอนเช้าและค่ำอยู่ที่ 91% และ 118% ตามลำดับ เป็นรองเพียงแค่เมืองเม็กซิโกซิตีในประเทศเม็กซิโกเท่านั้น (ข้อมูลล่าสุดนับจนถึงวันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560)

     ข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการจราจรจริง และก็ดูเหมือนว่าเราไม่น่าจะแก้ปัญหานี้ได้ในเร็วๆ นี้แน่นอน!

     ด้านอูเบอร์ (Uber) ผู้ให้บริการร่วมเดินทางหรือไรด์แชริ่งจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยกว่า 3 ปี (พ.ศ. 2557) เผยผลสำรวจจากการเก็บข้อมูลในไทยว่า

  • คนไทยเสียเวลากับปัญหารถติดเฉลี่ย 72 นาทีต่อวัน

  • ในหนึ่งปีคนกรุงเทพฯ จะเสียเวลาเฉลี่ย 24 วันกับปัญหารถติดและการหาที่จอดรถ ซึ่งค่าเสียเวลานี้คิดเป็นมูลค่าความเสียประมาณ 2-5% ของ GDP ทั้งประเทศ

  • ช่วงเวลาเร่งด่วน กรุงเทพฯ จะมีรถติดมากกว่าเดิม 2 เท่าของช่วงเวลาปกติและมีรถอยู่บนถนนมากถึง 160% ของปริมาณรถที่ถนนควรจะมี

  • ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีจำนวนรถมากถึง 5.8 ล้านคัน โดยการจะหาที่จอดรถให้เพียงพอต่อปริมาณรถดังกล่าวจะต้องใช้พื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิถึง 8 สนามบิน

     จากสถิติข้อมูลนี้ อูเบอร์เชื่อว่าบริการร่วมเดินทางจะช่วยแก้ปัญหาการจราจรแออัดได้เป็นอย่างดี เพราะถือเป็นการส่งเสริมให้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลที่มีอยู่ดั้งเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยจะลดปริมาณรถบนถนนในเมืองได้ถึง 60% เลยทีเดียว

ไรด์แชริ่งไม่ได้เข้ามาแย่งผู้โดยสารบริการรถสาธารณะ แต่เข้ามาช่วยส่งเสริมให้การเดินทางเกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

     ต้องบอกว่าตั้งแต่บริการจำพวกไรด์แชริ่งหรือรถร่วมเดินทางจำพวกอูเบอร์ และแกร็บ (Grab) เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หลากหลาย เพราะฝั่งผู้ใช้บริการก็บอกว่าตัวเองได้รับประโยชน์จากบริการรูปแบบนี้และถือเป็นตัวเลือกในการเดินทาง แต่ผู้ให้บริการหน้าเก่าเช่นเเท็กซี่กลับบอกว่าไรด์แชริ่งเป็นบริการผิดกฎหมาย ทั้งยังเข้ามา disrupt การประกอบอาชีพและแย่งลูกค้าของพวกเขาไปอย่างไม่เป็นธรรม

     ศิริภา จึงสวัสดิ์ ผู้จัดการอูเบอร์ไทยกล่าวภายในงาน Unlocking Bangkok ที่จัดขึ้นวันนี้ว่า บริการร่วมเดินทางจะช่วยให้ผู้คนเดินทางด้วยกันได้โดยใช้รถยนต์น้อยลง (carpool) ผ่านการนำสถิติข้อมูลต่างๆ ขึ้นมาประกอบเพื่อชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงบวกที่จะเกิดขึ้นจากบริการร่วมเดินทาง เช่น การช่วยลดจำนวนรถยนต์ในกรุงเทพฯ ได้ถึง 60%

     เธอบอกว่า “ทางออกที่ดีของการแก้ปัญหาการเดินทางในกรุงเทพฯ คือการใช้บริการร่วมเดินทางกับระบบการขนส่งมวลชนร่วมกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการแก้ปัญหารถติดและการหาที่จอดรถยาก”

     ไม่ต่างจาก มาเรียม จาฟฟาร์ กรรมการผู้จัดการ The Boston Consulting Group บริษัทรับให้คำปรึกษาข้อมูลด้านธุรกิจที่เห็นด้วยว่าประเทศต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากระบบขนส่งสาธารณะร่วมกับบริการร่วมเดินทางเพื่อช่วยแก้ปัญหาการจราจรภายในประเทศได้

     เพราะไม่ว่าแต่ละประเทศจะลงทุนพัฒนาโครงสร้างระบบขนส่งมวลชนเพิ่มมากขึ้นแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วปริมาณความต้องการของผู้บริโภคในการเดินทางก็จะสูงขึ้นจนระบบขนส่งสาธารณะตามไม่ทันอยู่ดี โดยมาเรียมบอกว่าในปี 2561 ที่จะถึงนี้ ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มประเทศอาเซียนในการเดินทางจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 50% โดยวิธีที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้คือการเพิ่มระยะทางการเดินทางจาก ‘สินทรัพย์เดิม’ หรือบริการร่วมเดินทางที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเชิงการให้บริการที่มากกว่า โดยเธอยังได้ยกประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากบริการร่วมเดินทางจำนวน 5 ข้อดังนี้

     1. ความต้องการในการซื้อรถยนต์จะน้อยลง มีการสำรวจว่า 10-40% ของผู้ที่คิดจะซื้อรถใน 10 เมืองใหญ่ในหลายๆ ประเทศยินดีจะหันมาใช้บริการร่วมเดินทางแทนที่การซื้อรถยนต์ใหม่สักคัน

     2. จำนวนผู้โดยสารต่อคันมากขึ้น จากการเก็บข้อมูลพบว่าคนกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยจะใช้รถยนต์ประมาณ 2.1 คนต่อรถ 1 คัน แต่การใช้รถร่วมเดินทางจะทำให้เกิดการใช้ประสิทธิภาพจากรถยนต์มากขึ้นถึง 1.7 เท่า และจะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดหากเป็นไรด์แชริ่งแบบ carpool ที่มีผู้ใช้บริการต่อรถยนต์หนึ่งคันใน 1 ทริปการเดินทางมากกว่า 1 คนขึ้นไป

     3. อัตราการใช้ยานพาหนะต่อกิโลเมตรมีประสิทธิภาพดีขึ้น ข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่าในซานฟรานซิสโก จำนวนกิโลเมตรที่ยานพาหนะในโครงการไรด์แชริ่งวิ่งโดย ‘ไม่มีผู้โดยสาร’ น้อยกว่ายานพาหนะจำพวกแท็กซี่ถึงครึ่งหนึ่ง

     4. ช่วยส่งเสริมบริการรถสาธารณะ 40% ของผู้โดยสารในสหรัฐอเมริกา นิยมใช้ทั้งระบบขนส่งสาธารณะควบคู่กับบริการไรด์แชริ่ง

     5. ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของระยะเวลาในการลงทุน การหันมาใช้ไรด์แชริ่งมากขึ้นจะช่วยสร้างประโยชน์ทางอ้อมให้ภาครัฐสามารถปรับโครงสร้างขั้นพื้นฐานของระบบขนส่งมวลชนภายในประเทศได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

     ทั้งนี้มาเรียมมองว่าการจะส่งเสริมให้บริการร่วมเดินทางสามารถสร้างประโยชน์ให้พลเมืองในแต่ละประเทศ และแก้ไขปัญหาการจราจรได้จริงนั้นจะต้องเกิดความร่วมมือในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและฝั่งเอกชนเสียก่อน

     ส่วน ภูรี สิรสุนทร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าประเทศไทยคุ้นเคยกับวัฒนธรรมการแบ่งปันมาต้ังแต่อดีตแล้ว พอยุคสมัยเปลี่ยนไปการแบ่งปันก็เกิดการวิวัฒนาการจนเกิดเป็นเศรษฐกิจแบบแบ่งปันหรือ ‘sharing economy’ ในที่สุดนั่นเอง โดยสิ่งที่จะช่วยเศรษฐกิจรูปแบบนี้เดินหน้าได้อย่างจริงจังก็คือเทคโนโลยี

     อาจารย์ภูรีมองว่าบริการร่วมเดินทางซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของธุรกิจเศรษฐกิจแบ่งปันจะสร้างประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยได้ในหลายๆ ด้าน ทั้งตัวผู้โดยสารเองที่จะได้ประโยชน์จากการเปรียบเทียบราคาผู้ให้บริการแต่ละราย ฝั่งผู้ให้บริการเองที่มีเเรงจูงใจและทางเลือกให้ตัวเองมากขึ้น ขณะที่ประเทศไทยก็จะได้รับประโยชน์จากการแก้ไขปัญหาการจราจรด้วย

     มากไปกว่านั้นเศรษฐกิจแบบแบ่งปันยังมีการเก็บ ‘ข้อมูล’ จากทั้งผู้ให้บริการและผู้บริโภค ซึ่งตรงกับแนวคิดที่ ศุภกร สิทธิไชย ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (Depa) กล่าวบนเวทีสัมมนา ว่าข้อมูลนี่แหละที่เป็นกุญแจสำคัญช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาเมืองธรรมดาๆ ไปสู่เมืองอัจฉริยะหรือสมาร์ทซิตี้ได้

     ปัจจุบันสถานะของบริการรถร่วมเดินทางในประเทศไทยยังไม่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ ศิริภา จึงสวัสดิ์ ก็ให้ข้อมูลความคืบหน้าเพิ่มเติมว่า ณ ขณะนี้ขั้นตอนการรวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นเรื่องรับรองให้ไรด์แชริ่งถูกต้องตามกฎหมายถือว่าดำเนินการไปได้ด้วยดีแล้ว

The post ผลสำรวจเผยบริการรถร่วมเดินทางแก้รถติดได้ 60% อูเบอร์หนุนคนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/uber-reduce-trafficjam/feed/ 0
สำรวจตลาด Bike Sharing ในประเทศไทย เมื่อบริการให้เช่าจักรยานสาธารณะจากจีนกำลังคึกคัก https://thestandard.co/thailand-bike-sharing/ https://thestandard.co/thailand-bike-sharing/#respond Mon, 25 Sep 2017 13:48:55 +0000 https://thestandard.co/?p=30165

      แม้จะถูกค่อนขอดและตัดส่วนแบ่งรายได […]

The post สำรวจตลาด Bike Sharing ในประเทศไทย เมื่อบริการให้เช่าจักรยานสาธารณะจากจีนกำลังคึกคัก appeared first on THE STANDARD.

]]>

      แม้จะถูกค่อนขอดและตัดส่วนแบ่งรายได้ไปจากผู้ประกอบการหน้าเดิมๆ อยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าทุกวันนี้ ธุรกิจ Sharing Economy หรือเศรษฐกิจแบบแบ่งปันกำลังกลายเป็นเทรนด์ธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมมากๆ โดยเฉพาะในไทย

      ด้วยประโยชน์ที่ผู้บริโภคไม่ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนเเต่ก็ได้รับสินค้าและบริการในราคาที่จับต้องได้ ธุรกิจจำพวกบริการขนส่งอย่าง Uber และ Grab บริการที่พักอาศัย Airbnb หรือบริการพื้นที่ทำงานแบบ Coworking Space จึงแผ่ขยายอาณาจักรตัวเองออกไปได้อย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาอันสั้น

      ล่าสุด อีกหนึ่ง Sharing Economy ที่กำลังจะเข้ามารุกคืบตีตลาดในไทยอย่างหนักคือธุรกิจ ‘Bike Sharing’ หรือบริการให้เช่าจักรยานสาธารณะ โดยตอนนี้มีผู้ประกอบการถึง 3 รายหลักๆ แล้วที่พร้อมพุ่งกระโจนเข้ามาเป็นผู้เล่นในศึกนี้ได้แก่ โมไบค์ (Mobike), โอโฟ (ofo) และโอไบค์ (oBike) ซึ่งแต่ละรายก็มีวิธีจับกลุ่มผู้บริโภคที่ใกล้เคียงกันซะด้วย

 

 

‘เน้นจับกลุ่มแคมปัสมหาวิทยาลัย และเมืองท่องเที่ยวเป็นหลัก’ กลยุทธ์เดินหมากของผู้ให้บริการแต่ละเจ้า

      เริ่มต้นที่โมไบค์ ผู้ให้บริการจากจีนรายนี้เข้ามาบุกประเทศไทยด้วยการจับมือเป็นหุ้นส่วนร่วมกับเอไอเอส (แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด มหาชน), ซีพีเอ็น (เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด มหาชน), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจะเริ่มให้บริการในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขนเป็นที่แรก ตามด้วยห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และจะขยายพื้นที่ให้บริการในวงกว้างตามเมืองต่างๆ รวมถึงละเเวกห้างสรรพสินค้าเครือเซ็นทรัลในอนาคต

 

 

      จุดเด่นของโมโบค์คือบริการที่เน้นความสบายของผู้บริโภคเป็นหลัก ผู้ใช้จะสามารถใช้จักรยานได้เมื่อปลดล็อกจักรยานด้วยบลูทูธ (Bluetooth) และการสแกน QR Code ที่อยู่บนจักรยานแต่ละคันด้วยแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน คิดค่าบริการ 10 บาท / 30 นาที (ให้บริการฟรี 2 เดือนแรก กันยายน-ตุลาคม) โดยชำระผ่าน mPay ได้

      ส่วนตัวจักรยานใช้เทคโนโลยี GPS ติดตามสถานะและตำแหน่งของจักรยานแต่ละคัน มีนวัตกรรมยางไร้ลมแบน, เฟรมอะลูมิเนียมกันสนิม, ระบบการขับเคลื่อนไร้โซ่ โดยเน้นความสำคัญของการไม่ต้องบำรุงรักษา ซึ่งทุกๆ คันจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 4 ปีแบบไม่ต้องซ่อม เนื่องจากเคลมว่าสามารถผลิตจักรยานใหม่ได้ถึง 100,000 คันต่อวัน

 

 

      ฝั่งโอโฟก็เป็นผู้ให้บริการอีกเจ้าที่มาจากจีนเช่นเดียวกับโมไบค์ และเพิ่งเปิดให้บริการที่แรกในตัวมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยมีจำนวนจักรยานอยู่ที่ประมาณ 2,000 คัน ก่อนเปิดให้บริการที่จังหวัดภูเก็ตในละเเวกตัวเมืองและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ด้วยจำนวนราว 1,000 คันในเดือนถัดมา

      ตัวจักรยานใช้ GPS ติดตามสถานะและตำแหน่งในกรณีที่เกิดปัญหาหรือต้องการการซ่อมแซม ใช้ยางตันเพื่อตัดปัญหาการดูแลลมยางและติดตั้งไฟส่องนำทางพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตรวจจับการเคลื่อนไหวและติดสว่างแบบอัตโนมัติ

      บริการของโอโฟเป็นแบบ IoT (Internet of Things) ปลดล็อกจักรยานด้วยแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนและแสกน QR Code บนตัวจักรยาน คิดค่าบริการอยู่ที่ 5 บาท / 30 นาที มีค่ามัดจำการใช้บริการ 99 บาท (ขอเงินคืนได้เมื่อยกเลิกการใช้บริการ) ชำระค่าบริการได้ผ่านบัตรเครดิต เดบิต และ BluePay โดยตอนนี้มีโปรโมชันทดลองใช้ฟรีตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงธันวาคม และในอนาคตจะมีฟีเจอร์การสะสมคะเเนนจากการจอดจักรยานตามจุดที่กำหนดเพื่อแลกรับของรางวัลต่างๆ เพิ่มขึ้นมา

      ฝั่งผู้ให้บริการรายสุดท้ายอย่างโอไบค์เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากประเทศสิงคโปร์ นำร่องเปิดให้บริการในไทยแล้วในหลายๆ แห่งมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่จุดสัญจรตามแนวสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ในกรุงเทพฯ ก่อนขยายขอบเขตพื้นที่ให้บริการตามสถานศึกษาอย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต (200 คัน), มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) เเละล่าสุดในจังหวัดภูเก็ต

      โอไบค์คิดค่าบริการ 10 บาท / 15 นาที เปิดใช้บริการได้ด้วยการจองผ่านแอปพลิเคชันและปลดล็อกด้วยการแสกน QR Code เช่นเดียวกับโอโฟและโมไบค์ และใช้เทคโนโลยีการติดตาม GPS เหมือนๆ กัน

 

 

ตีตลาดประเทศไทยจะหวังผลได้มากน้อยแค่ไหน?

      ท่ามกลางผู้ให้บริการ Bike Sharing ทั้ง 3 เจ้าที่มาเจาะตลาดไทยในปีนี้ สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดที่สุดคือการที่พวกเขาเน้นจับกลุ่มเป้าหมายอย่างนักเรียนนักศึกษา อาจารย์ และบุคลากรตามสถานศึกษาเป็นหลัก เพราะมองว่าน่าจะมีไลฟ์สไตล์ที่ต้องพึ่งพาการขี่จักรยานสูง

      เช่นเดียวกับการเลือกภูเก็ตเป็นที่ตั้งหลักในการให้บริการเนื่องจากเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม และมีศักยภาพจะกลายเป็น ‘เมืองอัจฉริยะ (Smart City)’ ในเร็ววันนี้

      ซึ่งการที่ทั้งโอโฟและโมไบค์ไม่เน้นให้บริการในตัวเมืองกรุงเทพฯ ตั้งแต่แรก (โอไบค์ มีให้บริการตามสถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT บ้าง ส่วนโอโฟเล็งจะเปิดให้บริการรอบเกาะรัตนโกสินทร์เนื่องจากมีเลนจักรยานที่ต่อเนื่อง) คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เพราะระบบนิเวศในเมืองหลวงของเราไม่เอื้อประโยชน์ต่อการขับขี่จักรยานสักเท่าไหร่

 

 

      แม้กรุงเทพฯ จะตีเลนขับขี่จักรยานจริงจังในเมืองมาตั้งแต่เมื่อประมาณปี 2551 แต่สุดท้ายไบค์เลน (Bike Lane) ก็ไม่เป็นที่นิยมแม้จะถูกปรับปรุงให้ไฉไลกว่าเดิมอีกครั้งในปี 2558 ขณะเดียวกันเมื่อปี 2554 มูลนิธิโลกสีเขียวก็เคยทำผลสำรวจปัญหาที่ทำให้คนไม่เลือกขี่จักรยานโดยพบว่า 86% ของผู้ที่ทำแบบสอบถามลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาจะไม่ขี่จักรยานเด็ดขาดหากรู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัย

      ด้าน พล.ต.ท. อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าฯ กทม. (ตำแหน่งในช่วงเวลาดังกล่าว) เคยให้สัมภาษณ์กับ กรุงเทพธุรกิจ เมื่อช่วงปลายปี 2559 ว่ากรุงเทพมหานครมีเเผนการจะศึกษาความเป็นไปได้ในการยกเลิกเลนจักรยานบางเส้นทาง เนื่องจากมองว่าไม่มีผู้ใช้งานจักรยาน

      ส่วน ‘ปั่นปั่น’ โครงการให้บริการจักรยานสาธารณะของกรุงเทพมหานครก็มีผู้ใช้อยู่บ้างในช่วงแรก แต่ปัญหาจุดให้บริการที่กระจายไม่มากพอและทุกครั้งที่ใช้งานเสร็จต้องจอดคืนที่จุดจอดก็ทำให้โมเดลนี้ดูไม่เวิร์กเท่าที่ควร

      ด้วยปัญหาเส้นทางขี่จักรยานที่ไม่ต่อเนื่อง จุดจอดตามสถานที่ต่างๆ ในตัวเมืองที่ขาดแคลน ความอันตราย และการนำขึ้นลงระบบขนส่งสาธารณะที่แสนลำบาก ท้ายที่สุดแล้วเลนจักรยานจึงกลายเป็นเลนจอดรถมอเตอร์ไซค์และที่ตั้งวางร้านค้าแผงลอย

      กลยุทธ์ในช่วงนี้ของผู้ให้บริการ Bike Sharing หน้าใหม่ๆ จากต่างประเทศจึงเลี่ยงไปเปิดให้บริการตามแคมปัส​ สถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน และมีโอกาสจะได้ใช้งานจักรยานบ่อยครั้ง เน้นความสะดวกสบายให้ผู้บริโภคโดยจอดที่ไหนก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อใช้งานเสร็จต้องทำการล็อกล้อเพื่อเป็นการสิ้นสุดการคำนวณค่าบริการ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานคนอื่นๆ ได้ปลดล็อกเพื่อเปิดใช้งานต่อ

 

 

      นอกจากนี้เพื่อป้องกันการสูญหาย จักรยานทุกคันจึงมีการติดตั้งระบบ GPS ที่ใช้ในการติดตามไว้ด้วย โดยแบรนด์ที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ชัดเจนที่สุดก็หนีไม่พ้นโมไบค์ เพราะเน้นการไม่ต้องบำรุงรักษา ขณะที่จักรยานทุกคันก็มีอายุใช้งานเต็มที่แค่ 4 ปีเท่านั้น

      สุดท้ายแล้วธุรกิจ Bike Sharing จะได้รับความนิยมแค่ไหนและไปได้ดีหรือไม่ในประเทศไทย เราคงต้องติดตามผลกันแบบยาวๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริการที่คำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้บริโภคเป็นสำคัญมีส่วนช่วยให้คนหันมาใช้บริการจักรยานสาธารณะแบบนี้มากขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะในประเทศที่พิสูจน์มาแล้วอย่างจีน

 

จีนกลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจบริการจักรยานสาธารณะรายยักษ์ของโลกได้อย่างไร?

      ต้องยอมรับว่าจีนเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อมากๆ ในเรื่องของธุรกิจ Bike Sharing ครั้งหนึ่ง The Guardian เคยเปิดข้อมูลสถิติการยืมคืนจักรยานในเมืองหางโจว (Hangzhou) และพบว่าในทุกๆ 1 วินาทีจะมีอัตราการยืม-คืนจักรยานจากธุรกิจ Bike Sharing มากกว่า 278,883 คัน

      ข้อมูลที่น่าสนใจจาก Forbes เผยว่าปัจจุบัน 2 ยักษ์ใหญ่ในหมวดหมู่ธุรกิจนี้จากจีนอย่างโมไบค์และโอโฟ มีมูลค่าทางการทำธุรกิจสูงถึงบริษัทละ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 33,000 ล้านบาท ซึ่งโอโฟถือเป็นยูนิคอร์นสตาร์ทอัพรายแรกในธุรกิจบริการจักรยานสาธารณะ (สตาร์ทอัพได้รับตำแหน่ง Unicorn ต่อเมื่อมีรายได้มากถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ)

      โดยปัจจัยสำคัญลำดับแรกสุดที่ทำให้จีนกลายเป็นผู้ประการธุรกิจบริการจักรยานสาธารณะรายยักษ์ของโลกได้นั้นมาจาก ‘ปัญหาการจราจรที่แออัด’

      TomTom บริษัทพัฒนาระบบนำทางด้วย GPS ในเนเธอร์แลนด์ที่รวบรวมและเก็บข้อมูลดัชนีการจราจรทั่วโลกระบุว่า จาก 50 อันดับเมืองที่มีปัญหาการจราจรสะสมหนาแน่นสูงสุดของโลกในปี 2017 มีเมืองของประเทศจีนแห่กันติดในลิสต์นี้มากถึง 16 เมือง! (กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 2: อัพเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2017)

      เพราะเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องปัญหาการจราจรคับคั่งมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อมองถึงทางเลือกอื่นที่เลี่ยงการใช้รถส่วนตัวและระบบขนส่งสาธารณะ ‘จักรยาน’ จึงกลายเป็นทางออกที่ดีที่สุดของพวกเขานั่นเอง

      ส่วนปัจจัยลำดับที่ 2 คือ ธุรกิจ Bike Sharing จำพวกนี้ถูกดีไซน์รูปแบบบริการออกมาโดยยึดเอาความสบายของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง ผู้ใช้จะจอดจักรยานที่ไหนก็ได้ตามที่พวกเขาสะดวก ทำให้คนหันมาขี่จักรยานสาธารณะกันมากขึ้น เพราะไม่ต้องหิ้วภาระติดตัวไปทุกๆ ที่เหมือนกับการใช้จักรยานหรือรถยนต์ส่วนตัว

      แจ็คกี้ ฮี (Jacky He) หนึ่งในผู้ใช้บริการ Bike Sharing ในจีนให้สัมภาษณ์กับ Forbes ไว้ว่า “ผมหาจักรยานขี่ได้ทุกที่ตามที่ผมต้องการ และผมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการจอดมันเลยด้วยซ้ำ”

      และปัจจัยสุดท้ายคือการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทผู้ร่วมทุนชั้นนำหลายๆ รายทั้งในและนอกประเทศ อาทิ โอโฟที่ได้รับการลงทุนจาก Xiaomi และ Ant Financial ฟินเทคในเครือ Alibaba รวมถึง Huawei บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่ในจีนที่ให้ความช่วยเหลือพวกเขาด้านการพัฒนาเทคโนโลยี Internet of Things ใช้ติดตามจักรยาน

      เช่นเดียวกับโมไบค์ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจำนวนมหาศาลกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2016 จากบริษัททั้งในและต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น Panda Capital (แคนาดา),​ Warburg Pincus (สหรัฐอเมริกา), Hillhouse Capital และ Tencent (จีน), Temasek (สิงคโปร์) และ Foxconn (ไต้หวัน) เป็นต้น

 

 

      บริษัทรับให้คำปรึกษาด้านธุรกิจอย่าง ‘iiMedia’ ในประเทศจีนได้วิจัยทิศทางการเติบโตของธุรกิจ Bike Sharing โดยคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2017 นี้ ตลาดบริการจักรยานสาธารณะในจีนจะมีมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 49,680 ล้านบาท แต่ในอีก 2 ปีข้างหน้าหรือช่วงปลายปี 2019 ตลาดดังกล่าวจะมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าเดิมเท่าตัวที่ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 116,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

      อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีแล้วไม่มีข้อบกพร่องเลย เพราะภายใต้รูปแบบบริการที่สะดวกเน้นการใช้จักรยานแล้วจอดที่ไหนก็ได้ก็เป็นการทำลายทัศนียภาพของตัวเมืองของจีนในเวลาเดียวกัน โดยผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือทะเลจักรยานหลายร้อยพันคันที่ถูกจอดทิ้งเรียงรายเป็นจำนวนมากตามสถานที่ต่างๆ

      อีริค เหมา (Eric Mao) ผู้จัดการแผนกการตลาดของบริษัท GST อีกหนึ่งบริษัทเจ้าของธุรกิจ Bike Sharing ในประเทศจีนให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ว่า “มันเป็นปัญหาใหญ่นะกับการที่คุณได้เห็นจักรยานหลายพันคันถูกจอดทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ ในตัวเมืองโดยไม่ได้ใช้งาน เพราะไม่มีใครสนใจจะดูแลมัน ทำให้ทัศนียภาพที่สวยงามของเมืองถูกทำลาย”

      สุดท้ายแล้วเเม้โอกาสและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ Bike Sharing ในประเทศจีนจะสดใส แต่พวกเขาก็ต้องเร่งหาวิธีจัดการกับปัญหาที่ตามมาด้วยเช่นกัน แต่หากประเทศไทยสามารถนำโมเดลของบริษัทที่รุ่งเรืองด้าน Bike Sharing ในจีนมาต่อยอดพัฒนาให้สมบูรณ์แบบขึ้นได้ในทุกๆ ด้าน ผลลัพธ์ที่ตามมาก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีงามต่อสิ่งเเวดล้อมและเศรษฐกิจแน่นอน

 

อ้างอิง

The post สำรวจตลาด Bike Sharing ในประเทศไทย เมื่อบริการให้เช่าจักรยานสาธารณะจากจีนกำลังคึกคัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/thailand-bike-sharing/feed/ 0