Organic – THE STANDARD https://thestandard.co สำนักข่าวออนไลน์ นำเสนอข้อมูลข่าวสารเชิงสร้างสรรค์ ให้ความรู้ ความคิด และแรงบันดาลใจ. Sun, 20 Sep 2020 00:46:08 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.5.5 Patom Organic Living ลุยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก โดยใช้วัตถุดิบที่สนับสนุนเหล่าเกษตรกรผู้ปลูกอินทรีย์ https://thestandard.co/patom-organic-living/ Sun, 20 Sep 2020 00:45:13 +0000 https://thestandard.co/?p=398842

ใครที่เคยแวะเวียนไปรับประทานอาหารสายสุขภาพ ที่มีขนมไทยแ […]

The post Patom Organic Living ลุยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก โดยใช้วัตถุดิบที่สนับสนุนเหล่าเกษตรกรผู้ปลูกอินทรีย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>

ใครที่เคยแวะเวียนไปรับประทานอาหารสายสุขภาพ ที่มีขนมไทยแสนอร่อย รวมถึงเครื่องดื่มชากาแฟต่างๆ ในร้านบรรยากาศสีเขียวสุดร่มรื่นที่ร้านอาหาร Patom Organic Living สาขาทองหล่อ น่าจะเคยสังเกตเห็นผลิตภัณฑ์สกินแคร์ต่างๆ ที่จัดวางเอาไว้ภายในร้านให้ลูกค้าได้เลือกสรร ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นคือส่วนหนึ่งของเป้าหมายโครงการสามพรานโมเดล ที่บริหารโดยทายาทรุ่น 3 ของสวนสามพราน ล่าสุดมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ดูแลเส้นผมและผิวพรรณ โดยชูเป็นแบรนด์ไทยออร์แกนิกที่มีจุดเด่นในการผสานภูมิปัญหาไทยเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรผู้ปลูกอินทรีย์ในโครงการสามพรานโมเดล ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทั้งหมดได้รับมาตรฐานจาก IFOAM และ Canada ด้วย 

 

 

THE STANDARD POP มีโอกาสได้พบกับ อนัฆ นวราช ทายาทรุ่น 3 ของสวนสามพราน ตอนนี้เขากำลังผลักดันโครงการสามพรานโมเดล ภายใต้มูลนิธิสังคมสุขใจ ซึ่งรับไม้ต่อจากพี่ชายอย่างเต็มที่ เขาเล่าว่าเป้าหมายขององค์กรเพื่อสร้างสังคมอินทรีย์จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ซึ่งมีการขับเคลื่อนมากว่า 10 ปี ผ่านการทำเกษตรอินทรีย์ร่วมกับเกษตรกรในจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียง 

 

 

อนัฆ: เราหันมาสนใจเรื่องสุขภาพและความยั่งยืนในสายออร์แกนิกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ธุรกิจของครอบครัวรุ่นก่อนๆ คนจะรู้จักกันในชื่อของสวนสามพราน ซึ่งจุดเด่นต่างๆ ก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เมื่อก่อนเราจะขายความเป็นไทย แต่ตอนนั้นเราเน้นไปที่เรื่องการกินอยู่อย่างมีสุขภาพที่ดีตามแนวคิด Organic Living ก่อนหน้านี้พี่ชายผมเริ่มทำโครงการสามพรานโมเดลขึ้นมา ซึ่งเขาจะรวบรวมเกษตรกรในพื้นที่ให้มาปลูกเกษตรอินทรีย์ ทำให้เรามีวัตถุดิบเยอะขึ้นในการนำมาใช้ในร้านอาหารของเรา รวมถึงเข้าโรงแรมของเรา พอมีวัตถุดิบเยอะเราก็เริ่มทำเป็นผลิตภัณฑ์ของเราเอง เช่น พวกสบู่ แชมพูต่างๆ ที่ใช้ในห้องพักของโรงแรม ต่อยอดจากตรงนั้นเราเพิ่งมาเปิดร้านอาหาร Patom Organic Living เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และถ้าเป็นที่สาขาสามพราน ที่นั่นจะมีกิจกรรมที่ส่งเสริมประสบการณ์ด้วย จะมีฟาร์ม หมู่บ้าน พื้นที่เกษตรที่ให้ลูกค้าได้ไปเรียนรู้ และทดลองเวิร์กช็อปจริงด้วยตัวเอง

 

 

เมื่อเร็วๆ นี้เรามีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงโควิด-19 พอดี เพราะทุกคนต่างต้องการเน้นเรื่องสุขอนามัยความสะอาดเป็นสำคัญ เราก็เลยมองหาวัตถุดิบที่เกษตรกรปลูก และสามารถนำมาใช้ได้ อย่างมะนาวกับตะไคร้เป็นสองอย่างที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราอย่างได้ผล เราก็เอามะนาวกับตะไคร้มาผสมกัน เพื่อสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เรื่องลดการสะสมของเชื้อโรค และเป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติแบบเกษตรอินทรีย์จริงๆ ทำให้ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่มีทั้งแชมพูและครีมนวดผม เจลอาบน้ำ และบอดี้โลชั่น ในกลิ่นไลม์ & เลมอนกราส ซึ่ง 3% ของรายได้จากการจำหน่ายสินค้าทุกชนิด Patom Organic Living จะนำไปมอบให้กับโครงการสามพรานโมเดล เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกอินทรีย์ ถือเป็นการขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ให้ก้าวต่อไป ภายใต้นโยบายการค้าที่เป็นธรรมกับเกษตรกรด้วย

 

 

ภาพ: ภูริตา บุญล้อม / Patom Organic Living

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post Patom Organic Living ลุยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก โดยใช้วัตถุดิบที่สนับสนุนเหล่าเกษตรกรผู้ปลูกอินทรีย์ appeared first on THE STANDARD.

]]>
รู้จัก 4 แบรนด์ความงามที่ไร้สารเคมีของ 4 สาวคนดัง https://thestandard.co/beauty-organic/ Thu, 28 Mar 2019 11:59:59 +0000 https://thestandard.co/?p=230240

ปัจจุบันผู้คนให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช้วัตถุด […]

The post รู้จัก 4 แบรนด์ความงามที่ไร้สารเคมีของ 4 สาวคนดัง appeared first on THE STANDARD.

]]>

ปัจจุบันผู้คนให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ความงามที่ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติและเป็นออร์แกนิกมากขึ้น เช่นเดียวกับบรรดาคนดังที่เป็นไอคอนความงามของสาวๆ ทั่วโลก อย่าง Gwyneth Paltrow, Miranda Kerr, Drew Barrymore และ Jessica Alba ที่มุ่งมั่นก่อตั้งแบรนด์ความงามโดยมีคอนเซปต์ไร้สารเคมีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม THE STANDARD จึงขอพาทุกคนไปรู้จัก 4 แบรนด์เครื่องสำอางออร์แกนิกที่พวกเธอต่างให้ความสำคัญกับวัตถุดิบ โดยเลือกใช้ส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ เน้นความปลอดภัย และที่สำคัญคือไม่ทดลองในสัตว์เลย

The post รู้จัก 4 แบรนด์ความงามที่ไร้สารเคมีของ 4 สาวคนดัง appeared first on THE STANDARD.

]]>
เปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นแมลง เทรนด์อาหารล่าสุดของชาวเบลเยียม https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-belgium-puts-crickets-on-the-menu/ https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-belgium-puts-crickets-on-the-menu/#respond Sun, 02 Jul 2017 23:00:58 +0000 https://thestandard.co/?p=11512

     วิถีการกินแมลงนั้นอยู่คู่กับคนไทยมา […]

The post เปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นแมลง เทรนด์อาหารล่าสุดของชาวเบลเยียม appeared first on THE STANDARD.

]]>

     วิถีการกินแมลงนั้นอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ภาพของรถเข็นขายแมลงทอดที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คือสิ่งที่บ่งบอกว่าแมลงทอดเป็นอาหารยอดฮิตติดปากของคนบ้านเรา ไหนจะรถด่วน ไหนจะตั๊กแตนทอด ซึ่งต่างมีรสสัมผัสในการกินอันน่าประหลาดใจ แต่รู้หรือเปล่าว่าแมลงนั้นอาจเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญแห่งโลกอนาคตอีกด้วย!

     ตอนนี้ประเทศในอีกซีกโลกอย่างเบลเยียมเริ่มจะมีเทรนด์นำเอาเจ้าแมลงเหล่านี้มาเสิร์ฟในเมนูอาหารกันแล้ว โดยให้เหตุผลว่าการบริโภคแมลงเหล่านี้เป็นการร่วมกันใส่ใจต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งยังยึดเอาคุณค่าทางโภชนาการมาเป็นจุดเด่นในการนำเสนอแก่ผู้บริโภคอีกด้วย

 

Photo: Francois Lenoir/Reuters

 

     โดยไอเดียดังกล่าวนี้มี ‘Little Food’ ร้านขายอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกชื่อดังของเบลเยียมเป็นตัวตั้งตัวตีในการผลิต ‘โปรตีน’ ทางเลือกรูปแบบใหม่นี้ขึ้น เพื่อให้ชาวเมืองเบลเยียมได้ลิ้มลอง โดยเริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดอบแห้งหลากหลายรสชาติ ซึ่งมีทั้งรสกระเทียมและรสมะเขือเทศ รวมไปถึงการนำแมลงไปแปลงสภาพเป็นแป้งที่มีโปรตีนสำหรับนำไปเป็นวัตถุดิบประกอบในอาหารอื่นๆ ได้อีกด้วย ทั้งนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ออร์แกนิก เพราะทางร้าน Little Food เขาเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดเองทั้งหมด

     โดยหากเทียบปริมาณโปรตีนในจิ้งหรีดกับโปรตีนในเนื้อวัวด้วยปริมาณที่เท่ากัน จะพบว่าวัวนั้นจะต้องใช้อาหารในการผลิตโปรตีนมากกว่าถึง 25 เท่า ใช้น้ำมากกว่าถึง 300 เท่า แถมยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าถึง 60 เท่า!

     ด้วยตัวเลขอันน่าสนใจนี้เองที่ทำให้คนเบลเยียมเริ่มหันมาสนใจการกินแมลง เพราะเชื่อว่านอกจากจะเป็นแหล่งสารอาหารชั้นดีแล้ว พร้อมๆ กันนั้นยังช่วยลดการสูญเสียทรัพยากรและธรรมชาติไปด้วยในเวลาเดียวกัน

     คราวหน้าเมื่อเห็นรถเข็นขายแมลงขับผ่านหน้าบ้านก็น่าจะลองโบกเพื่อซื้อมาชิมให้อินเทรนด์เสียหน่อย

 

Cover Photo: Bastiaanimage stock/shutterstock

อ้างอิง:

The post เปลี่ยนเนื้อสัตว์เป็นแมลง เทรนด์อาหารล่าสุดของชาวเบลเยียม appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-belgium-puts-crickets-on-the-menu/feed/ 0
คุยกับ ‘Siam Organic’ ผู้ยกระดับชีวิตชาวนาไทย ตัวแทนกิจการเพื่อสังคมไทยไปแข่งขันในเวทีโลก https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-siam-organic/ https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-siam-organic/#respond Mon, 26 Jun 2017 04:03:14 +0000 https://thestandard.co/?p=10008

     แม้ประเทศไทยจะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศ […]

The post คุยกับ ‘Siam Organic’ ผู้ยกระดับชีวิตชาวนาไทย ตัวแทนกิจการเพื่อสังคมไทยไปแข่งขันในเวทีโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>

     แม้ประเทศไทยจะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เกษตรกรไทยกลับต้องเผชิญกับความยากจน โดยมีรายได้ต่ำกว่าเกษตรกรในประเทศอื่นๆ หลายเท่า ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจในระดับประเทศต่อมา

     แต่กิจการเพื่อสังคม สยาม ออร์แกนิค (Siam Organic) กลับค้นพบวิธีที่จะช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรที่รวมงานด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเป็นผู้ชนะเลิศของแคมเปญ The Venture ของ Chivas Regal ประจำปีที่ 3

     และต่อไปนี้คือ 7 คำถามและคำตอบกับ ปีตาชัย เดชไกรศักดิ์ ผู้ก่อตั้งสยาม ออร์แกนิค กิจการเพื่อสังคมที่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันบนเวทีระดับโลก

 

 

สยาม ออร์แกนิค มีจุดเริ่มต้นและเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร

     เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตอนแรกๆ เราทำงานร่วมกับเกษตรกรในจังหวัดยโสธรเพียงแค่ 25 ครัวเรือนเท่านั้น จนทุกวันนี้เรามีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมดประมาณ 1,800 ราย ในหลายจังหวัดในภาคอีสาน อย่าง ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ฯลฯ​ เกษตรกรที่เราทำงานด้วยเป็นกลุ่มเกษตรกรรายย่อยหรือวิสาหกิจชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่มีสมาชิกกลุ่มละประมาณ 200-300 ราย แม้จะกระจายอยู่หลายแห่งตามจังหวัดในภาคอีสาน แต่ก็จะทำงานร่วมกันภายใต้มาตรฐานเดียวกันคือ เน้นการควบคุมคุณภาพข้าว และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์

 

สยาม ออร์แกนิค ช่วยเพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกรได้อย่างไร

     หลายหน่วยงานมักจะแก้ไขปัญหาความยากจนโดยมองปัญหาและคิดวิธีแก้จากสายตาของคนภายนอก แต่ผมเดินเข้าไปและถามเกษตรกรจำนวนนับร้อยว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือด้านไหน จนเมื่อเรามองเห็นปัญหา และความต้องการที่พวกเขามีอยู่ร่วมกัน ก็มาคิดออกแบบกระบวนการแก้ไขปัญหา

     เมื่อข้าวพันธุ์ที่มีอยู่ในตลาดถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ขายไม่ได้ราคา สยาม ออร์แกนิค จึงแนะนำให้เกษตรกรปลูกข้าวแจสเบอร์รี (Jasberry) ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา เป็นข้าวที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังมีรสชาติที่อร่อย เมื่อเกษตรกรที่เข้าร่วมกับเราหันมาปลูกข้าวชนิดนี้จึงขายข้าวได้ในราคาที่ดี ทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

ข้อพิสูจน์ของสิ่งที่คุณพูดถึงได้แก่อะไรบ้าง

     Shujog หน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม จากประเทศสิงคโปร์ ได้มาทำการสำรวจและวัดผลโครงการของสยาม ออร์แกนิค และพบว่าเราทำให้รายได้ของเกษตรกรที่ร่วมงานด้วยเพิ่มมากขึ้น สูงกว่ารายได้ของเกษตรกรโดยเฉลี่ยถึง 14 เท่า

     นอกจากเรื่องรายได้ อย่างอื่นที่เราทำให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นก็มีอีก 2 อย่างหลักๆ คือ หนึ่ง เรื่องสุขภาพ เพราะเมื่อเกษตรกรไม่ต้องทำเกษตรเคมีแล้ว ก็ไม่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมมีมลพิษ และได้กินข้าวดีๆ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่พวกเขาปลูกด้วยตัวเอง สอง คือการให้ความรู้ อย่างสมัยก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มโครงการนี้ เกษตรกรของเราไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรเพื่อทำให้ตัวเองมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดี เราจึงได้ช่วยวางระบบตั้งแต่การปลูก ควบคุมคุณภาพของข้าว จากที่สมัยก่อนมีแต่โรงสีของนักธุรกิจ แต่ตอนนี้เกษตรกรที่เข้าร่วมก็รวมกลุ่มกันทำโรงสีขึ้นมาเอง หรือแม้กระทั่งการแปรรูปผลผลิต ทำให้เกิดการสร้างงาน เรายังให้ความรู้กับเขาในเรื่องวิธีการและนวัตกรรมต่างๆ

     ส่วนสุดท้ายคือ เรารับซื้อเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของการให้ความรู้และพัฒนาความคิด ทุกวันนี้เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา พวกเขามีความรู้เพิ่มขึ้นเยอะมากหากเทียบกับเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

 

คุณเป็นผู้ชนะเลิศโครงการ Chivas The Venture ในระดับประเทศไทย ประจำปีนี้ และกำลังจะเป็นตัวแทนเข้าร่วมชิงชัยในระดับโลก ช่วยพูดถึงโครงการนี้ให้ฟังหน่อย

     สยาม ออร์แกนิค เข้าร่วมแข่งในแคมเปญนี้มาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แต่เราเพิ่งได้รับตำแหน่งชนะเลิศในปีนี้ครับ ตอนนี้เราเป็นทีมที่ชนะเลิศและเป็นตัวแทนไปแข่งในเวทีระดับโลกที่สหรัฐอเมริกาในเดือนหน้า โดยมีคู่แข่งคือธุรกิจเพื่อสังคมที่เป็นตัวแทนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกอีก 30 ประเทศ ชิงเงินรางวัลเกือบ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เราต้องไปนำเสนอโครงการกับกรรมการ

     แต่สิ่งที่ผมคิดว่าได้ประโยชน์และสำคัญเสียยิ่งกว่าเงินรางวัลก็คือ โครงการนี้ส่งผมไปเทรนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดอยู่นาน 1 สัปดาห์ มีนักธุรกิจเพื่อสังคมที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกมาเทรนผมเรื่องความเป็นผู้นำ การขยายขนาดของธุรกิจ เรื่องการเงิน เราได้เรียนรู้โมเดลในการทำธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจ ซึ่งผมก็คงจะไม่มีโอกาสเช่นนี้ หากเราไม่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้

 

คุณมุ่งหวังอะไรในการแข่งขันระดับโลก

     เรื่องการแข่งมีแพ้มีชนะอยู่แล้ว แต่ผมตั้งเป้าหมายในการแข่งขันครั้งนี้เอาไว้ว่า เราเป็นตัวแทนจากประเทศไทย คนต่างชาติอาจจะรับรู้ถึงเมืองไทยแค่ในด้านการท่องเที่ยว และมองว่าประเทศไทยก็เจริญแล้วนี่ แต่ในขณะเดียวกันคนภายนอกก็อาจจะไม่ทราบว่าเกษตรกรของเรามีปัญหา อย่างถ้าคุณไปภาคอีสาน ก็จะทราบเลยว่าคนรุ่นใหม่ที่โตมาก็ไม่ได้อยากจะกลับไปทำการเกษตร ผมคิดว่าตรงนี้เป็นปัญหา ซึ่งเป็นภาพสะท้อนและส่งผลต่อปัญหาสังคมอื่นๆ ดังที่เราเห็นกันอยู่ ผมจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอว่า เราต้องการความช่วยเหลือ เพราะมันก็น่าตลกนะที่ประเทศเราเจริญกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่เกษตรกรของลาว เมียนมา และเวียดนาม กลับมีรายได้ที่มากกว่าเกษตรกรบ้านเราอีก

 

คนไทยมีความตระหนักรู้ถึงเรื่องเกษตรอินทรีย์ในปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน

     มองแค่ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ผมเริ่มทำสยาม ออร์แกนิค ใหม่ๆ ปัจจุบันคนไทยมีความรับรู้ในเรื่องเกษตรอินทรีย์มากขึ้นนะครับ แต่ผมคิดว่าอย่างหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือยังมี ‘ความสับสน’ ในแง่ของการรับรู้อยู่

     เพราะจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนสับสนว่า จริงๆ แล้วออร์แกนิคคืออะไร รัฐบาลก็พูดอย่าง นักวิชาการก็พูดอย่าง มาตรฐานออร์แกนิคก็อีกอย่าง มันจึงมีความสับสนที่ค่อนข้างเยอะ มาตรฐานของสถาบันต่างประเทศและมาตรฐานของไทยก็ไม่เหมือนกัน อย่างบางแห่งที่อ้างว่าเป็นออร์แกนิค แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็มีเหมือนกัน

     คุณลองไปเดินตลาดสิ แล้วถามแม่ค้าว่าออร์แกนิคหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า “ใช่ค่ะ” แต่ถ้าถามต่อว่า “ออร์แกนิคมาตรฐานอะไรครับ” ก็ตอบไม่ได้ ผมจึงต้องบอกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้บริโภค ที่ต้องเข้าใจ ต้องศึกษา อย่าไปเชื่อคนขาย และยิ่งบ้านเราไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคุ้มครองผู้บริโภค อย่างต่างประเทศยังไปร้องเรียนได้ แต่ประเทศเราไม่ได้เป็นแบบนั้น

 

เราจะแก้ไขปัญหาออร์แกนิคของประเทศไทยได้อย่างไร

     ประเทศไทยเราถ้าจะเปลี่ยนแปลงเรื่องออร์แกนิค และความมั่นคงทางอาหาร ก็ต้องเกิดจากผู้บริโภคที่ต้องลุกขึ้นมาบอกว่า เรารับไม่ได้กับระบบการผลิต ที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ก็อย่างที่บอกว่าต้องทำการศึกษาว่ามาตรฐานออร์แกนิคไหนที่เชื่อถือได้หรือไม่ได้ ถ้าอย่าง IFOAM ซึ่งเป็นมาตรฐานในระดับสากล อย่างนี้ก็เชื่อถือได้ แต่สำหรับบางอย่างคุณอาจจะต้องตั้งคำถามสักนิด

 

นอกจากปลูกข้าวแจสเบอร์รีแล้ว สยาม ออร์แกนิค ยังมีการแปรรูปข้าวโดยนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ

เช่น ชา เส้นก๋วยเตี๋ยว และเส้นพาสต้าอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งวิธีในการระบายสินค้าให้แก่เกษตรกร

 

อ้างอิง:

  • www.actorganic-cert.or.th/page/item/582

The post คุยกับ ‘Siam Organic’ ผู้ยกระดับชีวิตชาวนาไทย ตัวแทนกิจการเพื่อสังคมไทยไปแข่งขันในเวทีโลก appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-siam-organic/feed/ 0
สมุยรัม ชีสโครงการหลวง ไวน์ข้าวชูใจ: 21 โปรดักต์ไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก! https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-21-thai-products/ https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-21-thai-products/#comments Sun, 04 Jun 2017 19:53:02 +0000 http://thestandard.co:8000/?p=256

    เพราะชีวิตเราสั้นเกินกว่าที่จะกินของ […]

The post สมุยรัม ชีสโครงการหลวง ไวน์ข้าวชูใจ: 21 โปรดักต์ไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก! appeared first on THE STANDARD.

]]>

    เพราะชีวิตเราสั้นเกินกว่าที่จะกินของอะไรที่ไม่อร่อยหรือไม่ใช่ของดี เรื่องราคานั้นก็เป็นอีกเรื่อง ไม่ใช่ว่าของที่แพงแล้วจะต้องดีเสมอไป คนไทยบางส่วนมักมีค่านิยมชมชอบของนำเข้าจากต่างประเทศ แต่เมืองไทยนั้นอุดมสมบูรณ์ คนไทยก็เก่งและเอาจริงเอาจังในเรื่องกินไม่แพ้ชาติใดในโลกเหมือนกัน

    นั่นเป็นสาเหตุที่เราอยากจะแนะนำโปรดักต์เกี่ยวกับการดื่มกินดีๆ ที่เกิดจากฝีมือของคนไทย หรือใช้ผลผลิตท้องถิ่นของแผ่นดินไทยมาสร้างสรรค์ บ้างก็เป็นผลิตผลของแบรนด์ไทยในต่างแดน นอกจากจะเพื่อบอกต่อแล้วยังเป็นการให้กำลังใจกับบรรดาผู้ผลิตของดีๆ มาให้เราได้ลิ้มรสอีกด้วย

     จะมีอะไรบ้าง มาดูและเสาะหามาชิม มาดื่มกันได้เลย!

     1. มอนซูน แวลลีย์ เชนิน บลอง เลท ฮาร์เวสต์ (Monsoon Valley Chenin Blance Late Harvest)

     ราคา: 850 บาท

     เสาะหาได้ที่: ไร่องุ่นหัวหินฮิลล์, Gourmet Market และ Villa Market

    ไวน์หวานขวดนี้ผลิตจากองุ่นซึ่งปลูกที่ไร่องุ่นหัวหินฮิลส์ (Hua Hin Hills Vineyard) บ่มมาจากองุ่นพันธ์ุเชนิน บลอง (Chenin Blanc) ที่จงใจทิ้งให้สุกคาต้นเพื่อให้ลูกองุ่นได้ซึมซับความหวานได้มากขึ้น หมักในอุณหภูมิต่ำอย่างช้าๆ ทั้งในถังไม้โอ๊กและถังสเตนเลสนานนับปี ไวน์ขวดนี้รสชาติคล้ายเกสรดอกไม้ ชุ่มฉ่ำด้วยกลิ่นแอปเปิ้ลและลูกพีชสีขาว เป็นไวน์ที่เข้มข้น รสชาติกลมกล่อม และกลิ่นหอมหวาน ให้ความรู้สึกสดชื่น ได้รับเหรียญรางวัลทั้งเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงจากการแข่งขันไวน์ระดับโลกหลายรายการในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เหมาะสำหรับดื่มคู่กับของหวาน หรือคู่กับตอนละเลียดชีสและผลไม้ตบท้ายมื้ออาหารก็ดีงาม แต่หวานดื่มง่ายแบบนี้ ระวังจะเมาไม่รู้เรื่องก็แล้วกัน

 

     2.เมจิก อัลคูล (Magic Alcool)

     ราคา: เริ่มต้นตั้งแต่ 380 บาทขึ้นไป (มีทั้งขนาด 330-700 มิลลิลิตร)

     เสาะหาได้ที่: Magic Alambic Rum Distillery เกาะสมุย, บาร์หรือร้านขายของที่ระลึกบนเกาะสมุย

     สุราขาวกลั่นชุมชน เมจิก อัลคูล หรือที่รู้จักกันในนาม ‘สมุยรัม’ มีประวัติความเป็นมาย้อนกลับไปมากกว่าสิบปี นับตั้งแต่คุณลุงคุณป้าสามีภรรยาชาวฝรั่งเศสคู่หนึ่งตัดสินใจเดินทางมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่เกาะสมุยของเมืองไทย คุณป้าซึ่งพื้นเพเป็นชาวตรินิแดด ซึ่งเป็นเกาะแห่งรัม พอจะรู้กรรมวิธีการทำเหล้ารัมอยู่บ้าง เห็นว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลอ้อยคุณภาพดี ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการทำเหล้ารัม ทั้งคู่จึงได้ตั้งโรงกลั่นเล็กๆ โดยจ้างแรงงานจากชาวบ้านบนเกาะ Magic Alambic Distillery เป็นโรงกลั่นเล็กๆ ที่ผลิตเหล้ารัมจากน้ำอ้อย 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากกำลังผลิตไม่มาก ทำให้ควบคุมความพิถีพิถันได้เป็นอย่างดี ถ้ามีอะไรที่เราจะขัดใจอยู่อย่างเดียวก็คือแพ็กเกจจิ้งที่ค่อนข้าง…เอ่อ…เชยนั่นล่ะ นอกจาก Original Flavour แล้ว ยังมีกลิ่นส้ม เลมอน และมะพร้าว น่าเสียดายที่หลังจากคุณลุงเสียชีวิตไป คุณป้าก็ขายกิจการ ปัจจุบันนี้โรงกลั่นนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าของใหม่

     3. ข้าวแจสเบอร์รี (Jasberry)

     ราคา: 180 บาท (900 กรัม)

     เสาะหาได้ที่: ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่าง Gourmet Market, Villa Market และ  Tops Supermarket

    ข้าวพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้มีคุณประโยชน์สูงเทียบเคียงกับซูเปอร์ฟู้ด นับเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางสารอาหารมากที่สุด ความดีงามคือมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวไรซ์เบอร์รี (Riceberry) ถึง 5 เท่า และสูงกว่าชาเขียวถึง 10 เท่า ช่วยต้านโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง และอัลไซเมอร์ ถ้าใครกลัวว่าข้าวนี้จะไม่อร่อยเหมือนกับข้าวกล้องส่วนใหญ่ก็ขอให้เปลี่ยนความคิด ลองดูแล้วจะรู้ว่านุ่มอร่อย ทั้งยังปลูกแบบออร์แกนิก ได้ใบรับรองมาตรฐานสากล USDA (United States Department of Agriculture), EU (European Union) ด้วยความโดดเด่นเช่นนี้ จึงทำให้ สยาม ออร์แกนิค ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันใน The Venture แคมเปญประกวดกิจการเพื่อสังคมของ Chivas Regal ประจำปีนี้

     4. เนื้อวัว Dry Aged ของ Company B

     ราคา: กิโลกรัมละ 850-1,300 บาท

     เสาะหาได้ที่: แผนก Butchery ของ Gourmet Market ศูนย์การค้าสยามพารากอน

    Dry Aged คือกรรมวิธีถนอมอาหารด้วยการแขวนเนื้อไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิเป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เนื้อนุ่มขึ้นเพราะเอนไซม์ของเนื้อตามธรรมชาติสลายตัวแล้ว ยังช่วยให้มีรสชาติที่เข้มข้นขึ้นอีกต่างหาก สมัยก่อนนั้นมีแต่ต้องนำเข้าเนื้อดรายเอจจากต่างประเทศเท่านั้น จนกระทั่งเนื้อวัวดรายเอจชั้นดีของ Company B โดย ‘บังโต’ (โต-วีรชน ศรัทธายิ่ง หรือ โต Silly Fools) ได้รับการยกย่อง เพราะนำกรรมวิธีการนี้มาใช้กับเนื้อไทย ตัวอักษร B ในชื่อแบรนด์นั้น ย่อมาจากคำว่า ‘Barakat’ มีความหมายว่า พระพร ในภาษาอาหรับ ความที่ผลิตด้วยกรรมวิธีแบบฮาลาล จึงเชื่อมั่นได้ในเรื่องคุณภาพและความสะอาด

     5. ชีสโครงการหลวง

     ราคา: หลากหลายราคาขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณ

     เสาะหาได้ที่: ร้านโครงการหลวง Golden Place และ ตลาด อ.ต.ก.

    ชีสจากโครงการหลวง มีประวัติสืบย้อนมาตั้งแต่สภานมแห่งชาติของอินเดียได้น้อมเกล้าฯ ถวายกระบือพันธุ์เมซานา (Mehsana) แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อ พ.ศ. 2539 ข้อดีของกระบือพันธุ์นมก็คือ ให้นมที่มีโปรตีน ฟอสฟอรัส แคลเซียม และเหล็ก สูงกว่าโคนม แถมยังมีคอเลสเตอรอลน้อยกว่า โครงการหลวงผลิตทั้งมอสซาเรลลาชีสจากนมกระบือ, เฟตาชีส, เฟตาชีสในน้ำมันมะกอกและมะเขือเทศ, เฟตาชีสในน้ำมันมะกอกและสมุนไพร ซึ่งหากใครได้ลองแล้วก็จะทราบว่าคุณภาพดีไม่แพ้ชีสนำเข้าจากต่างประเทศหลายๆ แบรนด์เลยทีเดียว


 6. Iron Balls & Grandma Jinn’s  

     ราคา: Grandma Jinn 790 บาท, Iron Balls 1,750 บาท หรือสอบถามราคาได้ที่ร้าน

     เสาะหาได้ที่: บาร์ชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ แต่ที่เราแนะนำว่ามีแน่คือ Teens of Thailand และ Iron Balls Distillery     

    ไม่เพียงแต่รัมดีๆ เท่านั้น แต่ช่วงปีหลังๆ บ้านเราก็เริ่มมีผู้ผลิตเหล้าจินคุณภาพ ซึ่งผลิตโดยใช้ส่วนผสมของไทยให้เห็นกันมากขึ้น เริ่มต้นด้วย Iron Balls ของเจ้าพ่อบาร์อย่าง แอชลีย์ ซัตทอน (Ashley Sutton) จินขวดนี้รสนุ่ม มีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ และกลิ่นหอมสดชื่นของผลไม้ตระกูลซิทรัส ส่วนอีกเจ้าก็คือ Grandma Jinn’s ซึ่งเป็นการร่วมมือกันของ Bootleggers และผู้ผลิตลไมย์รัม ซึ่งเป็นรัมท้องถิ่นจากทางภาคเหนือ ‘เหล้าจิน สูตร 1 คุณยายจิ้น’  (ชื่อไทยเก๋ไหมล่ะ?) ผลิตโดยใช้น้ำอ้อยเป็นเบส แล้วใช้ส่วนผสมท้องถิ่นทางภาคเหนือของไทยอย่างดอกคำฝอยมาใช้ในกระบวนการหมัก เพื่อเพิ่มบุคลิกรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

      7. ไทยบาสโก (Thaibasco)

     ราคา: เริ่มต้นที่ 40 บาท

     เสาะหาได้ที่: Gourmet Market สาขาสยามพารากอน และ ดิ เอ็มโพเรียม, Sauce Grocers ที่ The Commons ทองหล่อ ซอย  7

    ซอสพริกผลิตโดยบริษัท Thai Pepper Products ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายย่อยใน ตำบลท่าสาย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ปลูกพริก ผลิต และแปรรูปด้วยตนเองจนกลายมาเป็นซอสพริกภายใต้แบรนด์ไทยบาสโก มีรสชาติละม้ายคล้ายกับซอสทาบาสโก (Tabasco) เพียงแต่มีความหวานแบบไทยอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขนาดหวานเลี่ยนเหมือนกับซอสพริกศรีราชาที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในท้องตลาด นอกจากรสออริจินัลแล้ว ยังมีซอสพริกสีเขียวซึ่งทำจากพริกจาลาปิโน และอีกหลายสูตร ด้วยคุณภาพและรสชาติที่ดีเยี่ยม จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่โรงแรมหลายดาวและร้านอาหารหลายแห่งเลือกใช้

 

     8. ไข่มดแดงกระป๋อง

     ราคา: กระป๋องเล็ก 70 บาท, กระป๋องใหญ่ 160  บาท

     เสาะหาได้ที่: www.wanatip.org

    สมัยก่อนเรามักจะได้กินไข่มดแดงก็เฉพาะเมื่อฤดูร้อนมาถึงเท่านั้น ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีผู้ผลิต SMEs หลายรายที่เริ่มนำไข่มดแดงมาผ่านกระบวนการแช่น้ำเกลือและบรรจุกระป๋อง เพื่อช่วยให้เก็บรักษาได้นานขึ้น จนเราเริ่มเห็นว่าร้านอาหารไทยดีๆ หลายร้านในเมืองเริ่มมีเมนูไข่มดแดงบรรจุเป็นเมนูถาวรโดยไม่ต้องรอให้ถึงหน้าร้อน แต่ไข่มดแดงกระป๋องก็ไม่ได้วางขายกันในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป สาเหตุหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะกำลังการผลิตที่ยังค่อนข้างจำกัดอยู่ (หรือไม่ก็เห็นว่าโลคัลเกินไป) ยี่ห้อแนะนำคือ วนาทิพย์ ซึ่งเป็นสินค้าโอทอป (OTOP) ประจำจังหวัดยโสธร ของกลุ่มเกษตรกร ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นโครงการพระราชดำริ

 

     9. นมวัวออร์แกนิก แดรี่ โฮม (Dairy Home)

     ราคา: เริ่มต้นที่ 23 บาท

     เสาะหาได้ที่: ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่าง Gourmet Market, Villa Market, Tops Supermarket และ Foodland

    นมวัวอินทรีย์จากฟาร์มออร์แกนิกที่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แดรี่ โฮม เลี้ยงวัวโดยยึดถือหลักความสุขของวัวเป็นสำคัญ ด้วยเชื่อว่าการให้วัวกินอาหารตามธรรมชาติคือหญ้า ซึ่งเป็นอาหารหลักต้องปลอดสารเคมี และให้วัวได้เดินอย่างอิสระบนท้องทุ่ง จะทำให้วัวมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และให้ผลผลิตเป็นน้ำนมออร์แกนิกที่เต็มไปด้วยวิตามิน โปรตีน ไม่มีสารก่อภูมิแพ้ ที่สำคัญรสชาติอร่อยกว่าอย่างรู้สึกได้ ทั้งยังมีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 มากกว่านมทั่วไปประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และ 20 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับด้วย

 

     10. ซองเดอร์ ซีเรียลบาร์ ออร์แกนิก (Xongdur)  

     ราคา: เริ่มต้นที่ 45 บาท

     เสาะหาได้ที่: 7-Eleven และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป

    ซีเรียลบาร์ เกรนนี่และเกรนน่า ของบริษัท ซองเดอร์ไทยออร์กานิคฟู้ด จำกัด กิจการเพื่อสังคมที่ทำงานกับชุมชนเกษตรกรอินทรีย์ ซึ่งได้รับตรารับรองมาตรฐานออร์แกนิกสากลหลายสำนัก อาทิ IFOAM (สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์), Organic EU, Organic USDA และ Organic Canada ซีเรียลบาร์ของซองเดอร์ผลิตมาจากธัญพืชโฮลเกรนจากแหล่งผลิตในประเทศ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ลูกเดือย เม็ดบัว งาขาวหรืองาดำ ที่ไม่ผ่านการขัดสี ผสมกับผลไม้แห้งและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ไม่ผ่านการทอด ด้วยคุณภาพทำให้เป็นสินค้าส่งออกไปหลายประเทศ นับเป็นสิ่งดีงามสำหรับนักกินสายเฮลตี้อีกอย่างที่เราอยากแนะนำ

 

     11. ฉลองเบย์ รัม (Chalong Bay Rum)

     ราคา: 440-1,200 บาท

     เสาะหาได้ที่: โรงกลั่นฉลองเบย์ รัม, โรงแรมชั้นนำในจังหวัดภูเก็ต, ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่าง Gourmet Market และ Villa Market

    เหล้ารัมสัญชาติไทยในจังหวัดภูเก็ต ที่ตอนนี้กลายเป็นขวัญใจของนักดื่มค่อนโลก การันตีคุณภาพด้วยรางวัลเหรียญทอง ปี 2015 จาก San Francisco World Spirit Competition หนึ่งในงานประกวดเหล้านานาชาติที่ทรงอิทธิพลของโลก จุดเด่นของฉลองเบย์ รัม อยู่ที่กรรมวิธีการผลิตโดยใช้น้ำอ้อยแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้เทคนิคประยุกต์มาจากชาวฝรั่งเศสแถบทะเลแคริบเบียนในศตวรรษที่ 18 รสชาติที่ได้จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรสหวานละมุน นุ่มลึก อบอวลด้วยกลิ่นหอมผลไม้นิดๆ ปัจจุบันนอกจากรสดั้งเดิมซึ่งเป็นตัวชูโรงหลักแล้ว ยังเอาใจนักดื่มด้วยการออกกลิ่นใหม่เพิ่มถึง 3 รสชาติ ได้แก่ ใบโหระพา อบเชย และตะไคร้

 

     12. ไวน์ข้าวชูใจ

     ราคา: เริ่มต้นที่ 150 บาท

     เสาะหาได้ที่: ร้าน LVMC ถนนนิมมานเหมินท์ ซอย 7, ร้าน Minimal ถนนนิมมานเหมินท์ ซอย 13, ร้านม้านั่ง ถนนนิมมานเหมินท์ ซอยสุขเกษม, Bar Choojai กรุงเทพฯ, ร้าน ณ ชูใจ จังหวัดอุบลราชธานี และ www.maajaidumonsales.com

    สุราแช่พื้นเมืองของกลุ่มพื้นบ้านชาวล้านนาในอำเภอสันกำแพง จังหวัด เชียงใหม่ ที่นำเอากรรมวิธีผลิตแบบดั้งเดิมมาผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ‘ชูใจ’ คือ เหล้าน้ำขาว (ภาษาเหนือ) หรือสาโทที่ถูกยกระดับขึ้นด้วยคำว่า ‘ไวน์ข้าว’ ผลิตจากข้าวเหนียว 100 เปอร์เซ็นต์ โดยการนึ่งผ่านตะกร้าไม้ไผ่และใช้ลูกแป้งหรือเชื้อสุราสูตรดั้งเดิม ผสมด้วยสมุนไพรนานาชนิดสูตรลับเฉพาะที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น หมักตามระยะเวลาและปรุงต่อจนได้รสชาติที่ใช่ วิธีการดื่มนั้นเหมือนไวน์ขาวทั่วไป แช่เย็นจนได้อุณหภูมิพอเหมาะ รินใส่แก้วแล้วยกดื่ม รสของไวน์ข้าวชูใจยังคงเอกลักษณ์ของสาโทไว้ไม่ผิดเพี้ยน ทว่ามีความเข้มลึกและแอลกอฮอล์หนักกว่า นักดื่มหลายคนเปรยว่า “รสชาติพอฟัดพอเหวี่ยงกับสาเกจากญี่ปุ่นบางตัวเลยทีเดียว”

 

     13. ลไมย์ (Lamai Thai Rum)

     ราคา: 550 บาท

     เสาะหาได้ที่: ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่าง Villa Market, King Power และตามบาร์ชั้นนำในกรุงเทพฯ

    เหล้ารัมสัญชาติไทยอีกแบรนด์ที่ห้ามมองข้าม ก่อตั้งโดยลูกครึ่งอเมริกัน-ไต้หวัน คุณอเล็กซ์ โช (Alex Chou) และญาติคนไทยอีก 2 คน โดยใช้น้ำอ้อยแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ทั้งยังกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วยการใช้อ้อยในจังหวัดลำพูนเท่านั้น ตัวขวดสะท้อนความเป็นล้านนาผ่านตราสัญลักษณ์และปูนปั้นเซรามิก ซึ่งเป็นของเด่นขึ้นชื่อของจังหวัดลำปาง โดยได้ศิลปินท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงมาออกแบบให้ เคล็ดลับความอร่อยที่ตรึงใจนักดื่มอยู่ที่กระบวนการกลั่น 2 ครั้ง คัดกรองแอลกอฮอล์ส่วนที่ไม่ดีออก รสที่ได้จึงนุ่ม ละมุนละไม ลื่นคอ ไร้อาการแฮงก์ สมชื่อแบรนด์ลไมย์นั่นแล

       

     14. คราฟต์เบียร์ไทย

     ราคา: เริ่มต้นที่ 180 บาท

     เสาะหาได้ที่: ทั้ง 3 แบรนด์สามารถหาดื่มได้ตามบาร์เบียร์ทั่วไป แต่ถ้าอยากได้ชัวร์ๆ แน่ๆ เช็กอินที่ ร้าน Junker and Bar, ร้านโจ๋เบียร์ บาย โจ๋บาร์, ร้าน Wishbeer และร้าน Full Moon Brewworks จังหวัดภูเก็ต

    กระแสคราฟต์เบียร์กำลังมา แม้กฎหมายบ้านเรายังไม่เอื้อต่อผู้ผลิตรายย่อย แต่เราก็มีแบรนด์คราฟต์เบียร์ให้เลือกดื่มเยอะมากขึ้นทุกที เจ้าเด่นควรลองที่เราอยากแนะนำให้ไปเสาะแสวงหามีทั้งหมด 3 ยี่ห้อหลักคือ เจ้าแรกนามว่า ‘ผีบอกเบียร์’ เกิดจากเพื่อน 4 คน ทดลองหมักเบียร์จากอินเทอร์เน็ต จนได้สูตรเบียร์ที่อร่อยตรงใจ เจ้านี้เขาเล่นไสยศาสตร์ นิยมต้มเบียร์กันในวันพระ เบียร์ที่นิยมได้แก่ Haunting Charming Pale Ale แอลกอฮอล์ 4.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นสไตล์ American Pale Ale ที่เน้นความฟรุตตี้ อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้หวานหอม ถัดมาเป็นงานจากเชียงคาน เพราะคนหมักชื่อโจ๋ ก็เลยกลายเป็น ‘โจ๋เบียร์’ ตัวเจ๋งที่อยากแนะนำคือ Jo+ Beer Wheat 90s Hitz Abv 5.4% เป็น Wheat Beer แอลกอฮอล์ 5.4 เปอร์เซ็นต์ ที่ใส่วัตถุดิบไทยๆ อย่างมะแขว่นและน้ำผึ้งลงไปด้วย กลิ่นหอมสดชื่นมาก มีรสขมแกล้มเย็นนิดๆ ซ่าหน่อยๆ และรสหวานซ่านอยู่ในปาก อร่อยมาก! ตัวสุดท้าย ‘Chalawan Pale Ale’ เป็นเบียร์ในสังกัด Full Moon Brewworks จากจังหวัดภูเก็ต ที่ส่งไปบรรจุไกลถึงออสเตรเลีย ขวดนี้เจอบ่อยและหาดื่มได้ง่ายที่สุดในบรรดา 3 แบรนด์ รสชาติออกซ่าช่วงต้น ตามด้วยรสหวานนิดๆ มีกลิ่นหอมหวานซ่อนเปรี้ยวของลิ้นจี่และฮอป

 

     15. Innocent Cow

     ราคา: เริ่มต้นที่ 60 บาท

    เสาะหาได้ที่: ร้านใบเมี่ยง และ Tops Supermarket

    กรีกโยเกิร์ต กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจสุขภาพ ด้วยรสชาติเปรี้ยวและหวานน้อยกว่าโยเกิร์ตธรรมดาถึงเท่าตัว ทั้งยังให้โปรตีนสูงกว่า ซึ่งแบรนด์ที่เรานึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ Innocent Cow ภายใต้การนำของนันทวัฒน์ สุรวัติเสถียร นักธุรกิจไฟแรงผู้อยากให้คนไทยมีโยเกิร์ตทางเลือกมากขึ้น Innocent Cow ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ไม่ใส่นมผง แป้ง สารให้ความแน่น หรือวัตถุกันเสีย พร้อมทั้งไขมัน 0 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีน้ำตาล แต่กินง่าย รสชาติดี โปรตีนสูง ที่สำคัญคือมีแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตถึง 5 สายพันธุ์ ปัจจุบันมี 5 รสชาติ ได้แก่ วานิลลา ลาเต้ ชาเขียว สตรอว์เบอร์รีโอเวอร์ไนต์ และรสธรรมชาติ นอกจากกินสดแนะนำให้ทำเป็นสมูทตี้ หรือน้ำสลัดก็ได้

 

     16. Cuvée Royale Thaie และ Minervois ของ Blue Elephant

     ราคา: ปกติไม่จำหน่ายปลีก มีเสิร์ฟเฉพาะคอร์สอาหาร Wine Pairing เท่านั้น

     เสาะหาได้ที่: ภัตตาคาร Blue Elephant ทุกสาขาทั่วโลก

    ส่วนผสมและเครื่องปรุงของอาหารไทยมีลักษณะเฉพาะและจับคู่ไวน์ได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุนี้เองร้านอาหารไทยซึ่งเป็นที่รู้จักดีไปทั่วโลกอย่าง Blue Elephant จึงผลิตไวน์ขาวและไวน์แดงที่จับคู่กับอาหารไทยได้อย่างดียิ่งมาอย่างละขวด ตัวแรกเป็นไวน์ขาว Cuvée Royale Thaie สั่งผลิตจากไร่ไวน์แคว้นอัลซาสทางตะวันตกของฝรั่งเศส ผสมองุ่นขาวถึง 4 สายพันธุ์ ได้แก่ Riesling, Pinot Blanc, Pinot Gris และ Gewürztraminer รสชาติเบา ไม่หนัก หอมละมุนคล้ายกลิ่นดอกไม้ ออกเปรี้ยวนิดๆ เหมาะกับจานพล่าหรือยำ อีกชนิดเป็นไวน์แดงออร์แกนิกจากแคว้นโรนทางตอนใต้ของฝรั่งเศส Minervois เป็นส่วนผสมระหว่างองุ่น 3 สายพันธุ์ ได้แก่ Grenache, Syrah และ Mourvèdre รสชาติหนักแน่น ทว่ามีความนุ่ม หอมหวานในตอนท้าย ลดความเลี่ยนของอาหารจานกะทิได้ดี ทั้ง 2 ขวด ผลิตในจำนวนจำกัดเพียงปีละ 600 ขวดเท่านั้น

 

     17. แยมเหล้าบ๊วย และแยมเหล้ากระท้อน

     ราคา: 200 บาท

     เสาะหาได้ที่: Cafe Play Plearn ย่านนางเลิ้ง หรือสั่งออนไลน์ได้ที่เฟซบุ๊กเพจของทางร้าน

    แยมสตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี หลบไป เพราะแยมที่เราแนะนำต่อไปนี้นั้น อร่อยมาก! และอยากให้คุณได้ลองสุดๆ ‘แยมเหล้ากระท้อน’ และ ‘แยมเหล้าบ๊วย’  ทั้ง 2 กระปุกเป็นแยมทำมือจาก Cafe Play Plearn แยมเหล้าใช้บ๊วยพันธุ์พื้นเมืองบนดอยสูงของจังหวัดเชียงรายเป็นวัตถุดิบหลัก ไม่ใส่สารกันบูด ไร้สารปรุงแต่ง ได้ทั้งรส กลิ่นเหล้า และเนื้อบ๊วยตั้งแต่แรกชิม ส่วนแยมเหล้ากระท้อน ใช้กระท้อนหวานตามฤดูกาล หมักกับเหล้าข้าวกล้องอินทรีย์ ให้รสอมเปรี้ยวอมหวาน พร้อมเนื้อกระท้อนหั่นหยาบให้ได้เคี้ยว รสชาติเปรี้ยวหวานและฝาดนิดๆ เป็นคอมบิเนชันที่คู่ควรจะกินคู่กับสโคนดีๆ สักหลายๆ ชิ้น

 

     18. กาแฟอาข่า อ่ามา และ ฮกโหหลี

     ราคา: เริ่มต้นที่ 300 บาท

     เสาะหาได้ที่: ร้านอาข่า อ่ามา จังหวัดเชียงราย, ร้านฮกโหหลี จังหวัดภูเก็ต

    เมล็ดกาแฟดีให้เลือกซื้อหากันทั่วประเทศ เหล่านักดื่มกาแฟตัวจริงควรจดจำ 2 ชื่อจากทั้งแดนเหนือและใต้นี้ไว้ให้แม่น เจอที่ไหนควรค่าแก่การซื้อในทันที ยี่ห้อแรก ชื่อ ‘อาข่า อ่ามา’ แบรนด์กาแฟพันธุ์อาราบิก้า บนยอดดอยสูงใน อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ทำเองทุกขั้นตอนตั้งแต่ปลูก เก็บ คั่ว เบลนด์ บรรจุ ไปจนถึงเปิดชงขายหน้าร้าน การันตีความอร่อยโดยสมาคมกาแฟชนิดพิเศษแห่งยุโรป ที่เคยนำ อาข่า อ่ามา ไปใช้เปิดตัวในงานชิมกาแฟนานาชาติมาแล้ว ถัดมาเป็นแบรนด์จากจังหวัดภูเก็ต ‘ฮกโหหลี’ แม้ไม่ได้ปลูกเอง แต่ก็คั่วเอง เบลนด์เองทุกขั้นตอน กาแฟสดฮกโหหลี มีหลายรส หลายราคา ทั้งแบบกาแฟอาราบิก้าล้วนๆ ไปจนถึงผสมโรบัสต้า มีทั้งแบบ wet process แบบ honey process ที่สำคัญราคาไม่แพง หาดื่มง่าย ตามโรงแรมใหญ่ๆ ในภูเก็ตเลือกใช้แทบทั้งนั้น

 

     19. น้ำส้มสายชูหมักจากข้าวหอมมะลิ (Organic Hom Mali Rice Vinegar)

     ราคา: 150 บาท

     เสาะหาได้ที่: Tops Supermarket, ร้านอโณทัย และไร่ปลูกรัก

    คุณประโยชน์และสรรพคุณของน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวหอมมะลินั้นมีมากมายจนเราสาธยายแทบไม่หมด ไม่ว่าจะใช้ประกอบอาหาร ทำน้ำสลัด ปรุงรสเปรี้ยวแทนมะนาว ผสมน้ำดื่มเพื่อชะล้างไขมัน ทาผิวเพื่อบรรเทาอาการคันและกำจัดเชื้อรา กรดอะมิโนในน้ำส้มสายชู ยังช่วยลดการสะสมของกรดแล็กติกในเลือด ฯลฯ แต่เหตุที่เราเลือกของ Thai Organic Farm จากไร่ปลูกรัก เป็นเพราะน้ำส้มสายชูหมักรสชาติดีขวดนี้ ทำจากข้าวหอมมะลิออร์แกนิกแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามมาตรฐาน IFOAM (สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์) ย้ำอีกครั้งว่าออร์แกนิกไม่ใช่แค่ปลอดสาร แต่มั่นใจได้เลยว่าไร้สารปนเปื้อนใดๆ ตั้งแต่กรรมวิธีการปลูกยันลงขวดบรรจุภัณฑ์ ทั้งยังมีกลิ่นไม่ฉุน กินง่าย แนะนำให้ผสมน้ำดื่มและน้ำผึ้งกินทุกวันเช้าเย็น รับรองโรคภัยไข้เจ็บตีจาก ร่างกายแข็งแรงโดยพลัน

 

     20. น้ำปลาพรพิมล จังหวัดตราด และน้ำปลาวังใต้ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

     ราคา: 300 บาท ต่อลัง

     เสาะหาได้ที่: ร้านขายของฝากประจำจังหวัด, ตลาดบองมาร์เช่

    ‘น้ำปลาดี มีชัยไปกว่าครึ่ง’ ไม่มีใครกล่าวไว้แต่เราบอกไว้เอง อาหารไทยส่วนใหญ่มีน้ำปลาเป็นเครื่องปรุงหลัก ฉะนั้นถ้าได้น้ำปลาดีมาปรุงรส อาหารจานร้อนมีหรือจะไม่อร่อย ขอให้ลืมน้ำปลาแบรนด์ดังที่ผลิตแบบอุตสาหกรรมที่มีอยู่ตามซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วหันไปมองน้ำปลาพื้นบ้านโอทอปที่คุณภาพคับแก้วอย่างน้ำปลาพรพิมลจาก จังหวัดตราด ของดีเด่นดังประจำถิ่นขนาดร้านอาหารสุพรรณิการ์ยังเลือกใช้เป็นไอเท็มเด็ดประจำร้าน รสชาติเค็มกำลังดี กลมกล่อม ไม่เหม็นคาว น้ำปลาตราวังใต้ ก็เด็ดไม่แพ้กัน ทำจากปลาไส้ตันแท้ หมักด้วยวิธีธรรมชาตินาน 1 ปี รสชาติเค็มไม่มาก กลิ่นหอมจางๆ บางคนบอกว่า แค่เอาไปคลุกข้าวกินกับของโปรดก็อร่อยเหาะแล้ว

 

     21. จะโหรมเครื่องแกง

     ราคา: เริ่มต้นที่ 22 บาท

     เสาะหาได้ที่: แม็คโครทั้ง 81 สาขา และ ซุปเปอร์ชีป ภูเก็ต

    ‘ร้อยคำชิม ล้านคำชม’ คือสโลแกนของพริกแกงปักษ์ใต้แบรนด์จะโหรม ที่ชุติมา อาลิแอ หนึ่งในผู้ก่อตั้งต้องการสื่อถึงความอร่อยให้เลื่องลือจนเป็นที่รู้จัก จากแผงลอยเล็กๆ ในตัวเมืองตรัง ต่อยอดสู่ตลาดโลก เป็นสินค้าส่งออกไปยังยุโรปและสหรัฐอเมริกา จะโหรมมีจุดเด่นอยู่ที่เครื่องแกงหลากชนิด แยกประเภทไว้เฉพาะตามชนิดอาหาร ทำไว้สำเร็จชนิดที่ลูกค้าไม่ต้องกังวลว่าจะต้องนำไปผสมอะไรอีก พริกแกงยอดนิยมมีหลายตัว เช่น คั่วกลิ้ง เขียวหวาน พะแนง มัสมั่น แกงส้ม แน่นอนว่ากินแล้วต้องอร่อยยกนิ้ว เพราะใช้วัตถุดิบชั้นดี

 

ภาพประกอบ: แพรวพลอย

The post สมุยรัม ชีสโครงการหลวง ไวน์ข้าวชูใจ: 21 โปรดักต์ไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก! appeared first on THE STANDARD.

]]>
https://thestandard.co/lifestyle-eat-and-drink-21-thai-products/feed/ 1