Roe v. Wade – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 12 Jun 2023 04:29:42 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ผลล้มล้างคำตัดสินศาลสูงคดี Roe v. Wade และทรัมป์ ทำให้รีพับลิกันไปไม่ถึงฝันในเลือกตั้งกลางเทอม 2022 https://thestandard.co/roe-v-wade-trump-overturn/ Thu, 10 Nov 2022 05:19:43 +0000 https://thestandard.co/?p=706958

ผลการเลือกตั้งกลางเทอมในคืนวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมาน […]

The post ผลล้มล้างคำตัดสินศาลสูงคดี Roe v. Wade และทรัมป์ ทำให้รีพับลิกันไปไม่ถึงฝันในเลือกตั้งกลางเทอม 2022 appeared first on THE STANDARD.

]]>

ผลการเลือกตั้งกลางเทอมในคืนวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้นถือว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร เพราะพรรครีพับลิกันไม่สามารถเอาชนะเดโมแครตได้อย่างเด็ดขาดตามที่นักวิเคราะห์หลายคนได้ทำนายไว้ โดยในส่วนของสภาสูงนั้น พวกเขายังไม่สามารถพลิกกลับมาเอาชนะมลรัฐที่เดโมแครตครองที่นั่งอยู่ได้เลย (แต่ยังมี 3 มลรัฐที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จ ได้แก่ แอริโซนา, เนวาดา และจอร์เจีย โดยที่คะแนนของสองพรรคสูสีกันมาก) แถมพวกเขายังต้องเสียที่นั่งของตัวเองที่เพนซิลเวเนียไปด้วยซ้ำ ทำให้โอกาสที่รีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาแทบจะเป็นศูนย์

 

ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร ในขณะนี้ยังมีเขตการเลือกตั้งที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จอยู่ประมาณ 20 เขต ทำให้ยังไม่อาจทราบได้ว่าพรรคใดจะเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมาก แต่ก็คาดการณ์กันว่ารีพับลิกันจะเป็นฝ่ายชนะด้วยที่นั่งรวมที่ประมาณ 220-225 ที่นั่ง แปลว่าพวกเขาชิงที่นั่งมาจากเดโมแครตได้แค่ประมาณ 10 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่พรรคของประธานาธิบดีมักจะเสียที่นั่งในการเลือกตั้งกลางเทอมโดยเฉลี่ยที่ 26 ที่นั่ง 

 

ไบเดนมีคะแนนนิยมในระดับต่ำ

ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง เป็นที่คาดการณ์กันว่าเดโมแครตน่าจะแพ้ในศึกการเลือกตั้งกลางเทอม เพราะชาวอเมริกันไม่ชอบให้พรรคใดพรรคหนึ่งครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และคะแนนนิยมที่ตกต่ำของไบเดนจากปัญหาเงินเฟ้อและสินค้าราคาแพงก็น่าจะยิ่งทำให้ชาวอเมริกันหันไปลงคะแนนให้รีพับลิกัน เพื่อเป็นการลงโทษไบเดนจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด (คะแนนนิยมของไบเดนตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 42% ไม่ต่างจากสมัยการเลือกตั้งกลางเทอมของทรัมป์ที่รีพับลิกันเสียที่นั่งไป 42 ที่นั่ง)

 

คดี Roe v. Wade

นักการเมืองของพรรคเดโมแครตรู้ดีว่าคะแนนนิยมของไบเดนนั้นตกต่ำ และเศรษฐกิจของประเทศก็กำลังประสบปัญหาเงินเฟ้อในระดับสูง ทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่หาเสียงด้วยการพูดถึงผลงานของรัฐบาล แต่เลือกที่จะพูดถึงกรณีการกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade ของศาลสูงสุดหรือ Supreme Court ซึ่งมีการออกคำพิพากษาใหม่เพื่อล้มล้างคำพิพากษาเดิมในคดี Roe v. Wade ที่ปกป้องสิทธิในการทำแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์แก่สตรีทั่วประเทศมากว่า 50 ปี ส่งผลให้การทำแท้งกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายในหลายรัฐ 

 

เดโมแครตพยายามโจมตีผู้สมัครของรีพับลิกันว่าเป็นพวกขวาจัด ที่จะเข้าไปในสภาเพื่อออกกฎหมายมาจำกัดสิทธิในการทำแท้งของสตรีชาวอเมริกัน (ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันกว่า 2 ใน 3 ไม่เห็นด้วย) และกลยุทธ์การหาเสียงของพวกเขาก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะผลเอ็กซิตโพลพบว่า ชาวอเมริกันที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งเกือบ 30% ระบุว่าสิทธิในการทำแท้งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของการเลือกตั้งครั้งนี้

 

ทรัมป์และเหตุจลาจลที่รัฐสภา

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พรรครีพับลิกันเสียคะแนนนิยมคือเหตุจลาจลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคมปี 2021 ที่ผู้สนับสนุนของทรัมป์พยายามบุกเข้ายึดรัฐสภาเพื่อขัดขวางการลงคะแนนรับรองไบเดนเป็นประธานาธิบดี เพราะทรัมป์กล่าวหาว่าไบเดนโกงเลือกตั้ง (ซึ่งต่อมาก็มีการพิสูจน์แล้วว่าคำกล่าวหานี้ไม่จริง)

 

เหตุการณ์จลาจล ประกอบกับการที่ทรัมป์และนักการเมืองของรีพับลิกันหลายคนยังกล่าวอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ทรัมป์ไม่ได้แพ้เลือกตั้ง และมีการโกงการเลือกตั้งเป็นวงกว้างในปี 2020 ทำให้ชาวอเมริกันที่อยู่กลางๆ จำนวนมากไม่พอใจพรรครีพับลิกัน เพราะพวกเขามองว่าการกระทำของทรัมป์และพรรคพวกนั้นเป็นอันตรายต่อความมั่งคงของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (และนี่ก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่เดโมแครตใช้ในการหาเสียง รวมถึงการปราศรัยใหญ่ของไบเดนก่อนวันเลือกตั้ง)

 

ที่สำคัญ ทรัมป์ยังใช้ประเด็นเรื่องการโกงเลือกตั้งมาเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะสนับสนุนใครในการเลือกตั้งขั้นต้น (กล่าวคือ เขาจะสนับสนุนผู้สมัครที่เห็นด้วยกับเขาว่าไบเดนโกงเลือกตั้งเท่านั้น) ทำให้พรรคได้ผู้สมัครแบบขวาจัดมาเป็นผู้แทนพรรคในหลายเขตเลือกตั้ง แล้วก็พ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครจากเดโมแครตที่ดูมีความเป็นคนกลางๆ มากกว่า เช่น โดนัลด์ โบลดัก ที่แพ้ให้กับ แมกกี แฮสซัน ที่มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์

 

ยุคหลังทรัมป์?

ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทำให้นักการเมืองหลายคนของรีพับลิกันเริ่มย้อนกลับมาถามตัวเองแล้วว่า การที่พรรคยังให้ทรัมป์เป็นผู้นำพรรคนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะทรัมป์นำพรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้งติดต่อกันมาแล้วถึงสองครั้ง แต่อย่างไรก็ดีด้วยความที่ฐานเสียงของพรรคยังภักดีต่อทรัมป์มาก การที่ใครมาจะแย่งตำแหน่งผู้นำจากเขาได้นั้นคงยังเป็นเรื่องที่ลำบากมาก

 

ภาพ: Getty Images

The post ผลล้มล้างคำตัดสินศาลสูงคดี Roe v. Wade และทรัมป์ ทำให้รีพับลิกันไปไม่ถึงฝันในเลือกตั้งกลางเทอม 2022 appeared first on THE STANDARD.

]]>
รีพับลิกันกุมความได้เปรียบในโค้งสุดท้ายก่อนศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ https://thestandard.co/usa-election-republican-advantages/ Mon, 07 Nov 2022 01:30:50 +0000 https://thestandard.co/?p=705073 เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ

มาถึงโค้งสุดท้ายแล้วก่อนศึกเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 จะเ […]

The post รีพับลิกันกุมความได้เปรียบในโค้งสุดท้ายก่อนศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ

มาถึงโค้งสุดท้ายแล้วก่อนศึกเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 จะเปิดคูหาในวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์กันว่าพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกันจะเป็นผู้มีชัยกุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

 

  • ชาวอเมริกันชอบเลือกพรรคตรงข้ามไปคานอำนาจ

โดยปกติแล้วพรรคของประธานาธิบดีมักเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในศึกการเลือกตั้งกลางเทอม เพราะชาวอเมริกันไม่ชอบให้พรรคใดพรรคหนึ่งครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (จะยกเว้นก็แต่ในกรณีที่ตัวประธานาธิบดีเองได้รับความนิยมสูงมากๆ อย่างเช่นในกรณีของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในการเลือกตั้งปี 2002 ที่เขาได้รับคะแนนนิยมอย่างสูงจากภาวะผู้นำหลังเหตุวินาศกรรมที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หรือเหตุการณ์ 9-11)

 

ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ นักวิเคราะห์ทางการเมืองก็วิเคราะห์กันแต่แรกอยู่แล้วว่าพรรครีพับลิกันน่าจะชนะเลือกตั้งและกลายมาเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากได้ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

 

  • การกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade จะเป็นจุดเปลี่ยนหรือไม่?

อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศาลสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ Supreme Court ได้ออกคำพิพากษาใหม่เพื่อเป็นการล้มล้างคำพิพากษาเดิมในคดี Roe v. Wade ที่ปกป้องสิทธิในการทำแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์แก่สตรีทั่วประเทศมากว่า 50 ปี ทำให้ในตอนนี้การทำแท้งกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายไปเสียแล้วใน 18 มลรัฐ

 

ซึ่งการกลับคำตัดสินของคดี Roe v. Wade นี้ทำให้ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตซึ่งมีจุดยืนในการปกป้องสิทธิสตรีนั้นโกรธแค้นมาก ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีให้พวกเขาอยากออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงคนที่อยู่กลางๆ จำนวนหนึ่งก็เอนเอียงมาเทคะแนนให้เดโมแครต (เพราะคนอเมริกันกว่า 2 ใน 3 ไม่เห็นด้วยกับการแบนการทำแท้งในระยะครรภ์ไตรมาสที่หนึ่ง) ทำให้คะแนนนิยมของผู้สมัครจากเดโมแครตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน จนดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะรักษาเสียงข้างมากในสภาสูงไว้ได้ และมีโอกาสพอสมควรที่จะรักษาสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้ด้วย

 

  • แต่สุดท้ายแล้วการเมืองก็คือเรื่องปากท้อง

อย่างไรก็ดี เมื่อการหาเสียงเลือกตั้งมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย คะแนนนิยมของผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ด้วยแผนการหาเสียงที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องปากท้องเป็นหลัก โดยพรรครีพับลิกันได้พยายามชี้ให้ชาวอเมริกันเห็นว่านโยบายการใช้เงินแบบมือเติบของ โจ ไบเดน (1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโควิด และอีก 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน) นั้นเป็นการบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดินที่ผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี จนเกิดปัญหาข้าวยากหมากแพงจนประชาชนเดือดร้อนไปทั่ว

 

นอกจากนี้ รีพับลิกันก็ยังโจมตีไบเดนและเดโมแครตว่าเป็นพวกไม่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามอาชญากรรม โดยเอาเรื่องที่พรรคพยายามจะลดงบประมาณของตำรวจ และการที่ไบเดนประกาศให้อภัยโทษกับนักโทษคดีกัญชามาเป็นเครื่องมือในการโจมตี

 

ซึ่งการโจมตีของรีพับลิกันก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะคะแนนนิยมของไบเดนในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่แค่ที่ประมาณ 40-42% เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับเดียวกับทรัมป์ก่อนที่รีพับลิกันจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2018 ที่พวกเขาเสียที่นั่งในสภาล่างไปถึง 40 ที่นั่ง

 

เช่นเดียวกัน คะแนนนิยมโดยรวมของผู้สมัครของเดโมแครตจากที่เคยนำผู้สมัครจากรีพับลิกันที่เกือบๆ 3% ในช่วงหลังการกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade ก็กลายมาเป็นรีพับลิกันนำที่ประมาณ 2% แทน

 

  • รีพับลิกันมีโอกาสสูงมากที่จะชนะที่สภาล่าง แต่สภาสูงยังไม่แน่นอน

ด้วยคะแนนนิยมโดยรวมที่สูงกว่า ตอนนี้ก็ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วว่ารีพับลิกันน่าจะกลายมาเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (ยกเว้นแต่ว่าผลโพลจะผิดพลาดและประเมินความนิยมของผู้สมัครจากเดโมแครตต่ำเกินไป)

 

แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนของวุฒิสภานั้น เดโมแครตยังมีโอกาสจะรักษาเสียงข้างมากไว้ได้อยู่ เพราะผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันหลายคนมีคะแนนความนิยมส่วนตัวที่ไม่สูงนัก เช่น นพ.เมห์เหม็ด ออซ ที่เพนซิลเวเนีย ซึ่งเคยมีเรื่องอื้อฉาวจากการขายอาหารเสริมที่ไม่มีประสิทธิภาพ, เฮอร์เชล วอล์กเกอร์ ที่จอร์เจีย ซึ่งมีคดีอื้อฉาวจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว และ โดนัลด์ โบลดัก ที่นิวแฮมป์เชียร์ ที่ยังคงกล่าวหาว่าไบเดนนั้นโกงการเลือกตั้งในปี 2020 (ซึ่งถูกพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วนว่าไม่จริง) ทำให้ผลการเลือกตั้งยังออกมาได้ทั้งสองหน้า

ภาพ: Jakub Porzycki / NurPhoto via Getty Images

The post รีพับลิกันกุมความได้เปรียบในโค้งสุดท้ายก่อนศึกเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Selena Gomez กล่าวว่า ผู้ชายทุกคนควรลุกขึ้นมาต่อต้านคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ที่ประกาศยกเลิกกฎหมายทำแท้งเสรี https://thestandard.co/selena-gomez-us-court-abortion-ruling/ Sat, 02 Jul 2022 04:09:51 +0000 https://thestandard.co/?p=649209 Selena Gomez

ระหว่างเดินพรมแดงในงานเปิดตัวซีรีส์ Only Murders in the […]

The post Selena Gomez กล่าวว่า ผู้ชายทุกคนควรลุกขึ้นมาต่อต้านคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ที่ประกาศยกเลิกกฎหมายทำแท้งเสรี appeared first on THE STANDARD.

]]>
Selena Gomez

ระหว่างเดินพรมแดงในงานเปิดตัวซีรีส์ Only Murders in the Building ซีซัน 2 ทางป๊อปสตาร์และนักแสดงสาว Selena Gomez (เซเลนา โกเมซ) ก็ได้แวะให้สัมภาษณ์กับ Variety เกี่ยวกับประเด็นที่ศาลสูงสหรัฐฯ ประกาศพลิกคำตัดสินให้ยกเลิกกฎหมายการทำแท้งเสรี (Roe v. Wade) 

 

โดยเธอทั้งวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันยังพูดถึงสิ่งที่วงการฮอลลีวูดสามารถทำเพื่อสนับสนุนและปกป้องสิทธิในการทำแท้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายของหญิงชาวอเมริกัน พร้อมบอกอีกว่าผู้ชายทุกคนก็ควรลุกขึ้นมาต่อต้านการพลิกคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ครั้งนี้ด้วย

 

“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียกร้องให้พวกผู้ชายทุกคนหยัดยืนและแสดงการต่อต้านกับปัญหานี้ และแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของผู้หญิงหลายคนที่ต้องเจ็บปวด ฉันรู้สึกไม่มีความสุขเลย ด้วยพลังของพวกเรา ฉันหวังว่าเราจะสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมันได้”

 

Selena Gomez นับเป็นหนึ่งในศิลปินและเซเลบคนดังจำนวนมากที่แสดงความไม่เห็นด้วยตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศออกมาว่า ศาลสูงสหรัฐฯ ได้พลิกคำตัดสินให้ยกเลิกกฎหมายทำแท้งเสรีซึ่งมีมานานกว่า 50 ปี โดยเธอเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองผ่านทาง Twitter ว่า เธอรู้สึกหวาดกลัวที่ต้องเห็นหญิงชาวอเมริกันถูกถอดถอนสิทธิในการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญไป และคิดว่าผู้หญิงทุกคนควรมีสิทธิในการตัดสินใจทำอะไรก็ได้ต่อร่างกายของตัวเอง

 

ภาพ: Kevin Mazur / Getty Images for Critics Choice Association  

อ้างอิง:

The post Selena Gomez กล่าวว่า ผู้ชายทุกคนควรลุกขึ้นมาต่อต้านคำตัดสินของศาลสูงสหรัฐฯ ที่ประกาศยกเลิกกฎหมายทำแท้งเสรี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำไมคำพิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ ที่ล้มล้างคำตัดสินคุ้มครองสิทธิทำแท้งของสตรี จึงสะเทือนกลุ่ม LGBTQIA+ https://thestandard.co/usa-supreme-court-abortion-case-effect-lgbtqia-group/ Fri, 01 Jul 2022 05:51:46 +0000 https://thestandard.co/?p=648852 LGBTQIA

การที่ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา หรือ Supreme Court ได้ออ […]

The post ทำไมคำพิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ ที่ล้มล้างคำตัดสินคุ้มครองสิทธิทำแท้งของสตรี จึงสะเทือนกลุ่ม LGBTQIA+ appeared first on THE STANDARD.

]]>
LGBTQIA

การที่ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา หรือ Supreme Court ได้ออกคำพิพากษาใหม่เพื่อเป็นการล้มล้างคำพิพากษาเดิมในคดี Roe v. Wade ที่เคยคุ้มครองสิทธิในการทำแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์แก่สตรีในทุกมลรัฐนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสตรีชาวอเมริกันนับล้านคน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในมลรัฐที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ ที่สำคัญไปกว่านั้นเหตุผลที่ศาลสูงใช้ในการล้มล้างคำตัดสินในคดี Roe v. Wade อาจจะนำไปสู่คำล้มล้างในอีกหลายๆ คดีที่เคยเป็นชัยชนะที่สำคัญของฝ่ายเสรีนิยม

 

สิทธิความเป็นส่วนตัว (Right of Privacy)

ศาลสูงสหรัฐฯ ให้เหตุผลในการตัดสินคดี Roe v. Wade ในปี 1973 ว่าการทำแท้งของสตรีนั้นถูกคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นสิทธิในความเป็นส่วนตัวที่ชาวอเมริกันจะทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเองตราบใดที่ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น (Right of Privacy) ซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานที่ศาลสูงยึดถือมาจากคดีที่พวกเขาพิจารณาในปี 1965 คดีนั้นมีชื่อว่า Griswold v. Connecticut ซึ่งตัดสินไว้ว่ารัฐบาลระดับมลรัฐจะออกกฎหมายห้ามจำหน่ายยาคุมกำเนิดเพราะผิดต่อหลักศาสนาคริสต์ไม่ได้ 

 

แต่อย่างไรก็ดี Right of Privacy นั้นไม่ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่เป็นการที่ผู้พิพากษาชุดนั้นอนุมานเอามาจาก Fourth Amendment ที่บอกว่าห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐค้นหรือจับกุมชาวอเมริกันโดยไม่มีเหตุอันควร และจาก Fifth Amendment ที่ระบุว่าชาวอเมริกันมีสิทธิที่จะไม่ให้ปากคำที่จะเป็นโทษกับตัวเอง

คณะผู้พิพากษาศาลสูงปัจจุบันมีความเห็นตรงข้าม

เนื่องจากสิทธิในความเป็นส่วนตัวไม่ได้มีการระบุไว้ตรงๆ ในรัฐธรรมนูญ ทำให้คำตัดสินในคดี Roe v. Wade ในปี 1973 นั้นเป็นคำตัดสินที่ค่อนข้างอ่อน และฝ่ายอนุรักษนิยมก็หวังมาตลอดว่าพวกเขาจะสามารถกลับคำตัดสินในคดี Roe v. Wade ได้เมื่อไรก็ตามที่พวกเขามีเสียงข้างมากในศาลสูง ซึ่งแม้แต่ผู้พิพากษาของฝ่ายเสรีนิยมอย่าง รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ก็แสดงถึงความกังวลในเรื่องนี้มาตลอด 

 

เธอเคยกล่าวปาฐกถาในหลายโอกาสว่า คณะผู้พิพากษาศาลสูงชุดนั้นน่าจะเอาคดีที่เธอทำอย่าง Struck v. Secretary of Defense มาตัดสินเพื่อทำให้การทำแท้งถูกกฎหมายมากกว่า เพราะในคดีนั้นกินส์เบิร์กได้พยายามต่อสู้ด้วยการเอา Equal Protection Clause (ซึ่งมีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญตรงๆ) มาอ้าง ซึ่งน่าจะเป็นหลักกฎหมายที่เข้มแข็งกว่า

 

ซึ่งในที่สุดความกังวลของกินส์เบิร์กก็กลายมาเป็นความจริง เมื่อฝ่ายอนุรักษนิยมกลับมาครองเสียงข้างมากในศาลสูงอย่างเด็ดขาดเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ และได้กลับคำตัดสินของคดี Roe v. Wade ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

แรงสั่นสะเทือนไปถึงสิทธิของชาว LGTBQIA+

การที่คณะผู้พิพากษาชุดนี้ไม่ยอมรับถึงการมีอยู่ของ Right of Privacy ทำให้เกิดความวิตกกังวลขึ้นมาในฝ่ายเสรีนิยมว่า ศาลสูงชุดนี้อาจจะดำเนินการกลับคำตัดสินในอีกหลายๆ คดีที่ใช้หลัก Right of Privacy มาอ้างเช่นกัน เช่น คดี Griswold v. Connecticut ซึ่งเป็นคดีแรกที่มีการอ้างถึงหลักการนี้ และคดีที่เป็นหมุดหมายที่สำคัญของเสรีภาพของชาว LGBTQIA+ เช่น คดี Lawrence v. Texas ที่ระบุว่ารัฐบาลมลรัฐจะเอาผิดการร่วมเพศของคนเพศเดียวกันไม่ได้ (Sodomy Law) รวมถึงคดี Obergefell v. Hodges ที่ระบุว่าการแต่งงานของคนเพศเดียวต้องถูกกฎหมายในทุกมลรัฐ

 

ซึ่งความกังวลนี้ไม่ใช่เป็นการกระต่ายตื่นตูมไปเองของฝ่ายเสรีนิยมแต่อย่างใด เพราะผู้พิพากษาของฝ่ายอนุรักษนิยมคนหนึ่งอย่าง คลาเรนซ์ โทมัส ได้ให้ความเห็นลงไปในคำพิพากษาของคดี Roe v. Wade ด้วยว่า ศาลสูงควรจะพิจารณากลับคำตัดสินในอีกคดีของ LGBTQIA+ ที่กล่าวมาในข้างต้น และอัยการสูงสุดของมลรัฐเท็กซัสจากพรรครีพับลิกันอย่าง เคน แพกซ์ทัน ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลของมลรัฐเท็กซัสมีความพร้อมที่จะเอากฎหมาย Sodomy Law ออกมาบังคับใช้อีกครั้ง

 

ภาพ: Bill Clark / CQ-Roll Call, Inc via Getty Images

The post ทำไมคำพิพากษาศาลสูงสหรัฐฯ ที่ล้มล้างคำตัดสินคุ้มครองสิทธิทำแท้งของสตรี จึงสะเทือนกลุ่ม LGBTQIA+ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Lizzo และ Live Nation จะร่วมบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ แก่องค์กรที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงการทำแท้งอย่างปลอดภัย https://thestandard.co/lizzo-and-live-nation-pledge-1million-to-abortion-organisations-following-overturn-of-roe-v-wade/ Wed, 29 Jun 2022 04:51:21 +0000 https://thestandard.co/?p=647774 Lizzo

สืบเนื่องจากวันศุกร์ (24 มิถุนายน) เมื่อศาลสูงสหรัฐฯ ปร […]

The post Lizzo และ Live Nation จะร่วมบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ แก่องค์กรที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงการทำแท้งอย่างปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
Lizzo

สืบเนื่องจากวันศุกร์ (24 มิถุนายน) เมื่อศาลสูงสหรัฐฯ ประกาศพลิกคำตัดสินให้ยกเลิกกฎหมายทำแท้งเสรี (Roe v. Wade) ที่มีมาตั้งแต่ปี 1973 ทาง Lizzo ป๊อปสตาร์สาวหุ่นพลัสไซส์ก็ออกมาประกาศผ่าน Twitter ว่า เธอจะร่วมมือกับบริษัท Live Nation เพื่อบริจาคเงินสมทบทุนแก่องค์กรที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงการทำแท้งอย่างปลอดภัยเป็นจำนวน 1 ล้านดอลลาร์

 

โดย Lizzo จะนำเงินจำนวน 500,000 ดอลลาร์ที่ได้รับจากการทัวร์โปรโมตอัลบั้มใหม่ ซึ่ง Live Nation เป็นผู้สนับสนุนหลัก ไปสมทบทุนให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไรอย่าง Planned Parenthood ส่วนอีก 500,000 ดอลลาร์จะถูกนำไปสมทบทุนให้ National Network of Abortion Funds องค์กรยุติธรรมที่คอยช่วยเหลือหญิงชาวอเมริกันผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงการทำแท้งได้

 

“สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในตอนนี้คือการแสดงออกและส่งเสียงออกมาดังๆ ทั้ง Planned Parenthood และ National Network of Abortion Funds รวมถึงองค์กรอื่นๆ ที่เหมือนพวกเขาต้องการเงินสมทบทุนเพื่อเดินหน้าให้บริการ และช่วยเหลือผู้หญิงทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการพลิกคำตัดสินของศาลครั้งนี้”

 

สำหรับ Lizzo เธอกำลังจะปล่อยสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่อย่าง Special (2022) ออกมาให้ฟังในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ และกำลังจะออกทัวร์คอนเสิร์ตโซนอเมริกาเหนือชื่อ The Special Tour ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 23 กันยายน ณ FLA Live Arena เมืองซันไรซ์ รัฐฟลอริดา โดยเธอนับเป็นหนึ่งในศิลปินชื่อดังที่ออกมาแสดงความไม่พอใจ และประณามการพลิกคำตัดสินให้ยกเลิกกฎหมายทำแท้งเสรีของศาลสูงสหรัฐฯ ครั้งนี้ด้วย

 

ภาพ: Prince Williams / Getty Images 

อ้างอิง:

The post Lizzo และ Live Nation จะร่วมบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ แก่องค์กรที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงการทำแท้งอย่างปลอดภัย appeared first on THE STANDARD.

]]>
นี่คือสิทธิของผู้หญิง! บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง Disney, J.P. Morgan และ Facebook ออกนโยบายช่วยเหลือค่าเดินทางหากพนักงานต้องการ ‘ทำแท้ง’ https://thestandard.co/roe-v-wade-us-firms-pledge-to-pay-staff-travel-expenses-for-abortions/ Mon, 27 Jun 2022 06:09:36 +0000 https://thestandard.co/?p=646962 การทำแท้ง

บริษัทใหญ่ๆ ซึ่งรวมถึง Disney, J.P. Morgan และ Meta บริ […]

The post นี่คือสิทธิของผู้หญิง! บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง Disney, J.P. Morgan และ Facebook ออกนโยบายช่วยเหลือค่าเดินทางหากพนักงานต้องการ ‘ทำแท้ง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
การทำแท้ง

บริษัทใหญ่ๆ ซึ่งรวมถึง Disney, J.P. Morgan และ Meta บริษัทแม่ของ Facebook ได้บอกกับพนักงานว่า พวกเขาจะจ่ายค่าเดินทางของพนักงานหากต้องการ ‘ทำแท้ง’ เนื่องจากผู้หญิงหลายล้านคนในสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการจำกัดการเข้าถึงสิทธิดังกล่าว

 

ความเคลื่อนไหวนี้เป็นไปตามคำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐฯ ที่คว่ำสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง ซึ่งคำพิพากษาปูทางให้แต่ละรัฐสั่งห้ามกระบวนการนี้ได้

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

กระนั้นบริษัทจำนวนมากขึ้นได้ยืนยันว่าพวกเขาจะครอบคลุมค่าเดินทางผ่านแผนประกันสุขภาพสำหรับพนักงานที่ออกจากรัฐบ้านเกิดเพื่อทำแท้ง

 

Disney ได้บอกกับพนักงานว่าตระหนักถึงผลกระทบของคำตัดสินของศาลฎีกา และยังคงมุ่งมั่นที่จะให้ ‘การเข้าถึงที่ครอบคลุม’ แก่พวกเขาในการดูแลสุขภาพ ซึ่งรวมถึงการวางแผนครอบครัวและการดูแลการเจริญพันธุ์ ‘ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่ไหน’

 

โดย Disney มีพนักงานประมาณ 80,000 คนในรีสอร์ตของตนในฟลอริดา ซึ่งผู้ว่าการรัฐได้ลงนามในกฎหมายห้ามทำแท้งหลังจากตั้งครรภ์ได้ 15 สัปดาห์ ซึ่งมีกำหนดจะมีผลในวันที่ 1 กรกฎาคม

 

J.P. Morgan บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการธนาคาร บอกกับพนักงานในสหรัฐฯ ว่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับบริการทางการแพทย์ ซึ่งรวมถึง ‘การทำแท้งโดยชอบด้วยกฎหมาย’

 

“เราให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานของเรา และต้องการให้แน่ใจว่าสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทั้งหมดได้อย่างเท่าเทียมกัน” โฆษกหญิงของธนาคารกล่าว

 

Goldman Sachs ธนาคารเพื่อการลงทุนชั้นนำอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ กล่าวว่า จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับพนักงานที่ต้องเดินทางไปยังรัฐอื่นเพื่อทำแท้งตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม

 

ขณะที่ Meta บริษัทแม่ของ Facebook กล่าวว่า ตั้งใจที่จะช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางตามที่กฎหมายอนุญาต ‘สำหรับพนักงานที่ต้องการให้พวกเขาเข้าถึงบริการด้านสุขภาพนอกรัฐ’

 

“เราอยู่ในขั้นตอนการประเมินวิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินการ เนื่องจากความซับซ้อนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง” โฆษกกล่าวเสริม

 

บริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้ง Amazo, Yelp และธนาคารยักษ์ใหญ่ Citigroup ที่ได้กล่าวก่อนที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า จะช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายสำหรับพนักงานที่เดินทางไปเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการทำแท้งในท้องถิ่น

 

การทำแท้งจะไม่กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายโดยอัตโนมัติในสหรัฐฯ แต่ขณะนี้แต่ละรัฐจะได้รับอนุญาตให้ตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้ทำแท้งหรือไม่ โดยมี 13 รัฐที่ผ่านกฎหมายดังกล่าวแล้ว สถาบัน Guttmacher กล่าวว่ากว่า 20 รัฐกำลังเคลื่อนไหวเพื่อจำกัดการเข้าถึง

 

การทำแท้งเป็นปัญหาที่สร้างความแตกแยกอย่างมากในสหรัฐฯ จากการสำรวจล่าสุดของ Pew พบว่า 61% ของผู้ใหญ่กล่าวว่าการทำแท้งควรถูกกฎหมาย ในขณะที่ 37% บอกว่าการทำแท้งควรผิดกฎหมาย

 

อ้างอิง:

The post นี่คือสิทธิของผู้หญิง! บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง Disney, J.P. Morgan และ Facebook ออกนโยบายช่วยเหลือค่าเดินทางหากพนักงานต้องการ ‘ทำแท้ง’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
อเมริกายุคหลังกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade: เมื่อสิทธิสตรีกำลังจะถูกลิดรอนโดยรัฐบาลท้องถิ่น https://thestandard.co/roe-v-wade-is-overturned/ Mon, 27 Jun 2022 04:46:34 +0000 https://thestandard.co/?p=646880 สิทธิสตรี

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา หรือ Supr […]

The post อเมริกายุคหลังกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade: เมื่อสิทธิสตรีกำลังจะถูกลิดรอนโดยรัฐบาลท้องถิ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
สิทธิสตรี

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา หรือ Supreme Court ได้ออกคำพิพากษาใหม่เพื่อเป็นการล้มล้างคำพิพากษาเดิมในคดี Roe v. Wade ที่เคยให้สิทธิในการทำแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์แก่สตรีทั่วประเทศมากว่า 50 ปี ซึ่งแน่นอนว่าคำพิพากษานี้ย่อมส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสตรีชาวอเมริกันนับล้านคน และอาจส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองรวมถึงการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

 

อเมริกายุคก่อนคดี Roe v. Wade

ในยุคก่อนที่จะมีคำพิพากษาในคดี Roe v. Wade ในปี 1973 นั้น การจะอนุญาตให้ทำแท้งเสรีหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของรัฐบาลท้องถิ่นในระดับมลรัฐ กล่าวคือ มลรัฐไหนมีสภาและผู้ว่าการรัฐที่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยม ก็จะออกกฎหมายมาเอาผิดการทำแท้ง ในขณะที่มลรัฐที่สภาและผู้ว่าการรัฐเป็นฝ่ายซ้าย ก็จะปล่อยให้ทำแท้งเสรีได้

 

ภูมิทัศน์ในทางกฎหมายในเรื่องสิทธิในการทำแท้งได้เปลี่ยนไปในปี 1973 เมื่อสตรีชาวเท็กซัสคนหนึ่งที่ใช้นามแฝงว่า เจน โร (Jane Roe) (ซึ่งชื่อของเธอก็ได้ถูกนำมาเป็นชื่อคดีว่า Roe v. Wade) ได้ยื่นฟ้องต่อศาลสูงสุดว่า กฎหมายห้ามทำแท้งของมลรัฐเท็กซัสนั้นขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลสูงก็เห็นด้วยกับเธอ และตัดสินว่ารัฐบาลมลรัฐไม่สามารถออกกฎหมายห้ามการทำแท้งระหว่างตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 ได้ เพราะขัดกับหลักรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยความเป็นส่วนตัว ที่ชาวอเมริกันจะทำอะไรก็ได้ตามใจตัวเองตราบใดที่ยังไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น (Right of Privacy) ก่อนที่ศาลสูงจะเปลี่ยนบรรทัดฐานจากไตรมาสที่ 1 มาเป็นความอยู่รอดของทารกได้ด้วยตัวเองนอกครรภ์มารดา (Fetal Viability) ในปี 1992

 

การต่อสู้ของฝ่ายอนุรักษนิยม

คำพิพากษาของคดี Roe v. Wade นั้นสร้างความโกรธแค้นให้กับฝ่ายอนุรักษนิยม โดยเฉพาะกลุ่มเคร่งศาสนาเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าการทำแท้งถือเป็นบาปอย่างมหันต์ ซึ่งในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้พยายามผลักดันในรัฐบาลมลรัฐ (ที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก) ออกกฎหมายให้การเข้าถึงการทำแท้งทำได้ด้วยความยากลำบาก เช่น ออกกฎหมายให้การทำแท้งไม่สามาถทำได้ทันที ต้องมีช่วงระยะเวลาในการรอหลังพบแพทย์ครั้งแรก (Waiting Period) หรือการออกกฎเกณฑ์ยิบย่อยให้การเปิดคลินิกทำแท้งเป็นไปอย่างยากลำบาก

 

อย่างไรตาม เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของฝ่ายอนุรักษนิยมคือการกลับคำตัดสินในคดี Roe v. Wade เพราะพวกเขาเชื่อว่าหลักกฎหมายที่ศาลสูงสุดเอามาอ้างในปี 1973 (ซึ่งก็คือ Right of Privacy) นั้นเป็นหลักกฎหมายที่อ่อน และไม่ได้ระบุถึงสิทธิข้อนี้อย่างตรงๆ ในรัฐธรรมนูญ พวกเขาเชื่อว่าเมื่อไรก็ตามที่พวกเขามีเสียงข้างมากในศาลสูง พวกเขาจะสามารถแก้คำพิพากษานี้ได้

 

ซึ่งฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นโชคดีอย่างมากที่ผู้พิพากษาของฝ่ายเสรีนิยมอย่าง รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก ได้เสียชีวิตลงในปี 2020 ทำให้ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีโอกาสแต่งตั้งผู้พิพากษาที่มีแนวคิดแบบอนุรักษนิยมอย่าง เอมี โคนีย์ บาร์เรตต์ เข้าไปแทน ทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมได้ครองเสียงข้างมากในศาลสูงสุดอย่างเด็ดขาดเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ จนมาถึงการกลับคำตัดสินของคดี Roe v. Wade ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

สิทธิสตรีหลังการล้มล้างคำพิพากษาคดี Roe v. Wade

การกลับคำตัดสินของศาลสูงในครั้งนี้จะทำให้ภูมิทัศน์ของกฎหมายเรื่องการทำแท้งกลับไปเหมือนยุคปี 1970 กล่าวคือ รัฐบาลมลรัฐจะมีอำนาจเต็มอีกครั้งในการตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้ทำแท้งเสรีในมลรัฐหรือไม่ 

 

ซึ่ง ณ ขณะนี้ก็มีถึง 13 มลรัฐแล้วที่กำลังจะประกาศให้การทำแท้งนั้นผิดกฎหมาย เพราะรัฐบาลของ 13 มลรัฐนี้ได้เคยออกกฎหมายไว้ล่วงหน้าแล้วว่า การทำแท้งจะผิดกฎหมายในทันทีเมื่อศาลสูงกลับคำพิพากษาของคดี Roe v. Wade (Trigger Law) และอีกกว่า 10 มลรัฐที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากอยู่ก็น่าจะออกกฎหมายให้การทำแท้งนั้นผิดกฎหมายในเร็วๆ นี้ ซึ่งในที่สุดแล้วคาดการณ์กันว่าจะเหลือมลรัฐเพียงแค่ประมาณครึ่งเดียวของประเทศเท่านั้นที่ยังรับรองการทำแท้งเสรีอยู่

 

ศาลสูงที่มีฝ่ายอนุรักษนิยมเป็นเสียงข้างมากจะหยุดที่ตรงไหน

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ฝ่ายเสรีนิยมมักจะเป็นฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากในศาลสูงสุด และความก้าวหน้าในทางสังคมหลายๆ อย่างก็ถือกำเนิดมาจากคำตัดสินของศาลสูง

 

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น การแทนที่ของผู้พิพากษากินส์เบิร์กด้วยผู้พิพากษาบาร์เรตต์ได้ทำให้ดุลอำนาจของศาลสูงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะนี้ฝ่ายอนุรักษนิยมกลับกลายมาเป็นฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด และก็เป็นไปได้ว่าผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษนิยมชุดนี้จะกลับคำพิพากษาในอีกหลายๆ คดีที่เคยเป็นชัยชนะของฝ่ายเสรีนิยม

 

ในคำพิพากษาของคดี Roe v. Wade ผู้พิพากษาของฝ่ายอนุรักษนิยมคนหนึ่งอย่าง คลาเรนซ์ โทมัส ก็ได้ให้ความเห็นลงไปในคำพิพากษาด้วยว่า ศาลสูงควรจะพิจารณากลับคำตัดสินในอีกหลายๆ คดีที่ใช้หลัก Right of Privacy มาตัดสิน เช่น สิทธิในการใช้ยาคุมกำเนิด (Griswold v. Connecticut), สิทธิในการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน (Obergefell v. Hodges) รวมไปถึงการให้อำนาจรัฐบาลมลรัฐออกกฎหมายห้ามการมีเพศสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกัน (Lawrence v. Texas)

 

หรือแม้แต่ในเรื่องของการทำแท้งเอง ผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษนิยมชุดนี้ก็อาจจะพยายามผลักดันแนวคิดของพวกเขาให้ไปไกลมากกว่าแค่การกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade ด้วยการนิยามว่าสภาพบุคคลกำเนิดขึ้นหลังการปฏิสนธิ ซึ่งก็จะแปลว่าการทำแท้งถือเป็นการฆ่าคนโดยเจตนาในทุกกรณี และการทำแท้งจะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แม้แต่ในมลรัฐที่เดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาท้องถิ่นก็ตาม

 

ผลกระทบต่อการเลือกตั้งกลางเทอม

คะแนนนิยมของโจ ไบเดนนั้นตกต่ำลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพราะปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัญหาเงินเฟ้อในระดับสูง ที่ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ซึ่งด้วยคะแนนนิยมที่ตกต่ำลงของเขา ก็ทำให้นักวิเคราะห์ทางการเมืองคาดการณ์กันไว้ว่าพรรคเดโมแครตของเขาน่าจะแพ้การเลือกตั้งทั้งในวุฒิสภา (สภาสูง), สภาผู้แทนราษฎร (สภาล่าง) และสภาท้องถิ่น ในการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ 

 

แต่อย่างไรก็ตาม การกลับคำตัดสินของคดี Roe v. Wade โดยศาลสูงครั้งนี้ก็อาจจะทำให้ภูมิทัศน์ทางการเมืองนั้นเปลี่ยนไป เพราะชาวอเมริกันส่วนใหญ่ (ถึงเกือบ 2 ใน 3) ไม่เห็นด้วยกับการแบนการทำแท้งช่วงการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 1 เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะกลับมาโหวตให้พรรคเดโมแครต เพื่อแสดงถึงจุดยืนในการปกป้องสิทธิสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งรัฐบาลระดับมลรัฐ ผู้ซึ่งจะเป็นผู้ชี้ชะตากฎหมายการทำแท้งในยุคหลังการพลิกคำตัดสินคดี Roe v. Wade

 

ภาพ: Tasos Katopodis / Getty Images

The post อเมริกายุคหลังกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade: เมื่อสิทธิสตรีกำลังจะถูกลิดรอนโดยรัฐบาลท้องถิ่น appeared first on THE STANDARD.

]]>
ผู้ประท้วงหน้าศาลฎีกาสหรัฐฯ ประณามคำตัดสินของศาล ที่ล้มล้างคำตัดสินในอดีต ซึ่งเคยรับรองสิทธิตาม รธน. ของผู้หญิงในการทำแท้ง https://thestandard.co/protestor-in-front-of-the-us-supreme-court-condemn-court-judgement/ Sun, 26 Jun 2022 09:36:09 +0000 https://thestandard.co/?p=646691 การทำแท้ง

ผู้ประท้วงหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่หน้าศาลฎีกาสหรัฐฯ วาน […]

The post ผู้ประท้วงหน้าศาลฎีกาสหรัฐฯ ประณามคำตัดสินของศาล ที่ล้มล้างคำตัดสินในอดีต ซึ่งเคยรับรองสิทธิตาม รธน. ของผู้หญิงในการทำแท้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
การทำแท้ง

ผู้ประท้วงหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่หน้าศาลฎีกาสหรัฐฯ วานนี้ (26 มิถุนายน) ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อประณามการตัดสินใจของผู้พิพากษาที่ล้มล้างคำตัดสินคดี Roe v. Wade ที่รับรองสิทธิตามรัฐธรรมนูญของผู้หญิงในการทำแท้ง ซึ่งมีอายุมาราวครึ่งศตวรรษ ทำให้อาจกล่าวได้ว่าสิทธิตามรัฐธรรมนูญของผู้หญิงในการทำแท้งไม่ถูกรับรองอีกต่อไป

 

คำตัดสินของศาลซึ่งมีผู้พิพากษาส่วนใหญ่ 6 จาก 9 ราย เป็นผู้พิพากษาที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม ถูกกำหนดให้เปลี่ยนแปลงชีวิตชาวอเมริกัน โดยเกือบครึ่งหนึ่งของรัฐทั้งหมดนั้นแน่นอนแล้ว หรือมีแนวโน้มที่จะห้ามการทำแท้ง

 

คลาเรนซ์ โธมัส ผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมระบุว่า การให้เหตุผลของศาลอาจนำไปสู่การพิจารณาคำตัดสินที่ผ่านมาใหม่ในกรณีการปกป้องสิทธิ์ในการคุมกำเนิด การทำให้การแต่งงานของคนเพศกำเนิดเดียวกันเป็นไปอย่างถูกกฎหมายทั่วประเทศ และการทำให้กฎหมายของรัฐที่ห้ามการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันเป็นโมฆะ

 

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้ประท้วงนอกศาลฎีกาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก พื้นที่ที่ล้อมรั้วไว้หน้าศาลฎีกาส่วนใหญ่เต็มไปด้วยผู้เรียกร้องสิทธิในการทำแท้ง ผู้คนถือโปสเตอร์พร้อมสโลแกนต่างๆ เช่น ‘Abort SCOTUS (ทำแท้งศาลฎีกา)’ ส่วนผู้ประท้วงอีกคนหนึ่งถือป้ายที่เขียนว่า ‘limit guns, not women (จำกัดอาวุธปืน ไม่ใช่ผู้หญิง)’ ซึ่งเชื่อมโยงกับคำตัดสินอีกชิ้นหนึ่งของศาลฎีกาในสัปดาห์นี้ว่าด้วยการขยายสิทธิเกี่ยวกับอาวุธปืน

 

ก่อนหน้านี้ในช่วงบ่ายวันเสาร์ ผู้สนับสนุนคำตัดสินของศาลที่ออกมาเมื่อวันศุกร์รายหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งที่ผู้สนับสนุน ‘my body, my choice’ ไม่เข้าใจก็คือ ทารกที่ถูกทำแท้งไม่เคยมีทางเลือก”

 

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งแสดงความผิดหวังอย่างยิ่งกับคำตัดสินของศาลเมื่อวันศุกร์ ระบุวานนี้ว่า ทำเนียบขาวจะเฝ้าติดตามวิธีที่รัฐต่างๆ บังคับใช้คำสั่งแบน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารได้ส่งสัญญาณไปแล้วว่าพวกเขาวางแผนที่จะต่อสู้กับความพยายามที่จะสั่งห้ามยาที่ใช้ทำแท้ง

 

“การตัดสินใจนั้นถูกดำเนินการโดยรัฐต่างๆ” ไบเดนกล่าว “ฝ่ายบริหารของผมจะเน้นที่ว่าพวกเขาบริหารจัดการอย่างไร และพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายอื่นหรือไม่”

 

ทำเนียบขาวกล่าวว่า จะขัดขวางความพยายามของรัฐต่างๆ ในการจำกัดความสามารถของสตรีที่จะเดินทางออกจากรัฐบ้านเกิดเพื่อแสวงหาการทำแท้งด้วย

 

ในฝั่งการชุมนุมที่ทางตะวันตกของรัฐอิลลินอยส์เมื่อวันเสาร์ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกย่องคำตัดสินของศาลฎีกา โดยเรียกว่าเป็น ‘ชัยชนะของรัฐธรรมนูญ ชัยชนะสำหรับหลักนิติธรรม และเหนือสิ่งอื่นใดคือชัยชนะสำหรับชีวิต’ โดยเขาเตือนความจำผู้ฟังว่า ในปี 2016 เขาได้ตั้งแคมเปญที่ให้คำมั่นว่าจะเสนอชื่อผู้พิพากษา ‘ผู้ซึ่งจะยืนหยัดเพื่อความหมายดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ’

 

ในขณะเดียวกัน อันเดรีย ตอร์นิเอลลี เจ้าหน้าที่ของวาติกัน ก็เขียนในบทความว่านักเคลื่อนไหวต่อต้านการทำแท้งควรกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามอื่นๆ ต่อชีวิตเช่นกัน เช่น การเข้าถึงปืนได้ง่าย ความยากจน และอัตราการเสียชีวิตของมารดาที่เพิ่มสูงขึ้น

 

Reuters ระบุว่า สำหรับกลุ่มอนุรักษนิยมคริสเตียนที่ต่อสู้เพื่อล้มล้างคำตัดสินคดี Roe v. Wade มานาน คำตัดสินเมื่อวันศุกร์ถือเป็นชัยชนะที่น่ายกย่อง และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรณรงค์ให้มีการแต่งตั้งผู้พิพากษาที่ต่อต้านการทำแท้งสู่ศาลฎีกามาเป็นเวลานาน ซึ่งคำตัดสินที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ได้รับการสนับสนุนจากผู้พิพากษาทั้งสามคนที่ถูกแต่งตั้งมาโดยทรัมป์ และขัดแย้งกับความคิดเห็นของประชาชนในวงกว้าง โดย Reuters อ้างอิงผลสำรวจ (โพล) ของ Reuters/Ipsos เมื่อเดือนที่แล้ว พบว่าประมาณ 71% ของชาวอเมริกัน ซึ่งรวมถึงผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันส่วนใหญ่ระบุว่า การตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ควรเป็นของผู้หญิงและแพทย์ของเธอ แทนที่จะเป็นการถูกกำกับโดยรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เสียงส่วนใหญ่ยังสนับสนุนให้มีข้อจำกัดในการทำแท้งอยู่ในบางกรณี

 

คำตัดสินดังกล่าวมีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังเสียงข้างมากสายอนุรักษนิยมของศาลฎีกาได้ออกคำตัดสินอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาปกป้องสิทธิของบุคคลในการพกปืนพกในที่สาธารณะเพื่อป้องกันตัวเอง นำไปสู่การทำให้กฎหมายของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดเกี่ยวกับใบอนุญาตพกพาปืนนั้นเป็นโมฆะ

 

ทั้งนี้ ในระหว่างการพูดคุยกับนักข่าวเมื่อวันเสาร์ กลุ่มอัยการสูงสุดของรัฐที่หนุนพรรคเดโมแครตกลุ่มหนึ่งกล่าวว่า พวกเขาจะไม่ใช้สำนักงานของพวกเขาเพื่อบังคับใช้คำสั่งแบนการทำแท้ง ขณะที่ Reuters รายงานว่า คลินิก Jackson Women’s Health Organization ซึ่งเป็นคลินิกทำแท้งแห่งเดียวในรัฐมิสซิสซิปปี และมีชื่ออยู่ในคดี ‘Dobbs v. Jackson Women’s Health Organization’ ที่นำมาซึ่งการล้มล้างคำพิพากษาคดีเดิมอย่าง Roe v. Wade นั้นยังคงเปิดทำการในเช้าวันเสาร์ โดยมีกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการทำแท้งตั้งบันไดเพื่อจ้องมองเข้าไปเหนือรั้วของพื้นที่ดังกล่าว พร้อมชูโปสเตอร์ที่มีข้อความต่างๆ ซึ่งรวมถึงข้อความว่า ‘การทำแท้งคือการฆาตกรรม’ โดยมีผู้ประท้วงคนหนึ่งที่ระบุกับหญิงที่รอการนัดหมายที่คลินิกแห่งนี้ว่าพวกเธอกำลังทำผิดกฎหมาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกฎหมายของรัฐมิสซิสซิปปีจะยังไม่ทำให้คลินิกปิดไปอีกเก้าวัน

 

ภาพ: ROBERTO SCHMIDT / AFP

อ้างอิง:

The post ผู้ประท้วงหน้าศาลฎีกาสหรัฐฯ ประณามคำตัดสินของศาล ที่ล้มล้างคำตัดสินในอดีต ซึ่งเคยรับรองสิทธิตาม รธน. ของผู้หญิงในการทำแท้ง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เอกสารหลุดเผยศาลสูงสหรัฐฯ อาจคว่ำกฎหมายทำแท้งเสรี ส่งผลให้ประชาชนออกมาประท้วงหนัก https://thestandard.co/leaked-document-say-usa-high-court-might-boycott-abortion-right/ Tue, 03 May 2022 09:53:15 +0000 https://thestandard.co/?p=624346 ทำแท้งเสรี

นักเคลื่อนไหวกลุ่มต่อต้านการทำแท้ง และกลุ่มผู้สนับสนุนส […]

The post เอกสารหลุดเผยศาลสูงสหรัฐฯ อาจคว่ำกฎหมายทำแท้งเสรี ส่งผลให้ประชาชนออกมาประท้วงหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>
ทำแท้งเสรี

นักเคลื่อนไหวกลุ่มต่อต้านการทำแท้ง และกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิการทำแท้งได้ออกมาเดินขบวนประท้วงในกรุงวอชิงตันเมื่อวานนี้ (2 พฤษภาคม) หลังมีข่าวว่า ศาลสูงสหรัฐฯ อาจคว่ำกฎหมาย Roe v. Wade ปี 1973 ซึ่งอนุญาตให้สตรีสามารถยุติการตั้งครรภ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ทั่วประเทศ

 

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลัง Politico รายงานข่าวโดยอ้างเอกสารความเห็นส่วนใหญ่ที่หลุดออกมาว่า ศาลสูงสหรัฐฯ ได้ลงคะแนนเสียงให้ยกเลิกกฎหมาย Roe v. Wade โดยภายหลังจากที่มีการเผยแพร่รายงานดังกล่าวออกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มนักกิจกรรมต่อต้านการทำแท้งเสรีก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน พร้อมตะโกนโห่ร้องเชียร์นโยบายดังกล่าว ขณะที่กลุ่มสนับสนุนสิทธิการทำแท้งก็ได้ออกมาประท้วงหน้าศาลฎีกาเช่นกัน พร้อมชูสโลแกนว่า “การทำแท้งเป็นส่วนหนึ่งของบริการด้านสุขภาพ”

 

อย่างไรก็ตาม การถกเถียงเรื่องเสรีภาพในการยุติการตั้งครรภ์ของสตรีนั้นถือเป็นปัญหาทางการเมืองที่ ‘แก้ไม่ตก’ และเป็นปัญหาเรื้อรังมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

 

ในปี 2021 สถาบัน Pew Research Center เคยจัดทำผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งผลออกมาว่า 59% ของชาวอเมริกันมองว่าการยุติการตั้งครรภ์ควรทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในทุกกรณีหรือเกือบทุกกรณี ขณะที่ 39% ระบุว่า ควรจัดให้การทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

 

Politico ตีแผ่เอกสารที่หลุดออกมาลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นของ ซามูเอล อาลิโต ผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมที่ระบุว่า “การออกกฎหมายทำแท้งมีข้อผิดพลาดตั้งแต่ต้น”

 

ตามกฎหมาย Roe v. Wade นั้น สตรีจะได้รับอนุญาตให้สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ (ก่อนสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์) ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวอ่อนของทารกยังไม่สามารถดำรงชีวิตนอกครรภ์มารดาได้

 

ซามูเอล อาลิโตมองว่าการตรากฎหมายดังกล่าวนั้นมีข้อผิดพลาด เนื่องจากรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ไม่ได้กล่าวถึงสิทธิในการทำแท้งอย่างเฉพาะเจาะจง พร้อมระบุว่า “การทำแท้งทำให้เกิดข้อกังขาด้านมนุษยธรรม อีกทั้งรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ก็ไม่ได้สั่งห้ามชัดเจนว่า แต่ละรัฐจะไม่มีสิทธิออกข้อกำหนดหรือออกกฎหมายห้ามการทำแท้ง”

 

นอกจากนี้ ผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งจากพรรครีพับลิกันอีก 4 คน ได้แก่ คลาเรนซ์ โทมัส, นีล กอร์ซุช, เบรตต์ คาวานอห์ และ เอมี โคนีย์ บาร์เรตต์ ก็ลงมติเห็นด้วยกับซามูเอล อาลิโต ในการประชุมที่จัดขึ้นระหว่างบรรดาผู้พิพากษา แต่ถึงเช่นนั้น การพิจารณากฎหมายจะถือเป็นที่สิ้นสุดก็ต่อเมื่อศาลมีการประกาศต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการเท่านั้น

 

สำนักข่าว Reuters รายงานว่า กระแสข่าวดังกล่าวได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ อีกทั้งการที่มีเอกสารรั่วไหลออกมาจากศาลยังเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง

 

คลินิกให้บริการทำแท้งถือเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แอนเดรีย กัลเลกอส ผู้บริหารระดับสูงของคลินิก Tulsa Women’s Clinic รัฐโอคลาโฮมา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เธอได้โทรหาคนไข้ 25 รายที่มีกำหนดทำแท้งในวันนี้เพื่อขอยกเลิกนัดหมาย เพราะอีกไม่นานจะมีตรากฎหมายห้ามทำแท้งที่เข้มงวด ซึ่งเธอยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจมากกับข่าวที่เกิดขึ้น

 

“ตอนนี้รัฐหัวอนุรักษนิยมอื่นๆ ที่เหมือนกับโอคลาโฮมาก็คงกำลังผ่านร่างกฎหมายนี้เหมือนกับที่รัฐเท็กซัสทำ ดิฉันยอมรับว่ารู้สึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของสิทธิการทำแท้งในสหรัฐ”

 

ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวยังถือได้ว่าเป็นประเด็นที่มีอิทธิพลต่อทิศทางการเมืองของสหรัฐฯ และขณะนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงราวๆ 6 เดือนก่อนที่การเลือกตั้งกลางเทอมจะเปิดฉากขึ้น ซึ่งจะเป็นการชี้ชะตาว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสไว้ได้หรือไม่ ในช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เหลืออีก 2 ปี

 

สื่อคาดการณ์ว่าพรรครีพับลิกันจะเดินหน้าผลักดันให้มีการออกกฎหมายห้ามทำแท้งทั่วประเทศ สวนทางกับพรรคเดโมแครตที่พยายามจะปกป้องสิทธิด้านการทำแท้งของสตรี

 

พรรคเดโมแครตกล่าวว่า ร่างความเห็นของบรรดาผู้พิพากษาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเลือกตั้งในปีนี้ ซึ่งพวกเขาพยายามจะรักษาเสียงข้างมากในสภาเอาไว้ให้ได้ ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันวิพากษ์วิจารณ์ว่า การที่มีเอกสารหลุดออกมานั้นเป็นเพราะมีคนจงใจจะกดดันศาลให้เปลี่ยนแนวทางการตัดสินใจดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม แม้ในท้ายที่สุดศาลจะตัดสินใจคว่ำกฎหมายทำแท้งจริง แต่สตรีในสหรัฐฯ จะยังคงสามารถทำแท้งได้อย่างถูกกฎหมายในหลายๆ รัฐเสรีนิยม เนื่องจากปัจจุบันมีหลายรัฐที่ออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิในการทำแท้งเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงเช่นนั้น รัฐจำนวนมากที่มีสมาชิกพรรครีพับลิกันเป็นผู้นำได้พยายามออกข้อจำกัดด้านการทำแท้งอยู่หลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

ภาพ: Kevin Dietsch / Getty Images

อ้างอิง:

The post เอกสารหลุดเผยศาลสูงสหรัฐฯ อาจคว่ำกฎหมายทำแท้งเสรี ส่งผลให้ประชาชนออกมาประท้วงหนัก appeared first on THE STANDARD.

]]>