บริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังย้ายฐานการผลิตและสถานที่ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร และเพื่อรับมือกับอุปสรรคทางการค้าโลก ซึ่งการเคลื่อนย้ายรอบนี้อาจส่งผลให้การส่งออกของบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปรับเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว ในระยะเวลา 6 ปีข้างหน้า

รายงานผลการวิจัยด้านเศรษฐกิจฉบับล่าสุดของ Nomura ซึ่งได้สำรวจความคิดเห็นจากบริษัทข้ามชาติมากกว่า 100 แห่ง และจัดเก็บข้อมูลจากกระแสการลงทุนของบริษัทชั้นนำระดับโลก ระบุว่า ภาคการผลิตกำลังกระจายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน โดยส่วนใหญ่จะเป็นทุนจากประเทศอินเดีย เวียดนาม มาเลเซีย และเม็กซิโก

“ด้วยความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น บริษัทต่างๆ กำลังมองหาถิ่นฐานที่จะช่วยลดการพึ่งพาจีนมากเกินไป และกระจายห่วงโซ่อุปทาน หรือกำลังเปลี่ยนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้า และป้องกันความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำบาตรเพิ่มเติม” นักวิเคราะห์ระบุในรายงาน

การย้ายฐานการผลิตหรือการขยายการผลิตจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในภาคส่วนต่างๆ เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องแต่งกายและของเล่น สินค้าทุน สินค้าคงทนสำหรับผู้บริโภค และเซมิคอนดักเตอร์

งานวิจัยระบุอีกว่า การลงทุนส่วนใหญ่ในอินเดียมาจากสหรัฐอเมริกาและประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ในขณะที่บริษัทจีนกำลังเป็นผู้นำในการรุกเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ท่ามกลางอานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นมากมาย Nomura ประมาณการว่า การส่งออกของเวียดนามจะเพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปี 2573 เป็นมากกว่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่มาเลเซียจะจัดส่งสินค้ามูลค่า 6.52 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 เช่นกัน ส่วนไทย มูลค่าการส่งออกน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 แสนล้านดอลลาร์ภายในปีเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม คงเป็นเรื่องยากที่จะไม่พึ่งพาจีนเลย เนื่องจากสินค้าขั้นกลางจำนวนมากยังคงมีแนวโน้มที่จะมาจากจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปอีกหลายปี ในขณะเดียวกัน การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตดังกล่าวนั้นจะทำให้เกิดการ Dislocation และทำให้เกิดความสูญเสียบางส่วน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ได้เตือนถึงสัญญาณของการ Fragmentation ที่เพิ่มขึ้น

“การค้าข้ามประเทศที่มีความสอดคล้องทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่า จะยืนหยัดได้ดีกว่าการค้าระหว่างประเทศที่มีความสอดคล้องทางภูมิรัฐศาสตร์น้อยกว่า” Gita Gopinath รองกรรมการผู้จัดการคนแรกของ IMF กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ฟิลิปปินส์หลุดเรดาร์ สวนทาง ‘เวียดนาม-ไทย’

Nomura ระบุในรายงานว่า ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับบริษัทระดับโลกที่กำลังมองหาฐานการผลิตใหม่ แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค มีจำนวนประชากรมาก และมีแนวโน้มการปฏิรูปที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยโอกาสในการเติบโตจะเปลี่ยนจากประเทศพัฒนาแล้ว ไปยังประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Wild-Geese-Flying Pattern’

ในบรรดาห่านเอเชียฝูงใหม่ Nomura กล่าวว่า เวียดนามและไทยเป็นผู้ชนะที่ชัดเจนเมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่รวบรวมและผลการสำรวจของบริษัทข้ามชาติประมาณ 130 แห่ง โดยทั้งไทยและเวียดนามนั้นถูกคาดหวังว่าจะสามารถสานต่อความสำเร็จนี้ได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยอาจจะเหนื่อยกว่า เพราะกำลังเผชิญความสามารถในการแข่งขันที่เสื่อมถอย

อ้างอิง:

• https://www.bloomberg.com/news/newsletters/2024-05-29/supply-chain-latest-exports-from-southeast-asia?sref=CVqPBMVg
• https://business.inquirer.net/461449/ph-lags-behind-flock-of-asian-geese

The post อาเซียนจ่อรับอานิสงส์ทุนย้ายหนีจีน เลี่ยงสงครามการค้า Nomura มอง ‘ไทย-เวียดนาม’ โดดเด่นสุด appeared first on THE STANDARD.

Nomura Holdings Inc. บริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น เตรียมปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานขึ้นเฉลี่ย 16% สำหรับปีงบประมาณหน้าที่จะเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2024

การเพิ่มค่าจ้างพนักงานดังกล่าวจะเพิ่มทั้งค่าจ้างพื้นฐานและค่าจ้างที่จะขยับขึ้นตามอายุงาน ขณะที่ Kentaro Okuda ซีอีโอของบริษัท เปิดเผยว่า การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อพนักงานที่ทำงานมา 3 ปี หรือน้อยกว่านั้น

ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในญี่ปุ่นต่างกำลังเสนอเงินค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่เงินเฟ้อในญี่ปุ่นเริ่มกลับมาอีกครั้ง และการที่ Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เรียกร้องให้แต่ละบริษัทเพิ่มค่าจ้างพนักงาน

Okuda บอกว่า การเพิ่มเงินเดือนของ Nomura ให้กับพนักงานที่อายุน้อย เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 สำหรับพนักงานที่จะเข้ามาใหม่ในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะจ่ายเงินเดือนขั้นต่ำ 265,000 เยน หรือราว 63,000 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้น 8.2% จากปีก่อน

ทั้งนี้ Nomura Group จ้างพนักงานใหม่ในญี่ปุ่นรวม 2,277 คน ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

Daiwa Securities Group Inc. หนึ่งในคู่แข่งสำคัญของ Nomura เตรียมปรับเพิ่มค่าจ้างอย่างน้อย 7% สำหรับพนักงานในประเทศเช่นกัน แม้ว่าข้อมูลเมื่อเดือนที่ผ่านมาจะสะท้อนว่าเงินเฟ้อในญี่ปุ่นเริ่มชะลอลง โดยเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารสดลดลงมาเหลือ 2.5%

อ้างอิง:

• https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-01-04/nomura-will-lift-pay-by-16-for-younger-brokerage-staffers?srnd=premium-asia&sref=CVqPBMVg

The post Nomura บริษัทหลักทรัพย์ญี่ปุ่นเตรียมเพิ่มค่าจ้างพนักงานเฉลี่ย 16% โดยพนักงานใหม่จะได้เงินเดือนเริ่มต้นราว 63,000 บาท appeared first on THE STANDARD.

Nomura Holdings คาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องเริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า หลังจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยที่ประกาศออกมาล่าสุดโดยสภาพัฒน์ขยายตัวได้เพียง 1.5% ต่ำกว่าที่ตลาดประเมินเอาไว้

รายงานของ Nomura ระบุว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยที่ขยายตัวได้เพียง 1.5% สอดคล้องกับมุมมองของ Nomura ที่คาดว่า GDP ไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ 2.4% และ 3.8% ในปีหน้า ซึ่งแตกต่างจากมุมมองของ ธปท. ที่มองว่า GDP ไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ 2.8% และ 4.4% ในปีหน้า

นอกจากนี้ ตัวเลข GDP ไตรมาสล่าสุดที่ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ยังอาจทำให้การผลักดันนโยบายแจกเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความเข้มข้นมากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันนโยบายดังกล่าวจะยังมีความไม่แน่นอนในแง่ของกฎหมายว่าจะสามารถทำได้หรือไม่

ขณะเดียวกัน Nomura ยังมองว่า ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดดุลการคลังที่ 3.9% ต่อ GDP ในปีงบประมาณ 2024 ซึ่งสอดคล้องการคาดการณ์ว่า อันดับความน่าเชื่อของไทยมีความเสี่ยงจะมีมุมมองเป็นลบในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า

รายงานของ Nomura ยังระบุถึงความเสี่ยงที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในปีหน้าอาจมีจำนวนไม่ถึง 40 ล้านคนตามคาดการณ์ เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนและจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในไทยที่ยังฟื้นตัวค่อนข้างช้า

อย่างไรก็ดี ในกรณีฐาน Nomura ยังคาดว่า ธปท. ยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.5% ในการประชุมปลายเดือนนี้ และตลอดทั้งปี 2024 แต่ความเสี่ยงในกรณีที่ ธปท. อาจต้องเริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้ามีเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม

อ้างอิง: 

• Bloomberg

The post Nomura คาด ‘ไทย’ เริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า หลังตัวเลข GDP ไตรมาส 3 โตต่ำกว่าคาดการณ์ตลาด appeared first on THE STANDARD.

จับตาสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในจีนเลวร้ายลง หลังจากราคาบ้านใหม่ร่วงหนักสุดในรอบ 8 ปี ด้าน Nomura ก็เตือนว่า จีนมีโครงการบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จประมาณ 20 ล้านยูนิต เทียบเท่ากับขนาดอสังหาริมทรัพย์ของ Country Garden ราว 20 เท่า!

วันนี้ (16 พฤศจิกายน) สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองใหญ่ของจีน ไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐ ลดลง 0.38% ในเดือนตุลาคม นับเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2015

การลดลงของราคาบ้านในเดือนที่ผ่านมาเป็นการเน้นย้ำถึงการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดที่อยู่อาศัยจีน หลังจากตัวเลขของทางการในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นว่า ยอดขายและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์หดตัวลงอย่างมาก 

สะท้อนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของรัฐบาลจีน ซึ่งเปิดตัวในเมืองใหญ่ๆ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในการพลิกฟื้นภาคส่วนนี้ซึ่งกำลังฉุดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน

สัปดาห์ที่ผ่านมา Bloomberg เพิ่งรายงานว่า เพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลจีนกำลังวางแผนจัดหาเงินทุนดอกเบี้ยต่ำอย่างน้อย 1 ล้านล้านหยวน เพื่อปรับปรุงหมู่บ้านในเมืองและโครงการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง แม้ว่ารายละเอียดของแผนดังกล่าวยังไม่ชัดเจน แต่นักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่า แผนนี้อาจมีประสิทธิภาพน้อยกว่าความพยายามก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาทางการจีนส่งสัญญาณให้การสนับสนุน China Vanke Co. บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของจีน (เมื่อพิจารณาจากยอดขายตามสัญญา) หลังจากหุ้นกู้บริษัท Vanke ร่วงหนัก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

• ข่าวดี! จีนส่งสัญญาณสนับสนุน Vanke บริษัทอสังหารายใหญ่อีกแห่ง ที่กำลังประสบปัญหา
• ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เผย ความต้องการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศไตรมาส 3 ‘ติดลบ’ ฉุดอุปทานทรุดตาม เซ่นพิษดอกเบี้ยสูง-หนี้ครัวเรือนพุ่ง
• สินเชื่ออสังหาเชิงพาณิชย์ที่จ่ายล่าช้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดรอบ 10 ปี ท่ามกลางดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

เปิดปัญหาใต้พรม: จีนมีบ้านยังสร้างไม่เสร็จมหาศาล

Nomura เปิดเผยรายงานที่เตือนว่า ในจีนมีโครงการบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จแต่ขายไปแล้ว (Unfinished Pre-Sold Homes) ประมาณ 20 ล้านยูนิต เทียบเท่ากับขนาดอสังหาริมทรัพย์ของ Country Garden ราว 20 เท่า!

ทั้งนี้ Country Garden เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เอกชนรายใหญ่ที่สุดในจีน (เมื่อพิจารณาจากยอดขาย) ซึ่งเพิ่งประสบปัญหาสภาพคล่อง และผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือนที่แล้ว

ติงลู่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Nomura และทีมงาน กล่าวในรายงานว่า “เราประเมินว่ามีบ้านที่ขายล่วงหน้าไปแล้วแต่ยังสร้างไม่เสร็จและล่าช้าไปประมาณ 20 ล้านยูนิต” พร้อมทั้งประมาณการว่า บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องใช้เงินราว 3.2 ล้านล้านหยวน (ราว 16.12 ล้านล้านบาท) เพื่อสร้างยูนิตที่เหลือเหล่านั้นให้เสร็จสิ้น

ทั้งนี้ โดยทั่วไปอพาร์ตเมนต์ในจีนจะขายก่อนสร้างเสร็จ อย่างไรก็ตาม ทางการจีนกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างบ้านเหล่านั้นให้เสร็จ เนื่องจากความล่าช้าจะทำให้ผู้คนสนใจซื้ออพาร์ตเมนต์ใหม่น้อยลง

“ในมุมมองของเรา ท่ามกลางสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทรุดและสินเชื่อที่ลดลงในวงกว้างในหมู่บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้ซื้อบ้านอาจรู้สึกไม่อยากอดทนมากขึ้นขณะที่รอการส่งมอบบ้านใหม่ที่ซื้อมาแล้ว” รายงานของ Nomura กล่าว

นักวิเคราะห์กล่าวอีกว่า “ในปีหน้าปัญหาการส่งมอบบ้านอาจกลายเป็นปัญหาสังคม และเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางสังคม และในที่สุดปักกิ่งอาจจำเป็นต้องเพิ่มการสนับสนุนนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเรามองว่านี่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นในภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจอย่างแท้จริง”

เมื่อปีที่แล้วได้เกิดเหตุผู้ซื้อบ้านจำนวนมากในจีนตัดสินใจที่จะไม่ผ่อนต่อ เนื่องจากการก่อสร้างที่ล่าช้าเป็นเวลานาน ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับวิกฤตทางการเงิน

“หากสมมติว่าปริมาณบ้านสร้างเสร็จใหม่เพิ่มขึ้น 20% ในปีปัจจุบัน บริษัทอสังหาริมทรัพย์จะสามารถส่งมอบบ้านที่ขายล่วงหน้าระหว่างปี 2015-2020 ได้เพียง 48% โดยที่เหลืออีก 52% ยังคงมีความล่าช้า” นักวิเคราะห์ของ Nomura กล่าว

อ้างอิง: 

• www.cnbc.com/2023/11/15/chinas-unfinished-property-projects-are-20-times-the-size-of-country-garden.html
• www.bloomberg.com/news/articles/2023-11-16/china-housing-gloom-worsens-as-prices-fall-most-in-eight-years?srnd=premium-asia

The post วิกฤตอสังหาจีนยังไม่จบ! Nomura ชี้ มีโครงการบ้านสร้างไม่เสร็จทั่วประเทศใหญ่กว่า Country Garden ถึง 20 เท่า! ส่วนราคาบ้านใหม่ร่วงหนักสุดรอบ 8 ปี! appeared first on THE STANDARD.

Nomura หนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ได้ตั้งหน่วยธุรกิจ ‘Venture Capital’ หรือ VC เพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมทางด้านการเงินแห่งอนาคตอย่างบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี

โดย VC ของ Nomura ถูกก่อตั้งภายใต้ชื่อว่า Laser Digital ซึ่งจะให้บริการในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น การเงินแบบรวมศูนย์ (Centralize Finance), การเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi), Web 3.0 และบล็อกเชน

นอกจากนี้ Laser Digital จะไปตั้งธุรกิจในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นหลัก เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีนโยบายในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลและโปรเจกต์บล็อกเชนที่ค่อนข้างแข็งแรง ทั้งยังมีบุคคากรที่มีความสามารถอีกด้วย

เคนทาโร โอคุดะ ซีอีโอและประธานกรรมการบริหารของกลุ่มธุรกิจ Nomura Holdings กล่าวย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทว่า “การเป็นแนวหน้าในด้านนวัตกรรมทางการเงินถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับเรา Nomura”

และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ Laser Digital ก็เตรียมปล่อยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้แก่นักลงทุน

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2022 Nomura นั้นมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 4.55 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 16 ล้านล้านบาท 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

• การอัปเกรด The Merge ของ Ethereum และทิศทางในอนาคตของเหรียญ ETH
• ทำไมเหรียญ LUNC ถึงพุ่งกว่า 425% ภายใน 14 วัน? อะไรที่อยู่เบื้องหลังการพุ่งขึ้นครั้งนี้
• ไมเคิล เบอร์รี เตือนการล่มสลายครั้งประวัติศาสตร์กำลังจะเกิดขึ้น โดยมีต้นตอจากตลาดคริปโต

อ้างอิง:

• https://cointelegraph.com/news/japanese-banking-giant-nomura-launches-digital-ecosystem-vc-arm

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

• Twitter: twitter.com/standard_wealth
• Instagram: instagram.com/thestandardwealth
• Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

The post ‘Nomura’ สถาบันการเงินชั้นนำจากญี่ปุ่น ตั้งหน่วยธุรกิจ ‘Venture Capital’ รุกลงทุนในโปรเจกต์บล็อกเชนและคริปโต appeared first on THE STANDARD.

Nomura ปรับประมาณการ GDP จีนลงอีกครั้ง เหลือเติบโต 2.7% เนื่องจากโควิดกลับมาระบาดหนักอีกระลอก และลามสู่จังหวัดหรือพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ 

หลายเมืองรวมถึงศูนย์กลางเทคโนโลยีของเซินเจิ้นได้เข้มงวดการควบคุมโควิดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากรายงานการติดเชื้อในท้องถิ่นรายใหม่ โดยตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วเมืองเฉิงตูซึ่งอยู่ทางตอนกลางของจีนถูกล็อกดาวน์ และขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน ขณะที่ทางการเองก็เร่งดำเนินการตรวจหาผู้ติดเชื้อ 

Ting Lu หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Nomura และทีมงาน กล่าวในรายงานว่า การปรับประมาณการ GDP ลงอีกครั้ง เพื่อเป็นไปตามรูปแบบใหม่ของนักวิเคราะห์ที่มีการถ่วงน้ำหนัก GDP ของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบด้วยมาตรการควบคุมที่เข้มงวด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

• ดีลล้ม! Moderna ปฏิเสธ ‘ทางการจีน’ ที่ขอให้ถ่ายทอด ‘เทคโนโลยี mRNA’ เพื่อแลกกับการขายวัคซีนโควิด
• จีนเดินหน้าขยายการทดสอบ ‘หยวนดิจิทัล’ อีก 4 มณฑล หลังทดลองใช้ 2 ปี มีมูลค่าการทำธุรกรรมกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์
• ผู้ผลิตเริ่มโอดหลังจีนขยายล็อกดาวน์ ‘เฉิงตู’ อีก 3 วัน แม้รายงานผู้ติดเชื้อ 140 คนวันนี้

ซึ่งจากการปรับวิธีประเมิน GDP ใหม่ Nomura ได้ลดการคาดการณ์ GDP ลงเหลือ 2.7% ลดลงจากประมาณการ 2.8% ที่กำหนดไว้ในเดือนสิงหาคม เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดและการล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยงได้ส่งผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 12% ซึ่งเป็นผลกระทบที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการประเมินผลกระทบเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ 5.3% 

“ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม เมื่อเราลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของเรา เราไม่ได้คาดว่าการเติบโตจะแย่ลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้” Ting กล่าว 

ทั้งนี้ Nomura ซึ่งเป็นบริษัทวาณิชธนกิจรายใหญ่ได้ปรับลดประมาณการ GDP ของจีนหลายครั้งในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มหานครเซี่ยงไฮ้ถูกล็อกดาวน์ไว้ประมาณ 2 เดือน โดย Nomura ได้คาดการณ์ GDP จีนต่ำที่สุด และมักจะลดประมาณการ GDP ลงก่อนบริษัทอื่นเสมอ

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การแพร่ระบาดของโควิดยังกระจายไปในหลายๆ พื้นที่ของประเทศ และดูเหมือนจะกำลังแพร่ระบาดไปสู่จังหวัดหรือพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่การแพร่ระบาดมักเกิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกล” Ting กล่าว 

อ้างอิง:

• https://www.cnbc.com/2022/09/07/nomura-cuts-its-china-gdp-forecast-again.html

The post Nomura หั่นประมาณการ GDP จีนอีกรอบ เหลือ 2.7% หลังโควิดหวนคืน ทำจีนสั่งล็อกดาวน์เมืองสำคัญ appeared first on THE STANDARD.

นักเศรษฐศาสตร์ของ Nomura Holdings ออกมาพยากรณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยแบบอ่อนๆ ในช่วงสิ้นปีนี้ พร้อมปรับลดคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ในปีนี้ลงเหลือ 1.8% จากเดิม 2.5% ขณะที่ GDP ของปีหน้าปรับลดลงจาก 1.3% เหลือ 1%

“การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีท่าทีที่ชัดเจนว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการเงินเฟ้อให้อยู่หมัด และโมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลง ทำให้เราเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ภาวะถดถอยแบบอ่อนๆ จะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้” Aichi Amemiya และ Robert Dent สองนักเศรษฐศาสตร์ของ Nomura Holdings ระบุในรายงานที่เผยแพร่ออกมาล่าสุด

รายงานดังกล่าวระบุอีกว่า แม้เงินฝากส่วนเกินและงบดุลของผู้บริโภคจะสามารถช่วยลดความเร็วของการถดถอยทางเศรษฐกิจได้บ้าง แต่เงินเฟ้อที่ค้างอยู่ในระดับสูง จะทำให้การใช้เครื่องมือทางการเงินและการคลังของสหรัฐฯ มีข้อจำกัด ทำให้ในท้ายที่สุดภาวะถดถอยจะเกิดขึ้น

บทวิเคราะห์ของ Nomura Holdings ถูกเผยแพร่ออกมาหลังจาก Janet Yellen รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ออกมาพูดถึงสถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ว่าอยู่ในระดับสูงเกินรับได้ และมีความเป็นได้ที่เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงตลอดทั้งปีนี้ พร้อมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง

ขณะที่ Loretta Mester ประธาน Fed สาขาคลีฟแลนด์ ออกมายอมรับเช่นกันว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยมีสูงขึ้น พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อทำให้เงินเฟ้อลดลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2%

รายงานล่าสุดของ Nomura Holdings ยังมีการปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จากเดิมที่คาดว่าดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ 3.75-4.00% ในเดือนมีนาคมปีหน้า ลงมาเหลือ 3.50-3.75% ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าแทน

อ้างอิง:

• https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-20/us-recession-this-year-is-now-more-likely-than-not-nomura-says?sref=CVqPBMVg

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

The post Nomura คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยแบบอ่อนๆ ภายในไตรมาส 4 พร้อมหั่น GDP ปีนี้ลงเหลือ 1.8% appeared first on THE STANDARD.

ความเคลื่อนไหวหุ้นไทยเช้านี้ (8 ธันวาคม 2563) ดัชนี SET ยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่องอีก 26.02 จุด มาปิดที่ 1,475.85 จุด ทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยดัชนี SET ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ 5 สัปดาห์ติดต่อกัน จากระดับ 1,194.95 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 280 จุด สำหรับกลุ่มหุ้นหลักที่หนุนดัชนีขึ้นมาในช่วงเช้าวันนี้คือ กลุ่มพลังงาน หนุนดัชนี 5.9 จุด กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ 4.6 จุด และกลุ่มธนาคาร 3.7 จุด

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นในวันนี้หนุนจากความเชื่อมั่นต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายขายสุทธิมาต่อเนื่อง โดยรวมจึงเชื่อว่า Fund Flow จะช่วยประคองตลาดได้

“ก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติ Underweight หุ้นไทยมาตลอด แต่ล่าสุดเริ่มกลับมา Overweight บ้างแล้ว แต่ในช่วงปลายปีซึ่งปกติการซื้อขายจะเบาบางลง อาจจะเป็นช่วงที่ตลาดเริ่มพักฐานหลังจากจบสัปดาห์นี้ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน มองว่าควรเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งจะยังมีปัจจัยหนุนเฉพาะ อาทิ STGT SAWAD KCE HTC และ SNC”

ด้าน บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ในเชิงกลยุทธ์ เรายังคงแบ่งแนวทางการลงทุนเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. สำหรับนักลงทุนระยะสั้น สามารถเก็งกำไรไปกับหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ที่อิงกับปัจจัยภายนอกอย่าง ปิโตรเคมีและพลังงาน ตราบใดที่ราคาน้ำมันดิบยังคงทรงตัวได้อยู่ในระดับสูง โดยหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ คือ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เพียงตัวเดียวเท่านั้น เนื่องจากยังคงซื้อขายด้วย Forward P/BV ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอยู่

2. สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาวนั้น มองว่าสามารถชะลอการลงทุนไปก่อนได้ ในสภาวะที่มูลค่า (Valuation) ของ SET อยู่ในระดับที่ร้อนแรงมากแล้ว อย่างไรก็ดี หากต้องการเข้าลงทุนในช่วงนี้ มองไปยังกลุ่มหุ้นเติบโต (Growth) ที่อิงกับปัจจัยภายนอก ที่ช่วงที่ผ่านมาราคายังปรับตัวได้แย่กว่าตลาด (Laggard) โดยหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ เลือก บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) ที่ราคาปัจจุบันยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของเราในเชิงพื้นฐานที่ 45.50 บาท

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

The post หุ้นไทยพุ่งต่อเนื่องแตะระดับ 1,475 จุด บวก 280 จุด ใน 5 สัปดาห์ appeared first on THE STANDARD.

Euben Paracuelles หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาเซียนจากโนมูระ (Nomura) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจประเทศไทยมีแววที่จะส่งสัญญาณฟื้นตัวช้าที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกันด้วยเหตุผลหลายปัจจัย 

ทั้งการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นฟันเฟืองหลักเศรษฐกิจประเทศ ไปจนถึงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองที่มีผลต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค 

โดย Euben บอกว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะฟื้นตัวในลักษณะที่ไม่ดี (Bad Shape) พร้อมกล่าวว่า “เรารู้ดีว่ามันสัมพันธ์อย่างมีนัยกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของโควิด-19

“นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่เราได้พบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่อดีตคือการที่รัฐบาลจะถูกรบกวนและไขว้เขวจากการดำเนินการตามมาตรการการคลัง

“การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจประเทศไทยกำลังจะเกิดขึ้น แต่มันจะช้ามากๆ และอาจจะช้าที่สุดและอ่อนแอที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเลยก็ว่าได่”

ทั้งนี้ โนมูระยังคาดการณ์อีกด้วยว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะตัดสินใจเลือกหั่นดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) ลงจาก 0.5% เป็น 0% ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวได้

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

• https://www.cnbc.com/2020/11/20/thailands-covid-recovery-may-be-slowest-in-southeast-asia-nomura.html

The post โนมูระ มองเศรษฐกิจไทยอาจ ‘ฟื้นตัวช้าที่สุด’ ในอาเซียน appeared first on THE STANDARD.

‘กลุ่มโนมูระ โฮลดิ้งส์’ รุกธุรกิจที่ปรึกษาควบรวมกิจการหลังเห็นสัญญาณการควบรวมในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 30-40% จากช่วงปีก่อนที่สถานการณ์ยังปกติ คาดขึ้นแท่น  Global Top 10 ธุรกิจให้คำปรึกษาเป็นครั้งแรก

รายงานข่าวจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า โนมูระ โฮลดิ้งส์ กำลังรุกธุรกิจที่ปรึกษาการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) เนื่องจากเห็นสัญญาณดีลที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

หัวหน้าฝ่าย M&A ของโนมูระ โฮลดิ้งส์ ระบุผ่านบลูมเบิร์กว่ารายได้จากธุรกิจที่ปรึกษาน่าจะปรับเพิ่มขึ้นราว 40% และน่าจะผลักดันให้กลุ่มบริษัทยกระดับขึ้นเป็น Global Top 10 ของผู้ประกอบการธุรกิจด้านการให้คำปรึกษาได้เป็นครั้งแรก

โดยโนมูระ โฮลดิ้งส์ กำลังเดินหน้าว่าจ้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจให้คำปรึกษาในการควบรวมกิจการ เนื่องจากมองเห็นสัญญาณการควบรวมกิจการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

“เรากำลังคัดสรรบุคลากรอย่างแข็งขันกว่าปกติ ตอนนี้มีลูกค้าในธุรกิจให้คำปรึกษาและควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40% เทียบกับปีที่แล้ว” หัวหน้าฝ่าย M&A กล่าว

สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุเพิ่มว่า ดีล M&A ในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศญี่ปุ่นส่งสัญญาณฟื้นตัว และบริษัทต่างๆ ได้เริ่มปรับตัวสู่การทำธุรกิจวิถีใหม่ (New Normal) โดยโนมูระ โฮลดิ้งส์ได้เป็นที่ปรึกษาดีล M&A ขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก รวมถึงการซื้อกิจการของ NTT Docomo Inc. มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะควบรวมแล้วเสร็จในสิ้นปี ซึ่งจะส่งผลให้โนมูระ โฮลดิ้งส์ ยกระดับขึ้นเป็นบริษัทที่ปรึกษา 10 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรก (รวบรวมข้อมูลโดย Bloomberg Show)

ความต้องการธุรกิจที่ปรึกษาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้น อาจสะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจของภาคธุรกิจในการดำเนินการตามแผนการที่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาหลังจากการระบาดใหญ่ โดยบริษัทต่างๆ กำลังมองหาข้อมูลทุกอย่าง ตั้งแต่การขายกิจการไปจนถึงการซื้อคู่แข่งไปจนถึงการควบรวมกิจการที่ออกแบบมาเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่แตกต่างจากอุตสาหกรรมดั้งเดิม 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-10-25/nomura-seeks-m-a-bankers-as-japan-deals-surge-during-pandemic?srnd=premium-asia

https://www.japantimes.co.jp/news/2020/10/26/business/corporate-business/nomura-bankers-japan-coronavirus-mergers-acquisitions/

The post ‘โนมูร​ะ โฮลดิ้งส์’ ลุยธุรกิจที่ปรึกษาควบรวมกิจการ หลังเห็นเทรนด์ดีลในญี่ปุ่นพุ่ง 30-40% appeared first on THE STANDARD.