Rogue One: A Star Wars Story – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 24 Sep 2023 08:02:44 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 เปิดเกร็ดน่าสนใจ The Creator หนังไซไฟฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับ Rogue One ที่เดินทางมาถ่ายทำในไทยถึง 17 จังหวัด https://thestandard.co/the-creator-highlights-with-rogue-one-director/ Sun, 24 Sep 2023 08:02:44 +0000 https://thestandard.co/?p=845479 The Creator

อีกหนึ่งภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ที่น่าจับตามองของปีนี้ สำ […]

The post เปิดเกร็ดน่าสนใจ The Creator หนังไซไฟฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับ Rogue One ที่เดินทางมาถ่ายทำในไทยถึง 17 จังหวัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
The Creator

อีกหนึ่งภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ที่น่าจับตามองของปีนี้ สำหรับ The Creator ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดจาก Gareth Edwards เจ้าของผลงาน Monsters (2010), Godzilla (2014) และ Rogue One: A Star Wars Story (2016) โดยครั้งนี้ Gareth Edwards จะพาผู้ชมก้าวเข้าสู่โลกอนาคตที่เกิดสงครามระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ AI อัจฉริยะ พร้อมได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง John David Washington จาก BlacKkKlansman (2018) และ Tenet (2020) มาร่วมทำภารกิจที่มีชะตากรรมของมนุษยชาติเป็นเดิมพัน  

 

วันนี้ THE STANDARD POP ถือโอกาสรวบรวมเกร็ดน่าสนใจจาก The Creator มาให้ทุกคนได้อุ่นเครื่อง ก่อนไปร่วมสงครามสุดยิ่งใหญ่พร้อมกัน 28 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์ 

 

The Creator

 

เมื่อเขาต้องเลือกข้างระหว่าง ‘มนุษยชาติ’ หรือ ‘หุ่นยนต์’

The Creator จะพาผู้ชมออกเดินทางสู่โลกอนาคต เมื่อหุ่นยนต์ AI สุดอัจฉริยะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องมนุษย์กลับมีความคิดเป็นของตัวเองและตัดสินใจก่อสงครามกับมนุษย์เสียเอง 

 

วันหนึ่ง Joshua (John David Washington) เจ้าหน้าที่พิเศษมากฝีมือ และทีมของเขาได้รับภารกิจสำคัญให้ออกตามหาและสังหาร The Creator ผู้ออกแบบ AI ระดับสูงที่กำลังอยู่ระหว่างการผลิตอาวุธสังหารลับ เพื่อยุติสงครามในครั้งนี้และอาจนำมาสู่การสูญสิ้นของมนุษยชาติ แต่เมื่อเดินทางไปถึง อาวุธสังหารที่พวกเขาค้นพบกลับกลายเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง  

 

The Creator

 

Gareth Edwards จากแฟน Star Wars ที่ได้กำกับ Rogue One สู่ The Creator หนังไซไฟในฉบับของตัวเอง

Gareth Edwards นับว่าเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับมากฝีมือที่เติบโตมากับภาพยนตร์ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะประสบการณ์ชมภาพยนตร์ Star Wars ของผู้กำกับ George Lucas ที่จุดประกายให้เขาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ 

 

โดยภายหลังจากที่ Gareth Edwards ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการกำกับหนังสั้นของตัวเองและทำงานในตำแหน่งวิชวลเอฟเฟกต์มานานหลายปี เขาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งแรกใน Monsters (2010) ภาพยนตร์ไซไฟ-สยองขวัญทุนต่ำ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่ถูกเอเลี่ยนบุกโจมตี แต่ด้วยงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด Gareth Edwards จึงต้องรับหน้าที่เป็นทั้งผู้กำกับ เขียนบท ผู้กำกับภาพ ไปจนถึงทำวิชวลเอฟเฟกต์ด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อตัวภาพยนตร์ออกฉายก็สามารถทำรายได้รวมทั่วโลกไปกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างประมาณ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ 

 

ไม่นานจากนั้น Gareth Edwards ก็ได้รับการทาบทามให้มาเป็นผู้ปลุกชีพ ‘ราชาแห่งสัตว์ประหลาด’ ให้ออกมาโลดแล่นบนจอเงินอีกครั้งใน Godzilla ฉบับฮอลลีวูดที่ออกฉายในปี 2014 และถือเป็นผลงานเรื่องแรกของจักรวาล MonsterVerse ซึ่งแม้จะได้รับเสียงวิจารณ์จากผู้ชมที่หลากหลาย แต่ภาพยนตร์ก็สามารถกวาดรายได้รวมทั่วโลกไปได้สูงกว่า 524 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ภายหลังจากได้พิสูจน์ฝีมือการกำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ ในที่สุด Gareth Edwards ก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญอีกครั้ง กับการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันไกลโพ้นที่เคยจุดประกายให้เขาอยากเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ นั่นคือภาพยนตร์เรื่อง Rogue One: A Star Wars Story ที่ออกฉายในปี 2016 ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างเนืองแน่น พร้อมกวาดรายได้รวมทั่วโลกไปได้สูงถึง 1,056 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ภาพยนตร์แนวสัตว์ประหลาดถล่มเมืองก็ทำมาแล้ว ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล Star Wars ที่เขาชื่นชอบก็ทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคราวที่ Gareth Edwards จะได้ลงมือสร้างสรรค์ภาพยนตร์ไซไฟในฉบับของตัวเองเสียที นั่นคือ The Creator

 

The Creator

    

 

ทิวทัศน์ของเมืองไทยที่เราคุ้นตาในบรรยากาศของหนังไซไฟโลกอนาคต 

ไอเดียในการสร้าง The Creator เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่ Gareth Edwards ได้เดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวที่รัฐไอโอวา ซึ่งสองข้างทางมีพื้นที่เพาะปลูกอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งเขาได้พบกับโรงงานแห่งหนึ่งที่มีป้ายภาษาญี่ปุ่นติดอยู่ด้านหน้า ภาพดังกล่าวจุดประกายให้เขาจินตนาการไปต่างๆ นานาว่าภายในโรงงานนั้นอาจกำลังแอบสร้างหุ่นยนต์อยู่อย่างลับๆ และมีภาพของหุ่นยนต์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าและกำลังแหงนมองท้องฟ้ากว้างใหญ่ เขาจึงนำไอเดียดังกล่าวมาต่อยอดเป็นภาพยนตร์ไซไฟเรื่องใหม่ของตัวเอง

 

ไม่นานจากนั้น Gareth Edwards ก็ได้มีโอกาสเดินทางมาที่ประเทศไทยและเวียดนามร่วมกับเพื่อนผู้กำกับของเขาอย่าง Jordan Vogt-Roberts (ผู้กำกับ Kong: Skull Island) ซึ่งการได้สัมผัสกับทิวทัศน์ของนาข้าวและความเชื่อทางศาสนาพุทธ ก็ทำให้เขาเริ่มจินตนาการถึงสิ่งก่อสร้างในโลกอนาคตสุดล้ำที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งนา และหุ่นยนต์ AI ที่สวมชุดคล้ายพระ

 

จากจินตนาการที่นำสิ่งก่อสร้างและหุ่นยนต์สุดล้ำจากโลกอนาคตมาผสมผสานเข้ากับทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าและชนบท ก็ทำให้ Gareth Edwards มองเห็นโลกที่เขาต้องการนำเสนอชัดเจนมากขึ้น จนนำมาสู่เรื่องราวของโลกอนาคตที่เกิดสงครามระหว่างฝ่ายหุ่นยนต์ AI อัจฉริยะและฝ่ายมนุษย์ พร้อมชวนผู้ชมมาร่วมสำรวจแง่มุมของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกที่ถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ผ่านตัวละครที่ถูกโยนให้เข้าไปอยู่ท่ามกลางสังคมที่มีความคิด วิถีชีวิต และความเชื่อที่แตกต่างจากตัวเอง เขาจะรับมือและตัดสินใจกับสิ่งที่เขาพบเจออย่างไร

 

นอกเหนือจากนี้ Gareth Edwards ยังได้นำองค์ประกอบอันโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมหลายเรื่องมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เรื่องราวของ The Creator อีกด้วย เช่น Apocalypse Now (1979) ของผู้กำกับ Francis Ford Coppola, Blade Runner (1982) ของผู้กำกับ Ridley Scott, Rain Man (1988) ของผู้กำกับ Barry Levinson, E.T. the Extra-Terrestrial (1982) ของผู้กำกับ Steven Spielberg ฯลฯ รวมถึงหนังสือเรื่อง Heart of Darkness ของนักเขียน Joseph Conrad  

 

The Creator

 

และเพื่อให้ The Creator เป็นภาพยนตร์ไซไฟที่มีกลิ่นอายแตกต่างไปจากภาพยนตร์ในแนวเดียวกัน Gareth Edwards จึงมีความตั้งใจที่อยากจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในสถานที่จริงและนักแสดงจริงๆ มากกว่าถ่ายทำในสตูดิโอ โดยทีมสร้างได้เดินทางไปถ่ายทำใน 80 สถานที่จาก 8 ประเทศ ทั้งเวียดนาม, กัมพูชา, เนปาล, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, อังกฤษ, ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา  

 

รวมถึงประเทศไทย ที่ทีมสร้างได้ออกเดินทางมาถ่ายทำในสถานที่สำคัญๆ ถึง 40 สถานที่ ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศไทย เช่น สะพานมอญ จังหวัดกาญจนบุรี, บ้านมุง จังหวัดพิษณุโลก, อ่าวนาง จังหวัดกระบี่, ปราสาทสัจธรรม จังหวัดชลบุรี, สถานีรถไฟแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ฯลฯ เรียกได้ว่าผู้ชมชาวไทยจะได้สัมผัสกับสถานที่ที่คุ้นเคยในบรรยากาศของภาพยนตร์ไซไฟโลกอนาคตอย่างแน่นอน 

 

โดยผู้กำกับ Gareth Edwards ได้กล่าวถึงการเดินทางมาถ่ายทำในประเทศไทยว่า “ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศไทย และทีมของพวกเราได้เดินทางกว่า 10,000 ไมล์ในประเทศต่างๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ภาพยนตร์เรื่องนี้เราถ่ายทำในไทยกว่า 40 สถานที่ ใน 17 จังหวัด เราเลือกประเทศไทยเป็นประเทศหลักในการถ่ายทำ เพราะประเทศไทยมีครบทุกอย่างที่เราต้องการ มีทีมงานโปรดักชันที่ยอดเยี่ยมมากๆ สถานที่ถ่ายทำหลากหลาย ทั้งชายหาดที่กระบี่ ถนนสุดพลุกพล่านในกรุงเทพฯ และป่าในเชียงใหม่ และเราใช้โรงแรมกว่า 150 แห่งตลอดการถ่ายทำ ซึ่งมากกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่เคยมีมา นอกจากนี้ คนไทยมีความจริงใจ ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจตลอด 9 เดือนในการถ่ายทำ”

 

The Creator  

 

ทัพนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังมากฝีมือที่มาร่วมรังสรรค์โลกอนาคต 

นอกเหนือจากชื่อของ Gareth Edwards ที่มานั่งแท่นผู้กำกับ เขียนบท และโปรดิวเซอร์ ภาพยนตร์ยังเนืองแน่นด้วยทีมงานเบื้องหลังมากฝีมือที่มาร่วมสร้างสรรค์จินตนาการของผู้กำกับให้ปรากฏบนจอภาพยนตร์ นำโดย Chris Weitz ที่เคยร่วมงานกับ Gareth Edwards มาแล้วใน Rogue One: A Star Wars Story มารับหน้าที่เขียนบทร่วม, Greig Fraser เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Dune (2021) และ Oren Soffer จาก Action Royale (2021) มาดูแลในตำแหน่งผู้กำกับภาพ

 

James Clyne จาก Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker (2019) มารับหน้าที่ออกแบบงานสร้าง, Hank Corwin จาก Don’t Look Up (2021), Scott Morris จาก Armageddon Time (2022) และ Joe Walker เจ้าของรางวัลออสการ์จาก Dune มารับหน้าที่ตัดต่อ และคอมโพเซอร์มากฝีมืออย่าง Hans Zimmer จาก Interstellar (2014), Dune ฯลฯ มารับหน้าที่ประพันธ์ดนตรีประกอบ 

 

เสริมทัพด้วยทีมนักแสดงเจ้าบทบาทที่จะมาร่วมสงครามครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น John David Washington จาก Tenet, Gemma Chan จาก Eternals (2021), Ken Watanabe จาก The Last Samurai (2003), Sturgill Simpson จาก Killers of the Flower Moon (2023), Allison Janney จาก I, Tonya (2017) และ Madeleine Yuna Voyles

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: 

 

 

อ้างอิง:

The post เปิดเกร็ดน่าสนใจ The Creator หนังไซไฟฟอร์มยักษ์จากผู้กำกับ Rogue One ที่เดินทางมาถ่ายทำในไทยถึง 17 จังหวัด appeared first on THE STANDARD.

]]>
Diego Luna กลับมารับบทสายลับแห่งกลุ่มกบฏใน Andor ซีรีส์ภาคต้น Rogue One: A Star Wars Story 21 ก.ย. นี้ https://thestandard.co/diego-luna-come-back-playing-andor-series-on-rogue-one-a-star-wars-story/ Tue, 02 Aug 2022 01:18:14 +0000 https://thestandard.co/?p=661415 Diego Luna

Andor ซีรีส์เรื่องล่าสุดจากจักรวาล Star Wars ที่จะบอกเล […]

The post Diego Luna กลับมารับบทสายลับแห่งกลุ่มกบฏใน Andor ซีรีส์ภาคต้น Rogue One: A Star Wars Story 21 ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Diego Luna

Andor ซีรีส์เรื่องล่าสุดจากจักรวาล Star Wars ที่จะบอกเล่าเรื่องราว 5 ปีก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์ Rogue One: A Star Wars Story (2016) ได้มีการปล่อยตัวอย่างฉบับเต็มมาให้แฟนๆ ได้ติดตาม โดยซีรีส์มีกำหนดฉาย 3 อีพีแรกในวันที่ 21 กันยายนนี้ ทาง Disney+ Hotstar

 

 

ตัวซีรีส์จะพาผู้ชมไปสำรวจเรื่องราวของ Cassian Andor (Diego Luna) หนึ่งในตัวละครหลักจาก Rogue One ในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะกลายเป็นวีรบุรุษ เมื่อบ้านเกิดของเขาถูกพวกจักรวรรดิเข้าโจมตี จนทำให้เขาต้องหลบหนีและกลายเป็นผู้อพยพ เรื่องราวการผจญภัยของสายลับแห่งกลุ่มกบฏจึงเริ่มต้นขึ้น 

 

Tony Gilroy ผู้เป็น Showrunner ของซีรีส์ และหนึ่งในมือเขียนบทจาก Rogue One: A Star Wars Story เปิดเผยรายละเอียดของซีรีส์ว่า Andor จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ซีซัน ซีซันละ 12 อีพี โดยซีซันที่ 2 มีกำหนดการถ่ายทำในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้  

 

นอกจากชื่อของ Tony Gilroy แล้ว ซีรีส์จะได้ 3 ผู้กำกับมากฝีมือมารับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวครั้งนี้ นำโดย Benjamin Caron จาก The Crown (2016), Toby Haynes จาก Black Mirror (2017) และ Susanna White

 

Andor ยังคงได้ Diego Luna นักแสดงนำจาก Rogue One: A Star Wars Story กลับมารับบทเป็น Cassian Andor เช่นเดิม และเสริมทัพด้วยทีมนักแสดงมากฝีมืออย่าง Stellan Skarsgård จาก Good Will Hunting (1997), Genevieve O’Reilly จาก Rogue One: A Star Wars Story, Adria Arjona จาก Pacific Rim: Uprising (2018) และ Fiona Shaw จาก Harry Potter and the Sorcerer’s Stone (2001)

 

รับชมตัวอย่างแรกได้ที่ 

 

 

อ้างอิง:

The post Diego Luna กลับมารับบทสายลับแห่งกลุ่มกบฏใน Andor ซีรีส์ภาคต้น Rogue One: A Star Wars Story 21 ก.ย. นี้ appeared first on THE STANDARD.

]]>
คนทำหนังจะทำอย่างไร เมื่อหนังที่สร้างมากำลังร่วงลงเหวตั้งแต่ยังไม่เข้าฉาย https://thestandard.co/movie-do-not-success/ https://thestandard.co/movie-do-not-success/#respond Thu, 21 Dec 2017 12:39:31 +0000 https://thestandard.co/?p=57038

  หลังจากเควิน สเปซีย์ ต้องคดีล่วงละเมิดทางเพศ หนั […]

The post คนทำหนังจะทำอย่างไร เมื่อหนังที่สร้างมากำลังร่วงลงเหวตั้งแต่ยังไม่เข้าฉาย appeared first on THE STANDARD.

]]>

 

หลังจากเควิน สเปซีย์ ต้องคดีล่วงละเมิดทางเพศ หนังเรื่อง All the Money in the World (2017) ที่เขานำแสดงก็ได้รับผลกระทบทันที เพราะตัวหนังมีแผนฉายช่วงวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งทุกอย่างถูกโปรโมตออกไปหมดแล้ว และมีแววว่าโรงหนังจะประท้วงจนไม่ยอมฉายหนังเรื่องนี้ ทางผู้กำกับ ริดลีย์ สก็อตต์ และโปรดิวเซอร์นั้นเห็นด้วยกับมาตรการลงโทษสเปซีย์ พวกเขาคิดว่าถูกต้องแล้วที่หนังเรื่องนี้จะไม่มีสเปซีย์อีกต่อไป แต่พวกเขาก็ต้องรีบหาทางออกใหม่เพื่อรักษาหนังเรื่องนี้เอาไว้ เพราะทั้งคู่เห็นว่าหนังเรื่องนี้จะต้องไม่ล้มตายเพราะคนคนเดียว และมันคือหนังของทีมงานทั้ง 800 ชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจไปเจรจากับทางสตูดิโอเพื่อขอ reshoot จนสำเร็จและได้งบมา 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ซึ่งคิดเป็น 1/4 ของต้นทุนหนังจำนวน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ) พวกเขามีเวลาเพียง 8 สัปดาห์ก่อนหนังฉาย โดยที่ได้คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ มาแสดงแทนทุกฉากที่เควิน สเปซีย์ เคยแสดงไว้ -แม้จะมีข้อจำกัดสุดโหดทั้งเรื่องงบและเวลาที่มี แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำสำเร็จทันฉาย

 

การสร้างภาพยนตร์เป็นการชนกันระหว่างคนจำนวนมากมาย คนปะทะกับสถานที่ถ่ายทำ ตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษบทภาพยนตร์ปะทะกับความจริงในการถ่ายทำ ว่าง่ายๆ คือคนทำหนังเจอกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ตลอดเวลา ก่อนหน้าจะไปออกกองถ่าย ก็ได้เผชิญเพียงจินตนาการในหัวว่ามันน่าจะออกมาเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่หลายๆ ครั้งพอมาอยู่ในกองถ่ายจริง นักแสดงเตรียมแสดงแล้ว บางทีก็ยังพบว่าไม่เป็นเหมือนที่คิดเลย จนกระทั่งถ่ายทำเสร็จ ตัดต่อเสร็จถึงค่อยมานั่งช็อกว่า อ้าว เฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา ตอนเขียนบทนี่ชอบมาก มั่นใจมาก แต่พอถ่ายออกมาเป็นหนัง ทำไมไม่เศร้าเท่าที่คิด ทำไมไม่ฮาเท่าที่คิด, ลุงวู้ดดี้ อัลเลน เคยพูดไว้ว่า การตัดต่อหนังนี่มันคือการเอาตัวรอดจากความฉิบหายของฟุตเทจที่มีอยู่ในมือ บางครั้งหนังไม่ค่อยฮา พอเอาไปตัดต่อใหม่ดีๆ นี่ฮาขึ้น แต่หลายๆ ครั้งการตัดต่อก็ไม่สามารถเซฟชีวิตใครได้ ถ้าไม่มีช็อตใหม่ๆ หรือซีนใหม่ๆ มาเสริม หนังก็จะเป็นอย่างเดิมอยู่วันยังค่ำ

 

เขาจึงมีกระบวนการ reshoot ขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสแก้ตัวและต่อชีวิต

 

All the Money in the World (2017)

 

การ reshoot เป็นวันสำรองถ่ายที่มีเผื่อไว้ตามปกติ จริงๆ น่าจะเป็นกระบวนการกันช็อกสำหรับเจ้าของสตูดิโอ เพราะเจ้าของไม่สามารถลงไปดูด้วยได้ทุกขั้นตอน หรือต่อไปให้ไปออกกองด้วย บางทีก็คิดไม่ออกหรอกว่าหนังจะออกมาเป็นยังไง ดังนั้นวันพวกนี้จะถูกสำรองไว้เผื่อแก้เสมอ ซึ่งการ reshoot อาจจะเป็นการยกกองถ่ายกลับไปถ่ายแก้ไขบางฉากให้สนุกหรือซึ้งขึ้นโดยการถ่ายช็อตเล็กๆ เพิ่มเติม (เช่น หนังยังขาดช็อตพระเอกทำหน้าเจ็บปวดมากๆ เพื่อจะได้ทำให้ฉากนั้นเศร้ากว่าเดิม) หรือถ่ายซีนใหม่ขึ้นมาเพื่อเอากลับไปเสริมหนัง (เช่น หนังยังขาดซีนพระเอกไปหาแม่ เพื่อจะให้คนดูเข้าใจเหตุผลในการกระทำของพระเอกมากขึ้น ก็ต้องเขียนบทและออกไปถ่ายเพิ่ม) หลายๆ ครั้งมันก็มีไว้แก้ปัญหาอันใหญ่หลวง เช่น นักแสดงบาดเจ็บขณะถ่ายทำ หรือนักแสดงเสียชีวิต

 

แต่บางครั้งการ reshoot ก็ไม่ได้เป็นแค่การซ่อมหนัง แต่มันคือการเปลี่ยนหนังครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการต่อสู้ของผู้กำกับและสตูดิโอ ตัวอย่างเช่น ที่ผ่านมาทางดิสนีย์สั่งแก้หนังชุด Rogue One: A Star Wars Story (2016) แบบเละเทะ อาจจะด้วยหนังที่ออกมาไม่ได้เป็นไปตามทิศทางที่สตูดิโอต้องการ (ไม่ใช่เรื่องความต้องการส่วนตัวของผู้กำกับ) จนต้องมีการสั่งถ่ายใหม่แบบยกเครื่อง หรือหนังบางเรื่อง ตอนแรกผู้กำกับอาจจะคุยกับสตูดิโอไว้ว่าหนังมันจะเป็นผีจิตวิทยาช้าๆ ค่อยๆ เล่านะครับ ทุกคนก็เห็นชอบ แต่พอถ่ายเสร็จ สตูดิโอดูแล้วช็อก และอาจนอยด์ว่ามันช้าเกินไปสำหรับหนังสตูดิโอ เลยขอถ่ายใหม่หมดเลย เอาแบบเร็วกว่านี้ ขอผีตูมตามแบบประเพณีนิยมกลับมาอีกครั้งดีกว่า (เจอแบบนี้ก็เซ็งนะ ก็คุยกันแล้วนี่หว่า ไม่ใช่ไม่เคยคุยว่ามันจะช้าๆ)

 

การซ่อมหนังตามใจสตูดิโอแบบนี้ หลายๆ ครั้งนี่คือการลามไปถึงการถ่ายฉากจบแบบใหม่ การจ้างคนเขียนบทและผู้กำกับคนอื่นมาทำแทนผู้กำกับเดิม หรือการยอมถ่ายย้อนหลังใหม่หมด เพราะเกิดจากการเปลี่ยนนักแสดงกลางคัน เช่น หนังเรื่อง Back to the Future (1985) ที่ตอนแรกนั้นไม่ได้นำแสดงโดยไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ อย่างที่เราเห็นอยู่ แต่เป็นเอริก สโตลท์ซ, ซึ่งหลังจากถ่ายเอริกไป 5 สัปดาห์ถึงค่อยมีการเปลี่ยนตัว ด้วยเหตุผลทางแอ็กติ้งของพี่เอริกที่เครียดเกิน เพราะหนังอยากให้มีมู้ดคอเมดี้ พี่เอริกคงเสียใจไปหลายจำนวน เพราะสุดท้ายออกมาประสบความสำเร็จจนกลายเป็นหนังคลาสสิก

 

Fantastic Four (2015)

 

ดังนั้นไม่น่าแปลกที่การ reshoot นั้นมักก่อให้เกิดดราม่าได้ง่ายๆ ผู้กำกับหลายคนออกมาประกาศความไม่พอใจในสื่อไปเลย ตัวอย่างเช่น จอช แทรงก์ ผู้กำกับ Fantastic Four เวอร์ชัน 2015 ที่หนังโดนสตูดิโอแก้เละจนเขาทวีตประกาศก่อนหนังฉายไม่กี่วันเลยว่า น่าเสียดายที่เวอร์ชันที่เขาทำนั้นไม่ได้ฉายสู่สายตาผู้ชม แต่หลายๆ สายข่าวก็บอกว่าตัวจอชนั้นเอาหนังไม่อยู่ เลยออกมาแย่จนสตูดิโอต้องหาทาง reshoot แก้ไข -เอาจริงๆ เรื่องนี้ไม่สามารถสรุปความจริงใดๆ ได้เลย การสร้างหนังเป็นเรื่องที่วัดผลความดีความงามได้ยากมาก อาจจะเป็นที่จอชจริงๆ หรืออาจเป็นที่สตูดิโอก็ได้

 

แต่อีกเหตุผลสำคัญคือ ที่การทำหนังเรื่องหนึ่งมีราคาแพงและคล้ายการพนันสูงมากเพราะเรามีโอกาสเดียวในการฉาย และจะแก้ไขไม่ได้อีก เราไม่สามารถเข้าฉายแล้วค่อยอัพเดตเฟิร์มแวร์เพื่อปรับปรุงบางฉากให้ดีขึ้น มันฉายแล้วฉายเลย ดีก็ดีเลย เจ๊งก็เจ๊งเลย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกถ้าเจ้าของสตูดิโอจะขี้นอยด์ เพราะเขาลงเงินไปแล้วหลายสิบหลายร้อยล้าน หนึ่งในเหตุผลของริดลีย์ สก็อตต์ ในการซ่อม All the Money in the World ก็คือเขาไม่อยากให้คนที่ลงทุนไปกับหนังเรื่องนี้เสียเงินฟรี ดังนั้นเขาไปต่อสู้เพื่อให้ได้เงินอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐมากู้ชีวิตหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดีกว่า

 

การทำหนังนั้นจึงไม่มีโอกาสแก้ตัวมากนัก และโชคร้ายที่มันเป็นสื่อที่พัวพันกับคน เวลา สถานที่อย่างมาก มีสิทธิ์ผิดพลาดและไม่เป็นไปตามที่คิดสูงมาก คนทำหนังจึงต้องมีสติพร้อมแก้ไขหนังตลอดเวลา ตัวริดลีย์ สก็อตต์ เองก็ยังพูดว่า ด้วยความที่แต่ก่อนผมทำโฆษณามามาก ในกองถ่ายโฆษณานั้นจะมีปัญหาเกิดขึ้นตลอดเวลา และเวลาปัญหาเกิดขึ้น ผมไม่ได้มานั่งเศร้าหรอก ผมจะคิดต่อไปเลยว่าเราจะทำอย่างไรดี

 

คิดดีๆ อีกทีก็อาจจะเป็นโชคดีของคนทำหนังเหมือนกัน เพราะนี่คืออาชีพที่ทำให้เราระลึกถึงสติมากที่สุด

 

 

The post คนทำหนังจะทำอย่างไร เมื่อหนังที่สร้างมากำลังร่วงลงเหวตั้งแต่ยังไม่เข้าฉาย appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/movie-do-not-success/feed/ 0