People in Politics – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Tue, 09 Jan 2024 12:52:51 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสายตา วิษณุ เครืองาม เนติบริกรผู้ค้ำจุน 8 นายกฯ https://thestandard.co/prayut-chanocha-in-the-eyes-of-wissanu/ Tue, 09 Jan 2024 12:52:51 +0000 https://thestandard.co/?p=885852 วิษณุ ประยุทธ์

เลขที่ 1 ถนนพิษณุโลก คือชื่อหนังสือเล่มใหม่ของ วิษณุ เค […]

The post พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสายตา วิษณุ เครืองาม เนติบริกรผู้ค้ำจุน 8 นายกฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิษณุ ประยุทธ์

เลขที่ 1 ถนนพิษณุโลก คือชื่อหนังสือเล่มใหม่ของ วิษณุ เครืองาม ที่ตีพิมพ์ในปี 2566 โดยใช้สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา (สำนักพิมพ์ ครม.) เป็นผู้จัดพิมพ์ หน่วยงานแห่งนี้เองที่ ‘เนติบริกร’ นั่งทำงานยาวนานกว่า 11 ปี ทั้งในฐานะรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ปี 2534-2536) และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ปี 2536-2545)

 

 

ดร.วิษณุ เครืองาม เป็นศาสตราจารย์ในปี 2526 หรือเมื่ออายุเพียง 32 ปี โดยเป็นอาจารย์ประจำที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนโอนไปเป็นรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ และก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเต็มตัวในรัฐบาล ชวน หลีกภัย ต่อมาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล 4 คณะ

 

วิษณุได้สรุปรวมความไว้ว่า “นับรวมเวลาที่ผมนั่งอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในฐานะต่างๆ กันจนถึงปี 2566 นานถึง 25 ปี ภายใต้รัฐบาล 12 คณะ นายกรัฐมนตรี 8 คน” (หน้า 150)

 

เลขที่ 1 ถนนพิษณุโลก บันทึกความเป็นไปในหลายมิติของรัฐบาลประยุทธ์ 2 (ปี 2562-2566) ผ่านสายตาของวิษณุ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมานั่งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเป็นหนที่ 2 หลังเคยนั่งในรัฐบาลประยุทธ์ 1 ถือเป็นการดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลคณะที่ 4 ของวิษณุ หลังเคยนั่งตำแหน่งเดียวกันนี้ในรัฐบาลทักษิณทั้งสองสมัย

 

“ระหว่างที่นายกฯ คนใหม่กำลังพิจารณาตั้งรัฐบาลอยู่นั้น ท่านก็ปรารภให้ผมฟังเป็นระยะๆ ว่าใครควรจะไปอยู่กระทรวงใด และขอให้ผมช่วยกำกับดูแลสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีใหม่ด้วย โดยไม่เคยเอ่ยว่าจะให้ผมจัดการกับชีวิตต่อไปอย่างไร จนเมื่อผมได้รับรายชื่อรัฐมนตรีมาครบคณะเพื่อตรวจคุณสมบัติ จึงได้เห็นชื่อของผมว่าเป็นรองนายกรัฐมนตรีอย่างเดิม ผมออกตัวว่ามีปัญหาสุขภาพ ท่านบอกว่าถ้าไม่ล้มหมอนนอนเสื่อก็ช่วยๆ ไปก่อน พี่ป้อม พี่ป๊อก อาจารย์สมคิด ยังอยู่ช่วยผมเลย” (หน้า 39)

 

และหลังจากนี้คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสายตาของ วิษณุ เครืองาม

 

บรรยากาศการประชุม ครม.

 

“บรรยากาศการประชุม ครม. สมัยประยุทธ์ 2 ใกล้เคียงกับสมัยประยุทธ์ 1 คือเริ่มด้วยการที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ ซึ่งหนักไปในทางรายงานภาวะเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และรายงานสถานการณ์ต่างๆ สังเกตว่าในระยะแรกๆ ทุกคนตั้งอกตั้งใจฟังดีอยู่ แต่พอนานเข้า รายงานเหล่านี้มักจะมีมากขึ้น ท่านนายกฯ ก็พยายามจะให้ทุกคนรู้เท่าที่ท่านรู้ ท่านจึงลงมือก้มหน้าก้มตาอ่านเอาๆ จนรัวและรวดเร็วในแบบสไตล์การพูดของท่าน จนหลายคนแอบบ่นว่าจับความตามได้ไม่ทัน” (หน้า 116)

 

 “ท่านนายกฯ ประยุทธ์ เป็นคนควบคุมการประชุมได้ดีพอสมควร อย่างน้อยก็คนละสไตล์กับเวลาที่ท่านทำงานอื่นๆ เช่น ให้สัมภาษณ์ ในการประชุมท่านจะอดทน ใจเย็น และปล่อยให้ทุกคนพูด ท่านจะขัดจังหวะต่อเมื่อเห็นว่าการแสดงความเห็นมีการแขวะกัน หรือหากหลุดออกไปล่วงรู้ถึงภายนอกจะกลายเป็นความขัดแย้ง คนที่นั่งขนาบข้างซ้ายขวาท่านนายกฯ คือ รองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ถ้ามีปัญหาความมั่นคงหรือเศรษฐกิจ ท่านก็จะหารือกับสองท่านนี้ ถ้ามีแง่มุมทางกฎหมาย ท่านก็จะชะโงกหน้ามาถามผมหรือเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา” (หน้า 118)

 

วิบากกรรมของนายกฯ 

 

วิษณุเล่าต่อไปว่า ในห้วงเวลา 4 ปีนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ถูกฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญใน 4 คดี ซึ่งทุกคดีล้วนกระทบต่อสถานภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีและการดำรงสถานะของรัฐบาลทั้งคณะ

 

คดีถวายสัตย์ปฏิญาณยุติลงด้วยคำวินิจฉัยว่า การถวายสัตย์ฯ เป็นการกระทำทางการเมืองของคณะรัฐมนตรีที่เป็นองค์กรฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ จึงเป็นการกระทำของรัฐบาล ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจรับไว้พิจารณาได้

 

คดีการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐยุติลงด้วยคำวินิจฉัยว่า หัวหน้า คสช. ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของรัฐหรือหน่วยงานใด ไม่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย ไม่มีกฎหมายกำหนดกระบวนวิธีการได้มาหรือการเข้าสู่ตำแหน่ง จึงไม่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตามรัฐธรรมนูญ

 

คดีการอยู่บ้านพักรับรองของทางราชการยุติลงด้วยคำวินิจฉัยว่า นายกรัฐมนตรีเคยเป็น ผบ.ทบ. และมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในบ้านพักรับรองกองทัพบก

 

คดีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบกำหนด 8 ปี ยุติลงด้วยคำวินิจฉัยว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องนับเวลาสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 1 ระหว่างปี 2557-2562 รวมกันด้วย ดังนั้นเมื่อมาถึงปี 2565 พล.อ. ประยุทธ์ จึงดำรงตำแหน่งได้ไม่ครบ 8 ปี  

 

ผลของคำวินิจฉัยในทั้ง 4 คดี จึงทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีไม่สิ้นสุดลง

 

ความเป็นผู้นำของ พล.อ. ประยุทธ์

 

วิษณุเล่าว่า หนหนึ่งเคยโดนถามว่า “นายกรัฐมนตรีคนใดที่ดีที่สุดในสายตาของท่าน” เขาตอบคำถามข้อนี้โดยดึงจุดเด่นของผู้นำทางการเมืองทั้งหลายออกมาเป็นคำตอบ 

 

“ถ้าเมืองไทยมีผู้นำที่ซื่อสัตย์สุจริต อดทน อดกลั้น และจงรักภักดี อย่างนายกฯ เปรม, มีผู้นำที่กล้าได้กล้าเสีย มองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์ อย่างนายกฯ ชาติชาย และนายกฯ ทักษิณ

 

“รู้จักใช้คนให้เหมาะกับงาน รู้จักคิดนอกกรอบและสร้างสิ่งใหม่ๆ อย่างรวดเร็วทันใจ อย่าง จอมพล ป. หรือจอมพล สฤษดิ์

 

“สมถะ สุภาพ อ่อนโยน ให้เกียรติคนอื่น และดูแลผลประโยชน์ของแผ่นดิน อย่างนายกฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร และนายกฯ ชวน

 

“ขยันทำงานหนัก เกาะติดปัญหาชนิดแก้ไม่ได้ไม่ปล่อย และใส่ใจรายละเอียดของงานทุกชนิดที่ถาโถมเข้ามา อย่างนายกฯ บรรหาร และนายกฯ ประยุทธ์

 

“ประนีประนอม ไม่ก้าวร้าว รู้จักยอมถอย และปล่อยวาง อย่างนายกฯ ชวลิต

 

“รับฟังความเห็นต่าง มีความเป็นสากล และสง่างามในทุกมิติ อย่างนายกฯ อานันท์

 

“เฉลียวฉลาด อยู่ในวัยที่เหมาะแก่การทำงาน และเรียนรู้เร็ว อย่างนายกฯ อภิสิทธิ์

 

“หากได้ทุกอย่างตามนี้มาผสมกันอยู่ในคนเดียว ประเทศไทยก็จะมีผู้นำที่สมบูรณ์แบบ” (หน้า 163)

 

วิษณุเล่าถึงความเป็นผู้นำของ พล.อ. ประยุทธ์ ไว้ในหลายแง่มุม เช่น

 

“รัฐบาลนายกฯ ประยุทธ์ ผมอยู่กับท่านมาตั้ง 9 ปี จึงคุ้นเคยกันทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พระท่านว่า วิสฺสาสปรมา ญาติ (วิสสาสะปรมา ญาติ) ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง ท่านอาจจะผลีผลามหรือดุดันกับคนอื่น แต่กับผมท่านดูจะเกรงใจและเป็นห่วงสารทุกข์สุกดิบอยู่มาก รู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยท่านก็ถามไถ่ และยังใส่ใจไปถึงลูกเมียผมด้วย” (หน้า 160)

 

“นายกฯ ประยุทธ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ พร้อมกับการเป็นหัวหน้า คสช. ซึ่งมีอำนาจมาก จึงถูกมองว่าเป็นเผด็จการมาตั้งแต่ปีแรก ประกอบกับบุคลิกภาพเป็นคนใจร้อน พูดเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว ขึงขัง เด็ดขาด ใครว่าอะไรจะตอบทุกเม็ด ชนิด ‘เราก็ชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน’

 

“ทั้งที่ถ้าทำงานด้วยแล้วจะรู้ว่าเป็นคนมีอารมณ์ขัน เป็นกันเอง ยอมให้คนยั่วเย้า และท่านเองก็ชอบกระเซ้าเย้าแหย่คนอื่น ยกเว้นเวลาทำงานจะเป็นคนเด็ดขาด จริงจัง ตัดสินใจแล้ว แต่ไม่เคอะเขิน ถ้าผิดพลาดก็ยอมแก้ไขใหม่ พูดใหม่ จึงถูกใจบางกลุ่ม แต่อาจน่าหมั่นไส้สำหรับบางกลุ่ม ที่จริงนายกฯ สมัคร ก็เป็นเช่นนี้ แต่นายกฯ สมัคร เป็นนายกฯ ที่มาจากการหาเสียงเลือกตั้งแล้วได้รับเลือกเข้ามา คนจึงคุ้นชินมาแต่อ้อนแต่ออกตั้งแต่ยังไม่เป็นผู้นำ” (หน้า 166)

 

“นายกฯ ประยุทธ์ ไม่ใช่คนพูดเก่ง ทั้งยังมักจะพูดเร็วปรื๋อ แต่ก็มีเสน่ห์อีกแบบ มีคนบอกว่าแสดงความจริงใจ เพราะพูดอย่างที่คิด เมื่อคิดเร็วก็พูดเร็ว ความจริงก็เป็นคนอารมณ์สุนทรีคนหนึ่ง ชอบเขียนกลอน ชอบแต่งเพลง ฟังเพลง ดูหนังช่อง Netflix เล่นกีฬา ชอบกอล์ฟ ฟุตบอล มวยไทย เรียกว่าใจนักเลง ใจนักกีฬา และมีอารมณ์ขัน แต่พอสั่งงานจะหน้าเข้ม เสียงดุ” (หน้า 177)

 

“พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นผู้นำที่ดีได้หรือไม่ในยามอื่นๆ เช่น ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือยามเกิดความไม่สงบเรียบร้อย ประท้วงต่อต้านกันทั่ว ก็สุดแต่จะวิจารณ์กันไป แต่ในยามเกิดโรคระบาดชนิดใหม่ที่ชื่อโควิด-19 นี้ ต้องนับว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ใช้ความอดทน ความพยายาม และความเข้มแข็งเด็ดขาดพอสมควร” (หน้า 225)

 

      

จุดแข็ง-จุดอ่อนของรัฐบาลประยุทธ์ 2

 

วิษณุเสนอว่า รัฐบาลประยุทธ์ 2 มีจุดแข็งอยู่ 2 ประการ

 

หนึ่งคือ ความเป็นผู้นำที่มีบารมีและอำนาจเก่า อันเนื่องมาจากบุคลิกภาพเข้มแข็งเด็ดขาดและภาพลักษณ์ความไม่ด่างพร้อยตั้งแต่ครั้งสมัยรัฐบาลประยุทธ์ 1

 

สองคือ ภาพลักษณ์สะสมผลงาน ได้แก่ การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ดี การดูแลรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้พอสมควร และการดูแลรักษาสวัสดิภาพและสวัสดิการทางสังคมได้พอประมาณ

 

ทว่ามีจุดอ่อน 2 ประการ

 

หนึ่งคือ การอ่อนในเชิงบริหารงานการเมือง

 

“การทำภารกิจบริหารการเมืองอาจหย่อนยานไปบ้างในระบบที่พรรคการเมืองมีบทบาทสูง แม้หัวหน้าหรือผู้ใหญ่แต่ละพรรคจะมีโอกาสเข้าพบและหารือปัญหากับท่านบ่อยครั้ง แต่ก็เป็นรายๆ ไป โอกาสประชุม ปรึกษาหารือ ร่วมกันวางแผนระดมสมอง ช่วยกันคิดหรือถกแถลงแก้ปัญหาการเมืองของรัฐบาลในลักษณะเป็นคณะยังน้อยกว่าที่ควร แม้แต่ข่าวการพบปะสังสรรค์และรับประทานอาหารระหว่างสมาชิกพรรคหรือแกนนำของพรรคร่วมกันก็แทบจะไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งเรื่องพวกนี้จะว่าไม่สำคัญก็ไม่ได้ เพราะในระบบพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเบื่อ รำคาญ หรือหงุดหงิด เพียงใดก็ต้องอดทน อดกลั้น และอดออม ทั้งทีท่าและวาจาคำพูดเข้าไว้” (หน้า 275)

            

วิษณุบันทึกไว้ด้วยว่า ตัวประยุทธ์เองได้รับแรงกดดันทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่บางคนในซีกรัฐบาลเข้าร่วมกับฝ่ายค้านในการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออก, ความพยายามจะล้มร่างพระราชบัญญัติสำคัญของรัฐบาล, คดีการดำรงตำแหน่ง 8 ปี, การใช้พลังมวลชนเข้ากดดัน ไปจนถึงแยกนายกรัฐมนตรีออกจากพรรคพลังประชารัฐ จนนายกรัฐมนตรีต้องหันไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ทว่า “พล.อ. ประยุทธ์ เหมือนนายกฯ อีกหลายคนคือ ยิ่งกดดันท่านยิ่งฮึดสู้” (หน้า 265)

 

สองคือ ระยะเวลา 4 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ 2 เป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตกันไปทั่วโลกจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนผู้คนเจ็บป่วยล้มตายอย่างมาก ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ผู้คนทำมาหากินไม่ได้ รัฐบาลต้องกู้เงินนับล้านล้านบาทมาพยุงเศรษฐกิจและเยียวยาช่วยเหลือ ทำให้รัฐบาลเองก็ขาดงบมาผลักดันนโยบายอื่น และประชาชนที่ได้รับผลกระทบย่อมเกิดความไม่พอใจรัฐบาลเป็นธรรมดา

 

 

ไม่ใช่คนแปลกหน้าของราชสำนัก

 

วิษณุให้ความรู้ว่า ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญของไทย พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญคือ พระราชสิทธิที่จะทรงได้รับรายงานข้อราชการจากรัฐบาล, พระราชสิทธิที่จะทรงแนะนำตักเตือนรัฐบาล และพระราชสิทธิที่จะพระราชทานกำลังใจและสนับสนุนรัฐบาล

 

“ในการปฏิบัติ รัฐบาล พล.อ.​ ประยุทธ์ 2 ยังคงเคารพพระราชสิทธิเหล่านี้ ดังที่มักมีหนังสือกราบบังคมทูลถวายรายงานข้อราชการเป็นระยะๆ เสมอมา บางครั้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานด้วยตนเอง แต่เมื่อพระราชทานคำแนะนำอย่างไรแล้ว ย่อมอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล จะนำไปอ้างไม่ได้

 

พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ใช่คนแปลกหน้าของราชสำนักและข้าราชการในพระองค์ เพราะเคยถวายงานด้วยความจงรักภักดีและใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ข้อนี้จะนับว่าเป็นจุดแข็งของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ทั้ง 1 และ 2 เลยก็ว่าได้” (หน้า 256)

 

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงต่อรัฐบาล คราวเกิดอุทกภัย เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ก็พระราชทานคำแนะนำต่างๆ แก่นายกรัฐมนตรี รับสั่งเสมอว่า “ถ้าทำได้เองก็ให้ทำไป หากมีอะไรจะให้ช่วยเหลือก็มาบอก” บางครั้งพระราชทานกำลังใจแก่รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ นับเป็นความสัมพันธ์และพระมหากรุณาธิคุณที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ส่วนที่ว่ารัฐบาลจะสนองพระมหากรุณาธิคุณได้มากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องของรัฐบาลเอง พระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้ย่อมมีแก่ทุกรัฐบาลเสมอกัน” (หน้า 258)

 

จนถึงวันนี้ ทั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ วิษณุ เครืองาม ยังคงโลดแล่น มีบทบาทการนำ และมีบารมีอย่างสูงในทางการเมือง

 

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติผู้นี้ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น องคมนตรี

 

และก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 วิษณุ เครืองาม เนติบริกร, อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีผู้นี้ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการกฤษฎีกา ต่อมายังดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 2 (กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน)

 

ทั้งคู่ล้วนยังคงมีภารกิจที่จะสนองพระมหากรุณาธิคุณต่อไป

 

The post พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสายตา วิษณุ เครืองาม เนติบริกรผู้ค้ำจุน 8 นายกฯ appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ : ตอน 2 ประเทศไทยสีส้ม https://thestandard.co/pita-limjaroenrat-short-biography-ep-2-orange-thailand/ Wed, 06 Sep 2023 13:30:22 +0000 https://thestandard.co/?p=838324

คลิกอ่านบทความตอนที่1 ได้ที่นี่: ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘ […]

The post ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ : ตอน 2 ประเทศไทยสีส้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>

คลิกอ่านบทความตอนที่1 ได้ที่นี่: ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’: ตอน 1 สร้างสังคมใหม่ให้ลูก

 


 

ย่อโลกทั้งใบในห้องเรียนเดียว 

 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเมืองการปกครอง สาขาภาวะผู้นำ ที่ John F. Kennedy School of Government, มหาวิทยาลัย Harvard และด้านบริหารธุรกิจที่ MIT Sloan School of Management

 

ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาเป็นพื้นที่ในการหล่อหลอมความเป็นผู้นำให้กับพิธา ที่นั่นเขาได้เรียนรู้จากผู้นำระดับโลก อาจารย์ และเพื่อนร่วมคลาส เขาได้เรียนรู้ถึงประเด็นการพัฒนาใหม่ๆ ของโลก ลงลึกถึงสถานการณ์ในประเทศต่างๆ ได้เข้าใจบริบท ได้ศึกษาเปรียบเทียบ และเก็บรับเพื่อเป็นชุดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศไทย

 

พิธาเล่าว่าที่ Kennedy School มีนักศึกษาจาก 90 ชาติทั่วโลก ‘เสมือนย่อโลกทั้งใบมาอยู่ในห้องเรียนเดียว’ และ “ความหลากหลายนี้เองที่ส่งผลให้การเรียนสนุก โดยเฉพาะเวลาถกเถียง จะทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เมื่อพูดถึง Gender Gap หรือความไม่เท่าเทียมทางเพศ นักเรียนจากสวีเดนกับอิหร่านจะเห็นต่างกันแบบสุดๆ แต่ถ้าพูดถึงความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันของโอกาสทางการศึกษา นักลงทุนจาก Wall Street และ NGO จากไนจีเรีย จะพูดกันราวกับว่าพวกเขามาจากคนละโลก

 

คลาสเรียนของที่นี่ไม่ได้มีเพียงอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังเชิญผู้นำจากทั่วโลก ตั้งแต่ประธานาธิบดี, นายกรัฐมนตรี, ผู้ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล, ดาราฮอลลีวูด ไปจนถึงนักกีฬาที่มีชื่อเสียง มาบรรยายในคลาสเรียนอีกด้วย

 

“วิธีนี้ทำให้การเรียนสนุกและไม่น่าเบื่อ เพราะไม่ต้องท่องจำ มหาวิทยาลัยสอนว่า เอาเวลาท่องจำไปเรียนนอกห้องดีกว่า ไม่ต้องเรียนทฤษฎีมากมาย สำหรับโลกในบริบทใหม่ ทฤษฎีมีไว้ทำลาย”

 

 

ภาครัฐต้องเป็นโค้ชกับกรรมการ

 

ในหนังสือ ไม่สนว่าเก่งมาจากไหน (2555) ที่เขียนโดยพิธา ทยอยตีพิมพ์ลงในคอลัมน์ ‘จดหมายจากฮาร์วาร์ด’ ในนิตยสารสุดสัปดาห์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 – สิงหาคม 2554 ถือเป็นบันทึกที่เขาได้จากห้องเรียน และการใช้ชีวิตที่อเมริกามีหลายตอนที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของพิธาต่อการพัฒนาประเทศไทย

 

ในคลาสเรียนกับ ไมเคิล อี. พอร์เตอร์ จาก Harvard Business School ซึ่งศึกษาเรื่องคลัสเตอร์ ทำให้พิธาเห็นความแตกต่างในหัวข้อนี้ระหว่างอเมริกากับไทย 

 

พิธาเสนอว่า อเมริกามีคลัสเตอร์หรือการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการที่หลากหลายและกระจัดกระจายทางภูมิศาสตร์มากกว่าไทย เช่น การเงินที่นิวยอร์ก, เทคโนโลยีที่แคลิฟอร์เนีย หรือพลังงานที่เท็กซัส แต่ที่ประเทศไทย การค้าส่วนมากจะอยู่ที่กรุงเทพฯ

 

เขาแนะว่า ภาครัฐต้องทำหน้าที่ผลักดันและป้องกัน นั่นคือผลักดันให้เอกชนเกิดการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ และป้องกันคอยตีระบบผูกขาดที่ทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน

 

“ภาครัฐเป็นโค้ชกับกรรมการ ไม่ต้องเล่นเอง ไม่แทรกแซง ไม่ประกันราคา สมัยที่ผมยังทำงานเป็นข้าราชการ ก็เห็นว่ารัฐบาลและเอกชนเข้าใจว่าสิ่งที่ประเทศต้องทำคืออะไร แต่ทำไม่ได้ ก็เพราะการเมืองมันกินหัวเอา ผู้คนส่วนน้อยที่มีอันจะกินเขาเล่นกันมานานจนฝังรากลึก แต่กลับปิดกั้นไม่มีพื้นที่ให้คนส่วนมาก”

 

 

อย่าเพิ่งหมดหวังกับประเทศไทย

 

พิธาเล่าว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ สถานการณ์เป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งเป็นผลจากการที่ประเทศไม่มั่งคั่งและมีภาครัฐที่อ่อนแอ ต้องพึ่งพาประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง มีคำถามที่ถกกันมากที่ฮาร์วาร์ดคือ “ความช่วยเหลือในระยะฉุกเฉิน (Emergency Response) จะมีต่อเนื่องไปจนเป็นความช่วยเหลือในระยะยาว (Nation Building) ได้อย่างไร?”

 

พิธาเสนอว่า มีบทเรียนจากเฮติถึงไทยที่น่าสนใจนั่นคือ การเปลี่ยน The Worst Functions Country ให้เป็นประเทศที่ให้ร่มเงาแก่ชาวเฮติได้ด้วย 

 

  1. การสร้างสถาบันตำรวจ เพื่อควบคุมความเรียบร้อยและความรุนแรงของประเทศ
  2. สร้างสาธารณูปโภคและเส้นทางคมนาคม
  3. สร้างฐานเศรษฐกิจและตลาดเสรี เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและเสริมความมั่งคั่งให้ชาวเฮติ 

 

พิธาย้ำว่า “แม้ประเทศเราจะมีปัญหา แต่ก็นั่นแหละ ประเทศไหนบ้างไม่มีปัญหา อย่าเพิ่งหมดความหวังกับประเทศไทย ขอให้มองไปข้างหน้า”

 

 

ประชาธิปไตยไม่มีทางลัด

 

ในการปาฐกถาของ บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 42 ได้พูดถึงข้อดี-ข้อเสียของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เช่น ความเฉื่อยของสภา ความล่าช้า และความไม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า “แต่อย่างน้อยคุณยังมีสิทธิเลือก นี่แหละคือความสวยงามของมัน และยังมีอีกหลายประเทศในโลกที่ไม่ได้รับสิทธินี้”

 

สำหรับตัวพิธาแล้ว เขาชอบนิยามถึงระบอบประชาธิปไตยฉบับของ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่บอกว่า “ประชาธิปไตยมีข้อเสียเยอะ เป็นระบบที่แย่มาก แต่ก็ดีที่สุดเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ ที่มนุษยชาติมีอยู่ตอนนี้” 

 

พิธาย้ำว่า ทางออกระยะยาวของทุกประเทศที่ใฝ่หาประชาธิปไตย โดยเฉพาะประเทศไทย คือ ‘การศึกษา’ 

 

“สำหรับผม ประชาธิปไตยไม่มีทางลัด ต่อให้โครงสร้างกับกระบวนการเพียบพร้อมอย่างไร แต่จิตวิญญาณไม่ใช่ก็จบ จะแก้รัฐธรรมนูญ​ไปกี่ครั้งก็เปลี่ยนได้ เทียบกับรัฐธรรมนูญของอเมริกา ซึ่งมีอยู่ไม่ถึงหน้า ประเทศที่ประสบความสำเร็จกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะเห็นว่าเป็นประเทศที่มีจิตวิญญาณ ซึ่งปลูกฝังและตอกเสาเข็มไปที่การศึกษา” เขายกตัวอย่างผ่านการเลือกตั้งประธานนักเรียน ซึ่งต้องทำอย่างจริงจัง “มีการหาเสียง ให้ข้อมูล มีดีเบตถาม-ตอบ จิตวิญญาณสำคัญมากและควรปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก”

 

 

พัฒนาการศึกษา

 

พิธาเล่าว่า ถ้ามองดูระบบการศึกษาของไทยจะพบปัญหามากมาย ทั้งเรื่องความเท่าเทียมทางโอกาสการศึกษา, คุณภาพโรงเรียน, บุคลากร, ครูที่ขาดแคลน, หลักสูตรที่เน้นท่องจำ และความเหลื่อมล้ำของคุณภาพในการจัดการศึกษา เขาสรุปรวบยอดความคิดถึงแนวทางการพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ไว้ว่า 

 

  1. เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เป็นวิธีการจัดการศึกษา เช่น การลดภาระของครู, การยกระดับคุณภาพครูเพื่อให้สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ, ครูไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นๆ มีหน้าที่สอนอย่างเดียว
  2. ปฏิรูปครู พิธายกตัวอย่างโครงการ ‘Teach for America’ เพื่อเพิ่มจำนวนและความหลากหลายของครู โดยรับเด็กที่จบปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นครุศาสตร์ มาเข้าในโปรแกรมอบรมพื้นฐาน แล้วส่งไปเป็นครูในพื้นที่กันดาร
  3. ปฏิรูปนักเรียน ด้วยการสร้างอีคิวผ่านอาหารและการใช้ชีวิต ให้เด็กฉลาดจากภายใน 

 

ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องแก้เป็นปัญหาขององค์รวมทั้งระบบ ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนรอบข้าง 

 

 

เงินเร็วแต่ยั่งยืน

 

พิธาเดินทางไปหลายประเทศทั่วโลก เช่น อเมริกา, ยุโรป, จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, บราซิล, อาร์เจนตินา, เนปาล, คิวบา และเวียดนาม รวมทั้งหลายรัฐในอเมริกา หนึ่งในนั้นคือเซาท์บีช ไมอามี เขาเล่าว่า ไมอามีเป็นส่วนผสมที่ลงตัว เป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวและเมืองท่าที่ดูไม่ขัดตา มีตัวตนของเมืองที่ชัดเจน มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ มีสถานที่ที่เสียงดังและสงบ และมีระบบสาธารณูปโภครองรับ 

 

พิธาหันกลับมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย “จริงๆ เมืองท่องเที่ยวไม่ควรมีการทำอุตสาหกรรม เราควรกำหนดยุทธศาสตร์ของเมืองให้ชัดเจนว่าจะบริหารไปในทิศทางไหน ยกตัวอย่างเช่น พระนครศรีอยุธยา เพื่อนฝรั่งถามผมว่า ทั้งที่เป็นเมืองเก่า เมืองมรดกโลก ทำไมจึงมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งติดกับวัด ซึ่งผมเองก็ตอบเขาไม่ได้ 

 

“การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมแบบเงินเร็ว หลังเช็กอินสามารถชาร์จเงินได้เลย เงินไหลเข้าประเทศเร็ว ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงได้เยอะ เมื่อเทียบกับการทำเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมที่กว่าจะกู้เงิน กว่าจะปลูก โต เก็บเกี่ยวมาขาย” เขาทิ้งคำถามไว้ด้วยว่า เมื่อไรเมืองไทยจะจัดการและบริหารการท่องเที่ยวให้เป็นธุรกิจเงินเร็วแต่ยั่งยืนเสียที

 

 

พลังของคนรุ่นใหม่

 

พิธายกคำพูดของ บิล เกตส์ ที่ปลุกใจคนรุ่นใหม่ในมหาวิทยาลัยว่า “คนรุ่นใหม่อย่างพวกคุณเท่านั้นคือทางออก ปัญหาต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ คนรุ่นผมเป็นคนทำ แต่รุ่นพวกคุณต้องมาเป็นคนแก้ ผมต้องขอโทษแทนคนรุ่นผมด้วย”​

 

ในเวลานั้น บิล เกตส์ อยู่ระหว่างเดินทางไปทั่วสหรัฐฯ เพื่อไปกระตุ้นคนรุ่นใหม่ให้ใช้พลังไปในทางสร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาของโลก ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่น ตั้งแต่ปัญหาความยากจน โรคร้าย และภาวะโลกร้อน

 

พิธาเสนอว่า “ปัญหาเรื่องความขัดแย้งกันภายในประเทศทำให้ประเทศไทยก้าวช้าลงมาก หรือแทบจะเรียกว่าก้าวถอยหลังก็ได้ ผมอยากให้เยาวชนคนรุ่นใหม่และคนหนุ่มสาวเอาพลังที่มีในตัวมาช่วยแก้ปัญหาที่ประเทศของเรากำลังประสบดีกว่า เพราะฉะนั้นอาศัยพลังคนหนุ่มสาวนี่แหละ ไม่ต้องรอให้ใครมาแก้”

 

 

ประเทศไทยสีส้ม 

 

พิธาตั้งคำถามถึงระบอบประชาธิปไตยไทยที่เปราะบาง มีทั้งการปฏิวัติ รัฐประหาร กบฏ และมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ 

 

พิธาเสนอทางแก้วิกฤตการเมืองไว้หลายประเด็น “ผมว่าถ้าอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ประเทศไทยต้องเป็นสีส้ม (แดงบวกเหลือง) ในการเปลี่ยนแปลงต้องมีผู้ได้และผู้เสีย”   

 

พิธาพูดถึงงานของ โรเบิร์ต อลัน ดาห์ล อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Yale ที่ระบุไว้ว่า มีเงื่อนไข 7 ข้อที่จะทำให้ระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ 

 

การเลือกตั้ง: การเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม สร้างความชอบธรรมให้กับประชาธิปไตย ไม่ควรมีบุคคลใดหรือคนกลุ่มใดมีสิทธิผูกขาดอำนาจเหนือกระบวนการเลือกตั้ง 

 

ขันติธรรมทางการเมือง: ขันติธรรมจะช่วยส่งเสริมฉันทมติที่สมดุลในสังคม ให้กลุ่มเสียงข้างน้อยได้รับผลประโยชน์ที่เที่ยงธรรมจากกระบวนการเลือกตั้ง 

 

หลักนิติธรรม: งดใช้ระบบ แนวทาง หรือมาตรฐานที่ต่างกัน หรือที่เรียกว่าสองมาตรฐาน ลงโทษคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เว้นโทษอีกคน

 

เสรีภาพในการแสดงออก: บุคคลสามารถกล่าว ตีพิมพ์ แจกจ่าย และนำเสนอสิ่งที่ตัวเองคิดได้ 

 

ความรับผิดชอบต่อสาธารณะและความโปร่งใส: สถาบันของรัฐและบุคคลในสถาบันเหล่านั้นต้องรับผิดชอบการกระทำของตน รัฐบาลต้องรับผิดชอบประชาชนที่เลือกรัฐบาลเข้ามา 

 

การกระจายอำนาจ: ลดการรวมศูนย์อำนาจและอิทธิพลของกลุ่มพลังทางการเมือง ทำให้พลเมืองมีความตื่นตัวและพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในประชาธิปไตย

 

ประชาสังคม: การมีส่วนร่วมตั้งแต่ระดับรากหญ้า เวทีชุมชน กลุ่มนักรณรงค์เรื่องต่างๆ องค์กรการกุศล สหภาพ และสมาคม ซึ่งจะนำไปสู่การมีประชาธิปไตยในระดับรากหญ้าอย่างยั่งยืน

 

พิธาทิ้งท้ายว่า “สิ่งที่เขียนมาไม่ใช่การฝันเฟื่อง โลกนี้ไม่มีอะไรที่จีรัง ความขัดแย้งก็เช่นกัน หวังว่าผู้อ่านจะมีโอกาสใช้เงื่อนไขประชาธิปไตยของดาห์ลวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเรา ใช้สติในการตัดสินใจแสดงบทบาทของพลเมืองที่ดี และเก็บพลังไปโชว์ในคูหาเลือกตั้ง

 

“ผมหวังว่าวันหนึ่งประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นสีส้มเหมือนตะวันที่สุดขอบฟ้า ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของโลก ก็จะเห็นประเทศของเรายิ่งใหญ่เหนือใคร”

The post ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ : ตอน 2 ประเทศไทยสีส้ม appeared first on THE STANDARD.

]]>
ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’: ตอน 1 สร้างสังคมใหม่ให้ลูก https://thestandard.co/pita-limjaroenrat-short-biography-ep-1-build-new-society-for-his-child/ Mon, 04 Sep 2023 12:29:59 +0000 https://thestandard.co/?p=837350 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

เปลี่ยนสีแผนที่ประเทศไทย   “กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้อ […]

The post ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’: ตอน 1 สร้างสังคมใหม่ให้ลูก appeared first on THE STANDARD.

]]>
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

เปลี่ยนสีแผนที่ประเทศไทย

 

“กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย” 

 

นี่คือคำประกาศของ ‘พิธา’ หลังคว้าชัยในการเลือกตั้งปี 2566 ด้วยคะแนนรวมในระบบบัญชีรายชื่อมากกว่า 14 ล้านเสียง คิดเป็นจำนวน 39 ที่นั่งในสภา และชนะการเลือกตั้งใน 112 เขตทั่วประเทศ ทุกภูมิภาค 

 

วันนี้แผนที่ประเทศไทยหลังยุคสงครามสองสีเปลี่ยนเป็นสีส้มเกือบทั้งแผ่นดินแล้ว

 

พิธาเข้าสู่แวดวงการเมืองในปี 2561 โดยคำชวนจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ก่อตั้ง-หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เขาเป็น สส. จากบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 4 ของพรรคอนาคตใหม่ พร้อมตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

 

บททดสอบความเป็นผู้นำทางการเมืองครั้งสำคัญของพิธาเริ่มเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ และพิธาต้องเข้ารับไม้ต่อเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมนำทัพสู่สนามเลือกตั้งปี 2566 

 

ความพร้อมในการเป็นผู้นำประเทศของพิธาถึงขนาดที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 มาจากทั้งผู้คน สถานที่ และการเดินทาง โดยเฉพาะ 2 สถานที่ในชีวิตที่หล่อหลอมให้พิธาเป็นผู้นำอย่างทุกวันนี้ นั่นคือนิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา

 

อยู่ไม่เป็น โลกจึงเปลี่ยน 

 

พิธาเติบโตและใช้ชีวิตในวัยเด็กตั้งแต่อายุ 12 ปีที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยอาศัยอยู่ในครอบครัวของชาวนิวซีแลนด์ที่เป็นคอการเมือง เขาเล่าว่าพ่อกับแม่ชาวนิวซีแลนด์จะถกกันทุกวันบนโต๊ะอาหาร ทั้งปัญหาปากท้อง ปัญหาที่ดิน ปัญหาโรงงานปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ

 

ทีวีในบ้านจะเปิดการประชุมสภาฟังเป็นประจำ เสียงของ จิม โบลเกอร์ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เป็นเสียงที่เขาจดจำถึงวันนี้ ทุกเรื่องที่พูดกันในสภาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และเป็นปัญหาจริงที่ประชาชนชาวนิวซีแลนด์กำลังเผชิญอยู่

 

ทั้งเสียงถกกันเข้มข้นจากครอบครัวในบ้าน และเสียงอภิปรายจริงในสภา เป็นสิ่งที่ฝังชิปการเมืองเข้าไปในตัวพิธาตั้งแต่อายุ 12 ปีจนถึงวันนี้

 

ที่ห้องรับแขกของบ้านมีรูปหนึ่งติดอยู่บนผนัง พิธาเล่าว่าเป็นภาพที่สั่นคลอนและทำให้กระดิ่งในใจของเขาดังตั้งแต่วันนั้น เป็นภาพกลุ่มผู้หญิงอยู่ไม่เป็นเมื่อปี 2436 เป็นกลุ่มคนในประเทศนิวซีแลนด์ที่เรียกร้องสิทธิให้เลือกตั้งได้ ให้ผู้หญิงสามารถไปโหวตได้เท่าผู้ชาย

 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ภาพ: Auckland Weekly News (1910) 

https://www.facebook.com/notes/1023450094797371/

 

“ตอนนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ไม่เป็นเอามากๆ และเขาทำสำเร็จเมื่อปี 2436 กลายเป็นโดมิโนแห่งความก้าวหน้าที่สู้กับแรงเฉื่อยของสังคมสมัยนั้น”

 

ภาพของคนกลุ่มนี้ฝังชิป-ฝังดีเอ็นเอให้กับพิธาว่า “อยู่ไม่เป็นคือคนที่กล้าพูด Speak up ในสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่ถูกต้อง เขาไม่ยอมจำนน แล้วเขา Speak up เพื่อที่จะให้สังคมนั้นมันยุติธรรมขึ้น”  

 

“ดีเอ็นเอของคนอยู่ไม่เป็น นอกจาก Speak up แล้วต้อง Show up กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะสู้กับความไม่เท่าเทียม กล้าที่จะสู้กับวิธีคิด แรงเฉื่อยของสังคมเก่าๆ และทำให้สังคมนั้นมันเท่าเทียมมากขึ้น” 

 

“ถ้าพรรคอนาคตใหม่อยู่เป็น ทำการเมืองแบบเดิมๆ มีหัวคะแนน มีพรรคมีพวก มีแต่ สส. หน้าเก่า มันจะเป็นไปได้ไหมครับที่พรรคอนาคตใหม่จะมีคนสนับสนุนถึง 6.3 ล้านคน และมีผู้แทนราษฎรนั่งอยู่ตรงนี้ถึง 80 คน” 

 

“ถ้าจะทำวิธีแบบเดิม อยู่เป็นเหมือนเดิม โลกไม่มีทางเปลี่ยน”

 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

งาน ‘อยู่ ไม่ เป็น’ จัดขึ้นโดยพรรคอนาคตใหม่ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2562

 

เกษตรก้าวหน้า

 

ที่นิวซีแลนด์ พิธาอาศัยอยู่ที่บ้านไร่กลางชนบทในเมืองแฮมิลตัน ทางตอนเหนือของประเทศ ผู้คนและสภาพแวดล้อมถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจในนโยบายเกษตรก้าวหน้า ซึ่งกลายเป็นคำอภิปรายแรกของพิธาในรัฐสภาที่ได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วสารทิศถึงความเข้าใจในรากของปัญหา มีแนวทางการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม และถูกนำเสนอในที่สาธารณะอย่างเป็นระบบ

 

“นึกถึงแม่บ้านที่นิวซีแลนด์เป็นจุดเริ่มต้นว่าทำไมเขามีบ้านหลังใหญ่ เขาไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เขามีที่ดินทำฟาร์มโคนมเอง เขาสามารถเอาที่ดินไปเข้าแบงก์ได้ ทำให้เขามีเงินหมุน พอไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบ เขาก็เข้าสู่ระบบทุนนิยมได้เหมือนคนทั่วไป พอชีวิตพื้นฐานไม่ต้องดิ้นรน มีกำไร มีเงินเก็บ เขาก็เริ่มคิดว่าต้องเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต

 

“องุ่นพวงหนึ่งราคากี่บาท ไวน์ขวดหนึ่งราคากี่บาท เครื่องสำอางที่มาจากรกแกะราคาต่างกันกี่เท่า…ราคาเท่ากับผลผลิตที่หาได้สองเดือน เขาก็เปลี่ยนจากทำมากได้น้อยเป็นทำน้อยได้มาก ซึ่งนี่เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศเขาด้วย

 

“ผมจำได้ตอนเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ ม.5 นิวซีแลนด์บอกว่าจะไม่ทำทุกอย่าง Strategy is choosing what to do. ยุทธศาสตร์คือการเลือกว่าจะไม่ทำอะไร เขาเลือกเลยว่าเค้าโครงเศรษฐกิจที่มีภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ เขาเลือกเก็บภาคเกษตรกับบริการไว้ แล้วเพิ่มมูลค่าให้ภาคเกษตร ทำให้การเกษตรเชื่อมกับการบริการ และใช้โลกาภิวัตน์กับอุตสาหกรรมจากประเทศอื่นที่ทำได้ดีกว่า”

 

แรงบันดาลใจจากนิวซีแลนด์ ผสานด้วยการเดินทางของพิธาไปเรียนรู้จากพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศที่หน้างานจริง ทำให้พิธาสรุปรวบยอดความคิดเป็นคำอภิปราย ‘กระดุม 5 เม็ด โมเดลแก้ปัญหาการเกษตรไทย’ คือ ที่ดิน-หนี้สิน-เคมี-แปรรูป-ท่องเที่ยว เพื่อพาพี่น้องเกษตรกรออกจากวงจรหนี้สิน

 

ตัวพิธาเองยังให้ความสนใจกับประเด็นการปฏิรูปที่ดินอย่างมาก เขาเคยเขียน ‘จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี’ ว่า 1 ใน 3 สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือการปฏิรูปที่ดิน พิธาเล่าว่า อาจารย์ฝรั่งของเขามองว่าที่ดินในประเทศไทยจำนวนมากถูกปล่อยให้เป็นพื้นที่ว่างและสูญเปล่า เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ซึ่งมีพื้นที่เพียงเล็กน้อย แต่ต้องเอาขยะมาถมเพื่อให้มีที่ดินอยู่อาศัยและเกิดมูลค่า 

 

“เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประเทศที่มีพื้นที่เยอะแยะ มีดินและน้ำสมบูรณ์ประหนึ่งมีทองคำอยู่ข้างใต้อย่างเรา กลับไม่นำที่ดินมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่” 

 

พิธาเสนอให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์ “พลิกแผ่นดินทุกตารางเมตรให้มีคุณค่า” ทั้งสร้างเป็นที่อยู่อาศัยและสร้างความมั่งคั่ง 

 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

 

สร้างสังคมใหม่ให้ลูก

 

ไม่ใช่แค่เกษตรก้าวหน้า แต่นิวซีแลนด์ยังเป็นต้นแบบของสังคมใหม่ที่เขาอยากสร้างให้กับลูก



“ผมก็เป็นชนชั้นกลาง หาพี่เลี้ยงลูกได้ ส่งลูกเรียนโรงเรียนเอกชนได้ แต่ถ้าจะให้ลูกมีชีวิตที่ดีก็ทำให้ผมหมดความฝันเรื่องอื่นไปเหมือนกัน เมื่อเทียบกับพ่อบ้านแม่บ้านที่นิวซีแลนด์ พ่อแม่ไม่ต้องเสียสละความเป็นตัวตนของตัวเองมาก



“แต่ที่นี่มันมีราคาที่ต้องจ่ายเยอะมาก ทั้งค่าเล่าเรียน เวลา การเดินทาง ความปลอดภัย ในขณะที่เด็กนิวซีแลนด์มีรถบัสที่ปลอดภัย มีทางเท้าที่เด็กเดินได้ มีทางจักรยานที่ไม่ต้องกลัวถูกรถเฉี่ยวชน มีสวนสาธารณะที่อากาศสะอาด



“แม้จะเป็นชนชั้นกลางก็เทียบกับชนชั้นธรรมดาในนิวซีแลนด์ไม่ได้อยู่ดี พูดง่ายๆ คือ ค่าเฉลี่ยของประเทศอื่น มันเป็นพรีเมียมของประเทศนี้ ทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มที่และมีราคาที่ต้องจ่ายสูง” 

 

สังคมใหม่ที่พิธาสร้างไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพชีวิต แต่เป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพที่พลเมืองทุกคนพึงได้รับ 

 

ในการอภิปรายหนหนึ่งเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิธาลุกขึ้นเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาในการประกันตัวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาในฐานความผิดจากการแสดงออกทางการเมือง เพื่อส่งให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐและความยุติธรรม

 

คลิปวิดีโอการอภิปรายครั้งนั้นถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ เป็นอีกครั้งที่ยืนยันถึงแนวทางการทำงานการเมืองในฉบับของพิธาด้วย ‘การเมืองแบบพ่อคน’ 

 

“ทุกครั้งที่ผมไปหาคุณตะวันและคุณแบม ผมมองตาตะวันแล้วเห็นพิพิม ลูกสาวของผมอยู่ในนั้น บูมเมอแรงปาออกไปมันกลับมาหาเรา ผู้แทนราษฎรในที่นี้ มีพ่อแม่ของเราที่สู้มาก่อน มีเราที่กำลังสู้อยู่ และมีลูกหลานของท่านที่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าวันหนึ่งเขาอาจเอาชีวิตเข้าไปแลกกับเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นพลเมือง อาจเป็นลูกของผมก็ได้ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของเราทุกคนในประเทศไทย การที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่มีสิทธิเสรีภาพ ก็เท่ากับไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเที่ยงตรงกับคนไทยทั้งประเทศเช่นกัน”

 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 

 

‘อยู่ไม่เป็น โลกจึงเปลี่ยน’ คือตัวตนของพิธาที่พาเขาก้าวสู่พรรคอนาคตใหม่ถึงพรรคก้าวไกล จากนักธุรกิจถึงนักการเมือง หัวหน้าพรรค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และเคยเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศ

 

‘เกษตรก้าวหน้า’ และ ‘การปฏิรูปที่ดิน’ คือหนึ่งในข้อเสนอที่อยู่ในใจพิธามาตลอด ถึงขนาดเคยเขียนจดหมายเสนอถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อหวังพลิกแผ่นดินทุกตารางเมตรให้มีคุณค่า และทำให้พี่น้องเกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

 

‘สร้างสังคมใหม่ให้ลูก’ และ ‘การเมืองแบบคนเป็นพ่อ’ คือแนวโน้มและโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ และสังคมใหม่ที่พิธาอยากสร้างขึ้น

The post ชีวประวัติฉบับย่อของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’: ตอน 1 สร้างสังคมใหม่ให้ลูก appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘อาจารย์วันนอร์’ คำเรียกนี้มีที่มา กับเส้นทางสู่ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติหนที่สอง https://thestandard.co/people-in-politics-wan-muhamad-noor/ Fri, 04 Aug 2023 13:00:08 +0000 https://thestandard.co/?p=825696 วันมูหะมัดนอร์ มะทา

‘วันมูหะมัดนอร์’ มีความหมายว่า รัศมีแห่งศาสนา แสงสว่างข […]

The post ‘อาจารย์วันนอร์’ คำเรียกนี้มีที่มา กับเส้นทางสู่ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติหนที่สอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
วันมูหะมัดนอร์ มะทา

‘วันมูหะมัดนอร์’ มีความหมายว่า รัศมีแห่งศาสนา แสงสว่างของมูฮัมหมัด ศาสดาองค์สุดท้ายของประชาชาติอิสลาม ‘มะทา เป็นสกุลมุสลิมที่สืบจากบิดา ‘เจ๊ะอาแม มะทา’ และมารดา ‘แวสะปีเยาะ มะทา’ 

 

สกุลมะทา ถือหลักคำสอนตามศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ตัววันนอร์ถือหลักสี่ข้อตลอดชีวิตทางการเมือง นั่นคือ หลักของความเป็นธรรม หลักของความถูกต้อง หลักของความยุติธรรม และไม่ผิดหลักศาสนา

 

ครอบครัวและชุมชนมุสลิม ตลอดถึงวัฒนธรรมอิสลาม หล่อหลอมให้วันนอร์เชื่อว่า “เราต้องทุ่มเท เราต้องตั้งใจ เราต้องมีความมุ่งมั่น และจะได้อย่างไรก็เป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า” 

 

 

วัยเด็ก: จากหมู่บ้านสะเตง จังหวัดยะลา ถึงครุศาสตร์ จุฬาฯ 

 

ในวัยเด็ก วันนอร์ติดตามบิดาที่ลงสมัคร สส. เขตในจังหวัดยะลาไปหาเสียงตามหมู่บ้านต่างๆ แม้จะพ่ายแพ้ แต่ทำให้เขาได้พบเห็นปัญหาที่ชาวบ้านต้องการฝากไว้กับคนเป็น สส. นั่นเป็นจุดตั้งต้นให้เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านสะเตง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา มุมานะขวนขวายหาโอกาสทางการศึกษาให้สูงขึ้น

 

วันนอร์เกิดในครอบครัวที่ฐานะไม่ดี ค่อนไปทางยากจน ในวัยเด็ก ทุกเช้าจะต้องเดินจากบ้าน 3-4 กิโลเมตรไปเรียนที่โรงเรียนประชาบาลประจำหมู่บ้าน ต่อมาเข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนประจำจังหวัดยะลา หรือโรงเรียนคณะราษฎร์บำรุง ศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ที่ตั้งในกรุงเทพฯ 

 

ทันทีที่จบการศึกษา วันนอร์กลับไปประกอบอาชีพครูที่โรงเรียนอัตตัรกียะห์อิสลามียะห์ จังหวัดนราธิวาส โดยสอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และสังคมศึกษา วันนอร์ขึ้นเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนในวัยเพียง 20 ปี 

 

เมื่อ พล.อ. ประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ได้เดินทางตรวจเยี่ยมโรงเรียน ก็เห็นสมควรและสนับสนุนให้ครูใหญ่วัย 20 ปี ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยให้ทุนของกระทรวงมหาดไทยศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย

 

นั่นเป็นที่มาให้วันนอร์ได้เข้าศึกษาที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น 08 ได้เลขประจำตัว 8063 พร้อมได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมรุ่นให้เป็นหัวหน้าชั้นปีที่ 1 เมื่อขึ้นชั้นปีที่ 2 ได้เป็นหัวหน้าชั้น เมื่อขึ้นชั้นปีที่ 3 ได้เป็นรองประธานนิสิตคณะครุศาสตร์ และเมื่อขึ้นชั้นปีที่ 4 ได้เป็นประธานนิสิตคณะครุศาสตร์ 

 

ในรั้วจุฬาฯ วันนอร์ยังเป็นนักกิจกรรม ได้ร่วมออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทในหลายภูมิภาคทั่วประเทศ เขาชอบพูดคุยกับผู้ใหญ่ หนึ่งในผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลทางความคิดแก่เขาในวัยและเวลานั้นคือ ‘ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช’ ซึ่งต่อมาทั้งคู่จะได้ร่วมงานกันในพรรคกิจสังคม วันนอร์เข้ารับพระราชทานปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาสังคมศึกษา ในปี 2512 

 

 

อาจารย์วันนอร์: มีลูกศิษย์ในทุกอำเภอของจังหวัดชายแดนใต้

 

‘อาจารย์วันนอร์’ คำเรียกนี้มีที่มาจากที่วันนอร์กลับไปบรรจุเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยครูสงขลา หรือมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลาในปัจจุบัน ต่อมา เขากลับเข้ามาศึกษาระดับปริญญาโทที่คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ด้านการบริหารการศึกษา ก่อนกลับไปเป็นอาจารย์ประจำที่วิทยาลัยแห่งเดิม โดยมีตำแหน่งสุดท้ายคือรองอธิการบดี ก่อนจะลาออกลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ สมัยแรก

 

วันนอร์ยังเป็นอาจารย์พิเศษทั้งที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตสงขลา และคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ในบันทึกของเขาเล่าว่า ถึงตอนนี้ ‘อาจารย์วันนอร์จึงมีลูกศิษย์อยู่ในทุกอำเภอของจังหวัดชายแดนใต้’

 

นับจากปี 2512 ที่เขาดำรงตำแหน่งประธานนิสิตครุศาสตร์ในรั้วจุฬาฯ ต่อมาเป็น ครูใหญ่, อาจารย์, รองอธิการบดี, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรี ให้หลังจากนั้นอีก 27 ปี วันนอร์ก้าวขึ้นเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกในปี 2539 

 

บนถนนการเมือง ใครจะประเมินและล่วงรู้ได้ว่าให้หลังจากปี 2539 อีก 27 ปี วันนอร์จะก้าวขึ้นเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่สองอีกวาระหนึ่ง

 

ถึงวันนี้ ประวัติศาสตร์การเมืองไทยบันทึกไว้แล้วว่า หลังทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา มีเพียง อุทัย พิมพ์ใจชน, ชวน หลีกภัย และ วันมูหะมัดนอร์ มะทา เท่านั้น ที่ได้รับเกียรติประวัติทางการเมืองในฐานะประมุขสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติมากกว่าหนึ่งสมัย 

 

 

ทางแพร่งชีวิต: อาจารย์-นักการเมือง-รัฐมนตรี

 

งานศึกษาของ ‘ศิริเดือน’ ชี้ว่า วันนอร์เป็นนักการเมืองที่มีองค์ประกอบหลายข้อที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ สมัยแรกในปี 2522

 

วันนอร์เป็นผู้นำที่โดดเด่น เป็นนักกิจกรรมแต่เด็ก เขารู้จักกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตั้งแต่ในรั้วจุฬาฯ พ่อของวันนอร์เคยลงสมัคร สส. มีฐานทางการเมืองตามหมู่บ้านต่างๆ เป็นที่รู้จักของประชาชน ตัววันนอร์มีความสุขุม เคร่งขรึม พูดจาน่าเชื่อถือ มีบทบาทความเป็นครู-อาจารย์ พร้อมทั้งมีทั้งลูกศิษย์ เครือข่าย และญาติพี่น้องให้การสนับสนุน

 

‘อาซีส เบ็ญหาวัน’ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตนายก อบจ.ยะลา เล่าถึงการหาเสียงครั้งแรกในชีวิตของวันนอร์ “วันนอร์ใช้วิธีปราศรัยแทนการเจาะหัวคะแนนโดยตรง ในหมู่คนไทยพุทธวันนอร์ใช้ภาษาไทย ในหมู่มุสลิมก็ใช้ภาษามลายูอย่างคล่องแคล่ว เขาปราศรัยบอกข่าวใหม่ๆ บอกโอกาสใหม่ๆ ที่จะทำได้ หากเขาได้เป็น สส. ทำให้ประชาชนมีความหวัง วันนอร์ไม่เคยโจมตีใคร ไม่โจมตีข้าราชการ ทำให้ได้คะแนนจากกลุ่มไทยพุทธ ได้มามากด้วย” (อ่านต่อที่หนังสือนักการเมืองท้องถิ่นยะลา)

 

ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 พรรคกิจสังคมที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค ได้รับชัยชนะในภาคใต้จำนวน 17 ที่นั่ง หนึ่งในนั้นคือวันนอร์ซึ่งเป็น สส. สมัยแรก พร้อมได้รับคะแนนสูงสุดของจังหวัดยะลาอีกด้วย

 

วันนอร์เคยตัดสินใจยุติบทบาททางการเมือง ไม่ลงสมัคร สส. เป็นสมัยที่ 2 ในปี 2526 เขาเล่าว่าเป็นผลจากภาระค่าใช้จ่ายในการทำหน้าที่ผู้แทนฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เงินเดือน สส. ได้รับเพียงเดือนละ 15,000 บาทเท่านั้น เขากลับไปเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยครูสงขลาเป็นเวลา 3 ปี 

 

ถึงที่สุด วันนอร์ตกผลึกกับเส้นทางชีวิตในเวลาต่อมาว่า “ผมคิดว่าเป็นอาจารย์ก็ดี สร้างคน แต่ถ้าเป็นนักการเมือง ผมสามารถจะทำประโยชน์และแก้ไขปัญหามากกว่าที่จะเป็นอาจารย์

 

“ถ้าเป็นนักการเมือง เป็นผู้แทนฯ ก็สามารถบอกได้ว่าพี่น้องประชาชนเดือดร้อนอะไร มีกฎหมายอะไรบ้างที่ควรแก้ไข แต่ถ้าเราสามารถจะมาเป็นรัฐมนตรี มาเป็นผู้บริหารประเทศ เราก็สามารถที่จะมาทำได้มากกว่านี้ เพราะการเมืองคือจุดที่มีอำนาจที่จะแก้ไขปัญหาได้” 

 

 

กลุ่มวาดะห์: แก้โจทย์การเมืองชายแดนใต้ 

 

วันนอร์กลับสู่ถนนการเมืองในฐานะผู้แทนสมัยที่ 2 ในปี 2527 พร้อมกับเป็นผู้นำ-ผู้ก่อตั้ง ‘กลุ่มเอกภาพ’ หรือชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า ‘วาดะห์’ ในพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฐานที่มั่นของผู้สมัคร สส. ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา สตูล ปัตตานี นราธิวาส และบางส่วนของสงขลา โดยมีเงื่อนไขทางการเมืองว่า ถ้ากลุ่มวาดะห์ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา 5 คน ต้องได้รัฐมนตรี 1 เก้าอี้ 

 

เงื่อนไขนี้เป็นผลจากโจทย์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในภาคใต้ นั่นคือนักการเมืองจากภาคใต้ไม่ค่อยได้มีโอกาสก้าวสู่ตำแหน่งระดับสูงในทางการเมือง เพราะกระจายตัวตามพรรคต่างๆ จึงทำให้มีอำนาจต่อรองไม่มาก และทำให้ปัญหาของพี่น้องชาวใต้ไม่ได้รับการแก้ไข 

 

ถึงตรงนี้ วันนอร์จึงร่วมกับบรรดาผู้นำในพื้นที่ แก้โจทย์ทางการเมืองด้วยการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อสร้างพลังทางการเมืองและการต่อรองในนามกลุ่มวาดะห์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองแบบภูมิภาคนิยม มีการนำศาสนาอิสลามซึ่งเป็นทางนำชีวิตของประชาชนในภาคใต้มาเป็นหลักในการทำงาน 

 

กลุ่มวาดะห์มีเป้าหมายชัดเจน นั่นคือ ‘ต้องการรักษาสิทธิในฐานะประชาชนคนไทยให้เท่าเทียมกับคนไทยในทุกภูมิภาค ปกปักรักษาสิทธิประโยชน์ทั้งด้านวัตถุและจิตใจ ดำเนินงานด้านการเมืองและเศรษฐกิจทั้งระดับจุลภาคและมหภาค เพื่อเฉลี่ยความสมบูรณ์พูนสุขสู่ประชาชนใน 5 จังหวัดภาคใต้อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม” 

 

บนถนนการเมือง กลุ่มวาดะห์มีทั้งช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และอัสดง แม้เปลี่ยนพรรค แต่ยังคงความเป็นกลุ่มก้อนเหนียวแน่น

 

กลุ่มวาดะห์เปลี่ยนพรรคการเมืองตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์, พรรคประชาชน, พรรคเอกภาพ, พรรคความหวังใหม่, พรรคไทยรักไทย, พรรคมัชฌิมาธิปไตย, พรรคมาตุภูมิ, พรรคเพื่อไทย ก่อนลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงที่พรรคประชาชาติ 

 

ภายใต้สังกัดของกลุ่มวาดะห์ พวกเขาสามารถผลักดันผู้นำทางการเมืองในสังกัดขึ้นสู่ตำแหน่งต่างๆ ทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ วันนอร์เป็นหนึ่งในความสำเร็จของสังกัดแห่งนี้ 

The post ‘อาจารย์วันนอร์’ คำเรียกนี้มีที่มา กับเส้นทางสู่ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติหนที่สอง appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘12 สมาชิกตระกูลชินวัตร’ กับภารกิจรวมใจชิงอำนาจรัฐ ถึงคำขออนุญาตกลับบ้านจากทักษิณในฤดูเลือกตั้งปี 2566 https://thestandard.co/shinawatra-family/ Wed, 26 Jul 2023 13:32:03 +0000 https://thestandard.co/?p=822504 ตระกูลชินวัตร

จนถึงวันนี้มีสมาชิกในตระกูลชินวัตรก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมน […]

The post ‘12 สมาชิกตระกูลชินวัตร’ กับภารกิจรวมใจชิงอำนาจรัฐ ถึงคำขออนุญาตกลับบ้านจากทักษิณในฤดูเลือกตั้งปี 2566 appeared first on THE STANDARD.

]]>
ตระกูลชินวัตร

จนถึงวันนี้มีสมาชิกในตระกูลชินวัตรก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว 3 คน นั่นคือ ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ คนที่ 23, สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ คนที่ 26 และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ คนที่ 28 อีกหนึ่งคนนอกตระกูลคือ สมัคร สุนทรเวช นายกฯ คนที่ 25

 

2 คนสิ้นอำนาจเพราะโดนรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 อีก 2 คนสิ้นอำนาจเพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 

 

พรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยคนสกุลชินวัตร ทั้งพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องโดยสมาชิกในตระกูลชินวัตร มาที่พรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักษาชาติถูกสั่งยุบพรรค คดีความต่างๆ ที่ฟ้องร้องต่อ 2 อดีตนายกฯ ​และสมาชิกคนอื่นๆ ในตระกูลยังนับเวลาต่อไป เช่นเดียวกับคำขออนุญาตกลับประเทศไทยที่ทักษิณกล่าวซ้ำๆ ทว่ายังไม่ได้รับการตอบสนอง

 

ในการเลือกตั้งปี 2566 ทักษิณส่ง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ดวงใจของครอบครัว เดินสายขายแบรนด์ชินวัตร เรียกคะแนนนิยมทั่วประเทศ จนถึงขนาดเคยขึ้นเป็นอันดับ 1 ในทุกโพลที่คนไทยอยากเห็นเป็นนายกฯ 

 

เมื่อฤดูเลือกตั้งแต่ละครั้งมาเยือน คนแดนไกลมักส่งเสียงข้ามขอบฟ้ามาถึง ทว่าสมาชิกตระกูลชินวัตรอีกอย่างน้อย 10 คนที่เท้ายังเหยียบในแผ่นดินไทย จำต้องแบ่งงานกันทำ รวมใจเป็นหนึ่ง เพื่อหวังชิงอำนาจรัฐ

 

ทักษิณ-แพทองธาร-ปิฎก

 

ทักษิณรีแบรนด์ตัวเองรับการเลือกตั้งปี 2566 เปลี่ยนชื่อเรียกตัวเองใหม่จากทักษิณ เป็น Tony Woodsome เขาเกิดใหม่ครั้งแรกที่ Clubhouse ก่อนพัฒนาเป็นรายการ CareTalk กับพี่โทนี่ทุกคืนวันอังคาร นั่นทำให้พี่โทนี่ได้มีโอกาสเล่าความสำเร็จยุคไทยรักไทย และนำเสนอวิสัยทัศน์หวังโน้มน้าวคนรุ่นใหม่ ชิงส่วนแบ่งคะแนนเสียงกับพรรคก้าวไกล

 

ผลผลิตจากการรีแบรนด์คือหนังสือ Thaksin Shinawatra Theory and Thought นำเสนอถึงมรดกที่ทักษิณคิดและทำให้กับประเทศไทย พร้อมสื่อสารความในใจรับการเลือกตั้งที่ใกล้มาถึง

 

หนึ่งในสารนั้นคือ “ผมสั่งครอบครัวแล้ว ตายไม่เผา ให้เก็บร่างไว้ ไม่ให้เผา นี่คือสิ่งที่ผมต้องการให้การต่อสู้ของผม ให้ชีวิตผมมันเป็นอมตะของครอบครัว” 

 

ทักษิณยังเล่าถึงแพทองธาร ลูกสาวที่เขาเคาะส่งมานำทัพเลือกตั้งปี 2566 ว่า “ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่ซึมซับจากผมเยอะ”

 

วันที่แพทองธารขึ้นปราศรัยครั้งแรกในวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ที่จังหวัดขอนแก่น ทักษิณบอกว่าเห็นตัวเองในตัวแพทองธาร “ชัดเลย ผมสะอึกในคอเลย ภูมิใจ แล้วก็ต้องยอมรับว่าอิ๊งค์เขาได้ดีเอ็นเอผมกับแม่ เขาเข้มแข็งเหมือนแม่ และเป็นคนมีความเป็นผู้นำ มีความกล้า”​

 

ปลายเดือนตุลาคม 2564 แพทองธารรับตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ให้หลังจากนั้นอีก 5 เดือน ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นั่นคือจุดเริ่มต้นของการปูทางสู่ตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค

 

แพทองธารอุ้มท้องปราศรัยต่อเนื่องหลายสิบจังหวัด หลายสิบเวที โดยมี ปิฎก สุขสวัสดิ์ ติดตามอยู่ไม่ห่าง ปิฎกไม่ได้นั่งติดกับแพทองธารบนเวที เขาเลี่ยงที่จะปรากฏตัวออกสื่อ แต่ที่ข้างและหลังเวที ปิฎกยืนอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อเป็นกำลังใจให้ภรรยา 

 

ในการแถลงข่าวหลังคลอดลูก ปิฎกเผยความในใจถึงบทบาทเคียงข้างแคนดิเดตนายกฯ ว่า “อยู่ข้างๆ ครับ…เมื่อไรที่เขาหันกลับมาก็ให้รู้ว่ายังมีผมและครอบครัวที่สนับสนุนเขา”

 

ความนิยมของหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเพิ่มสูงเป็นลำดับจนขึ้นเป็นที่ 1 ของทุกโพลเลือกตั้งที่คนไทยอยากเห็นเป็นนายกฯ ก่อนที่กระแส ‘พิธาฟีเวอร์’ จะทำให้คะแนนนิยมของแพทองธารลดต่ำลงเป็นอันดับ 2 อันเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งการไม่ประกาศจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจนแต่ต้น การหายหน้าไปจากมวลชน และการไม่ขึ้นเวทีดีเบตอย่างสม่ำเสมอ

 

 

ให้หลังจากคลอดได้เพียง 2 วัน แพทองธารตั้งโต๊ะแถลงว่าพร้อมเข้าร่วมกิจกรรมของพรรค ร่วมเวทีดีเบต และย้ำถึงจุดยืนเรื่องการจับขั้วรัฐบาลในอนาคต

 

เมื่อคะแนนนิยมตก พรรคเพื่อไทยเร่งแก้เกมด้วยการชูแพทองธารให้โดดเด่นอีกครั้ง หวังใช้ความเป็นชินวัตรรักษาฐานคะแนนเสียงในโค้งสุดท้าย หลังส่งบทให้เศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเวทีปราศรัยทั่วประเทศ แต่คะแนนนิยมไม่พุ่งตามที่หวัง

 

ยุทธศาสตร์เร่งด่วนเริ่มจากจัดแถลงข่าวในทันทีหลังคลอด, แพร่สารคดีความยาว 18 นาที เล่าเส้นทางชีวิตจากลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลชินวัตรถึงแคนดิเดตนายกฯ, จัดให้มดดำเปิดอกคุยกับ 2 แคนดิเดตนายกฯ โดยไลฟ์ทาง TikTok,​ ส่งแพทองธารกลับสู่เวทีปราศรัยที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมกับประโยคเด็ด

 

“ดิฉันเคยได้ยินมานะคะว่า พรรคที่ถูกรัฐประหารมาไม่สู้เคียงข้างประชาชน ถ้าไม่สู้เคียงข้างประชาชน ดิฉันจะยืนอยู่วันนี้ ตรงนี้เหรอคะ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่สู้เคียงข้างประชาชน ยุบไปแล้ว 2 ครั้ง จะกลับมาแบบนี้เหรอคะ” 

 

 

พานทองแท้-พินทองทา-ณัฐพงศ์

 

เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 สมาชิกตระกูลชินวัตร ทั้งคุณหญิงพจมาน, พานทองแท้, พินทองทา, ณัฐพงศ์ และปิฎก 2 เขยชินวัตร ปรากฏกายพร้อมกันในงาน ‘สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ’ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีคำโปรยว่าเป็นการร่วมกิจกรรมทางการเมืองครั้งแรกของคุณหญิงพจมาน หลังร่วมงานเช่นนี้ครั้งสุดท้ายในยุคไทยรักไทย ก่อนถูกยึดอำนาจในปี 2549

 

สมาชิกทุกคนของตระกูลปรากฏกายพร้อมเพรียงกันเพื่อให้กำลังใจแพทองธาร ทั้งเป็นสัญลักษณ์ในการย้ำเตือนกับผู้สมัครของพรรคและผู้เลือกตั้งทั่วประเทศว่าตระกูลชินวัตรเอาจริง และหวังกับการเลือกตั้งปี 2566 ไว้สูงยิ่ง

 

ทั้งพานทองแท้ พินทองทา และณัฐพงศ์ ยกทีมกันเป็นแผงไปให้กำลังใจแพทองธารอีกหลายเวทีทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ

 

‘พานทองแท้ ชินวัตร’ ในฐานะที่ปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย อยู่เคียงข้างน้องสาวในการเดินสายปราศรัยทั่วประเทศ ต่างจากปี 2562 ที่เข้าร่วมในบางเวทีปราศรัยเท่านั้น ทั้งยังเคียงข้างกับเศรษฐาในทุกเวทีของการปราศรัยโค้งสุดท้าย

 

 

 

ในทุกเวทีที่ไป แม้พานทองแท้ไม่ได้ร่วมปราศรัย แต่การปรากฏตัวของเขาตั้งแต่เดินเข้าสู่เวที โบกมือ ก้มรับดอกไม้ และถ่ายภาพกับประชาชน ก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว

 

พานทองแท้ถูกจดจำในฐานะตัวแทนของทักษิณ การปรากฏกายของเขาช่วยย้ำเตือนถึงความทรงจำและความสำเร็จของทักษิณในการทำให้ประชาธิปไตยกินได้

 

เมื่อทักษิณเข้าสู่วงอำนาจประเทศไทยในช่วงกลางทศวรรษ 2530 เขาละมือจากธุรกิจโทรคมนาคม ส่งต่อให้ผู้บริหารมืออาชีพ และภรรยา จนถึงวันนี้พินทองทา ลูกสาวคนกลาง และณัฐพงศ์ ลูกเขย ขึ้นมารับบทนำในภาคธุรกิจ ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 

‘ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์’ ให้กำลังใจที่หน้าเวทีแต่ไม่ขึ้นสู่เวที เขาปฏิเสธข่าวลือชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 หลังมีกระแสข่าวเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย ทว่าส่งน้องชาย ‘สรพันธ์ คุณากรวงศ์’ อยู่ในบัญชีรายชื่ออันดับ 68 ของพรรคเพื่อไทย

 

‘พินทองทา ชินวัตร’ พี่สาวที่เป็นกองหนุนที่ขยันขันแข็งที่สุดให้กับน้องสาว 

 

ในทุกๆ วัน IG Story ของเธอจะแชร์เรื่องราวของน้องสาวพร้อมข้อความให้กำลังใจ และเมื่อน้องสาวต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อขึ้นเวทีปราศรัย เธอยังรับบทเป็นพี่เลี้ยงของหลาน ‘ธิธาร’ ไปด้วย  

 

เธอเคยเขียนความในใจถึงน้องว่า “เธอคือที่สุดจริงๆ รู้นะว่าแกร่ง แต่มันขนาดนี้เลยเหรอ พูดในฐานะคนเคยอุ้มท้องและผ่าคลอดมา กว่าจะฟื้นตัว กว่าจะเดินตัวตรงๆ ได้เนี่ย เจ็บแผลหลายวันอยู่นะ นี่เธอคือ 2 วัน…นับถือความใจเข้มแข็ง สู้ และตอบอย่างจริงใจจากใจทุกสิ่ง คือขอพูดจากใจจริงว่าพี่ทั้งปลื้มปริ่ม นับถือใจ ภูมิใจ ยินดี และเป็นห่วง มันท่วมท้นไปหมด”

 

 

ยิ่งลักษณ์-ชยิกา-เยาวเรศ 

 

หนึ่งในกลุ่มก้อนทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งในพรรคเพื่อไทยและพรั่งพร้อมด้วยอำนาจต่อรองในเวลานี้คือ คน-ทีม-เครือข่ายของอดีตนายกฯ ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ ซึ่งเริ่มก่อตัวที่พรรคไทยรักษาชาติ ก่อนทยอยกลับสู่พรรคเพื่อไทย

 

คนของยิ่งลักษณ์คืบคลานคุมยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเพื่อไทย หนึ่งในความสำเร็จคือการผลักดันเศรษฐเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ปูทางเป็นแคนดิเดตนายกฯ

 

ยิ่งลักษณ์นั่งหัวโต๊ะคุมแคมเปญปั้นเศรษฐาด้วยตัวเอง โดยต่อสายตรงกับ ‘เจ๊แจ๋น-พวงเพ็ชร ชุนละเอียด’ มาดามนครบาล ผู้มากบารมีในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ เป็นแกนนำของทีมทำงาน

 

ในวงนี้มีทั้งคนวงในของยิ่งลักษณ์ที่ยกขบวนจากตึกไทยคู่ฟ้า ผสมด้วยมือครีเอทีฟที่มีประสบการณ์จากหลายแคมเปญเลือกตั้ง มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การปั้นเศรษฐาขนานไปกับการปั้นทีมกรุงเทพฯ ให้เป็นกระแส เหมือนยุทธศาสตร์เดิมที่วางไว้ให้แพทองธารชิงฐานเสียงต่างจังหวัด ขณะที่เศรษฐาดึงดูดเสียงคนกรุงเทพฯ

 

‘ชยิกา วงศ์นภาจันทร์’ ลูกสาวของ ‘เยาวเรศ ชินวัตร’ เป็นหนึ่งในทีมนี้ เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลชินวัตร และวงในตึกไทยคู่ฟ้าในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์

 

ชยิกาเป็นหนึ่งในทีมเลขาของยิ่งลักษณ์ ตั้งแต่เมื่ออดีตนายกฯ นั่งแท่นเป็นซีอีโอเอไอเอส เมื่อผงาดเข้าตึกไทยคู่ฟ้า ชยิกาติดตามไปคุมเรื่องการประชาสัมพันธ์ออนไลน์ จำนวนผู้ติดตามแฟนเพจของยิ่งลักษณ์ที่ทะลุ 6 ล้านราย เป็นหนึ่งในความสำเร็จของชยิกาและทีม

 

ในแคมเปญปั้นเศรษฐาและอีเวนต์น้อยใหญ่ของทีมกรุงเทพฯ ชยิกาเป็นหนึ่งในทีมทำงานเบื้องหลัง โดยเฉพาะการขนทัพอินฟลูเอ็นเซอร์เข้าร่วมงาน ทั้งเพื่อสร้างกระแสในโลกออนไลน์​และตอกย้ำความเป็นอันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทยบนกระดานการเมือง พรรคที่ทุกกลุ่มก้อนเชื่อมั่นและอยากร่วมงานด้วย

 

หนึ่งในแขกผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมงานต่อเนื่องพร้อมขนเพื่อนจากหลายวงการเข้าร่วมคือ เยาวเรศ ชินวัตร หนึ่งในศูนย์กลางคอนเนกชันที่เชื่อมตระกูลชินวัตรกับกลุ่มสตรี-องค์กรสตรีทั่วประเทศ ด้วยโปรไฟล์อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ คนที่ 20 และประธานสมาคมชาวเหนือแห่งประเทศไทย

 

 

สมชาย และเยาวภา วงศ์สวัสดิ์

 

คดีจำนำข้าวทำให้ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือ เจ๊แดง อดีต ส.ส. เชียงใหม่ และอดีตประธาน ส.ส. ภาคเหนือ หายหน้าหายตาไปจากวงสังคมระยะหนึ่ง แต่วันนี้เธอกลับมาย้ำสถานะ ‘เจ้าแม่วังบัวบาน’ อีกครั้ง

 

เปรียบกันว่า ในตระกูลชินวัตร เป็นรองเพียงทักษิณ ไม่มีใครบริหาร อ่านเกม เข้าใจหัวอกนักการเมือง-นักเลือกตั้งได้ดีเท่าเยาวภา

 

เธอไม่เชื่อในตำราของนักรบห้องแอร์ เธอทำการเมืองจริง สร้างคอนเนกชันจริง ต้อน ส.ส. เข้ากลุ่มจริง ขยายอิทธิพลจริง ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีจริง ถึงขนาดส่ง ‘สมชาย วงศ์สวัสดิ์’ สามี ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 26 สำเร็จมาแล้ว

 

ในการเลือกตั้งปี 2566 สมชายออกเดินสายคู่กับเจ๊แจ๋น เปิดศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทยในเขตเลือกตั้งต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมออกหาเสียงในเขตยุทธศาสตร์ที่อยู่ในสังกัดของเยาวภา 

 

ขณะที่เยาวภารับผิดชอบทั้งการวางยุทธศาสตร์ระดับพื้นที่ และปิดบิ๊กดีลการเมือง ประเภทนำลูกน้องเก่าของนายใหญ่กลับสู่เพื่อไทยได้สำเร็จ

 

ทั้งสมชายและเยาวภากำกับเขตยุทธศาสตร์สำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย น่าน ลำปาง ลำพูน แพร่ ปทุมธานี อุบลราชธานี ที่อุบลราชธานี คอนเนกชันของเจ๊แดงคือ ‘เกรียง กัลป์ตินันท์’ นั่นทำให้มีการเชื่อมต่อไปยังอำนาจเจริญ และยโสธร

 

ผลงานโดดเด่นในการเลือกตั้งคือปิดดีลตระกูล ‘จงสุทธานามณี’ ลงในเขตเลือกตั้งเชียงราย, ปิดดีลตระกูล ‘นพขำ’ ลงในเขตเลือกตั้งปทุมธานี และปิดบิ๊กดีลนำ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ และ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ กลับสู่อ้อมกอดพรรคเพื่อไทย สร้างสุโขทัย-สามมิตรแลนด์สไลด์ ได้สำเร็จ

 

‘พรรณสิริ กุลนาถศิริ’ น้องสาวของสมศักดิ์-ส.ส. สุโขทัย เพิ่งปราศรัยบนเวทีว่า ถ้าสุโขทัยแลนด์สไลด์ทั้งหมด พี่ชายจะเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย

 

 

คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์

 

ในหนังสือ Thaksin Shinawatra Theory and Thought เมื่อถามทักษิณว่า “เวลาคุณยืนมองกระจกอยู่ คุณกำลังเห็นใคร”

 

ทักษิณตอบชัดเจนว่า “เห็นคุณหญิง เพราะผมสงสารคุณหญิง ผมตัดสินใจอยากกลับเมืองไทย เพราะว่าคุณหญิงรับภาระแทนผมไว้เยอะ สงสารเขา ถ้ากลับไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างได้กลับไปอยู่กับครอบครัวแล้ว มันก็จบทุกอย่าง”

 

แม้ไม่เคยปรากฏภาพหรือได้ยินเสียงอย่างเป็นทางการ ทว่าบทบาทหลังฉากการเมืองของ ‘คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์’ เป็นสิ่งที่รู้กันทั่ววงการเมือง

 

เปรียบได้ว่าคุณหญิงพจมานคือศูนย์กลางของถนนทุกสายในตระกูลชินวัตร ทั้งภาระในทางธุรกิจและการเมือง โดยเฉพาะนับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 จนถึงปัจจุบัน 

 

เมื่อ ‘นายใหญ่’ อยู่ต่างแดน ‘นายหญิง’ จึงต้องแบกรับ ‘ภาระ’ และเป็นที่พึ่งให้กับทุกคน

  

คุณหญิงพจมานนั่นเองที่เป็นลมใต้ปีกหนุนนำให้พรรคการเมืองในเครือชินวัตรคว้าชัยในการเลือกตั้งทุกครั้งไปนับตั้งแต่ปี 2544 รวมทั้งเป็น The Prime Minister-Maker มาแล้วถึง 4 คน พร้อมส่งลูกสาวแพทองธารชิงตำแหน่งนายกฯ ในการเลือกตั้งปี 2566

 

คำขออนุญาตกลับบ้าน

 

พลันที่หลานชายคนที่ 7 ลืมตาดูโลก ทักษิณทวีตทันทีว่า “ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน”

ให้หลังจากนั้นอีก 8 วัน เขาทวีตซ้ำอีกว่า “ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ” เขาย้ำอีกว่า “ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเอง ด้วยความรัก ผูกพันกับครอบครัว แผ่นดินเกิด และเจ้านายของเรา”

 

ทักษิณเคยสรุปความเข้าใจต่ออีลิตไทยไว้อย่างน่าสนใจ “บางทีเขา Say Yes อาจจะ Means No เราไม่เข้าใจ เรา Yes คือ Yes และ No คือ No

 

“พอเราไปเจอ Yes แบบ Means No เราตายเลย เพราะเราไม่เคยคิด เราคิดว่าทุกคนคงเหมือนเรานะ แต่ชีวิตของคนอีลิต ยิ่งเป็นอีลิตนานๆ ยิ่งเร้นลับ ซับซ้อน อันนี้คือสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้”

 

คำขออนุญาตกลับบ้านครั้งนี้จะมีผลอย่างไร จะ Yes หรือ No ผลการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผสมด้วยการตัดสินใจครั้งสำคัญเรื่องการจับขั้วทางการเมือง จะเป็นหนึ่งในเหตุผลประกอบคำขอ

 

The post ‘12 สมาชิกตระกูลชินวัตร’ กับภารกิจรวมใจชิงอำนาจรัฐ ถึงคำขออนุญาตกลับบ้านจากทักษิณในฤดูเลือกตั้งปี 2566 appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิษณุ เครืองาม จาก ‘เนติบริกร’ ถึง ‘เครื่องจักรซักล้าง’ ยุค 3 ป. https://thestandard.co/people-in-politics-wissanu-krea-ngam/ Tue, 20 Jun 2023 13:00:53 +0000 https://thestandard.co/?p=805810 วิษณุ เครืองาม

ยุคทักษิณ: จากเลขาธิการ ครม. ถึงรองนายกฯ    ‘ […]

The post วิษณุ เครืองาม จาก ‘เนติบริกร’ ถึง ‘เครื่องจักรซักล้าง’ ยุค 3 ป. appeared first on THE STANDARD.

]]>
วิษณุ เครืองาม

ยุคทักษิณ: จากเลขาธิการ ครม. ถึงรองนายกฯ 

 

‘ดร.วิษณุ เครืองาม’ เป็นศาสตราจารย์ในปี 2526 หรือเมื่ออายุเพียง 32 ปี โดยเป็นอาจารย์ประจำที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนโอนไปเป็นรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชาติชาย และก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเต็มตัวในรัฐบาลชวน หลีกภัย 

 

ในวันที่ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศ วิษณุดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผ่านการทำงานร่วมกับ 9 รัฐบาล 6 นายกรัฐมนตรี

 

ในเดือนกันยายนปี 2545 วิษณุในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ติดตามนายกฯ ทักษิณไปเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อกราบบังคมทูลถวายรายงานข้อราชการที่วังไกลกังวล หัวหิน 

 

วิษณุเขียนเล่าถึงเหตุการณ์วันนั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ตัวเขาได้ก้าวสู่แวดวงการเมืองเต็มตัว

 

“เรื่องใหญ่ของรัฐบาลเวลานั้นคือการจะปฏิรูประบบราชการ ตอนหนึ่งรับสั่งถามอย่างเป็นห่วงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ของทำเล่นใครจะดูแล นายกฯ กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

 

“รับสั่งถามว่า แล้วที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน การพัฒนาแหล่งน้ำ ที่ดิน ที่ทำกินซึ่งยืดเยื้อมานานซึ่งทรงเป็นห่วงมาก เป็นภารกิจหลักของรัฐบาลใครจะดูแล นายกฯ ก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

 

“รับสั่งถามถึงกี่เรื่อง นายกฯ ก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า ลงท้ายรับสั่งว่า เรื่องศาสนาก็เป็นเรื่องใหญ่ละเอียดอ่อน เวลานี้มีปัญหา ใครจะดูแล นายกฯ ก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

 

“กลับออกมาจากเข้าเฝ้าฯ คืนนั้น ยังไม่ทันพ้นประตูวังไกลกังวล นายกฯ ก็จ้องหน้าผม ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า ผมมาคิดดูแล้ว นี่เป็นเรื่องบ้านเมืองนะ ไม่ใช่เรื่องการเมือง! ที่กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าน่ะ ผมว่าผมทำไม่ไหวหรอก ต้องหาคนมาช่วย คุณต้องมาช่วยเสียแล้ว”

 

ต่อมา ในวันที่ 30 กันยายน 2545 ทักษิณเรียกวิษณุเข้าไปจัดทำบัญชีรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า 

 

ทักษิณเปรยอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับวิษณุว่า “เลขาฯ อย่าอยู่เลย ที่ สลค. (สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) อยู่มานานแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือไง ทำงานซ้ำๆ ซากๆ อยู่ได้ ออกมาหาอะไรใหม่ๆ ทำเถิด…ผมมีงานให้ช่วยเป็นหูเป็นตา 2-3 เรื่อง คือติดตามดูแลการปฏิรูประบบราชการ ต่อไปเรายังจะต้องทำเรื่องปฏิรูปกฎหมายอีกให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และจะฝากดูเรื่องศาสนาด้วย เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วง” 

 

พร้อมปิดท้ายด้วยการส่งคำชวนวิษณุนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

 

ในระหว่างนั้น วิษณุยังได้มีโอกาสพบปะกับ ‘คุณหญิงพจมาน ชินวัตร’ หนึ่งในศูนย์กลางของวงอำนาจในเวลานั้น 

 

“ที่จริงคุยกับคุณหญิงแล้วรู้สึกได้ว่าท่านจะเห็นอกเห็นใจ ถ้อยทีถ้อยเจรจาช่างหว่านล้อมมากกว่าท่านนายกฯ เสียอีก เช่น บอกว่าคุณวิษณุมาเป็นรัฐมนตรีอย่างเดียว ไม่ต้องเป็นสมาชิกพรรค เวลาเขาเลือกตั้งก็ไม่ต้องลงเลือกตั้งกับเขา เราอยู่เป็นกลางอย่างนี้แหละ คอยดึงๆ นายกฯ ไม่ให้เป็นอินทรชิต ถ้าอยู่ไปไม่สบายใจอะไรให้มาบอกอ้อ” 

 

ถึงที่สุด วิษณุลงนามในใบลาออกจากราชการในวันที่ 2 ตุลาคม 2545 และในวันที่ 3 ตุลาคม 2545 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง วิษณุ เครืองาม เป็นรองนายกรัฐมนตรี 

 

 

‘เนติบริกร’ ยุคทักษิณ

 

ปลายปี 2545 หรือให้หลังเพียง 3 เดือน หลังจากเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี วิษณุได้รับฉายาจากผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาลว่า ‘เนติบริกร’ 

 

คำอธิบายฉายาในเวลานั้นคือ “นายวิษณุ ได้รับฉายา เนติบริกร เนื่องจากเป็นมือกฎหมายของรัฐบาลทุกสมัย ในตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีส่วนในการอธิบายชี้ช่องเกี่ยวกับกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและการออกกฎหมาย มีความสามารถเป็นเลิศในการพลิกแพลงการใช้กฎหมายที่รัฐบาลมีความชอบธรรมและได้เปรียบฝ่ายที่เห็นต่างเสมอ นับว่าเป็นข้าราชการมืออาชีพที่สามารถตอบสนองความต้องการของฝ่ายการเมืองได้ครบสมบูรณ์ จึงถูกเลือกมาให้บริการด้านกฎหมายในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี” 

 

เมื่อการเมืองพลิกผัน วิษณุยื่นใบลาออกต่อทักษิณ โดยขอให้มีผลในวันที่ 24 มิถุนายน 2549 อายุงานของเนติบริกรในยุคทักษิณ นับเวลาได้ 3 ปี 9 เดือน 

 

 

หลังรัฐประหาร 2557: ที่ปรึกษา คสช. 

 

ราว 14 วัน หลังการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 วิษณุได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามคำสั่ง (เฉพาะ) ที่ 22/2557

 

คณะที่ปรึกษา คสช. มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ ๕ จังหวัด และพี่ใหญ่ 3 ป. นั่งเป็นประธาน และมี พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และพี่รอง 3 ป. นั่งเป็นรองประธาน 

 

คณะที่ปรึกษา คสช. ใช้อาคารที่ทำการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ ๕ จังหวัดเป็นสถานที่ประชุม ที่บ้านป่ารอยต่อแห่งนี้เองที่ได้กลายเป็นศูนย์กลางของวงอำนาจประเทศไทยต่อไปอีกตลอด 9 ปีข้างหน้า วิษณุเล่าว่า คณะที่ปรึกษาชุดนี้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเชิงนโยบายแก่หัวหน้า คสช. โดยตรง ไม่ต้องผ่านใครและไม่ใช่ฝ่ายปฏิบัติ

 

ระยะต่อมา วิษณุนั่งเป็นที่ปรึกษาให้แก่ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของ คสช. ซึ่งมี พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นหัวหน้า โดยเข้าประชุมทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดีที่บ้านเชิงสะพานเกษะโกมล ภารกิจในเวลานั้นคือออกประกาศหรือคำสั่งที่มีผลเป็นกฎหมายนับร้อยฉบับ ซึ่งคั่งค้างตั้งแต่รัฐบาลสมัครจนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์

 

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญยิ่ง คือวิษณุได้รับมอบหมายจาก คสช. ให้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ร่วมกับมีชัย, บวรศักดิ์, พรเพชร และสมคิด วิษณุเล่าว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวใช้เวลา 10 วันก็แล้วเสร็จ โดยมี พล.อ. ประวิตร ประธานคณะที่ปรึกษา คสช. เป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ร่างและ คสช. อยู่ตลอดเวลา ถึงที่สุด ได้มีพระราชทานพระบรมราชานุญาต ลงพระปรมาภิไธย และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557

 

 

ตอบรับประยุทธ์ ลงเรือแป๊ะ

 

วิษณุเล่าถึงนาทีที่ได้รับเทียบเชิญจากหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีให้ร่วมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

 

“วันหนึ่งเวลาเช้าปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557 ผมกำลังทำหน้าที่ประธานอนุญาโตตุลาการ…ระหว่างกำลังฟังพยานเบิกความอยู่ก็มีโทรศัพท์ต่อเข้ามา ต้นทางคือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกฯ หมาดๆ ท่านเริ่มถามโดยไม่อารัมภบทให้เสียเวลาตามสไตล์ของท่านว่า ตกลงพี่จะมาช่วยผมไหม” 

 

[อ่านต่อ อดีตของปัจจุบัน ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ กับ 13 ปี ในวงอำนาจประเทศไทย]

 

วิษณุอ้างถึงภารกิจที่ค้างคาอยู่หลายเรื่อง พล.อ. ประยุทธ์จึงย้ำว่า “ภารกิจอย่างอื่นคงไม่สำคัญเท่าเรื่องบ้านเรื่องเมืองมั้ง พี่ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็คงต้องไปกันต่อกับผมอย่างนี้แหละ เข้าใจตรงกันนะ!

 

“ที่จริงก่อนจะตอบรับกับท่านนายกฯ ผมปรึกษาผู้ที่เคารพนับถือหลายคน ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำว่าบ้านเมืองกำลังอาการหนัก การยึดอำนาจจะถูกหรือผิด แต่ก็ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว และดูผู้คนจะตั้งความหวังไว้มากว่าอยากเห็นการแก้ปัญหาเก่าๆ เดิมๆ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ใหม่ๆ และอยากได้ความสงบเรียบร้อยกลับคืนมา ถ้าใครช่วยได้ก็ควรช่วย

 

“พล.อ. ประยุทธ์ เป็นคนดี เป็นคนจงรักภักดี และเป็นคนมีความตั้งใจดี รวมแล้วคือ 3 ดี เป็นความหวังของบ้านเมือง ในยามหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ คนอื่นที่เหมาะกว่าอาจมีแต่ยังมองไม่เห็น”

 

ถึงที่สุดได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง วิษณุ เครืองาม เป็นรองนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 30 สิงหาคม 2557 โดยได้รับมอบหมายให้กำกับราชการกระทรวงยุติธรรม, สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.), สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.), สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และประสานกับองค์กรอิสระ สื่อมวลชนเรียกวิษณุติดปากว่า ‘รองนายกฯ​ ฝ่ายกฎหมาย’ 

 

หลังรัฐบาล คสช. ลงจากอำนาจในปี 2562 วิษณุออกหนังสือ ‘ลงเรือแป๊ะ’ เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเมือง 

 

‘ลงเรือแป๊ะ’ มาจากสำนวน ‘ลงเรือแป๊ะ ตามใจแป๊ะ’

 

“เมื่อร่วมหอลงโรงกันแล้ว เข้ากลุ่มเข้าพวกกับเขาแล้วต้องมีระเบียบวินัย ว่าไงต้องว่าตามกัน โดยเฉพาะคือต้องเกรงใจหัวหน้าหรือผู้นำ สำนวนนี้จึงคล้ายๆ คำว่า ลงเรือลำเดียวกัน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ตกกระไดพลอยโจน หรือเชื่อผู้นำชาติพ้นภัยอะไรทำนองนั้น”  

 

 

3 ฉายา ยุค 3 ป. 

 

นับจากปี 2557 ถึงปัจจุบัน เท่ากับว่า วิษณุลงเรือแป๊ะมาแล้ว 9 ปี นอกเหนือจากฉายา ‘เนติบริกร’ ในยุคทักษิณแล้ว เขาได้รับฉายาจากสื่อมวลชนสายทำเนียบรัฐบาลเพิ่มเติมอีก 3 ฉายา 

 

ในปี 2562 ได้ฉายา ‘ศรีธนญชัยรอดช่อง’

 

“ความเป็นกูรูด้านกฎหมายของรัฐบาล สามารถช่วยรัฐบาลรอดพ้นปากเหวได้ทุกครั้ง เปิดทางตันด้วยช่องว่างทางกฎหมายที่แม้แต่แว่นขยายก็ยังมองไม่เห็น”

 

ในปี 2563 ได้ฉายา ‘ไฮเตอร์ เซอร์วิส’ 

 

“เป็นการยกคุณสมบัติเด่นของวิษณุที่สามารถหาทางออกให้กับปัญหาหนักอกของคนในรัฐบาล โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายได้อย่างเชี่ยวชาญ และมักถูกวิจารณ์เรื่องความน่าเชื่อถือของรัฐบาล เปรียบได้กับผลิตภัณฑ์ซักฟอกขาวยี่ห้อดัง ที่สามารถล้างคราบสกปรกให้ขาวสะอาดหมดจดได้ แต่อาจทำให้เนื้อผ้าเสียหาย ขาดความสวยงาม คล้ายกับชื่อเสียงของรัฐบาลที่สึกกร่อนตามไปด้วย”

 

ในปี 2565 ได้ฉายา ‘เครื่องจักรซักล้าง’

 

“ความเอกอุด้านกฎหมายระดับปรมาจารย์ในตำนาน ถูกใช้สนองตอบความต้องการของรัฐบาลทุกช่องทาง ทั้งพรรคหลักพรรคร่วม ไม่มีเลือกปฏิบัติ ช่วยยกภูเขาออกจากอก ลดปัญหาหนักใจ ทำหน้าที่เหมือนเครื่องจักรกล คอยซักล้างความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลให้ผ่านพ้น เรื่องไหนผ่านมือเนติบริกรคนนี้ อย่าหวังว่าจะมีใครโต้แย้งได้ เช่น ปม 8 ปีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่เรื่องเหมืองทองอัครา” 

 

 

ชีวิตเนติบริกรในชีวิตของประเทศ 

 

พ้นไปจากบทบาทเนติบริกร วิษณุยังมีผลงานการเขียนนวนิยายอีกสองชิ้นคือ ‘ข้ามสมุทร’ (2558) และ ‘ชีวิตของประเทศ’ (2559) 

 

ชีวิตของประเทศ มีฉากหลังเป็นประวัติศาสตร์ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ก่อนสถาปนากรุงเทพมหานคร จนถึงการสถาปนาพระนครในปี 2325 เรื่องราวดำเนินไปจนกระทั่งต้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 

 

ในรัชกาลนี้เองที่วิษณุเล่าว่า “เป็นการคืบคลานเข้ามาของคลื่นความคิดใหม่ และธรรมเนียมการปกครองใหม่กว่าเดิมอีกระลอกหนึ่งจนผู้มีชีวิตก่อนหน้านั้นซึ่งเคยเป็นคนยุคใหม่กลายเป็นคนตกยุค เพราะมีคนยุคใหม่กว่าเข้ามาทดแทนเสียแล้ว” 

 

ในบทสุดท้ายของเล่ม ‘สยามยุคใหม่’ อาจเป็นหนึ่งในภาพสะท้อนความคิดทางการเมืองของวิษณุได้ชัดเจน 

 

“ประเทศนี้ใครอย่าไปนึกว่าเป็นดินเป็นทรายนะ ประเทศก็มีชีวิตจิตใจ มีบททุกข์ บทโศก บทสุข มีสงคราม มีสันติภาพ มีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในระหว่างมีชีวิตก็ตบแต่งดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยและนิสัยใจคอผู้คนไปเรื่อยๆ

 

“คนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้า เป็นขุนนาง เป็นพ่อค้า เป็นกุลีจับกัง ชาวไร่ชาวนาล้วนมีตัวตนอยู่จริงทั้งนั้น ไม่ใช่คนในนิยาย คนพวกนี้มีส่วนสร้างชาติสร้างประเทศมาด้วยกันทั้งสิ้น มากบ้าง น้อยมาก แต่ก็ถือว่ามีบุญคุณต่อบ้านเมือง ทำให้ประเทศของเรามีชีวิตชีวาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมาได้จนบัดนี้… 

 

ทั้งหมดนี้เป็นชีวิตของประเทศทั้งนั้น สมัยก่อนมักเปรียบคนเหล่านั้นว่าเป็นกายหรือสังขารบ้านเมือง อย่างที่รัชกาลที่ 1 ท่านแต่งไว้ในเรื่องรามเกียรติ์อย่างไรล่ะ” 

 

“อันพระนครทั้งหลาย           

ก็เหมือนกับกายสังขาร

กษัตริย์คือจิตวิญญาณ          

เป็นประธานแก่ร่างอินทรีย์

 

มือเบื้องซ้ายขวาคือสามนต์     

บาทาคือพลทั้งสี่

อาการพร้อมสามสิบสองมี      

ดั่งนี้จึงเรียกว่ารูปกาย

 

ฝ่ายฝูงอาณาประชาราษฎร์     

คือศาสตราวุธทั้งหลาย

ถึงผู้นั้นประเสริฐเลิศชาย        

แม้นจิตจากกายก็บรรลัย”

 

วิษณุถอดความพระราชนิพนธ์บทนี้ไว้ในปาฐกถาของตัวเองหลายครั้งว่า

 

“ประเทศ แผ่นดิน เหมือนกับร่างกาย” 

“ผู้ปกครอง คือจิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน เป็นประธานใหญ่สุด”

“นักวิชาการ นักปราชญ์ เปรียบเหมือนมือซ้ายมือขวา”

“รองเท้าหรือพื้นฐานนั้นก็คือข้าราชการทั้ง 4 เหล่า เวียง วัง คลัง นา” 

“มีอาการครบสามสิบสองคือร่างกายที่สมบูรณ์”

“ประชาชนทั้งหลายเปรียบเสมือนอาวุธ”

 

ชีวิตของ ‘วิษณุ เครืองาม’ ในชีวิตของประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับ 12 รัฐบาล 8 นายกรัฐมนตรี ทว่าในท่ามกลางความผันแปรทั้งหมดนี้ หากพิจารณาจากข้อเขียน หนังสือ นวนิยาย บทบรรยาย ปาฐกถา บทสัมภาษณ์ของวิษณุ กล่าวได้ว่าสิ่งอันเป็นที่เทิดทูนไว้สูงสุดและสม่ำเสมอ คือความมุ่งมั่นของวิษณุในการรักษาจิตวิญญาณและประธานของประเทศ

The post วิษณุ เครืองาม จาก ‘เนติบริกร’ ถึง ‘เครื่องจักรซักล้าง’ ยุค 3 ป. appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’ กับตำราการเมืองจากนายกฯ ชาติชาย ‘รู้แพ้-มีแต่พวกและเพื่อน’ https://thestandard.co/people-in-politics-suwat-liptapanlop/ Fri, 05 May 2023 14:00:56 +0000 https://thestandard.co/?p=785623

ชาติ (ชาย) พัฒนา   พรรคชาติพัฒนาก่อนจะเป็นพรรคชาติ […]

The post ‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’ กับตำราการเมืองจากนายกฯ ชาติชาย ‘รู้แพ้-มีแต่พวกและเพื่อน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ชาติ (ชาย) พัฒนา

 

พรรคชาติพัฒนาก่อนจะเป็นพรรคชาติพัฒนากล้าเปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายหน ทว่ามีจุดเริ่มต้นหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ที่ห้องโถงใหญ่ ‘บ้านราชครู’ แห่ง ‘ตระกูลชุณหะวัณ’ 

 

บ้านและตระกูลที่เป็นศูนย์กลางของวงอำนาจการเมืองไทยในช่วงเวลาหนึ่ง

 

4 ชื่อที่อยู่ในวงสนทนาวันนั้น ชื่อแรกคือ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ชื่อที่ 2 คือ กร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง ชื่อที่ 3 คือ ร.ต.อ. สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ อดีตเลขาธิการพรรคกิจสังคม 

 

และชื่อสุดท้ายคือ เด็กน้อยทางการเมืองที่เพิ่งเป็น ส.ส. เขตของโคราช ได้เพียง 2 สมัย นั่นคือ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ 

 

ชาติชายบอกกับสมาชิกในวงว่า “เราต้องทำพรรคการเมืองของเราให้เป็นทางเลือกใหม่และเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ เน้นเรื่องเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาความยากจนของคนในชาติ” 

 

สุวัจน์ถามที่ประชุมถึงชื่อพรรค นายกฯ ชาติชาย หรือที่สุวัจน์เรียกติดปากว่า ‘น้าชาติ’ หยิบดินสอเขียนชื่อพรรคในกระดาษ และพลิกให้ทุกคนได้เห็น 

 

‘ชาติพัฒนา’ คือชื่อที่ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ มอบไว้ให้ 

 

นับจากนั้นไม่ว่าสุวัจน์จะก้าวเดินไปทางไหนในชีวิตทางการเมือง เขาโอบอุ้มชื่อพรรคที่น้าชาติมอบไว้ให้ไปด้วยเสมอ จากพรรคชาติพัฒนา (2535) พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา (2550) พรรครวมชาติพัฒนา (2553) พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (2554) พรรคชาติพัฒนา (2554) ถึงพรรคชาติพัฒนากล้า (2565) 

 

ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่คือคำสอน สุวัจน์นำคำสอนของน้าชาติ ในฐานะครูการเมืองคนสำคัญของชีวิต เป็นธงนำในการทำงานการเมืองอยู่เสมอ 

 

 

‘ลิปตพัลลภ’ คนหนึ่งไปเล่นการเมือง 

 

เมื่อ พล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เกษียณอายุราชการ ได้ตัดสินใจตั้งพรรคปวงชนชาวไทยในปี 2531

 

อาทิตย์ส่งเทียบเชิญไปยัง วิศว์ ลิปตพัลลภ พ่อของสุวัจน์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ‘ประยูรวิศว์การช่าง’ 1 ใน 5 เสือกรมทางหลวง ซึ่งรับเหมาก่อสร้างทั้งถนน ทางหลวงแผ่นดิน สะพานขนาดใหญ่ และระบบชลประทาน รวมทั้งเคยเป็นอดีตนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ให้ร่วมก่อตั้งพรรคและลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่โคราช 

 

สมาชิกในตระกูลต่างคัดค้าน เพราะพ่อของสุวัจน์อายุมากแล้ว สุวัจน์เล่าว่า “แม้เตี่ยจะมุ่งมั่นแค่ไหน แต่เมื่อเจอเสียงทัดทานของพวกเรา เตี่ยจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีลิปตพัลลภคนหนึ่งไปเล่นการเมืองแทนเตี่ย”

 

ถึงที่สุด วงประชุมตระกูลลิปตพัลลภมีมติส่งสุวัจน์ที่มีโปรไฟล์จบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบปริญญาโทด้านวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเปอร์ดู สหรัฐอเมริกา และเขยโคราช ลงชิง ส.ส. เขต 1 โคราช 

 

 

เกมจบคือจบ ไม่มีอะไรค้างคา 

 

คู่แข่งคนแรกของสุวัจน์ในสนามการเมืองคือ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย นักการเมืองที่โดดเด่นและโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย ด้วยโปรไฟล์นายพลชั้นผู้ใหญ่, เอกอัครราชทูตหลายประเทศ, รัฐมนตรีกระทรวงใหญ่, รองนายกฯ และเป็น ส.ส. โคราช ตั้งแต่ปี 2518

 

ที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา เดือนมิถุนายน ปี 2531 ซึ่งเป็นวันเปิดรับสมัครผู้สมัคร ส.ส. โคราช ชาติชายเรียกสุวัจน์เข้าไปพบ 

 

“คุณคิดอย่างไรถึงมาลงสมัคร ส.ส. โคราช แล้วทำไมไปลงพรรคปวงชนชาวไทย คุณพ่อเป็นนักธุรกิจควรจะลงพรรคชาติไทย” 

 

สุวัจน์บอกว่า นี่คือลีลาของ ‘ราชสีห์ทางการเมือง’ สุวัจน์ได้แต่ตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้คิดแข่งกับท่านครับ” 

 

สุวัจน์ได้เบอร์ 16 ส่วนชาติชายและผู้สมัครของพรรคชาติไทยได้เบอร์ 4-6 

 

บัตรแนะนำตัวที่สุวัจน์เดินสายแจกประชาชน ด้านหน้ามีรูปสุวัจน์ในชุดครุยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้านหลังมีรูป พล.อ. อาทิตย์ 

 

พร้อมด้วยประวัติของสุวัจน์ที่ระบุว่า เขาเป็นลูกชายของ วิศว์ ลิปตพัลลภ และเป็นลูกเขยของ พ่ออุบล ศิริภูมิ และแม่ระเบียบ เจ้าของร้านสามเจริญไหมไทย ร้านขายผ้าไหมเก่าแก่ของโคราช พร้อมนำเสนอนโยบายทั้งถนน 4 เลน สายสระบุรี-นครราชสีมา ถนนลาดยาง และมหาวิทยาลัยประจำจังหวัด 

 

ผลการเลือกตั้งครั้งแรกของสุวัจน์ เขาคว้าชัยเป็นที่ 1 ด้วยคะแนน 98,000 เสียง และชาติชายตามมาที่ 2 ด้วยคะแนน 60,000 เสียง 

 

เมื่อพบกับคู่แข่งที่รัฐสภา สุวัจน์เดินตรงไปกราบชาติชาย ผู้อาวุโสย้ำต่อหน้าว่า “สุวัจน์ เราพวกเดียวกันนะ เราต้องช่วยกันพัฒนาโคราช” 

 

สุวัจน์เล่าว่า “เป็นบุคลิกประจำตัวของ พล.อ. ชาติชาย ที่เปี่ยมด้วยจิตใจเป็นนักกีฬา เกมจบคือจบ ไม่เคยมีอะไรค้างคาใจ”

 

พล.อ. ชาติชาย หัวหน้าพรรคชาติไทย คู่แข่งที่สุวัจน์เพิ่งเอาชนะนั้น ได้เก้าอี้ ส.ส. 87 ที่นั่ง เป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งปีนั้น เมื่อ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ปฏิเสธหวนกลับคืนสู่ตำแหน่งนายกฯ หลังนั่งเป็นศูนย์กลางของวงอำนาจกว่า 8 ปี 5 เดือน

 

พล.อ. ชาติชาย ในฐานะหัวหน้าพรรคเสียงข้างมากในสภา จึงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย 

 

 

ตำราน้าชาติ: รู้แพ้ รู้ชนะ มีแต่พวกและเพื่อน

 

เดือนสิงหาคม 2533 สุวัจน์ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

 

ทันทีที่ทราบข่าว เขารีบตรงไปที่บ้านของ พล.อ. อาทิตย์ เพื่อกราบขอบคุณในโอกาสที่มอบให้ ทว่า พล.อ. อาทิตย์ เฉลยที่มาที่ไปว่า “คนที่อยากให้คุณเป็นรัฐมนตรีคือ พล.อ. ชาติชาย คุณต้องไปขอบคุณ พล.อ. ชาติชาย”

 

สุวัจน์รีบตรงไปที่บ้านราชครู เขาจำคำพูดวันนั้นได้ดี 

 

“บ้านเมืองมันเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้มันต้องคนหนุ่ม เลือกตั้งแล้วจบ ผมไม่เคยคิดว่าคุณอยู่คนละพรรค เป็นคู่แข่งกับผม เราต้องคิดถึงประเทศชาติ” 

 

สิ่งที่สุวัจน์สำนึกอยู่เสมอก็คือ “ผมรู้สึกว่าชีวิตทางการเมืองของผม ทั้ง พล.อ. อาทิตย์ และ พล.อ. ชาติชาย เป็นผู้หล่อหลอมผม” และ “ผมถือว่าน้าชาติเป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่ง และเป็นผู้มีพระคุณทางการเมืองของผม”

 

 

ตำราทางการเมืองของน้าชาติถูกส่งต่อให้สุวัจน์ 

 

  • ความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ รับผิดชอบ และปกป้องลูกน้อง: มีหนหนึ่งที่ต้องให้สัมภาษณ์ถึงการประกาศร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นที่มาของการ ‘เสียบเพื่อชาติ’ ชาติชายสั่งทุกคนห้ามให้สัมภาษณ์ และเดินลงไปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพียงคนเดียว 

 

สุวัจน์เล่าว่า ทุกครั้งที่น้าชาติตัดสินใจก็จะแสดงความรับผิดชอบเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองที่มีความอาวุโสทางการเมืองน้อย ยังมีอนาคตที่ยาวไกล ไม่ควรต้องมาช้ำทางการเมือง

 

  • ใจกว้าง: ผลงานการขยายถนนจากสระบุรี-โคราช จาก 2 เลน เป็น 4 เลน เพื่อเป็นประตูสู่อีสาน ทำให้การเดินทางจากโคราชสู่กรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง จาก 5 ชั่วโมง และทำให้การเดินทางไปจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานลดเวลาลงไปเกือบ 2 ชั่วโมง 

 

สุวัจน์เล่าว่า “แม้ผมจะเป็นฝ่ายค้าน แต่น้าชาติก็ใจกว้าง ทำให้ภาพของการขับเคลื่อนถนนเป็นภาพของความร่วมมือร่วมใจกัน” และ “โครงสร้างของเมืองโคราชวันนี้มาจากแนวคิดของน้าชาติ โดยมีผู้ปฏิบัติการคือผมและทีม ส.ส. โคราชของพรรคชาติพัฒนา เปรียบเสมือนน้าชาติเป็นสถาปนิก แล้วผมเป็นวิศวกร” 

 

  • รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย: การจัดตั้งรัฐบาลในหนหนึ่ง พรรคชาติพัฒนาตัดสินใจไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะได้รับปากพรรคร่วมเดิมที่นำโดย พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ไว้แล้ว 

 

สุวัจน์เล่าว่า น้าชาติไม่ยอมเปลี่ยนไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ เขาย้ำว่า การเมืองต้องมีสัจจะ เราสัญญากับเขาไว้แล้ว จะเปลี่ยนไม่ได้ จะเป็นฝ่ายค้านก็ต้องเป็น

 

“สุวัจน์…มันเป็นเรื่องธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย แพ้ก็คือแพ้ ชนะก็คือชนะ เราต้องเคารพกติกา ใครได้เสียงข้างมากก็ชนะไป การเมืองแค่หนึ่งเสียงก็ชนะกันแล้ว ไม่ต้องถอนตัว ความพ่ายแพ้ไม่ทำให้ผมช้ำทางการเมือง เราตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว อย่าให้เราต้องผิดคำพูด คำพูดเป็นนายเรา” 

 

หลังรู้ว่าแพ้แน่แล้ว น้าชาติรีบต่อโทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับ ชวน หลีกภัย ทันที สุวัจน์ย้ำว่า “พล.อ. ชาติชาย เป็นคนที่มีสปิริตสูงมาก สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เมื่อแพ้ท่านก็พร้อมแสดงความยินดีกับผู้ชนะ เหมือนที่โทรศัพท์ไปหานายกฯ ชวน เมื่อคะแนนเสียงสนับสนุนน้อยกว่า เมื่อชนะท่านก็ให้ความเห็นอกเห็นใจผู้แพ้ จบเกมเป็นจบเกม” 

 

  • ปล้ำยักษ์ให้ปล้ำทีละตัว อย่าไปปล้ำพร้อมกันหลายตัว: ชาติชายคือเจ้าของวลี ‘No Problem’ เขาแนะนำสุวัจน์ว่า ให้เลือกจัดการปัญหาทีละอย่าง หยิบปัญหาใหญ่ๆ มาจัดการก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ปัญหาสุมเข้ามาหลายเรื่องจนทำให้อารมณ์เสีย โดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง 

 

สำหรับปัญหาทางการเมือง น้าชาติย้ำว่า “ทุกปัญหามีทางออก ไม่เคยมีทางตันสำหรับการเมือง มันจะมีทางออกด้วยสถานการณ์ ด้วยเวลา ด้วยปัญหาของมันเอง”

 

  • พวกกับเพื่อน: สุวัจน์เล่าว่า “น้าชาติเป็นนักการเมืองที่มีแต่พวกกับเพื่อน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพอะไร ทุกครั้งที่มีการประชุมสภา ท่านจะนั่งฟังการประชุมอยู่ในห้องประชุมเล็ก บริเวณหน้าห้องประชุมสภา และทุกครั้งที่ท่านอยู่ในห้องนั้น จะมี ส.ส. ทั้งซีกฝ่ายค้านและรัฐบาลแวะเวียนเข้ามานั่งคุยกับท่านเสมอ พวกเราเรียกห้องนี้ว่าห้องสหประชาชาติ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่เคยนำเรื่องความขัดแย้งหรือความไม่พอใจระหว่างเกมมาคิดและติดค้างใจใจ”

 

 

สุวัจน์ไม่เคยหยุดทำการเมือง

 

สุวัจน์เป็น ส.ส. ครั้งแรกในปี 2531 และเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2533 ให้หลังจากนั้นรวม 16 ปี ชื่อของสุวัจน์อยู่ในบัญชีรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในหลายรัฐบาล หลายนายกรัฐมนตรี 

 

ทั้ง รมช.คมนาคม ในรัฐบาลนายกฯ ชาติชาย, รมช.คมนาคม ในรัฐบาลนายกฯ สุจินดา, รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรัฐบาลนายกฯ ชวน, รมว.คมนาคม ในรัฐบาลนายกฯ ชวลิต, รมว.อุตสาหกรรม ในรัฐบาลนายกฯ ชวน, รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, รมว.ทบวงมหาวิทยาลัย, รมว.ยุติธรรม และรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ 

 

สุวัจน์เป็นนักการเมืองในสังกัดบ้านเลขที่ 111 ของพรรคไทยรักไทย เขาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แต่สุวัจน์ไม่เคยหยุดทำการเมือง 

 

ในปี 2551 พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชาชนที่มี สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ หนึ่งในบัญชีรายชื่อ ครม. คือ พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ ภรรยาของสุวัจน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน 

 

นั่นรวมไปถึงคนของสุวัจน์ที่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีในหลายรัฐบาล เช่น วรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็นรัฐมนตรีพลังงานในรัฐบาลนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และในรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมไปถึงตำแหน่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมในรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

ในปี 2562 พรรคชาติพัฒนาเข้าร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ หนึ่งในบัญชีรายชื่อ ครม. คือ เทวัญ ลิปตพัลลภ น้องชายของสุวัจน์ ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

 

 

พรรคชาติพัฒนากล้า: เศรษฐกิจเฉดสี-โคราชโนมิกส์

 

ในการเลือกตั้งปี 2566 สุวัจน์-เทวัญ จากพรรคชาติพัฒนา จับมือ กรณ์ จาติกวณิช จากพรรคกล้า รวมเป็น ‘พรรคชาติพัฒนากล้า’ เดินสู่สนามการเลือกตั้ง ทั้ง 3 คนขึ้นแท่นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค 

 

กรณ์พูดถึงชื่อพรรคใหม่ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่า พรรคชาติพัฒนากล้ามาจากชื่อของพรรคชาติพัฒนาที่ก่อตั้งโดยน้าชาติ อดีตนายกฯ ที่นำความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจมาสู่ประเทศไทย นั่นคือโครงเรื่องและความเชื่อมต่อที่ทำให้พรรคชาติพัฒนากล้าประกาศชัดๆ ว่า ‘เศรษฐกิจต้องเรา’ 

 

ทั้ง ‘เศรษฐกิจเฉดสี เศรษฐกิจทันสมัย สร้างเงินใหม่เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาท’ และตั้งคำถามกับทุนผูกขาด ค่าไฟแพง รวมถึงน้ำมันแพง ได้อย่างเฉียบคมเหนือพรรคการเมืองใหญ่ๆ เวลานี้ 

 

ตัวกรณ์รับภารกิจคิดนโยบายที่แหลมคม ลุยขึ้นเวทีดีเบต และสร้างกระแสให้กับพรรค พร้อมดึงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคใต้ ในจังหวัดที่เป็นเขตยุทธศาสตร์ 

 

ตัวสุวัจน์และเทวัญรับภารกิจชิงเก้าอี้ ส.ส. เขต ที่โคราชเป็นหลัก นั่นทำให้สุวัจน์ชูธง ‘โคราชโนมิกส์’ (Koratnomics) เพื่อนำเศรษฐกิจยุคทองกลับมาสู่อีสาน สู่โคราช ช่วยสร้างงาน เพื่อให้ทุกคนมีเงิน เหมือนที่ชาติชายเคยเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เปิดประตูอีสานสู่อินโดจีน 

 

ในงานฉลองสมรสของบุตรสาวเพียงคนเดียวคือ พราวพุธ ลิปตพัลลภ กับ อิทธิชัย พูลวรลักษณ์ สุวัจน์ขอเป็นประธานจัดงานด้วยตัวเอง โดยนั่งประชุมร่วมกับทีมจัดงานทุกๆ 2 อาทิตย์ สุวัจน์เลือกของชำร่วยที่มีความหมายอย่างยิ่ง ในฐานะนักการเมืองที่รุ่งเรืองจากโคราช นั่นคือเหรียญหลวงพ่อคูณรุ่นแรกๆ ที่เขาเก็บไว้ร่วม 30 ปี ด้วยความตั้งใจว่าจะใช้เป็นของชำร่วยในวันที่ลูกสาวแต่งงาน 

 

ในงานหมั้นที่บ้านลิปตพัลลภ ตระกูลชินวัตรส่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเข้าร่วมงาน ทั้งพราวพุธและอิทธิชัยพบกันครั้งแรกในคอร์สให้ความรู้เรื่องไวน์ แต่ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกัน จนกระทั่งทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งในงานแต่งของ แพทองธาร ชินวัตร และ ปิฎก สุขสวัสดิ์ ซึ่งจัดขึ้นทั้งที่ฮ่องกงและในไทย นั่นเป็นเหตุให้ทั้งคู่ได้เริ่มสานสัมพันธ์และตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน 

 

ในวันฉลองสมรสที่โรงแรม Four Seasons พี่น้อง 3 ป. ตบเท้าเข้าร่วมงาน โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นกล่าวอวยพรบนเวที 

 

แขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมงานยังประกอบด้วยผู้มีอำนาจและผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ทั้งที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญและอยู่ในวงอำนาจเวลานี้จากทุกขั้วทางการเมือง ตั้งแต่องคมนตรี, นายกรัฐมนตรี, ประธานรัฐสภา, ประธานวุติสภา, รองนายกฯ, รัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูง 

 

ในจำนวนนี้รวมไปถึงนักธุรกิจชั้นนำจากหลายกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศ ทั้งรัตนาวะดี, เจียรวนนท์, สิริวัฒนภักดี, โสภณพนิช และจิราธิวัฒน์ 

 

นี่คือรูปธรรมของการพกพาตำราน้าชาติเป็นอาวุธติดตัว ผสานด้วยความเชื่อมั่นทางการเมืองของสุวัจน์ ถึงโอกาสและความเป็นไปได้ของพรรคเล็ก ที่จะสามารถต่อรองและเป็นส่วนหนึ่งของ ครม. ได้ทุกยุค ทุกสมัย ขณะที่ตัวเขาเองก็พร้อมด้วยทุนการเมืองที่แข็งแกร่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นยุคประชาธิปไตยเต็มใบ ครึ่งใบ หรือไร้ใบ สุวัจน์จึงเป็นส่วนหนึ่งของวงอำนาจเสมอ เพราะเขาไม่มีศัตรูทางการเมือง 

 

ในตำราการเมืองของเขา อันเป็นตำราเดียวกับน้าชาติ ทำให้สุวัจน์มีแต่ ‘พวกและเพื่อน’

The post ‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ’ กับตำราการเมืองจากนายกฯ ชาติชาย ‘รู้แพ้-มีแต่พวกและเพื่อน’ appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุชาติ ชมกลิ่น เด็กในบ้านใหญ่-เด็กในบ้านป่าฯ ถึงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 5 รทสช. https://thestandard.co/people-in-politics-suchat-chomklin/ Mon, 17 Apr 2023 10:00:41 +0000 https://thestandard.co/?p=777768 สุชาติ ชมกลิ่น

การเลือกตั้งปี 2562 ที่จังหวัดชลบุรี พรรคพลังประชารัฐคว […]

The post สุชาติ ชมกลิ่น เด็กในบ้านใหญ่-เด็กในบ้านป่าฯ ถึงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 5 รทสช. appeared first on THE STANDARD.

]]>
สุชาติ ชมกลิ่น

การเลือกตั้งปี 2562 ที่จังหวัดชลบุรี พรรคพลังประชารัฐคว้าชัยชนะใน 5 เขตเลือกตั้ง ส่วนอีก 3 เขตเลือกตั้งถูกปักธงทางการเมืองโดยพรรคอนาคตใหม่

 

ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ชัยชนะเป็นของ สุชาติ ชมกลิ่น ด้วยคะแนน 38,268 คะแนน เป็นชัยชนะเหนือคู่แข่งจากพรรคอนาคตใหม่อยู่ 1 หมื่นแต้ม

 

ในเขตเลือกตั้งที่ 6 ความพ่ายแพ้เป็นของ อิทธิพล คุณปลื้ม ห่างคู่แข่งจากพรรคอนาคตใหม่ที่คว้าชัยไปเพียง 6,000 แต้ม

 

ทว่าในบัญชีรายชื่อของคณะรัฐมนตรีชุดแรกในรัฐบาลสืบทอดอำนาจ ปรากฏชื่อของอิทธิพล ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งทั้งพี่ชาย-พี่สะใภ้คุณปลื้ม ต่างเคยขึ้นกุมอำนาจในกระทรวงนี้

 

อิทธิพลขึ้นเป็นรัฐมนตรีได้ เป็นผลจากคำสัญญา และคำเชิญร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐที่ผู้ใหญ่ใน 3 ป. ได้รับปากไว้กับพี่ชาย สนธยา คุณปลื้ม แม้ชัยชนะในชลบุรีจะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่บ้านใหญ่ได้เคยรับประกันไว้

 

ภาพจำในความรับรู้คือชลบุรีเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ร่มใหญ่แห่งบ้านคุณปลื้ม ทว่าในเวลาต่อมา ภาพจำนี้ผิดแผกออกไป

 

 

บารมีของ สุชาติ ชมกลิ่น ก่อตัวหลังการเลือกตั้งปี 2562 โดยการกวาดต้อนผู้นำท้องถิ่นหลายแห่งเข้าสู่สังกัด เป็นผู้นำท้องถิ่นทั้งจากเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน รวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัด นายอำเภอ และนายตำรวจในพื้นที่ สุชาติยังผูกมิตรกับกลุ่มธุรกิจ-การค้าในจังหวัดอย่างเหนียวแน่น

 

เครื่องมือในการจูงใจสู่สังกัดคือการอุปถัมภ์ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะน้ำใจในยามยาก และโอกาสในยามต้องการความก้าวหน้าทุกประเภท

 

สุชาติขึ้นสู่จุดสูงสุดในวงการเมือง โดยได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ตำแหน่งรัฐมนตรีที่สุชาติได้ครอบครอง เป็นภาพสะท้อนความไม่เป็นหนึ่งเดียวใต้ร่มเงาบ้านใหญ่คุณปลื้ม

 

ที่ห้องทำงานของสุชาติ ทั้งที่กระทรวงแรงงาน และสำนักงานส่วนตัวในจังหวัดชลบุรี จะมีกรอบรูปสองรูปใหญ่ติดไว้ที่ผนังห้อง โดยติดอยู่ในระดับที่เสมอกัน นั่นคือภาพของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนัยให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้รับรู้ถึงร่มเงาใหม่ที่เขาสังกัด

 

ร่มเงาที่ให้โอกาสได้ก้าวเป็นรัฐมนตรี ทั้งขึ้นมารับบทนำในวงอำนาจบ้านป่ารอยต่อ ก่อนตัดสินใจคุม 104 เขตเลือกตั้ง ปั้นลุงตู่เป็นนายกฯ สมัยที่ 3

 

 

สองนิทานเรื่องหมา: หมาเริ่มก้าวร้าว-หมาถูกทำร้าย

 

กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 สนธยา คุณปลื้ม พี่ใหญ่ของบ้านใหญ่ ใช้หลายประโยคยิงตรงไปที่สุชาติ ทั้ง ‘อยากจะสร้างอาณาจักร’ และ “การที่คนคนหนึ่งจะพูดเท็จหลายเรื่องในที่ต่างๆ เพื่อให้ตัวเองดูดีนั้นก็เห็นอยู่ดาษดื่น มีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่แปลก

 

“คล้ายกับเวลาหมาเห่า ถ้าไม่สร้างปัญหาร้ายอะไร เราก็ไม่ควรไปดุ เพราะหมาก็ทำตามสัญชาตญาณของหมา แต่คราวนี้ต่างไป เพราะผมเริ่มรู้สึกว่าหมาเริ่มก้าวร้าว ทั้งที่อุ้มชูมายาวนาน”

 

ปมความขัดแย้งที่ทำให้ระอุในเวลานั้นคือบารมีของสุชาติที่เด่นชัดและล้ำหน้าขึ้นทุกวัน

 

ในเวลาไม่นานนัก สุชาติก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งต่างๆ ล้ำหน้าบ้านใหญ่คุณปลื้ม ทั้งก้าวเป็นรัฐมนตรีแรงงานที่เมื่อเทียบชั้นรัฐมนตรีวัฒนธรรมแล้ว ถือเป็นคนละเกรด

 

ก้าวไปรับบทนำในบ้านป่ารอยต่อในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ พงศาวดารกระซิบเล่าว่า ในช่วงเวลาอันเป็นที่โปรดปราน ทุกเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง สุชาติจะทำหน้าที่จัดคิวนักการเมือง นักเลือกตั้งทั่วประเทศเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประวิตร แต่ที่ท้าทายสุชาติที่สุดคือการจัดตัวผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ลงชิงในเขตเลือกตั้งของจังหวัดชลบุรี โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากบ้านใหญ่

 

สุชาติโต้กลับโดยเล่านิทานเรื่องหมาต่างไปจากสนธยา “ผ่านมาชีวิตจริง ผมไม่เคยเห็นหมาตัวไหนมันทิ้งเจ้าของ เห็นมีแต่เจ้าของนั่นแหละที่ชอบเอาหมาไปทิ้ง ไปปล่อยวัด มีเหตุผลไม่กี่ข้อที่หมาจะหายไป นั่นก็คือหลงทาง กับการถูกทำร้ายบาดเจ็บ จนถูกบ้านหลังใหม่เก็บเอาไปเลี้ยง”

 

ในรายการหนึ่งเขาเล่านิทานอีกเรื่องมาประกอบ โดยมีพื้นหลังอยู่ที่ความขัดแย้งระหว่าง แม่ทัพอัลไซเมอร์กับขุนศึกบาดเจ็บ

 

“เมื่อเสร็จศึกแม่ทัพกลับเป็นอัลไซเมอร์ ไม่ดูแลขุนศึก เมื่อขุนศึกบาดเจ็บอยู่ข้างทาง เจ้าเมืองผ่านมาเห็นจึงดูแลอุ้มชู ขุนศึกคนนี้จะถวายหัวให้เจ้าเมืองหรือแม่ทัพที่เป็นอัลไซเมอร์ ผมจึงเล่าให้ฟัง และการเมืองไม่ใช่การสร้างอาณาจักร มันเป็นการรวมตัวกันของคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง”

 

ภาพ: เฟซบุ๊ก สุชาติ ชมกลิ่น

 

ฉายา: ‘สุชาติ ชมเก่ง’

 

ปลายปี 2564 รัฐมนตรีแรงงานได้รับฉายาจากนักข่าวประจำทำเนียบว่า สุชาติ ชมเก่ง เพราะในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแทบทุกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อต้องพูดถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาลหรืองานในความรับผิดชอบ สุชาติจะต้อง ‘ชื่นชม’ ‘ยกยอ’ 2 ป. ก่อนทุกครั้ง

 

นอกเหนือจาก ‘ชมเก่ง’ ในบัญชีรายชื่อของคณะตรวจราชการ ตรวจติดตามงานของทั้งนายกฯ ประยุทธ์ และรองนายกฯ ประวิตร จะต้องมีชื่อของสุชาติเป็นองค์ประกอบอยู่เสมอ

 

ตัวเขาเองยิ้มรับกับฉายา “ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสามารถทำทุกอย่างได้ตามเป้า ช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชน ช่วยเหลือคนแรงงานในทุกๆ มาตรานั้น เพราะทั้ง 2 ท่าน ได้ทำการสนับสนุนและร่วมผลักดันมาตลอด ถ้าไม่มีท่าน ตนก็ไม่สามารถเดินหน้าแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วเช่นอย่างวันนี้”

 

ความเป็น สุชาติ ชมเก่ง ยังพบเห็นได้ในทุกการเปิดงาน ทุกการพบปะพี่น้องแรงงาน ทุกการสัมภาษณ์กับสื่อ ไปจนถึงสารวันแรงงานที่แจกทั่วประเทศในวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี

 

“รัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และท่าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลและกำกับกระทรวงแรงงาน ตระหนักถึงความสำคัญของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน”

 

ถึงที่สุด สุชาติเลือกแล้วที่จะชื่นชมเพียง ป. เดียว เช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 สุชาติเข้ากราบลา พล.อ. ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่บ้านป่ารอยต่อ พร้อมลาออกจากกรรมการบริหารพรรค เป็นอันปิดฉากความสัมพันธ์กับหนึ่งในร่มเงาใหม่ที่ในหนหนึ่งได้เคยให้โอกาสเด็กในบ้านใหญ่คนหนึ่งก้าวชั้นเป็นรัฐมนตรี

 

“ผมรักเคารพลุงป้อมมาก ท่านให้โอกาสผมทำงาน ท่านเมตตาผมมาโดยตลอด ซึ่งท่านทราบเหตุผลที่ผมจะลาออกดี ขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ทำให้ผมเติบโตทางการเมือง แต่ผมมีภารกิจที่จะต้องไปกับลุงตู่”

 

 

มือการเมือง: คุม 104 เขตเลือกตั้ง ปั้นลุงตู่เป็นนายกฯ สมัย 3

 

ความสำคัญและบารมีของสุชาติในพรรครวมไทยสร้างชาติเปล่งประกายเพียงใด พิจารณาได้จากการจัดลำดับปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค โดยเขาอยู่ในลำดับที่ 5 ของบัญชี

 

ขณะที่หากพิจารณาจากความเป็นมือการเมือง เขาอยู่ในลำดับที่ 3 ของบัญชี

 

เป็นรองเพียง ‘พีระพันธุ์’ ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ และหัวหน้าพรรค เป็นรองเพียง ‘เอกนัฏ’ ที่เป็นเลขาธิการพรรคเท่านั้น

 

ทั้งยังเหนือกว่าเสนาธิการทางการเมืองของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่ติดตามกันมาจากตึกไทยคู่ฟ้า ที่ประกอบด้วย ‘ธนกร-อนุชา-เสกสกล-ทิพานันท์’

 

สุชาติในวันนี้จึงเป็นเสนาธิการทางการเมืองวงในที่สุดของ พล.อ. ประยุทธ์ เทียบชั้นกับพีระพันธุ์ และเสนาธิการทหารที่รายล้อมรอบลุงตู่

 

ในการเลือกตั้งปี 2566 สุชาติส่ง ‘แยม-ณภัสนันท์ อรินทคุณวงษ์’ อดีตรองนายกเทศมนตรีตำบลเสม็ด ซึ่งเป็นน้องสาวภรรยาลงชิงเขต 1 จังหวัดชลบุรี

 

“หน้าที่ขอบเขตความรับผิดชอบของผม ณ วันนี้ ต้องดูแลในภาพใหญ่ รวมทั้งสิ้นกว่า 104 เขต และดูแล ส.ส. ทั้งจังหวัดชลบุรี ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก ภาคกลาง ฯลฯ

 

“ถ้าผมลง ส.ส. เขต คงต้องใช้เวลาหาเสียงดูแลเขตของตัวเอง แต่พื้นที่รับผิดชอบอื่นๆ ก็คงทำไม่ได้เต็มที่ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ผมต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ ‘ลุงตู่’ เป็นนายกฯ อีกสมัย”

 

นี่คือคำเฉลยถึงความสำคัญและบารมีของสุชาติในพรรครวมไทยสร้างชาติ

 

จาก ‘เด็กในบ้านใหญ่คุณปลื้ม’ ก้าวเป็น ‘เด็กในบ้านป่ารอยต่อ’ วันนี้สุชาติก้าวไปถึง ‘ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 5 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ’

 

ในการจัดงาน จัดกิจกรรมต่างๆ ของสุชาติในช่วงเทศกาลสำคัญ ทั้งวันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเกิด ซึ่งเปิดโอกาสให้กลุ่มต่างๆ เข้าเยี่ยมคารวะ จะต้องมีป้ายติดอยู่ว่า ‘พวกกันสำคัญเสมอ’ ภาพนายตำรวจติดยศใหม่ที่เข้าเยี่ยมคารวะสุชาติ พร้อมพวงมาลัยใส่พาน หลังประกาศเลื่อนยศได้ไม่กี่วัน คือคำตอบของประโยคนี้

 

ในการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง จึงเป็นการวัดความเป็นพวกเดียวกันที่สุชาติได้สั่งสมไว้อย่างแน่นหนาตลอดสี่ปีที่ถืออำนาจนำ โดยมีเดิมพันคือภารกิจชิงชัย 104 เขตเลือกตั้งในความรับผิดชอบ ทั้งการจัดวางคน ยุทธศาสตร์ และทรัพยากร พร้อมด้วยเป้าหมายใหญ่อยู่ที่ตำแหน่งรัฐมนตรีในสมัยหน้า

The post สุชาติ ชมกลิ่น เด็กในบ้านใหญ่-เด็กในบ้านป่าฯ ถึงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับ 5 รทสช. appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์’ 3 ผู้ช่วยหาเสียงจากก้าวหน้า แม่ทัพหาคะแนนก้าวไกล https://thestandard.co/thanathorn-piyabutr-pannikar/ Mon, 10 Apr 2023 14:12:31 +0000 https://thestandard.co/?p=775291 ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์

ในการเลือกตั้งปี 2562 ‘ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์’ จุดไฟใน […]

The post ‘ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์’ 3 ผู้ช่วยหาเสียงจากก้าวหน้า แม่ทัพหาคะแนนก้าวไกล appeared first on THE STANDARD.

]]>
ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์

ในการเลือกตั้งปี 2562 ‘ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์’ จุดไฟในสายลมในนามพรรคอนาคตใหม่ไปทั่วประเทศ สารทางการเมืองตั้งต้นคือ ‘หยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ คสช.’

 

พรรคอนาคตใหม่คว้าชัย 6.3 ล้านเสียง คำนวณเป็น 81 ที่นั่งในสภา อยู่ในลำดับที่ 3 เหนือพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคการเมืองในเครือชินวัตรได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

 

สี่ปีก่อน ตลาดการเมืองที่เคยถูกเจ้าใหญ่ผูกขาดไม่กี่เจ้า ต้องเผชิญกับส่วนแบ่งการตลาดครั้งใหม่ สินค้าใหม่ในตลาดทำให้ผู้ผลิตสินค้าทุกเจ้าต้องทำงานอย่างหนัก พรรคการเมืองต่างๆ เร่งรีแบรนดิ้งพิชิตใจผู้เลือกตั้ง

 

21 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง ห้ามเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง และห้ามจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง

 

‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ส่งต่อธงนำให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล

 

อดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง รวมตัวเป็น ‘คณะก้าวหน้า’ กลุ่มทางการเมืองที่ได้มีส่วนสำคัญในการปรับภูมิทัศน์ทางการเมือง และสร้างฐานเสียงกลุ่มใหม่ๆ ให้กับพรรคก้าวไกล

 

 

คณะก้าวหน้า: ชิงชัยในสนามท้องถิ่น-รณรงค์จากข้างล่างขึ้นไปข้างบน

 

เมื่อแรกเริ่มตั้งพรรคอนาคตใหม่ ยุทธศาสตร์ของคณะผู้ก่อการนั้นเรียบง่าย พวกเขาหวังใช้การเลือกตั้งแปลงอุดมการณ์เป็นฐานคะแนนเสียง และชิงชัยในสภา-จัดตั้งรัฐบาล เป็นการคว้าอำนาจรัฐเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย

 

ทว่าเป้าหมายที่เดินขนานกันไป และสำคัญยิ่งไปกว่าอำนาจรัฐ คือการปรับภูมิทัศน์ทางการเมือง โดยเฉพาะการปักธงทางความคิด ส่งต่อความคิดทางการเมืองและวัฒนธรรมที่ก้าวหน้าให้กับสังคมไทย

 

นั่นจึงเป็นที่มาของคณะก้าวหน้ากับภารกิจชิงชัยในสนามเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นที่มาของมูลนิธิคณะก้าวหน้า พร้อมแฟนเพจ ‘Common School’ ป้อนคอนเทนต์ที่ก้าวหน้า พร้อมจัดให้มี ‘ตลาดวิชา-คอร์สอบรม-คอร์สออนไลน์’ ให้ความรู้กับประชาชน ทั้งเป็นที่มาของการจัดงาน ‘Future Fest’ ที่มีคนรุ่นใหม่เข้าร่วมงานล้นหลาม

 

สนามเลือกตั้งที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศถูกซอยย่อยลงสู่สนามเลือกตั้งท้องถิ่น หวังคืบคลานชิงชัย ‘องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น’ 7,850 แห่งทั่วประเทศ ทั้ง 4 รูปแบบ ‘องค์การบริหารส่วนจังหวัด-เทศบาล-อบต.-กทม.-พัทยา’ เป็นฐานสร้างการเปลี่ยนแปลงไปถึงการเลือกตั้งระดับชาติ

 

ธนาธรเชิญชวนผู้สนใจจากทั่วประเทศลงสู่สนามเลือกตั้ง “ประเทศไทยต้องการคนหน้าใหม่ๆ มาทำงานการเมือง เพื่อเอาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ใส่เข้าไปเพื่อทำให้เกิดการแข่งขัน”

 

สำหรับพรรคอนาคตใหม่จนถึงคณะก้าวหน้า ‘ชนะมากหรือชนะน้อย’ ไม่เท่า ‘ปักธงทางความคิด’ พวกเขาจึงไม่สนบรรดานักวิจารณ์ว่าก้าวสู่สนามเลือกตั้งท้องถิ่นเร็วเกินไป โดยไม่เข้าใจบริบทของพื้นที่ซึ่งซื้อใจประชาชนด้วยระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากยาวนานในแต่ละชุมชน

 

ในการเลือกตั้ง อบจ. เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2563 คณะก้าวหน้าส่งชิงชัยตำแหน่งนายก อบจ. และสภา อบจ. ใน 42 จังหวัด จาก 76 จังหวัด ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ ทว่าอุดมการณ์ได้ถูกแปลงเป็นคะแนนเสียงกว่า 2.6 ล้านเสียง พร้อมสมาชิกสภา อบจ. อีก 55 คน ใน 18 จังหวัด

 

สำหรับธนาธรและคณะก้าวหน้า ‘การเมืองท้องถิ่น’ เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์จาก ‘ข้างล่างขึ้นไปข้างบน’ เป็นโมเมนตัมสำหรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในวันข้างหน้า ทั้งการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูประบบราชการ ยุติการรวมศูนย์อำนาจ และงบประมาณอยู่ที่รัฐราชการส่วนกลาง

 

แม้จะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง อบจ. ทว่าประกายไฟในสายลมจุดติดในการเลือกตั้งอีกสามครั้งต่อมา

 

ในเดือนมีนาคม 2564 คณะก้าวหน้าคว้าชัยในสนามเลือกตั้งเทศบาล 16 แห่ง จาก 106 แห่งที่ส่งลงชิงชัย หรือคิดเป็นร้อยละ 15 พร้อมได้สมาชิกสภาเทศบาล 136 คน

 

ในเดือนพฤศจิกายน 2564 คณะก้าวหน้าคว้าชัยในสนามเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล 38 แห่ง จาก 196 แห่งที่ส่งลงชิงชัย หรือคิดเป็นร้อยละ 19.4

 

ที่สนามเลือกตั้งเมืองพัทยา คณะก้าวหน้าส่ง ‘กิตติศักดิ์ นิลวัฒนโฒชัย’ ลงแข่งขัน คว้าคะแนนเสียง 8,826 คะแนน หรือร้อยละ 23 สร้างแรงเขย่าต่อบ้านใหญ่ หลังจากที่ไม่ได้เผชิญคู่ต่อสู้มาหลายทศวรรษ

 

เมื่อได้อำนาจรัฐ คณะก้าวหน้าทำให้เห็นทันที โดยใช้เวลาเพียง 99 วัน ผลักดันโปรเจกต์ ‘น้ำประปาดื่มได้’ ที่เทศบาลตำบลอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จนสำเร็จ และขนสื่อมวลชนไปพิสูจน์น้ำดื่มถึงที่ ถือเป็นบริการสาธารณะที่ทำน้อยแต่ได้มาก และทำให้เกิดการเปรียบเทียบถึงคุณภาพชีวิตที่ปกครองโดยบ้านใหญ่และบ้านใหม่

 

 

ปลดล็อกท้องถิ่น: ชูนโยบาย ‘เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด’ เขย่ารัฐราชการรวมศูนย์

 

หลังผ่านสนามเลือกตั้งท้องถิ่น 4 รอบ คณะก้าวหน้าเปิดแคมเปญ ‘ขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น’ หวังแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ขจัดอุปสรรคในการกระจายอำนาจ

 

ใจความหลักของข้อเสนอคือ

  1. ปรับหน้าที่และอำนาจให้ท้องถิ่นมีอำนาจทำทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ให้ส่วนกลางจัดทำเท่านั้น ข้อเสนอเช่นนี้ทำให้ท้องถิ่นจัดบริการสาธารณะได้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่

 

  1. แก้ไขสัดส่วนการจัดสรรงบประมาณระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่น จากสัดส่วน 65-35 (ทุกวันนี้จัดสรรให้ท้องถิ่นได้จริงอยู่ที่ร้อยละ 29) เป็น 50-50

 

  1. เสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดทำแผนเพื่อยกเลิกระบบราชการส่วนภูมิภาคภายในสองปี และให้จัดทำประชามติเรื่องการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคภายในห้าปี

 

อุดมการณ์และภูมิทัศน์ใหม่ทางการเมืองที่ ‘พรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า’ สร้างขึ้น จึงไม่เพียงถูกแปลงเป็นคะแนนเสียง แต่ยังแปลงเป็นข้อเสนอที่เขย่ารัฐราชการรวมศูนย์แบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งยังเป็นข้อเสนอที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง เป็นที่มาของป้ายหาเสียงพรรคก้าวไกลที่ติดตั้งทั่วประเทศ ชูนโยบาย ‘เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด’

 

 

3 ผู้ช่วยหาเสียงในแคมเปญเลือกตั้งพรรคก้าวไกล

 

ในการเลือกตั้งปี 2566 ‘ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์’ กลับสู่สนามเลือกตั้งในฐานะ ‘ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล’ พวกเขาเดินสายปราศรัย ขึ้นรถแห่ เดินปูพรมทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้พรรคก้าวไกลคว้าที่นั่งในสภาสูงกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562

 

และนี่คือสารทางการเมืองของ 3 ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล

 

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

  • พรรคการเมืองเดียวที่กล้าทำเรื่องยากๆ: “พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นมาก็เพราะเราไม่เห็นว่ามีพรรคไหนที่กล้าทำเรื่องยากๆ…ถ้าเราอยากสร้างสังคมที่ดีขึ้น ต้องกล้าชนกับโครงสร้างที่อยุติธรรม…ประเทศนี้มีพรรคการเมืองเดียวที่กล้าทำ กล้าเผชิญปัญหาที่ต้นตอ กล้าต่อสู้กับกลุ่มทุนผูกขาด ต่อสู้กับรัฐราชการรวมศูนย์ นั่นคือพรรคก้าวไกล”
  • พรรคก้าวไกลพร้อมกว่าพรรคอนาคตใหม่: “พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง 2566 มีความเข้มแข็งและพร้อมกว่าพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้ง 2562 มาก จากการต่อสู้และทำงานตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหากเลือกก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนมีความคุ้มค่าแน่นอน”
  • การเมืองกับปากท้องเป็นเรื่องเดียวกัน: “ถ้าการเมืองกับปากท้องมันแยกออกจากกันได้ ถ้าการแก้ปัญหาปากท้องอย่างเดียวโดยไม่ต้องแก้ปัญหาการเมืองทำให้ชีวิตคนไทยดีได้จริง คนไทยคงจะรวยไปนานแล้ว แต่ที่คนไทยไม่รวยเพราะปัญหาการเมืองเป็นแบบนี้”
  • พรรคการเมืองกับกรณีซื้อบ้านใหญ่เข้าสังกัด: “สองเดือนที่ผ่านมาคุณเห็นอะไร พรรคนี้ไปซื้อบ้านใหญ่…กระโดดกันไปมา อันนี้ดูถูกประชาชนมาก เหมือนไม่มีอุดมการณ์อะไรเลย แต่ละพรรคย้ายไปบางทีอยู่ขั้วรัฐบาล สนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนเผด็จการมา กระโดดกลับมาอีกฝั่ง บางทีอยู่ฝั่งที่ไม่สนับสนุนเผด็จการ ย้ายกลับไปอยู่ฝั่งเผด็จการ ฝั่งทหารจำแลง เหลือเชื่อมากๆ นี่มันเป็นความล้มเหลวทางสามัญสำนึกเลย คุณจะไม่เห็นพรรคก้าวไกลไปอยู่ในสนามแบบนั้น เพราะเราไม่ได้สร้างพรรคอย่างนั้นไง”

 

ปิยบุตร แสงกนกกุล

  • โจมตีแคมเปญก้าวข้ามความขัดแย้งของ พล.อ. ประวิตร: “ความขัดแย้งที่ผ่านมาในรอบสองทศวรรษตั้งแต่ปี 2548 ล้วนมี พล.อ. ประวิตร เป็นมูลเหตุหนึ่งของความขัดแย้งทั้งสิ้น ทั้งในการสลายการชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 การรัฐประหารปี 2557 ต่อมาก็ได้เป็นรัฐมนตรี ได้เป็นผู้ดูแล ส.ส. ที่มาสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ…การปรองดองภายใต้ พล.อ. ประวิตร จะเป็นได้แค่การปรองดองจอมปลอม”
  • ปัญหาโครงสร้าง vs. ปัญหาปากท้อง: “สังเกตได้ว่าคนที่พยายามพูดอยู่เสมอว่าปากท้องต้องมาก่อนโครงสร้าง คือผู้ที่รู้ดีอยู่แล้วว่าก้าวไกลทำทั้งเรื่องปากท้องและโครงสร้าง รู้อยู่แล้วว่ารัฐบาลทำทุกเรื่องพร้อมกันได้หมด รู้อยู่แล้วว่าโครงสร้างมีปัญหา แต่จงใจละเลยไม่พูดถึงเรื่องโครงสร้าง เพราะกลัวจะเจอตอ”
  • พรรคก้าวไกลไม่จับมือ 3 ป.: “หากพรรคทหารจำแลงเข้ามาร่วมรัฐบาลหรือเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลก็เป็นฝ่ายค้านได้ ดังนั้นถ้ารัฐบาลชุดหน้ามีชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ หรือ พล.อ. ประวิตร…พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้าน ไม่มีปัญหา แต่ถ้าพี่น้องอยากเห็นพิธาเป็นนายกฯ ก็ต้องเลือกก้าวไกลให้ถล่มทลาย เลือกทั้งสองใบทั่วประเทศ”
  • โจมตีวาทกรรมเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์: “ไม่ต้องกังวลการวิเคราะห์ของคนกลุ่มต่างๆ ว่าเราต้องลงคะแนนอย่างมียุทธศาสตร์ ต้องระวังว่าลงคะแนนแล้วเสียงไม่ตกน้ำ มันง่ายๆ แค่นี้ แค่เลือกก้าวไกลทั้งหมด ทุกเขต ทุกคน ทุกใบ ไม่ตกน้ำแน่นอน และถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ก็จะเป็นรัฐบาลที่ชัดเจนในจุดยืนประชาธิปไตย”

 

พรรณิการ์ วานิช

  • ในขณะที่ ‘ปิยบุตร-ธนาธร’ ใช้การปราศรัยเป็นวิธีหลักในการรณรงค์ทางการเมือง แต่ ‘พรรณิการ์’ ใช้ประสบการณ์จากแวดวงสื่อมวลชน ถ่ายทอดสารทางการเมืองมาให้เห็นแบบเป็นภาพ เป็นคลิป เธอพาไปไลฟ์ถึงโรงประปาอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อถ่ายทอดความสำเร็จของระบบน้ำประปาที่ก้าวหน้าและทันสมัยที่สุดในประเทศไทย
  • ‘พรรณิการ์’ ปล่อยคลิปทาง TikTok ของพรรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอถึงปัญหา นโยบาย และแคมเปญของพรรค ล่าสุดเธอตามไปแก้ข่าวเรื่องพรรคก้าวไกลเสนอตัดบำนาญข้าราชการถึงในต่างจังหวัด
  • ถ้าได้ขึ้นเวที ‘พรรณิการ์’ จะส่งสารทางการเมืองว่า “ประเทศไทยจะแย่กว่านี้มากถ้าที่ผ่านมาไม่มี ส.ส. ก้าวไกลในสภา และประเทศไทยสามารถดีกว่านี้ได้อีกมากด้วยการมี ส.ส. จากพรรคก้าวไกล” เพราะถ้าไม่มี ส.ส. ก้าวไกล ประชาชนอาจต้องเสียงบประมาณมหาศาลเพื่อจะได้เรือดำน้ำ คนไทยอาจไม่รู้ความสัมพันธ์ของผู้มีอำนาจกับทุนจีนสีเทา การที่ชูวิทย์หอบหลักฐานให้รังสิมันต์ตรวจสอบก็เพราะทราบดีว่าพรรคก้าวไกลไม่มีนอกไม่มีในกับใคร

 

เมื่อก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ธนาธรมักเล่าว่าการเมืองใหม่ที่เขาทำอยู่เป็นการเมืองเกมยาว เขามักพูดถึงการเลือกตั้งสามรอบ นั่นคือการเลือกตั้งปี 2562 ปี 2566 และปี 2570 จะเป็นการเลือกตั้งสามรอบของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลในลักษณะสั่งสมกำลังและชัยชนะ โดยเป็นการชิงอำนาจรัฐ คู่ขนานกับการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองขนานใหญ่

 

ให้หลังจากการเลือกตั้งใหญ่ 3 รอบ ทั้ง 3 ผู้ช่วยหาเสียงจะกลับสู่สนามเลือกตั้งเต็มรูป นับจากปี 2573 เป็นต้นไป

The post ‘ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์’ 3 ผู้ช่วยหาเสียงจากก้าวหน้า แม่ทัพหาคะแนนก้าวไกล appeared first on THE STANDARD.

]]>
‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ น้องชายที่แสนดี https://thestandard.co/saksayam-chidchob-politic-world/ Wed, 22 Mar 2023 12:43:00 +0000 https://thestandard.co/?p=766989 ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

ปฏิบัติการสังหารภูมิใจไทย  ก่อนรัฐบาลประยุทธ์จะปิด […]

The post ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ น้องชายที่แสนดี appeared first on THE STANDARD.

]]>
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

ปฏิบัติการสังหารภูมิใจไทย 

ก่อนรัฐบาลประยุทธ์จะปิดฉากลงเพียงเดือนเดียว หนึ่งในฉากสำคัญทางการเมืองคือ ปฏิบัติการสังหารพรรคภูมิใจไทยที่พัดพามาจากทุกสารทิศ

 

โดยมีโครงเรื่องคือการทุจริตและหักเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่หลักหลายพันล้านจนถึงหลายหมื่นล้าน

 

ต่อกรณีมีผู้ร้องว่า ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและยังคงเป็นผู้ถือหุ้น รวมทั้งเจ้าของห้างหุ้นส่วนจํากัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น และยังเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการด้วย

 

ต่อมาวันที่ 3 มีนาคม 2566 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคําสั่งรับคําร้องไว้พิจารณา ทั้งยังให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี

 

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มิตรเก่าของ อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศเป็นศัตรูต่อพรรคภูมิใจไทย และมุ่งหน้าสู่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ตรวจสอบการทุจริตของศักดิ์สยามในหลายประเด็น

 

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

 

  • ประเด็นที่ 1 ขอให้หยุดยั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม วงเงินลงทุน 235,320 ล้านบาท เพราะมีข้อสงสัยในประเด็นของการทุจริตส่อไปในทางกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ทำให้ภาครัฐต้องแบกรับภาระที่แพงขึ้นประมาณ 68,612 ล้านบาท
  • ประเด็นที่ 2 กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ชนะการประมูลในกระทรวงคมนาคมระหว่างปี 2563-2566 นับ 100 โครงการ ซึ่งอาจเป็นการประมูลงานอย่างไม่สุจริตและไม่โปร่งใส เพราะศักดิ์สยามเป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วน
  • ประเด็นที่ 3 กรณี นิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินการเพิกถอนที่ดินเขากระโดงของผู้บุกรุกที่ดิน รฟท. ทั้งที่ ป.ป.ช. เคยมีหนังสือเมื่อปี 2554 ให้เพิกถอนที่ดินของตระกูลชิดชอบที่บุกรุกที่ของ รฟท. แต่ปัจจุบันผ่านมา 13 ปี ยังไม่มีการดำเนินการ
  • ประเด็นที่ 4 ขอให้ตรวจสอบ สุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีคมนาคม กรณีใช้อำนาจแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ

 

ชูวิทย์ประกาศอีกว่า จะตามไปทำลายพรรคภูมิใจไทยถึงบุรีรัมย์ เคาะประตูบ้านของเนวิน-ศักดิ์สยาม เพราะไม่ใช่บ้านของเนวิน-ศักดิ์สยาม แต่เป็นที่สาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 

ขณะที่ปฏิบัติการปกป้องและสู้กลับฟากบ้านใหญ่บุรีรัมย์และภูมิใจไทยก็กำลังกลายเป็นสึนามิซัดกลับชูวิทย์ด้วย

 

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

 

 ศูนย์รวมคอนเน็กชัน ‘สวนกุหลาบคอนเน็กชัน-สิงห์แดงคอนเน็กชัน’

รุ่นแรก ‘ตระกูลชิดชอบ’ ในวงการเมืองไทยคือ ชัย ชิดชอบ พ่อ…ที่คนเป็นลูกชายสามารถผลักดัน จนได้ก้าวขึ้นเป็น ‘ประมุขสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติ’

 

รุ่นที่ 2 ‘ตระกูลชิดชอบ’ คือ เนวิน-ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

 

เนวิน…พี่ชายที่แสนดีที่สามารถผลักดันน้องชายขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองตั้งแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะทำงานรัฐมนตรี ประธานคณะทำงานรัฐมนตรี ไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

 

เนวิน-ศักดิ์สยาม เป็นคู่พี่-น้องที่เป็นส่วนหนึ่งของ ‘สวนกุหลาบคอนเน็กชัน’ ขณะที่ศักดิ์สยามจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นับเป็นสิงห์แดง รุ่น 33 ทำให้ตัวเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘สิงห์แดงคอนเน็กชัน’ ไปด้วย

 

เพื่อนมิตรหลายคนขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย

 

และเมื่อพี่ เพื่อน น้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายคนเกษียณอายุราชการแล้ว เขายังส่งเทียบเชิญให้นั่งเป็นคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอีกหลายราย

 

แฟ้มลงนามอนุมัติใดๆ ที่ผ่านขึ้นไปสู่ศักดิ์สยามได้ จึงเป็นแฟ้มที่ไว้วางใจได้ ระมัดระวัง รอบคอบ และมีชั้นเชิง เพราะผ่านตาของอดีตอธิบดีและอดีตผู้ว่าฯ ที่ช่ำชองและอ่านขาดในระบบราชการ ระบบที่มักวางยาคนเป็นรัฐมนตรีอยู่บ่อยๆ

 

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

 

จากนักปกครองถึงนักการเมือง ‘กลุ่มเพื่อนเนวิน-กลุ่มเพื่อนศักดิ์สยาม-กลุ่มสิงห์น้ำเงินผงาดครอบมหาดไทย’

ศักดิ์สยามได้รับการบ่มเพาะความเป็นนักปกครองที่โรงเรียนปลัดอำเภอ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย คนในวงมหาดไทยเรียกติดปากกันว่า ‘ปลัดโอ๋’

 

ก่อนลาออกได้เข้าเรียนโรงเรียนนายอำเภอ รุ่นที่ 48 คนดังร่วมรุ่นที่เติบโตเป็นใหญ่เวลานี้คือ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน เพื่อนที่ไม่ว่าศักดิ์สยามจะนั่งตำแหน่งใดในมหาดไทย จะเรียกมาใช้งานเป็นคณะทำงานอยู่เสมอ 

 

หลังอำลาชีวิตนักปกครอง เขาคว้าชัยในการเลือกตั้งเป็น ส.ส. บุรีรัมย์ พรรคไทยรักไทยในปี 2544 และ 2548

 

หลังรัฐประหารปี 2549 คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย พี่น้องชิดชอบเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 

 

เนวินอยู่ลำดับที่ 6 และศักดิ์สยามอยู่ลำดับที่ 72 ทั้งคู่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

 

หลังรัฐประหารปี 2549 ทักษิณส่ง สมัคร สุนทรเวช และพรรคพลังประชาชน สู่สนามเลือกตั้ง เนวิน-ศักดิ์สยามรับภารกิจและคำบัญชาจากคนแดนไกลชิงชัยในสนามเลือกตั้งภาคอีสาน  

 

ตระกูลชิดชอบใช้งาน ทรงศักดิ์ ทองศรี นั่งเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสานของพรรคพลังประชาชน รับภารกิจเป็นตัวละครหลักแบบเป็นทางการเดินเกมการเลือกตั้ง

 

ขณะที่คู่พี่-น้องคือตัวละครแบบไม่เป็นทางการ ทว่ามากบารมี รับภารกิจผสานเครือข่าย ทั้งนักการเมืองท้องถิ่น หัวคะแนน แกนนำหมู่บ้าน และเครือข่ายในพื้นที่ คว้าชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ จนทำให้ ‘กลุ่มเพื่อนเนวิน’ กลายเป็นกลุ่มการเมืองใหญ่ในพรรคพลังประชาชน มีส่วนผสมทั้ง ส.ส. อีสาน, ส.ส. กลุ่มนกแล และ ส.ส. ที่ย้ายจากมุ้งต่างๆ ในพรรค ด้วยจำนวนเก้าอี้รวม 80-90 ที่นั่ง

 

กลุ่มเพื่อนเนวินขึ้นสู่อำนาจได้ครบถ้วน ทั้ง ทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, ธีระชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ, สุพล ฟองงาม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พงศกร อรรณนพพร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมส่ง ชัย ชิดชอบ ขึ้นเป็นประมุขสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติ

 

เนวินเป็นหนึ่งในสมาชิก ‘แก๊งออฟโฟร์’ อันลือลั่น ในวงนี้อีกชื่อคือ ธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกฯ อีกชื่อคือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ทั้ง 3 คนคือมันสมองของ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น

 

ยิ่งบารมีคนเป็นพี่ชายสูงเด่นขึ้นไปเช่นไร บารมีคนเป็นน้องชายก็ยิ่งสูงเด่นตามไปด้วย

 

พลันที่ สุพล ฟองงาม ขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามในคำสั่งที่ 51/2551 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 ตั้งให้ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นประธานคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

 

คนการเมืองรู้ดีถึงสถานะที่แท้จริงของศักดิ์สยามในกระทรวงมหาดไทย ทั้งแฟ้มอนุมัติงบประมาณสำคัญ, การจัดอัตรากำลัง โยกย้าย หรือแต่งตั้ง ต้องผ่านตาเขาก่อนเสมอ จึงไปถึงมือรัฐมนตรี

 

เมื่อเก้าอี้ มท.1 เปลี่ยนจาก ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง เป็น พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ

 

คนของเนวินหลายรายเข้าไปรายล้อมโกวิททั้งศักดิ์สยามที่ขยับจากคณะทำงานของรัฐมนตรีช่วยมาเป็นที่ปรึกษาหลัก และ ศุภชัย ใจสมุทร นั่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรี พร้อมเป็นโฆษกกระทรวงมหาดไทย 

 

ในจำนวนนี้รวมถึง พล.ต.ท. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ในขณะนั้น เป็นที่ปรึกษาคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเนวิน-สมยศยังเชื่อมไปถึง เสี่ยวิชัย ศรีวัฒนประภา อดีตประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ เซฟเฮาส์ของตระกูลชิดชอบในเวลานั้น เพื่อประชุมการเมือง ปิดดีลโปรเจกต์ใหญ่ จัดโผโยกย้าย และนัดหมายสำคัญ

 

‘กลุ่มเพื่อนศักดิ์สยาม’ มีชื่อผงาดในคณะทำงานของ มท.1 ชุดนี้ ทั้ง สุกิจ เจริญรัตนกุล รองปลัดกระทรวงมหาดไทย, สุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม, สุรชัย ขันอาสา รองผู้ว่าฯ ชุมพร, วิเชียร เชาวลิต รองผู้ว่าฯ อำนาจเจริญ และ ธานี สามารถกิจ รองผู้ว่าฯ ยโสธร

 

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

 

เมื่อจังหวะย้ายขั้ว-เปลี่ยนข้างมาถึง เนวินร่วมมือสุเทพจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์เมื่อปลายปี 2551 พรรคภูมิใจไทยคว้าตำแหน่งรัฐมนตรีในหลายกระทรวง

 

ชวรัตน์ ชาญวีรกูล พ่อของ อนุทิน ชาญวีรกูล ผงาดในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นอีกครั้งที่ตระกูลชิดชอบผงาดกระทรวงมหาดไทย 

 

หลังนั่งกุมบังเหียนได้ 12 วัน มท.1 ป้ายแดง ลงนามในคำสั่งที่ 03/2552 แต่งตั้งคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมปรากฏชื่อ ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ ในตำแหน่งประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 

 

ในคณะทำงานดังกล่าวมีเลขานุการร่วม 2 คน คือ สุรชัย ขันอาสา รองผู้ว่าฯ สมุทรปราการ และอีกชื่อคือ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองผู้ว่าฯ สมุทรสงคราม ผู้ซึ่งให้หลังจากนั้นอีก 12 ปี ก้าวขึ้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย

  

ด้วยตำแหน่งนี้พงศาวดารกระซิบต่อกันว่า ศักดิ์สยามคือ มท.1 ตัวจริงตลอดช่วงที่ชวรัตน์กุมอำนาจอยู่ 

 

ยุคสมัยที่ตระกูลชิดชอบผงาดครอบกระทรวงมหาดไทย นักปกครองและสื่อสิ่งพิมพ์พูดถึงกลุ่มคนที่ได้ดีในยุคนี้ว่า ‘กลุ่มสิงห์น้ำเงิน’ อันเป็นสีประจำพรรคภูมิใจไทย ผิดกับยุคสมัยอื่นที่เป็นการแข่งขันกันของสิงห์ดำ-สิงห์แดง

 

กลุ่มสิงห์น้ำเงินได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นสู่อำนาจ ทั้งเป็นนายอำเภอ ปลัดจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด และอธิบดี โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การจัดวางคนของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะจังหวัดซึ่งเป็นฐานที่มั่นของตระกูลชินวัตร เพื่อสร้างฐานอำนาจใหม่ ขับเคลื่อนนโยบาย อำนวยความสะดวกด้านงบประมาณ และหวังชิงชัยในการเลือกตั้งครั้งใหม่ 

 

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 ที่รัฐสภา จาดุร อภิชาตบุตร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และนายกสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย เล่าเป็นฉากๆ ถึงกระทรวงมหาดไทยในยุคสิงห์น้ำเงินครองเมือง ทั้งการซื้อ-ขายตำแหน่งระดับสูง การจ่ายเงินเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนนายอำเภอ และการคอร์รัปชันผ่านโครงการต่างๆ 

 

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

  

รุ่นที่ 3 ‘ตระกูลชิดชอบ’ สู่สนามการเมือง

เนวินประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว คำเรียกขานถึงเขาวันนี้คือ ‘ครูใหญ่ภูมิใจไทย’ ในบทบาทนี้เนวินบัญชาการรบไม่ต่างจากเกมกีฬาที่เขาถนัดอยู่จนคว้าแชมป์หลายสมัย 

 

ศักดิ์สยามถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง ทั้งมีแนวโน้มว่าหากคดีไม่คลี่คลายในวันข้างหน้า แม้ภูมิใจไทยได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ก็อาจไม่มีชื่อศักดิ์สยามในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่

 

ทว่า ตระกูลชิดชอบไม่เคยหยุดทำการเมือง 

 

วันนี้เนวินและกรุณาส่งรุ่นที่ 3 ของตระกูล ก้าวสู่สนามเลือกตั้งปี 2566 เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของเนวิน ในวัย 33 ปี ด้วยโปรไฟล์นักเรียนนอกจากอังกฤษ ผ่านการสมัครเป็นทหารเกณฑ์ มีประสบการณ์ในการบริหารงานบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และสนามแข่งรถบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ทั้งยังแตกแขนงสู่ธุรกิจ E-Sports 

 

โดยส่งลงชิงในเขต 2 จังหวัดบุรีรัมย์ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอชำนิ, อำเภอเมืองบุรีรัมย์, อำเภอพลับพลาชัย และอำเภอประโคนชัย 

 

เนวินเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเมื่อปี 2538 ในรัฐบาลบรรหาร ตอนนั้นเขาอายุเพียง 37 ปี ขณะที่ศักดิ์สยาม แม้นั่งในตำแหน่งทางการเมืองสำคัญมาตั้งแต่หนุ่ม ทว่าพึ่งได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2562 ด้วยวัย 57 ปี 

 

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

 

ในวงกินข้าวบ้านป่ารอยต่อวันก่อน ระหว่าง พล.อ. ประวิตร กับ 3 ตระกูลการเมือง ‘ชาญวีรกูล-ชิดชอบ-ไทยเศรษฐ์’ ทำให้ตีความได้หลากหลาย โดยเฉพาะการจับขั้วทางการเมือง หวังเป็นรัฐบาลสมัยหน้า

 

หากวันนั้นมาถึง และศักดิ์สยามจำต้องถอยจากวงการเมืองไปอยู่เบื้องหลัง ก็อาจทำให้ ไชยชนก ชิดชอบ ในวัย 33 ปี จำเป็นต้องขึ้นสู่อำนาจไวกว่าทั้งพ่อและอา โดยรออีกเพียง 2 ปีจึงมีคุณสมบัติครบ ได้เป็นรัฐมนตรี  

 

ทั้งชีวิตของศักดิ์สยามเดินบนทางที่พี่ชายวางไว้ บนเส้นทางนี้ย่อมมีทั้งขรุขระและราบรื่น สถานะ ‘น้องชายที่แสนดี’ มีเรื่องให้แบกรับอยู่ตลอด โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการตัดสินใจอันโลดโผนและพร้อมชน ตามแบบฉบับการเมืองพูดแล้วทำ จนตามด้วยคดีความทั้งหลายที่เร่งรัดเข้ามา

 

ทว่า นี่คือความเป็นชิดชอบ ตระกูลการเมืองที่อยู่กับประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2500 จนถึงทุกวันนี้ 

The post ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ น้องชายที่แสนดี appeared first on THE STANDARD.

]]>