Resilience – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Mon, 10 Jun 2024 03:27:29 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 ผู้ว่าฯ​ ธปท. ชี้เศรษฐกิจไทยต้อง Resilience เพื่อรับความเสี่ยงใหม่และบริบทโลกที่เปลี่ยนไป https://thestandard.co/thai-economy-must-be-resilient/ Fri, 03 Nov 2023 07:10:17 +0000 https://thestandard.co/?p=862117 เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ( […]

The post ผู้ว่าฯ​ ธปท. ชี้เศรษฐกิจไทยต้อง Resilience เพื่อรับความเสี่ยงใหม่และบริบทโลกที่เปลี่ยนไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา Thailand Next Move 2024 โดยระบุว่า นอกจากความเสี่ยงในรูปแบบเดิมๆ เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และการรักษาดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อดูแลเงินเฟ้อของธนาคารกลางหลักในหลายประเทศแล้ว ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ ที่คาดการณ์ผลที่จะตามมาได้ยากกว่าความเสี่ยงแบบเดิม ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการสู้รบในอิสราเอล

 

เศรษฐพุฒิระบุว่า ปัญหาในภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นความเสี่ยงที่ประเมินผลกระทบได้ยากมาก เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เราคำนึงไม่ถึง (Unintended Consequences) เกิดขึ้นหลายประการ ยกตัวอย่าง กรณีเหตุการณ์ 9/11 ที่ในช่วงแรกคนประเมินว่าจะเกิดผลกระทบกับการท่องเที่ยวในอเมริการุนแรงแต่ก็ไม่เกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่าสหรัฐฯ ไปบุกอิรักแล้วนำไปสู่เหตุการณ์อะไรหลายอย่างตามมาเป็นลูกโซ่

 

ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุอีกว่า การดูแลเศรษฐกิจไทยให้มีความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนในยามที่มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงเช่นนี้ หัวใจสำคัญคือการมี Resilience ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่เสถียรภาพ (Stability) แต่ครอบคลุมถึงความทนทาน ความยืดหยุ่น และความสามารถในการลุกได้เร็วเมื่อสะดุดล้ม อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจจะ Resilient ได้นั้นจะต้องมี 3 องค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่

  1. เสถียรภาพ (Stability) เช่น ในกรณีของไทยคือเงินเฟ้อไม่สูงเกินไป อยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% เศรษฐกิจเติบโตในระดับที่เหมาะสมกับศักยภาพของประเทศที่ 3-4% ต่อปี ระบบสถาบันการเงินมีความสมดุล ไม่เปราะบาง ซึ่งในปัจจุบันเสถียรภาพโดยรวมของไทยยังถือว่าโอเค โอกาสเกิดวิกฤตต่ำ แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ

 

“เสถียรภาพในมิติต่างประเทศของเราค่อนข้างโอเค ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มเกินดุล ทุนสำรองฯ ที่อยู่ในระดับสูง หนี้ต่างประเทศที่ต่ำ และงบดุลของธนาคารและธุรกิจขนาดใหญ่ที่ดูดี แต่ที่ดูโอเคน้อยหน่อยคือหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 91% ต่อ GDP และระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 62% ต่อ GDP ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดที่เราเคยเห็นมา สูงกว่าในช่วงวิกฤตปี 2540 ทำให้ต้องใส่ใจและระมัดระวัง” เศรษฐพุฒิกล่าว

 

ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวอีกว่า แม้ความเสี่ยงในการเกิดวิกฤตของไทยยังต่ำ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณบางอย่างที่สะท้อนความกังวลของตลาด เช่น ตัวเลขเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกสุทธิ 8.4 พันล้านดอลลาร์นับจากต้นปี สวนทางกับประเทศอื่นในภูมิภาคที่มีเงินทุนไหลเข้าเป็นบวก ค่าเงินบาทที่ผันผวนมากถึง 8-9% สูงเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค และ Credit Default Swap หรือ CDS ของไทยที่วิ่งจากระดับ 50 bps ไปอยู่ที่ 70 bps

 

  1. ภูมิคุ้มกันทางการเงิน (Buffer) ที่จะคอยกันชนที่ช่วยลดแรงกระแทกเมื่อเกิดช็อกทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาวะที่เราไม่รู้แน่ชัดว่าช็อกจะมาในรูปแบบใด การมีภูมิคุ้มกันไว้เยอะๆ จะยิ่งมีความจำเป็น ซึ่งภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจที่สำคัญล้วนเป็นเรื่องพื้นฐาน เช่น การมีงบดุลที่แข็งแรงทั้งภาครัฐและภาคธนาคาร ขณะที่ภาคธุรกิจก็ไม่ควรมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนที่สูงเกินไป เช่นเดียวกับภาคครัวเรือนที่ต้องระมัดระวังการก่อหนี้

 

อีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญคือการมีพื้นที่ว่างทางนโยบายหรือ Policy Space ที่เพียงพอไว้รองรับเมื่อเกิดวิกฤต โดยกระสุนในฝั่งทางเงินคือดอกเบี้ย ขณะที่ฝั่งการคลังก็ต้องเตรียมกระสุนไว้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจในยามจำเป็น

 

  1. การเติบโตจากโอกาสใหม่ (Digital & Transition) ผู้ว่าฯ ธปท. ระบุว่า เมื่อเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ๆ ประเทศก็ต้องสร้างทางเลือกและโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ ขึ้นมาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากบริบทของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะพบว่าการเติบโตค่อนข้างนิ่ง ไม่สามารถสร้างโอกาสที่เป็นความหวังให้กับภาคครัวเรือนและธุรกิจได้มากพอ

 

“เราคงโตแบบเดิมไม่ได้แล้วหากดูจากบริบทโลกที่เปลี่ยนไป เช่น เรื่องกระแสความยั่งยืน ปัจจุบัน 1 ใน 3 ของแรงงานไทยอยู่ในภาคเกษตรและ 1 ใน 3 ของอุตสาหกรรมก็เป็นอุตสาหกรรมสำหรับโลกเก่า เช่น ปิโตร เคมี ยานยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีเก่า การโตแบบเดิมจะไม่ช่วยให้เรากระจายผลประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง” เศรษฐพุฒิกล่าว

 

ผู้ว่าฯ​ ธปท. กล่าวอีกว่า ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) ซึ่งไม่หักเงินเฟ้อของไทยโตขึ้นมาเกือบ 3 เท่า แต่เมื่อเจาะลงไปดูว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นกระจายตัวอย่างไร จะพบว่า รายได้ของภาครัฐเพิ่มขึ้น 2.7 เท่า รายได้ของแรงงานเพิ่มขึ้น 2.7 เท่า ขณะที่กำไรของธุรกิจโตขึ้นเกือบ 5 เท่า ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นกำไรที่กระจุกอยู่ในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่

 

“ที่ผ่านมาเราไปสนใจกับตัวเลขการเติบโตค่อนข้างมาก แต่ไม่ค่อยใส่ใจว่าการเติบโตไปตกอยู่กับกลุ่มใด ผลประโยชน์ถูกกระจายอย่างทั่วถึงหรือไม่ หรือเราโตจากฐานที่แคบๆ ถ้าเรายังไม่ปรับเปลี่ยนและเติบโตในรูปแบบนี้ต่อไปโดยไม่สามารถกระจายการเติบโตหรือผลประโยชน์ไปยังกลุ่ม โอกาสที่เราจะโตแบบ Resilient บนฐานที่กว้างขึ้นได้คงลำบาก” ผู้ว่าฯ​ ธปท. กล่าว

The post ผู้ว่าฯ​ ธปท. ชี้เศรษฐกิจไทยต้อง Resilience เพื่อรับความเสี่ยงใหม่และบริบทโลกที่เปลี่ยนไป appeared first on THE STANDARD.

]]>
สร้างองค์กรที่มีความสามารถในการฟื้นตัวเพื่อรับมือกับโลกยุคดิสรัปชัน https://thestandard.co/company-adaptation-during-disruption-era/ Tue, 06 Jun 2023 08:59:29 +0000 https://thestandard.co/?p=799904 ยุคดิสรัปชัน

ในยุคที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหล […]

The post สร้างองค์กรที่มีความสามารถในการฟื้นตัวเพื่อรับมือกับโลกยุคดิสรัปชัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
ยุคดิสรัปชัน

ในยุคที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อสูง และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ รวมไปถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่อาจส่งผลต่อการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และอื่นๆ ผู้บริหารจึงต้องเตรียมความพร้อมขององค์กรในเชิงรุกเพื่อให้ธุรกิจเติบโตและอยู่รอดได้ ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรก้าวข้ามวิกฤตต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่เว้นแต่ละวัน คือความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กร (Resilience) 

 

เมื่อเร็วๆ นี้ PwC ได้จัดทำรายงานผลสำรวจ Global Crisis and Resilience Survey 2023 เพื่อศึกษาถึงการเตรียมตัวขององค์กรต่างๆ ในการรับมือกับผลกระทบจากภาวะวิกฤตและความสามารถในการฟื้นตัว รวมทั้งการจัดการทรัพยากร และการลงทุน โดยรวบรวมความคิดเห็นจากผู้บริหารจำนวน 1,812 รายทั่วโลกพบว่า ผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของแนวคิดในการบริหารองค์กรที่มุ่งเน้นการสร้างความยืดหยุ่น เพราะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดย 89% ของผู้บริหารกล่าวว่า ความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กร แต่ก็ยังมีองค์กรอีกจำนวนมากที่ขาดองค์ประกอบพื้นฐานที่จะช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่น และฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยผมขอสรุปสามประเด็นสำคัญที่พบจากรายงานฉบับนี้ ดังต่อไปนี้ 

 

  1. การบูรณาการโปรแกรมการสร้างความยืดหยุ่นเพื่อฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วถือเป็นสิ่งจำเป็น องค์กรไม่สามารถอยู่รอดได้หากยังทำงานแบบไซโล (Silo) แต่ควรต้องบูรณาการการทำงานที่มีความยืดหยุ่นเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น ทั้งนี้ องค์กรต่างๆ ควรใช้แนวทางที่ผนวกความสามารถในการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วผ่านการบูรณาการกระบวนการทำงานที่ดูแลจากส่วนกลางไปพร้อมๆ กับเพิ่มความยืดหยุ่นในส่วนที่จำเป็นของธุรกิจ และต้องปลูกฝังแนวคิดเหล่านี้ในกระบวนการทำงานและวัฒนธรรมองค์กร

 

  1. ผู้นำธุรกิจต้องสามารถนำพาองค์กรฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยกระดับทักษะของทีมงาน การที่ธุรกิจจะเติบโตในภาวะวิกฤตได้ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีผู้บริหารและทีมงานที่มีทักษะในการวางกลยุทธ์ และมีผู้บริหารระดับ C-suite ที่ให้การสนับสนุน ผลสำรวจระบุว่า ธุรกิจควรมีการกำหนดตัวผู้บริหารที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบในด้านความสามารถในการฟื้นตัวขององค์กรอย่างชัดเจน นอกจากนี้ 31% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวด้วยว่า การสร้างทีมงานที่มีทักษะที่เหมาะสม คือความท้าทายสำคัญ ขณะที่ 57% เชื่อว่าการยกระดับทักษะให้กับผู้นำที่จะขึ้นมาบริหารในอนาคต ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่จะทำให้องค์กรมีความสามารถในการฟื้นตัว

 

  1. กระบวนการทำงานขององค์กรต้องมีความพร้อมที่จะปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (Operational resilience: OpRes) องค์กรควรสร้างกระบวนการทำงานที่ยืดหยุ่น โดยมุ่งเน้นไปที่การปกป้องส่วนที่สำคัญที่สุดของธุรกิจผ่านการวางแผนงาน และการเตรียมตัวเพื่อไม่ให้การดำเนินงานต้องหยุดชะงัก เมื่อองค์กรมีกระบวนการทำงานที่บูรณาการแผนเพื่อการฟื้นตัวมากขึ้นแล้ว ก็ควรนำแนวทางของการสร้างความยืดหยุ่นมาปรับใช้ และจัดอันดับความสำคัญของการลงทุน ความสำคัญต่อธุรกิจ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะทำให้องค์กรมีการจัดการความเสี่ยงที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและสร้างความยืดหยุ่น

 

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า วันนี้รูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมเพื่อจัดการกับการฟื้นตัวจากความเสี่ยง ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป เพราะการตรวจสอบและปฏิบัติตามกฎระเบียบเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้องค์กรมีความพร้อม โดยองค์กรหลายแห่งพลาดโอกาสที่จะค้นพบต้นตอของปัญหา และแก้ไขช่องโหว่ก่อนที่วิกฤตจะเกิดขึ้น ดังนั้นผู้นำธุรกิจจึงต้องเข้าใจกลยุทธ์ในการสร้างความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวขององค์กร รวมถึงลงทุนในเทคโนโลยีที่สามารถดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมารวบรวมและวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ผ่านการทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้อย่างต่อเนื่อง 

 

ทั้งนี้ รายงานของ PwC ระบุว่า 60% ของผู้นำธุรกิจเข้าใจถึงความจำเป็นของการนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ความยืดหยุ่น ขณะที่เกือบ 90% วางแผนที่จะลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตามมาด้วยการลงทุนในการจัดการภาวะวิกฤต (86%) และการจัดการในภาวะฉุกเฉิน (85%) อย่างไรก็ดี ยังมีองค์กรอีกจำนวนมากที่ไม่ได้วางแผนการลงทุนที่จำเป็นเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเฝ้าระวังภัยคุกคามและการสร้างความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งหากผู้บริหารยังคงไม่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเด็นต่างๆ เหล่านี้อย่างเพียงพอ ก็จะทำให้องค์กรตกอยู่ในความเสี่ยง และขาดศักยภาพในการจัดการภาวะวิกฤตอย่างไม่ต้องสงสัย

 

แนวทางในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กร

 

รายงานของ PwC ฉบับนี้ ยังได้แนะนำห้าแนวปฏิบัติที่จะช่วยสร้างองค์กรให้มีความยืดหยุ่น และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากภาวะวิกฤตหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ดังต่อไปนี้

 

  1. ส่งเสริมให้มีผู้บริหารที่รับผิดชอบแผนความยืดหยุ่น โดยมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของการวางแผนเพื่อสร้างความสามารถในการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

 

  1. ระบุบริการทางธุรกิจที่มีความสำคัญ เพื่อจับคู่การพึ่งพาและผนวกความสามารถในการฟื้นตัวจากบริการเหล่านี้

 

  1. มีโปรแกรมการสร้างความยืดหยุ่นแบบข้ามสายงาน โดยบูรณาการกระบวนการสร้างความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ คุณค่า และลำดับความสำคัญในการลงทุนทั่วทั้งองค์กร

 

  1. สร้างมุมมองภาพรวมของความเสี่ยงที่ไม่เหมือนใคร ก้าวข้ามการจัดการความเสี่ยงแบบเดิมๆ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อหาจุดอ่อนและตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อการฟื้นตัว ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถจำกัด ต้านทาน และฟื้นตัวจากความเสี่ยงได้อย่างมั่นใจ

 

  1. เสริมความแข็งแกร่งให้กลยุทธ์การฟื้นตัวผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และหมั่นทดสอบอยู่เป็นประจำ กลยุทธ์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและมีการจัดการกับข้อมูลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม จะช่วยให้องค์กรสามารถคาดการณ์ ป้องกัน เตรียมตัว และเรียนรู้จากความเสี่ยงและวิกฤตได้ ทั้งนี้ องค์กรจะต้องหมั่นประเมินความสามารถในการรับมือความเสี่ยงอยู่เป็นประจำด้วยเช่นกัน

 

อ้างอิง: 

  • Global Crisis and Resilience Survey 2023, PwC

The post สร้างองค์กรที่มีความสามารถในการฟื้นตัวเพื่อรับมือกับโลกยุคดิสรัปชัน appeared first on THE STANDARD.

]]>
Resilience สิ่งที่นำแมนฯ ซิตี้ กลับมาคว้าชัยเหนือเปแอสเชได้สำเร็จ https://thestandard.co/resilience-lead-manchester-city-to-victory-over-psg/ Thu, 29 Apr 2021 08:27:15 +0000 https://thestandard.co/?p=481866 Resilience สิ่งที่นำแมนฯ ซิตี้ กลับมาคว้าชัยเหนือเปแอสเชได้สำเร็จ

ถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปของอังกฤษ จนแทบจะเข้าข่า […]

The post Resilience สิ่งที่นำแมนฯ ซิตี้ กลับมาคว้าชัยเหนือเปแอสเชได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
Resilience สิ่งที่นำแมนฯ ซิตี้ กลับมาคว้าชัยเหนือเปแอสเชได้สำเร็จ

ถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปของอังกฤษ จนแทบจะเข้าข่ายผูกขาดความสำเร็จในช่วงระยะเวลาเกือบ 14 ปีที่กลุ่มทุนจากอาบูดาบีเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรต่อจาก ทักษิณ​ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย แต่สถานะของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวทียุโรป พวกเขาไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นสโมสรในระดับ Elite เฉกเช่นเดียวกับทีมอื่น

 

ส่วนหนึ่งเพราะความสำเร็จของพวกเขาเกิดขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเสียยิ่งกว่าสโมสรกลุ่มมหาอำนาจเดิมใดๆ จะสู้ไหว แต่อีกส่วนเป็นเพราะเมื่อถึงคราต้องไล่ล่าความสำเร็จในรายการระดับสูงสุดอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก พวกเขาก็มักจะตกม้าตายเป็นประจำ

 

แชมเปียนส์ลีกเป็นเหมือนผีร้ายที่คอยหลอกหลอนเหล่า ‘ซิติเซนส์’ จนขวัญกระเจิงเป็นประจำ และพวกเขาก็มาได้ไกลที่สุดเพียงแค่รอบรองชนะเลิศครั้งเดียวเท่านั้น

 

เรื่องนี้เป็น ‘ปมด้อย’ ที่ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ต้องการจะลบให้ได้ และดูเหมือนพวกเขามีโอกาสจะทำได้สำเร็จ หลังจากที่สามารถบุกไปคว้าชัยชนะเหนือปารีส แซงต์ แชร์กแมง ถึงปาร์ก เดส์ แพรงซ์ ได้สำเร็จ

 

สำหรับการเผชิญหน้ากันของสองทีมที่ร่ำรวยที่สุดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘El Cashico’ ถูกจับตามองเนื่องจากสองทีมนี้ต่างเป็นมหาอำนาจใหม่ที่ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าจากอำนาจทางการเงินเหมือนใส่สูตร Action Replay เหมือนกัน

 

แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือเปแอสเชดูจะได้รับการยอมรับมากกว่าแมนฯ ซิตี้ ในเกมระดับนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเมื่อฤดูกาลที่แล้ว (แม้ว่ามันจะเป็นฤดูกาลที่อีรุงตังนังจากโควิด-19 จนต้องเตะกันแบบมินิทัวร์นาเมนต์ก็ตาม) และในวันที่แมนฯ ซิตี้ เข้าร่วมกับอีก 11 สโมสรเพื่อก่อกบฏก่อตั้ง ‘ยูโรเปียนซูเปอร์ลีก’ ทีมที่มีแบ็กอัพจากกาตาร์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม

 

เปแอสเชได้ซีนพระเอกไปเต็มๆ ขณะที่แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นผู้ร้าย แม้ว่าพวกเขาจะไม่โดนเล่นงานหนักจากแฟนบอลเหมือนทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, เชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตาม

 

และใน 45 นาทีแรกของเกมที่ปาร์ก เดส์ แพรงซ์ เปแอสเชก็เล่นได้สมกับเป็นพระเอกจริงๆ

 

ทีมจากนครหลวงแห่งความรักแสดงให้เห็นถึงความสุขุม นิ่ง สามารถสะกดเกมรุกของแมนฯ ซิตี้ ที่พยายามเล่นตามเกมที่ถนัด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ถนัด

 

ในเวลาเดียวกันก็เกรี้ยวกราดและฟาดฟัน โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเกมของ เนย์มาร์ เจ้าชายแสงอาทิตย์ที่พยายามวาดลวดลายอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างปัญหาให้กับเกมรับของแมนฯ ซิตี้

 

ถึงจะไม่ได้มีส่วนกับการได้ประตูขึ้นนำที่มาจากลูกเตะมุมของ อังเคล ดิ มาเรีย เปิดมาให้ มาร์ควินญอส โฉบโหม่งเข้าไปตั้งแต่นาทีที่ 15 ของเกม แต่นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกก็มีส่วนในเกมรุกของทีมเกือบทั้งหมด ในขณะที่ คีเลียน เอ็มบัปเป้ แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

 

อย่างไรก็ดี จะสังเกตได้ว่า เนย์มาร์ พยายามที่จะเป็น ‘จุดเด่น’ ของเกม และเพื่อนร่วมทีมเองก็พยายามที่จะสนับสนุนให้เป็นเช่นนั้น

 

สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับแมนฯ ซิตี้ ที่แม้จะมีนักเตะที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘คีย์แมน’ อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ แต่พวกเขามีความเป็นทีมกว่ามาก

 

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เนย์มาร์ ที่เป็นดังนักมายากล ซึ่งงัดทุกกลมาใช้จนครบไม่เหลือกระต่ายในหมวกหรือนกพิราบในผ้าเช็ดหน้าซ่อนอีก แมนฯ ซิตี้ ก็ค่อยๆ แสดงให้เห็นตัวตนที่ชัดเจนของพวกเขา

 

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในฤดูกาลนี้ไม่ใช่สไตล์การเล่นที่สวยงาม เพลินตา เพราะพวกเขาเคยเล่นได้สวยกว่านี้มาก และก็ไม่ใช่เกมรุกที่เหมือนปืนใหญ่ไฟพะเนียง เพราะพวกเขาก็เคยยิงสนั่นกว่านี้มากเช่นกัน

 

แต่เป็นความเยือกเย็น ความอดทน และความสามารถในการ ‘ล้มแล้วลุก’ ขึ้นมายืนหยัดใหม่ได้อีกครั้ง

 

Resilience กลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญชิ้นสุดท้ายที่เป๊ปและลูกทีมค้นพบผ่านการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

 

ล้มแล้วลุก ผิดก็เริ่มใหม่ ไม่มีคำว่าสายเกินไป และนั่นทำให้ทุกครั้งที่แมนฯ ซิตี้ พลาดในสนาม สิ่งที่นักเตะทุกคนจะได้ยินจากเป๊ปที่ตะโกนมา ไม่ใช่คำก่นด่า แต่เป็นคำสั่งง่ายๆ ว่า “Keep the ball” หรือให้พยายามเก็บบอลไว้

 

หาก 45 นาทีแรกเป็นของเปแอสเช 45 นาทีหลังก็เป็นของแมนฯ ซิตี้ ไม่ต่างอะไรจากการดูหนังคนละเรื่อง

 

ครึ่งหลังนั้นทีมของเป๊ปเล่นได้ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ ในที่สุดเกมรับของพวกเขา ซึ่งนำโดย รูเบน ดิอาส ผู้บัญชาการที่สมควรได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ก็สามารถตัด เนย์มาร์ และ อังเคล ดิ มาเรีย ตัวละครลับอีกคนออกจากเกมได้ ส่วนเอ็มบัปเป้นั้นเหมือนไม่มีตัวตนในเกมนี้อยู่แล้ว

 

และเมื่อหยุดความอันตรายของเปแอสเชได้ พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก 

 

แมนฯ ซิตี้ค่อยๆ รุกคืบไปเรื่อยๆ อย่างอดทน กดดันและกินแดนขึ้นไปเรื่อยๆ อิลคาย กุนโดกัน ที่กลางสนาม ไคล์ วอล์กเกอร์ และ ชูเอา กานเซโล (โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก) ที่ริมเส้นสองฟากสนาม รวมถึงเจ้าหนู ฟิล โฟเดน ที่เริ่มต้นอย่างเงียบเชียบ แต่ค่อยๆ คายพิษสงออกมาว่าทำไมเขาจึงเป็นตัวจริงไม่ใช่ ราฮีม สเตอร์ลิง ซึ่งพยายามได้น่าประทับใจในนัดชิงคาราบาวคัพเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ทีมของเป๊ปพยายามไม่ย่อท้อจนกระทั่งได้ประตูตีเสมอจาก เควิน เดอ บรอยน์ ซึ่งแม้จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ เคย์เลอร์ นาวาส (ที่น่าสนใจว่าผู้บริหารจะรู้สึกอย่างไรหลังเพิ่งต่อสัญญาใหม่ไป) แต่น้ำหนักและทิศทางบอลของ ‘KDB’ นั้นเราไม่อาจบอกได้ว่าเขาไม่มีความตั้งใจอยู่ในนั้น

 

จากนั้นคือลูกฟรีคิกของ ริยาด มาห์เรซ ที่แหวกผ่านช่องว่างที่มีเพียงเล็กน้อยในกำแพงเข้าไป

 

ก่อนที่เปแอสเชจะสร้างปัญหาให้ตัวเองเพิ่มด้วยใบแดงของ อิดริสซา กานา เกย์ ที่เข้าเสียบสกัดกุนโดกันอย่างน่าเกลียด

 

ที่สุดแล้ว แมนฯ ซิตี้ จึงเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะที่แสนสำคัญครั้งนี้ได้ ซึ่งความสำคัญนั้นไม่ได้อยู่เพียงแค่โอกาสในการจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นสมัยแรก (และดูเหมือนจะมีโอกาสเป็นนัดชิงแบบ All-England เพราะเชลซีดูมีภาษีเหนือกว่าเรอัล มาดริด เล็กน้อย) 

 

แต่เป็นเพราะพวกเขาก้าวผ่านสิ่งกีดขวางบางอย่างในจิตใจได้สำเร็จ และทำได้อย่างสง่างาม

 

ตั๋วไปอิสตันบูลอยู่ในมือพวกเขาครึ่งใบแล้ว สิ่งที่เหลือคือพยายามเล่นให้ได้แบบเดิมอีกครั้งในอีก 6 วันข้างหน้า

 

ฝีเท้ามีแล้ว หัวใจก็มาแล้ว

 

เหลือเพียงแค่รอยยิ้มจากเทพีแห่งโชคเท่านั้น

The post Resilience สิ่งที่นำแมนฯ ซิตี้ กลับมาคว้าชัยเหนือเปแอสเชได้สำเร็จ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของ SpaceX Crew Dragon กับอนาคตของภารกิจสำรวจอวกาศยุคใหม่ https://thestandard.co/spacex-crew-dragon/ Mon, 16 Nov 2020 10:14:57 +0000 https://thestandard.co/?p=421547 เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของ SpaceX Crew Dragon กับอนาคตของภารกิจสำรวจอวกาศยุคใหม่

หลังการสิ้นสุด​ของโครงการกระสวย​อวกาศ​​ในเดือน​กรกฎาคม​ […]

The post เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของ SpaceX Crew Dragon กับอนาคตของภารกิจสำรวจอวกาศยุคใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>
เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของ SpaceX Crew Dragon กับอนาคตของภารกิจสำรวจอวกาศยุคใหม่

หลังการสิ้นสุด​ของโครงการกระสวย​อวกาศ​​ในเดือน​กรกฎาคม​ 2554 เป็นต้นมา นับเป็นเวลานานกว่า 9 ปีที่ทางองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ NASA ของสหรัฐ​ฯ จำเป็น​ต้อง​อาศัยการซื้อที่นั่งในยานโซยูซของรัสเซียในการส่งทีมนักบินอวกาศ​ของตนสู่สถานี​อวกาศ​นานาชาติอย่างไม่มีทางเลือก​ จวบจนกระทั่ง​เช้านี้ วันเวลาที่ต้องพึ่งพา​ชาติคู่แข่งก็สิ้นสุดลง

 

จรวด Falcon​ 9 ของ SpaceX นำยานลูกเรือดรากอน (Crew Dragon) พร้อมนักบินอวกาศ​จำนวน 4 นายในเที่ยวบินปฐมฤกษ์​ Crew-1 พุ่งทะยานจากฐานปล่อย​หมายเลข​ LC-39A​ ศูนย์​อวกาศ​เคน​เนดี​ รัฐ​ฟลอริดา​ 07.27 น. ตามเวลาในประเทศไทย ​ขึ้นสู่วงโคจรตามกำห​นด​เวลา

 

ยานลูกเรือดรากอนลำนี้ มีชื่อเรียกเฉพาะ​ที่ตั้งขึ้นตามธรรมเนียมจากการโหวดของทีมลูกเรือว่า “Resilience” เป็นผลงานทางเทคโนโลยี​ล่าสุดของบริษัท SpaceX ที่เข้ามารับช่วงการรับส่งนักบินอวกาศ​อเมริกัน​ไปและกลับจากสถานีอวกาศจาก NASA ​ในราคาต่อที่นั่งที่ถูกกว่ายานโซยูซ​ค่อนข้างมาก นั่นคือเพียง 55 ล้านดอลลาร์​สหรัฐ​ต่อที่นั่ง เทียบกับ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ​ต่อที่นั่งของฝั่งรัสเซีย​ และที่สำคัญคือได้การออกเดินทางไปและกลับจากแผ่นดินตนเอง ทำให้ประหยัดเวลา และยังสามารถรักษาข้อมูลข่าวสาร​ที่อาจเป็นความลับของฝั่งตนได้ด้วย

 

ตามแผนการเดินทางครั้งนี้ หากไม่มีข้อผิดพลาด​ใดๆ ยาน “Resilience” จะไปถึงสถานีอวกาศ​นานาชาติ​ราว 11.00 น. ของวันที่ 17 พฤศจิกายน ​ตามเวลา​ใน​ประเทศไทย​ เพื่อเข้าเทียบท่า (Docking)​ ที่จุดต่อเชื่อม Harmony Forward ของสถานี​อวกาศ​ จากนั้นนักบินอวกาศ​ทั้ง 4 นาย ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกทีมหลังของคณะสำร​วจ​ที่ 64 (Expedition 64) ก็จะเข้าไปสมทบกับสมาชิกทีมแรกของคณะนี้อีก 3 นาย ที่เวลานี้ประจำการอยู่ก่อนแล้วบนสถานี​

 

เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของ SpaceX Crew Dragon กับอนาคตของภารกิจสำรวจอวกาศยุคใหม่

 

นักบินอวกาศ​ทั้ง 4 นายที่เดินทางไปกับยานในเที่ยวบินปฐมฤกษ์​นี้ได้แก่ ไมเคิล เอส ฮอปกินส์ (Michael S. Hopkins) จาก NASA ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการเที่ยวบินร่วมกับผู้เชี่ยวชาญประจำภารกิจอีก 3 นาย คือ วิกเตอร์ เจ. โกลเวอร์​ (Victor J. Glover) และแชนนอน วอล์กเกอร์ (Shannon Walker) รวมทั้ง​ โซอิชิ โนกูชิ (野口 聡一) จากองค์การอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) 

 

นักบินอวกาศทั้ง 4 นายจะอยู่ประจำการจนถึงเดือนพฤษภา​คม 2564 โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือน นักบินอวกาศชาวรัสเซีย​ 3 นายจากทีมแรกของคณะ​สำรวจที่ 65 จะเดินทางด้วยยานโซยูซ เอ็มเอส-18 ขึ้นมาสมทบ จากนั้นนักบินอวกาศ​ 3 นายเดิมจากทีมแรกของคณะ​สำรวจที่ 64 ก็จะเดินทางกลับโลก โดยจะมอบให้ทีมของฮอปกินส์ ซึ่งเป็นทีมหลังของคณะ​สำรวจที่ 64 รับช่วงเป็นผู้นำภารกิจต่อไป

 

เที่ยวบินปฐมฤกษ์​ Crew-1 นี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ NASA ในภารกิจสำรวจอวกาศยุคใหม่ และนับเป็นครั้งแรกที่นักบินอวกาศ​สหรัฐ​ฯ เดินทางไปกับยานอวกาศ​ของ​บริษัทเอกชนอย่างเป็นทางการ​ นอกจาก Space​X แล้ว ทาง NASA ยังทำสัญญา​กับบริษัท Boeing ด้วย เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันทั้งด้านราคาและคุณภาพ โดยในระหว่างนี้ ยานสตาร์​ไล​เนอร์​ของโบอิ้งยังไม่ผ่านการทดสอบครบทุกขั้นตอน ยานลูกเรือดรากอนของ SpaceX จึงได้ชื่อเป็นเที่ยวบินแรกนำหน้าไปก่อน

 

ไม่เพียงแต่ชาวอเมริกัน​ที่ตื่นเต้นกับการที่ยานอวกาศ​ได้กลับมาออกเดินทาง​จากแผ่นดินแม่อีกครั้ง ชาวไทยเราเองก็ได้คว้าโอกาสสำคัญครั้งประวัติศาสตร์​นี้ไว้ด้วย ในโครงการ Asian Herb in Space (AHiS) นั่นคือการส่งต้นโหระพาและราชพฤกษ์ไปกับยานดรากอนเที่ยวบิน Crew-1 นี้ด้วย

 

 

โครงการ AHiS นี้เป็นผลงานของ Kibo Utilization initiative (Kibo-ABC) ภายใต้การดูแล​ของ JAXA ที่มีแนวคิดที่จะทดลองส่งพืชสมุนไพรของประเทศ​ต่างๆ ในเอเชียขึ้นไปปลูกให้เติบโต​ในสภาพ​แรงโน้มถ่วง​ต่ำ และทาง สวทช. ของไทยร่วมกับ ม.มหิดล ก็เป็นหนึ่งในผู้รับเลือกในโครงการนี้

 

ทางหน่วยงานร่วมได้เลือกต้นโหระพาซึ่งเป็นพืชที่คนไทยรู้จักกันดีมาเป็นพืชที่จะใช้ในการทดลองครั้งนี้ โดยมีชุดทดลองจากแหล่งที่มาเดียวกัน แจกจ่ายไปยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยต่างๆ​ ที่สนใจไปพร้อมกันด้วย เพื่อเปรียบเทียบการเจริญเติบโต​ของโหระพาที่มีอายุเท่ากันในสภาพแวดล้อม​ที่แตกต่าง​กัน คือบนโลกและบนอวกาศ​ ถือเป็นการทดลองที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ​เกี่ยวกับการมองหาแหล่งอาหารสำหรับ​โครงการ​อวกาศ​ในอนาคต​

 

นอกจากนี้ยังมีการส่งเมล็ดพันธุ์ราชพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชาติของไทย​ขึ้นไปกับยานดรากอนในเที่ยวบิน Crew-1 นี้ด้วย ​ซึ่งคล้ายกับธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยยานอพอลโล ​ที่ทาง NASA จะแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์​ต้นไม้ใหญ่จากอวกาศไปปลูกตามโรงเรียน​และ​มหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐ​ฯ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทางหน่วยงานร่วมมีแผนที่จะแจกจ่าย “เมล็ดพันธุ์ราชพฤกษ์อวกาศ” นี้ไปปลูกตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย​ ​เพื่อเป็นการสร้างความตื่นตัวให้แก่เยาวชน นักวิจัย และสาธารณชน เกี่ยวกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ ใครจะรู้ว่าในอนาคต ประเทศไทยของ​เราอาจมีบุคลากร​ที่ทรงคุณค่า​ทางด้านอวกาศ​เกิดขึ้นมากมายจากแรงบันดาลใจ​ครั้งนี้​ก็ได้​

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง: 

The post เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของ SpaceX Crew Dragon กับอนาคตของภารกิจสำรวจอวกาศยุคใหม่ appeared first on THE STANDARD.

]]>